พรรคชาติไทย

อดีตพรรคการเมืองไทย

พรรคชาติไทย (อังกฤษ: Chart Thai Party) เป็นอดีตพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยม ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พร้อมกับพรรคพลังประชาชนและพรรคมัชฌิมาธิปไตย เนื่องจากทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 หลังจากนั้น ส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรคที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคก็ได้ก่อตั้งพรรคชาติไทยพัฒนาขึ้นเป็นพรรคที่สืบต่อจากพรรคชาติไทย[3]

พรรคชาติไทย
ผู้ก่อตั้งประมาณ อดิเรกสาร
หัวหน้าบรรหาร ศิลปอาชา
รองหัวหน้า
เลขาธิการประภัตร โพธสุธน
รองเลขาธิการ
เหรัญญิกธรรมา ปิ่นสุกาญจนะ
โฆษกจณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์
กรรมการบริหาร
นายกรัฐมนตรีพลเอก ชาติชาย ชุณหวัณ
(พ.ศ. 2531–2534)
บรรหาร ศิลปอาชา
(พ.ศ. 2538–2539)
นโยบาย
  • สัจจะนิยม สร้างสังคมให้สมดุล (พ.ศ. 2548)
  • ยืนหยัด ชัดเจน (พ.ศ. 2550)
คำขวัญสามัคคี ก้าวหน้า มั่นคง
ก่อตั้ง19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517
ถูกยุบ2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 (34 ปี 13 วัน)
ถัดไปพรรคชาติไทยพัฒนา
ที่ทำการเลขที่ 1 ถนนพิชัย แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
อุดมการณ์อนุรักษ์นิยม[1]
จุดยืนฝ่ายขวา[2]
สีสีชมพู
การเมืองไทย
รายชื่อพรรคการเมือง
การเลือกตั้ง

รายชื่อนายกรัฐมนตรี แก้

ประวัติ แก้

 
ป้ายหาเสียงของพรรคชาติไทย ที่จังหวัดสงขลา เมื่อปี พ.ศ. 2519

พรรคชาติไทยก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2517 โดย พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศในขณะนั้น) บุตรชายจอมพลผิน ชุณหะวัณ พี่เขยคือ พลตรีประมาณ อดิเรกสาร (ยศในขณะนั้น) และพลตรีศิริ สิริโยธิน ทั้งสามเป็นสมาชิกของ กลุ่มซอยราชครู ซึ่งเป็นกลุ่มผลประโยชน์ทางทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองที่จอมพลผินเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น พรรคชาติไทยเป็นตัวแทนของฝ่ายขวาและกลุ่มสนับสนุนการทหารในการเมืองไทยในช่วงปีที่ค่อนข้างเสรีและเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 ถึง พ.ศ. 2519[2]

ในระหว่างการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 พรรคเรียกร้องให้ ขวาพิฆาตซ้าย ซึ่งหัวหน้าพรรคและรองนายกรัฐมนตรีคือ พลตรีประมาณ ได้ประกาศในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกวาดล้างขบวนการนักศึกษา ใน การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[4]

ในการเลือกตั้งครั้งต่อมาคือ พ.ศ. 2519, 2522, 2526 และ 2529 พรรคชาติไทยเป็นพรรคที่มี ส.ส. มากที่สุดเป็นอันดับสองเสมอมา มีเพียงการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2526 ถึง พ.ศ. 2529 เท่านั้นที่พรรคชาติไทยเป็นพรรคฝ่ายค้าน นายบรรหาร ศิลปอาชา เลขาธิการพรรคในขณะนั้น ระบุว่า สำหรับนักการเมืองแล้วการอยู่ฝ่ายค้านก็เหมือนอดตาย[5]

บทบาทของพรรคชาติไทยในทศวรรษ 2520 แก้

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2522, รัฐบาล พลเอก เกรียงศักดิ์-พลเอก เปรม แก้

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2522 พรรคชาติไทยซึ่งนำโดย พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรค ได้รับเลือกตั้งทั้งสิ้น 42 ที่นั่ง ถือเป็นอันดับที่2 แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เช่นเดียวกับพรรคการเมืองอื่นๆ เช่น พรรคกิจสังคม, พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคประชากรไทย ที่เป็นฝ่ายค้าน โดยฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้นนำโดย พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี[6]

ต่อมาเมื่อ พลเอก เกรียงศักดิ์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรมีมติเลือก พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป[7] และพรรคชาติไทยได้เข้าร่วมรัฐบาล และมีสมาชิกหลายคนได้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ในคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 42 ได้แก่[8]

  1. พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
  2. พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ เลขาธิการพรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
  3. นายบรรหาร ศิลปอาชา ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  4. นายอนุวรรตน์ วัฒนพงศ์ศิริ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงาน
  5. นาวาอากาศโท ทินกร พันธุ์กระวี ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
  6. พันตำรวจเอก กฤช สังขทรัพย์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กระทั่งวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2524 พันตำรวจเอก กฤช ได้ถึงแก่อนิจกรรม จึงมีการแต่งตั้ง นายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ ซึ่งสังกัดพรรคชาติไทยเช่นกัน ดำรงตำแหน่งแทน[9]

โดยระหว่างการทำงานนั้นพรรคชาติไทยได้เกิดความขัดแย้งกับพรรคกิจสังคมในการสั่งซื้อน้ำมันเป็นเหตุให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรีหลายครั้งในปี พ.ศ. 2524[10][11]คณะรัฐมนตรี คณะที่ 42 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 13 สิ้นสุดลงเมื่อมีพระบรมราชโองการ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526[12]

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2526 และการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน แก้

ต่อมาในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2526 พรรคชาติไทยได้รับเลือกตั้งทั้งสิ้น 73 ที่นั่ง[13] จากนั้นกลุ่มของ พันเอก พล เริงประเสริฐวิทย์[14] และ กลุ่ม สส. อิสระ ที่มาเข้าสังกัด ทำให้รวมได้ถึง 110 ที่นั่ง มากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนั้น แต่ถึงกระนั้นยังรวมเสียงได้ไม่เพียงพอในการจัดตั้งรัฐบาล และไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคการเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคกิจสังคมที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม และสนับสนุน พลเอก เปรม เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป[15] อันเป็นเหตุให้พรรคชาติไทย กลายเป็นฝ่ายค้าน และพลตรี ประมาณ ก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านคนแรกจากพรรคชาติไทย[16]

ในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านพรรคชาติไทยพยายามการยกเรื่องปัญหาชาวนาซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคในภาคกลางมาอภิปราย และ พลตรี ประมาณ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้เสนอญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจถึง 4 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยมีรายละเอียดดังนี้[17]

  1. ในปี พ.ศ. 2526 เรื่องขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจในรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล (รัฐมนตรีกระทราวงคมนาคม) ถูกยกเลิกเนื่องจากที่ประชุมลงมติให้ผ่านระเบียบวาระโดยไม่รอลงมติ
  2. ในปี พ.ศ. 2527 เรื่องขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจในรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ถูกยกเลิก เนื่องจากผู้เสนอญัตติ(พลตรี ประมาณ) ไม่ขอชี้แจง ประธานสภาผู้แทนราษฎร(นายอุทัย พิมพ์ใจชน) จึงวินัจฉัยว่าญัตตินี้เป็นอันตกไป
  3. ในปี พ.ศ. 2528 เรื่องขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจในรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ถูกยกเลิก เนื่องจากการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
  4. ในปี พ.ศ. 2528 เรื่องขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยได้อภิปรายในวันที่ 5-6 มิถุนายน พ.ศ. 2528 ที่ประชุมลงมติไว้วางใจ

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 ได้มีการพิจารณาอนุมัติกฎหมายหลายฉบับ โดย 1 ในนั้นคือ การพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2529 โดยมีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ ซึ่งก่อนจะมีการลงมติ บรรยากาศการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปอย่างตรึงเครียด และมีการอภิปรายกันอย่างดุเดือดจากทั้งฝ่ายรัฐบาลซึ่งสนับสนุน พ.ร.ก. และฝ่ายค้านนำโดยพรรคชาติไทยซึ่งไม่สนับสนุน

ผลการลงมติปรากฎว่ามีสมาชิก 140 เสียงไม่อนุมัติ พ.ร.ก. ขณะที่ 137 เสียงเห็นควรอนุมัติ จากนั้นนายไกรสร ตันติพงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอให้มีการนับคะแนนใหม่ โดยผลการลงมติอีกครั้งปรากฏว่าสมาชิก 143 เสียงไม่อนุมัติ พ.ร.ก. ขณะที่ 142 เสียงเห็นควรอนุมัติ จากนั้น นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้อ้างว่ามีการนับคะแนนผิดพลาด จึงเสนอให้นับคะแนนใหม่อีกครั้ง โดยผลการลงมติครั้งสุดท้ายซึ่งลงมติโดยการขานชื่อรายบุคคล ปรากฏว่าสมาชิก 147 เสียงไม่อนุมัติ พ.ร.ก. ขณะที่ 143 เสียงเห็นควรอนุมัติ และ งดออกเสียง 5 สรุปได้ว่าสภาไม่อนุมัติ พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2529[18]

นอกจากพรรคฝ่ายค้านซึ่งนำโดยพรรคชาติไทยนั้น ยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคกิจสังคมซึ่งเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล ลงมติไม่อนุมัติถึง 38 คน รวมถึงนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ และ นายโกศล ไกรฤกษ์ ที่ดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองหัวพรรค[19] โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกลุ่มนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ พ.ร.ก. ไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร และนำไปสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรในวันเดียวกัน[20]

การเปลี่ยนหัวหน้าพรรคชาติไทย ในปี พ.ศ. 2529 แก้

พรรคชาติไทย และพลเอก เปรม ได้มีการตกลงกันล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้งในการพยายามจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมีเงื่อนไขว่าหากพรรคชาติไทยจะเข้าร่วมรัฐบาลต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรคจากพลตรี ประมาณ เป็นผู้อื่น และพลเอก เปรม จะให้เงินสนับสนุนพรรค 30 ล้านบาท ต่อมาในการประชุมพรรคชาติไทย ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ได้เกิดความพยายามในการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคเป็น พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตรองหัวหน้าพรรคที่ลาออกเพื่อเตรียมตัวดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนใหม่ มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2528[21] โดยนายบรรหารได้เซ็นเช็คส่วนตัวมูลค่า 30 ล้านบาทให้ พลตรี ประมาณ จากนั้น พลตรี ประมาณ จึงลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคในวันที่ 24 มิถุนายน แต่ภายหลังทราบว่าเช็คนั้นใช้ไม่ได้[13] สำหรับหัวหน้าพรรคชาติไทยคนใหม่ก็คือพลตรี ชาติชาย ส่วนพลตรี ประมาณ ก็ย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่คือประธานคณะที่ปรึกษาพรรค[21]

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2529 และการร่วมรัฐบาล พลเอก เปรม อีกครั้ง แก้

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2529 พรรคชาติไทยนำโดย พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคคนใหม่ ได้รับเลือกตั้งทั้งสิ้น 64 ที่นั่ง พรรคชาติไทยได้เข้าร่วมรัฐบาลผสมซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์, พรรคกิจสังคม และพรรคราษฎร ร่วมด้วย โดยรัฐบาลสนับสนุนพลเอก เปรม เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป[22] โดยในคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 44 มีสมาชิกพรรคชาติไทยดำรงตำแหน่งต่างๆ ถึง 9 คน ได้แก่[23]

  1. พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
  2. นายบรรหาร ศิลปอาชา เลขาธิการพรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
  3. นายสอาด ปิยวรรณ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
  4. นายประมวล สภาวสุ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
  5. นายประภัตร โพธสุธน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
  6. นายเสนาะ เทียนทอง ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  7. นายสุรพันธ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
  8. นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
  9. นายกร ทัพพะรังสี ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

และนายชุมพล ศิลปอาชา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี สังกัดพรรคชาติไทย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง[24]

รัฐบาลเกิดความไร้เสถียรภาพเนื่องปัญหาภายในของพรรคประชาธิปัตย จากกลุ่ม 10 มกรา ที่ไม่พอใจการบริหารพรรคของนายพิชัย รัตตกุล หัวหน้าพรรค จนกระทั่งการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2531 ที่ประชุมลงมติพิจารณาพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ โดยผลปรากฎว่ารัฐบาลจะชนะด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 183 ต่อ 134 เสียง แต่กลุ่ม 10 มกรา กลับลงมติไม่เห็นชอบทั้งสิ้นถึง 40 คน[25] ทำให้รัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ 16 คนเตรียมแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกจากตำแหน่ง[26] แต่ในวันรุ่งขึ้นก็มีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร[27]

พ.ศ. 2531-2539 ยุคชาติชาย ชุณหะวัณ และบรรหาร ศิลปอาชา แก้

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2531 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 พรรคชาติไทยได้ สส. รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่ 1 ที่ 87 ที่นั่ง โดยหัวหน้าพรรคในขณะนั้น คือ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา เขต1 ในเบื้องต้นได้มีการเทียบเชิญ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ให้เข้ารับตําแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็น สมัยที่ 4 ทว่าพลเอกเปรมปฏิเสธตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 4 [28] ในกรณีนี้ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีจํานวน สส. มากที่สุด จึงได้เป็นแกนนําในการจัดตั้งรัฐบาล เป็นคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 45 โดยมีพรรคร่วมรัฐบาล คือ พรรคกิจสังคม นําโดย พลอากาศเอก สิทธิ เศตวศิลา พรรคประชาธิปัตย์ นําโดยนาย พิชัย รัตตกุล พรรคราษฎร นําโดย พลเอก เทียนชัย สิริสัมพันธ์ พรรคมวลชน นําโดยนายเฉลิม อยู่บํารุง และ พรรคสหประชาธิปไตย นําโดย นาย บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ [29]

ต่อมา ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2532 พรรคฝ่ายค้านนําโดย นายณรงค์ วงศ์วรรณ ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรี 4 ท่าน ประกอบด้วย พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (พรรคประชาธิปัตย์) นายประจวบ ไชยสาส์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ (พรรคประชาธิปัตย์) นายสุบิน ปิ่นขยัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พรรคกิจสังคม) และ ร้อยตํารวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (พรรคมวลชน) แม้ว่ารัฐมนตรีทั้ง 4 ท่านจะได้รับความไว้วางใจ ทว่าพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ได้รับคะแนนความไว้วางใจน้อยกว่ารัฐมนตรีท่านอื่น สืบเนื่องจากเนื่องจาก ส.ส.พรรคกิจสังคมและพรรคชาติไทยลุกออกจากห้องประชุมระหว่างลงคะแนน เป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่พอใจ นายชวน หลีกภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายเจริญ คันธวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งทั้ง 2 ท่านสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดโปงว่า ส.ส.ภาคอีสาน 3 คน ของพรรคกิจสังคมไปติดต่อขอเงินจากนายเจริญ คันธวงศ์แลกกับผลประโยชน์ เหตุการณ์ในครั้งนี้เกือบบานปลาย แต่เหตุการณ์ได้ยุติลงก่อนสืบเนื่องจากพลเอกชาติชายได้เรียกแกนนำของพรรคกิจสังคม และ พรรคประชาธิปัตย์มาไกล่เกลี่ย[30]

ปัญหาสําคัญในยุคของรัฐบาล พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ คือเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่นต่อมา ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2532 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมากล่าวโจมตีรัฐบาลจนเป็นประเด็นร้อนว่า รัฐบาลนี้ดีทุกอย่าง แต่ปัญหาใหญ่หลวงที่ไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ก็คือปัญหาคอร์รัปชัน ที่ได้แผ่ขยายวงออกไปทุกหย่อมหญ้ากว่าร้อยละ 90 เข้าไปแล้ว ซึ่งเป็นเงื่อนไขทางการเมืองที่สำคัญ" จากวาทะดังกล่าวเป็นเหตุให้ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้ออกมาตอบโต้พลเอก ชวลิตว่า “ใครที่กล่าวว่ารัฐบาลพลเรือนมีการคอรัปชันสูงขึ้น 90% นั้น ให้กลับไปปัดกวาดบ้านเรือนของตัวเองเสียก่อน กองทัพไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง ต้องแปรสภาพกองทัพ โดยรื้อหลักสูตรทั้งหมดแล้วสร้างความเป็นวิชาชีพ” คำกล่าวของหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์นี้ ทำให้เกิดความไม่พึงพอใจขึ้นในบรรดานายทหารที่จบจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นอย่างมาก พลโทวิโรจน์ แสงสนิท ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ได้ออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ ปลดหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ุออกจากตำแหน่ง สุดท้ายแล้วหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ุจึงชิงตัดหน้า ด้วยการยื่นใบลาออกจากการเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ปลายปี พ.ศ. 2532 การคอร์รัปชันในรัฐบาลยังเป็นปัญหาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก พลเอกชวลิตยังได้ออกมาเตือนรัฐบาลอีกครั้งให้แก้ปัญหาโดยเร่งด่วน กล่าวว่า “ทหารจะหนุนรัฐบาลเฉพาะเรื่องที่มีความถูกต้องชอบธรรม และเป็นประโยชน์ต่อชาติและประชาชนเท่านั้น”

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันถูกกล่าวถึงมาตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี ทว่า การออกมาเปิดโปงการทุจิตคอร์รัปชันโดยนายสันติ ชัยวิรัตนะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533 ออกมาเปิดโปงว่า รัฐมนตรีของพรรคกิจสังคม ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ต้องการหาเงินเข้าพรรคจำนวน 500 ล้านบาท แต่เนื่องจากตนเป็นรัฐมนตรีใหม่จึงไม่สามารถหาเงินเข้าพรรคได้ตามจำนวนที่สั่ง จึงเกิดปัญหา และยังระบุว่า ผู้ใหญ่ในพรรคกิจสังคมสอนวิธีให้ทุจริต ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง มีเสียงเรียกร้องจากฝ่ายค้านและประชาชนให้ปรับคณะรัฐมนตรี ทว่าพรรคร่วมรัฐบาลยืนกรานไม่ให้ปรับคณะรัฐมนตรี [31]

ดังนั้น พลเอกชาติชายจึงตัดสินใจลาออกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2533 เพื่อเปิดทางให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี

วันรุ่งขึ้นคือ วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 พลเอกชาติชายได้รับความไว้วางใจกลับสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง[32] พร้อมตั้งรัฐบาลผสมจาก 5 พรรคคือ พรรคชาติไทย พรรคเอกภาพ พรรคประชากรไทย พรรคราษฎร และพรรคปวงชนชาวไทย โดยตัดพรรคที่มักมีปัญหาในรัฐบาลก่อนคือ พรรคกิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์ พรรคสหประชาธิปไตย และพรรคมวลชนออกไป จัดตั้งขึ้นเป็นคณะรัฐมนตรีคณะที่ 46 ของไทย[33]

ด้านความขัดแย้งของรัฐบาลพลเอก ชาติชาย กับ กองทัพ ที่มีมาโดยตลอดถึงจุดตึงเครียดที่สุด ในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 และการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ พลอากาศเอก สมบุญ ระหงษ์ แก้

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535 เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารรัฐบาลของพลเอกชาติชาย โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ทำให้มีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคจากพลเอกชาติชาย เป็นพลอากาศเอก สมบุญ ระหงษ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับ รสช. เพราะหวังกระชับความสัมพันธ์ของพรรคชาติไทยกับ รสช. แม้ในช่วงแรกพลอากาศเอก สมบุญ จะปฏิเสธเนื่องจากก่อนหน้านี้เขาพึ่งร่วมก่อตั้งพรรคสามัคคีธรรมซึ่งเป็นพรรคที่ใกล้ชิดกับ รสช. แต่ในที่สุดก็ตอบรับและดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทยคนใหม่ พลอากาศเอก สมบุญ เคยปราศรัยหาเสียงและให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งราว 10 คน ย้ายไปสังกัดพรรคสามัคคีธรรมอีกด้วย ตอกย้ำความตั้งใจให้พรรคสามัคคีธรรมชนะเลือกตั้ง สร้างความไม่พอใจให้กับแกนนำพรรคชาติไทยบางส่วนเช่น นายเสนาะ เทียนทอง[34]

ผลการเลือกตั้งปรากฎว่าพรรคสามัคคีธรรมชนะเลือกตั้งได้ สส. มาทั้งสิ้น 79 ที่นั่ง และพรรคชาติไทยอันดับ 2 ที่ 74 ที่นั่ง พรรคความหวังใหม่ซึ่งพึ่งก่อตั้งมาโดยพลเอกชวลิต ได้ไปทั้งสิ้น 72 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังธรรม และพรรคกิจสังคม ได้ 44, 41, 31 ที่นั่ง ตามลำดับ พลอากาศเอก สมบุญ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยก็สนับสนุนพรรคสามัคคีธรรมจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคสามัคคีธรรมได้จัดตั้งรัฐบาลซึ่งประกอบไปด้วย พรรคสามัคคีธรรม, พรรคชาติไทย, พรรคกิจสังคม, พรรคประชากรไทย และพรรคราษฎร รวมกันทั้งสิ้น 195 ที่นั่งจากทั้งสภา 360 ที่นั่ง และสนับสนุนนายณรงค์ วงศ์วรรณ จากพรรคสามัคคีธรรมเป็นนายกรัฐมนตรี[34]

ปรากฏข่าวว่าสหรัฐอเมริกาเคยปฏิเสธที่จะออกวีซ่าให้กับนายณรงค์ เนื่องจากสงสัยมีการพัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติด[35] ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเปลี่ยนชื่อผู้ที่จะถูกเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็น พลอากาศเอก สมบุญ ระหงษ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคที่ได้เสียงอันดับ 2 พลอากาศเอก สมบุญ ไม่อยากจะเสียคำพูด จึงได้ไปปรึกษากับ พลอากาศเอก เกษตร โรจนนิล รองหัวหน้า รสช. โดย พลอากาศเอก เกษตร เสนอเป็นชื่อของ พลเอก สุจินดา คราประยูร รองหัวหน้า รสช. อีกคน และอาสาไปเชิญให้ ถึงแม้ว่าพลเอก สุจินดา จะเคยประกาศไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[36] แต่ตอบรับคำเชิญ จากนั้นพรรคร่วมรัฐบาลก็เสนอชื่อพลเอก สุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป[34]

การขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอก สุจินดา ซึ่งเป็นแกนนำ รสช. ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจเป็นวงกว้างเพราะโดนมองเป็นการสืบทอดอำนาจ และตระบัดสัตย์ นำไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬและการลาออกของพลเอก สุจินดา ในที่สุด

การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แก้

หลังจากพลเอก สุจินดา ลาออก เป็นเหตุให้ต้องมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ กองทัพและพรรคร่วมรัฐบาลจึงจัดประชุมกันเพื่อหาทางออกโดยบุคคลหลักในที่ประชุมประกอบไปด้วย

และมีมติเสนอชื่อ พลอากาศเอก สมบุญ ระหงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอก สมบุญ พยายามปฏิเสธอย่างเต็มที่แต่ไม่เป็นผล ถึงแม้ว่า ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานรัฐสภา จะถูกทางพรรคชาติไทยกดดันอย่างมากให้เสนอชื่อพลอากาศเอก สมบุญ แต่ ดร. อาทิตย์ ก็ไม่ยอมเสนอชื่อของ พลอากาศเอก สมบุญ อยู่ดี และให้เหตุผลว่าประชาชนไม่ยอมรับ และจะเป็นการสืบทอดอำนาจอีกครั้ง สุดท้ายแล้ว ดร. อาทิตย์ เลือกที่จะเสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีแทน จึงเกิดเหตุการณ์ที่พลอากาศเอก สมบุญ แต่งชุดขาวรอเก้อนั่นเอง[34]

ต่อมาพลอากาศเอก สมบุญ ระหงษ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทย และที่ประชุมมีมติเลือก พลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสาร กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 ในวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 ในความจริงแล้วพลตำรวจเอก ประมาณ ได้ทาบทามให้พลเอก ชาติชาย อดีตหัวหน้าพรรค กลับมาดำรงตำแหน่ง แต่พลเอก ชาติชาย ตัดสินใจไปตั้งพรรคใหม่ และยังส่งผลให้สมาชิกพรรคชาติไทยจำนวนมากย้ายไปกับพลเอก ชาติชาย ด้วย[37][38]

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเดือนกันยายน พ.ศ. 2535 แก้

ผลการเลือกตั้งปรากฎว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดคือ 79 ที่นั่ง รองลงมาคือพรรคชาติไทย 77 ที่นั่ง และพรรคชาติพัฒนาที่พึ่งก่อตั้งขึ้นโดยพลเอก ชาติชาย ได้ถึง 60 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยพรรคฝ่ายค้านเดิมสมัยรัฐบาลพลเอก สุจินดา ส่วนพรรคชาติไทยนั้นเป็นฝ่ายค้านและพลตำรวจเอก ประมาณ หัวหน้าพรรค ดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านเป็นครั้งที่ 2[39] แต่อย่างไรก็ตามก็เกิดความขัดแย้งในพรรคชาติไทยขึ้น และมีแกนนำพรรคบางส่วนต้องการให้พลตำรวจเอก ประมาณ ลาออก ในที่สุดหลังดำรงตำแหน่งไปได้เพียง 1 ปี 10 เดือน พลตำรวจเอก ประมาณ ก็ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคในวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารพรรคแทน[40][13]

สำหรับหัวหน้าพรรคชาติไทยคนใหม่คือนายบรรหาร ศิลปอาชา เลขาธิการพรรคที่ดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนาน นั่นทำให้นายบรรหารได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง[41] นายบรรหารได้ยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้งคณะ ในวันที่ 17-18 พฤษภาคม จากกรณีความผิดพลาดในการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01[42] ที่ในขณะนั้นโดนโจมตีอย่างหนักจากสังคม ประกอบกับขณะนั้นสถานการณ์ของรัฐบาลชวน หลีกภัย ไม่มั่นคงอย่างยิ่ง เนื่องจากความขัดแย้งกันภายในพรรคพลังธรรมส่งผลให้พรรคมีมติงดออกเสียง[43] รวมถึงสมาชิกกลุ่ม 16 ของพรรคชาติพัฒนาซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็มีแนวโน้มที่จะไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วย ส่งผลให้นายชวน นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรในเช้าวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ก่อนจะมีการลงมติไม่นาน[44]

บุคลากรในพรรค แก้

รายนามหัวหน้าพรรคชาติไทย แก้

หัวหน้าพรรคชาติไทย
ลำดับที่ รูป รายนาม เริ่มวาระ สิ้นสุดวาระ ตำแหน่งสำคัญ
1

(1)

  พลตํารวจเอกประมาณ อดิเรกสาร 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 24 มิถุนายน พ.ศ. 2529
-   กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทย
25 มิถุนายน พ.ศ. 2529
(รักษาการ)
26 กรกฎาคม พ.ศ. 2529
2   พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 15 กรกฏาคม พ.ศ. 2534
-   จาตุรนต์ ฉายแสง 16 กรกฏาคม พ.ศ. 2534
(รักษาการ)
26 กรกฏาคม พ.ศ. 2534
(ลาออก)
3   พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ 27 กรกฏาคม พ.ศ. 2534 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2535
1

(2)

  พลตํารวจเอกประมาณ อดิเรกสาร 30 ตุลาคม พ.ศ. 2535 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2537
-   ชลอ ธรรมศิริ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2537
(รักษาการ)
31 พฤษภาคม พ.ศ. 2537
4

(1)

  บรรหาร ศิลปอาชา 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 28 มีนาคม พ.ศ. 2540
-   ร้อยตํารวจโท เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ 29 มีนาคม พ.ศ. 2540
(รักษาการ)
5 พฤษภาคม พ.ศ. 2540
(ลาออก)
4

(2)

  บรรหาร ศิลปอาชา 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 7 มกราคม พ.ศ. 2544
-   ศักดิ์สยาม ชิดชอบ 22 มกราคม พ.ศ. 2544
(รักษาการ)
12 เมษายน พ.ศ. 2544
4

(3)

  บรรหาร ศิลปอาชา 17 เมษายน พ.ศ. 2544 25 กันยายน พ.ศ. 2547
-   ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ 29 กันยายน พ.ศ. 2547
(รักษาการ)
31 ตุลาคม พ.ศ. 2547
4

(5)

  บรรหาร ศิลปอาชา 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551
(ยุบพรรค)

รายนามรองหัวหน้าพรรคชาติไทย แก้

  1. พลตรี ศิริ สิริโยธิน 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 - 23 ธันวาคม พ.ศ. 2520[45]
  2. พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2520 - 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523
  3. พันเอก พล เริงประเสริฐวิทย์ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 - 7 เมษายน พ.ศ. 2525
  4. ดร. อนุวรรตน์ วัฒนพงศ์ศิริ 24 เมษายน พ.ศ. 2525 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2525[46]
  5. ดร. สอาด ปิยวรรณ 30 กรกฏาคม พ.ศ. 2525 - 20 มกราคม พ.ศ. 2526[47]
  6. ทวิช กลิ่นประทุม 21 มกราคม พ.ศ. 2526 - 4 มีนาคม พ.ศ. 2530
  7. บุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ 5 มีนาคม พ.ศ. 2530 - 1 กรกฏาคม พ.ศ. 2534[48]
  8. ประมวล สภาวสุ 5 กรกฏาคม พ.ศ. 2534 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2535[48][46]
  9. วัฒนา อัศวเหม 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 - 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539[46][49]
  10. ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 - 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543
  11. ชาญชัย ประเสริฐสุวรรณ 3 มีนาคม พ.ศ. 2543 - 6 มกราคม พ.ศ. 2544
  12. วราวุธ ศิลปอาชา 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 - 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547
  13. ชุมพล ศิลปอาชา 2 มีนาคม พ.ศ. 2547 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
  14. พลตํารวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์ 1 มีนาคม พ.ศ. 2550 - 25 สิงหาคม พ.ศ. 2550
  15. อนุรักษ์ จุรีมาศ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550 - 1 ธันวาคม พ.ศ. 2550
  16. กัญจนา ศิลปอาชา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550-2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

รายนามเลขาธิการพรรคชาติไทย แก้

เลขาธิการพรรคชาติไทย
ลำดับที่ รูป รายนาม เริ่มวาระ สิ้นสุดวาระ
1   พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523
-   ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ 1 มีนาคม พ.ศ. 2523 3 มีนาคม พ.ศ. 2523
2   บรรหาร ศิลปอาชา 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2537[50]
3   เสนาะ เทียนทอง 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2537[50] 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539[51]
4   ปองพล อดิเรกสาร 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 12 เมษายน พ.ศ. 2543[52]
5   สนธยา คุณปลื้ม 12 เมษายน พ.ศ. 2543 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2547[53]
6   ประภัตร โพธสุธน 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

(ยุบพรรค)

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรค แก้

ดูบทความหลัก: คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551

เมื่อเวลา 12.30 น. ของวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชน, พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ภายหลังนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย และนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย แถลงด้วยวาจาเสร็จสิ้นแล้ว โดยไม่รอพรรคพลังประชาชนไม่ได้ส่งตัวเข้าแถลงปิดคดีแต่อย่างใด

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 8 ต่อ 1 สั่งยุบพรรคชาติไทย โดยศาลฯได้วินิจฉัยว่าพรรคมีความผิดตามมาตรา 237 วรรค 2 และมาตรา 68 ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ และกฎหมายได้เอาไว้เป็นเด็ดขาด แม้จะมีการโต้แย้งว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคคนอื่นฟังไม่ขึ้น[54]

ภายหลังการยุบพรรคชาติไทยแล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค และสมาชิกพรรคบางส่วนได้ย้ายไปสังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองร่วมกัน โดยมีชุมพล ศิลปอาชา เป็นหัวหน้าพรรค

รายนามกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แก้

  1. บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค
  2. สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรค
  3. วินัย วิริยกิจจา รองหัวหน้าพรรค
  4. จองชัย เที่ยงธรรม รองหัวหน้าพรรค
  5. อนุรักษ์ จุรีมาศ รองหัวหน้าพรรค
  6. กัญจนา ศิลปอาชา รองหัวหน้าพรรค
  7. นิกร จำนง รองหัวหน้าพรรค
  8. วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองหัวหน้าพรรค
  9. ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รองหัวหน้าพรรค
  10. ประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรค
  11. เกษม สรศักดิ์เกษม รองเลขาธิการพรรค
  12. ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ รองเลขาธิการพรรค
  13. จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ รองเลขาธิการพรรคและโฆษกพรรค
  14. นพดล พลเสน รองเลขาธิการพรรค
  15. มณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการพรรค (ถูก กกต.เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง)
  16. ธรรมา ปิ่นสุกาญจนะ เหรัญญิกพรรค
  17. กมล จิระพันธุ์วาณิช กรรมการบริหารพรรค
  18. กูเฮง ยาวอหะซัน กรรมการบริหารพรรค
  19. ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ กรรมการบริหารพรรค
  20. ธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ กรรมการบริหารพรรค
  21. บุปผา อังกินันท์ กรรมการบริหารพรรค
  22. บัณฑูรย์ เกียรติก้องชูชัย กรรมการบริหารพรรค
  23. ปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์ กรรมการบริหารพรรค
  24. ปฐมพงศ์ สูญจันทร์ กรรมการบริหารพรรค
  25. ปอรรัชม์ ยอดเณร กรรมการบริหารพรรค
  26. มงคล โค้ววัฒนะวงษ์รักษ์ กรรมการบริหารพรรค
  27. ยุทธนา โพธสุธน กรรมการบริหารพรรค
  28. รัฐกิตติ์ ผาลีพัฒน์ กรรมการบริหารพรรค
  29. วราวุธ ศิลปอาชา กรรมการบริหารพรรค
  30. วิพัฒน์ คงมาลัย กรรมการบริหารพรรค
  31. วิรัช พิมพะนิตย์ กรรมการบริหารพรรค
  32. วิชิต แย้มบุญเรือง กรรมการบริหารพรรค
  33. ศักดิ์ชัย จินตะเวช กรรมการบริหารพรรค
  34. สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง กรรมการบริหารพรรค
  35. สมพัฒน์ แก้วพิจิตร กรรมการบริหารพรรค
  36. สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ กรรมการบริหารพรรค
  37. สมชาย ไทยทัน กรรมการบริหารพรรค
  38. สุภัตรา วิมลสมบัติ กรรมการบริหารพรรค
  39. เอกพจน์ ปานแย้ม กรรมการบริหารพรรค
  40. เอกสิทธิ์ คุณานันทกุล กรรมการบริหารพรรค
  41. อมร อนันตชัย กรรมการบริหารพรรค
  42. กฤชชัย มรรคยาธร กรรมการบริหารพรรค
  43. เสมอกัน เที่ยงธรรม กรรมการบริหารพรรค

ผลการเลือกตั้ง แก้

ผลการเลือกตั้งทั่วไป แก้

การเลือกตั้ง จำนวนที่นั่ง คะแนนเสียงทั้งหมด สัดส่วนคะแนนเสียง ที่นั่งเปลี่ยน สถานภาพพรรค ผู้นำเลือกตั้ง
2518
28 / 269
2,220,897 12.1%   28 ฝ่ายค้าน (2518) ประมาณ อดิเรกสาร
ร่วมรัฐบาล (2518-2519)
2519
56 / 279
3,280,134 17.5%   28 ร่วมรัฐบาล
2522
42 / 301
2,213,299 11.3%   14 ฝ่ายค้าน (2522-2523)
ร่วมรัฐบาล (2523-2526)
2526
110 / 324
6,315,568 23.8%   68 ฝ่ายค้าน
2529
64 / 347
6,496,370 17.3%   46 ร่วมรัฐบาล
2531
87 / 357
7,612,148 19.3%   23 พรรคจัดตั้งรัฐบาล ชาติชาย ชุณหะวัณ
มี.ค. 2535
74 / 360
7,305,674 16.4%   13 ร่วมรัฐบาล สมบุญ ระหงษ์
ก.ย. 2535
77 / 360
7,274,474 15.76   3 ฝ่ายค้าน ประมาณ อดิเรกสาร
2538
92 / 391
12,630,074 22.83%   15 พรรคจัดตั้งรัฐบาล บรรหาร ศิลปอาชา
2539
39 / 393
5,621,890 9.88%   53 ฝ่ายค้าน (2539-2540)
ร่วมรัฐบาล (2540-2543)
2544
41 / 500
1,516,192 5.23%   2 ร่วมรัฐบาล
2548
25 / 500
2,061,559 6.56%   16 ฝ่ายค้าน
2549 คว่ำบาตรการเลือกตั้ง - การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
2550
37 / 480
1,542,282 4.24%   12 ร่วมรัฐบาล

การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แก้

การเลือกตั้ง ผู้สมัคร คะแนนเสียงทั้งหมด สัดส่วนคะแนนเสียง ผลการเลือกตั้ง
2539 อากร ฮุนตระกูล 29,084   พ่ายแพ้
2547 กอบศักดิ์ ชุติกุล 3,196   พ่ายแพ้

การแยกตัวของสมาชิกพรรค แก้

พรรคชาติไทยเคยมีสมาชิกพรรคที่ลาออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยมีดังนี้

อ้างอิง แก้

  1. Carpenter, C. (2007), "Thailand: Government", World and Its Peoples: Myanmar and Thailand, Marshall Cavendish, p. 667, ISBN 9780761476313, สืบค้นเมื่อ 26 January 2012
  2. 2.0 2.1 Maisrikrod, Surin (1992), Thailand's Two General Elections in 1992: Democracy Sustained, Institute of South East Asian Studies, p. 11, ISBN 9789813016521, สืบค้นเมื่อ 26 January 2012
  3. "พรรคชาติไทยพัฒนา | Thailand Democracy Watch - ศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-05.
  4. Ungpakorn, Giles Ji (2003), "From the city, via the jungle, to defeat: the 6th Oct 1976 bloodbath and the C.P.T." (PDF), Radicalising Thailand: New Political Perspectives, Institute of Asian Studies, Chulalongkorn University, p. 7, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 12 October 2013, สืบค้นเมื่อ 26 January 2011
  5. Pasuk Phongpaichit; Chris Baker (1997), "Power in transition: Thailand in the 1990s", Political Change in Thailand: Democracy and Participation, Routledge, p. 30
  6. พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งนายกรัฐมนตรี (พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ สมัยที่ ๒)
  7. พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งนายกรัฐมนตรี (พลเอก เปรม ติณสูลานนท์)
  8. พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี (จำนวน ๓๗ ราย)
  9. พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งรัฐมนตรี (นายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ)
  10. "ใต้ถุนบ้านซอยสวนพลู (๒๗)". posttoday. 2022-04-09.
  11. พระบรมราชโองการ ประกาศ รัฐมนตรีลาออกและตั้งรัฐมนตรี (ลาออกจากตำแหน่ง จำนวน ๘ ราย และแต่งตั้งรัฐมนตรี จำนวน ๑๓ ราย)
  12. พระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๒๖
  13. 13.0 13.1 13.2 ประมาณ อดิเรกสาร : ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก/พลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสาร ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว อดีตรองนายกรัฐมนตรี ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2553.
  14. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคชาติไทย
  15. พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งนายกรัฐมนตรี (พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ สมัยที่ ๒)
  16. พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร)
  17. DemocracyxInnovation (2020-02-22). "คลังข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจ". The Office of Innovation for Democracy (ภาษาอังกฤษ).
  18. รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1/วันที่ 1 พฤษภาคม 2529
  19. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคกิจสังคม
  20. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๒๙ [ยุบสภาตั้งแต่วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๙ และให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เนื่องจากการไม่อนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ พ.ศ. ๒๕๒๙]
  21. 21.0 21.1 วิเคราะห์ความเป็นผู้นำทางการเมืองของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ สมชัย ฉัตรพัฒนศิริ
  22. พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งนายกรัฐมนตรี (พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ สมัยที่ ๓)
  23. พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (จำนวน ๔๔ ท่าน)
  24. พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร (นายชวน หลีกภัย นายชุมพล ศิลปอาชา นายใหม่ ศิรินวกุล)
  25. "บทเรียนสอนไม่จำ 32ปี กลุ่ม "10 มกรา" คนประชาธิปัตย์ ซ้ำรอยเสี้ยมกันเอง". www.thairath.co.th. 2019-03-25.
  26. "ย้อนดู 4 เหตุการณ์: ล้มรัฐบาลด้วยการลงมติในสภา" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2019-10-16.
  27. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๑ [ยุบสภาตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๓๑ และให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๓๑]
  28. https://www.silpa-mag.com/history/article_33322
  29. "คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 45", วิกิพีเดีย, 2023-02-27, สืบค้นเมื่อ 2023-04-28
  30. https://www.silpa-mag.com/history/article_56956
  31. https://www.silpa-mag.com/history/article_56956
  32. https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1602854.pdf
  33. https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1602859.pdf
  34. 34.0 34.1 34.2 34.3 “พฤษภาทมิฬ” จะไม่เกิด หากมีนายกฯ ชื่อ “สมบุญ ระหงษ์” ? https://www.silpa-mag.com
  35. "ร่วมกันสู้ พลตรีจำลอง ศรีเมือง". www.asoke.info.
  36. ที่มาวาทะพลเอกสุจินดา “ผมจำเป็นต้องเสียสัตย์” ก่อนนำสู่ “พฤษภาทมิฬ” https://www.silpa-mag.com
  37. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง พรรคชาติไทยเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค
  38. ประมาณ อดิเรกสาร : ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก/พลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสาร ม.ป.ช., ม.ว.ม., ท.จ.ว อดีตรองนายกรัฐมนตรี ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2553. หน้าที่ 392
  39. "พระบรมราชโองการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (พลตำรวจเอกประมาณ อดิเรกสาร สมัยที่ 2)" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2023-10-16.
  40. ประกาศสำนักงานนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง พรรคชาติไทยเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรค (จำนวน ๕๔ คน)
  41. พระบรมราชโองการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (บรรหาร ศิลปอาชา สมัยที่ 1)
  42. DemocracyxInnovation (2020-02-22). "คลังข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจ". The Office of Innovation for Democracy (ภาษาอังกฤษ).
  43. บทเรียน จากอดีต เดือน พฤษภาคม 2538 ของ ‘ส.ป.ก.4-01’ มติชนhttps://www.matichon.co.th/columnists/news_295550
  44. พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๘ [ยุบสภาตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๘ และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไป ในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๘]
  45. "ราชกิจจานุเบกษา (หน้า 261)" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-11-08. สืบค้นเมื่อ 2011-05-22.
  46. 46.0 46.1 46.2 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง พรรคชาติไทยเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค
  47. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง พรรคชาติไทยเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค
  48. 48.0 48.1 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยอมรับการเปลี่ยนแปลงของพรรคชาติไทย ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๒๔
  49. ประกาศสำนักงานนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง พรรคชาติไทยเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค
  50. 50.0 50.1 ประกาศสำนักงานนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง พรรคชาติไทยเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรค (จำนวน ๕๔ คน)
  51. ประกาศสำนักงานนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง พรรคชาติไทยเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค
  52. ประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง ตอบรับการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหาร พรรคชาติไทย
  53. ประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง ตอบรับการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคชาติไทย
  54. ผู้จัดการออนไลน์, ศาล รธน.มติเอกฉันท์! สั่งยุบ “พปช.” ตัดสิทธิ กก.บห.5 ปี - “ชายอำมหิต” หลุดเก้าอี้ เก็บถาวร 2011-08-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เข้าถึงข้อมูลวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ดูเพิ่ม แก้

แหล่งข้อมูลอื่น แก้