ฟุตบอลโลก 2026

การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 23 มีกำหนดจัดที่สหรัฐ ประเทศเม็กซิโก และแคนาดา

ฟุตบอลโลก 2026 (อังกฤษ: 2026 FIFA World Cup; สเปน: Copa Mundial de la FIFA 2026; ฝรั่งเศส: Coupe du Monde FIFA 2026) เป็นการแข่งขันกีฬาฟุตบอลโลกครั้งที่ 23 ซึ่งเป็นการแข่งขันชิงแชมป์โลกระหว่างทีมชาติที่เป็นสมาชิกของฟีฟ่า การแข่งขันจัดขึ้นใน 16 เมืองของแคนาดา เม็กซิโกและสหรัฐ แบ่งเป็น 80 นัด โดยสหรัฐจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันทั้งหมด 60 นัด รวมถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ, รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ ส่วนแคนาดาและเม็กซิโกจะจัดการแข่งขันประเทศละ 10 นัด ฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพถึง 3 ประเทศ[2][3]

ฟุตบอลโลก 2026
2026 FIFA World Cup
Copa Mundial de la FIFA 2026
Coupe du Monde FIFA 2026
เราคือ 26
We Are 26
Somos 26
Nous Sommes 26
เวิร์ดมาร์คฟุตบอลโลก 2026 อย่างเป็นทางการ
รายละเอียดการแข่งขัน
ประเทศเจ้าภาพแคนาดา
เม็กซิโก
สหรัฐ
วันที่11 มิถุนายน – 19 กรกฎาคม ค.ศ. 2026[1]
ทีม48 (จาก 6 สมาพันธ์)
สถานที่16 (ใน 16 เมืองเจ้าภาพ)
2022
2030

การเสนอตัวของสหรัฐชนะการเสนอตัวของโมร็อกโกระหว่างการพิจารณาครั้งสุดท้ายของฟีฟ่าในมอสโก ทำให้นี้เป็นการมีเจ้าภาพหลายประเทศเป็นครั้งแรกหลังฟุตบอลโลก 2002 เม็กซิโกเคยเป็นเจ้าภาพในฟุตบอลโลก 1970 และฟุตบอลโลก 1986 ดังนั้นการร่วมเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ทำให้เม็กซิโกเป็นประเทศแรกที่ได้เป็นเจ้าภาพถึง 3 ครั้งในฐานะเจ้าภาพเดี่ยวและเจ้าภาพร่วม

นอกจากนี้ฟุตบอลโลก 2026 จะเป็นครั้งแรกที่เพิ่มจำนวนทีมจาก 32 เป็น 48 ทีม[4]

รูปแบบ

แก้

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2558 มีแชล ปลาตีนี ซึ่งในขณะนั้นเป็นประธานยูฟ่า ได้เสนอให้เพิ่มจำนวนทีมในการแข่งขันเป็น 40 ทีม[5][6] ซึ่งในเดือนมีนาคม 2559 จันนี อินฟันตีโน ประธานสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศคนปัจจุบันก็ได้เห็นด้วยกับข้อเสนอ[7] และในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ได้ประกาศความประสงค์ที่จะเพิ่มทีม โดยพิจารณาจาก 4 ตัวเลือกดังนี้:[8][9][10][11]

  • เพิ่มเป็น 40 ทีม (แบ่งเป็น 5 ทีม 8 กลุ่ม) – 88 นัด
  • เพิ่มเป็น 40 ทีม (แบ่งเป็น 4 ทีม 10 กลุ่ม) – 76 นัด
  • เพิ่มเป็น 48 ทีม (เปิดรอบเพลย์ออฟ 32 ทีม) – 80 นัด
  • เพิ่มเป็น 48 ทีม (แบ่งเป็น 3 ทีม 16 กลุ่ม) – 80 นัด

เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2560 สภาฟีฟ่าได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ขยายเพิ่มเป็น 48 ทีม[4]

การแข่งขันจะเริ่มแบบ 3 ทีม 16 กลุ่ม จากนั้นสองทีมที่ดีที่สุดของแต่ละกลุ่มจะไปเล่นรอบ 32 ทีมสุดท้ายแบบแพ้คัดออก[12] จำนวนเกมส์การแข่งขันจะเพิ่มจาก 64 เป็น 80 นัด แต่เกมส์รอบสุดท้าย (รอบก่อนรองชนะเลิศ รองชนะเลิศ ชิงอันดับสาม และชิงชนะเลิศ) จะยังเป็น 7 นัดเหมือนเดิม และจะจัดการแข่งขันทั้งหมด 32 วันเช่นเดิม[13]

สมาคมสโมสรฟุตบอลยุโรปและสมาชิกไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มจำนวนทีมเนื่องจากรับไม่ได้กับจำนวนเกมส์และกระตุ้นให้มีการพิจารณาใหม่ในการเพิ่มทีมในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย[14] พวกเขายังแย้งอีกว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจด้วยเหตุผลทางกีฬาแต่เป็นการตัดสินใจด้วยเหตุผลทางการเมืองเพราะอินฟันตีโนพยายามทำให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงพอใจ[15] จาวี ทาบัส ประธานของสันนิบาตฟุตบอลอาชีพแห่งชาติสเปนยอมรับว่าไม่เห็นด้วยกับกำหนดการใหม่นี้ เขากล่าวกับหนังสือพิมพ์มาร์กาว่าอุตสาหกรรมฟุตบอลจะขอบคุณสโมสรและลีก ไม่ใช่ฟีฟ่าและอินฟันตีโนเล่นการเมืองเพราะเขาสัญญาว่าจะเพิ่มทีมหากถูกเลือก ดังนั้นเขาจึงรักษาคำพูดที่พูดเอาไว้[16] โยอาคิม เลิฟ โค้ชทีมชาติเยอรมันได้กล่าวเตือนว่าการเพิ่มทีมเหมือนที่เพิ่มในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 นั้นจะลดคุณค่าของการแข่งขันระดับโลกลงเนื่องจากผู้เล่นถึงขีดจำกัดทางร่างกายและจิตใจแล้ว[17] มีการวิจารณ์ว่ารูปแบบกลุ่มละ 3 ทีมจะทำให้มีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างสองทีมในรอบสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่ม 4 ทีม ทำให้ประธานจันนี อินฟันตีโนเสนอคำแนะนำคือรอบแบ่งกลุ่มที่จบด้วยผลเสมอจะถูกตัดสินโดยการยิงลูกโทษ[18]

โควตา

แก้

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560 สำนักงานของสภาฟีฟ่า (ประกอบด้วยประธานฟีฟ่าและประธานแต่ละสมาพันธ์) เสนอโควต้าตัวแทนจากแต่ละทวีปที่จะได้เล่นในฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งข้อเสนอแนะนี้ได้ยื่นขอให้สภาฟีฟ่าอนุมัติ[19][20]

ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 สองวันก่อนการการประชุมฟีฟ่าคองเกรส ครั้งที่ 67 สภาฟีฟ่าได้อนุมัติการแบ่งโควตาในมานามา ประเทศบาห์เรน รวมถึงการแข่งขันรอบเพลย์ออฟระหว่างทวีป 6 ทีมเพื่อหาทีมไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2 ทีมด้วย[21]

สมาพันธ์ สมาชิกฟีฟ่า โควตาฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
(รวมเจ้าภาพ)
เปอร์เซ็นต์ของสมาชิก
ที่ผ่านไปเล่นรอบสุดท้าย
โควตาก่อน ฟุตบอลโลก 2026
(ไม่รวมเจ้าภาพ)
เอเอฟซี 46 8 17% 4.5
ซีเอเอฟ 54 9 17% 5
คอนคาแคฟ 35 6 17% 3.5
คอนเมบอล 10 6 60% 4.5
โอเอฟซี 11 1 9% 0.5
ยูฟ่า 55 16 29% 13
เพลย์ออฟ 6 2 33%
รวม 211 48 23% 31 (+ เจ้าภาพ)

เพลย์ออฟ

แก้

การแข่งขันเพลย์ออฟจะเป็นการแข่งขันระหว่าง 6 ทีมเพื่อหา 2 ทีมที่ดีที่สุดไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย,[19] 6 ทีมจะมาจาก 5 สมาพันธ์ (ไม่มีสมาพันธ์ยูฟ่า) ส่วนอีกหนึ่งทีมจะมาจากสมาพันธ์ของประเทศเจ้าภาพ (ปีนี้คือคอนคาแคฟ) [22]

การเลือกเจ้าภาพ

แก้

การแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2026 ส่วนใหญ่นั้นจะจัดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา โดยมี 11 เมืองในสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าภาพ ได้แก่ ลอสแองเจลิส ไมอามีแอตแลนตา ซีแอตเทิล ฮูสตัน ฟิลาเดลเฟีย แคนซัส ซิตี้ บอสตัน ดัลลัส เขตอ่าว ซานฟรานซิสโก และ เขตมหานครนิวยอร์ก เม็กซิโกจะเป็นเจ้าภาพ ได้แก่ กัวดาลาฮารา เม็กซิโกซิตี้ และ มอนเตร์เรย์ แคนาดาจะเป็นเจ้าภาพ ได้แก่โทรอนโต เอ็ดมันตัน และมอนทรีออล

แหล่งที่มา Britannica

สนามแข่งขัน

แก้

มีเมืองที่เสนอตัว 23 เมืองและจะลดลงเหลือ 16 เมืองใน พ.ศ. 2563 หรือ 2564 (3 เมืองในแคนาดา, 3 เมืองในเม็กซิโก และ 10 เมืองในสหรัฐ) [23] :

† คือสนามที่เคยใช้จัดการแข่งขันมาแล้ว (มีแค่สหรัฐกับเม็กซิโก)
‡ คือสนามกีฬาในร่ม

แคนาดา

แก้
มอนทรีออล[24] เอ็ดมันตัน[24] โทรอนโต[24]
สนามกีฬาโอลิมปิก Commonwealth Stadium BMO Field
ความจุ: 61,004
(ความจุที่เสนอมา: 55,822)
(สามารถขยายความจุสูงสุดได้ 73,000)
ความจุ: 56,302
(ความจุที่เสนอมา: 56,418)
ความจุ: 30,000
(เพิ่มความจุเป็น 45,500 เมือถึงเวลาแข่ง)
     
เมืองที่เสนอตัวของแคนาดา

สหรัฐฯ

แก้
ลอสแอนเจลิส[24] นครนิวยอร์ก[24] วอชิงตัน ดี.ซี.[24] ดัลลัส[24]
SoFi Stadium
((Inglewood, California)
MetLife Stadium
(East Rutherford, New Jersey)
FedExField
(Landover, Maryland)
เอทีแอนด์ทีสเตเดียม
(Arlington, Texas)
ความจุ: 92,000
(ความจุที่เสนอมา: 88,432)
ความจุ: 82,500
(ความจุที่เสนอมา: 87,157)
ความจุ: 82,000
(ความจุที่เสนอมา: 70,249)
ความจุ: 80,000
(ความจุที่เสนอมา: 92,967)
(เพิ่มเป็น 100,000)
       
แคนซัสซิตี[24] เดนเวอร์[24] ฮิวสตัน[24] บอลทิมอร์[24]
Arrowhead Stadium Sports Authority Field at Mile High NRG Stadium M&T Bank Stadium
ความจุ: 76,416
(ความจุที่เสนอมา: 76,640)
ความจุ: 76,125
(ความจุที่เสนอมา: 77,595)
ความจุ: 71,795
(ความจุที่เสนอมา: 72,220)
ความจุ: 71,006
(ความจุที่เสนอมา: 70,976)
       
แอตแลนตา[24]
Mercedes-Benz Stadium
ความจุ: 71,000
(ความจุที่เสนอมา: 75,000)
(ขยายเพิ่มเป็น 83,000)
 
ฟิลาเดลเฟีย[24] แนชวิลล์[24] ซีแอตเทิล[24] ซานฟรานซิสโก[24]
Lincoln Financial Field Nissan Stadium CenturyLink Field Levi's Stadium
(Santa Clara, California)
ความจุ: 69,176
(ความจุที่เสนอมา: 69,328)
ความจุ: 69,143
(ความจุที่เสนอมา: 69,722)
(ขยายเพิ่มเป็น 75,000)
ความจุ: 69,000
(ขยายเพิ่มเป็น 72,000)
ความจุ: 68,500
(ความจุที่เสนอมา: 70,909)
(ขยายเพิ่มเป็น 75,000)
     
บอสตัน[24] ซินซินแนติ[24] ไมแอมี[24] ออร์แลนโด[24]
Gillette Stadium
(Foxborough, Massachusetts)
Paul Brown Stadium Hard Rock Stadium
(Miami Gardens, Florida)
แคมปิงเวิลด์สเตเดียม
ความจุ: 65,878
(ความจุที่เสนอมา: 70,000)
ความจุ: 65,515
(ความจุที่เสนอมา: 67,402)
ความจุ: 64,767
(ความจุที่เสนอมา: 67,518)
ความจุ: 60,219
(ความจุที่เสนอมา: 65,000)
       

เม็กซิโก

แก้
เม็กซิโกซิตี[24] มอนเตร์เรย์[24] กวาดาลาฮารา[24]
อัซเตกา เอสตาดีโอบีบีวีเอบาโคเม สนามกีฬาอากรอน
ความจุ: 87,523 ความจุ: 53,500
(ความจุที่เสนอมา: 53,460)
ความจุ: 46,232
(ความจุที่เสนอมา: 48,071)
     
เมืองที่เสนอตัวของเม็กซิโก

การคัดเลือก

แก้

ทีมที่ผ่านการคัดเลือก

แก้

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2568 ประเทศญี่ปุ่นกลายเป็นทีมที่ไม่ใช่เจ้าภาพทีมแรกที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย[25] ประเทศนิวซีแลนด์จะเข้าร่วมรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2010 โดยใช้ประโยชน์จากการจัดระบบใหม่ของทีมที่เข้ารอบของโซนโอเชียเนีย[26]

เอเอฟซี (2) คอนคาแคฟ (3) คอนเมบอล (1) โอเอฟซี (1)