ปรีดี พนมยงค์

อดีตนายกรัฐมนตรีไทย
(เปลี่ยนทางจาก หลวงประดิษฐ์มนูธรรม)

ปรีดี พนมยงค์[a] (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 – 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) เป็นนักกฎหมาย นักวิชาการ นักการทูต และรัฐบุรุษอาวุโสของไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 7 ใน พ.ศ. 2489 และเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ระหว่าง พ.ศ. 2484–2488 ปรีดีเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งคณะราษฎร มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 เขายังเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และธนาคารแห่งประเทศไทย

ปรีดี พนมยงค์
ปรีดี ใน พ.ศ. 2489
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ดำรงตำแหน่ง
16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 – 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
นายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7
ดำรงตำแหน่ง
24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ก่อนหน้าควง อภัยวงศ์
ถัดไปถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ดำรงตำแหน่ง
5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 – 8 เมษายน พ.ศ. 2490
ก่อนหน้าเลือกตั้งเพิ่มเติม
ถัดไปหม่อมเจ้านิตยากร วรวรรณ
ตำแหน่งรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ดำรงตำแหน่ง
24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489
นายกรัฐมนตรีตนเอง
ก่อนหน้าพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล)
ถัดไปวิจิตร ลุลิตานนท์
ดำรงตำแหน่ง
20 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484
นายกรัฐมนตรีแปลก พิบูลสงคราม
ก่อนหน้าเสริม กฤษณามระ
ถัดไปเภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ดำรงตำแหน่ง
12 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 – 13 ธันวาคม พ.ศ. 2481
นายกรัฐมนตรีพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
ก่อนหน้าพระยาศรีเสนา (ศรีเสนา สมบัติศิริ)
ถัดไปเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดำรงตำแหน่ง
29 มีนาคม พ.ศ. 2477 – 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478
นายกรัฐมนตรีพระยาพหลพลพยุหเสนา
ก่อนหน้าพระยาพหลพลพยุหเสนา
ถัดไปถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
ปรีดี

11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443
อำเภอกรุงเก่า มณฑลกรุงเก่า ประเทศสยาม
เสียชีวิต2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 (82 ปี)
อ็องโตนี ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
พรรคการเมืองคณะราษฎร
สหชีพ
การเข้าร่วม
พรรคการเมืองอื่น
เสรีไทย (2484–2488)
คู่สมรสพูนศุข ณ ป้อมเพชร (สมรส 2471)
บุตร6 คน รวมถึงปาล, ศุขปรีดา และดุษฎี
ญาติอรรถกิจ พนมยงค์ (น้องชายร่วมบิดา)
การศึกษามหาวิทยาลัยปารีส (น.ด.)
ลายมือชื่อ

ปรีดีถือกำเนิดในครอบครัวชาวนา ณ อำเภอกรุงเก่า มณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคืออำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) แต่ได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างกว้างขวาง สำเร็จการศึกษาจากเนติบัณฑิตยสภาเมื่ออายุเพียง 19 ปี และได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสจนสำเร็จนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยปารีสใน พ.ศ. 2469 ระหว่างพำนักในฝรั่งเศส เขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งคณะราษฎร และเมื่อกลับสู่สยามได้เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษา ผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และอาจารย์กฎหมายปกครอง ภายหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เขามีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญ และเสนอ "เค้าโครงการเศรษฐกิจ" อันสะท้อนแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย แม้แนวคิดนี้จะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากฝ่ายอนุรักษนิยมจนต้องลี้ภัยในระยะหนึ่ง แต่เขาก็สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาและแปลก พิบูลสงคราม โดยมีบทบาทในการปฏิรูประบบราชการ การบริหารท้องถิ่น และการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับชาติตะวันตกอย่างมีนัยสำคัญ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดีได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ระหว่าง พ.ศ. 2484–2488 และเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยภายในประเทศ โดยดำเนินกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลภายใต้การนำของแปลก ซึ่งเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิญี่ปุ่นและฝ่ายอักษะ รวมถึงมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์และประกาศสงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ปรีดีมีบทบาทสำคัญในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่ให้ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม หลังสงครามยุติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ โปรดเกล้าฯ ยกย่องเขาให้ดำรงตำแหน่งรัฐบุรุษอาวุโส

อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งทางการเมืองทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภายหลังเหตุการณ์สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ ใน พ.ศ. 2489 ซึ่งทำให้ปรีดีตกเป็นเป้าของข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง[1]: 54–5  จนนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึงสองครั้ง กระทั่งเกิดรัฐประหารใน พ.ศ. 2490 เขาจึงต้องลี้ภัยทางการเมือง ใน พ.ศ. 2492 ปรีดีร่วมมือกับพันธมิตรทางการเมืองเพื่อพยายามโค่นล้มรัฐบาลแปลก ผ่านเหตุการณ์กบฏวังหลวง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้สูญเสียอำนาจทางการเมืองอย่างถาวร เขาจึงลี้ภัยไปยังประเทศจีน และในเวลาต่อมาได้พำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสโดยถาวร มิได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทยอีกเลยจนถึงแก่อสัญกรรม ณ กรุงปารีส เมื่อ พ.ศ. 2526[2] ต่อมาใน พ.ศ. 2529 ได้มีการอัญเชิญอัฐิของเขากลับประเทศไทย พร้อมทั้งได้รับพระราชทานผ้าไตรในพิธีทักษิณานุประทานโดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ปรีดีได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติอย่างสูง โดยมีการจัดตั้งอนุสรณ์ต่าง ๆ เพื่อระลึกถึงคุณูปการของเขา อาทิ วันปรีดี พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตลอดจนอนุสาวรีย์ รวมถึงสถานที่และสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดที่ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา แม้ว่าปรีดีจะเคยตกเป็นเป้าของข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องในการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ แต่ศาลยุติธรรมได้มีคำพิพากษาให้เขาเป็นฝ่ายชนะในคดีหมิ่นประมาททุกคดีที่เขาเป็นโจทก์ฟ้องร้อง[3][b] ปรีดีจึงยังคงได้รับการยกย่องอย่างต่อเนื่องในฐานะสัญลักษณ์ของนักประชาธิปไตย และนักต่อสู้ต่อต้านเผด็จการทหารในความทรงจำร่วมของสังคมไทย และใน พ.ศ. 2542 องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องเขาให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เนื่องในโอกาสครบ 100 ปีชาตกาล[4] ซึ่งนับเป็นหนึ่งในจำนวนไม่มากของชาวไทยที่ได้รับเกียรติสูงสุดเช่นนี้จากสถาบันในระดับนานาชาติ

ชีวิตช่วงต้น

แก้
 
ปรีดี สมัยเรียนมัธยมศึกษา ใน พ.ศ. 2458

ปรีดี เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พุทธศักราช 2443 ณ เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า มณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคืออำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ในครอบครัวชาวนาที่มีฐานะปานกลาง เป็นบุตรคนที่สองจากทั้งหมดห้าคนของเสียงและลูกจันทน์ ทั้งยังมีพี่น้องต่างมารดาอีกสองคน โดยหนึ่งในนั้นคือ อรรถกิจ สมาชิกคณะราษฎรซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอัครราชทูตไทยประจำกรุงสต็อกโฮล์ม บรรพบุรุษของปรีดีตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดพนมยงค์มาอย่างยาวนาน โดยสืบเชื้อสายจากพระนมในราชสำนักกรุงศรีอยุธยานามว่า "ประยงค์" ผู้สร้างวัดในที่สวนของตนเอง ซึ่งภายหลังได้ชื่อตามผู้สร้างว่า "วัดพระนมยงค์" หรือ "วัดพนมยงค์" ครั้นเมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 ทายาทของตระกูลจึงได้รับนามสกุลว่า "พนมยงค์"[5][6]: 11 

บรรพบุรุษรุ่นปู่และย่าของปรีดีประกอบกิจการค้าขาย มีฐานะเป็นคหบดีใหญ่[6]: 9 [7]: 2  แต่บิดาชอบชีวิตอิสระ ไม่ชอบประกอบอาชีพค้าขาย จึงหันไปยึดอาชีพกสิกรรม เริ่มต้นด้วยการทำป่าไม้ และต่อมาได้ไปบุกเบิกถางพงร้างเพื่อจับจองที่ทำนาบริเวณทุ่งหลวง อำเภอวังน้อย[7]: 4–6  อย่างไรก็ตาม เขากลับประสบปัญหาภัยธรรมชาติและสัตว์รังควาน ทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี ซ้ำรัฐบาลยังให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในการขุดคลองผ่านที่ดินของเขา พร้อมทั้งเรียกเก็บค่าขุดคลองโดยไม่ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น[7]: 10  จึงทำให้บิดาของปรีดีต้องกู้เงินมาจ่ายเป็นค่ากรอกนา เป็นผลให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวตกต่ำลง และกลายเป็นหนี้สินอยู่หลายปี[7]: 11–14 

จากการเติบโตในครอบครัวชาวนาที่เคยประสบกับปัญหาภัยธรรมชาติ การสูญเสียที่ดิน และการเป็นหนี้สินสะสม ทำให้ปรีดีซึมซับถึงความทุกข์ยากของชนชั้นชาวนาโดยตรง เขาตระหนักถึงการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าที่ดินศักดินา ซึ่งเป็นผู้ถือครองทรัพยากรแต่เพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ประชาชนจำนวนมากต้องแบกรับความเหลื่อมล้ำโดยไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงผลักดันอันสำคัญในวัยเยาว์ที่กระตุ้นให้เขาคิดถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศ ซึ่งต่อมาหล่อหลอมให้เขากลายเป็นนักคิดหัวก้าวหน้า ผู้ต้องการปรับเปลี่ยนระบบอันไม่เป็นธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในสยาม[7]: 48–55 

ปรีดีเริ่มสนใจในเรื่องการเมืองตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี โดยได้รับอิทธิพลจากข่าวสารระดับนานาชาติในขณะนั้น โดยเฉพาะเหตุการณ์การปฏิวัติซินไฮ่ในประเทศจีน เมื่อ พ.ศ. 2454 ซึ่งเป็นการล้มล้างราชวงศ์ชิง และสถาปนาสาธารณรัฐจีนภายใต้การนำของซุน ยัตเซ็น ซึ่งเป็นต้นแบบของผู้นำแนวปฏิวัติที่เน้นอุดมการณ์ "ชาติ ประชาธิปไตย และความเป็นอยู่ของประชาชน" รวมถึงเหตุการณ์ในประเทศสยามเองคือกบฏ ร.ศ. 130 (พ.ศ. 2451) โดยเป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองสู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญของกลุ่มนายทหารและพลเรือนปัญญาชน ซึ่งล้มเหลวและนำไปสู่การจับกุมและลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้เกี่ยวข้อง เหตุการณ์นี้กระทบใจปรีดีอย่างลึกซึ้ง แม้เขายังเป็นเพียงเด็ก แต่ก็แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกลุ่มผู้ถูกลงโทษ และตั้งคำถามกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างเงียบงันในใจ[8]

การศึกษา

แก้
 
ปรีดีขณะศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยก็อง

แม้นเกิดในครอบครัวชาวนา แต่บิดาของเขาเป็นผู้ใฝ่รู้และเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษา และสนับสนุนให้บุตรได้รับการศึกษาที่ดีมาโดยตลอด[9]: 6  ปรีดีเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านครูแสง ตำบลท่าวาสุกรี[6]: 13–4  และสำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่โรงเรียนวัดศาลาปูน[6]: 20  อำเภอกรุงเก่า จากนั้นไปศึกษาชั้นมัธยมเตรียมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร[6]: 23  แล้วย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย)[6]: 25  จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดสำหรับหัวเมือง แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2460 อายุได้ 17 ปี เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และศึกษาภาษาฝรั่งเศสที่เนติบัณฑิตยสภา[10]: 14  รู้สึกประทับใจกับอาจารย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ เลเดแกร์ (Laydeker) ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรมด้วย ต่อมาสอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตได้ในขณะมีอายุ 19 ปี เขาเคยว่าความคดีเดียว โดยเป็นทนายความจำเลยในคดีที่จำเลยก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณสถานที่ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเขาให้เหตุผลจนชนะคดีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย[11]: 28  ต่อมาเขาทำงานเป็นเสมียนกรมราชทัณฑ์โดยได้รับการสนับสนุนจากอธิบดี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ซึ่งปรีดียกย่องว่าได้รับความรู้เรื่องการบริหารรัฐกิจจากเขา[11]: 28–9 

ต่อมาได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงยุติธรรมให้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2463[10]: 12  เขาใช้เวลาเรียนเตรียมภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน และภาษาอังกฤษก่อนหนึ่งปี[11]: 29  แล้วสามารถสอบเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยก็อง (Université de Caen) จนสอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็น "บาเชอลีเย" สาขากฎหมาย (bachelier en droit) และได้ปริญญารัฐเป็น "ลีซ็องซีเย" สาขากฎหมาย (Licencié en Droit) ตามลำดับ[10]: 15–7  ทั้งนี้หลักสูตรลิซองซิเอของฝรั่งเศสได้รวบรวมความรู้หลายด้าน ทั้งการยุติธรรม ศาล มหาดไทย คลัง ต่างประเทศ[10]: 16  เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขานิติศาสตร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีสใน พ.ศ. 2469 โดยเขาเสนอวิทยานิพนธ์ชื่อ "ในกรณีที่หุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ฐานะของห้างหุ้นส่วนส่วนบุคคลจะเป็นอย่างไร (ศึกษาตามกฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ)" (Du Sort des Sociétés de Personnes en cas de Décès d'un Associé (Étude de droit français et de droit comparé))[10]: 17 [11]: 29  ซึ่งอุทิศให้แก่เลเดแกร์[10]: 14  นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปริญญาเอกแห่งรัฐ (doctorat d'état) เป็น "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย" (docteur en droit) ฝ่ายนิติศาสตร์ (sciences juridiques)[10]: 19  นอกจากนี้เขายังสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง (diplôme d'études supérieures d'économie politique) อีกด้วย[11]: 29 [12]: 13–7 

ใน พ.ศ. 2467 ปรีดีก่อตั้งสมาคมนักเรียนไทยในกรุงปารีส ชื่อ "สามัคยานุเคราะห์สมาคม" และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสมาคม ต่อมาเขาเกิดพิพาทกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส เนื่องจากขัดคำสั่งพระองค์ที่ห้ามส่งตัวแทนสมาคมนักเรียนไปยังสหราชอาณาจักรใน พ.ศ. 2469[11]: 30–1  ต่อมา บรรดาผู้บริหารสมาคมกำลังร่างคำร้องทุกข์ขอเพิ่มเงินเดือนเนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลฟรังก์ ทำให้อัครราชทูตหมดขันติ[11]: 32  พระองค์ทำหนังสือกราบบังคมทูลว่า ปรีดีเป็นหัวหน้าชักชวนนักเรียนขัดคำสั่งเอกอัครราชทูตเห็นจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์และให้เรียกตัวกลับ[13]: 51  ด้านพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริว่าไม่ทรงถือปรีดีเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ แต่มีการกระทำที่อวดดีแบบคนหนุ่ม[13]: 52–3  และให้ยุบสมาคมฯ[11]: 32–3  อย่างไรก็ดี บิดาของปรีดีถวายฎีกาขอให้ผ่อนผันการเรียกตัวปรีดีกลับประเทศจนกว่าจะสำเร็จปริญญาเอก[11]: 33–4  กระทรวงยุติธรรมโดยเจ้าพระยาพิชัยญาติขอเอาตัวเองเป็นประกันขอให้ปรีดีศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษา[10]: 19  อีกหลายปีถัดมา ปรีดีให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเขาตั้งใจปลุกปั่นนักเรียนให้เกิดสำนึกทางการเมืองจริงซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต[11]: 34  นอกจากนี้ ปรีดียังถูกเพ่งเล็งจากกรณีไปพบผู้แทนสาธารณรัฐจีนคนหนึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ[13]: 53 

วิชาชีพกฎหมาย

แก้

เมื่อกลับถึงจังหวัดพระนครในเดือนเมษายน พ.ศ. 2470[11]: 34  เขาเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย (ปัจจุบันคือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม"[14] (ต่อมาได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์ในปี 2485[15]) เขาเกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมาย นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน และทำหน้าที่เป็นศาลปกครองพิจารณาข้อพิพาทระหว่างข้าราชการและราษฎร[10]: 23  เมื่อปี 2471 ขณะมีอายุ 28 ปี ต่อมาในปี 2475 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการกรมร่างกฎหมาย ระหว่างนั้นเขาได้รวบรวมกฎหมายไทยตั้งแต่กฎหมายตราสามดวงจนถึงเวลานั้นเป็นเล่มเดียว ใช้ชื่อว่า ประชุมกฎหมายไทย และได้รับการตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2473 ที่โรงพิมพ์นิติสาสน์ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของเขาเอง หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมและสร้างรายได้ให้แก่เขาเป็นอย่างมาก[10]: 22 

นอกจากงานที่กรมร่างกฎหมายแล้ว ปรีดียังเป็นอาจารย์ผู้สอนที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ในชั้นแรกได้สอนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะหุ้นส่วน บริษัทและสมาคม ต่อมาได้สอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล ใน พ.ศ. 2474 ปรีดีเป็นคนแรกที่เริ่มสอนวิชากฎหมายปกครอง (Droit Administratif)[10]: 22  กล่าวกันว่าวิชากฎหมายปกครองนี้ เป็นวิชาที่สร้างชื่อเสียงแก่ปรีดีเป็นอย่างมาก[11]: 35  เพราะสาระของวิชานี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชากฎหมายมหาชน ซึ่งอธิบายการแยกใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งขัดต่อหลักสมบูรณาญาสิทธิราชย์[16] จูงใจให้ผู้ศึกษาใส่ใจกิจการบ้านเมือง รู้สึกอยากปกครองตนเอง[10]: 24  ในคำบรรยายของเขากล่าวถึงหลักการรัฐธรรมนูญ การพัฒนาการบริหารราชการแผ่นดินของสยาม และเศรษฐกิจการเมืองและการคลังสาธารณะเบื้องต้น[11]: 35  หนังสือวิชากฎหมายปกครองของเขากลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลุกเร้ามวลชนในการปฏิวัติสยาม[17]: 19 

สมาชิกคณะราษฎรกับบทบาทการเมืองช่วงแรก

แก้

ส่วนร่วมในการปฏิวัติสยาม

แก้
 
ถนนซอเมอราร์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นที่ประชุมครั้งแรกของผู้ก่อตั้งคณะราษฎร

ระหว่างศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ปรีดีเริ่มตกลงความคิดในการเปลี่ยนแปลงการปกครองกับร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2467[11]: 44  และร่วมกับผู้คิดเห็นตรงกันอีก 5 คน ประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อก่อตั้งคณะราษฎร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 ณ เลขที่ 5 ถนนซอเมอราร์ กรุงปารีส[11]: 45  ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วยร้อยโท แปลก ขีตตะสังคะ (จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในภายหลัง), ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี, ตั้ว ลพานุกรม, จรูญ สิงหเสนี และแนบ พหลโยธิน โดยมีปณิธานให้สยามบรรลุเป้าหมาย 6 ประการ ซึ่งต่อมาเรียก "หลัก 6 ประการของคณะราษฎร" ปรีดีได้รับมอบหมายให้ร่างนโยบายและโครงการต่าง ๆ เพื่อใช้หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง[11]: 46 

เมื่อปรีดีเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายในสยาม เขามีศิษย์หลายคนที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมและตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการ เช่น สงวน ตุลารักษ์, ดิเรก ชัยนาม และหาผู้มีความประสงค์ร่วมกัน เช่น ประจวบ บุนนาค, จรูญ สืบแสง, วิลาศ โอสถานนท์ เป็นต้น[9]: 69–70  ในการประชุมสมาชิกคณะราษฎรครั้งหนึ่ง ปรีดีได้แจกจ่ายโครงร่างแผนเศรษฐกิจของตนที่เป็นรูปแบบสหกรณ์ ซึ่งทั้งหมดเห็นพ้องและยกให้ปรีดีเป็นผู้ดำเนินการตามแผนนั้น[9]: 71–2  สำหรับในการปฏิวัตินั้น ปรีดีเป็นผู้เสนอให้จับเจ้านายและสมาชิกรัฐบาลพระองค์สำคัญเป็นตัวประกันเพื่อเลี่ยงการเสียเลือดเนื้ออย่างการปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติเดือนตุลาคมของรัสเซีย[9]: 72 

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ปรีดีร่วมกับสมาชิกคณะราษฎรก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เข้าสู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ หลังจากนั้นคณะราษฎรนำโดยปรีดีได้จัดให้มีการประชุมระหว่างคณะราษฎร และเสนาบดี ปลัดทูลฉลอง ขึ้น ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ท้องพระโรงของพระราชวังดุสิต เพื่อชี้แจงจุดประสงค์ หลักการระบอบใหม่ กฎหมายพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินโดยย่อ และขอความร่วมมือในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป[18]

การประนีประนอมกับอำนาจเก่า

แก้

ภายหลังการปฏิวัติ ปรีดีถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยาม สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับหลังนี้ปรีดีได้ถวายแก้ข้อข้องใจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย[17]: 23–5  ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองในระบอบใหม่ เขายังได้รับแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรก ด้วยตำแหน่งดังกล่าว ทำให้เขามีบทบาทด้านนิติบัญญัติในการวางหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้แก่ราษฎร โดยเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฉบับแรก และเป็นผู้ริเริ่มสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป[19]

เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการราษฎรและรัฐมนตรีไม่สังกัดกระทรวงในรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก พระยามโนปกรณ์นิติธาดาแสดงออกหลายครั้งว่าปรีดีเป็นผู้บงการรัฐบาลบ้าง เป็นผู้คุมเสียงในสภาบ้าง[17]: 20  ในการร่างรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรก เขากับพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นปรปักษ์กันเพราะฝ่ายพระยามโนปกรณ์นิติธาดาพยายามร่างรัฐธรรมนูญให้คล้ายกับรัฐธรรมนูญเมจิที่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างกว้างขวาง[9]: 108–9  นอกจากนี้ ปรีดียังเสนอให้ปรับปรุงภาษีอากรบางชนิดโดยเร็ว เช่น ยกเลิกอากรนาเกลือ ภาษีสมพัตสร ปรับปรุงภาษีการธนาคารและการประกันภัย ลดภาษีโรงเรือนที่ดิน ลดและเลิกอัตราเก็บเงินค่าที่สวน การเก็บเงินค่านา มีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกรเพื่อให้ทรัพย์สินที่มีความจำเป็นต่อการสร้างตัวของกสิกรถูกเจ้าหนี้ยึดไปไม่ได้[9]: 113–4  รัฐบาลยังออกกฎหมายหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พระราชบัญญัติสำนักงานจัดหางาน พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ซึ่งมีอัตราภาษีแบบก้าวหน้า[9]: 114–8 

การคิดที่จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนี้ ข้าพเจ้าได้เพ่งเล็งถึงสภาพอันแท้จริง ตลอดจนนิสสัยใจคอของราษฎรส่วนมากว่า การที่จะส่งเสริมให้ราษฎรได้มีความสุขสมบูรณ์นั้น ก็มีอยู่ทางเดียว ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้จัดการเศรษฐกิจเสียเอง โดยแบ่งการเศรษฐกิจนั้นออกเป็นสหกรณ์ต่าง ๆ ความคิดที่ข้าพเจ้าได้มีอยู่เช่นนี้ ไม่ใช่เป็นด้วยข้าพเจ้าได้มีอุปาทานผูกมั่นอยู่ในลัทธิใด ๆ ข้าพเจ้าได้หยิบเอาส่วนที่ดีของลัทธิต่าง ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ประเทศสยามแล้ว จึงได้ปรับปรุงยกขึ้นเป็นเค้าโครงการ[20]: 11 

—ปรีดี พนมยงค์

ใน พ.ศ. 2476 ปรีดีได้เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ ชื่อร่างว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร" หรือ "สมุดปกเหลือง" ต่อรัฐบาลเพื่อใช้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ โดยดำเนินเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ ทั้งยังมีวิสัยทัศน์เรื่องการตั้งหลักประกันสังคม[20]: 16–7  เขาประสงค์ให้รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินและแรงงาน ให้จัดสรรที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาใช้เพื่อการกสิกรรม และให้แบ่งปันกำไรอย่างเสมอภาค[21] ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าความคิดทางเศรษฐกิจของปรีดีมาจากปรัชญาภราดรภาพนิยม (solidaritism) ซึ่งผสานระหว่างความคิดแบบสังคมนิยมกับเสรีนิยมแบบรูโซ[21]

หม่อมเจ้าวัลภากร วรวรรณ ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจผู้หนึ่ง ทรงเห็นด้วยกับเค้าโครงของปรีดีเช่นกัน[9]: 131  รายงานการประชุมกรรมการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2475 (นับแบบเก่า) ระบุว่าผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นชอบกับแผนดังกล่าว[17]: 33–54  รัฐมนตรีบางคนไม่เห็นชอบโดยอ้างว่าทำไม่ได้บ้าง หรือใช้เวลา 50–100 ปีบ้าง นอกจากนี้พระยามโนปกรณ์นิติธาดายังให้มีมติของที่ประชุมว่าที่ประชุมยังเห็นไม่ลงรอยกัน และหากรัฐบาลเห็นชอบและประกาศใช้แผนดังกล่าว ถือว่าปรีดีประกาศโครงการเศรษฐกิจในนามของตนแต่ผู้เดียว[9]: 133–35 

 
ปรีดีขณะเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส ใน พ.ศ. 2476 หลังความขัดแย้งเรื่องสมุดปกเหลือง

เค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษนิยมและถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์[22] พระยามโนปกรณ์นิติธาดายกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงไม่เห็นด้วยมาเป็นเครื่องชี้ขาดและตีตกไป[13]: 55–6  สุพจน์ ด่านตระกูลเขียนว่าในสมุดปกเหลืองยังมีแผนตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ หลักประกันสังคมหรือสังคมสงเคราะห์ และการตั้งธนาคารแห่งชาติซึ่งถูกล้มไปพร้อมกับแผนนั้น ในเวลาต่อมามีการจัดตั้งขึ้นทั้งสิ้น[17]: 32 

เกิดความขัดแย้งขึ้นตามมาจนนำไปสู่การปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีส่วนสนับสนุนด้วยเพราะทรงวิตกเรื่องการจัดสรรที่ดินใหม่[23]: 19–20  พระยามโนปกรณ์นิติธาดาแถลงพาดพิงปรีดีว่า[13]: 56 

ระหว่างเวลาที่หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐบาลใหม่นั้นคราวใดที่มีการจับกุมลงโทษจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว หลวงประดิษฐ์ฯ มักจะท้วงว่า ผู้ซึ่งนับถือลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่ควรมีความผิด ถ้าได้รับโทษต่อเมื่อใดที่เขายุยงหรือใช้กำลังกายก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นแล้วเมื่อนั้นจึงถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย การที่ได้ยินหลวงประดิษฐ์ฯ กล่าวอยู่เช่นนี้เสมอ ๆ ทำให้ข้าพเจ้าและรัฐมนตรีบางท่านเกิดระแวงขึ้นมา ถึงโครงการเศรษฐกิจที่หลวงประดิษฐ์ฯ รับภาระไปนั้นว่าจะมีเข็มไปในทางคอมมิวนิสต์เสียกระมัง

การโฆษณาความเห็นต่อแผนเค้าโครงเศรษฐกิจของเขาโดยกลุ่มเจ้าและอนุรักษนิยมทำให้เกิดการต่อต้านและมีการแห่ถอนเงินจากธนาคาร การต่อต้านดังกล่าวทำให้ปรีดีเดินทางออกนอกประเทศชั่วคราวเพื่อลดความขัดแย้ง[13]: 58  วันที่ 6 เมษายน พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเข้าพบปรีดีและแจ้งเขาว่าการให้เขาออกนอกประเทศไปจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้ 1,000 ปอนด์ต่อปี[11]: 68  ก่อนถึงวันเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือสำคัญให้แก่ปรีดีโดยระบุว่าเขาเดินทางไปเพื่อ "ศึกษาภาวะทางเศรษฐกิจอื่น ๆ"[9]: 266–7 

เขาเดินทางออกนอกประเทศโดยทางท่าเรือบีไอ ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2476 หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ลงข่าวว่า มีคนไปส่งปรีดีที่ท่าเรือ 2,000 คน "ด้วยน้ำตาไหลพรากไปตาม ๆ กันเป็นส่วนมาก"[9]: 268  พร้อมกับภรรยา และเพื่อนอีก 3 คน เดินทางถึงสิงคโปร์เมื่อวันที่ 15 เมษายน และได้รับการต้อนรับให้พักอยู่กับคหบดีชาวไทยที่พำนักอยู่ที่นั่น[9]: 290  เขาและคณะเดินทางต่อไปยังเมืองท่ามาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศส แล้วนั่งรถไฟต่อไปยังกรุงปารีส เขาพำนักอยู่ที่ชานกรุงและพบปะกับนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง บ้างก็เดินทางไปยังสหราชอาณาจักร[9]: 293  หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ออกกฎหมายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าต้องการขัดขวางปรีดีมิให้เดินทางกลับประเทศไทยอีก[11]: 71 

รัฐบาลคณะราษฎร

แก้

หลังรัฐประหารเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2476 ส่งผลให้พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรสายทหารบก เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลเรียกตัวปรีดีกลับสยามในเดือนกันยายนปีเดียวกัน สุพจน์ ด่านตระกูลเล่าว่าขณะนั้นปรีดีกำลังศึกษาปริญญาด้านศาสนาและปรัชญา[17]: 61  ส่วนไสว สุทธิพิทักษ์เล่าว่าปรีดีจะขอรัฐบาลเดินทางไปประเทศสเปนซึ่งขณะนั้นมีการปฏิวัติเป็นสาธารณรัฐแล้ว[9]: 300–1  โดยก่อนหน้านั้นรัฐบาลกราบทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าจะไม่รื้อฟื้นแผนเค้าโครงเศรษฐกิจอีก[13]: 58–9  ปรีดีเดินทางออกจากท่ามาร์แซย์ในวันที่ 1 กันยายน และถึงประเทศสยามในวันที่ 29 กันยายน โดยมีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เดินทางมาต้อนรับ[9]: 302–4  นับแต่นั้นปรีดีปรากฏชื่ออยู่ในรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นสมาชิกคณะราษฎรสองคน คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา และจอมพล ป. พิบูลสงคราม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

แก้

เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีลอยในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2476[17]: 63  ความไม่พอใจในตัวปรีดีในหมู่อำนาจเก่ายังมีอยู่ จนเป็นชนวนเหตุของกบฏบวรเดชในที่สุด อย่างไรก็ดี กระแสต่อต้านปรีดีเสื่อมกำลังลงหลังพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชเป็นฝ่ายปราชัย[13]: 60  เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาจะกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเพื่อมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทรงมีพระราชโทรเลขตอบว่า "ว่าการมหาดไทยไม่ขัดข้อง แต่ถ้าว่าการศึกษา ขัดข้อง"[9]: 327  ทีแรกปรีดียังไม่รับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพราะยังมีมลทินเรื่องคอมมิวนิสต์อยู่ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเปิดญัตติให้สอบสวนว่าปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2476[9]: 329  โดยมีหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณเป็นประธานกรรมการ ซึ่งคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเอกฉันท์ว่าไม่ได้เป็น[17]: 120 [c] เมื่อพ้นมลทินแล้ว มีการแต่งตั้งเขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในวันที่ 24 มีนาคม 2476 (นับแบบเก่า)[9]: 437 

เขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2476 แบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็นราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น เพื่อกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย และยังร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พุทธศักราช 2476 ถือได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดระบบเทศบาลในประเทศไทย[17]: 148  สำหรับการจัดระเบียบการปกครองนั้น เนื่องจากเขาเป็นผู้รู้ด้านระเบียบแบบแผนการปกครองและบริหารราชการ จึงได้แนะนำซักซ้อมกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกระดับตั้งแต่ปลัดกระทรวงจนถึงนายอำเภอ[17]: 153  อย่างไรก็ดี แผนงานของเขาถูกขัดขวางจากรัฐมนตรีด้วยกัน เช่น คำขอให้ข้าหลวงประจำจังหวัดและนายอำเภอท้องที่ชายแดนให้ตั้งจากนายทหาร ขณะที่ปรีดีต้องการให้ตั้งจากพลเรือน[9]: 439–41  ไสว สุทธิพิทักษ์เล่าว่าปรีดีจวนเจียนจะเดินทางออกนอกประเทศอยู่แล้วเพื่อรักษาความสามัคคีในหมู่คณะ แต่พระยาพหลพลพยุหเสนามาขอให้อยู่ต่อ[9]: 442 

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติใน พ.ศ. 2477 (นับแบบเก่า) รัฐบาลที่มีปรีดีเป็นหัวแรงขอความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลสืบราชสมบัติต่อ[11]: 106  นอกจากนี้ปรีดียังมีส่วนสำคัญในการคัดเลือกคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในยุวกษัตริย์[11]: 106–8 

 
ปรีดีขณะให้โอวาทบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองรุ่นแรก พ.ศ. 2478

ในเวลานั้นเห็นว่าการพัฒนาคนมีความสำคัญมากกว่าแผนโครงการเศรษฐกิจแล้ว[17]: 125  และเขายังเห็นว่าข้าราชการควรมีความรู้นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า "จริยศาสตร์"[11]: 96  จึงได้สถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) ขึ้นเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 เขามีบทบาทเป็นผู้ร่างโครงการ หาที่ตั้ง และวางหลักสูตร[17]: 126  เกิดจากการรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมกับคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[11]: 96  เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประศาสน์การ (พ.ศ. 2477–2490) โดยตั้งใจให้เป็นมหาวิทยาลัยตลาดวิชาให้ราษฎรมีความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษา[24] เงินทุนของมหาวิทยาลัยอาศัยเงินค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาและดอกผลของธนาคารเอเชียซึ่งปรีดีเป็นผู้ก่อตั้ง โดยให้มหาวิทยาลัยถือหุ้นถึง 80%[25]: 126  นอกจากนี้ปรีดียังได้ยกกิจการโรงพิมพ์นิติสาส์นของตนให้มหาวิทยาลัยเพื่อพิมพ์ตำรา[10]: 22 [d] ต่อมา มธก. ถูกกล่าวหาว่าเป็นฐานอำนาจของปรีดีเพื่อใช้แข่งขันกับจอมพล ป. ที่มีฐานอำนาจในกองทัพ[11]: 96 

ปรีดีมีความสนใจตั้งองค์การของรัฐที่มีหน้าที่พิทักษ์ประโยชน์ของราษฎร ให้ยกฐานะกรมร่างกฎหมายเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นองค์การอิสระไม่ขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม การแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องได้รับความเห็นชอบของสภา[17]: 149  ทำหน้าที่ยกร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน ทั้งยังพยายามผลักดันให้คณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่ศาลปกครองอีกด้วย แต่ความพยายามประสบอุปสรรคมาโดยตลอด[10]: 23 [e] ให้ยกกรมตรวจเงินแผ่นดินเป็นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหน้าที่ตรวจตราการใช้จ่ายของราชการทุกส่วนตามกฎหมาย โดยไม่ต้องฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหมือนแต่ก่อน[17]: 151–2  มีการปรับปรุงกลไกการปกครอง โดยออกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ และพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร[17]: 152 

เขายังจัดทำกฎหมายว่าด้วยครอบครัว มรดก กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและอาญา และกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้มีผลสืบเนื่องกับการประกาศใช้ประมวลกฎหมาย และความสำเร็จในการเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมกับต่างประเทศดังที่จะกล่าวต่อไปด้วย[17]: 172–3 

วันหนึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพบว่ารัฐบาลชุดก่อนสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปกู้จากต่างประเทศโดยเสียดอกเบี้ยสูงมาก ปรีดีรับไปเจรจาขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวพร้อมกับไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ[9]: 442–4  เขาออกเดินทางไปถึงนครตรีเยสเต ประเทศอิตาลี ในเดือนตุลาคม 2479 โดยนายกรัฐมนตรี เบนิโต มุสโสลินี สัญญาจะยกเลิกสัญญาอันไม่เป็นธรรมโดยเร็วที่สุด[9]: 446–7  สำหรับการเจรจากับฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักรนั้นเพียงแต่ได้รับคำตอบว่าจะไปพิจารณาแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม แต่เซอร์ ซามูเอล ฮอร์ (Samuel Hoare) ตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้[9]: 447–9  คือ ลดจากร้อยละ 6 เหลือร้อยละ 4 ทำให้ประหยัดงบประมาณได้ 600,000–700,000 บาทต่อปีในระยะเวลา 30 ปี[11]: 127  รัฐสภาแสดงความขอบคุณปรีดีในโอกาสดังกล่าว[11]: 127  ต่อมา ปรีดีเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ คอร์ดัล ฮัลที่กรุงวอชิงตัน และได้รับคำตอบว่ายกเลิกสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมโดยเร็ว สุดท้ายเขาเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่นและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เขาปฏิเสธเข้ากับนโยบายผิวเหลือง-ผิวขาว แต่ในเรื่องสนธิสัญญาไม่ธรรมญี่ปุ่นยอมยกเลิก[9]: 449–51 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

แก้
 
ปรีดีขณะเดินทางไปเจรจาแก้ไขสนธิสัญญากับชาติยุโรป พ.ศ. 2481

เมื่อจัดระเบียบวางแผนให้กระทรวงมหาดไทยแล้ว เขามอบหมายงานต่อให้พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์[17]: 153  ส่วนตัวเขาหันมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (นับแบบเก่า) ปรีดีมีนโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศ และดำริปลดเปลื้องพันธกรณีของประเทศจากสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม ได้แก่ สิทธิถอนคดีของกงสุลต่างประเทศจนกว่าออกประมวลกฎหมายแล้ว 5 ปี ซึ่งเป็นการเสียเอกราชทางการศาล การถูกจำกัดด้านเอกราชทางเศรษฐกิจ เช่น การห้ามเก็บอากรศุลกากรสินค้าบางชนิด การให้สัญชาติอังกฤษและฝรั่งเศสแก่คนในบังคับอังกฤษและฝรั่งเศสที่เกิดในประเทศ และห้ามเก็บอากรศุลกากรในแม่น้ำโขง เป็นต้น[9]: 471 

ปรีดีเจรจาเรื่องสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือใหม่และสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2479 นานาประเทศลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่ใน พ.ศ. 2480 ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม สวีเดน เดนมาร์ก สหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส (รวมการยกเลิกการห้ามเก็บภาษีศุลกากรในเขต 25 กิโลเมตรจากชายแดนด้วย) ญี่ปุ่นและเยอรมนี[9]: 474–5  โดยเจรจาขอยกเลิกสิทธิถอนคดี[17]: 158–60  ส่วนเรื่องอัตราศุลกากร ปรีดีเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาจนเริ่มจากสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2463 แม้ยังมีการกำหนดเพดานสูงสุดของภาษีศุลกากรที่สยามสามารถเรียกเก็บได้อยู่เป็นเวลา 10 ปี จนในช่วงปี 2480–1 สนธิสัญญาใหม่ทำให้ไทยมีอิสระเต็มที่ทางรัษฎากร[17]: 162  ความชอบในการแก้ไขสนธิสัญญากับต่างประเทศทำให้รัฐบาลขอพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดินให้เป็นบำเหน็จ[17]: 170–1  เขายังมีส่วนเจรจาปักปันเขตแดนใหม่กับบริเตน ทำให้สยามได้ดินแดนเพิ่มขึ้นในแม่น้ำลายที่จังหวัดเชียงราย และดินแดนที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำปากจั่นที่จังหวัดระนอง[17]: 173 

เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและไม่ขอรับตำแหน่งอีกใน พ.ศ. 2481 คณะราษฎรเสนอชื่อบุคคลเพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวม 4 คน รวมทั้งปรีดีด้วย แต่ผลปรากฏว่าแพ้หลวงพิบูลสงคราม เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะปรีดีมีความคิดก้าวหน้าและถูกมองว่านิยมระบอบสาธารณรัฐ[13]: 70–1  อีกส่วนหนึ่งคือจำเป็นต้องเตรียมการป้องกันประเทศท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ผันผวน[11]: 124 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

แก้

เมื่อปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังใน พ.ศ. 2481 เขาประกาศใช้พิกัดอัตราอากรศุลกากรใหม่หลังเจรจายกเลิกอัตราเดิมไปแล้วก่อนหน้านี้[17]: 179  เขาลดหรือเลิกเก็บอากรศุลกากรสินค้าบางประเภทเพื่อส่งเสริมการนำเข้า เช่น สินค้าเพื่ออุดหนุนเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรม การแพทย์ วิทยาศาสตร์และการศึกษา เป็นต้น ทั้งมีการเปลี่ยนให้เก็บภาษีขาออกเป็นตามราคา โดยยอมลดรายได้จากภาษีขาออกเพื่อให้ชาวนาส่งออกข้าวได้มากขึ้น[9]: 486–7  เขายังปฏิรูปโดยตัดภาษีที่มีอัตราถอยหลัง ประกอบด้วยภาษีรัชชูปการ อากรค่านา อากรสวน ภาษีไร่อ้อยและภาษีไร่ยาสูบซึ่งจะทำให้งบประมาณขาดดุลประมาณ 12 ล้านบาทต่อปี[9]: 491  และเพิ่มรายได้โดยการปรับปรุงภาษีที่มีอยู่แล้วให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น ประกอบด้วยภาษีเงินได้ ภาษีโรงค้า ภาษีธนาคาร อากรสแตมป์ และเพิ่มอากรใหม่ ประกอบด้วยอากรมหรสพ เงินช่วยบำรุงท้องที่ (เสียให้ราชการท้องถิ่น) เงินช่วยบำรุงการประถมศึกษา จนสุดท้ายมีการประมวลเป็นประมวลรัษฎากรในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2482[9]: 491–4  ผลทำให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 (132 ล้านบาทใน พ.ศ. 2481 เป็น 194 ล้านบาทใน พ.ศ. 2484)[11]: 128 

สำหรับรายได้ที่ยังขาดดุลอยู่นั้น ปรีดีเพิ่มอากรศุลกากรสินค้าที่ผลิตได้เองในประเทศเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม และเพิ่มภาษีสรรพสามิตโดยเรียกเก็บจากสุรา รัฐผูกขาดและจำหน่ายฝิ่นเพื่อหวังลดการบริโภค[9]: 500–1  มีการขยายชลประทานเพื่อส่งเสริมการทำนาเกลือ[17]: 193  เขายังส่งเสริมให้รัฐบาลร่วมลงทุนในเขตดังกล่าวและประกันรับซื้อเกลือสมุทร[11]: 129  เขาให้กรมสรรพสามิตซื้อบริษัทบริติชอเมริกันทูแบโก ซึ่งมีการออกกฎหมายให้รัฐบาลผูกขาดยาสูบ[9]: 502–3  อีกทั้งเข้าเป็นเจ้าของโรงงานสุรา เช่น โรงงานสุราบางยี่ขัน เป็นต้น[17]: 192  ปรีดีศึกษาเรื่องยาสูบอย่างใกล้ชิด จนมีหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเขาทดลองผสมยาสูบและสูบเองจนมึนเมา[9]: 503  ปรีดียังสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนเกิดคดีแพ่งระหว่างสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว[11]: 133 

 
ปรีดีแสดงทองคำแท่งที่รัฐบาลซื้อมาแก่ผู้แทนสื่อมวลชน พ.ศ. 2483

ต่อมาก็ได้รื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งธนาคารกลางหรือธนาคารแห่งชาติมาพิจารณาใหม่อย่างจริงจัง โดยเริ่มจากจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยขึ้นก่อน มีหน้าที่เหมือนธนาคารพาณิชย์อย่างเดียว และเร่งฝึกพนักงาน ต่อมาจึงจัดตั้งธนาคารชาติไทยขึ้นใน พ.ศ. 2483 ซึ่งมีหน้าที่ออกธนบัตรเพิ่มขึ้นมาด้วย[9]: 525–8  ในเวลานั้นเป็นช่วงใกล้สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น ปรีดีคาดการณ์ว่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงซึ่งสยามประเทศใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในขณะนั้นอาจมีมูลค่าลดลงได้ จึงนำเงินปอนด์ไปซื้อทองคำแท่งมาเก็บสำรองแทน นอกจากนี้ยังแลกเปลี่ยนเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ[25]: 144–5 [9]: 512–20  ธุรกรรมครั้งนั้นทำให้รัฐบาลได้กำไร 5.05 ล้านบาท[11]: 131  ทุนนี้เป็นทุนตั้งต้นของสำนักงานธนาคารชาติไทยโดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณแผ่นดินแม้แต่บาทเดียว[11]: 131  ปรีดีได้ฝากทองคำบางส่วนไว้ในต่างประเทศ ประกอบด้วยสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งในเวลาต่อมาจะเป็นทุนสำหรับขบวนการเสรีไทยในต่างประเทศด้วย[17]: 182  เขาริเริ่มการจัดทำงบประมาณแผ่นดินให้เป็นแบบแผนและให้ขึ้นกับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร[17]: 182 

ใน พ.ศ. 2482 เกิดสงครามฝรั่งเศส-ไทย เขาดำริจะเรียกร้องดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศสคืนแก่ประเทศไทยด้วยวิถีทางตามกฎหมาย แต่จอมพล ป. ในฐานะนายกรัฐมนตรี เลือกใช้วิธีทวงดินแดนด้วยกำลังแทน[17]: 193  ช่วงก่อนสงครามเขาขัดขวางคำขอกู้ของรัฐบาลญี่ปุ่น โดยกำหนดเงื่อนไขให้ญี่ปุ่นชำระคืนเป็นทองคำแท่ง ทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจมาก และมองว่าปรีดีเป็นตัวการขัดขวาง[11]: 143 

นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้มีบทบาทในการปฏิรูปการปกครองของสงฆ์โดยร่างพระราชบัญญัติสงฆ์ พุทธศักราช 2484 ใช้แทนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ทำให้การปกครองสงฆ์เป็นประชาธิปไตย[f]

บทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

แก้

ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

แก้

เมื่อญี่ปุ่นเคลื่อนพลเข้าประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ปรีดีกับดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น เป็นผู้คัดค้านการยอมให้ทัพญี่ปุ่นเคลื่อนทัพผ่านประเทศของทูตญี่ปุ่น และคัดค้านการเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น[17]: 206–7  ปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกมองว่าไร้อำนาจ โดยมติของสภาผู้แทนราษฎร การแต่งตั้งนี้มีมูลเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างปรีดีกับจอมพล ป. ตลอดจนอิทธิพลบีบบังคับของญี่ปุ่นเนื่องจากปรีดีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขัดขวางมิให้ญี่ปุ่นนำเงินสกุลเยนมาแลกเงินบาทเพื่อใช้ซื้อเสบียงเลี้ยงกองทัพญี่ปุ่น และไม่ยอมให้กู้ยืมเงินบาท[17]: 204–5, 208–9 [9]: 537–8, 540  คล้อยหลังปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี รัฐบาลก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่นในวันที่ 21 ธันวาคม และเมื่อรัฐบาลประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 ปรีดีในฐานะหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หลีกเลี่ยงการร่วมลงนามในประกาศสงคราม อันจะทำให้ประกาศไม่มีผลสมบูรณ์[17]: 212  ระหว่างสงคราม ปรีดีถวายความปลอดภัยให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์โดยจัดให้ไปพำนักอยู่ที่พระราชวังบางปะอิน[9]: 566 

ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 ปรีดีได้รับคำสั่งจากจอมพล ป. ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้ไปประจำกองบัญชาการทหารสูงสุดในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย แต่เขาไม่ยอมปฏิบัติตามเพราะเห็นว่าการสั่งผู้สำเร็จราชการเป็นโมฆะตามกฎหมาย ในที่สุดปรีดีได้รับการอารักขาจากทหารเรือ[9]: 547–9  ในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2486 จอมพล ป. ตั้งกรรมการสอบสวนปรีดีโดยกล่าวหาว่าเขาว่าแผนจะจับตนเพื่อเป็นการต่อต้านญี่ปุ่น แต่รอดพ้นจากข้อหาไปได้อย่างหวุดหวิด[9]: 553 

ปรีดีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญผลักดันให้พันตรี ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. 2487 หลังรัฐบาลจอมพล ป. ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากแพ้เสียงร่างพระราชบัญญัติสำคัญ 2 ฉบับ[17]: 224 [g] เขายังแต่งตั้งพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นรัฐมนตรีลอย, แม่ทัพใหญ่ (แทนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ถูกยกเลิกไป) และผู้บัญชาการทหารบก ตลอดจนตั้งให้จอมพล ป. เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เพื่อป้องกันรัฐประหาร[17]: 230–6 

หัวหน้าขบวนการเสรีไทย

แก้
 
จากแถวหน้าซ้ายไปขวา: พลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส, หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และ ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำขบวนการเสรีไทย

ปรีดีเป็นผู้นำจัดตั้งองค์การต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นหรือขบวนการเสรีไทยในประเทศ[25]: 195–200  ทวี บุณยเกตุ เล่าว่า ปรีดีติดต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแล้วส่งคนออกนอกประเทศเป็นสาย ๆ และดำริแผนให้ทวีได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้วจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนอกประเทศ แต่จอมพล ป. ขัดขวาง[17]: 215–7  เมื่อแผนตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศ ซึ่งสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ (OSS) และหน่วย 136 ซึ่งเป็นฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรในอินเดียตามลำดับ ตั้งรหัสนามให้ว่า "รูธ" (Ruth) ทั้งสองประเทศก็ขอส่งตัวแทนมาขอตั้งหน่วยปฏิบัติการลับในพระนครด้วย[17]: 218–9 

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2488 ปรีดีแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทราบว่า ไทยจะใช้อุบายบอกเลิกสัญญาต่าง ๆ กับญี่ปุ่น[9]: 556 [17]: 236–7  และสมาชิกเสรีไทยจำนวน 8 หมื่นคนทั่วประเทศพร้อมที่จะลุกฮือขึ้นเพื่อทำสงครามกับทหารญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร้องขอให้ชะลอแผนนี้ไว้ก่อน[29] อย่างไรก็ดี สำหรับการเจรจาการเมืองเรื่องการรับรองเอกราชของไทยนั้น สหราชอาณาจักรไม่ยอมตอบ สุดท้ายมีการกำหนดวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2488 เป็นวันจับอาวุธลุกขึ้นสู่กับทหารญี่ปุ่นในประเทศ[9]: 557–8  อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 15 สิงหาคมก่อนวันลงมือ

บทบาททางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

แก้

ประกาศสันติภาพ

แก้
 
ปรีดีประกาศสันติภาพใน พ.ศ. 2488

วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ภายหลังญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างไม่มีเงื่อนไข ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ออกประกาศสันติภาพ ใจความว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 เป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นการดำเนินการโดยรัฐบาลเผด็จการที่ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และขัดต่อเจตจำนงของประชาชนชาวไทย ปรีดีในฐานะประมุขแห่งรัฐชั่วคราวจึงประกาศว่า ประเทศไทยอยู่ในภาวะสันติ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติในการสถาปนาและธำรงรักษาสันติภาพในโลกนี้ ประกาศนี้มีผลในทางการทูตอย่างสำคัญ เพราะทำให้ประเทศไทยสามารถแยกตัวออกจากสถานะ "พันธมิตรกับญี่ปุ่น" ที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ต่อมารัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันที่ 16 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันสันติภาพไทย[25]: 202–9 [30] ภายหลังประกาศสันติภาพ ปรีดีประกาศยกเลิกขบวนการเสรีไทย ซึ่งบรรลุภารกิจทางประวัติศาสตร์ในฐานะขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับภายในประเทศไทย[29]

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการยอมจำนนของญี่ปุ่น สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับไม่คลี่คลายโดยง่าย โดยเฉพาะประเด็นการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในดินแดนต่าง ๆ เจียง ไคเชก หัวหน้ารัฐบาลชาตินิยมจีนได้เสนอความประสงค์จะเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นที่อยู่ในดินแดนประเทศไทยตอนเหนือของเส้นขนานที่ 16 องศาเหนือ ซึ่งเท่ากับเกือบครึ่งประเทศ ปรีดีตระหนักถึงความเสี่ยงทางอธิปไตย จึงได้ดำเนินการทางการทูตอย่างเร่งด่วน ขอให้แฮร์รี เอส. ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายับยั้งความตั้งใจของจีน และประสบผลสำเร็จ[9]: 587–8  ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เสนอข้อเรียกร้องให้ไทยจับกุมบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นอาชญากรสงครามไปขึ้นศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกลที่ประเทศญี่ปุ่น[9]: 597  แปลกเองซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารในช่วงประกาศสงคราม ได้เขียนจดหมายถึงปรีดีขอให้ช่วยเหลือ[17]: 139–40  ด้วยการเจรจาของปรีดี ไทยจึงสามารถออกกฎหมายอาชญากรสงครามของตนเอง และจัดตั้งศาลอาชญากรสงครามขึ้นในประเทศเพื่อดำเนินการแทนการส่งตัวไปต่างประเทศ[9]: 598 

ฝ่ายสัมพันธมิตรได้แจ้งให้ปรีดีทราบอย่างเป็นทางการว่า พวกเขาไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นผู้แพ้สงคราม เพราะถือว่าการเข้าสู่สงครามของไทยไม่ชอบด้วยกฎหมายและปราศจากความชอบธรรม ประเทศไทยจึงไม่ต้องถูกยึดครอง รัฐบาลไม่ต้องประกาศยอมจำนน และกองทัพไทยไม่จำเป็นต้องวางอาวุธ อีกทั้งยังแนะนำให้รีบออกแถลงการณ์ปฏิเสธการประกาศสงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อลบล้างข้อผูกพันทางการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศที่รัฐบาลเผด็จการของแปลกได้ทำไว้กับญี่ปุ่น[31][32]

เมื่อสถานการณ์ของประเทศกลับสู่ภาวะปกติ ปรีดีจึงได้ดำเนินการอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ เสด็จนิวัติประเทศไทยเพื่อทรงบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองอีกครั้ง พระองค์เสด็จกลับถึงพระนครเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 โดยมีขบวนรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ ปรีดีนำคณะผู้แทนรัฐบาลเฝ้ารับเสด็จ ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง ในโอกาสนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสขอบพระทัยปรีดีตอนหนึ่งว่า "ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้า ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้าและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบำรุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้"[33]: 33  ในโอกาสเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาปรีดีขึ้นเป็นรัฐบุรุษอาวุโส เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2488 เพื่อเชิดชูเกียรติในฐานะผู้กอบกู้เอกราชของชาติ และเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2488 พระองค์ยังได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ อันเป็นเครื่องราชชั้นสูงสุดอันดับหนึ่งในสามที่สามัญชนสามารถได้รับพระราชทาน[34]

นายกรัฐมนตรีและทูตสันถวไมตรี

แก้
 
ปรีดีกับพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ใน พ.ศ. 2489

หลังสงคราม ปรีดีพยายามรักษาฐานอำนาจของตนผ่านการควบคุมตำรวจ สารวัตรทหารและสมาชิกขบวนการเสรีไทย[35]: 202  ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาวิจารณ์ว่า อาวุธในมือเสรีไทยเป็น "คลังแสงส่วนตัวของกองทัพส่วนตัว"[35]: 202  ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2489 หลังการเลือกตั้งใหม่แทนสภาชุดเดิมที่ยุบไปหลังสงครามยุติ ปรีดีด้วยเห็นว่าความคิดทางการเมืองของควงเปลี่ยนไปจากคณะปฏิวัติเดิมแล้ว จึงสนับสนุนให้ดิเรก ชัยนามเป็นนายกรัฐมนตรี แต่แพ้เสียงควง พรรคประชาธิปัตย์จึงได้จัดตั้งรัฐบาลช่วงสั้น ๆ ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม พ.ศ. 2489 ต่อมา รัฐบาลไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่ผ่านสภา จึงลาออกจากตำแหน่ง พรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญสนับสนุนปรีดีให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[17]: 250  เขาเจรจาแก้ไขความตกลงสมบูรณ์แบบในข้อที่ไทยจะต้องส่งข้าวเปล่าให้แก่สหราชอาณาจักร กลายเป็นต้องซื้อข้าวไทยแทน[17]: 251  เขาเป็นผู้ก่อตั้งหอสมุดดำรงราชานุภาพ[36]: 48  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งทั้งสองสภา ก็ได้ประกาศใช้ในสมัยของเขาด้วย เจ้าหน้าที่การทูตชาวอเมริกันประเมินว่า นโยบายของรัฐบาลเขา "ไม่มีสังคมนิยมเจือปน" จะมีก็แต่การสนับสนุนสหกรณ์เกษตรกรและรัฐวิสาหกิจเท่านั้น[35]: 188 

วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต รัฐบาลปรีดีที่เพิ่งชนะเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาให้อัญเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อไป เมื่อสภามีมติเห็นชอบแล้ว ปรีดีก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แต่สภาผู้แทนราษฎรก็สนับสนุนให้ปรีดีดำรงตำแหน่งตามเดิม[37]: 122–9  เขายังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภาช่วงสั้น ๆ ก่อนลาออกไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขต 2 ซึ่งเขาได้รับเลือกตั้งเพราะไม่มีผู้อื่นลงสมัครแข่ง[17]: 259  สำหรับบทบาทของปรีดีในกรณีสวรรคต ส. ศิวรักษ์ เขียนว่า "เขาปกป้องเชื้อพระวงศ์ที่ประพฤติผิด และไม่ได้ให้อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชันสูตรพระศพแต่แรก และจับกุมผู้ทำลายหลักฐาน"[1]: 5–6 

กรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลได้ทำให้ศัตรูทางการเมืองของปรีดี ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มทหารสายจอมพล ป. ที่สูญเสียอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และพรรคการเมืองฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาธิปัตย์[1]: 54  และกลุ่มอำนาจเก่า[38] ฉวยโอกาสนำมาใช้ทำลายปรีดีทางการเมือง โดยการกระจายข่าวไปตามหนังสือพิมพ์ และสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งส่งคนไปตะโกนในศาลาเฉลิมกรุงว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง"[1]: 54–55 [39][9]: 668  และนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาในเดือนสิงหาคม 2489 โดยหลังจากนั้นถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มปรีดีให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน[37]: 129–134 

ต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2489 ภายหลังจากที่ปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ได้รับเชิญจากรัฐบาลหลายประเทศให้ไปเยือนประเทศเหล่านั้น รัฐบาลไทยทราบจึงแต่งตั้งเขาเป็นทูตสันถวไมตรี โดยได้ไปเยือนประเทศจีนเป็นแห่งแรก จากนั้นก็ไปฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ รวม 9 ประเทศ และกลับมาถึงกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490[40][41] ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติลำดับที่ 55 ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 โดยปรีดีใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวกับชาร์ล เดอ โกล ประธานาธิบดีฝรั่งเศสและโจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต มิให้ทั้งสองประเทศนี้ในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติใช้อำนาจยับยั้งการสมาชิกเข้าเป็นสมาชิกของไทย[17]: 260–1 

ปรีดียังได้มีข้อเสนอแนะด้านการพัฒนาเกษตรกรรมแก่รัฐบาล เช่น ส่งเสริมการผสมพันธุ์ฝ้าย การใช้เครื่องจักรช่วยในการกสิกรรม จัดระเบียบอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์และการจับปลาใหม่ ส่งเสริมโครงการสร้างบ้านเป็นงานอาคารสงเคราะห์ สร้างสวนสาธารณะ ส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ[9]: 747–50  เขาเสนอให้สร้างเขื่อนชัยนาทโดยรัฐบาลก็เห็นชอบข้อเสนอดังกล่าว[9]: 756  ใน พ.ศ. 2490 ปรีดีพยายามขอการสนับสนุนจากชาติตะวันตกแก่รัฐบาลเขา แต่นอกเหนือจากนั้น ยังเป็นไปเพื่อขอการสนับสนุนแก่บริษัทเขาและเขื่อนชัยนาท นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำคนแรกที่ขอรับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทหารจากสหรัฐอเมริกา[35]: 203–4  เขายังพยายามเข้าเป็นพันธมิตรทางทหารของสหรัฐอเมริกา และขอที่ปรึกษาทางทหารมาเพื่อปรับปรุงกองทัพไทย แต่สหรัฐอเมริกาปฏิเสธว่าไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภา[35]: 204  อย่างไรก็ดี เขามีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายเรียกร้องเอกราชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเวียดนาม โดยผู้แทนเวียดนามระบุว่า มีความปรารถนาก่อตั้งสหพันธ์ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อว่าปรีดีจะเป็นหัวหน้าสหพันธ์ดังกล่าวโดยธรรมชาติ[35]: 205 

ลี้ภัย

แก้
 
ปรีดีลี้ภัยที่ประเทศสิงคโปร์หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490

ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 คณะทหารแห่งชาติซึ่งมีพลโท ผิน ชุณหะวัณ เป็นผู้นำ และมีจอมพล ป. เป็นหัวหน้าใหญ่ ก่อรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ คณะรัฐประหารยังหยิบยกข้อกล่าวหารุนแรงว่าปรีดีเป็นผู้บงการลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลด้วย หลังจากยึดอำนาจสำเร็จ คณะรัฐประหารได้นำกำลังทหารพร้อมรถถังบุกยิงทำเนียบท่าช้างวังหน้าซึ่งปรีดีและครอบครัวอาศัยอยู่หวังจะจับกุมตัวเขา แต่เขาก็หลบหนีไปได้ภายใต้การอารักขาของทหารเรือและได้อาศัยฐานทัพเรือสัตหีบเป็นที่หลบภัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อพิจารณาเห็นว่ายังไม่พร้อมต่อต้านคณะรัฐประหาร จึงได้ลี้ภัยทางการเมืองโดยความช่วยเหลือของสถานทูตสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศสิงคโปร์ จนถึงปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2491 จึงออกเดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐจีน[42]: 50–60  ระหว่างนั้นรัฐบาลไทยได้ออกหมายจับปรีดีในคดีลอบปลงพระชนม์ อีกทั้งขอให้ทางการสหราชอาณาจักรส่งตัวปรีดีเป็นผู้ร้ายข้ามแดนด้วย แต่รัฐบาลสหราชอาณาจักรปฏิเสธ[9]: 784  ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาปฏิเสธตรวจลงตราเดินทางแก่ปรีดีเพราะไม่อยากสร้างความขุ่นเคืองแก่จอมพล ป.[35]: 208 

หลังลี้ภัยอยู่ในประเทศจีนได้ประมาณ 7 เดือน ก็ลอบกลับเข้าประเทศเพื่ออำนวยการ "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์" ซึ่งประกอบด้วยนายทหารเรือและอดีตเสรีไทยหลายนาย ในความพยายามยึดอำนาจคืนเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 แต่กระทำไม่สำเร็จ (เรียกกันว่า "กบฏวังหลวง") หลังเหตุการณ์ ปรีดีลอบพำนักอยู่ในประเทศไทย 6 เดือนก่อนโดยสารเรือจำปลาขนาดเล็กหนีไปพำนักยังสิงคโปร์ ก่อนมุ่งหน้าต่อไปยังฮ่องกง ปรีดีเขียนเล่าว่า ขณะเปลี่ยนเรือไปชิงเต่า ได้รับการต้อนรับจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง และได้เชิญเข้าร่วมพิธีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย[9]: 792–3  ระหว่างนั้น ปรีดีอยู่ในฐานะแขกของรัฐบาลจีนซึ่งออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ซ้ำยังได้รับข้อเสนอว่าทางการจีนพร้อมเปิดสงครามกลางเมืองคอมมิวนิสต์ในไทยเพื่อให้ปรีดีกลับไปมีอำนาจ แต่เขาปฏิเสธ[9]: 797–801  ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน ปรีดีได้มีโอกาสพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำพรรคและรัฐบาลจีนไม่ว่าจะเป็นประธาน เหมา เจ๋อตง, นายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล, และเติ้ง เสี่ยวผิง นอกจากนี้ได้รับเชิญไปงานศพของโฮจิมินห์ ผู้นำปฏิวัติเวียดนาม, พบเจ้าสุวรรณภูมา นายกรัฐมนตรีลาว[9]: 806–7  ใน พ.ศ. 2499 ขั้วอำนาจจอมพล ป. และพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ พยายามชักชวนปรีดีกลับประเทศเพื่อต่อสู้คดีสวรรคตอีก เพื่อช่วยคานอำนาจกับขั้วอำนาจจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และศักดินา ด้านรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเตือนจอมพล ป. ว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวาย[43] ใน พ.ศ. 2501 ปรีดีเสนอให้รัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร ขุดคลองที่คอคอดกระ[17]: 8–9 

 
ปรีดีเข้าพบเหมา เจ๋อตง ผู้นำจีน ใน พ.ศ. 2508

ต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2513 โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน ทราบความประสงค์ของปรีดีที่ต้องการเดินทางไปกรุงปารีสเพื่ออยู่กับครอบครัว จึงออกหนังสือเดินทางคนต่างด้าวให้ปรีดีเดินทางจากประเทศจีนไปยังกรุงปารีส ด้วยความช่วยเหลือจากกีโยม จอร์จ-ปีโก (Guillaume Georges-Picot) มิตรเก่าซึ่งเคยเป็นอุปทูตฝรั่งเศสประจำประเทศสยาม[9]: 839–40  เมื่อถึงกรุงปารีสในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 ปรีดีจึงได้พำนักอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศสนับแต่นั้น มาถึงไม่นานเกิดความขัดแย้งที่รัฐบาลไทยไม่ยอมออกหนังสือรับรองการมีชีวิตอยู่และไม่ยอมจ่ายเงินบำนาญให้ จึงฟ้องร้องจนได้รับทั้งสองประการ[9]: 841  ปรีดีจึงได้รับความรับรองจากทางราชการในฐานะคนไทยโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ และได้รับเงินบำนาญตลอดจนได้รับหนังสือเดินทางไทย[44]

เวลา 11 นาฬิกาเศษ ของวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ณ บ้านอ็องโตนี ชานกรุงปารีส ปรีดีสิ้นใจด้วยภาวะหัวใจวายขณะกำลังเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงาน[2] ครอบครัวให้อัญเชิญอัฐิของปรีดีกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2529[13]: 336  พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร 10 ไตรในการบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอัฐิในวันที่ 8 พฤษภาคม ซึ่งอาจตีความได้ว่าทรงให้ความสำคัญกับปรีดี หรือพระราชทานอภัยโทษก็ได้[13]: 337 

ชีวิตส่วนตัว

แก้

ครอบครัว

แก้
 
1
2
3
ภาพถ่ายครอบครัวปรีดี พ.ศ. 2474
1
ปรีดี พนมยงค์
2
พูนศุข พนมยงค์
3
พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา

ปรีดีสมรสกับพูนศุข ณ ป้อมเพชร์ ธิดาของมหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา อดีตข้าราชการตุลาการผู้ทรงคุณวุฒิ และคุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (สกุลเดิม สุวรรณศร) ซึ่งเป็นสตรีผู้มีชาติกำเนิดในตระกูลขุนนางฝ่ายกฎหมาย การสมรสมีขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471[45] ซึ่งในขณะนั้นปรีดีมีอายุ 29 ปี ส่วนพูนศุขมีอายุเพียง 17 ปี จึงมีอายุอ่อนกว่าปรีดีถึง 12 ปี[11]: 36 

ปรีดีและพูนศุขมีบุตร-ธิดาร่วมกันทั้งหมด 6 คน ได้แก่ ลลิตา, ปาล, สุดา, ศุขปรีดา, ดุษฎี และวาณี หลายคนในบุตรธิดาของปรีดีและพูนศุขต่อมาได้มีบทบาทสำคัญในสังคมไทย โดยเฉพาะในวงการการศึกษา การต่างประเทศ และการเคลื่อนไหวทางสังคม สืบทอดเจตนารมณ์แห่งประชาธิปไตยของบิดามารดาอย่างเด่นชัด

ภาพยนตร์

แก้
 
ปรีดีขณะอำนวยการภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก ใน พ.ศ. 2483

ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะอุบัติขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ปรีดีได้เล็งเห็นถึงแนวโน้มอันตรายของการขยายตัวของลัทธิเผด็จการทหารในยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะอิทธิพลของลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี ลัทธินาซีในเยอรมนี และลัทธิทหารนิยมในจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งล้วนแล้วแต่กำลังนำพาโลกเข้าสู่ภาวะสงครามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยสำนึกในหน้าที่ของปัญญาชนผู้รักสันติภาพ ปรีดีจึงริเริ่มโครงการผลิตภาพยนตร์แนวอุดมคติเพื่อถ่ายทอดแนวคิดสันติวิธีให้สังคมโลกได้รับรู้ผ่านสื่อภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในยุคนั้น เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก[46] ซึ่งถือเป็นผลงานทางวัฒนธรรมระดับชาติที่สะท้อนอุดมการณ์ทางการเมืองของเขาอย่างเด่นชัด

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดประสงค์สำคัญในการส่งสารแห่งสันติภาพไปยังนานาอารยประเทศ โดยใช้รูปแบบการเล่าเรื่องเชิงอุปมาทางวัฒนธรรม เนื้อหาของภาพยนตร์ได้แฝงอุดมคติทางพระพุทธศาสนาและหลักสันติวิธีซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทางการเมืองของปรีดีโดยตรง ข้อความพุทธภาษิต "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" (ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบสันติ) ซึ่งปรากฏเด่นชัดในภาพยนตร์นั้น แสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่มั่นคงของเขาต่อการคัดค้านสงครามทุกรูปแบบ ขณะเดียวกัน ปรีดีก็ได้ถ่ายทอดสารทางการเมืองว่าแม้ชาวไทยจะรักสันติ แต่ก็พร้อมที่จะต่อสู้กับภัยคุกคามจากภายนอกด้วยความกล้าหาญและมีศักดิ์ศรี ไม่ยอมจำนนต่อการรุกรานของอำนาจจักรวรรดินิยม ไม่ว่าจะมาด้วยกำลังทางทหารหรือแนวคิดกดขี่[47]

งานเขียน

แก้

ปรีดีเป็นผู้ใฝ่หาความรู้ทางด้านวิทยาการต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาสังคมศาสตร์และปรัชญาการเมือง อันสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการแสวงหาความรู้เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองของประเทศ ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีนระหว่างช่วงที่ต้องลี้ภัยทางการเมืองนั้น เขาได้อุทิศตนให้กับการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงทั้งในเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติ โดยมุ่งเปรียบเทียบแนวคิดของนักปรัชญาและนักปฏิวัติคนสำคัญในประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น คาร์ล มาคส์ ฟรีดริช เองเงิลส์ วลาดีมีร์ เลนิน โจเซฟ สตาลิน และเหมา เจ๋อตง แนวคิดของบุคคลเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางการเมืองของโลกในศตวรรษที่ 20 ซึ่งปรีดีได้ศึกษาด้วยเจตนารมณ์เพื่อเปรียบเทียบกับสภาพสังคมไทยในทุกมิติ ทั้งในด้านระบบเศรษฐกิจ การเมือง โครงสร้างทางสังคม ทัศนคติของสังคมไทย ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ศาสนา รวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต และพฤติกรรมทางวัฒนธรรม ผลจากการศึกษาดังกล่าวได้ตกผลึกเป็นบทความเชิงวิเคราะห์และวิพากษ์ ซึ่งถูกตีพิมพ์ในเวลาต่อมาและมีคุณค่าทางวิชาการเป็นอย่างยิ่ง[2]

ในบรรดาผลงานทางความคิดของปรีดีนั้น งานเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าโดดเด่นเป็นพิเศษคือบทความเรื่อง "ความเป็นอนิจจังของสังคม" ซึ่งถือเป็นการบูรณาการแนวคิดทางพุทธปรัชญาเข้ากับการวิเคราะห์วิวัฒนาการของมนุษยสังคมได้อย่างมีเอกลักษณ์ งานชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึงการตีความปรัชญาแห่งความไม่เที่ยง (อนิจจัง) ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ได้ยึดติดอยู่กับระบบสังคมใด ๆ เป็นนิรันดร์ บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง และเป็นที่ศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจในด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มาโดยตลอด ด้วยเนื้อหาที่อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมโดยตั้งอยู่บนหลักของสัจธรรมแห่งความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง ทำให้ผู้อ่านสามารถเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในแต่ละยุคสมัยได้อย่างลึกซึ้ง[2]

สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดนิ่งคงอยู่กับที่ ทุกสิ่งที่มีอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง…พืชพันธุ์ รุกขชาติ และสัตวชาติทั้งปวง รวมทั้งมนุษยชาติที่มีชีวิตนั้น เมื่อได้เกิดมาแล้วก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงโดยเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ จนถึงขีดที่ไม่อาจเติบโตได้อีกต่อไป แล้วก็ดำเนินสู่ความเสื่อมและสลายในที่สุด

จากความสนใจในศาสตร์แขนงต่าง ๆ และความห่วงใยต่ออนาคตของบ้านเมือง ทำให้ปรีดีเขียนงานไว้เป็นจำนวนมาก โดยแต่ละชิ้นสะท้อนให้เห็นถึงความคิดทางปัญญา ความเข้าใจในบริบททางประวัติศาสตร์ ตลอดจนความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ประชาชนมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ผลงานของเขาครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง ปรัชญา ประวัติศาสตร์ และนิติศาสตร์ โดยสามารถจัดประเภทได้ตั้งแต่งานนโยบายทางเศรษฐกิจ งานอธิบายรัฐธรรมนูญเบื้องต้น งานอภิปรายเชิงปรัชญา การสะท้อนมุมมองต่อเหตุการณ์ร่วมสมัย ไปจนถึงการวิเคราะห์ปัญหาชาติพันธุ์และความเป็นเอกภาพของประเทศชาติ อันแสดงถึงวิสัยทัศน์กว้างไกลและความเป็นนักคิดเชิงระบบที่รอบด้านของเขา[48]

  • คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจและเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรกับเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ, โรงพิมพ์ลหุโทษ, 2476
  • บันทึกข้อเสนอเรื่อง ขุดคอคอดกระ, กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502
  • ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน (Ma vie mouvementee et mes 21 ans d' exil en Chine Populaire)
  • ความเป็นมาของชื่อ “ประเทศสยาม” กับ “ประเทศไทย”
  • จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม
  • ประชาธิปไตย เบื้องต้นสำหรับสามัญชน
  • ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเบื้องต้นกับการร่างรัฐธรรมนูญ
  • ปรัชญาคืออะไร
  • "ความเป็นไปบางประการในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ใน บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์
  • บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย
  • ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเอกภาพของชาติและประชาธิปไตย
  • สำเนาจดหมายของนายปรีดีตอบบรรณาธิการสามัคคีสารเรื่อง ขอทราบความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ ๑๔-๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ และสังคมสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย, ปราโมทย์ พึ่งสุนทร, 2516
  • ความเป็นเอกภาพกับปัญหาสามจังหวัดภาคใต้, สหพันธ์นิสิตนักศึกษาชาวปักษ์ใต้แห่งประเทศไทย, 2517
  • อนาคตของเมืองไทยกับสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน, ประจักษ์การพิมพ์, 2518

ความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจ

แก้

หน่วยข่าวกรองของฝรั่งเศสในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้จัดทำรายงานลับเกี่ยวกับแนวโน้มทางการเมืองของปรีดี โดยระบุว่าในช่วงวัยหนุ่ม เขา "เป็นตัวการได้รับค่าจ้างของพวกโซเวียต ... เป็นสาวกลัทธิคอมมิวนิสต์" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดระแวงของประเทศตะวันตกในยุคสงครามเย็นที่เริ่มก่อตัว ต่อผู้มีแนวโน้มใฝ่ฝันในระบอบทางเลือกที่ท้าทายอำนาจของลัทธิเสรีนิยมแบบตะวันตก[35]: 198  อย่างไรก็ตาม ความเห็นดังกล่าวน่าจะเกิดจากการตีความแนวคิดแบบก้าวหน้าของปรีดีในเชิงอุดมการณ์ ที่มีเป้าหมายหลักในการปฏิรูปสังคมให้มีความเป็นธรรม มากกว่าจะยึดมั่นในระบอบคอมมิวนิสต์แบบเคร่งครัดตามอย่างสหภาพโซเวียต

แต่หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพลักษณ์ของปรีดีในสายตาชาติตะวันตก โดยเฉพาะกระทรวงการสงครามสหรัฐอเมริกาและสำนักอำนวยการยุทธศาสตร์ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยรายงานของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายทศวรรษ 2480 ถึงต้น 2490 ระบุชัดเจนว่าปรีดีเป็นผู้นิยมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็น "นักเสรีนิยมและรูปเคารพของเหล่าปัญญาชนหนุ่มชาวสยาม"[35]: 198  การประเมินนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติที่ชาติตะวันตกมีต่อผู้นำเอเชียที่แสดงเจตนารมณ์แน่วแน่ในการปฏิรูปสังคม โดยไม่จำเป็นต้องยึดโยงกับลัทธิคอมมิวนิสต์โดยตรง หากแต่มีแนวโน้มไปทางแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยในลักษณะที่เป็นอิสระ

คณะผู้แทนทางทูตของสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย ณ เวลานั้นก็มีท่าทีในทำนองเดียวกัน โดยให้ความเห็นว่า ปรีดีอาจเคยมีแนวโน้มโน้มเอียงไปทางลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ดี ณ พ.ศ. 2488 เขาเป็นเพียง "นักสังคมนิยมอ่อน ๆ เท่านั้น" ซึ่งเป็นคำจำกัดความที่แสดงถึงความพยายามของสหรัฐอเมริกาในการแยกแยะระหว่างคอมมิวนิสต์หัวรุนแรงกับนักการเมืองสังคมนิยมสายปฏิรูปในโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง[35]: 198  บริบทเช่นนี้จึงทำให้ปรีดีกลายเป็นบุคคลที่ได้รับการจับตามองจากทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายเสรีนิยมในระดับนานาชาติ ในฐานะผู้นำปัญญาชนที่มีอุดมการณ์อิสระ ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขั้วอำนาจใดอย่างสมบูรณ์

ความสนใจ

แก้

ปรีดีมีความสนใจในแนวคิดระบอบประชาธิปไตยจากอาจารย์เทียนวรรณและก.ศ.ร. กุหลาบ สมัยเรียนระดับมัธยมศึกษา[49] และเขายังสนใจในด้านศาสนาพุทธอีกด้วย[50] โดยเฉพาะหนังสือเรื่อง "กฎบัตรของพุทธบริษัท" ที่พุทธทาสภิกขุส่งไปให้ ปรีดีพกไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกติดตัวอยู่ตลอดเวลาตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต[51]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

แก้

ปรีดี พนมยงค์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

แก้

ต่างประเทศ

แก้

มรดก

แก้
 
อนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
 
ถนนสุขุมวิท 71 (ปรีดี พนมยงค์)

วันสำคัญ

แก้

ทุกวันที่ 11 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของปรีดี ในวาระครบรอบ 100 ปีชาตกาล เมื่อ พ.ศ. 2543 ปรีดีได้รับการประกาศยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก และได้มีการบรรจุชื่อไว้ในปฏิทินเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญของยูเนสโก[68] ในโอกาสนั้น คีตกวี สมเถา สุจริตกุล ประพันธ์ซิมโฟนีชื่อ "ปรีดีคีตานุสรณ์" เพื่อยอเกียรติ[69]

พันธุ์สัตว์

แก้

เมื่อ พ.ศ. 2546 มีการค้นพบปลาปล้องทองปรีดี (Schistura pridii) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยตั้งชื่อตามนามของเขา[70] และเอช. จี. ไดแนน (H. G. Deignan) ค้นพบชนิดย่อยใหม่ของนกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง สถาบันสมิทโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกาตั้งชื่อว่า "นกปรีดี" (Chloropsis aurifrons pridii) ที่ดอยอ่าง ดอยอินทนนท์ ไดแนน ยังตั้งชื่อนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าอีกชนิดย่อยหนึ่ง ที่พบกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคใต้ เพื่อเป็นเกียรติแก่ขบวนการเสรีไทยว่า Chloropsis cochinchinensis seri-thai (ชื่อสามัญว่า นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าเสรีไทย หรือนกเสรีไทย)[71]

สถานที่

แก้
  • อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 2 ที่คือ บริเวณที่ดินถิ่นกำเนิดของปรีดี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอนุสรณ์สถานรำลึกปรีดี พนมยงค์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเมือง ตรงข้ามวัดพนมยงค์ อนุสาวรีย์ปรีดีพนมยงค์เป็นรูปสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งของปรีดี 3 ประการคือ สันติภาพ เสรีไทยและประชาธิปไตย[72] และห้องอนุสรณ์สถานบนตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอนุสรณ์แห่งแรกที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงปรีดี พนมยงค์[73]
  • สถาบันปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ได้จัดสร้างอาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ขึ้น ณ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท 55 สำหรับใช้ดำเนินกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและราษฎรไทย เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2538[74]
  • ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติฯ 6-1 (ปรีดี พนมยงค์) ชั้น 6 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ใช้เป็นห้องประชุมสำหรับพิธีปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ และพิธีประสาทปริญญาบัตรสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา และกิจกรรมอื่นๆ ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
 
ช่องเก็บอัฐิของปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยา ภายในพระเจดีย์ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร

อื่น ๆ

แก้
  • ถนนปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 3 สาย คือที่ถนนสุขุมวิท 71, ถนนใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยา และภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
  • สะพานปรีดี-ธำรง สะพานข้ามแม่น้ำป่าสักอันเป็นทางเข้าออกหลักของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ตั้งตามชื่อปรีดี พนมยงค์ และถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์[79]
  • ถนนประดิษฐ์มนูธรรม เป็นถนนเลียบทางพิเศษฉลองรัช (ทางด่วนสายรามอินทรา-อาจณรงค์) มีความยาว 12 กิโลเมตร
  • แสตมป์ ชุดที่ระลึก 111 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด วางจำหน่ายครั้งแรก 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554[80]

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

แก้

ในปี พ.ศ. 2567 ได้มีการสร้างแอนิเมชันเรื่อง ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยมีตัวละคร ปรีดี พนมยงค์ พากย์เสียงโดย สุเมธ องอาจ

ภาพลักษณ์

แก้

พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อ 'ปรีดี'
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ

—พรรคแสงธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[81]: 7 

 
ปรีดี พนมยงค์ ในปี 2490

ภาพลักษณ์ของปรีดี พนมยงค์ถูกสร้างไปสองทางทั้งบวกและลบ มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ในการเมืองและสังคมไทย ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างเผด็จการทหาร อนุรักษนิยมและนิยมเจ้า กับเสรีนิยมและสังคมนิยม เผด็จการทหารสร้างภาพลักษณ์เขาในทางลบเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเมืองแก่ตนเอง อนุรักษนิยมและนิยมเจ้าพยายามรักษาบทบาทของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ส่วนฝ่ายหลังพยายามสร้างภาพลักษณ์ในทางที่ดีเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับเผด็จการ[13]: 22–3  สำหรับสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เขายกย่องปรีดีว่ามีความสำคัญเทียบเท่าเหมาเจ๋อตงของจีน โฮจิมินห์ของเวียดนาม และชวาหะร์ลาล เนห์รูของอินเดีย[1]: 1  และจากกรณียกิจเป็นผู้นำขบวนการกู้ชาติของเขาทำให้เขาอยู่ในสถานะที่ไม่แพ้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี[1]: 12 

เขาได้รับยกย่องว่าเป็นมันสมองของคณะราษฎร เป็นนักการเมืองผู้ซื่อสัตย์และมีอุดมการณ์ ทั้งมีความคิดก้าวหน้า จุดยืนทางการเมืองของเขานำมาซึ่งปัญหาทางการเมือง[13]: 30  จากความในประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 เขาถูกมองว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่ไม่นิยมเจ้าไปจนถึงเป็นผู้นิยมระบอบสาธารณรัฐ[13]: 37–8  ภาพลักษณ์ของเขาค่อย ๆ ดีขึ้นหลังกบฏบวรเดชล้มเหลว จนระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองที่เขาได้เป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทย และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังสงครามยุตินับเป็นช่วงที่เขามีภาพลักษณ์ทางบวกสูงสุด[13]: 81  อย่างไรก็ดี แม้เขาจะหันมาแสดงว่าจะฟื้นฟูบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทยแล้วก็ตาม แต่กลุ่มการเมืองอนุรักษนิยมและนิยมเจ้ายังคงแคลงใจอยู่[13]: 82–4 

จากกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 เกิดข่าวลือว่าพระเจ้าอยู่หัวถูกลอบปลงพระชนม์แพร่ไปไม่หยุด[13]: 91–6  พลโท ผิน ชุณหะวัณ และหลวงกาจสงคราม (เก่ง ระดมยิง) เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการกระพือข่าวกล่าวหาว่าปรีดีเป็นผู้บงการกรณีสวรรคต[13]: 107–111  ต่อมา คณะทหารนอกราชการผู้ก่อรัฐประหารปี 2490 ออกหมายจับปรีดีฐานลอบปลงพระชนม์[13]: 112  ในระหว่างคดียังไม่สิ้นสุดนั้น คณะรัฐประหารก็กุเรื่องเพิ่มเติมว่าปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์และอยากเป็นประธานาธิบดีด้วยเพื่อลดแรงต่อต้านจากคู่แข่งทางการเมือง[13]: 113  สำหรับกลุ่มอนุรักษนิยม-นิยมเจ้าเองก็พยายามสร้างให้ปรีดีเป็นปีศาจการเมืองด้วยเช่นกัน พระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต) ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะรัฐประหารให้เป็นประธานคณะกรรมการสืบสวนกรณีสวรรคต พยายามสรุปคดีโดยโทษว่าปรีดีเป็นผู้บงการ[13]: 138–142  หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชเขียนอธิบายลดบทบาทของปรีดีในขบวนการเสรีไทยในประเทศไทย โดยว่าเป็นเพียงผู้จัดตั้งกำลังติดอาวุธเท่านั้น[13]: 149–50 

มีคนบางส่วนพยายามแก้ต่างให้ปรีดี ส่วนหนึ่งเพราะเป็นศิษย์และพันธมิตรทางการเมือง[13]: 163  ส่วนหนึ่งเป็นปัญญาชนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีสร้างปรีดีเป็นปีศาจการเมือง เดือน บุนนาคและไสว สุทธิพิทักษ์เขียนหนังสือชีวประวัติให้ปรีดีเพื่อเชิดชูเกียรติ[13]: 169–70  นักเขียน 4 คน ประกอบด้วยอัศนี พลจันทร (กุลิศ อินทุศักดิ์), อิศรา อมันตกุล, ดาวหาง และ อ. อุดากร เขียนแสดงความเห็นใจที่ปรีดีแพ้ในความพยายามรัฐประหารที่ล้มเหลวในปี 2492 และว่าเป็นโศกนาฏกรรมของคนดี[13]: 180–85  อย่างไรก็ดี ความพยายามเหล่านี้ไม่เพียงพอบดบังกระแสปีศาจการเมืองปรีดีที่ครอบงำการเมืองไทยในพุทธทศวรรษ 2490 ได้[13]: 186 

ตำนานปีศาจการเมืองปรีดีเริ่มเสื่อมพลังลงในทศวรรษต่อมา หลังกลุ่มทหารที่ครองอำนาจทางการเมืองหันไปให้ความสนใจกับการแสดงออกของกลุ่มนักศึกษาแทน[13]: 189–90  ในช่วงเวลานั้นยังมีการกล่าวหาปรีดีถึงกรณีสวรรคตอยู่ ได้มอบหมายทนายให้ฟ้องร้องหมิ่นประมาทต่อบริษัทสยามรัฐ, หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กับพวกและชนะคดี[13]: 231–32  ในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เขาปฏิเสธเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยเพื่อเจรจาปัญหาผู้ลี้ภัยอินโดจีนเพราะเห็นว่าพลังนักศึกษาขณะนั้นกำลังต่อต้านจอมพลถนอม[13]: 235–37  หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ปรีดีสามารถถ่ายทอดความคิดของตนผ่านทางหนังสือพิมพ์ที่ตนมีสายสัมพันธ์ดีด้วย และเปิดโอกาสให้หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ เข้าสัมภาษณ์หลังถูกหนังสือพิมพ์ตะวันตกโจมตีระหว่างลี้ภัยในจีน[13]: 241–45  ชีวประวัติของปรีดีได้รับการเผยแพร่โดยงานเขียนของปราโมทย์ พึ่งสุนทรและสุพจน์ ด่านตระกูลตั้งแต่ปี 2513[13]: 250  นิสิตนักศึกษาและปัญญาชนให้ความสนใจกับการติดต่อปรีดีมากเพิ่มขึ้นสูงสุดแต่ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ปัจจัยหนึ่งเพราะปรีดีต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่นักศึกษาต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสถานการณ์การเมืองต่อมายังผลักดันให้นักศึกษามองว่าการร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นทางออก[13]: 270, 277–8 

แม้หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ยังมีงานเขียนพาดพิงถึงปรีดีในแง่ลบอยู่บ้าง และเขาเคลื่อนไหวโดยการฟ้องคดีหมิ่นประมาทและชนะคดี[13]: 301–3  ปัญญาชนก็หันมามองเขาว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีนิยม[13]: 306  ในปี 2527 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ตกอยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาลที่มองปรีดีเป็นศัตรูมาหลายยุคสมัยจึงเกิดวิกฤตด้านอัตลักษณ์ จึงมีความพยายามให้ความสำคัญแก่ปรีดีเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย[13]: 312  อนุสาวรีย์ปรีดีได้รับก่อสร้างขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งสะท้อนถึงการต่อสู้เพื่อสร้างความทรงจำร่วมของสังคม[13]: 336  ภาพลักษณ์เสรีนิยมดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ยังนำไปใช้หาเสียงในปี 2535[13]: 339  การเชิดชูปรีดีให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกโดยยูเนสโกในปี 2543 ส่งผลลบล้างมลทินของเขา[82]: 122  สัญลักษณ์ว่ารัฐบาลยอมรับการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของปรีดี เริ่มจากการเปลี่ยนชื่อถนนสุขาภิบาล 2 เป็นถนนเสรีไทย ตามมาด้วยการเปลี่ยนชื่อสถานที่ต่าง ๆ ว่าเกี่ยวข้องกับปรีดี[82]: 127–8  สุลักษณ์ ศิวรักษ์ยังกลายมาเป็นผู้มีส่วนสำคัญคนหนึ่งในการตั้งกองทุน 100 ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ โดยให้เหตุผลว่าต้องการไถ่โทษที่ตนเคยเข้าใจปรีดีผิด[82]: 127–8  นอกจากนี้เขายังได้รับเสนอชื่อเป็นชาวเอเชียแห่งศตวรรษด้วย[83]

ลำดับสาแหรก

แก้

เชิงอรรถ

แก้
  1. น.ร. ป.จ. ม.ป.ช. ม.ว.ม. อ.ป.ร. ๑ GCMG
  2. โปรดดู: ดคีดำหมายเลขที่ ๗๒๓๖/๒๕๑๓ คดีหมายเลขดำที่ ๑๑๓/๒๕๑๔ คดีหมายเลขดำ ที่ ๔๒๒๖/๒๕๒๑
  3. โปรดดู:
    • บันทึก เรื่อง รายงานของคณะกรรมการวิสอมัญซึ่งสภาได้ลงมติตั้งเพื่อให้สอบวนว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่
    • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รับที่ ๗๖๒/๒๔๗๖ วันที่ ๑/๑๒/๗๖ ลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๖
    • รายงานคณะกรรมาธิการสอบสวนว่า หลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่?
    • กรรมาธิการสอบสวนว่าหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ รายงานการประชุมครั้งที่ ๑–๔
  4. ภายหลังจากที่ปรีดีต้องลี้ภัยทางการเมือง รัฐบาลได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัย โดยตัดคำว่า "วิชา" และ "การเมือง" ออก เหลือเพียง "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" เพื่อไม่ให้นักศึกษายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้งยังขายหุ้นทั้งหมดของมหาวิทยาลัย จนไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงตัวเองได้ กลายเป็นมหาวิทยาลัยปิดที่ต้องอาศัยงบประมาณจากรัฐบาล[26][27]
  5. สุพจน์ ด่านตระกูลเล่าว่าเป็นเพราะขุนนางเก่ามีความคิดแบบจารีตนิยม ไม่เห็นชอบให้ประชาชนกล่าวโทษข้าราชการ[17]: 151 
  6. พระราชบัญญัติสงฆ์ พุทธศักราช 2484 ใช้ได้เพียง 20 ปี ก็มีเหตุการณ์ไม่ราบรื่นเกิดขึ้นในสังฆมณฑล จนนำคณะสงฆ์กลับไปสู่การปกครองระบอบเผด็จการโดยคณะเดียวภายใต้พระราชบัญญัติสงฆ์ พุทธศักราช 2505[28]
  7. ควง อภัยวงศ์เล่าว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาไม่กล้าลงพระนามแต่งตั้งพันตรี ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ[17]: 227–8 

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ สศิวรักษ์
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ปรีดีในต่างแดน
  3. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ReferenceC
  4. UNESCO: MS Data Thailand เก็บถาวร 2009-07-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, UNESCO
  5. ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์ สกุล พนมยงค์ และ สกุล ณ ป้อมเพชร์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, โครงการปรีดีพนมยงค์กับสังคมไทย, 2526, หน้า 163
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5 วิชัย ภู่โยธิน. (2538). ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ไทยวัฒนาพานิช, ISBN 974-08-2445-5
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 นาวี รังสิวรารักษ์. (2544). รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, ISBN 974-604-957-7
  8. ปรีดี พนมยงค์, เรื่องการมีจิตสำนึกอภิวัฒน์ของข้าพเจ้า ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 14
  9. 9.00 9.01 9.02 9.03 9.04 9.05 9.06 9.07 9.08 9.09 9.10 9.11 9.12 9.13 9.14 9.15 9.16 9.17 9.18 9.19 9.20 9.21 9.22 9.23 9.24 9.25 9.26 9.27 9.28 9.29 9.30 9.31 9.32 9.33 9.34 9.35 9.36 9.37 9.38 9.39 9.40 9.41 9.42 9.43 9.44 9.45 9.46 9.47 9.48 9.49 9.50 9.51 9.52 ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2021-07-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, บพิธการพิมพ์, 2493
  10. 10.00 10.01 10.02 10.03 10.04 10.05 10.06 10.07 10.08 10.09 10.10 10.11 10.12 10.13 บุนนาค, เดือน (1999). "ท่านปรีดีนักกฎหมาย". ใน โสภณศิริ, สันติสุข (บ.ก.). ปรีดีปริทัศน์: รวมทัศนะนักวิชาการต่อปรีดี พนมยงค์ (PDF) (1 ed.). คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาลนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน. ISBN 9747833441. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-08-19. สืบค้นเมื่อ 2009-11-19.
  11. 11.00 11.01 11.02 11.03 11.04 11.05 11.06 11.07 11.08 11.09 11.10 11.11 11.12 11.13 11.14 11.15 11.16 11.17 11.18 11.19 11.20 11.21 11.22 11.23 11.24 11.25 11.26 11.27 11.28 11.29 11.30 11.31 11.32 Na Pombhejara, Vichitvong (1983). Pridi Banomyong And The Making Of Thailand's Modern History (PDF). ISBN 9742601755.
  12. 12.0 12.1 12.2 ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2544, ISBN 974-7834-15-4 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "ปรีดี" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  13. 13.00 13.01 13.02 13.03 13.04 13.05 13.06 13.07 13.08 13.09 13.10 13.11 13.12 13.13 13.14 13.15 13.16 13.17 13.18 13.19 13.20 13.21 13.22 13.23 13.24 13.25 13.26 13.27 13.28 13.29 13.30 13.31 13.32 13.33 13.34 13.35 13.36 เจวจินดา, มรกต. ภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ กับการเมืองไทย พ.ศ. 2475–2526 (PDF). กรุงเทพฯ: โครงการเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญของไทย ที่มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ: คณะอนุกรรมการฝ่ายนิทรรศการ คณะกรรมการจัดงานฉลอง 100 ปี รัฐบุรุษอาวุโส ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ พ.ศ. 2543, 2543. ISBN 9745727938. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-10-27. สืบค้นเมื่อ 2020-06-20.
  14. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานบรรดาศักดิ์ เก็บถาวร 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม 45, วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2471, หน้า 2718
  15. ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชการ กราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์ เก็บถาวร 2014-09-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  16. ทิพวรรณ (บุญทวี) เจียมธีรสกุล, วิทยานิพนธ์เรื่องความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ : ระยะเริ่มแรก เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 2528, หน้า 409-421, 423-424
  17. 17.00 17.01 17.02 17.03 17.04 17.05 17.06 17.07 17.08 17.09 17.10 17.11 17.12 17.13 17.14 17.15 17.16 17.17 17.18 17.19 17.20 17.21 17.22 17.23 17.24 17.25 17.26 17.27 17.28 17.29 17.30 17.31 17.32 17.33 17.34 17.35 17.36 17.37 17.38 17.39 17.40 17.41 17.42 ด่านตระกูล, สุพจน์ (1971). ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์. พระนคร: ประจักษ์การพิมพ์.
  18. ชัยพงษ์ สำเนียง เล่าเรื่องอภิวัฒน์ 2475, ประชาไท, 20 มิ.ย. 2552, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
  19. ประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 186, ISBN 974-92685-3-9
  20. 20.0 20.1 สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม, ศิษย์อาจารย์ฉบับที่ 3, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2541
  21. 21.0 21.1 Ashayagachat, Achara (11 May 2013). "Father of Thai democracy, forever misunderstood". Bangkok Post. สืบค้นเมื่อ 2020-06-21.
  22. เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, ความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2529, หน้า 146-147
  23. ใจจริง, ณัฐพล (2013). ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) (1 ed.). ฟ้าเดียวกัน. ISBN 9786167667188.
  24. ปรีดี พนมยงค์ : ชีวิต งาน และธรรมศาสตร์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2529, หน้า 31, 59-60
  25. 25.0 25.1 25.2 25.3 สุพจน์ ด่านตระกูล, จากรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ถึงรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2531
  26. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์กับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เก็บถาวร 2009-12-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
  27. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ประวัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เก็บถาวร 2007-09-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, www.tu.ac.th
  28. "ปรีดี พนมยงค์ กับพระพุทธศาสนา". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-13. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19.
  29. 29.0 29.1 วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, ปรีดี พนมยงค์ กับปฏิบัติการเสรีไทย เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน, 2543, ISBN 974-7833-69-7, หน้า 47–56
  30. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 16 สิงหาคม 2488 ประวัติศาสตร์ที่ "ให้จำ" กับ "ให้ลืม", ประชาไท, เรียกข้อมูลวันที่ 17 พ.ย. 2552
  31. จดหมายของปรีดี พนมยงค์ ถึง พระพิศาลสุขุมวิท เรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และ สหรัฐอเมริกา เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, อมรินทร์การพิมพ์, 2522
  32. United States Department of State, Foreign relations of the United States : diplomatic papers, 1945 เก็บถาวร 2011-07-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Volume VI, 1945, pp.1278-1279
  33. สุพจน์ ด่านตระกูล, ปรีดี พนมยงค์ กับ ในหลวงอานันท์ และกรณีสวรรคต เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), 2541
  34. "พล.อ. เปรม กับเครื่องราชฯ โบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งสามัญชนน้อยคนได้รับพระราชทาน". ศิลปวัฒนธรรม. 28 May 2019. สืบค้นเมื่อ 12 May 2021.
  35. 35.00 35.01 35.02 35.03 35.04 35.05 35.06 35.07 35.08 35.09 Apbomsuvan, Thanet (1987). "THE UNITED STATES AND THE COMING OF THE COUP OF 1947 IN SIAM" (PDF). Journal of The Siam Society (75). สืบค้นเมื่อ 8 February 2021.
  36. ศิวรักษ์, ส. (2012). "ชีวิตและงานของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในฐานะที่เป็นพยานทางประวัติศาสตร์ในเรื่องการสร้างสรรค์สติปัญญาอย่างของไทยเราเอง" (PDF). วารสารดำรงราชานุภาพ. 12 (43). ISSN 1513-6884. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-06-29. สืบค้นเมื่อ 2020-06-02.
  37. 37.0 37.1 สุพจน์ ด่านตระกูล, ท่านปรีดี พนมยงค์ กับกับสถาบันกษัตริย์และกรณีสวรรคต เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, นิตยสารสารคดี, ฉบับที่ 182, เมษายน พ.ศ. 2543
  38. ประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 260, ISBN 974-92685-3-9
  39. ประสิทธิ์ ลุลิตานนท์, ลายพระหัตถ์ ม.จ.ศุภสวัสดิ์ฯ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แผนกงานจ้าง อัลลายด์พริ้นเตอรส์, โรงพิมพ์โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด, วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2517, หน้า 3-4
  40. วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, บางหน้าในประวัติศาสตร์ไทย อัตชีวประวัติของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แสงดาว, 2549, ISBN 974-9818-83-0, หน้า 409-416
  41. วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, 100 ปี ของ สามัญชนนาม ปรีดี พนมยงค์, นิตยสารสารคดี, เรียกข้อมูลวันที่ 28 ม.ค. 53
  42. ประทีป สายเสน, กบฏวังหลวงกับสถานะของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์อักษรสาส์น, 2532, ISBN 974-7248-22-7
  43. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: พูนศุข พนมยงค์ ให้สัมภาษณ์กรณีสวรรคต พฤษภาคม 2500
  44. สุพจน์ ด่านตระกูล, ม.จ. ศุภสวัสดิ์ฯ รับสั่งว่า ในหลวงและสมเด็จพระราชชนนีไม่ทรงเชื่อว่า...ปรีดีฯ สมคบปลงพระชนม์ ร.8 เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2529, หน้า 46, 69
  45. นรุตม์, หลากบทชีวิต ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แพรวสำนักพิมพ์, อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, หน้า, 2535, ISBN 974-8359-86-7
  46. พระเจ้าช้างเผือก ถ่ายช้างได้ดีที่สุดในโลก เก็บถาวร 2010-02-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, มูลนิธิหนังไทย, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552
  47. สุรัยยา (เบ็ญโส๊ะ) สุไลมาน, กระบวนทัศน์สันติวิธีของปรีดี พนมยงค์ กรณีศึกษาเรื่องพระเจ้าช้างเผือก เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เรือนแก้วการพิมพ์, 2544, ISBN 974-7834-10-3
  48. บรรณานุกรมงานของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2009-12-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552
  49. ปรีดีเคยเจอเขาทั้งสอง ! ก.ศ.ร. กุหลาบ และ เทียนวรรณ สถาบันปรีดี สืบค้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2563
  50. สัมพันธ์ ก้องสมุทร, ดอกโมกข์ ดอกไม้แห่งพุทธะและธรรมมาตา เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ปีที่ 2 ไตรมาสที่ 1 ฉบับที่ 5, หน้า 93
  51. ข่าวสด, เปิดหนังสือกฎบัตรพุทธบริษัท, วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7227 ข่าวสดรายวัน
  52. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๕, ๑๙ มิถุนายน ๒๔๘๔
  53. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๒๑๓, ๑๓ ธันวาคม ๒๔๘๐
  54. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ พระราชทานเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๓๙, ๒๑ เมษายน ๒๔๗๘
  55. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๐๓๒, ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑
  56. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญช่วยราชการเขตภายใน, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๗, ๒๓ มิถุนายน ๒๔๘๔
  57. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๕๙, ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๑
  58. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ เรื่อง ให้ประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๓๗๔, ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๘
  59. ปรีดี พนมยงค์. Ma Vie Movementee et mes 21 Ans D' Exil en Chine Populaire, แปลและเรียบเรียงโดย วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร จากหนังสือ บางหน้าของประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ของบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในอดีต -- กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิทยาคาร, พ.ศ. 2522
  60. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๖๒, ๑๘ เมษายน ๒๔๘๑
  61. ปรีดี พนมยงค์, ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, บทที่ 3 การเข้าพบมุสโสลินีฯ, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 43
  62. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๔๗ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๑๖๔, ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๓
  63. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๙๒๘, ๒๖ มิถุนายน ๒๔๘๒
  64. ปรีดี พนมยงค์ ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 9
  65. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๗๙๘, ๒๕ กันยายน ๒๔๘๒
  66. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๕๕๖, ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๒
  67. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๖๕๐, ๔ ธันวาคม ๒๔๘๒
  68. This system is currently under maintenance
  69. กฤษณา อโศกสิน, หน้าต่างบานใหม่ เก็บถาวร 2011-07-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สกุลไทย, ฉบับที่ 2387 ปีที่ 46 ประจำวันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2543
  70. ชวลิต วิทยานนท์, ปลาปล้องทองปรีดี ปลาชนิดใหม่ของโลก, นิตยสารสารคดี ปีที่ 19 ฉบับที่ 222, หน้า 38
  71. "นกสวยงามกับเสรีไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-07-31. สืบค้นเมื่อ 2016-07-17. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  72. อนุสรณ์สถานปรีดีพนมยงค์[ลิงก์เสีย]
  73. ลานปรีดี พนมยงค์ จาก es.foursquare.com
  74. ประวัติสถาบันปรีดี พนมยงค์, เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์
  75. "ประวัติหอสมุดปรีดี พนมยงค์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-06. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  76. "Pridi Banomyong International College". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-08. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  77. DMNEWS บล็อกข่าวส่งเสริมคนดี. (11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552). วิทยาลัยนานาชาติ"ปรีดี พนมยงค์" มิติใหม่ธรรมศาสตร์ สร้างนักศึกษาสู่ตลาดโลก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก [1]. (เข้าถึงเมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553).
  78. เกี่ยวกับคณะ–คณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์[ลิงก์เสีย]
  79. เกื้อกูล ยืนยงอนันต์. (2527). ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. 2438-2500. พระนครศรีอยุธยา : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา. ถ่ายเอกสาร.
  80. ปณท ออกแสตมป์100ปี หลวงพ่อปัญญา-ปรีดี พนมยงค์ 
  81. คณะกรรมการโครงการ "ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย". มิตรกำสรวล เนื่องในมรณกรรมของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ (PDF). กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์: โครงการ "ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-10-27. สืบค้นเมื่อ 2020-06-20.
  82. 82.0 82.1 82.2 แสงดี, ชนิกานต์ (2017). "กรณีข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทจากหนังสือภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ กับ การเมืองไทย พ.ศ. 2475 - 2526: ภาพสะท้อนของภาพลักษณ์นายปรีดีในสังคมไทยปัจจุบัน". วารสารประวัติศาสตร์. ISSN 0125-1902.
  83. Asia Week, Asian of the century เก็บถาวร 2010-01-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน

บรรณานุกรม

แก้

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้
ก่อนหน้า ปรีดี พนมยงค์ ถัดไป
ควง อภัยวงศ์    
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 (ครม. 15)
(24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489)
  ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
พระยาไชยยศสมบัติ    
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
สมัยที่ 1

(20 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484)
  เภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ
พระยาศรีวิสารวาจา    
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
สมัยที่ 2

(24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489)
  วิจิตร ลุลิตานนท์
พระยาศรีเสนา    
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(12 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 – 21 ธันวาคม พ.ศ. 2481)
  เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ
พระยาพหลพลพยุหเสนา    
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
(29 มีนาคม พ.ศ. 2477 – 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478)
  ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
สถาปนาตำแหน่ง    
ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(11 เมษายน พ.ศ. 2477 – 18 มีนาคม พ.ศ. 2495)
  เดือน บุนนาค
(รักษาการ)
เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน    
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 – 20 กันยายน พ.ศ. 2488)
  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร