ฟุตบอลทีมชาติไทย
ฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ อยู่ภายใต้การบริหารของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ฉายา | ช้างศึก | |||
---|---|---|---|---|
สมาคม | สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ | |||
สมาพันธ์ย่อย | สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) | |||
สมาพันธ์ | สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (ทวีปเอเชีย) | |||
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | มาซาทาดะ อิชิอิ | |||
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน | ทาคายูกิ นิชิกายะ มิตซูโอะ คาโตะ เซาโล อาเดรียน เฉลิมชัย ชินเชิดพงศ์ | |||
กัปตัน | ชนาธิป สรงกระสินธ์ | |||
ติดทีมชาติสูงสุด | เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (134) | |||
ทำประตูสูงสุด | เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (71) | |||
สนามเหย้า | ราชมังคลากีฬาสถาน | |||
รหัสฟีฟ่า | THA | |||
| ||||
อันดับฟีฟ่า | ||||
อันดับปัจจุบัน | 96 (ตุลาคม พ.ศ. 2567)[1] | |||
อันดับสูงสุด | 43 (กันยายน พ.ศ. 2541) | |||
อันดับต่ำสุด | 165 (ตุลาคม พ.ศ. 2558) | |||
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก | ||||
ไทย 1–6 จีน (กรุงเทพ ประเทศไทย; 20 สิงหาคม พ.ศ. 2491)[2] | ||||
ชนะสูงสุด | ||||
ไทย 10–0 บรูไน (กรุงเทพ ประเทศไทย; 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2514) | ||||
แพ้สูงสุด | ||||
บริเตนใหญ่ 9–0 ไทย (เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย; 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499) | ||||
เอเชียนคัพ | ||||
เข้าร่วม | 8 (ครั้งแรกใน 1972) | |||
ผลงานดีที่สุด | อันดับที่ 3 (1972) | |||
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน | ||||
เข้าร่วม | 14 (ครั้งแรกใน 1996) | |||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ (1996, 2000, 2002, 2014, 2016, 2020, 2022) |
ทีมชาติไทยเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 7 สมัย และซีเกมส์ 9 สมัย (นับเฉพาะทีมชาติชุดใหญ่) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในทั้งสองรายการ แต่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จในระดับทวีปและระดับโลก[3] โดยผลงานที่ดีที่สุดคือการคว้าอันดับสามในรายการเอเชียนคัพ 1972 ในฐานะเจ้าภาพ อันดับสี่ในเอเชียนเกมส์ 2 ครั้ง และเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2 ครั้ง อันดับโลกฟีฟ่าที่ดีที่สุดของทีมชาติไทย คือ อันดับที่ 43[4] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2541 ปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 96 ของโลก[5] ทีมชาติไทยยังไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มีผลงานที่ดีที่สุดคือการผ่านเข้าถึงรอบคัดเลือกรอบที่ 3 ใน พ.ศ. 2545 และ 2561
ประวัติ
แก้พ.ศ. | เหตุการณ์ |
---|---|
2459 | ก่อตั้ง |
2468 | เข้าร่วมฟีฟ่า |
2500 | เข้าร่วมเอเอฟซี |
2537 | เข้าร่วมเอเอฟเอฟ |
ก่อตั้งทีม (2458–2482)
แก้ฟุตบอลทีมชาติไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2458 ในนาม คณะฟุตบอลสำหรับชาติสยาม[6] โดยนักฟุตบอลทีมชาติสยาม 11 คนแรก มีรายชื่อดังนี้ อิน สถิตยวณิช (ผู้รักษาประตู) – แถม ประภาสะวัต, ต๋อ ศุกระศร, ภูหิน สถาวรวณิช (กองหลัง) – ตาด เสตะกสิกร, กิมฮวด วณิชยจินดา (กองกลาง) – หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร, ชอบ หังสสูต, โชติ ยูปานนท์, ศรีนวล มโนหรทัต, จรูญ รัตโนดม (กองหน้า) และลงเล่นในการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรกพบกับทีมสปอร์ตคลับฝ่ายยุโรปซึ่งใช้นักเตะอังกฤษทั้งหมด โดยแข่งขันกันที่สนามราชกรีฑาสโมสร ในวันที่ 20 ธันวาคม 2458 ซึ่งทีมชาติสยามเอาชนะไปได้ 2–1 จากชัยชนะดังกล่าวทำให้กระแสความสนใจในกีฬาฟุตบอลในสยามประเทศเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ กระทั่งวันที่ 25 เมษายน 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามฯ ขึ้นอย่างเป็นทางการพร้อมทั้งตราข้อบังคับสมาคมฯ และแต่งตั้งคณะสภากรรมการชุดแรก ประกอบด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 7 ท่าน โดยมีพระยาประสิทธิ์ศุภการ เป็นนายกสภาฯ[7] และพระราชดรุณรักษ์ เป็นเลขาธิการ[8] ในปีเดียวกันได้ริเริ่มจัดการแข่งขันฟุตบอลถ้วยใหญ่ (ถ้วยพระราชทาน ก) และฟุตบอลถ้วยน้อย (ถ้วยพระราชทาน ข) ขึ้นเป็นครั้งแรก
-
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2459
-
คณะฟุตบอลชาติสยามในช่วงแรกของการก่อตั้ง
ทีมชาติสยามได้ลงแข่งขันในเกมระหว่างประเทศครั้งแรกในปี 2473 พบกับทีมชาติอินโดจีน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เล่นเวียดนามใต้ และ ฝรั่งเศส เพื่อต้อนรับการเสด็จประพาสอินโดจีนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยต่อมาชื่อของทีมชาติและชื่อของสมาคมได้ถูกเปลี่ยนชื่อในปี 2482 เมื่อรัฐบาล จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ประกาศนโยบาย “รัฐนิยม” ฉบับแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2481[9] ให้เปลี่ยนชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ จาก “สยาม” เป็น “ไทย”[10] จึงเป็นสาเหตุให้มีการเปลี่ยนชื่อจากสมาคมฟุตบอลแห่งชาติสยามเป็นสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อฟุตบอลทีมชาติสยามเป็นฟุตบอลทีมชาติไทยมาจนถึงปัจจุบัน[11]
การแข่งขันโอลิมปิกและซีเกมส์
แก้ในปี 2499 พล.ต.เผชิญ นิมิบุตร ซึ่งเป็นนายกสมาคม ได้มีการหาผู้เล่นจากหลายสโมสรเพื่อจัดตั้งทีมที่จะลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1956 ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นครั้งแรกของทีมชาติไทยที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในกีฬาโอลิมปิก ในการแข่งขันครั้งนั้นเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออก โดยทีมไทยซึ่งมี บุญชู สมุทรโคจร เป็นผู้ฝึกสอนคนแรก จับฉลากพบกับทีมสหราชอาณาจักร ในวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยทีมไทยแพ้ไป 0–9 (นับเป็นความพ่ายแพ้ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์) และตกรอบทันที โดยหนังสือพิมพ์สยามนิกร ฉบับวันที่ 28 พฤศจิกายน ได้พาดหัวข่าวหน้ากีฬาว่า "ทีมชาติอังกฤษเฆี่ยนทีมชาติไทย 9–0" ซึ่งภายหลังจบการแข่งขัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีรับสั่งถึงสมาคมฟุตบอลฯ ให้ส่ง พล.ต.ดร.สำเริง ไชยยงค์ หนึ่งในนักฟุตบอลชุดโอลิมปิกไปศึกษาพื้นฐานการเล่นฟุตบอลจากประเทศเยอรมนี[12] เพื่อให้กลับมาสอนการเล่นฟุตบอลให้แก่ทีมไทย[13]
จนกระทั่งในปี 2508 ทีมชาติไทยก็สามารถคว้าเหรียญทองแรกในกีฬาแหลมทอง (ปัจจุบันคือกีฬาซีเกมส์) ครั้งที่ 3 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้สำเร็จ และหากนับจนถึงปัจจุบันทีมชาติไทยสามารถคว้าแชมป์ซีเกมส์ได้รวม 16 สมัย ถือเป็นสถิติสูงสุด (รวมทั้งทำสถิติคว้าแชมป์ติดต่อกัน 8 สมัย ตั้งแต่ พ.ศ. 2536–2550) ทีมชาติไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนเป็นครั้งที่สองในปี 2511 ภายใต้การคุมทีมของ พลเอก ประเทียบ เทศวิศาล โดยแพ้บัลแกเรีย 0–7, แพ้กัวเตมาลา 1–4 และแพ้เช็กโกสโลวาเกีย 0–8 ตกรอบแรกในการแข่งขัน และนั่นเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันในโอลิมปิกเป็นครั้งล่าสุดของทีมชาติไทยจนถึงปัจจุบัน
การแข่งขันเอเชียนคัพ, คิงส์คัพ, เอเชียนเกมส์ และ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน
แก้ในปี 2515 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนคัพ 1972 ซึ่งเป็นการแข่งขันครั้งที่ 5 โดยทีมชาติไทยได้อันดับที่ 3 โดยยิงลูกโทษตัดสินเอาชนะกัมพูชา 5–3 หลังจากเสมอกัน 2–2
ในปี 2519 ทีมชาติไทยได้แชมป์คิงส์คัพเป็นสมัยแรกโดยเป็นแชมป์ร่วมกับทีมชาติมาเลเซีย ภายหลังจากที่มีการเริ่มมีการจัดคิงส์คัพในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2511 โดยต่อมาทีมชาติไทยได้เป็นแชมป์คิงส์คัพรวมทั้งสิ้น 11 ครั้ง
สำหรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ทีมชาติไทยยังไม่เคยคว้าแชมป์ โดยความสำเร็จสูงสุดคือเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี 2533 เช่นเดียวกับเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 ที่ กรุงเทพมหานคร ในปี 2541 และเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 14 ที่ ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ในปี 2545 และล่าสุดในเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 15 ที่ โดฮา ประเทศกาตาร์ ในปี 2549 ทีมชาติไทยทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยการเป็นทีมเดียวในอาเซียนที่ผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และยังผ่านเข้ารอบโดยเป็นที่ 1 ของกลุ่ม
ในปี 2537 ทีมชาติไทยได้ร่วมก่อตั้งสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (เอเอฟเอฟ) ร่วมกับอีก 9 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการเชิญสโมสรชั้นนำจากทั่วโลกมาแข่งขันในประเทศไทยหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ เอฟซีปอร์โต (2540) อินเตอร์มิลาน (2540) โบคาจูเนียร์ (2540) ลิเวอร์พูล (2544) นิวคาสเซิลยูไนเต็ด (2547) เอฟเวอร์ตัน (2548) โบลตันวันเดอร์เรอร์ (2548) แมนเชสเตอร์ซิตี (2548 ที่ไทย และ 2550 ที่อังกฤษ[14]) รวมถึงเรอัลมาดริด, บาร์เซโลนา, เชลซี และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ถัดมาในปี 2539 ทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของธวัชชัย สัจจกุล ได้มีผู้เล่นชื่อดังหลายคน อาทิ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน, นที ทองสุขแก้ว, และ เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ จนได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น "ทีมชาติไทยชุดดรีมทีม (Dream Team)"[15][16][17] โดยมีผลงานโดดเด่นคือการชนะเลิศรายการ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน (ปัจจุบันคือรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ) ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยชนะมาเลเซียในรอบชิงชนะเลิศ 1–0 คว้าแชมป์สมัยแรก
ทีมอันดับหนึ่งของอาเซียน (2540–2560)
แก้ต่อมา ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2541 ได้มีเหตุการณ์สำคัญในนัดที่ทีมไทยพบกับอินโดนีเซียในรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย โดยทั้งสองทีมต่างก็ไม่ต้องการชนะ เพื่อจะได้เลี่ยงการพบเจ้าภาพเวียดนามในรอบรองชนะเลิศ เนื่องจากผู้ชนะของกลุ่มต้องเดินทางไกลจากโฮจิมินห์ไปแข่งกับเวียดนามที่ฮานอย ซึ่งก่อนเกมทีมไทยต้องการเล่นเอาผลเสมอเพื่อเข้ารอบเป็นอันดับสอง ในขณะที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มต้องการแพ้และให้ทีมไทยเป็นอันดับหนึ่งแทน การแข่งขันจบลงโดยไทยชนะ 3–2[18] โดยผู้เล่นอินโดนีเซียเจตนาทำเข้าประตูตัวเองในช่วงทดเวลา และฟีฟ่าได้ลงโทษทั้งสองทีมโดยปรับเงิน 40,000 ดอลลาร์ และทีมไทยเข้าไปแพ้เวียดนาม 0–3 ก่อนที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันในปี 2543 และชนะอินโดนีเซียในรอบชิงชนะเลิศที่ราชมังคลากีฬาสถาน 4–1[19] และป้องกันแชมป์ได้อีกครั้งในปี 2545 ชนะจุดโทษอินโดนีเซียเจ้าภาพร่วมไปได้อีกครั้ง หลังเสมอกัน 2–2 คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 3[20]
อย่างไรก็ตาม ทีมชาติไทยทำผลงานย่ำแย่ในเอเชียนคัพ ปี 2547 โดยตกรอบแบ่งกลุ่ม และแพ้รวดสามนัดที่พบกับญี่ปุ่น อิหร่าน และโอมาน ถือเป็นผลงานในเอเชียนคัพที่ย่ำแย่ที่สุดของทีม ก่อนจะทำผลงานดีขึ้นในการแข่งขันปี 2550 ในฐานะเจ้าภาพร่วมและมีลุ้นเข้ารอบจนถึงนัดสุดท้าย ด้วยการเสมออิรัก, ชนะโอมาน ก่อนจะแพ้ออสเตรเลีย ซึ่งในรายการนั้นยังเป็นการอำลาทีมชาติของผู้เล่นคนสำคัญ ได้แก่ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ตะวัน ศรีปาน และ พิพัฒน์ ต้นกันยา
ในปี 2551 ไทยตกรอบฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในรอบ 20 ทีมสุดท้าย โดยได้อยู่สายเดียวกับญี่ปุ่น โอมาน บาห์เรน โดยมีผลงานคือเสมอ 1 นัด และแพ้ไปถึง 5 นัด ทำให้ชาญวิทย์ ผลชีวิน ลาออก[21] หลังจากนั้น ปีเตอร์ รีด อดีตนักเตะสโมสรเอฟเวอร์ตันและทีมชาติอังกฤษได้เข้ามารับตำแหน่งผู้ฝึกสอนต่อ แต่ทีมชาติไทยก็พลาดแชมป์สำคัญในรายการอาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ 2007 โดยแพ้เวียดนามรวมผลประตูสองนัด 2–3 และยังพลาดแชมป์คิงส์คัพโดยดวลจุดโทษแพ้ทีมชาติเดนมาร์ก ทำให้ในเดือนกันยายน 2552 ปีเตอร์ รีด ถูกปลด
ในวันที่ 23 กันยายน 2552 ไบรอัน ร็อบสัน ได้เข้ามาทำหน้าที่ผู้ฝึกสอน[22] และในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 ร็อบสันนำทีมชาติไทยคว้าชัยชนะนัดแรกในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2011 รอบคัดเลือกโดยชนะสิงคโปร์ 3–1[23] แต่ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ร็อบสันนำทีมไทยแพ้นัดแรกต่อสิงคโปร์เช่นกันด้วยผลประตู 0–1 โดยเป็นการแพ้ที่ประเทศไทย ต่อมา ทีมชาติไทยสามารถยันเสมอกับจอร์แดนและอิหร่าน 0–0 ทั้งสองนัดในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายได้
ในวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ร็อบสันนำทีมชาติไทยชนะสิงคโปร์ 1–0 ในการแข่งขันกระชับมิตรที่ประเทศไทย ถัดมา ในเดือนกันยายน ร็อบสันก็นำทีมเอาชนะอินเดียได้ 2–1 ในการแข่งขันกระชับมิตรเช่นกัน แต่ในเดือนธันวาคม ทีมไทยทำผลงานน่าผิดหวังในการตกรอบแบ่งกลุ่มเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2010 โดยเสมอ 2 นัดกับลาว และ มาเลเซีย และแพ้อินโดนีเซีย ทำให้ร็อบสันถูกยกเลิกสัญญา[24]
ในเดือนมิถุนายน 2554 วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตผู้จัดการทีมเฟาเอฟเบชตุทท์การ์ทในบุนเดิสลีกา และอดีตผู้ฝึกสอนทีมชาติแคเมอรูน ได้เข้ามาเป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย โดยงานแรกคือการนำทีมไทยไปแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก[25] โดยนัดแรก ไทยบุกไปแพ้ออสเตรเลีย 1–2[26] และในนัดต่อมาเอาชนะโอมานได้ 3–0 โดยเป็นชัยชนะนัดที่สองของทีมในการแข่งขันรอบคัดเลือกครั้งนี้ ซึ่งนัดแรกคือการชนะปาเสลสไตน์ 3–2 ในรอบคัดเลือกรอบที่ 2[27] และยังสามารถยันเสมอกับซาอุดีอาระเบียได้ 0–0 ในนัดถัดมา ก่อนจะแพ้ 3 นัดรวด ยุติเส้นทางการแข่งขันไว้ที่รอบคัดเลือกรอบที่ 3 ถัดมา ในการแข่งขัน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 ทีมไทยเข้าชิงชนะเลิศกับสิงคโปร์ โดยในนัดแรก ไทยบุกไปแพ้ 1–3 และในนัดที่สองที่กรีฑาสถานแห่งชาติ ไทยชนะ 1–0 แต่รวมผลประตูสองนัดแพ้ 2–3 ได้แค่รองแชมป์[28] ต่อมา เชเฟอร์นำทีมไปแข่งเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก ก่อนจะแพ้ทั้ง 2 นัด ทำให้เชเฟอร์ยกเลิกสัญญาในเดือนมิถุนายน 2556
ต่อมาทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แต่งตั้งร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตนักฟุตบอลชื่อดังเป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ โดยให้คุมทีมชุดรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีก่อน ซึ่งนัดแรกของเกียรติศักดิ์ในการคุมทีมชาติไทยคือการแข่งขันกระชับมิตรพบกับทีมชาติจีน โดยทีมชาติไทยบุกไปชนะจีนได้ถึง 5–1[29]
ในเดือนสิงหาคม 2556 ทางสมาคมได้แต่งตั้งให้ สุรชัย จตุรภัทรพงษ์ อดีตนักฟุตบอลชื่อดังเป็นผู้ฝึกสอนและเตรียมทีมชาติไทยชุดใหญ่ไปแข่งกับทีมชาติอิหร่านในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2015 รอบแบ่งกลุ่ม[30] ก่อนที่เกียรติศักดิ์จะมาคุมทีมชุดใหญ่ต่อ และสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยเอาชนะมาเลเซียในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–3 ตามด้วยการคว้ารองแชมป์คิงส์คัพในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ถัดมา ในปี 2559 ทีมชาติไทยเป็นแชมป์กลุ่มเอฟในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก รอบที่ 2 ผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี และผ่านเข้าไปเล่นเอเชียนคัพ 2019 ได้สำเร็จ ซึ่งยังเป็นการผ่านเข้าไปเล่นเอเชียนคัพได้เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี และยังคว้าแชมป์ได้อีก 2 รายการ คือ คิงส์คัพ ครั้งที่ 44 และเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016 เอาชนะจอร์แดนและอินโดนีเซียตามลำดับ แต่ในรอบที่ 3 ของฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ทีมไทยทำผลงานย่ำแย่โดยนับจนถึงเดือนมีนาคม 2560 ทำได้เพียงเสมอ 1 นัด และแพ้รวดในนัดที่เหลือ ทำให้เกียรติศักดิ์ลาออก[31][32]
ในเดือนพฤษภาคม 2560 มิลอวัน ราเยวัตส์ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติกานาซึ่งพาทีมผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน และพาทีมไทยคว้าแชมป์คิงส์คัพ ครั้งที่ 45 โดยชนะจุดโทษเบลารุส แต่ผลงานโดยรวมยังไม่ดีขึ้น โดยแพ้ 8 นัด และเสมออีก 2 นัดรวมทุกรายการ ต่อมา ในปี 2561 ไทยลงแข่งขันคิงส์คัพ ครั้งที่ 46 โดยในนัดแรกเสมอกาบอง 0–0 ก่อนจะชนะจุดโทษ แต่ไปแพ้สโลวาเกีย 2–3 ในรอบชิงชนะเลิศ ตามด้วยการตกรอบรองชนะเลิศเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 โดยแพ้มาเลเซียด้วยกฎประตูทีมเยือน และในนัดแรกของเอเชียนคัพ 2019 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไทยถูกอินเดียถล่ม 1–4 ทำให้ราเยวัตส์ถูกปลด[33]
สมาคมแต่งตั้ง ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ขึ้นรักษาการเป็นผู้ฝึกสอนชั่วคราว[34] และทีมไทยทำผลงานดีขึ้นกว่าเดิม โดยเอาชนะบาห์เรน 1–0 และเสมอยูเออีเจ้าภาพ 1–1 ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จซึ่งนี่ถือเป็นการผ่านเข้ารอบแพ้คัดออก (Knockout) ในรายการนี้ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2515 ก่อนจะแพ้จีน 1–2 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ต่อมา ในการแข่งขันคิงส์คัพ ครั้งที่ 47 ทีมไทยแพ้เวียดนามและอินเดีย 0–1 ทั้งสองนัด จบเพียงอันดับ 4
สร้างทีมใหม่ (2562–ปัจจุบัน)
แก้อากิระ นิชิโนะ และ อาเลชังดรี ปอลกิง
แก้ทีมชาติไทยแต่งตั้ง อากิระ นิชิโนะ อดีตนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนทีมชาติญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทั้งทีมชาติชุดใหญ่และทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี โดยเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเขาถือเป็นผู้ฝึกสอนชาวเอเชียคนแรก (ที่ไม่ใช่ชาวไทย) ที่ได้เป็นผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย[35] ในวันที่ 24 มกราคม 2563 นิชิโนะได้รับการขยายสัญญาไปถึงปี 2565[36] แต่ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ทีมชาติไทยได้ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับนิชิโนะ เนื่องจากผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก[37]
ในวันที่ 29 กันยายน 2564 ทีมชาติไทยแต่งตั้ง อาเลชังดรี ปอลกิง อดีตผู้ฝึกสอนในไทยลีกเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่[38] โดยงานแรกของปอลกิงคือการพาทีมลงแข่งขัน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ในเดือนธันวาคม โดยทีมชาติไทยผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยการชนะ 4 นัดรวด และเอาชนะเวียดนามในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 2–0 ผ่านเข้าไปพบกับอินโดนีเซียในรอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 4 ในรายการนี้[39] และชนะไปด้วยผลประตูรวมสองนัด 6–2 คว้าแชมป์สมัยที่ 6[40] ต่อมา ในเดือนมิถุนายน 2565 ทีมชาติไทยลงแข่งขันเอเชียนคัพ 2023 รอบคัดเลือก – รอบที่ 3 และผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งที่แปดจากผลงานชนะสองนัด (พบมัลดีฟส์ และ ศรีลังกา) และแพ้หนึ่งนัด (พบอุซเบกิสถาน) ตามด้วยการแข่งขันคิงส์คัพ ครั้งที่ 48 ระหว่างวันที่ 22–25 กันยายน 2565 มีผลงานคือการคว้าอันดับสามโดยแพ้มาเลเซียในนัดแรกจากการดวลจุดโทษ หลังจากเสมอกัน 1–1 และเอาชนะตรินิแดดและโตเบโกในนัดชิงอันดับสามด้วยผลประตู 2–1
ทีมชาติไทยประสบความสำเร็จในการป้องกันแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2022 ในเดือนมกราคม 2566 โดยเข้ารอบเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มจากการชนะ 3 นัด และเสมอ 1 นัด ตามด้วยการชนะมาเลเซียในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวมสองนัด 3–1 และเอาชนะเวียดนามในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลรวมสองนัด 3–2 คว้าแชมป์สมัยที่ 7 ต่อมา ไทยลงแข่งฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 49 แต่ทำได้เพียงรองแชมป์โดยแพ้การดวลจุดโทษอิรักหลังเสมอกันในเวลาปกติด้วยผลประตู 2–2 ถัดมาในเดือนตุลาคม 2566 ทีมไทยลงแข่งกระชับมิตรที่ทวีปยุโรปสองนัดโดยพบจอร์เจียและเอสโตเนีย โดยปราศจากผู้เล่นตัวหลักหลายราย เช่น ชนาธิป สรงกระสินธ์, นิโคลัส มิคเกลสัน และ เอกนิษฐ์ ปัญญา จากการบาดเจ็บ นอกจากนี้ สโมสรต้นสังกัดยังปฏิเสธการส่งตัวผู้เล่นหลายรายร่วมแข่งขันรวมถึง ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน, สุภโชค สารชาติ, สารัช อยู่เย็น และพรรษา เหมวิบูลย์ ส่งผลให้ต้องใช้ผู้เล่นดาวรุ่ง ในวันที่ 12 ตุลาคม 2566 ทีมชาติไทยต้องพบความพ่ายแพ้ที่มากที่สุดในศตวรรษที่ 21 โดยแพ้จอร์เจียด้วยผลประตู 0–8 ณ เมืองทบิลีซี[41][42] ตามด้วยการเสมอเอสโตเนีย 1–1 จากประตูของจักพัน ไพรสุวรรณ ต่อมา ทีมชาติไทยลงแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 โดยมีทีมร่วมกลุ่มได้แก่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และจีน ทีมไทยมีเป้าหมายในการเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 2 แต่พวกเขาประเดิมสนามนัดแรกด้วยการเปิดบ้านแพ้จีนด้วยผลประตู 1–2 แม้จะแก้ตัวได้ในนัดต่อมาจากการบุกไปชนะสิงคโปร์ 3–1 และขึ้นไปอยู่อันดับสองของกลุ่มแต่ปอลกิงก็ถูกปลด
มาซาตาดะ อิชิอิ
แก้สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยแต่งตั้งมาซาตาดะ อิชิอิ เป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ โดยอิชิอิถือเป็นผู้ฝึกสอนชาวญี่ปุ่นคนที่สองต่อจากนิชิโนะที่ได้คุมทีมชาติไทย เขาพาทีมลงแข่งขันนัดแรกในเกมกระชับมิตรพบญี่ปุ่น และแพ้ด้วยผลประตู 0–5 ตามด้วยเอเชียนคัพ 2023 ที่ประเทศกาตาร์ โดยทีมไทยอยู่ร่วมกลุ่มกับคีร์กีซสถาน, โอมาน และซาอุดีอาระเบีย ทีมชาติไทยลงประเดิมสนามนัดแรกด้วยการเอาชนะคีร์กีซสถาน 2–0 ซึ่งถือเป็นชัยชนะในนัดเปิดสนามเป็นครั้งแรกในรายการนี้ ต่อมา ทีมไทยพบกับทีมที่แข็งแกร่งกว่าอย่างโอมานซึ่งคุมทีมโดยบรันกอ อิวานกอวิช ผู้ฝึกสอนชาวโครเอเชีย ผู้มีประสบการณ์ในด้านการคุมทีมในทวีปเอเชีย และไม่เคยแพ้ทีมไทยตลอดอาชีพการคุมทีม และการแข่งขันจบลงด้วยผลเสมอ 0–0 และในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ทีมไทยทำผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งในการแข่งขันเอเชียนคัพสมัยใหม่ โดยเสมอทีมใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบีย 0–0 รวมทั้งรอดพ้นการเสียประตูจากการป้องกันลูกโทษโดยสรานนท์ อนุอินทร์ ยุติการแพ้ซาอุดีอาระเบียอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 อย่างไรก็ตาม ทีมไทยต้องยุติเส้นทางด้วยการแพ้อุซเบกิสถานในรอบ 16 ทีมด้วยผลประตู 1–2[43] แม้จะตกรอบแต่ทีมชุดนี้ก็ได้รับเสียงชื่นชมในด้านวิธีการเล่น และผู้ฝึกสอนอย่างอิชิอิได้รับการยกย่องในด้านการวางรูปแบบการเล่น อิชิอิได้รับสัญญาระยะยาวเพื่อช่วยทีมผ่านเข้ารอบสองรายการสำคัญ ได้แก่ ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และ เอเชียน คัพ 2027 ก่อนที่ทีมไทยจะตกรอบการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 จากการมี 8 คะแนนเท่ากับจีนแต่ไทยมีผลงานการพบกันที่เป็นรอง (เสมอ 1 และ แพ้ 1) แม้ทีมไทยจะเอาชนะสิงคโปร์ในนัดสุดท้ายด้วยผลประตู 3–1
ในเดือนกันยายน 2567 ทีมชาติไทยได้ประกาศรายชื่อผู้เล่นชุดที่จะลงแข่งขันกระชับมิตรในรายการแอลพีแบงก์ คัพ 2024 พบรัสเซียและเวียดนาม โดยเรียกผู้เล่นหน้าใหม่หลายคน เช่น โจนาธาร เข็มดี, วาริส ชูทอง, ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ, วิลเลียม ไวเดอร์เฌอ, พาตริก กุสตาฟส์สัน, คคนะ คำยก รวมถึงเอกนิษฐ์ ปัญญา ที่เคยถอนตัวไปช่วงเอเชียนคัพ โดยรายการนี้ทีมไทยมีโปรแกรม 2 นัด แต่ในนัดแรกที่ต้องเจอกับรัสเซียนั้น ไม่สามารถลงแข่งได้เนื่องจากมีพายุยางิ จึงต้องแข่งขันในนัดที่สองพบกับเวียดนาม โดยทีมไทยบุกไปชนะด้วยผลประตู 2–1 โดยเวียดนามออกนำไปก่อนจาก เหงียน เตี๊ยน ลิญ ส่วนทีมไทยได้สองประตูจากศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และพาตริก กุสตาฟส์สัน หลังจบเกมทีมชาติไทยได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ฝึกสอนอย่างอิชิอิที่กล้าเปลี่ยนแปลงผู้เล่นหลายราย และทำให้อันดับโลกของไทยขึ้นไปอยู่ใน Top 100 เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ต่อมา ทีมไทยลงแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ในเดือนตุลาคม 2567 และคว้าแชมป์สมัยที่ 16 โดยเอาชนะฟิลิปปินส์ในรอบรองชนะเลิศ 3–1 และชนะซีเรียในรอบชิงชนะเลิศ 2–1
ทีมชาติไทยมีกำหนดลงแข่งขันกระชับมิตรสองนัดในเดือนพฤศจิกายน 2567 กับทีมชาติเลบานอน และลาว เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2024
ภาพลักษณ์ทีม
แก้ชุดแข่งขัน
แก้แต่เดิมชุดแข่งขันของฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดที่หนึ่งประกอบด้วย เสื้อสีแดง กางเกงสีแดง และถุงเท้าสีแดง ส่วนชุดที่สองประกอบด้วย เสื้อสีน้ำเงิน กางเกงสีน้ำเงิน และ ถุงเท้าสีน้ำเงิน เอฟบีทีเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันตั้งแต่ปี 2545–2550 ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ไนกี้ เข้ามาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันของทีมชาติไทย และในเดือนตุลาคม สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ทำเรื่องขอเปลี่ยนชุดที่หนึ่งไปยัง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เป็นเสื้อสีเหลือง กางเกงสีเหลือง และถุงเท้าสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) เพื่อเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่ประชุมกรรมการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ มีมติให้ทำเรื่องขอเปลี่ยนชุดที่หนึ่งไปยังฟีฟ่า กลับมาเป็นเสื้อสีแดง กางเกงสีแดงและถุงเท้าสีแดงอีกครั้ง
ทีมชาติไทยเซ็นสัญญากับแกรนด์สปอร์ตด้วยสัญญามูลค่า 96 ล้านบาทในการเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันตั้งแต่ปี 2555–2559[44] และในปี 2560 วอริกซ์ สปอร์ตเข้ามาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งขันรายล่าสุดจนถึงปัจจุบัน โดยในปีนั้น สมาคมฯ ได้ขอทางฟีฟ่าเปลี่ยนสีเสื้อทั้งเหย้าและเยือนเป็นสีดำและขาว เพื่อเป็นการถวายความอาลัยต่อการสวรรคตของรัชกาลที่ 9 เป็นเวลา 1 ปี[45][46]
ถัดมาในปี 2561 ทีมชาติไทยทำการเปิดตัวชุดแข่งขันทีมเหย้าสีน้ำเงิน, ชุดทีมเยือนสีแดง รวมถึงชุดแข่งขันที่สามซึ่งเป็นสีขาว/ดำ เพื่อใช้ในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2019 รวมถึงฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47[47] และในปีเดียวกันนั้น วอริกซ์ได้เปิดตัวชุดแข่งขันใหม่อีกครั้งเป็นเสื้อสีเหลืองและกางเกงสีขาว เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562.
สัญลักษณ์บนอกเสื้อของนักฟุตบอลทีมชาติอย่าง “โลโก้ช้างศึก” เป็นภาพลักษณ์สำคัญอีกประการหนึ่ง โดยสัญลักษณ์นี้ออกแบบมาด้วยความเรียบง่ายแต่ทันสมัย ตัวช้างศึกมีสัณฐานที่สง่างาม แข็งแรง และน่าเกรงขาม แต่ก่อนที่จะมีโลโก้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ทีมชาติไทยเคยใช้ตราสัญลักษณ์แบบอื่นมาก่อน โลโก้แรกสุดคือ “ตราพระมหามงกุฎ” ที่ได้รับพระราชทานเมื่อปี พ.ศ. 2458 ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “ธงไตรรงค์” ในปี พ.ศ. 2475 และก็ได้เปลี่ยนมาใช้สัญลักษณ์ “ช้างศึก (ช้างน้อย)” ในปี พ.ศ. 2545 เพื่อให้มีความเป็นสากลมากขึ้นผนวกกับความต้องการให้สื่อถึงประเทศไทยและมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ จากนั้นก็มีการปรับปรุงโลโก้อยู่หลายครั้ง เช่น การเพิ่มงา การปรับแถบสีธงชาติ การปรับตัวอักษร จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2560 ก็มีการออกแบบตราสัญลักษณ์ช้างศึกอันโดดเด่นขึ้นมาใหม่ และด้วยเหตุนี้เองที่นักเตะทุกคนได้รับฉายานามว่าเป็นช้างศึกหรือขุนพลของไทย
นอกจากนี้ทีมชาติไทยยังมีภาพลักษณ์ที่เป็นสีสีนท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดอย่าง “มาสคอตไทยลีก” ซึ่งล่าสุดในปี พ.ศ.[48] 2565 ได้ออกแบบให้มีรูปร่างเป็นช้างน้อยสุดน่ารักสอดคล้องกับฉายาขุนพลช้างศึกที่มีชื่อเล่นว่า “น้องจอมทัพ” โดยจะปรากฏตัวด้วยรอยยิ้มทุกครั้งก่อนนักกีฬาลงสนามเพื่อมอบความสุขให้กับบรรดาแฟน ๆ กีฬาทุกคน มาสคอตตัวนี้กลายเป็นลายเซ็นอันโดดเด่นของฟุตบอลทีมชาติไทยที่คอยมอบบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและสร้างเสียงเชียร์อยู่เบื้องหลัง และจะกลายเป็นตัวแทนจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งและความสำเร็จของทีมไทยไม่ต่างจากมาสคอตฟุตบอลโลกที่เป็นตำนานมาแล้ว[49]
ผู้ผลิตชุดแข่งทีมชาติไทย | |||
---|---|---|---|
ปี | ผู้ผลิต | ชุดแข่ง | |
2545–2550 | เอฟบีที |
| |
2550–2554 | ไนกี |
| |
2555–2559 | แกรนด์สปอร์ต |
| |
2560–2571 | วอริกซ์ |
|
สนามเหย้า
แก้ปัจจุบันทีมชาติไทยใช้ราชมังคลากีฬาสถานเป็นสนามเหย้า ความจุ 49,722 ที่นั่ง เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2541 เพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 1998 โดยทีมชาติไทยลงแข่งขัน ณ สนามแห่งนี้เป็นครั้งแรกในนัดที่เสมอกับทีมชาติคาซัคสถาน 1–1 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ซึ่งในยุคนั้นยังมีการใช้สนามเหย้าทั้งกรีฑาสถานแห่งชาติ และราชมังคลากีฬาสถานสำหรับเกมนานาชาติสลับหมุนเวียนไป ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ราชมังคลากีฬาสถานเป็นสนามเหย้าของทีมชาติไทยในเกมระดับนานาชาติอย่างเป็นทางการเพียงแห่งเดียว (อาจใช้สนามแห่งอื่นในบางโอกาส)
ศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ
แก้ในปี 2565 สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เตรียมการสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ[50]แบบครบวงจรแห่งใหม่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 300 ไร่ ในโครงการ FIFA Forward 3.0 ต่อ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ภายในจะพื้นที่ศูนย์ฝึกจะประกอบไปด้วยสนามฟุตบอลมาตรฐานระดับฟีฟ่าตั้งแต่ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ อาคารที่พัก อาคารสำนักงาน อาคารสำหรับวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬา และพื้นที่สาธารณะให้กับชุมชน เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมความสามารถ สนับสนุนกิจกรรมทุกด้าน และเตรียมความพร้อมให้นักฟุตบอลทีมชาติไทยทั้งชายและหญิง นักกีฬาเยาวชน ผู้ฝึกสอน กรรมการผู้ตัดสิน นักกายภาพบำบัด และการฝึกอบรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนากีฬาฟุตบอลในระดับภูมิภาค
คู่แข่งสำคัญ
แก้ทีม | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ได้ | เสีย | ผลต่าง | เปอร์เซ็นต์ชนะ |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
กัมพูชา | 9 | 7 | 2 | 0 | 38 | 1 | +37 | 70.25 |
จีน | 29 | 5 | 5 | 19 | 25 | 63 | −38 | 17.24 |
มาเลเซีย | 97 | 29 | 31 | 37 | 136 | 140 | −4 | 29.90 |
อินโดนีเซีย | 71 | 34 | 19 | 18 | 127 | 84 | +43 | 47.89 |
สิงคโปร์ | 63 | 34 | 17 | 12 | 109 | 62 | +47 | 53.97 |
พม่า | 50 | 22 | 14 | 14 | 99 | 62 | +37 | 44.00 |
เวียดนามใต้ | 27 | 4 | 3 | 20 | 27 | 58 | −31 | 14.81 |
อุซเบกิสถาน | 11 | 6 | 0 | 5 | 23 | 20 | +3 | 54.55 |
เวียดนาม | 26 | 15 | 8 | 3 | 45 | 19 | +26 | 57.69 |
ทีมชาติไทยมีคู่ปรับสำคัญในสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และพม่า
มาเลเซียเป็นชาติที่มีสถิติการพบกับทีมชาติไทยมากที่สุดจำนวน 97 ครั้ง โดยก่อนที่มาเลเซียจะประสบเหตุการณ์อื้อฉาวจากการติดสินบนการแข่งขันภายในประเทศในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งทำให้วงการฟุตบอลมาเลเซียตกต่ำลงนั้น พวกเขาถือเป็นคู่แข่งสำคัญที่ทีมไทยเอาชนะได้ยากที่สุด และไทยไม่สามารถบุกไปชนะที่ประเทศมาเลเซียได้เลยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา และมาเลเซียยังมีสถิติการพบกันในทุกรายการที่เหนือกว่าทีมชาติไทย โดยเอาชนะไปได้ 37 ครั้ง, เสมอ 31 ครั้ง และแพ้ 29 ครั้ง
สิงคโปร์ถือเป็นชาติคู่แข่งของทีมชาติไทยมาหลายทศวรรษเช่นกัน โดยสิงคโปร์เป็นชาติที่ชนะเลิศรายการฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนมากที่สุดเป็นอันดับสอง (4 สมัย) รองจากไทย (7 สมัย) และทั้งคู่ต่างก็เป็นหนึ่งในมหาอำนาจในภูมิภาคตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1990 ทีมไทยมีสถิติการพบกันที่เหนือกว่า โดยชนะ 39 ครั้ง, เสมอ 18 ครั้ง และแพ้ 11 ครั้ง[51] นโยบายการพัฒนาทีมฟุตบอลของทั้งสองชาตินั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง โดยทีมไทยอาศัยการพัฒนาผู้เล่นในประเทศเป็นหลัก ในขณะที่สิงคโปร์เน้นนโยบายการพึ่งพานักเตะต่างชาติซึ่งโอนสัญชาติ
การแข่งขันฟุตบอลระหว่างไทยกับเวียดนาม ได้ยกระดับความเข้มข้นขึ้นตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ในอดีตตั้งแต่ช่วงที่เวียดนามแยกประเทศ และมีทีมฟุตบอลสองทีมคือเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ ไทยมีสถิติการพบกันที่เป็นรองเวียดนามใต้อย่างมาก โดยเอาชนะได้เพียง 4 ครั้งเท่านั้นจาก 27 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ทีมไทยมีสถิติที่เหนือกว่าเวียดนามมากนับตั้งแต่มีการรวมประเทศเวียดนาม โดยเอาชนะได้ 15 ครั้ง แพ้เพียง 3 ครั้ง แต่เวียดนามก็ถือเป็นชาติที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อแย่งความสำเร็จจากทีมชาติไทยในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนได้ รวมทั้งแย่งการเป็นทีมอันดับหนึ่งในภูมิภาคในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชัยชนะที่สำคัญที่เวียดนามมีต่อทีมชาติไทยคือรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2008
สงครามพม่า–สยาม ส่งผลให้การแข่งขันระหว่างทีมชาติไทยและพม่ามีความเข้มข้นมาถึงปัจจุบัน[52] พม่าเคยเป็นทีมมหาอำนาจในภูมิภาคในช่วงทศวรรษ 1960–70 ก่อนจะตกต่ำลงจากสถานการณ์ในประเทศในยุคของเนวี่น การพัฒนากีฬาฟุตบอลของพม่าก็ชะงักลง ทำให้ทีมไทยมีผลงานที่เหนือกว่ามากในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของความสำเร็จและผลการแข่งขันระหว่างสองทีม[53]
อินโดนีเซียพบกับทีมชาติไทยในรายการสำคัญหลายครั้ง โดยเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2000, 2002, 2016 และ 2020 ซึ่งทีมชาติไทยสามารถเอาชนะและคว้าแชมป์ไปได้ทั้ง 4 ครั้ง และไทยมีสถิติที่เหนือกว่าในการพบกันทุกรายการ โดยชนะ 34 ครั้ง, เสมอ 19 ครั้ง และแพ้ 18 ครั้ง
จีนกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของทีมชาติไทยหลังหมดยุคทองของทีมชาติจีนในทศวรรษที่ 2000 และหลังจากที่ไทยลีกได้โควตาสัมประสิทธิ์อัตโนมัติในศึกเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีกในระดับสโมสร จีนกลายเป็นคู่ปรับสำคัญในการแย่งชิงโควตาระดับสโมสรเอเชีย ประกอบกับปัญหาการจัดการภายในของสมาคมฟุตบอลจีน ทำให้ทั้งสองชาติร่นระดับกลายเป็นคู่แข่งที่สูสีกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จีนยังคงมีผลงานที่ดีกว่าในการแข่งขันระดับทางการ แต่ไทยก็สามารถเอาชนะจีนในการแข่งขันฟุตบอลอุ่นเครื่องระดับทางการในวันฟีฟ่าเดย์ได้หลายครั้งเช่นกัน
หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต อุซเบกิสถานกลายเป็นประเทศที่พัฒนาในด้านฟุตบอลก้าวหน้าได้ไวที่สุดเมื่อเทียบกับทีมฟุตบอลในภูมิภาคเอเชียกลางทั้งหมด พวกเขาได้เหรียญทองในเอเชียนเกมส์ 1994 ที่ฮิโรชิมา[54] ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ทีมชาติไทยก้าวกระโดดขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1990 จึงทำให้อุซเบกิสถานกลายเป็นคู่ปรับกลาย ๆ ต่อกันกับทีมชาติไทย แม้จะไม่มีความขัดแย้งกันทางประวัติศาสตร์ก็ตาม โดยไทยมีสถิติชนะมากกว่าหนึ่งนัด คือชนะ 6 แพ้ 5 เมื่อพบกับอุซเบกิสถาน
บุคลากร
แก้ทีมงานผู้ฝึกสอน
แก้- ณ วันที่ 5 กันยายน 2567
ตำแหน่ง | ชื่อ |
---|---|
นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย | นวลพรรณ ล่ำซำ |
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | มาซาตาดะ อิชิอิ |
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน | ทาคายูกิ นิชิกายะ (U-23) มิซูโอะ คาโตะ |
ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู | เซาโล เอเดรียน |
ผู้ฝึกสอนด้านฟิตเนส | มาซายะ ซากิฮาระ กฤตพจน์ แดงกุลา |
นักวิเคราะห์เกม | นฤเบศ แสงสว่าง |
แพทย์ประจำทีม | นพ. ภคภณ อิสรไกรศีล นพ. กีรติ สุรการ |
นักกายภาพ | โยเฮ ชิรากิ สุวิชชา นอรดี ภาณุวัฒน์ ชุติโชติลิ่มสกุล |
หมอนวด | อำนวย สักเล็บประดู่ ทรงวุฒิ ขำฟุ้ง |
ล่ามแปลภาษา | เฉลิมชัย ชินเชิดพงษ์ |
เจ้าหน้าที่ทีม | สิริชัย กิโมโต สุพัฒน์ พลยุทธภูมิ ศุภกิตติ์ วิเศษอนุพงษ์ ศรายุทธ กล่ำถาวร |
ผู้เล่น
แก้ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
แก้รายชื่อผู้เล่น 23 คน สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 ระหว่างวันที่ 11 และ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567
จำนวนนัดที่ลงเล่นให้ทีมชาติและจำนวนประตูที่ยิงได้นับถึงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567 หลังแข่งขันกับ ซีเรีย
# | ตำแหน่ง | ผู้เล่น | วันเกิด (อายุ) | ลงเล่น | ประตู | สโมสร |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | GK | ปฏิวัติ คำไหม | 24 ธันวาคม ค.ศ. 1994 | 16 | 0 | ทรู แบงค็อก |
20 | GK | สรานนท์ อนุอินทร์ | 24 มีนาคม ค.ศ. 1994 | 2 | 0 | บีจี ปทุม ยูไนเต็ด |
23 | GK | กรกฏ พิพัฒน์นัดดา | 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 | 0 | 0 | ระยอง เอฟซี |
2 | DF | ศศลักษณ์ ไหประโคน | 8 มกราคม ค.ศ. 1996 | 26 | 0 | บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด |
21 | DF | ศุภนันท์ บุรีรัตน์ | 10 ตุลาคม ค.ศ. 1993 | 22 | 1 | การท่าเรือ |
4 | DF | เอเลียส ดอเลาะ | 24 เมษายน ค.ศ. 1993 | 20 | 1 | บาหลี ยูไนเต็ด |
12 | DF | นิโคลัส มิคเกลสัน | 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 | 15 | 1 | โอบี โอเดนเซ่ |
5 | DF | เฉลิมศักดิ์ อักขี | 25 สิงหาคม ค.ศ. 1994 | 9 | 0 | การท่าเรือ |
6 | DF | โจนาธาน เข็มดี | 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2002 | 3 | 0 | ราชบุรี เอฟซี |
15 | DF | ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ | 11 มิถุนายน ค.ศ. 2001 | 0 | 0 | เมืองทอง ยูไนเต็ด |
3 | DF | อภิสิทธิ์ โสรฎา | 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 | 1 | 0 | ราชบุรี เอฟซี |
18 | MF | ชนาธิป สรงกระสินธ์ (กัปตันทีม) | 5 ตุลาคม ค.ศ. 1993 | 68 | 13 | บีจี ปทุม ยูไนเต็ด |
8 | MF | วีระเทพ ป้อมพันธุ์ | 19 กันยายน ค.ศ. 1996 | 36 | 0 | ทรู แบงค็อก |
7 | MF | เอกนิษฐ์ ปัญญา | 21 ตุลาคม ค.ศ. 1999 | 23 | 1 | อูราวะ เรด ไดมอนส์ |
22 | MF | วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ | 24 สิงหาคม ค.ศ. 1997 | 19 | 2 | การท่าเรือ |
13 | MF | เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ | 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1997 | 16 | 1 | บีจี ปทุม ยูไนเต็ด |
17 | MF | ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว | 17 เมษายน ค.ศ. 2001 | 15 | 1 | ชลบุรี เอฟซี |
19 | MF | วิลเลียม ไวเดอร์เฌอ | 10 มิถุนายน ค.ศ. 2001 | 2 | 0 | อุทัยธานี เอฟซี |
14 | MF | อนันต์ ยอดสังวาลย์ | 9 กรกฎาคม ค.ศ. 2001 | 2 | 0 | ลำพูน วอร์ริเออร์ |
16 | MF | คคนะ คำยก | 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 | 1 | 0 | เมืองทอง ยูไนเต็ด |
9 | FW | ศุภชัย ใจเด็ด | 1 ธันวาคม ค.ศ. 1998 | 41 | 7 | บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด |
10 | FW | ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา | 2 สิงหาคม ค.ศ. 2002 | 24 | 11 | โอเอช ลูเวิน |
11 | FW | ปรเมศย์ อาจวิไล | 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1998 | 13 | 2 | เมืองทอง ยูไนเต็ด |
ที่เคยถูกเรียกตัว
แก้รายชื่อผู้เล่นที่เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติไทยในรอบ 12 เดือนล่าสุด:
ตำแหน่ง | ผู้เล่น | วันเกิด (อายุ) | ลงเล่น | ประตู | สโมสร | ถูกเรียกครั้งล่าสุด |
---|---|---|---|---|---|---|
GK | บุญเกียรติ วงค์ษาแจ่ม | 29 มิถุนายน ค.ศ. 1994 | 0 | 0 | อุทัยธานี | v. เกาหลีใต้, 26 มีนาคม 2567 |
GK | ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน | 20 เมษายน ค.ศ. 1984 | 33 | 0 | บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด | เอเชียนคัพ 2023 |
GK | กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล | 29 กรกฎาคม ค.ศ. 1992 | 10 | 0 | ราชบุรี | v. สิงคโปร์, 21 พฤศจิกายน 2566 |
GK | จิรวัฒน์ วังทะพันธ์ | 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1998 | 0 | 0 | ขอนแก่น ยูไนเต็ด | v. เอสโตเนีย, 17 ตุลาคม 2566 |
GK | สุเมธี โคกโพธิ์ | 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1998 | 0 | 0 | การท่าเรือ | v. เอสโตเนีย, 17 ตุลาคม 2566 |
GK | ฉัตรชัย บุตรพรม | 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1987 | 19 | 0 | บีจี ปทุม ยูไนเต็ด | ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 49 |
DF | พรรษา เหมวิบูลย์ | 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1990 | 46 | 6 | บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด | v. เกาหลีใต้, 26 มีนาคม 2567 |
DF | นิโคลัส มิคเกลสัน | 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 | 12 | 1 | โอเดนเซ | v. เกาหลีใต้, 26 มีนาคม 2567 |
DF | จักพัน ไพรสุวรรณ | 16 สิงหาคม ค.ศ. 1994 | 12 | 1 | บีจี ปทุม ยูไนเต็ด | เอเชียนคัพ 2023 |
DF | ทริสตอง โด | 31 มกราคม ค.ศ. 1993 | 51 | 0 | เมืองทอง ยูไนเต็ด | v. สิงคโปร์, 21 พฤศจิกายน 2566 |
DF | นิติพงษ์ เสลานนท์ | 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1993 | 6 | 0 | ทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด | v. สิงคโปร์, 21 พฤศจิกายน 2566 |
DF | เควิน ดีรมรัมย์ | 11 กันยายน ค.ศ. 1997 | 4 | 0 | การท่าเรือ | v. สิงคโปร์, 21 พฤศจิกายน 2566 |
DF | มานูเอล บีร์ | 17 กันยายน ค.ศ. 1993 | 20 | 0 | ทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด | v. จีน, 16 พฤศจิกายน 2566 |
DF | เจมส์ เบอร์เรสฟอร์ด | 17 เมษายน ค.ศ. 2002 | 1 | 0 | อุทัยธานี | v. เอสโตเนีย, 17 ตุลาคม 2566 |
DF | ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ | 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2002 | 4 | 0 | ชลบุรี | v. เอสโตเนีย, 17 ตุลาคม 2566 |
DF | อดิศร พรหมรักษ์ | 21 ตุลาคม ค.ศ. 1993 | 32 | 0 | ราชบุรี | v. เอสโตเนีย, 17 ตุลาคม 2566 |
DF | พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา | 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 | 36 | 1 | ทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด | ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 49 |
MF | ปกเกล้า อนันต์ | 4 มีนาคม ค.ศ. 1991 | 47 | 6 | ทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด | v. เกาหลีใต้, 26 มีนาคม 2567 |
MF | รุ่งรัฐ ภูมิจันทึก | 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 | 7 | 0 | ทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด | v. เกาหลีใต้, 26 มีนาคม 2567 |
MF | ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ | 21 เมษายน ค.ศ. 1994 | 24 | 1 | การท่าเรือ | เอเชียนคัพ 2023 |
MF | วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ | 24 สิงหาคม ค.ศ. 1997 | 17 | 2 | การท่าเรือ | เอเชียนคัพ 2023 |
MF | บดินทร์ ผาลา | 20 ธันวาคม ค.ศ. 1994 | 41 | 6 | การท่าเรือ | v. เกาหลีใต้, 26 มีนาคม 2567 |
MF | พิชา อุทรา | 7 มกราคม ค.ศ. 1996 | 9 | 0 | เมืองทอง ยูไนเต็ด | เอเชียนคัพ 2023 |
MF | เอกนิษฐ์ ปัญญา | 21 ตุลาคม ค.ศ. 1999 | 20 | 1 | อูราวะ เรดไดมอนส์ | เอเชียนคัพ 2023WD |
MF | พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล | 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1995 | 26 | 0 | บีจี ปทุม ยูไนเต็ด | v. ญี่ปุ่น, 1 มกราคม 2567 |
MF | เบน เดวิส | 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 | 1 | 0 | ชลบุรี | v. เอสโตเนีย, 17 ตุลาคม 2566 |
MF | ชานุกูล ก๋ารินทร์ | 24 เมษายน ค.ศ. 1997 | 3 | 0 | การท่าเรือ | v. เอสโตเนีย, 17 ตุลาคม 2566 |
MF | จักรกฤษ ลาภตระกูล | 2 ธันวาคม ค.ศ. 1994 | 3 | 0 | พีที ประจวบ | v. เอสโตเนีย, 17 ตุลาคม 2566 |
MF | ปุรเชษฐ์ ทอดสนิท | 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2001 | 1 | 0 | เมืองทอง ยูไนเต็ด | v. เอสโตเนีย, 17 ตุลาคม 2566 |
MF | อาทิตย์ เบิร์ก | 11 มกราคม ค.ศ. 1998 | 2 | 0 | นครปฐม ยูไนเต็ด | v. เอสโตเนีย, 17 ตุลาคม 2566 |
MF | ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ | 1 กันยายน ค.ศ. 1993 | 56 | 7 | ทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด | ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 49 |
FW | ยศกร บูรพา | 8 มิถุนายน ค.ศ. 2005 | 2 | 0 | ชลบุรี | v. ญี่ปุ่น, 1 มกราคม 2567 |
INJ ผู้เล่นที่ถูกเรียกแต่ถอนตัวเนื่องจากอาการบาดเจ็บ |
กัปตันทีม
แก้หมายเลขเสื้อ | ผู้เล่น | ดำรงตำแหน่ง |
---|---|---|
18 | ชนาธิป สรงกระสินธ์ | พ.ศ. 2567 ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงคัพ ครั้งที่ 50 |
5 | กฤษดา กาแมน | พ.ศ. 2566
ฟุตบอลกระชับมิตร อุ่นเครื่อง ฟีฟ่า เดย์ พบ ทีมชาติจอร์เจีย และ ทีมชาติเอสโตเนีย |
10 | ธีรศิลป์ แดงดา | พ.ศ. 2564 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020 |
23 | ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน | พ.ศ. 2562-2564 ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก |
4 | รายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 | |
1 | กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ | พ.ศ. 2560–2561 |
10 | ธีรศิลป์ แดงดา | พ.ศ. 2559–รายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016, พ.ศ. 2562– |
3 | ธีราทร บุญมาทัน | พ.ศ. 2558– ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย |
19 | อดุลย์ หละโสะ | พ.ศ. 2557–2558 |
18 | สินทวีชัย หทัยรัตนกุล | พ.ศ. 2556–2557 |
2 | ภานุพงศ์ วงศ์ษา | พ.ศ. 2555–2556 |
6 | ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ | พ.ศ. 2553–2554 |
7 | ดัสกร ทองเหลา | พ.ศ. 2551–2552 |
10 | ตะวัน ศรีปาน | พ.ศ. 2550–2551 |
17 | สุธี สุขสมกิจ | พ.ศ. 2549 |
1
5 |
กิตติศักดิ์ ระวังป่า | พ.ศ. 2549, พ.ศ. 2551 |
6 | รุ่งโรจน์ สว่างศรี | พ.ศ. 2547–2548 |
8 | เทิดศักดิ์ ใจมั่น | พ.ศ. 2546 |
12 | สุรชัย จิระศิริโชติ | พ.ศ. 2545 |
13 | เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง | พ.ศ. 2544–พ.ศ. 2545, พ.ศ. 2547, พ.ศ. 2550 |
5 | โชคทวี พรหมรัตน์ | พ.ศ. 2542–พ.ศ. 2543, พ.ศ. 2546 |
7 | นที ทองสุขแก้ว | พ.ศ. 2539–พ.ศ. 2541 |
14 | วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ | พ.ศ. 2538 |
9 | ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน | พ.ศ. 2536 |
ทำเนียบผู้ฝึกสอน
แก้หัวหน้าผู้ฝึกสอนตั้งแต่ พ.ศ. 2499–ปัจจุบัน
ชื่อ | สัญชาติ | ช่วงเวลา | สถิติ | ผลงาน | ||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แข่ง | ชนะ | เสมอ | แพ้ | Win % | ||||
บุญชู สมุทรโคจร | 2499–2507 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
ประเทียบ เทศวิศาล | 2508–2511 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
กึนเทอร์ กลอมบ์ | 2511–2518 | ? | ? | ? | ? | ? | โอลิมปิกฤดูร้อน 1968 - รอบแบ่งกลุ่ม
เอเชียนคัพ 1972 - อันดับ 3 | |
เนาวรัตน์ ปทานนท์ | 2518 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
เพเทอร์ ชนิทเกอร์ | 2519–2521 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
แวร์เนอร์ บิคเคลเฮาพท์ | 2522 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
วิชิต แย้มบุญเรือง | 2522 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
ศุภกิจ มีลาภกิจ | 2523 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
ประวิทย์ ไชยสาม | 2524–2526 | ? | 2 | 3 | ? | ? | ||
ยรรยง ณ หนองคาย | 2526 | ? | 2 | 3 | ? | ? | ||
เสนอ ไชยยงค์ | 2527 | ? | 2 | 3 | ? | ? | ||
บัวร์กฮาร์ด ซีเซอ | 2528–2529 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
เชิดศักดิ์ ชัยบุตร | 2530 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
ประวิทย์ ไชยสาม | 2531–2532 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
การ์ลูส โรเบร์ตู จี การ์วัลยู | 2532–2534 | ? | ? | ? | ? | ? | ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 20 – ชนะเลิศ เอเชียนเกมส์ 1990 - อันดับ 4 | |
ปีเตอร์ สตัปป์ | 2534–2537 | ? | 6 | 2 | 1 | ? | เอเชียนคัพ 1992 - รอบแบ่งกลุ่ม ซีเกมส์ 1993 - ชนะเลิศ | |
วรวิทย์ สัมปชัญญสถิตย์ | 2537 | ? | 2 | 3 | ? | ? | ||
ชัชชัย พหลแพทย์ | 2537–2538 | ? | ? | ? | ? | ? | ซีเกมส์ 1995 - ชนะเลิศ | |
ธวัชชัย สัจจกุล | 2539 | ? | ? | ? | ? | ? | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 1996 - ชนะเลิศ | |
อาจหาญ ทรงงามทรัพย์ | 2539 | 15 | 9 | 3 | 3 | 60.0 | เอเชียนคัพ 1996 - รอบแบ่งกลุ่ม | |
เด็ทมาร์ คราเมอร์ | 2540 | ? | ? | ? | ? | ? | ||
วิทยา เลาหกุล | 2540–2541 | 24 | 10 | 9 | 5 | 41.7 | ซีเกมส์ 1997 - ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 1998 - อันดับ 4 | |
ปีเตอร์ วิธ | 2541–2546 | 101 | 46 | 25 | 30 | 45.5 | เอเชียนเกมส์ 1998 - อันดับ 4 ซีเกมส์ 1999 - ชนะเลิศ เอเชียนคัพ 2000 - รอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2000 - ชนะเลิศ คิงส์คัพ 2000 - ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2002 - ชนะเลิศ เอเชียนเกมส์ 2002 - อันดับ 4 | |
การ์ลูส โรเบร์ตู จี การ์วัลยู | 2546–2547 | 13 | 6 | 2 | 5 | 46.1 | ||
ชัชชัย พหลแพทย์ | มิถุนายน – สิงหาคม 2547 | 8 | 2 | 1 | 5 | 25.0 | เอเชียนคัพ 2004 - รอบแบ่งกลุ่ม | |
ซีคฟรีท เฮ็ลท์ | สิงหาคม 2547–2548 | 11 | 4 | 4 | 3 | 36.4 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2004 - รอบแบ่งกลุ่ม | |
ชาญวิทย์ ผลชีวิน | 2548–มิถุนายน 2551 | 39 | 18 | 11 | 10 | 46.1 | ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 37 - ชนะเลิศ 2006 T&T Cup - ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 38 - ชนะเลิศ เอเชียนคัพ 2007 - รอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2007- รองชนะเลิศ | |
ปีเตอร์ รีด | กันยายน 2551–กันยายน 2552 | 15 | 8 | 4 | 3 | 53.3 | 2008 T&T Cup - ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2008 - รองชนะเลิศ | |
ไบรอัน ร็อบสัน | กันยายน 2552–มิถุนายน 2554 | 18 | 7 | 4 | 7 | 38.8 | ภูเก็ต กะตะกรุ๊ป คัพ 2009 (รายการการแข่งขันกระชับมิตรกับทีมสโมสร) ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2010 – รอบแบ่งกลุ่ม | |
วินฟรีท เชเฟอร์ | กรกฎาคม 2554–มิถุนายน 2556 | 28 | 14 | 6 | 8 | 50.0 | ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 41 – อันดับ 4 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2012 – รองชนะเลิศ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 42 – อันดับ 3 | |
เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง |
กรกฎาคม 2556–31 มีนาคม 2560 | 42 | 21 | 7 | 14 | 50.0 | ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 43 – รองชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2014 – ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 44 – ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2016 – ชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบ 12 ทีม | |
สุรชัย จตุรภัทรพงษ์ | 20 สิงหาคม - 20 พฤศจิกายน 2556 | 3 | 0 | 0 | 3 | |||
มิลอวัน ราเยวัตส์ |
5 พฤษภาคม 2560–7 มกราคม 2562 | 20 | 8 | 7 | 5 | 40.0 | ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 45 – ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 46 – รองชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2018 – รอบรองชนะเลิศ เอเชียนคัพ 2019 (นัดที่ 1) | |
ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย |
7 มกราคม 2562–14 มิถุนายน 2562 | 7 | 2 | 1 | 4 | 28.0 | เอเชียนคัพ 2019 – รอบ 16 ทีม ไชนาคัพ 2019 – รองชนะเลิศ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47 – อันดับ 4 | |
อากิระ นิชิโนะ | 17 กรกฎาคม 2562–29 กรกฎาคม 2564 | 11 | 2 | 5 | 4 | 18.2 | ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 | |
อาเลชังดรี ปอลกิง | 28 กันยายน 2564–22 พฤศจิกายน 2566 | 37 | 21 | 8 | 8 | 56.8 | ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020 – ชนะเลิศ
ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 48 – อันดับ 3 | |
มาซาตาดะ อิชิอิ | 22 พฤศจิกายน 2566–ปัจจุบัน | 12 | 5 | 4 | 3 | 41.67 | ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย – รอบที่ 2 เอเชียนคัพ 2023 – รอบ 16 ทีม ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 – ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2024 – |
การแข่งขัน
แก้สถิติการแข่งขันแบบเฮดทูเฮด
แก้ผลการแข่งขันเฮดทูเฮดของทีมชาติไทย | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ทีม | ตั้งแต่ | ถึง | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ได้ | เสีย | ต่าง | สมาพันธ์ | |
อัฟกานิสถาน | 2015 | 2015 | 1 | 1 | 0 | 0 | 2 | 0 | +2 | AFC | |
ออสเตรเลีย | 1982 | 2017 | 7 | 0 | 1 | 6 | 4 | 17 | −13 | AFC | |
บาห์เรน | 1980 | 2022 | 9 | 2 | 4 | 3 | 9 | 11 | −2 | AFC | |
บังกลาเทศ | 1973 | 2012 | 14 | 9 | 3 | 2 | 29 | 11 | +18 | AFC | |
เบลารุส | 2017 | 2017 | 1 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | UEFA | |
ภูฏาน | 2012 | 2012 | 1 | 1 | 0 | 0 | 5 | 0 | +5 | AFC | |
บราซิล | 2000 | 2000 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 7 | −7 | CONMEBOL | |
บรูไน | 1971 | 2022 | 8 | 7 | 1 | 0 | 38 | 5 | +33 | AFC | |
บัลแกเรีย | 1968 | 1996 | 2 | 0 | 0 | 2 | 0 | 13 | −13 | UEFA | |
กัมพูชา | 1957 | 2023 | 16 | 9 | 5 | 2 | 39 | 18 | +21 | AFC | |
แคเมอรูน | 2015 | 2015 | 1 | 0 | 0 | 1 | 2 | 3 | −1 | CAF | |
จีน | 1975 | 2024 | 32 | 6 | 5 | 21 | 28 | 72 | −44 | AFC | |
จีนไทเป | 1963 | 2023 | 11 | 4 | 2 | 5 | 18 | 19 | −1 | AFC | |
สาธารณรัฐคองโก | 2019 | 2019 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 1 | 0 | CAF | |
เช็กเกีย | 1968 | 1968 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 8 | −8 | UEFA | |
เดนมาร์ก | 2009 | 2010 | 2 | 0 | 1 | 1 | 2 | 5 | −3 | UEFA | |
อียิปต์ | 1998 | 1998 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 1 | 0 | CAF | |
เอสโตเนีย | 2000 | 2023 | 3 | 1 | 2 | 0 | 3 | 2 | +1 | UEFA | |
ฟินแลนด์ | 1996 | 2000 | 4 | 3 | 1 | 0 | 11 | 3 | +8 | UEFA | |
กาบอง | 2018 | 2018 | 1 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | CAF | |
จอร์เจีย | 2023 | 2023 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 8 | −8 | UEFA | |
เยอรมนี | 2004 | 2004 | 1 | 0 | 0 | 1 | 1 | 5 | −4 | UEFA | |
กานา | 1982 | 1983 | 2 | 0 | 0 | 2 | 2 | 6 | −4 | CAF | |
กัวเตมาลา | 1968 | 1968 | 1 | 0 | 0 | 1 | 1 | 4 | −3 | CONCACAF | |
ฮ่องกง | 1961 | 2023 | 27 | 10 | 6 | 11 | 40 | 33 | +7 | AFC | |
อินเดีย | 1962 | 2019 | 23 | 11 | 6 | 6 | 37 | 26 | +11 | AFC | |
อินโดนีเซีย | 1957 | 2022 | 72 | 34 | 20 | 18 | 128 | 85 | +43 | AFC | |
อิหร่าน | 1972 | 2013 | 14 | 0 | 3 | 11 | 5 | 32 | −27 | AFC | |
อิรัก | 1972 | 2023 | 18 | 2 | 6 | 10 | 20 | 47 | −27 | AFC | |
อิสราเอล | 1973 | 1973 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 6 | −6 | UEFA | |
ญี่ปุ่น | 1962 | 2024 | 30 | 3 | 6 | 21 | 25 | 76 | −51 | AFC | |
จอร์แดน | 2004 | 2016 | 7 | 1 | 5 | 1 | 4 | 3 | +1 | AFC | |
คาซัคสถาน | 1998 | 2006 | 4 | 2 | 2 | 0 | 5 | 3 | +2 | UEFA | |
เคนยา | 1990 | 2017 | 2 | 2 | 0 | 0 | 3 | 1 | +2 | CAF | |
คูเวต | 1972 | 2014 | 12 | 4 | 1 | 7 | 18 | 30 | −12 | AFC | |
คีร์กีซสถาน | 2001 | 2024 | 2 | 2 | 0 | 0 | 5 | 1 | +4 | AFC | |
ลาว | 1961 | 2010 | 14 | 12 | 1 | 1 | 50 | 15 | +35 | AFC | |
ลัตเวีย | 2005 | 2005 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 1 | 0 | UEFA | |
เลบานอน | 1998 | 2023 | 8 | 4 | 2 | 2 | 14 | 16 | −2 | AFC | |
ไลบีเรีย | 1984 | 1984 | 1 | 0 | 0 | 1 | 1 | 2 | −1 | CAF | |
ลิเบีย | 1977 | 1977 | 1 | 0 | 1 | 0 | 2 | 2 | 0 | CAF | |
ลีชเทินชไตน์ | 1981 | 1981 | 1 | 1 | 0 | 0 | 2 | 0 | +2 | UEFA | |
ลักเซมเบิร์ก | 1980 | 1980 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 1 | −1 | UEFA | |
มาเก๊า | 2007 | 2007 | 2 | 2 | 0 | 0 | 13 | 2 | +11 | AFC | |
มาเลเซีย | 1959 | 2023 | 115 | 34 | 38 | 43 | 154 | 163 | −9 | AFC | |
มัลดีฟส์ | 1996 | 2022 | 4 | 4 | 0 | 0 | 22 | 0 | +22 | AFC | |
มอลตา | 1981 | 1981 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 2 | −2 | UEFA | |
โมร็อกโก | 1980 | 1980 | 1 | 0 | 0 | 1 | 1 | 2 | −1 | CAF | |
พม่า | 1957 | 2022 | 50 | 22 | 14 | 14 | 99 | 62 | +37 | AFC | |
เนปาล | 1982 | 2022 | 4 | 4 | 0 | 0 | 14 | 1 | +13 | AFC | |
เนเธอร์แลนด์ | 2007 | 2007 | 1 | 0 | 0 | 1 | 1 | 3 | −2 | UEFA | |
นิวซีแลนด์ | 1976 | 2014 | 5 | 2 | 2 | 1 | 9 | 7 | +2 | OFC | |
ไนจีเรีย | 1983 | 1983 | 1 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | CAF | |
ไอร์แลนด์เหนือ | 1997 | 1997 | 1 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | 0 | UEFA | |
เกาหลีเหนือ | 1978 | 2017 | 20 | 5 | 4 | 11 | 18 | 32 | −14 | AFC | |
นอร์เวย์ | 1965 | 2012 | 2 | 0 | 0 | 2 | 0 | 8 | −8 | UEFA | |
โอมาน | 1986 | 2024 | 13 | 5 | 2 | 6 | 11 | 10 | 1 | AFC | |
ปากีสถาน | 1960 | 2001 | 5 | 4 | 0 | 1 | 16 | 7 | +9 | AFC | |
ปาเลสไตน์ | 2011 | 2011 | 2 | 1 | 1 | 0 | 3 | 2 | +1 | AFC | |
ปาปัวนิวกินี | 1984 | 1984 | 1 | 0 | 0 | 1 | 1 | 4 | −3 | OFC | |
ฟิลิปปินส์ | 1971 | 2024 | 24 | 20 | 2 | 2 | 74 | 12 | +62 | AFC | |
โปแลนด์ | 2010 | 2010 | 1 | 0 | 0 | 1 | 1 | 3 | −2 | UEFA | |
กาตาร์ | 1992 | 2016 | 11 | 4 | 3 | 4 | 15 | 15 | 0 | AFC | |
ซาอุดีอาระเบีย | 1982 | 2024 | 17 | 1 | 2 | 14 | 9 | 42 | −33 | AFC | |
สิงคโปร์ | 1957 | 2024 | 68 | 39 | 18 | 11 | 117 | 68 | +49 | AFC | |
สโลวาเกีย | 2004 | 2018 | 2 | 0 | 1 | 1 | 3 | 4 | −1 | UEFA | |
แอฟริกาใต้ | 2010 | 2010 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 4 | −4 | CAF | |
เกาหลีใต้ | 1961 | 2024 | 63 | 8 | 13 | 42 | 44 | 124 | −80 | AFC | |
ศรีลังกา | 1979 | 2022 | 6 | 6 | 0 | 0 | 17 | 2 | +15 | AFC | |
ซูรินาม | 2022 | 2022 | 1 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | +1 | CONCACAF | |
สวีเดน | 1962 | 2003 | 5 | 0 | 1 | 4 | 4 | 13 | −9 | UEFA | |
ซีเรีย | 1978 | 2024 | 7 | 4 | 2 | 1 | 15 | 11 | +4 | AFC | |
ทาจิกิสถาน | 2003 | 2021 | 3 | 1 | 1 | 1 | 3 | 3 | 0 | AFC | |
ติมอร์-เลสเต | 2004 | 2021 | 3 | 3 | 0 | 0 | 17 | 0 | +17 | AFC | |
ตรินิแดดและโตเบโก | 2003 | 2022 | 3 | 3 | 0 | 0 | 6 | 3 | +3 | CONCACAF | |
ตุรกี | 1980 | 1980 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 2 | −2 | UEFA | |
เติร์กเมนิสถาน | 1998 | 2022 | 2 | 1 | 1 | 0 | 4 | 3 | +1 | AFC | |
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | 1986 | 2023 | 13 | 2 | 3 | 8 | 12 | 21 | −9 | AFC | |
สหรัฐ | 1987 | 1987 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 1 | −1 | CONCACAF | |
อุรุกวัย | 2019 | 2019 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 4 | −4 | CONMEBOL | |
อุซเบกิสถาน | 1994 | 2024 | 11 | 6 | 0 | 5 | 23 | 20 | +3 | AFC | |
เวียดนาม | 1956 | 2024 | 57 | 21 | 13 | 23 | 78 | 78 | 0 | AFC | |
เยเมน | 1988 | 2007 | 6 | 2 | 4 | 0 | 9 | 5 | +4 | AFC | |
78 ประเทศ | 1948 | 2024 | 863 | 332 | 200 | 331 | 1333 | 1278 | +55 | ทั้งหมด | |
การแข่งขันนัดล่าสุด: ซีเรีย 14 ตุลาคม 2024 |
ฟุตบอลโลก
แก้ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย | ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ปี | ผล | อันดับ | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ* | แพ้ | ประตูได้ | ประตูเสีย | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ* | แพ้ | ประตูได้ | ประตูเสีย |
1930 - 1970 |
ไม่ได้เข้าร่วม | ไม่ได้คัดเลือก | ||||||||||||
1974 | ไม่ผ่านเข้ารอบ | 4 | 0 | 0 | 4 | 0 | 13 | |||||||
1978 | 4 | 1 | 0 | 3 | 8 | 12 | ||||||||
1982 | 3 | 0 | 1 | 2 | 3 | 13 | ||||||||
1986 | 6 | 1 | 2 | 3 | 4 | 4 | ||||||||
1990 | 6 | 1 | 0 | 5 | 2 | 14 | ||||||||
1994 | 8 | 4 | 0 | 4 | 13 | 7 | ||||||||
1998 | 4 | 1 | 1 | 2 | 5 | 6 | ||||||||
2002 | 14 | 5 | 5 | 4 | 25 | 20 | ||||||||
2006 | 6 | 2 | 1 | 3 | 9 | 10 | ||||||||
2010 | 10 | 3 | 2 | 5 | 20 | 17 | ||||||||
2014 | 8 | 2 | 2 | 4 | 7 | 10 | ||||||||
2018 | 16 | 4 | 4 | 8 | 20 | 30 | ||||||||
2022 | 8 | 2 | 3 | 3 | 9 | 9 | ||||||||
2026 | 6 | 2 | 2 | 2 | 9 | 9 | ||||||||
2030 | ยังไม่ถึงกำหนดแข่งขัน | - | - | - | - | - | - | - | ||||||
2034 | ยังไม่ถึงกำหนดแข่งขัน | - | - | - | - | - | - | - | ||||||
รวม | - | - | - | - | - | - | - | - | 103 | 28 | 23 | 52 | 134 | 174 |
โอลิมปิก
แก้(ใช้ทีมชาติอายุไม่เกิน 23 ปีตั้งแต่ พ.ศ. 2535)
สถิติในกีฬาโอลิมปิก | ||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ปี | รอบ | อันดับ | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ประตูได้ | ประตูเสีย |
1900 to 1952 |
ไม่เข้าร่วม | - | - | - | - | - | - | - |
1956 | รอบที่ 1 | 11/11 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 9 |
1960 | ไม่เข้าร่วม | - | - | - | - | - | - | - |
1964 | ไม่ผ่านเข้ารอบ | - | - | - | - | - | - | - |
1968 | รอบที่ 1 | 16/16 | 3 | 0 | 0 | 3 | 1 | 19 |
1972 ถึง 1988 |
ไม่ผ่านเข้ารอบ | - | - | - | - | - | - | - |
รวม | 2/19 | - | 4 | 0 | 0 | 4 | 1 | 28 |
เอเชียนคัพรอบสุดท้าย | เอเชียนคัพรอบคัดเลือก | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ปี | ผลการแข่งขัน | อันดับ | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ* | แพ้ | ประตูได้ | ประตูเสีย | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ* | แพ้ | ประตูได้ | ประตูเสีย |
1956 ถึง 1960 | ไม่ได้เข้าร่วม | |||||||||||||
1964 | ไม่ผ่านรอบคัดเลือก | 3 | 0 | 1 | 2 | 4 | 9 | |||||||
1968 | ไม่ผ่านรอบคัดเลือก | 4 | 2 | 0 | 2 | 5 | 4 | |||||||
1972 | อันดับ 3 | 5 | 0 | 3 | 2 | 6 | 9 | 2 | 1 | 0 | 1 | 10 | 1 | |
1976 | ถอนทีมหลังจากผ่านรอบคัดเลือก | 4 | 3 | 0 | 1 | 8 | 2 | |||||||
1980 | ไม่ผ่านรอบคัดเลือก | 5 | 3 | 0 | 2 | 11 | 3 | |||||||
1984 | 5 | 3 | 0 | 2 | 9 | 10 | ||||||||
1988 | 5 | 1 | 2 | 2 | 5 | 12 | ||||||||
1992 | รอบที่ 1 | 3 | 0 | 2 | 1 | 1 | 5 | 2 | 2 | 0 | 0 | 3 | 1 | |
1996 | รอบที่ 1 | 3 | 0 | 0 | 3 | 2 | 13 | 6 | 4 | 2 | 0 | 31 | 5 | |
2000 | รอบที่ 1 | 3 | 0 | 2 | 1 | 2 | 4 | 6 | 4 | 1 | 1 | 13 | 8 | |
2004 | รอบที่ 1 | 3 | 0 | 0 | 3 | 1 | 9 | 6 | 3 | 0 | 3 | 10 | 7 | |
2007 | รอบที่ 1 | 3 | 1 | 1 | 1 | 3 | 5 | เข้ารอบสุดท้ายในฐานะเจ้าภาพร่วม | ||||||
2011 | ไม่ผ่านรอบคัดเลือก | 6 | 1 | 3 | 2 | 3 | 3 | |||||||
2015 | 6 | 0 | 0 | 6 | 7 | 21 | ||||||||
2019 | รอบ 16 ทีม | 4 | 1 | 1 | 2 | 4 | 7 | 6 | 4 | 2 | 0 | 14 | 6 | |
2023 | รอบ 16 ทีม | 4 | 1 | 2 | 1 | 3 | 2 | 10 | 4 | 3 | 3 | 14 | 9 | |
รวม | ดีที่สุด: อันดับ 3 | 28 | 3 | 11 | 14 | 22 | 54 | 78 | 36 | 15 | 27 | 150 | 105 |
เอเชียนเกมส์
แก้(ใช้ทีมชาติอายุไม่เกิน 23 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2545)
เอเชียนเกมส์ | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ปี | รอบ | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ประตูได้ | ประตูเสีย |
1962 |
|||||||
1966 | |||||||
1970 | |||||||
43 | 13 | 7 | 23 | 59 | 74
|
การแข่งขันนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อไทเกอร์คัพ, เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ และ เอเอฟเอฟ มิตซูบิชิ อิเล็กทริค คัพ
อาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ | ||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เจ้าภาพ/ปี | รอบ | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ได้ | เสีย | ผลต่าง |
2014 | ชนะเลิศ | 7 | 5 | 1 | 1 | 14 | 6 | +8 |
2016 | ชนะเลิศ | 7 | 6 | 0 | 1 | 15 | 4 | +11 |
2018 | รอบรองชนะเลิศ | 6 | 3 | 3 | 0 | 17 | 5 | +12 |
2020 | ชนะเลิศ | 8 | 6 | 2 | 0 | 18 | 3 | +15 |
2022 | ชนะเลิศ | 8 | 5 | 2 | 1 | 19 | 5 | +14 |
ซีเกมส์
แก้ใช้ทีมชาติอายุไม่เกิน 23 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2001 - ค.ศ. 2015 ใช้ทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 21 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 2017
ซีเกมส์ | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
เจ้าภาพ/ปี | รอบ | ลงเล่น | ชนะ | เสมอ | แพ้ | ประตูได้ | ประตูเสีย |
1959 | รองชนะเลิศ | 4 | 2 | 0 | 2 | 9 | 10 |
1961 | อันดับ 3 | 3 | 1 | 2 | 0 | 7 | 4 |
1965 | ชนะเลิศ | 3 | 2 | 1 | 0 | 6 | 3 |
1967 | อันดับ 3 | 4 | 2 | 0 | 2 | 9 | 8 |
1969 | รองชนะเลิศ | 3 | 1 | 1 | 1 | 4 | 4 |
1971 | อันดับ 3 | 5 | 1 | 2 | 2 | 7 | 8 |
1973 | รอบที่ 1 | 2 | 0 | 1 | 1 | 1 | 2 |
1975 | ชนะเลิศ | 3 | 1 | 2 | 0 | 5 | 4 |
1977 | รองชนะเลิศ | 4 | 1 | 1 | 2 | 3 | 6 |
1979 | อันดับ 3 | 5 | 2 | 2 | 1 | 6 | 5 |
1981 | ชนะเลิศ | 4 | 2 | 2 | 0 | 9 | 6 |
1983 | ชนะเลิศ | 5 | 3 | 1 | 1 | 10 | 4 |
127 | 70 | 29 | 19 | 330 | 109 |
เกียรติยศอื่น ๆ
แก้- ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ (16 ครั้ง) : (พ.ศ. 2519, พ.ศ. 2522, พ.ศ. 2523, พ.ศ. 2524, พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2527, พ.ศ. 2532, พ.ศ. 2533, พ.ศ. 2535, พ.ศ. 2537, พ.ศ. 2543, พ.ศ. 2549, พ.ศ. 2550, พ.ศ. 2559, พ.ศ. 2560, พ.ศ. 2567)
- ฟุตบอลสามเส้าที่ไต้หวัน : (พ.ศ. 2514)
- ฟุตบอลสี่เส้าอินโดจีน (กรุงเทพ) : (พ.ศ. 2532)
- บรูไนเกมส์ : (พ.ศ. 2533)
- อินดีเพนเดนต์คัพ (อินโดนีเซีย) : (พ.ศ. 2537)
- T&T Cup : (พ.ศ. 2549, พ.ศ. 2551)
- ภูเก็ตกะตะกรุ๊ปคัพ (การแข่งขันกระชับมิตรกับทีมสโมสร) : (พ.ศ. 2552)
สถิติ
แก้ติดทีมชาติสูงสุด
แก้- ผู้เล่นที่ยังลงเล่นให้กับทีมชาติอยู่[55]
ผู้เล่นติดทีมชาติสูงสุด | ||||
---|---|---|---|---|
# | ผู้เล่น | ลงเล่น | ประตู | ปีที่ลงเล่น |
1 | เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง | 134 | 71 | พ.ศ. 2536–2550 |
2 | ธีรศิลป์ แดงดา | 127 | 64 | พ.ศ. 2550–ปัจจุบัน |
3 | ธชตวัน ศรีปาน | 110 | 19 | พ.ศ. 2536–2552 |
4 | ธีราทร บุญมาทัน | 103 | 7 | พ.ศ. 2553–ปัจจุบัน |
5 | ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน | 100 | 70 | พ.ศ. 2524–2540 |
ดัสกร ทองเหลา | 100 | 11 | พ.ศ. 2546–2560 | |
7 | ดุสิต เฉลิมแสน | 96 | 14 | พ.ศ. 2537–2547 |
8 | นิเวส ศิริวงศ์ | 90 | 3 | พ.ศ. 2538–2555 |
9 | นที ทองสุขแก้ว | 87 | 1 | พ.ศ. 2529–2543 |
10 | สุรชัย จตุรภัทรพงษ์ | 86 | 7 | พ.ศ. 2534–2545 |
11 | นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ | 85 | 28 | พ.ศ. 2510–2522 |
อรรถพล บุษปาคม | 85 | 13 | พ.ศ. 2528–2541 | |
13 | วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ | 84 | 29 | พ.ศ. 2528–2538 |
สถิติปรับปรุงล่าสุดในนัดที่พบกับ เกาหลีใต้ ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2567 |
ผู้ทำประตูสูงสุด
แก้- ผู้เล่นที่ยังลงเล่นให้กับทีมชาติอยู่[55]
ผู้ทำประตูสูงสุด | |||||
---|---|---|---|---|---|
# | ผู้เล่น | ประตู | ลงเล่น | ปีที่ลงเล่น | ประตูเฉลี่ยต่อนัด |
1 | เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง | 71 | 134 | พ.ศ. 2536–2550 | 0.53 |
2 | ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน | 70 | 100 | พ.ศ. 2524–2540 | 0.70 |
3 | ธีรศิลป์ แดงดา | 64 | 127 | พ.ศ. 2550–ปัจจุบัน | 0.50 |
4 | ศรายุทธ ชัยคำดี | 31 | 49 | พ.ศ. 2546–2554 | 0.63 |
5 | วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ | 29 | 84 | พ.ศ. 2528–2538 | 0.35 |
6 | ดาวยศ ดารา | 28 | 70 | พ.ศ. 2518–2529 | 0.40 |
วรวุฒิ ศรีมะฆะ | 28 | 63 | พ.ศ. 2538–2546 | 0.44 | |
นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ | 28 | 85 | พ.ศ. 2510–2522 | 0.33 | |
9 | เจษฎาภรณ์ ณ พัทลุง | 27 | 79 | พ.ศ. 2514–2524 | 0.34 |
10 | ชลอ หงษ์ขจร | 25 | 67 | พ.ศ. 2522–2530 | 0.37 |
เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ | 25 | 55 | พ.ศ. 2538–2540 | 0.45 | |
สุทธา สุดสะอาด | 25 | 51 | พ.ศ. 2521–2531 | 0.49 | |
13 | ประพนธ์ ตันติยานนท์ | 23 | 63 | พ.ศ. 2514–2523 | 0.37 |
14 | เทิดศักดิ์ ใจมั่น | 22 | 75 | พ.ศ. 2537–2554 | 0.29 |
สถิติปรับปรุงล่าสุดในนัดที่พบกับ เกาหลีใต้ ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2567 |
อ้างอิง
แก้- ↑ "The FIFA/Coca-Cola World Ranking"
- ↑ "Thailand matches, ratings and points exchanged". World Football Elo Ratings: Thailand. สืบค้นเมื่อ 24 November 2016.
- ↑ Asian Cup 2019: Last Chance for Thailand?, สืบค้นเมื่อ 2021-12-28
- ↑ "FIFA". fifa.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-25. สืบค้นเมื่อ 2021-05-19.
- ↑ https://www.vajiravudh.ac.th/OVtoVC/OVtoVC_83.htm
- ↑ https://www.siamfootball.com/index.php/2017-07-18-12-23-04/63-2017-07-30-11-28-45
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-06. สืบค้นเมื่อ 2021-05-19.
- ↑ https://www.bbc.com/thai/thailand-53399231
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-19. สืบค้นเมื่อ 2021-05-19.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-06. สืบค้นเมื่อ 2021-05-19.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-19. สืบค้นเมื่อ 2021-05-19.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-19. สืบค้นเมื่อ 2021-05-19.
- ↑ ไทม์ไลน์อนาคต ทีมชาติไทย U20 ชุดแห่งความหวัง ข่าวจากสยามกีฬา
- ↑ "Asian Nations Cup 1992". www.rsssf.com.
- ↑ "The Dream Team Era". Charnpipop (ภาษาอังกฤษ). 2017-09-12.
- ↑ Wilson, Simon. "Flashback: 2000 ASEAN Football Championship". www.affsuzukicup.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-06-03. สืบค้นเมื่อ 2021-08-05.
- ↑ https://www.youtube.com/watch?v=9mtfgzVPMMM#t=56s
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-05-18. สืบค้นเมื่อ 2021-08-05.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-05-18. สืบค้นเมื่อ 2021-08-05.
- ↑ https://hilight.kapook.com/view/25731
- ↑ "Bryan Robson to coach Thailand Bryan Robson has agreed to replace his former England team-mate Peter Reid as coach of Thailand". The Daily Telegraph. London. 23 September 2009. สืบค้นเมื่อ 27 April 2010.
- ↑ Singapore 1–3 Thailand: Sutee Suksomkit gives Bryan Robson crucial win
- ↑ "Bryan Robson resigns as Thailand manager". BBC Sport. 8 June 2011. สืบค้นเมื่อ 8 June 2011.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-06-22. สืบค้นเมื่อ 2019-01-20.
- ↑ "จิงโจ้เฉือนไทย 2-1 ประเดิมคัดบอลโลก". Manger Online. 2 September 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-11-05. สืบค้นเมื่อ 2 September 2011.
- ↑ "สรุปผล ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย". Siamsport.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "ชนะแต่ไม่เพียงพอ! สิ่งที่เห็นจากสแตนด์ราชมัง ไทย 3-1 สิงคโปร์". Siamsport.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "รู้จัก 23 ขุนพลช้างศึกกับภารกิจล่าแชมป์บอลถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ". Siamsport. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-06-13.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "ตั้งโค้ชง้วน คุมทีมชาติชุดใหญ่ประเดิมคัดเอเชียนคัพบุกอิหร่าน". Thairath. 22 August 2013. สืบค้นเมื่อ 22 August 2013.
- ↑ https://news.thaipbs.or.th/content/261297
- ↑ https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_279818
- ↑ https://www.khaosod.co.th/sports/news_2053936
- ↑ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (7 มกราคม 2562). "ถ้อยแถลงของนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์". fathailand.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-01-07. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2562.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-19. สืบค้นเมื่อ 2021-05-19.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-06-22. สืบค้นเมื่อ 2019-01-20.
- ↑ เปิดสถิติ "นิชิโนะ" คุมทีมชาติไทยในเกมทางการก่อนถูก "ส.ฟุตบอล" ยุติสัญญา - ไทยรัฐ (29 กรกฎาคม 2564)
- ↑ Limited, Bangkok Post Public Company. "Polking appointed as national coach". Bangkok Post. สืบค้นเมื่อ 2021-10-23.
- ↑ Limited, Bangkok Post Public Company. "Thailand to face Indonesia in Suzuki Cup final". Bangkok Post. สืบค้นเมื่อ 2021-12-28.
- ↑ Limited, Bangkok Post Public Company. "Thailand capture sixth Suzuki Cup". Bangkok Post. สืบค้นเมื่อ 2022-01-01.
- ↑ "Thai football fans go on a rant after national team's 8-0 drubbing in Georgia". nationthailand (ภาษาอังกฤษ). 2023-10-13.
- ↑ UEFA.com. "Georgia-Thailand | European Qualifiers 2024". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Loss to Uzbekistan ends Thailand's Asian Cup hopes". nationthailand (ภาษาอังกฤษ). 2024-01-31.
- ↑ AFF, Editor (2012-10-19). "ASC2012: Thailand Go With Grand Sport". AFF - The Official Website Of The Asean Football Federation (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
:|first=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ https://www.facebook.com/warrixofficial/photos/a.1620139491615372.1073741827.1620139098282078/1620139468282041/?type=3&theater
- ↑ https://football-tribe.com/thailand/2017/10/13/king-rama9-thailand/
- ↑ "Thailand 2018 Home and Away Kits Released". Footy Headlines.
- ↑ "History : Logo Thailand National Football Team – Kosin Studio". 2017-11-28.
- ↑ "6 สิ่งที่คุณยังไม่รู้เกี่ยวกับฟุตบอลทีมชาติไทย". JohnnyBet.
- ↑ THAILAND, FA. "ฟีฟ่า อนุมัติโครงการ FIFA Forward 3.0 ให้สมาคมฯ ก่อสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ ครบวงจร". fathailand.org.
- ↑ "Thailand national football team: record v Singapore". www.11v11.com.
- ↑ "The Fall of Siam & the Lost Temples of Ayutthaya". Ex Utopia (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2013-01-25.
- ↑ Limited, Bangkok Post Public Company. "Confident Thailand take on Myanmar". Bangkok Post. สืบค้นเมื่อ 2021-12-16.
- ↑ https://www.rsssf.org/tablesa/asgames94.html
- ↑ 55.0 55.1 Roberto Mamrud. "Thailand – Record International Players". RSSSF. สืบค้นเมื่อ 6 กรกฎาคม 2559.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)
ดูเพิ่ม
แก้แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เก็บถาวร 2019-06-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Thai Football.com เก็บถาวร 2007-01-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- หน้าเว็บทีมชาติไทยใน Fifa.com