พรรคคอมมิวนิสต์จีน

พรรครัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน

พรรคคอมมิวนิสต์จีน (อังกฤษ: Chinese Communist Party: CCP)[3] มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน (จีน: 中国共产党; อังกฤษ: Communist Party of China: CPC)[4] เป็นพรรคผู้ก่อตั้งและพรรครัฐบาลเดียวของสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การนำของเหมา เจ๋อตง พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองจีนเหนือก๊กมินตั๋ง ใน ค.ศ. 1949 เหมาประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน นับตั้งแต่นั้นมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้ปกครองจีนและมีอำนาจควบคุมกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) เพียงผู้เดียว บรรดาผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่สืบทอดต่อกันมาได้เพิ่มทฤษฎีของตนเองลงในธรรมนูญของพรรค ซึ่งระบุถึงอุดมการณ์ของพรรคโดยรวมว่า สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน ณ ค.ศ. 2024 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีสมาชิกมากกว่า 99 ล้านคน ทำให้เป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกตามจำนวนสมาชิก รองจากพรรคภารตียชนตาของอินเดีย

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
中国共产党
จงกั๋วก้งฉานต่าง
ชื่อย่อพคจ. (CCP)
ผู้ก่อตั้ง
เลขาธิการสี จิ้นผิง
คำขวัญ"รับใช้ประชาชน"[หมายเหตุ 1]
ก่อตั้ง
ที่ทำการจงหนานไห่ เขตซีเฉิง ปักกิ่ง
หนังสือพิมพ์เหรินหมินรื่อเป้า
ฝ่ายเยาวชนสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
ฝ่ายเด็กผู้บุกเบิกรุ่นเยาว์แห่งประเทศจีน
ฝ่ายทหาร
สำนักงานวิจัยสำนักงานวิจัยนโยบายส่วนกลาง
สมาชิกภาพ  (ปี 2023)เพิ่มขึ้น 99,185,000[2]
อุดมการณ์คอมมิวนิสต์
ลัทธิมากซ์-เลนิน
ความคิดของเหมา เจ๋อตง
ทฤษฎีของเติ้ง เสี่ยวผิง
ความคิดของสี จิ้นผิง
กลุ่มระดับสากลการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคแรงงานนานาชาติ
สี  แดง
สภาประชาชนแห่งชาติ (ชุดที่ 13)
2,090 / 2,980
คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ (ชุดที่ 14)
116 / 175
เว็บไซต์
12371.cn แก้ไขสิ่งนี้ที่วิกิสนเทศ
ธงประจำพรรค
การเมืองจีน
รายชื่อพรรคการเมือง
การเลือกตั้ง
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
"พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน" ในอักษรจีนตัวย่อ (บน) และอักษรจีนตัวเต็ม (ล่าง)
ชื่อภาษาจีน
อักษรจีนตัวย่อ中国共产党
อักษรจีนตัวเต็ม中國共產黨
ฮั่นยฺหวี่พินอินZhōngguó Gòngchǎndǎng
ชื่อย่อ
ภาษาจีน中共
ฮั่นยฺหวี่พินอินZhōnggòng
ชื่อภาษาทิเบต
อักษรทิเบต ཀྲུང་གོ་གུང་ཁྲན་ཏང
ชื่อภาษาจ้วง
ภาษาจ้วงCunghgoz Gungcanjdangj
ชื่อภาษามองโกเลีย
อักษรซิริลลิกมองโกเลียДундад улсын (Хятадын) Эв хамт (Kоммунист) Нам
อักษรมองโกเลีย ᠳᠤᠮᠳᠠᠳᠤ ᠤᠯᠤᠰ ᠤᠨ
(ᠬᠢᠲᠠᠳ ᠤᠨ)
ᠡᠪ ᠬᠠᠮᠲᠤ
(ᠺᠣᠮᠮᠤᠶᠢᠨᠢᠰᠲ)
ᠨᠠᠮ
ชื่อภาษาอุยกูร์
ภาษาอุยกูร์
جۇڭگو كوممۇنىستىك پارتىيىسى
ชื่อภาษาแมนจู
อักษรแมนจู ᡩᡠᠯᡳᠮᠪᠠᡳ ᡤᡠᡵᡠᠨ ‍‍ᡳ
(ᠵᡠᠨᡤᠣ ‍‍ᡳ)
ᡤᡠᠩᡮᠠᠨ
ᡥᠣᡴᡳ
อักษรโรมันDulimbai gurun-i (Jungg'o-i) Gungcan Hoki

ใน ค.ศ. 1921 เฉิน ตู๋ซิ่ว และหลี่ ต้าเจา เป็นผู้นำการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานตะวันออกไกลของพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย (บอลเชวิค) และสำนักงานตะวันออกไกลของคอมมิวนิสต์สากล ในช่วงหกปีแรก พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เข้าร่วมกับก๊กมินตั๋ง (KMT) ในฐานะกลุ่มฝ่ายซ้ายที่จัดตั้งขึ้นภายในขบวนการชาตินิยมที่ใหญ่กว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อฝ่ายขวาของก๊กมินตั๋ง นำโดยเจียง ไคเชก หันมาต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์จีนและสังหารสมาชิกพรรคไปหลายหมื่นคน ทั้งสองพรรคก็แตกแยกกันและเริ่มสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ ในช่วงสิบปีถัดมาของสงครามกองโจร เหมา เจ๋อตงได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และพรรคได้ก่อตั้งฐานเสียงที่แข็งแกร่งในกลุ่มชาวนาในชนบทด้วยนโยบายปฏิรูปที่ดิน การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง และหลังญี่ปุ่นยอมจำนนใน ค.ศ. 1945 พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้รับชัยชนะในการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ต่อต้านรัฐบาลชาตินิยม หลังก๊กมินตั๋งถอนทัพไปยังไต้หวัน พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949

เหมา เจ๋อตง ยังคงเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีอิทธิพลมากที่สุดจนกระทั่งเสียชีวิตใน ค.ศ. 1976 แม้เขาจะถอนตัวจากตำแหน่งผู้นำสาธารณะเป็นระยะ ๆ เมื่อสุขภาพของเขาเริ่มย่ำแย่ลงก็ตาม ภายใต้การนำของเหมา พรรคได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินจนสำเร็จ เปิดตัวแผนห้าปีชุดหนึ่ง และในที่สุดก็แตกแยกจากสหภาพโซเวียต แม้เหมาจะพยายามกวาดล้างกลุ่มทุนนิยมและกลุ่มปฏิกิริยาออกจากพรรคในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิต นโยบายเหล่านี้ได้รับการสานต่อโดยแก๊งสี่คนเท่านั้นก่อนที่กลุ่มที่มีแนวคิดรุนแรงน้อยกว่าจะเข้ายึดอำนาจ ในคริสต์ทศวรรษ 1980 เติ้ง เสี่ยวผิง ชี้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมของลัทธิเหมาและหันมาใช้นโยบายการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจแทน คำอธิบายอย่างเป็นทางการสำหรับการปฏิรูปเหล่านี้ก็คือจีนยังคงอยู่ในขั้นต้นของสังคมนิยม ซึ่งเป็นขั้นพัฒนาที่คล้ายกับวิถีการผลิตแบบทุนนิยม นับตั้งแต่การล่มสลายของกลุ่มตะวันออกและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1991 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมุ่งเน้นไปที่การรักษาความสัมพันธ์กับพรรครัฐบาลของรัฐสังคมนิยมที่เหลืออยู่ พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังสร้างความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์หลายพรรค รวมถึงพรรคชาตินิยมที่มีอิทธิพลในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศในแอฟริกา เอเชีย และลาตินอเมริกา ตลอดจนพรรคการเมืองประชาธิปไตยสังคมนิยมในยุโรปด้วย

พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับการจัดระเบียบบนพื้นฐานประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ หลักการที่รวมถึงการหารือนโยบายอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับเงื่อนไขของความสามัคคีในหมู่สมาชิกพรรคในการยืนหยัดตามการตัดสินใจที่ตกลงกัน องค์กรสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือสภาแห่งชาติ (National Congress) ซึ่งมีการประชุมทุกห้าปี เมื่อสภาแห่งชาติไม่ได้ประชุม คณะกรรมาธิการกลางจะเป็นองค์กรสูงสุด แต่เนื่องจากองค์กรดังกล่าวมักประชุมเพียงปีละครั้ง หน้าที่และความรับผิดชอบส่วนใหญ่จึงตกอยู่กับกรมการเมืองและคณะกรรมาธิการสามัญฯ สมาชิกกลุ่มหลังนี้ถือเป็นผู้นำระดับสูงของพรรคและของรัฐ[5] ปัจจุบันผู้นำพรรคดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค (รับผิดชอบหน้าที่ของพรรคฝ่ายพลเรือน) ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง (CMC) (รับผิดชอบกิจการทหาร) และประธานาธิบดี (ตำแหน่งทางพิธีการเป็นหลัก) ด้วยตำแหน่งเหล่านี้ ผู้นำพรรคจึงถูกมองว่าเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ ผู้นำคนปัจจุบันคือสี จิ้นผิง ผู้ซึ่งได้รับเลือกในช่วงการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 1 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 18 เมื่อ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 และได้เลือกอีกสองครั้ง ได้แก่ เมื่อ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2017 โดยคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 19 และเมื่อ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2022 โดยคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 20

ประวัติ

แก้

การก่อตั้งและประวัติศาสตร์ช่วงต้น

แก้

การปฏิวัติเดือนตุลาคมและทฤษฎีมาร์กซิสต์เป็นแรงบันดาลใจในการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน[6]: 114  เฉิน ตูซิ่ว และหลี่ ต้าเจา เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่สนับสนุนลัทธิเลนินและการปฏิวัติโลกอย่างเปิดเผย ทั้งคู่ถือว่าการปฏิวัติเดือนตุลาคมในรัสเซียคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง และเชื่อว่าจะเป็นการเริ่มต้นสมัยใหม่ให้กับประเทศที่ถูกกดขี่ทั่วทุกแห่ง[7]

การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์บางส่วนถือว่าขบวนการ 4 พฤษภาคมเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ปฏิวัติที่นำไปสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน[8]: 22  ภายหลังจากขบวนการดังกล่าว แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางสังคมก็เพิ่มมากขึ้น[9]: 14  ใน ค.ศ. 1939 เหมา เจ๋อตงระบุว่าขบวนการนี้แสดงให้เห็นว่าการปฏิวัติของชนชั้นกระฎุมพีต่อต้านจักรวรรดินิยมและจีนได้พัฒนาไปสู่ขั้นใหม่ แต่ชนชั้นกรรมาชีพจะเป็นผู้นำการปฏิวัติให้สำเร็จ[9]: 20  ขบวนการ 4 พฤษภาคมนำไปสู่การจัดตั้งปัญญาชนหัวรุนแรงที่ดำเนินการระดมชาวนาและแรงงานเข้าสู่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและได้รับความเข้มแข็งภายในองค์กรที่ช่วยเสริมสร้างความสำเร็จของการปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีน[10] เฉินและหลี่เป็นหนึ่งในผู้ส่งเสริมลัทธิมากซ์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในจีนในช่วงเหตุการณ์ 4 พฤษภาคม[9]: 7  พรรคคอมมิวนิสต์จีนเองก็สนับสนุนขบวนการ 4 พฤษภาคม และมองว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของมรดกของขบวนการ[11]: 24 

ไช่ เหอเซิน กล่าวว่าวงการศึกษานั้นเป็น "พื้นฐาน [ของพรรคเรา]"[12] มีการจัดตั้งวงการศึกษาหลายแห่งขึ้นในระหว่างขบวนการวัฒนธรรมใหม่ แต่ภายใน ค.ศ. 1920 หลายวงเริ่มมีความสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของวงการศึกษาดังกล่าวในการนำมาซึ่งการปฏิรูป[13] ขบวนการปัญญาของจีนแตกกระจายในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1920[14]: 17  ขบวนการ 4 พฤษภาคมและขบวนการวัฒนธรรมใหม่ระบุถึงปัญหาที่กลุ่มก้าวหน้าของจีนให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง รวมถึงการต่อต้านจักรวรรดินิยม การสนับสนุนชาตินิยม การสนับสนุนประชาธิปไตย การส่งเสริมลัทธิสตรีนิยม และการปฏิเสธค่านิยมแบบดั้งเดิม[14]: 17  อย่างไรก็ตาม วิธีแก้ปัญหาที่เสนอโดยกลุ่มก้าวหน้าของจีนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ[14]: 17 

 
สถานที่จัดการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งแรกในอดีตเขตสัมปทานฝรั่งเศสเซี่ยงไฮ้

พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1921 ด้วยความช่วยเหลือจากสำนักงานตะวันออกไกลของพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย (บอลเชวิค) และสำนักเลขาธิการตะวันออกไกลของคอมมิวนิสต์สากล ตามบันทึกอย่างเป็นทางการของพรรคเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พรรค[15][16] อย่างไรก็ตาม เอกสารของพรรคระบุว่าวันที่ก่อตั้งพรรคจริงคือ 23 กรกฎาคม วันแรกของการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 1 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[17] การประชุมสภาแห่งชาติก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดขึ้นในวันที่ 23–31 กรกฎาคม[18][ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้] ด้วยสมาชิกเพียง 50 คนในช่วงต้น ค.ศ. 1921 ซึ่งรวมถึงเฉิน ตู๋ซิ่ว หลี่ ต้าเจา และเหมา เจ๋อตง[19] องค์กรและหน่วยงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงเติบโตอย่างมาก[6]: 115  แม้การประชุมครั้งแรกจะจัดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งในเขตสัมปทานฝรั่งเศสเซี่ยงไฮ้ แต่ตำรวจฝรั่งเศสได้เข้ามาขัดขวางการประชุมในวันที่ 30 กรกฎาคม[20] และการประชุมได้ย้ายไปที่เรือท่องเที่ยวที่ทะเลสาบใต้ในเจียซิง มณฑลเจ้อเจียง[20] มีผู้แทนประมาณ 12 คนเข้าร่วมการประชุม โดยที่หลี่และเฉินไม่ได้เข้าร่วม[20] เฉินส่งผู้แทนส่วนตัวไปแทน[20] มติของการประชุมเรียกร้องให้จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เป็นสาขาหนึ่งขององค์การคอมมิวนิสต์สากล (โคมินเทิร์น) และเลือกเฉินเป็นผู้นำ ต่อมาเฉินทำหน้าที่เป็นเลขาธิการคนแรกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[20] และได้รับการขนานนามว่า "เลนินแห่งจีน"[ต้องการอ้างอิง]

โซเวียตหวังจะส่งเสริมกองกำลังนิยมโซเวียตในเอเชียตะวันออกเพื่อต่อสู้กับประเทศต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะญี่ปุ่น พวกเขาพยายามติดต่อกับขุนศึกอู๋ เพ่ย์ฝูแต่ล้มเหลว[21][22] จากนั้นโซเวียตติดต่อกับก๊กมินตั๋ง ผู้นำรัฐบาลกว่างโจวขนานไปกับรัฐบาลเป่ย์หยาง วันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1923 โคมินเทิร์นส่งมีฮาอิล โบโรดินไปที่กว่างโจว และโซเวียตสถาปนาความสัมพันธ์กับก๊กมินตั๋ง คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน[23] โจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียต[24] และโคมินเทิร์น[25] ต่างหวังว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะควบคุมก๊กมินตั๋งในที่สุดและเรียกฝ่ายตรงข้ามว่า "พวกขวาจัด"[26][หมายเหตุ 3] ซุน ยัตเซ็น ผู้นำก๊กมินตั๋ง คลี่คลายความขัดแย้งระหว่างคอมมิวนิสต์และฝ่ายตรงข้าม สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนเติบโตอย่างมากหลังการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 4 ใน ค.ศ. 1925 จาก 900 เป็น 2,428 คน[28] พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงปฏิบัติต่อซุน ยัตเซ็นในฐานะหนึ่งในผู้ก่อตั้งขบวนการของตน[29] เนื่องจากเขาถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ยุคแรก[30] และองค์ประกอบทางเศรษฐกิจของอุดมการณ์ของซุนคือสังคมนิยม[31] ซุนกล่าวว่า "หลักการดำรงชีพของเราเป็นรูปแบบหนึ่งของลัทธิคอมมิวนิสต์"[32]

คอมมิวนิสต์ครอบงำฝ่ายซ้ายของก๊กมินตั๋งและต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับฝ่ายขวาของพรรค[26] เมื่อซุน ยัตเซ็นเสียชีวิตในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1925 เจียง ไคเชก ผู้นำฝ่ายขวาก็ขึ้นดำรงตำแหน่งต่อจากซุน โดยเขาเริ่มการเคลื่อนไหวเพื่อกดขี่ตำแหน่งของคอมมิวนิสต์[26] เจียง ผู้ช่วยคนเก่าของซุน ไม่ได้ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างแข็งขันในเวลานั้น[33] แม้เขาจะเกลียดทฤษฎีการต่อสู้ระหว่างชนชั้นและการยึดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ตาม[27] พวกคอมมิวนิสต์เสนอให้ล้มล้างอำนาจของเจียง[34] เมื่อเจียงได้รับการสนับสนุนจากประเทศตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ความขัดแย้งระหว่างเขากับคอมมิวนิสต์ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เจียงขอให้ก๊กมินตั๋งเข้าร่วมโคมินเทิร์นเพื่อตัดความเป็นไปได้ในการขยายตัวอย่างลับ ๆ ของคอมมิวนิสต์ภายในก๊กมินตั๋ง ขณะที่เฉิน ตู๋ซิ่วหวังว่าคอมมิวนิสต์จะถอนตัวจากก๊กมินตั๋งอย่างสมบูรณ์ [35]

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1927 ทั้งเจียงและพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับความขัดแย้ง[36] หลังประสบความสำเร็จในการกำจัดขุนศึกจากการกรีธาทัพขึ้นเหนือ เจียงก็หันไปต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนนับหมื่นคนทั่วประเทศจีน[37] เขาเคลื่อนทัพไปยังเซี่ยงไฮ้ เมืองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังคอมมิวนิสต์ โดยเพิกเฉยต่อคำสั่งของรัฐบาลก๊กมินตั๋งที่ตั้งอยู่ในอู่ฮั่น แม้คอมมิวนิสต์จะยินดีต้อนรับการมาถึงของเจียง แต่เขากลับหันกลับมาต่อต้านพวกเขาโดยสังหารผู้คนไปกว่า 5,000 คน[หมายเหตุ 4] ด้วยความช่วยเหลือของแก๊งเขียว[37][40][41] กองทัพของเจียงเดินทัพไปยังอู่ฮั่นแต่ถูกขัดขวางไม่ให้เข้ายึดเมืองโดยเย่ ถิง นายพลพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกองกำลังของเขา[42] พันธมิตรของเจียงยังโจมตีคอมมิวนิสต์ด้วย ตัวอย่างเช่น ในปักกิ่ง หลี่ ต้าเจาและคอมมิวนิสต์ชั้นนำอีก 19 คนถูกประหารชีวิตโดยจาง จั้วหลิน[43][38] เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ขบวนการชาวนาที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนโกรธเคืองมากขึ้น เย่ เต๋อฮุย นักวิชาการผู้มีชื่อเสียง ถูกคอมมิวนิสต์สังหารในฉางชา และเพื่อแก้แค้น แม่ทัพเหอ เจี้ยน แห่งกองทัพก๊กมินตั๋งและกองกำลังของเขาจึงยิงทหารอาสาสมัครชาวนาไปหลายร้อยคน[44] ในเดือนพฤษภาคมนั้น พรรคคอมมิวนิสต์และผู้เห็นอกเห็นใจนับหมื่นถูกกองกำลังของก๊กมินตั๋งสังหาร โดยที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสูญเสียสมาชิกไปประมาณ 15,000 จากทั้งหมด 25,000 ราย[38]

สงครามกลางเมืองจีนและสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง

แก้
 
ธงกองทัพแดงของกรรมกรและชาวนาจีน

พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงสนับสนุนรัฐบาลก๊กมินตั๋งในอู่ฮั่น[38] แต่ในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1927 รัฐบาลอู่ฮั่นขับไล่คอมมิวนิสต์ทั้งหมดออกจากก๊กมินตั๋ง[45] พรรคคอมมิวนิสต์จีนตอบโต้ด้วยการก่อตั้งกองทัพแดงของชนชั้นกรรมกรและชาวนาจีน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กองทัพแดง" เพื่อต่อสู้กับก๊กมินตั๋ง กองพันที่นำโดยนายพลจู เต๋อได้รับคำสั่งให้ยึดหนานชางในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1927 ซึ่งภายหลังเรียกเหตุการณ์นี้ว่าการก่อการกำเริบหนานชาง

ในช่วงแรก จูและกองกำลังของเขาถูกบังคับให้ล่าถอยหลังผ่านไปห้าวัน เดินทัพลงใต้สู่ซัวเถา และจากนั้นก็ถูกขับไล่เข้าสู่ถิ่นทุรกันดารของฝูเจี้ยน[45] เหมา เจ๋อตง ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพแดง และนำทหารสี่กรมเข้าโจมตีฉางชาในช่วงการก่อการกำเริบฤดูเก็บเกี่ยว โดยหวังจะจุดชนวนให้เกิดการลุกฮือของชาวนาทั่วหูหนาน[46] แผนของเขาคือโจมตีเมืองที่ก๊กมินตั๋งยึดครองจากสามทิศทางในวันที่ 9 กันยายน แต่กรมทหารที่ 4 กลับหันไปสนับสนุนก๊กมินตั๋งและโจมตีกรมทหารที่ 3 แทน กองทัพของเหมาเดินทางมาถึงฉางซาแต่ไม่สามารถยึดเมืองได้ ภายในวันที่ 15 กันยายน เขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้ โดยผู้รอดชีวิต 1,000 คนเดินทัพทางตะวันออกสู่เทือกเขาจิ่งกังของเจียงซี[46][47][48]

การทำลายล้างองค์กรระดับเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเกือบจะสำเร็จ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับสถาบันภายในพรรค[49] พรรคนำแนวคิดประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์มาใช้ ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดตั้งพรรคปฏิวัติ และจัดตั้งกรมการเมืองขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นคณะกรรมาธิการสามัญของคณะกรรมาธิการกลาง[49] ผลลัพธ์คือมีการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางภายในพรรคมากขึ้น[49] ในทุกระดับของพรรค การดำเนินการดังกล่าวถูกทำซ้ำ โดยมีคณะกรรมาธิการสามัญทำหน้าที่ควบคุมอย่างมีประสิทธิผล[49] หลังถูกขับออกจากพรรค เฉิน ตู๋ซิ่วกลายมาเป็นผู้นำขบวนการทรอตสกีของจีน หลี่ ลี่ซานสามารถควบคุมพรรคโดยพฤตินัยได้ภายใน ค.ศ. 1929–1930[49]

การประชุมกู่เถียนใน ค.ศ. 1929 มีความสำคัญในการสร้างหลักการให้พรรคควบคุมกองทัพ ซึ่งยังคงเป็นหลักการสำคัญของอุดมการณ์ของพรรค[50]: 280 

ความเป็นผู้นำของหลี่ถือเป็นความล้มเหลว ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ในจุดวิกฤต[49] โคมินเทิร์นเข้ามาเกี่ยวข้อง และในช่วงปลาย ค.ศ. 1930 อำนาจของเขาถูกยึดไป[49] ใน ค.ศ. 1935 เหมากลายเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนและผู้นำทหารอย่างไม่เป็นทางการของพรรค โดยมีโจว เอินไหลและจาง เหวินเทียน หัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการ ทำหน้าที่เป็นผู้แทนอย่างไม่เป็นทางการของเขา[49] ความขัดแย้งกับก๊กมินตั๋งนำไปสู่การจัดระเบียบกองทัพแดงใหม่ โดยขณะนี้อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ฝ่ายบริหารผ่านการจัดตั้งฝ่ายการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อรับผิดชอบการดูแลกองทัพ[49]

อุบัติการณ์ซีอานในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1936 ทำให้ความขัดแย้งระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับก๊กมินตั๋งหยุดชะงัก[51] ภายใต้แรงกดดันจากจอมพล จาง เสฺวเหลียงและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในที่สุดเจียง ไคเชกก็ยอมตกลงร่วมแนวร่วมที่สองที่มุ่งเน้นการต่อต้านผู้รุกรานชาวญี่ปุ่น[52] แม้แนวร่วมนี้จะมีอย่างเป็นทางการจนถึง ค.ศ. 1945 แต่ความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยุติอย่างสิ้นเชิงใน ค.ศ. 1940[52] แม้จะมีพันธมิตรอย่างเป็นทางการ พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ใช้โอกาสนี้ขยายและสร้างฐานปฏิบัติการอิสระเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่กำลังจะมาถึงกับก๊กมินตั๋ง[53] ใน ค.ศ. 1942 ก๊กมินตั๋งเริ่มจำกัดการขยายตัวของพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายในประเทศจีน[53] สิ่งนี้ทำให้เกิดการปะทะกันบ่อยครั้งระหว่างกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์จีนและก๊กมินตั๋ง[53] ซึ่งคลี่คลายลงอย่างรวดเร็วเมื่อทั้งสองฝ่ายตระหนักว่าสงครามกลางเมืองท่ามกลางการรุกรานจากต่างชาติไม่ใช่ทางเลือก[53] ใน ค.ศ. 1943 พรรคคอมมิวนิสต์จีนขยายดินแดนของตนอีกครั้งโดยอาศัยอำนาจของก๊กมินตั๋ง[53]

 
แผนที่แสดงการทัพเหลียวเชิน หวยไห่ และผิงจินที่พลิกสงครามให้เป็นชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเด็ดขาด

เหมา เจ๋อตงได้รับตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1945 หลังญี่ปุ่นยอมจำนนใน ค.ศ. 1945 สงครามระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับก๊กมินตั๋งก็เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังอีกครั้ง[54] ช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 1945 ถึง 1949 แบ่งออกเป็นสี่ระยะ ระยะแรกคือตั้งแต่เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 (เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนน) ถึงมิถุนายน ค.ศ. 1946 (เมื่อการเจรจาสันติภาพระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับก๊กมินตั๋งสิ้นสุดลง)[54] ภายใน ค.ศ. 1945 ก๊กมินตั๋งมีทหารภายใต้การบังคับบัญชามากกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนถึงสามเท่าและในช่วงแรกดูเหมือนจะสามารถเอาชนะได้[54] ด้วยความร่วมมือจากสหรัฐและญี่ปุ่น กองทัพก๊กมินตั๋งจึงสามารถยึดพื้นที่สำคัญของประเทศคืนได้[54] อย่างไรก็ตาม การปกครองของก๊กมินตั๋งเหนือดินแดนที่ยึดคืนได้นั้นไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากการทุจริตทางการเมืองที่แพร่หลาย[54]

แม้จะมีจำนวนมากกว่า แต่ก๊กมินตั๋งก็ล้มเหลวในการยึดพื้นที่ชนบทซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับคืนมา[54] ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดฉากรุกรานแมนจูเรีย โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียต[54] ระยะที่สอง กินเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1946 ถึงมิถุนายน ค.ศ. 1947 เป็นช่วงที่ก๊กมินตั๋งขยายการควบคุมเหนือเมืองใหญ่ ๆ เช่น เหยียนอาน สำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นส่วนใหญ่ในช่วงสงคราม[54] ความสำเร็จของก๊กมินตั๋งไร้ความหมาย พรรคคอมมิวนิสต์จีนถอนตัวออกจากเมืองต่าง ๆ อย่างมียุทธวิธี และหันมาบ่อนทำลายการปกครองของก๊กมินตั๋งแทนโดยยุยงให้นักศึกษาและปัญญาชนออกมาประท้วง ก๊กมินตั๋งตอบสนองต่อการชุมนุมเหล่านี้ด้วยการปราบปรามอย่างรุนแรง[55] ขณะเดียวกัน ก๊กมินตั๋งกำลังดิ้นรนกับการต่อสู้ภายในพรรคและการควบคุมแบบเบ็ดเสร็จของเจียง ไคเชกเหนือพรรค ทำให้ความสามารถในการตอบสนองต่อการโจมตีอ่อนแอลง[55]

ระยะที่สาม กินเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1947 ถึงสิงหาคม ค.ศ. 1948 เป็นช่วงที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเริ่มการตอบโต้แบบจำกัด[55] เป้าหมายคือการเคลียร์ "จีนตอนกลาง เสริมความแข็งแกร่งให้กับจีนตอนเหนือ และฟื้นฟูจีนตะวันออกเฉียงเหนือ"[56] ปฏิบัติการนี้ควบคู่ไปกับการหนีทัพจากก๊กมินตั๋งส่งผลให้ก๊กมินตั๋งเสียทหารไป 2 ล้านจากทั้งหมด 3 ล้านนายภายในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1948 และพบว่าการสนับสนุนการปกครองของก๊กมินตั๋งลดลงอย่างมาก[55] ผลที่ตามมาคือพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถตัดกำลังทหารของก๊กมินตั๋งในแมนจูเรียและยึดดินแดนคืนได้หลายแห่ง[56]

ระยะสุดท้าย กินเวลาตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1948 ถึงธันวาคม ค.ศ. 1949 เป็นช่วงที่คอมมิวนิสต์เริ่มรุก และการปกครองของก๊กมินตั๋งในจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งหมดล่มสลาย[56] การประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนของเหมาในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ถือเป็นจุดสิ้นสุดช่วงที่สองของสงครามกลางเมืองจีน (หรือที่เรียกว่าการปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีน ตามที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเรียก)[56]

ประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนและคริสต์ทศวรรษ 1950

แก้
 
คอมมิวนิสต์จีนเฉลิมฉลองวันเกิดของโจเซฟ สตาลินใน ค.ศ. 1949

เหมาประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นหัวหน้ารัฐบาลประชาชนส่วนกลาง[6]: 118  นับตั้งแต่ช่วงเวลานี้จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 ผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (เช่น เหมา เจ๋อตง, หลิน เปียว, โจว เอินไหล และเติ้ง เสี่ยวผิง) ส่วนใหญ่เป็นผู้นำทหารกลุ่มเดียวกันก่อนการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน[57] ส่งผลให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ไม่เป็นทางการระหว่างผู้นำทางการเมืองและการทหารมีอิทธิพลเหนือความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหาร[57]

สตาลินเสนอรัฐธรรมนูญพรรคเดียวเมื่อหลิว เช่าฉีเยือนสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1952[58] ต่อมารัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1954 ได้ยุบรัฐบาลผสมก่อนหน้าและจัดตั้งระบบพรรคการเมืองเดียวของพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้น[59][60] ใน ค.ศ. 1957 พรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดตัวการรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวาเพื่อต่อต้านนักการเมืองฝ่ายค้านและบุคคลสำคัญจากพรรคการเมืองขนาดเล็ก ซึ่งส่งผลให้มีผู้คนถูกข่มเหงทางการเมืองอย่างน้อย 550,000 คน การรณรงค์ดังกล่าวสร้างความเสียหายอย่างมากต่อลักษณะพหุนิยมแบบจำกัดในสาธารณรัฐสังคมนิยมและทำให้สถานะของประเทศแข็งแกร่งขึ้นในฐานะรัฐพรรคการเมืองเดียวโดยพฤตินัย[61][62]

การรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวาทำให้เกิดผลลัพธ์อันเลวร้ายของแผนห้าปีฉบับที่สองตั้งแต่ ค.ศ. 1958 ถึง ค.ศ. 1962 หรือที่เรียกว่าการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า ในการพยายามเปลี่ยนแปลงประเทศจากเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปเป็นอุตสาหกรรม พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รวมพื้นที่เกษตรกรรมเข้าด้วยกัน จัดตั้งคอมมูนของประชาชน และย้ายแรงงานไปที่โรงงาน การบริหารโดยทั่วไปที่ไม่เหมาะสมและการเก็บเกี่ยวเกินจริงโดยเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้เกิดความอดอยากครั้งใหญ่ในจีน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 15 ถึง 45 ล้านคน[63][64] ทำให้เป็นความอดอยากครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้[65][66][67]

ความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียตและการปฏิวัติวัฒนธรรม

แก้

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 พรรคคอมมิวนิสต์จีนประสบกับการแตกแยกทางอุดมการณ์อย่างมีนัยสำคัญจากพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตซึ่งกำลังดำเนินไปในช่วงเวลาแห่งการ "ล้มล้างอิทธิพลสตาลิน" ภายใต้การนำของนีกีตา ครุชชอฟ[68] เมื่อถึงเวลานั้น เหมาเริ่มพูดว่า "การปฏิวัติอย่างต่อเนื่องภายใต้การปกครองแบบเผด็จการของชนกรรมาชีพ" กำหนดให้ศัตรูทางชนชั้นยังคงมีอยู่แม้การปฏิวัติสังคมนิยมดูเหมือนจะเสร็จสิ้นแล้วก็ตาม นำไปสู่การปฏิวัติวัฒนธรรมซึ่งมีผู้คนถูกข่มเหงและสังหารนับล้าน[69] ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ผู้นำพรรคเช่นหลิว เช่าฉี, เติ้ง เสี่ยวผิง, เผิง เต๋อหวย และเฮ่อ หลงถูกกวาดล้างหรือเนรเทศ และแก๊งสี่คน นำโดยเจียง ชิง ภริยาของเหมาได้ปรากฏตัวขึ้นเพื่อเติมเต็มช่องว่างอำนาจที่เหลืออยู่

การปฏิรูปภายใต้เติ้ง เสี่ยวผิง

แก้

ภายหลังการเสียชีวิตของเหมาใน ค.ศ. 1976 การชิงอำนาจระหว่างฮฺว่า กั๋วเฟิง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรองประธานเติ้ง เสี่ยวผิงก็เกิดขึ้น[70] เติ้งได้รับชัยชนะในการต่อสู้และกลายเป็นผู้นำสูงสุดของจีนใน ค.ศ. 1978[70] เติ้ง ร่วมกับหู เย่าปัง และจ้าว จื่อหยาง เป็นผู้นำการดำเนินนโยบาย "ปฏิรูปและเปิดประเทศ" และนำเสนอแนวคิดทางอุดมการณ์ของสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน โดยเปิดจีนสู่ตลาดโลก[71] ในการพลิกนโยบาย "ฝ่ายซ้าย" บางส่วนของเหมา เติ้งแย้งว่ารัฐสังคมนิยมสามารถใช้เศรษฐกิจแบบตลาดได้โดยไม่ต้องเป็นทุนนิยม[72] ขณะที่ยืนยันอำนาจทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน การเปลี่ยนแปลงนโยบายก็ก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ[ต้องการอ้างอิง] สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์โดยยึดหลัก "การปฏิบัติเป็นเกณฑ์เดียวสำหรับความจริง" หลักการนี้ได้รับการสนับสนุนผ่านบทความใน ค.ศ. 1978 ที่มุ่งต่อสู้กับลัทธิหัวรุนแรงและวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย "สองสิ่งใดก็ตาม"[73][ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้] อย่างไรก็ตาม อุดมการณ์ใหม่ถูกต่อสู้อย่างดุเดือดจากทั้งสองฝ่าย ทั้งโดยกลุ่มเหมาอิสต์ที่อยู่ฝ่ายซ้ายของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และโดยกลุ่มที่สนับสนุนการเปิดเสรีทางการเมือง ใน ค.ศ. 1981 พรรคออกมติเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ซึ่งประเมินมรดกทางประวัติศาสตร์ของสมัยเหมาและลำดับความสำคัญในอนาคตของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[74]: 6  ร่วมกับปัจจัยทางสังคมอื่น ๆ ความขัดแย้งถึงจุดสุดยอดในการประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989[75] หลังการประท้วงถูกปราบปรามและจ้าว จื่อหยาง เลขาธิการพรรคสายปฏิรูปถูกกักบริเวณในบ้าน นโยบายเศรษฐกิจของเติ้งก็กลับมาดำเนินต่ออีกครั้งและในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 แนวคิดของเศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยมก็ได้รับการนำเสนอ[76] ใน ค.ศ. 1997 ความเชื่อของเติ้ง (มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ทฤษฎีของเติ้ง เสี่ยวผิง") ถูกบรรจุลงในธรรมนูญของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[77]

การปฏิรูปเพิ่มเติมภายใต้เจียง เจ๋อหมินและหู จิ่นเทา

แก้

เจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน สืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดของเติ้งในคริสต์ทศวรรษ 1990 และดำเนินนโยบายส่วนใหญ่ของเขาต่อไป[78] ในคริสต์ทศวรรษ 1990 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีการเปลี่ยนจากกลุ่มผู้นำที่เคยผ่านการปฏิวัติและมีบทบาททั้งทางทหารและการเมืองมาเป็นกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองที่สมาชิกใหม่ ๆ ได้รับการคัดเลือกและเลื่อนตำแหน่งตามกฎเกณฑ์และระเบียบของระบบรัฐการพลเรือน[57] การเลือกผู้นำส่วนใหญ่เป็นไปตามกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งและการเกษียณอายุ พื้นฐานการศึกษา และความเชี่ยวชาญด้านการจัดการและเทคนิค[57] กองทัพมีกลุ่มนายทหารอาชีพของตนเอง ซึ่งทำงานภายใต้การควบคุมของผู้นำพรรคระดับสูง โดยมีการติดต่อสื่อสารและสั่งการผ่านระบบและช่องทางที่เป็นทางการ[57]

พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้สัตยาบันต่อแนวคิด "สามตัวแทน" ของเจียงสำหรับการแก้ไขธรรมนูญของพรรคใน ค.ศ. 2003 ในฐานะ "อุดมการณ์ชี้นำ" เพื่อสนับสนุนให้พรรคเป็นตัวแทนของ "พลังการผลิตที่ก้าวหน้า วิถีความก้าวหน้าของวัฒนธรรมจีน และผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชน"[79] ทฤษฎีดังกล่าวทำให้เจ้าของธุรกิจเอกชนและกลุ่มชนชั้นกระฎุมพีเข้าร่วมพรรคได้อย่างถูกกฎหมาย[79] หู จิ่นเทา ผู้สืบทอดตำแหน่งเลขาธิการจากเจียงเข้ารับตำแหน่งใน ค.ศ. 2002[80] ต่างจากเหมา, เติ้ง และเจียง หูให้ความสำคัญกับภาวะผู้นำร่วมและต่อต้านการครอบงำระบบการเมืองโดยบุคคลคนเดียว[80] การยืนกรานที่จะมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจนำไปสู่ปัญหาสังคมร้ายแรงมากมาย เพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ หูแนะนำแนวคิดอุดมการณ์หลักสองประการ ได้แก่ "ทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนา" และ "สังคมกลมกลืน"[81] หูลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 18 ที่จัดขึ้นใน ค.ศ. 2012 และสี จิ้นผิงสืบทอดทั้งสองตำแหน่งต่อจากเขา[82][83]

สมัยสี จิ้นผิง

แก้

นับตั้งแต่เข้ารับอำนาจ สี จิ้นผิงริเริ่มการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตในวงกว้าง ขณะเดียวกันก็รวมอำนาจไว้ที่สำนักเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยไม่คำนึงถึงภาวะผู้นำร่วมในทศวรรษก่อน[84] นักวิจารณ์อธิบายว่าการรณรงค์ดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญในความเป็นผู้นำของสี จิ้นผิง ตลอดจนเป็น "เหตุผลหลักที่ทำให้เขาสามารถรวบอำนาจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ"[85] ความเป็นผู้ของสียังกำกับดูแลการเพิ่มขึ้นของบทบาทของพรรคในประเทศจีน[86] สีบรรจุอุดมการณ์ที่ตั้งชื่อตามตนเองลงในธรรมนูญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 2017[87] สีดำรงตำแหน่งเลขาธิการประธานาธิบดีต่อใน ค.ศ. 2022[57][88]

ตั้งแต่ ค.ศ. 2014 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นำความพยายามในซินเจียงที่เกี่ยวข้องกับการกักขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์อื่น ๆ มากกว่า 1 ล้านคนในค่ายปรับทัศนคติ รวมถึงมาตรการกดขี่อื่น ๆ เหตุการณ์นี้ได้รับการอธิบายว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยนักวิชาการและรัฐบาลบางส่วน[89][90] กลับกัน ประเทศจำนวนมากกว่าได้ลงนามในจดหมายที่เขียนถึงคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนเพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าวในฐานะความพยายามปราบปรามการก่อการร้ายในภูมิภาค[91][92][93]

 
อนุสรณ์ชั่วคราวที่จัดแสดงในฉางชา มณฑลหูหนาน เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน

การเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเป็นหนึ่งในสองร้อยปี จัดขึ้นเมื่อ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2021[94] ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 6 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 19 ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2021 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีมติเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพรรค เป็นครั้งแรกที่ยกย่องสีว่าเป็น "ผู้ริเริ่มหลัก" ของความคิดสี จิ้นผิง ขณะเดียวกันก็ประกาศว่าความเป็นผู้นำของสีเป็น "กุญแจสำคัญของการฟื้นฟูชาติจีนครั้งใหญ่"[95][96] เมื่อเทียบกับมติประวัติศาสตร์อื่น ๆ มติของสีไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวิธีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนประเมินประวัติศาสตร์ของตน[97]

เมื่อ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 2021 สีเป็นประธานการประชุมสุดยอดพรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคการเมืองโลก ซึ่งมีตัวแทนจากพรรคการเมืองมากกว่า 500 พรรคจาก 160 ประเทศเข้าร่วม[98] สีเรียกร้องให้ผู้เข้าร่วมประชุมคัดค้าน "การกีดกันเทคโนโลยี" และ "การตัดขาดการพัฒนา" เพื่อมุ่งสร้าง "ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ"[98]

อุดมการณ์

แก้

อุดมการณ์อย่างเป็นทางการ

แก้
 
อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่คาร์ล มาคส์ (ซ้าย) และฟรีดริช เอ็งเงิลส์ (ขวา) ในเซี่ยงไฮ้

อุดมการณ์หลักของพรรคมีการพัฒนาไปตามผู้นำจีนในแต่ละยุคสมัย เนื่องจากทั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนและกองทัพปลดปล่อยประชาชนต่างส่งเสริมสมาชิกตามลำดับอาวุโส จึงเป็นไปได้ที่จะแยกแยะผู้นำจีนออกเป็นรุ่นต่าง ๆ[99] ในวาทกรรมทางการ ผู้นำแต่ละรุ่นถูกระบุด้วยการขยายอุดมการณ์ของพรรคที่แตกต่างกัน นักประวัติศาสตร์ได้ศึกษาพัฒนาการของรัฐบาลจีนในแต่ละช่วงโดยแบ่งตาม "ผู้นำแต่ละรุ่น"[ต้องการอ้างอิง]

ลัทธิมากซ์–เลนินเป็นอุดมการณ์อย่างเป็นทางการแรกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[100] ตามที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกล่าว "ลัทธิมากซ์–เลนินเปิดเผยกฎสากลที่ควบคุมการพัฒนาประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษย์"[100] สำหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ลัทธิมากซ์–เลนินให้ "วิสัยทัศน์เกี่ยวกับความขัดแย้งในสังคมทุนนิยมและความเลี่ยงไม่ได้ของสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ในอนาคต"[100] ตามรายงานของเหรินหมินรื่อเป้า ความคิดของเหมา เจ๋อตง "คือลัทธิมากซ์–เลนินที่ถูกนำมาประยุกต์และพัฒนาในประเทศจีน"[100] ความคิดของเหมา เจ๋อตงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเหมาเพียงคนเดียว แต่ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ชั้นนำของพรรคด้วย ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว[101]

ทฤษฎีของเติ้ง เสี่ยวผิงถูกบรรจุลงในธรรมนูญของพรรคในการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 14 ใน ค.ศ. 1992[77] แนวคิดเรื่อง "สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" และ "ขั้นต้นของสังคมนิยม" ได้รับการยกย่องให้เป็นทฤษฎี[77] ทฤษฎีของเติ้ง เสี่ยวผิงสามารถนิยามได้ว่าเป็นความเชื่อที่ว่าสังคมนิยมของรัฐและการวางแผนของรัฐไม่ใช่คอมมิวนิสต์โดยนิยาม และกลไกตลาดเป็นกลางทางชนชั้น[102] นอกจากนี้ พรรคต้องตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีพลวัต เพื่อที่จะรู้ว่านโยบายบางอย่างล้าสมัยหรือไม่ พรรคต้อง "แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง" และปฏิบัติตามคำขวัญ "การปฏิบัติเป็นเกณฑ์เดียวสำหรับความจริง"[103] ในการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 14 เจียงย้ำคำขวัญของเติ้งว่าไม่จำเป็นต้องถามว่าสิ่งใดเป็นสังคมนิยมหรือทุนนิยม ปัจจัยสำคัญคือมันใช้ได้ผลหรือไม่[104]

"สามตัวแทน" ผลงานของเจียง เจ๋อหมินต่ออุดมการณ์ของพรรค ได้รับการรับรองโดยพรรคในการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 16 สามตัวแทนกำหนดบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเน้นย้ำว่าพรรคจะต้องเป็นตัวแทนของความต้องการในการพัฒนาพลังการผลิตขั้นสูงของจีน ทิศทางของวัฒนธรรมขั้นสูงของจีน และผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชนชาวจีนส่วนใหญ่[105][106] บางส่วนภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนวิจารณ์สามตัวแทนว่าไม่เป็นไปตามหลักมาร์กซิสต์และเป็นการทรยศต่อค่านิยมพื้นฐานของลัทธิมากซ์ ผู้สนับสนุนมองว่าเป็นการพัฒนาเพิ่มเติมของลัทธิสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน[107] เจียงไม่เห็นด้วยและสรุปว่าการบรรลุวิถีการผลิตแบบคอมมิวนิสต์ตามที่คอมมิวนิสต์รุ่นก่อน ๆ กำหนดไว้มีความซับซ้อนกว่าที่เคยตระหนัก และการพยายามบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีการผลิตนั้นไร้ประโยชน์ เพราะมันต้องพัฒนาไปตามธรรมชาติ โดยปฏิบัติตาม "กฎเศรษฐกิจของประวัติศาสตร์"[108] ทฤษฎีนี้โดดเด่นที่สุดในการอนุญาตให้กลุ่มทุนนิยม ซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่า "ชนชั้นทางสังคมใหม่" เข้าร่วมพรรค โดยให้เหตุผลว่าพวกเขามีส่วนร่วมใน "แรงงานและการงานอันสุจริต" และด้วยแรงงานของพวกเขา พวกเขาจึงมีส่วนสนับสนุน "ในการสร้างสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน"[109]

ใน ค.ศ. 2003 การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 16 มีแนวคิดและกำหนดอุดมการณ์ของทัศนะการพัฒนาวิทยาศาสตร์ (SOD)[110] ถือเป็นผลงานของหู จิ่นเทาต่อวาทกรรมทางอุดมการณ์อย่างเป็นทางการ[111] ทัศนะประกอบด้วยสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน สวัสดิการสังคม, สังคมที่มีมนุษยธรรม, ประชาธิปไตยที่เพิ่มขึ้น และสุดท้ายคือการสร้างสังคมนิยมแบบกลมกลืน ตามแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แนวคิดนี้ผนวก "ลัทธิมากซ์เข้ากับความเป็นจริงของจีนร่วมสมัยและลักษณะพื้นฐานของยุคสมัยของเรา และสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์และวิธีการพัฒนาแบบมาร์กซิสต์อย่างเต็มที่"[112]

 
ป้ายโฆษณาความคิดของสี จิ้นผิงในเชินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง

ความคิดของสี จิ้นผิงว่าด้วยสังคมนิยมกับอัตลักษณ์จีนสำหรับสมัยใหม่ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ความคิดของสีจิ้นผิง ได้รับการบรรจุลงในธรรมนูญของพรรคในการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 19 เมื่อ ค.ศ. 2017[87] องค์ประกอบหลักของทฤษฎีนี้สรุปได้ใน 10 ข้อประกาศยืนยัน 14 ข้อผูกพัน และ 13 ด้านของความสำเร็จ[113]

พรรคยังผสมผสานองค์ประกอบของทั้งความรักชาติแบบสังคมนิยม[114][115][116][117] และชาตินิยมจีน[118]

เศรษฐกิจ

แก้

เติ้งไม่เชื่อว่าความแตกต่างพื้นฐานระหว่างวิถีการผลิตแบบทุนนิยมและวิถีการผลิตแบบสังคมนิยมอยู่ที่การวางแผนจากส่วนกลางเทียบกับตลาดเสรี เขากล่าวว่า "เศรษฐกิจแบบวางแผนไม่ใช่คำจำกัดความของสังคมนิยม เพราะมีการวางแผนภายใต้ระบบทุนนิยม เศรษฐกิจตลาดก็เกิดขึ้นภายใต้สังคมนิยมเช่นกัน การวางแผนและกลไกตลาดเป็นเพียงวิธีการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ"[72] เจียง เจ๋อหมินสนับสนุนแนวคิดของเติ้ง และกล่าวในที่ประชุมพรรคว่ากลไกบางอย่างจะเป็นทุนนิยมหรือสังคมนิยมนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญมีเพียงว่ามันใช้ได้ผลหรือไม่[76] ในการประชุมครั้งนี้เองที่เจียงนำเสนอคำว่าเศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม ซึ่งเข้ามาแทนที่ "เศรษฐกิจตลาดสังคมนิยมแบบวางแผน" ของเฉิน ยฺหวิน[76] ในรายงานของเขาต่อการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 14 เจียงกล่าวกับผู้แทนว่ารัฐสังคมนิยมจะ "ปล่อยให้กลไกตลาดมีบทบาทพื้นฐานในการจัดสรรทรัพยากร"[119] ในการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 15 แนวทางของพรรคมีการเปลี่ยนแปลงเป็น "ให้กลไกตลาดมีบทบาทชัดเจนในการจัดสรรทรัพยากร" แนวทางนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 18[119] เมื่อมีการแก้ไขเป็น "ปล่อยให้กลไกตลาดมีบทบาทเด็ดขาดในการจัดสรรทรัพยากร"[119] แม้จะเป็นเช่นนี้ การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 18 ยังคงยึดมั่นในความเชื่อ "รักษาความเป็นใหญ่ของภาครัฐ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของรัฐวิสาหกิจ"[119]

"... ทฤษฎีของพวกเขาที่ว่าทุนนิยมคือ [พลัง] สูงสุดนั้นสั่นคลอน และการพัฒนาสังคมนิยมก็ได้ประสบกับปาฏิหาริย์ ทุนนิยมตะวันตกประสบกับความพลิกผัน วิกฤตทางการเงิน วิกฤตสินเชื่อ วิกฤตความเชื่อมั่น และความเชื่อมั่นในตนเองก็เริ่มสั่นคลอน ประเทศตะวันตกเริ่มที่จะไตร่ตรองและเปรียบเทียบตัวเองอย่างเปิดเผยหรือเป็นความลับกับการเมือง เศรษฐกิจ และแนวทางของจีน"

สี จิ้นผิง, เกี่ยวกับความหลีกเลี่ยงไม่ได้ของสังคมนิยม[120]

พรรคคอมมิวนิสต์จีนมองว่าโลกถูกจัดระเบียบออกเป็นสองค่ายที่ขัดแย้งกัน ได้แก่ ค่ายสังคมนิยมและค่ายทุนนิยม[121] พวกเขายืนกรานว่าสังคมนิยมบนพื้นฐานของวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์จะมีชัยเหนือทุนนิยมในที่สุด[121] ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อพรรคถูกถามให้อธิบายปรากฏการณ์โลกาภิวัตน์แบบทุนนิยม พรรคได้หวนกลับไปสู่งานเขียนของคาร์ล มาคส์[121] แม้จะยอมรับว่าโลกาภิวัตน์พัฒนาผ่านระบบทุนนิยม แต่ผู้นำและนักทฤษฎีของพรรคก็โต้แย้งว่าโลกาภิวัตน์ไม่ได้เป็นทุนนิยมโดยเนื้อแท้[122] เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นคือ หากโลกาภิวัตน์เป็นทุนนิยมอย่างแท้จริง มันจะกีดกันรูปแบบความทันสมัยแบบสังคมนิยมที่เป็นทางเลือก[122] ตามความเห็นของพรรค โลกาภิวัตน์ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจแบบตลาด ไม่ได้มีลักษณะชนชั้นที่จำเพาะเจาะจง (ทั้งแบบสังคมนิยมหรือทุนนิยม)[122] การยืนกรานว่าโลกาภิวัตน์ไม่ได้มีลักษณะตายตัวนั้นมาจากการยืนกรานของเติ้งที่ว่าจีนสามารถพัฒนาสังคมนิยมให้ทันสมัยได้โดยการผสมผสานองค์ประกอบของทุนนิยม[122] ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเชื่อมั่นอย่างมากภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าแม้ระบบทุนนิยมจะครอบงำโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน แต่โลกาภิวัตน์สามารถถูกเปลี่ยนให้เป็นเครื่องมือสนับสนุนสังคมนิยมได้[123]

การวิเคราะห์และวิจารณ์

แก้

ขณะที่นักวิเคราะห์ต่างชาติโดยทั่วไปต่างเห็นพ้องกันว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนปฏิเสธลัทธิมากซ์–เลนินและความคิดของเหมา เจ๋อตง (หรืออย่างน้อยก็แนวคิดพื้นฐานในแนวคิดดั้งเดิม) แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเองกลับไม่เห็นด้วย[124] นักวิจารณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนโต้แย้งว่าเจียง เจ๋อหมินยุติการยึดมั่นอย่างเป็นทางการของพรรคต่อลัทธิมากซ์–เลนินด้วยการนำเสนอทฤษฎีทางอุดมการณ์ที่เรียกว่า "สามตัวแทน"[125]

อย่างไรก็ตาม เหลิ่ง หรง นักทฤษฎีของพรรค ไม่เห็นด้วย โดยอ้างว่า "ประธานาธิบดีเจียงขจัดอุปสรรคทางอุดมการณ์ต่อความเป็นเจ้าของในรูปแบบต่าง ๆ ของพรรค... เขาไม่ได้ละทิ้งลัทธิมากซ์หรือสังคมนิยม เขาเสริมความแข็งแกร่งให้กับพรรคด้วยการให้ความเข้าใจสมัยใหม่เกี่ยวกับลัทธิมากซ์และสังคมนิยม ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงพูดถึง 'เศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม' อัตลักษณ์จีน"[125] การบรรลุเป้าหมายของ "ลัทธิคอมมิวนิสต์" ที่แท้จริงยังคงถูกอธิบายว่าเป็น "เป้าหมายสูงสุด" ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประเทศจีน[126] ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนอ้างว่าจีนอยู่ในขั้นต้นของสังคมนิยม นักทฤษฎีของพรรคกลับโต้แย้งว่าขั้นการพัฒนาในปัจจุบัน "แลดูคล้ายทุนนิยมมาก"[126] อีกทางหนึ่ง นักทฤษฎีพรรคบางคนโต้แย้งว่า "ทุนนิยมเป็นขั้นแรกหรือขั้นเริ่มต้นของลัทธิคอมมิวนิสต์"[126] บางคนปฏิเสธแนวคิดเรื่องขั้นต้นของสังคมนิยมโดยมองว่าเป็นความเย้ยหยันทางปัญญา[126] ตัวอย่างเช่น รอเบิร์ต ลอว์เรนซ์ คูน อดีตที่ปรึกษาต่างประเทศของรัฐบาลจีน กล่าวว่า: "ตอนแรกที่ผมได้ยินเหตุผลนี้ ผมคิดว่ามันออกจะตลกมากกว่าจะฉลาด เป็นภาพล้อเลียนอย่างแสบสันของนักโฆษณาชวนเชื่อจอมปลอมที่ถูกเปิดเผยโดยพวกปัญญาชนผู้เย้ยหยัน แต่ขอบเขตเวลา 100 ปีนั้นมาจากนักทฤษฎีการเมืองที่จริงจัง"[126]

เดวิด แชมบอห์ นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการด้านจีนวิทยาชาวอเมริกัน โต้แย้งว่าก่อนการรณรงค์ "การปฏิบัติคือเกณฑ์เดียวสำหรับความจริง" ความสัมพันธ์ระหว่างอุดมการณ์กับการตัดสินใจทางการเมืองในจีนเป็นแบบนิรนัย กล่าวคือ การกำหนดนโยบายนั้นมาจากการนำความรู้ทางอุดมการณ์มาใช้[127] อย่างไรก็ตาม ภายใต้การนำของเติ้ง ความสัมพันธ์นี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะใช้อุดมการณ์นำการตัดสินใจ กลับกลายเป็นการใช้การตัดสินใจมาสนับสนุนอุดมการณ์แทน[127] ผู้กำหนดนโยบายของจีนอธิบายอุดมการณ์ของรัฐสหภาพโซเวียตว่า "แข็งทื่อ, ขาดจินตนาการ, ตายด้าน และตัดขาดจากความเป็นจริง" โดยเชื่อว่านี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย ดังนั้น แชมบอห์จึงโต้แย้งว่า ผู้กำหนดนโยบายของจีนเชื่อว่าอุดมการณ์ของพรรคต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อรักษาการปกครองของพรรค[127]

เคอร์รี บราวน์ นักจีนวิทยาชาวอังกฤษ โต้แย้งว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่มีอุดมการณ์ และองค์กรของพรรคเป็นแบบปฏิบัตินิยม โดยสนใจเฉพาะสิ่งที่ได้ผลเท่านั้น[128] พรรคเองก็โต้แย้งต่อข้อกล่าวอ้างนี้ หู จิ่นเทากล่าวใน ค.ศ. 2012 ว่า "โลกตะวันตกกำลังคุกคามที่จะแบ่งแยกเรา" และ "วัฒนธรรมนานาชาติของตะวันตกนั้นแข็งแกร่ง ขณะที่เราอ่อนแอ... สนามรบทางอุดมการณ์และวัฒนธรรมคือเป้าหมายหลักของเรา"[128] ดังนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงทุ่มเทความพยายามอย่างมากให้กับโรงเรียนของพรรคและการสร้างสรรค์สารทางอุดมการณ์ของตน[128]

วิธีการปกครอง

แก้

ภาวะผู้นำร่วม

แก้

ภาวะผู้นำร่วม แนวคิดที่ว่าการตัดสินใจต้องกระทำโดยฉันทามติ เป็นอุดมคติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[129] แนวคิดดังกล่าวมีต้นกำเนิดมาจากเลนินและพรรคบอลเชวิคของรัสเซีย[130] ในระดับของผู้นำพรรคส่วนกลาง สิ่งนี้หมายความว่า ตัวอย่างเช่น สมาชิกทุกคนของคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองมีสถานะเท่าเทียมกัน (สมาชิกแต่ละคนมีเพียงหนึ่งเสียง)[129] สมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองมักเป็นตัวแทนของภาคส่วนต่าง ๆ ในช่วงการปกครองของเหมา เขาควบคุมกองทัพปลดปล่อยประชาชน คัง เชิง ควบคุมหน่วยความมั่นคง และโจว เอินไหล ควบคุมคณะมนตรีรัฐกิจและกระทรวงการต่างประเทศ[129] นี่ถือเป็นอำนาจที่ไม่เป็นทางการ[129] แม้ตามหลักการแล้วสมาชิกทุกคนจะเท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริงกลับมีการจัดลำดับชั้นในองค์กร ซึ่งเป็นเรื่องที่ดูขัดแย้งกัน[129] โดยไม่เป็นทางการ ภาวะผู้นำร่วมจะถูกนำโดย "ผู้นำแกนหลัก" ซึ่งก็คือผู้นำสูงสุด บุคคลที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง และประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน[131] ก่อนที่เจียง เจ๋อหมินจะดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุด แกนกลางพรรคและผู้นำร่วมนั้นแยกกันไม่ออก[132] ในทางปฏิบัติแกนกลางไม่ได้รับผิดชอบต่อการเป็นภาวะผู้นำร่วม[132] อย่างไรก็ตาม ในสมัยของเจียง พรรคได้เริ่มเผยแพร่ระบบความรับผิดชอบ โดยกล่าวถึงระบบนี้ในคำประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็น "แกนหลักของภาวะผู้นำร่วม"[132] นักวิชาการสังเกตเห็นถึงความเสื่อมถอยของภาวะผู้นำร่วมภายใต้การนำของสี จิ้นผิง[133][134][135]

ประชาธิปไตยรวมศูนย์

แก้
"[ประชาธิปไตยรวมศูนย์] คือการรวมศูนย์บนพื้นฐานของประชาธิปไตยและประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำแบบรวมศูนย์ นี่คือระบบเดียวที่สามารถแสดงออกถึงประชาธิปไตยได้อย่างเต็มที่ โดยอำนาจทั้งหมดมอบให้แก่สภาประชาชนในทุกระดับ และในขณะเดียวกัน ก็รับประกันการบริหารส่วนกลางด้วยรัฐบาลในแต่ละระดับ ..."

— เหมา เจ๋อตง, จากสุนทรพจน์ "โครงการทั่วไปของเรา"[136]

หลักการจัดองค์การของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือประชาธิปไตยรวมศูนย์ หลักการที่เกี่ยวข้องกับการเปิดกว้างสำหรับการอภิปรายนโยบายบนเงื่อนไขที่ว่าสมาชิกพรรคทุกคนจะต้องมีความเป็นเอกภาพในการสนับสนุนการตัดสินใจที่ตกลงกันไว้[137] มันตั้งอยู่บนหลักสองประการ ได้แก่ ประชาธิปไตย (ในวาทกรรมของทางการมีความหมายเหมือนกันกับ "ประชาธิปไตยสังคมนิยม" และ "ประชาธิปไตยภายในพรรค") และการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง[136] นี่เป็นหลักการจัดองค์การของพรรคนับตั้งแต่การประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 5 ใน ค.ศ. 1927[136] ตามคำกล่าวในธรรมนูญพรรค "พรรคเป็นองค์การที่เป็นเอกภาพ จัดตั้งขึ้นภายใต้โครงการและธรรมนูญของพรรค และบนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์"[136] ครั้งหนึ่งเหมาเคยกล่าวติดตลกว่าประชาธิปไตยรวมศูนย์เป็น "ทั้งประชาธิปไตยและอำนาจรวมศูนย์ โดยที่สองสิ่งที่ดูเหมือนจะตรงกันข้ามอย่างประชาธิปไตยและการรวมศูนย์นั้นรวมกันในรูปแบบที่ชัดเจน" เหมาอ้างว่าความเหนือกว่าของประชาธิปไตยรวมศูนย์อยู่ที่ความขัดแย้งภายในระหว่างประชาธิปไตยกับรวมศูนย์ และเสรีภาพกับวินัย[136] ปัจจุบันพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังอ้างว่า "ประชาธิปไตยคือเส้นเลือดใหญ่ของพรรค เส้นเลือดใหญ่ของสังคมนิยม"[136] แต่เพื่อให้ประชาธิปไตยถูกนำไปใช้และทำงานได้อย่างเหมาะสม จึงจำเป็นต้องมีการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง[136] พรรคคอมมิวนิสต์จีนเชื่อว่าประชาธิปไตยรูปแบบใดก็ตาม จำเป็นต้องมีระบบรวมศูนย์ เพราะหากปราศจากมันก็จะไม่มีระเบียบ[136]

ชวงกุย

แก้

ชวงกุย เป็นกระบวนการทางวินัยภายในพรรคที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการสอบวินัยส่วนกลาง (CCDI) ซึ่งดำเนินการชวงกุยกับสมาชิกที่ถูกกล่าวหาว่า "ละเมิดวินัย" โดยทั่วไปหมายถึงการทุจริตทางการเมือง กระบวนการนี้ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า "กฎระเบียบสองเท่า" มีเป้าหมายเพื่อเค้นคำสารภาพจากสมาชิกที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎของพรรค ตามข้อมูลของมูลนิธิตุ้ยฮั่ว กลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การจี้บุหรี่ การทุบตี และการจมน้ำจำลอง เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการที่ใช้ในการรีดเอาคำสารภาพ เทคนิคอื่น ๆ ที่มีการรายงาน ได้แก่ การทำให้เกิดอาการประสาทหลอน โดยมีผู้ที่เคยถูกใช้วิธีนี้รายงานว่า "สุดท้ายแล้วผมก็เหนื่อยล้ามาก ผมจึงยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมดที่มีต่อผม แม้ว่ามันจะเป็นเท็จก็ตาม"[138]

แนวร่วม

แก้

พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้กลยุทธ์ทางการเมืองที่เรียกว่า "งานแนวร่วม" ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มและบุคคลสำคัญที่ได้รับอิทธิพลหรือถูกควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน และถูกใช้เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ของพรรค[139][140] งานแนวร่วมถูกจัดการโดยหลัก ๆ แต่ไม่จำกัดเฉพาะกรมงานแนวร่วม[141] แนวร่วมในบริบทของจีนหมายถึงแนวร่วมทางการเมืองที่ประกอบด้วย 8 พรรคการเมืองที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย รวมถึงองค์กรประชาชนอื่น ๆ ซึ่งมีตัวแทนในนามในสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) และสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน (CPPCC)[142] อย่างไรก็ตาม สภาปรึกษาการเมืองประชาชนจีนเป็นองค์กรที่ไม่มีอำนาจแท้จริง[143] แม้จะมีการปรึกษาหารือเกิดขึ้น แต่ก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลและสั่งการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[143] ภายใต้การนำของสี จิ้นผิง แนวร่วมและกลุ่มเป้าหมายที่มีอิทธิพลได้ขยายขนาดและขอบเขตออกไป[144][145]

โครงสร้าง

แก้

องค์กรส่วนกลาง

แก้
 
การประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 18 จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012

สภาแห่งชาติเป็นองค์กรสูงสุดของพรรค และนับตั้งแต่การประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 9 ใน ค.ศ. 1969 ได้มีการประชุมกันทุก 5 ปี (ก่อนหน้าการนั้นมีการประชุมกันแบบไม่สม่ำเสมอ) ตามธรรมนูญของพรรค การประชุมจะไม่ถูกเลื่อนออกไปยกเว้น "ภายใต้สถานการณ์พิเศษ"[146] ธรรมนูญของพรรคกำหนดให้สภาแห่งชาติมีความรับผิดชอบ 6 ประการ:[147]

  1. การเลือกคณะกรรมาธิการกลาง
  2. การเลือกคณะกรรมการสอบวินัยส่วนกลาง
  3. ตรวจสอบรายงานของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่หมดวาระ
  4. การตรวจสอบรายงานของคณะกรรมการสอบวินัยส่วนกลางชุดที่หมดวาระ
  5. การอภิปรายและการตรานโยบายของพรรค และ
  6. การแก้ไขธรรมนูญของพรรค

ในทางปฏิบัติ ผู้แทนมักไม่ค่อยอภิปรายประเด็นต่าง ๆ อย่างละเอียดในการประชุมสภาแห่งชาติ การอภิปรายเนื้อหาสำคัญส่วนใหญ่เกิดขึ้นก่อนการประชุม ในช่วงเตรียมการ โดยกลุ่มผู้นำพรรคระดับสูง[147] ระหว่างการประชุมสภาแห่งชาติ คณะกรรมาธิการกลางเป็นสถาบันที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด[148] คณะกรรมการสอบวินัยส่วนกลางมีหน้าที่รับผิดชอบการกำกับดูแลระบบต่อต้านการทุจริตและจริยธรรมภายในพรรค[149] ในระหว่างการประชุม คณะกรรมการสอบวินัยส่วนกลางจะอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมาธิการกลาง[149]

 
การประชุมชีวิตประชาธิปไตยของกรมการเมืองคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 20

คณะกรรมาธิการกลาง สถาบันตัดสินใจสูงสุดของพรรคระหว่างการประชุมสภาแห่งชาติ มีหน้าที่เลือกองค์กรต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อดำเนินงานของตน[150] การประชุมเต็มคณะครั้งแรกของคณะกรรมาธิการกลางที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่จะเลือกเลขาธิการใหญ่ของคณะกรรมาธิการกลาง ซึ่งเป็นผู้นำของพรรค, คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง, กรมการเมือง และคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง ที่ประชุมเต็มคณะครั้งแรกยังรับรององค์ประกอบของสำนักเลขาธิการและความเป็นผู้นำของคณะกรรมการสอบวินัยส่วนกลางด้วย[150] ตามธรรมนูญพรรค เลขาธิการใหญ่จะต้องเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง และมีหน้าที่รับผิดชอบการเรียกประชุมคณะกรรมาธิการสามัญฯ และกรมการเมือง ขณะเดียวกันก็ควบคุมดูแลการทำงานของสำนักเลขาธิการด้วย[151] เมื่อคณะกรรมาธิการกลางไม่ได้ประชุมใหญ่ กรมการเมืองจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจและดำเนินการแทน[152] คณะกรรมาธิการสามัญฯ เป็นสถาบันตัดสินใจสูงสุดของพรรคเมื่อกรมการเมือง คณะกรรมาธิการกลาง และสภาแห่งชาติไม่ได้ประชุม[153] จะมีการนัดประชุมกันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง[154] มันถูกก่อตั้งขึ้นในการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 8 ใน ค.ศ. 1958 เพื่อรับช่วงบทบาทการกำหนดนโยบายที่เดิมเป็นหน้าที่ของสำนักเลขาธิการ[155] สำนักเลขาธิการเป็นหน่วยงานปฏิบัติการสูงสุดของคณะกรรมาธิการกลาง และสามารถตัดสินใจภายในกรอบนโยบายที่กำหนดโดยกรมการเมืองได้ นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่กำกับดูแลการทำงานขององค์การที่รายงานตรงต่อคณะกรรมาธิการกลาง เช่น กรม คณะกรรมการ สิ่งพิมพ์ และอื่น ๆ[156] คณะกรรมการการทหารส่วนกลางเป็นสถาบันตัดสินใจสูงสุดในกิจการทางทหารภายในพรรค และควบคุมการปฏิบัติการของกองทัพปลดปล่อยประชาชน[157] เลขาธิการใหญ่ ตั้งแต่เจียง เจ๋อหมินเป็นต้นมา ยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางด้วย[157] ต่างจากแนวคิดภาวะผู้นำร่วมขององค์กรพรรคอื่น ๆ ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยมีอำนาจเต็มในการแต่งตั้งหรือปลดนายทหารระดับสูงตามต้องการ[157]

 
หน้าปกธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีน

การประชุมเต็มคณะครั้งแรกของคณะกรรมาธิการกลางยังเลือกหัวหน้าของกรม สำนัก กลุ่มผู้นำส่วนกลาง และสถาบันอื่น ๆ เพื่อดำเนินงานในช่วงวาระ ("วาระ" หมายถึงช่วงเวลาที่ผ่านไประหว่างการประชุมสภาแห่งชาติ โดยปกติคือห้าปี)[146] สำนักงานทั่วไปเป็น "ศูนย์กลางประสาท" ของพรรค มีหน้าที่รับผิดชอบงานบริหารประจำวัน รวมถึงการสื่อสาร พิธีการ และกำหนดวาระการประชุม[158] ปัจจุบันพรรคคอมมิวนิสต์จีนมี 6 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมองค์การ มีหน้าที่ดูแลการแต่งตั้งข้าราชการระดับมณฑลและตรวจสอบคุณสมบัติข้าราชการเพื่อการแต่งตั้งในอนาคต[159] กรมประชาสัมพันธ์ (เดิมคือ "กรมโฆษณาชวนเชื่อ") มีหน้าที่ดูแลสื่อและกำหนดแนวทางของพรรคให้กับสื่อ[160][161] กรมงานแนวร่วม มีหน้าที่ดูแล 8 พรรคการเมืองขนาดเล็กของประเทศ องค์กรประชาชน และกลุ่มที่มีอิทธิพลทั้งภายในและนอกประเทศ[162] กรมต่างประเทศ ทำหน้าที่เป็น "กระทรวงการต่างประเทศ" ของพรรคในการติดต่อกับพรรคการเมืองอื่น กรมสังคมสงเคราะห์ มีหน้าที่จัดการงานที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพลเมือง หอการค้า และกลุ่มอุตสาหกรรม และวิสาหกิจแบบผสมและที่ไม่ใช่ภาครัฐ[163] และคณะกรรมการการเมืองและกฎหมายส่วนกลาง มีหน้าที่ดูแลหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของประเทศ[164] คณะกรรมาธิการกลางยังมีการควบคุมโดยตรงต่อสำนักงานการวิจัยนโยบายกลาง ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการวิจัยประเด็นที่ผู้นำพรรคให้ความสนใจเป็นพิเศษ[165] โรงเรียนส่วนกลางพรรค ซึ่งมีหน้าที่ให้การฝึกอบรมทางการเมืองและปลูกฝังอุดมการณ์คอมมิวนิสต์แก่แกนนำระดับสูงและแกนนำที่กำลังก้าวหน้า[166] สถาบันประวัติศาสตร์และวรรณกรรมพรรค สถาบันที่กำหนดลำดับความสำคัญสำหรับการวิจัยทางวิชาการในมหาวิทยาลัยของรัฐและโรงเรียนพรรคส่วนกลาง รวมถึงศึกษาและแปลผลงานของลัทธิมากซ์[167][168] เหรินหมินรื่อเป้า หนังสือพิมพ์ของพรรค อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของคณะกรรมาธิการกลาง[169] และได้รับการตีพิมพ์ด้วยวัตถุประสงค์ "เพื่อเล่าเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับประเทศจีนและ (พรรค)" และเพื่อส่งเสริมผู้นำพรรค[170] ฉิวชื่อและสื่อศึกษา (Study Times) นิตยสารทางทฤษฎี จัดพิมพ์โดยโรงเรียนส่วนกลางพรรค[166] ไชน่ามีเดียกรุป ซึ่งดูแลสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV), สถานีวิทยุแห่งชาติจีน (CNR) และไชนาเรดิโออินเตอร์เนชันแนล (CRI) อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของกรมประชาสัมพันธ์[171] หน่วยงานต่าง ๆ ของ "กลุ่มผู้นำส่วนกลาง" เช่น สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊า สำนักงานกิจการไต้หวัน และสำนักงานการคลังส่วนกลาง ก็รายงานต่อคณะกรรมาธิการกลางในการประชุมเต็มคณะด้วยเช่นกัน[172] นอกจากนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังควบคุมกองทัพปลดปล่อยประชาชนแต่เพียงผู้เดียวผ่านคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง[173]

องค์กรระดับล่าง

แก้

หลังยึดอำนาจทางการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นำระบบการสั่งการแบบพรรค-รัฐคู่ขนานไปใช้กับสถาบันของรัฐ องค์กรทางสังคม และหน่วยงานทางเศรษฐกิจทั้งหมด[174] คณะมนตรีรัฐกิจและศาลสูงสุดแต่ละแห่งมีกลุ่มพรรค (party group) ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1949 คณะกรรมาธิการพรรคแทรกซึมอยู่ในหน่วยงานบริหารของรัฐทุกแห่ง รวมถึงสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนและองค์กรมวลชนในทุกระดับ[175] ตามที่รัช โดชิ นักวิชาการ กล่าวว่า "[พรรค] อยู่เหนือรัฐ ดำเนินงานขนานไปกับรัฐ และแทรกซึมอยู่ในทุกระดับของรัฐ"[175] โดยเลียนแบบระบบโนเมนคลาตูราของโซเวียต ฝ่ายองค์การของคณะกรรมาธิการพรรคในแต่ละระดับมีอำนาจสรรหา ฝึกอบรม ติดตาม ตรวจสอบ แต่งตั้ง และโยกย้ายเจ้าหน้าที่เหล่านี้[176]

พรรคมีคณะกรรมาธิการประจำอยู่ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับมณฑล เมือง อำเภอ ไปจนถึงชุมชน[177] คณะกรรมาธิการเหล่านี้เป็นตัวหลักในการกำหนดทิศทางนโยบายของแต่ละท้องที่ โดยการเลือกผู้นำท้องถิ่นและมอบหมายงานสำคัญ[5][178] เลขาธิการพรรคในแต่ละระดับมีอาวุโสกว่าผู้นำรัฐบาล โดยคณะกรรมาธิการสามัญประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นแหล่งอำนาจหลัก[178] คณะกรรมาธิการพรรคในแต่ละระดับได้รับการคัดเลือกโดยผู้นำในระดับที่สูงกว่า โดยผู้นำระดับมณฑลได้รับการคัดเลือกโดยกรมองค์การกลาง และไม่สามารถถูกถอดถอนโดยเลขาธิการพรรคท้องถิ่น[178] โดยทั่วไปแล้ว คณะกรรมาธิการระดับชุมชนมักประกอบด้วยอาสาสมัครที่เป็นผู้สูงอายุ[179]: 118 

คณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีอยู่ภายในบริษัทต่าง ๆ ทั้งเอกชนและรัฐวิสาหกิจ[180] ธุรกิจที่มีสมาชิกพรรคมากกว่าสามคนมีข้อกำหนดทางกฎหมายให้จัดตั้งคณะกรรมการหรือสาขา[181][182] ณ ค.ศ. 2021 บริษัทเอกชนในประเทศจีนมากกว่าครึ่งหนึ่งมีองค์กรดังกล่าว[183] สาขาเหล่านี้เป็นสถานที่สำหรับให้สมาชิกใหม่ได้เข้าสังคมและจัดกิจกรรมส่งเสริมขวัญกำลังใจสำหรับสมาชิกปัจจุบัน[184] พวกเขายังจัดหาช่องทางที่ช่วยให้บริษัทเอกชนติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลและเรียนรู้เกี่ยวกับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสาขาของพวกเขา[185] โดยเฉลี่ยแล้ว กำไรของบริษัทเอกชนที่มีสาขาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสูงกว่ากำไรของบริษัทเอกชนทั่วไปร้อยละ 12.6[186]

ในรัฐวิสาหกิจ สาขาเหล่านี้เป็นหน่วยงานกำกับดูแลที่ทำการตัดสินใจที่สำคัญและปลูกฝังอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในหมู่พนักงาน[187] คณะกรรมาธิการพรรคหรือสาขาพรรคภายในบริษัทต่าง ๆ ยังมอบสวัสดิการหลากหลายให้แก่พนักงานด้วย[188] สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงโบนัส เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย โครงการให้คำปรึกษา และบริการทางการแพทย์และบริการอื่น ๆ ฟรีสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ[188] วิสาหกิจที่มีสาขาพรรคมักมอบสวัสดิการที่ครอบคลุมมากกว่าให้แก่พนักงานในด้านการเกษียณอายุ การดูแลทางการแพทย์ การว่างงาน การบาดเจ็บ และการคลอดบุตรและภาวะเจริญพันธุ์[189] พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังเรียกร้องให้บริษัทเอกชนแก้ไขกฎบัตรของตนเพื่อรวมบทบาทของพรรคเข้าไปด้วยมากขึ้น[181]

งบประมาณ

แก้

การให้ทุนสนับสนุนองค์กรทั้งหมดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนส่วนใหญ่มาจากรายได้ทางการคลังของรัฐ ข้อมูลเกี่ยวกับสัดส่วนค่าใช้จ่ายขององค์กรพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งหมดต่อรายได้ทางการคลังทั้งหมดของจีนนั้นไม่มีอยู่[ต้องการอ้างอิง]

สมาชิก

แก้
"ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ยึดมั่นในโครงการของพรรค ปฏิบัติตามบทบัญญัติของธรรมนูญพรรค ปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกพรรค ดำเนินตามการตัดสินใจของพรรค ปฏิบัติตามวินัยของพรรคอย่างเคร่งครัด รักษาความลับของพรรค ภักดีต่อพรรค ทำงานหนัก ต่อสู้เพื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ตลอดชีวิต พร้อมที่จะเสียสละทุกสิ่งเพื่อพรรคและประชาชน และจะไม่ทรยศต่อพรรค"

คำสัตย์ปฏิญาณเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน[190]

พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีสมาชิก 99.19 ล้านคน ณ สิ้น ค.ศ. 2023 เพิ่มขึ้นสุทธิ 1.1 ล้านคนจากปีก่อนหน้า[2][191] เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากพรรคภารตียชนตาของอินเดีย[192]

การเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้สมัครจะต้องผ่านกระบวนการอนุมัติ[193] ผู้ใหญ่สามารถยื่นใบสมัครเป็นสมาชิกได้ที่สาขาพรรคท้องถิ่นของตน[194] หลังจากนั้นจะมีกระบวนการคัดกรองเบื้องต้น คล้ายกับการตรวจสอบประวัติ[194] สมาชิกพรรคที่อยู่ในสาขาท้องถิ่นจะทำการตรวจสอบพฤติกรรมและทัศนคติทางการเมืองของผู้สมัครและอาจมีการสอบถามอย่างเป็นทางการไปยังสาขาพรรคที่อยู่ใกล้บ้านบิดามารดาของผู้สมัครเพื่อตรวจสอบความจงรักภักดีของครอบครัวต่อลัทธิคอมมิวนิสต์และพรรค[194] ใน ค.ศ. 2014 มีผู้สมัครเพียง 2 ล้านคนเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติ จากจำนวนผู้สมัครทั้งหมดราว 22 ล้านคน[195] สมาชิกที่ได้รับการอนุมัติจะใช้เวลาหนึ่งปีในฐานะสมาชิกทดลองงาน[190] โดยทั่วไปแล้ว สมาชิกที่อยู่ในช่วงทดลองงานจะได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกพรรคอย่างเป็นทางการ[196] สมาชิกต้องจ่ายค่าบำรุงสมาชิกไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด และใน ค.ศ. 2019 คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ออกกฎที่กำหนดให้สมาชิกที่อยู่ต่างประเทศต้องติดต่อกับหน่วยพรรค (cells) ที่บ้านเกิดอย่างน้อยทุกหกเดือน[197]

ในอดีต พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ความสำคัญกับอุดมการณ์ของผู้สมัคร แต่ปัจจุบันเน้นคุณสมบัติทางเทคนิคและการศึกษามากกว่า[190] การเป็นสมาชิกทดลองงาน ผู้สมัครต้องกล่าวคำสาบานตนต่อหน้าธงของพรรค[190] องค์กรที่เกี่ยวข้องของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีหน้าที่รับผิดชอบการสังเกตการณ์และให้การศึกษาแก่สมาชิกที่อยู่ระหว่างทดลองงาน[190] สมาชิกทดลองงานมีหน้าที่เช่นเดียวกับสมาชิกเต็มตัว เว้นแต่ว่าจะไม่สามารถลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งของพรรคหรือลงสมัครรับเลือกตั้งได้[190] หลายคนเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนผ่านสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์[190] ภายใต้เจียง เจ๋อหมิน ผู้ประกอบการเอกชนได้รับอนุญาตให้เป็นสมาชิกพรรค[190]

ข้อมูลประชากรสมาชิก

แก้
 
เข็มกลัดที่สมาชิกพรรคสวมใส่

ณ เดือนธันวาคม ค.ศ. 2023 สมาชิกที่ระบุตนเองว่าเป็นเกษตรกร ผู้เลี้ยงสัตว์ และชาวประมงมีจำนวน 26 ล้านคน และสมาชิกที่ระบุตนเองว่าเป็นกรรมกรมีจำนวน 6.6 ล้านคน[195][2] กลุ่ม "บุคลากรบริหาร มืออาชีพ และเทคนิคในองค์กรและสถาบันของรัฐ" มีจำนวน 16.2 ล้านคน โดย 11.5 ล้านคนระบุว่าทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหาร และ 7.6 ล้านคนระบุว่าตนเองเป็นแกนนำพรรค[198] พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำการสรรหาสมาชิกจากกลุ่มพนักงานสำนักงาน (white-collar workers) อย่างเป็นระบบมากกว่ากลุ่มทางสังคมอื่น ๆ[199] ภายใน ค.ศ. 2023 สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีแนวโน้มที่จะมีการศึกษาที่สูงขึ้น มีอายุน้อยลง และมีสัดส่วนของพนักงานใช้แรงงาน (blue-collar workers) น้อยลงกว่าในอดีต โดยมีสมาชิกพรรคร้อยละ 56.2 ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่า[191] ณ ค.ศ. 2022 ผู้ประกอบการชาวจีนประมาณร้อยละ 30 ถึง 35 เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกพรรค[200] ณ สิ้น ค.ศ. 2023 พรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุว่ามีสมาชิกที่เป็นชนกลุ่มน้อยประมาณ 7.59 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 7.7 ของสมาชิกพรรคทั้งหมด[2]

สถานภาพสตรี

แก้

ณ ค.ศ. 2023 มีสตรีที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจำนวน 30.19 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 30.4 ของสมาชิกพรรคทั้งหมด[2] ผู้หญิงในประเทศจีนมีอัตราการมีส่วนร่วมในฐานะผู้นำทางการเมืองต่ำ ความเสียเปรียบของผู้หญิงเห็นได้ชัดเจนที่สุดจากการที่พวกเธอมีจำนวนน้อยอย่างมากในตำแหน่งทางการเมืองที่มีอำนาจมาก[201] ในระดับสูงสุดของการตัดสินใจ ไม่เคยมีผู้หญิงคนใดอยู่ในคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง ขณะที่กรมการเมืองในวงกว้างปัจจุบันไม่มีสมาชิกหญิงเลย มีรัฐมนตรีหญิงเพียง 3 คนจากรัฐมนตรีทั้งหมด 27 คน และที่สำคัญคือ นับตั้งแต่ ค.ศ. 1997 ประเทศจีนได้ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 53 จากอันดับที่ 16 ของโลกในแง่ของการมีผู้แทนหญิงในสภาประชาชนแห่งชาติ ตามข้อมูลของสหภาพรัฐสภา[202] ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน เช่น จ้าว จื่อหยาง คัดค้านอย่างแข็งขันต่อการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในกระบวนการทางการเมือง[203] ภายในพรรค ผู้หญิงต้องเผชิญกับเพดานกระจก[204]

สิทธิประโยชน์ของสมาชิก

แก้

การศึกษาของมหาวิทยาลัยบิงแฮมตันใน ค.ศ. 2019 พบว่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับค่าจ้างในตลาดมากกว่าผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกร้อยละ 20[205] การศึกษาเชิงวิชาการในภายหลังพบว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำ[205] ครัวเรือนของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีแนวโน้มที่จะสะสมความมั่งคั่งได้เร็วกว่าครัวเรือนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค[206]

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนบางคนสามารถเข้าถึงระบบจัดหาอาหารพิเศษที่เรียกว่า เถอกง[207] แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถเข้าถึงระบบบริการสุขภาพเฉพาะที่บริหารโดยสำนักงานทั่วไปของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[208]

สันนิบาตเยาวชน

แก้

สันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ (CYL) เป็นฝ่ายเยาวชนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเป็นองค์กรมวลชนที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเยาวชนในประเทศจีน[209] ในการเข้าร่วม ผู้สมัครต้องมีอายุระหว่าง 14 ถึง 28 ปี[209] มันควบคุมและกำกับดูแลผู้บุกเบิกรุ่นเยาว์ องค์กรเยาวชนสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี[209] โครงสร้างองค์กรของสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์เป็นสำเนาที่เหมือนกับของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทุกประการ โดยองค์กรสูงสุดคือสภาแห่งชาติ ตามด้วยคณะกรรมาธิการกลาง กรมการเมือง และคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง[210] อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการกลาง (และองค์กรส่วนกลางทั้งหมด) ของสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ทำงานภายใต้การชี้นำของผู้นำส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[211] จากการประมาณการใน ค.ศ. 2021 จำนวนสมาชิกสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์มีมากกว่า 81 ล้านคน[212]

สัญลักษณ์

แก้
ธงพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 1942 ถึง 1996 (บน) และตั้งแต่ ค.ศ. 1996 เป็นต้นมา (ล่าง)

ในช่วงเริ่มต้นของประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคไม่ได้มีธงมาตรฐานอย่างเป็นทางการเพียงแบบเดียว แต่กลับอนุญาตให้คณะกรรมาธิการพรรคแต่ละแห่งคัดลอกธงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต[213] กรมการเมืองกลางมีมติให้กำหนดธงทางการเพียงธงเดียวเมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1942 ว่า: "ธงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีอัตราส่วนความยาวต่อความกว้าง 3:2 มีรูปค้อนเคียวอยู่ที่มุมบนซ้าย และไม่มีดาวห้าแฉก กรมการเมืองมอบอำนาจให้สำนักงานทั่วไปจัดทำธงมาตรฐานจำนวนหนึ่งและแจกจ่ายไปยังหน่วยงานหลักทั้งหมด"[213]

ตามที่เหรินหมินรื่อเป้ารายงานไว้ว่า "สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ ค้อนและเคียวเป็นเครื่องมือของกรรมกรและชาวนา หมายความว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของมวลชนและประชาชน สีเหลืองหมายถึงความสว่าง"[213]

ความสัมพันธ์ระหว่างพรรค

แก้

กรมต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีหน้าที่รับผิดชอบการเจรจาพูดคุยกับพรรคการเมืองทั่วโลก[214]

พรรคคอมมิวนิสต์

แก้

พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงมีความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคแรงงานที่ไม่ใช่พรรครัฐบาลและเข้าร่วมการประชุมคอมมิวนิสต์นานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคแรงงานนานาชาติ[215] พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงติดต่อกับพรรคการเมืองหลัก ๆ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์โปรตุเกส[216] พรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส[217] พรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย[218] พรรคคอมมิวนิสต์โบฮีเมียและโมราเวีย[219] พรรคคอมมิวนิสต์บราซิล[220] พรรคคอมมิวนิสต์กรีซ[221] พรรคคอมมิวนิสต์เนปาล (ลัทธิมากซ์–เลนิน)[222] และพรรคคอมมิวนิสต์สเปน[223] พรรคยังคงมีความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคแรงงานขนาดเล็ก เช่น พรรคคอมมิวนิสต์ออสเตรเลีย[224] พรรคแรงงานบังกลาเทศ พรรคคอมมิวนิสต์บังกลาเทศ (ลัทธิมากซ์-เลนิน) (บารัว) พรรคคอมมิวนิสต์ศรีลังกา พรรคแรงงานเบลเยียม พรรคแรงงานฮังการี พรรคแรงงานโดมินิกัน พรรคกรรมกรและชาวนาเนปาล และพรรคเพื่อการเปลี่ยนแปลงฮอนดูรัส[225] พรรคมีความสัมพันธ์[คลุมเครือ] ที่ไม่ค่อยดีกับพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น[226] พรรคคอมมิวนิสต์จีนสังเกตเห็นการถูกลดความสำคัญลงอย่างต่อเนื่องของพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันตก โดยเปรียบเทียบกับความสำเร็จของการปฏิรูปตนเองของขบวนการสังคมประชาธิปไตยยุโรปในคริสต์ทศวรรษ 1980 และ 1990[227]

พรรครัฐบาลประเทศสังคมนิยม

แก้

พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรครัฐบาลที่ปกครองรัฐสังคมนิยมที่ยังคงสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ เช่น คิวบา ลาว เกาหลีเหนือ และเวียดนาม[228] มันใช้เวลาค่อนข้างมากในการวิเคราะห์สถานการณ์ในรัฐสังคมนิยมที่ยังเหลืออยู่ โดยพยายามหาข้อสรุปว่าทำไมรัฐเหล่านี้จึงอยู่รอดได้ ขณะที่รัฐอื่น ๆ จำนวนมากไม่รอด หลังการล่มสลายของรัฐสังคมนิยมในยุโรปตะวันออกใน ค.ศ. 1989 และการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1991[229] ทั่วไปแล้ว การวิเคราะห์สถานะของรัฐสังคมนิยมที่เหลืออยู่และโอกาสในการอยู่รอดของพวกเขานั้นเป็นไปในทางบวก และพรรคคอมมิวนิสต์จีนเชื่อว่าขบวนการสังคมนิยมจะได้รับการฟื้นฟูในอนาคต[229]

พรรครัฐบาลที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสนใจมากที่สุดคือพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (CPV)[230] ทั่วไปแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามถูกมองว่าเป็นแบบอย่างของการพัฒนาสังคมนิยมในสมัยหลังโซเวียต[230] นักวิเคราะห์ชาวจีนที่ศึกษาเวียดนามเชื่อว่า การนำนโยบายปฏิรูป "โด๋ยเม้ย" มาใช้ในการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 6 ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เวียดนามประสบความสำเร็จในปัจจุบัน[230]

ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนน่าจะเป็นองค์กรที่มีการเข้าถึงเกาหลีเหนือมากที่สุด แต่การเขียนเกี่ยวกับเกาหลีเหนือก็ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด[229] รายงานเกี่ยวกับแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือเป็นรายงานเพียงไม่กี่ฉบับที่ประชาชนทั่วไปสามารถหาอ่านได้[229] นักวิเคราะห์ชาวจีนเกี่ยวกับเกาหลีเหนือมีแนวโน้มที่จะพูดถึงเกาหลีเหนือในเชิงบวกในที่สาธารณะ แต่ในการอภิปรายอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 2008 พวกเขาแสดงความดูถูกระบบเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ ลัทธิบูชาบุคคลที่แพร่กระจายไปทั่วสังคม ตระกูลคิม แนวคิดการสืบทอดอำนาจทางสายเลือดในรัฐสังคมนิยม รัฐความมั่นคง การใช้ทรัพยากรที่หายากกับกองทัพประชาชนเกาหลี และความยากจนทั่วไปของประชาชนเกาหลีเหนือ[231] ประมาณ ค.ศ. 2008 มีนักวิเคราะห์บางกลุ่มที่เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันของเกาหลีเหนือกับสถานการณ์ของจีนในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม[232][ต้องการการอัปเดต] ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามโน้มน้าวพรรคแรงงานเกาหลี (WPK, พรรครัฐบาลของเกาหลีเหนือ) ให้เริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยการแสดงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญในประเทศจีนให้พวกเขาดู[232] ตัวอย่างเช่น ใน ค.ศ. 2006 พรรคคอมมิวนิสต์จีนเชิญคิม จ็องอิล เลขาธิการพรรคแรงงานเกาหลีในขณะนั้น ไปยังมณฑลกวางตุ้งเพื่อแสดงความสำเร็จของการปฏิรูปเศรษฐกิจที่นำมาสู่ประเทศจีน[232] ทั่วไปแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนมองว่าพรรคแรงงานเกาหลีและเกาหลีเหนือเป็นตัวอย่างเชิงลบของพรรคคอมมิวนิสต์รัฐบาลและรัฐสังคมนิยม[232]

ภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีความสนใจในคิวบาในระดับมากพอสมควร[230] ฟิเดล กัสโตร อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คิวบา (PCC) เป็นที่ชื่นชมอย่างมาก และมีการเขียนหนังสือเกี่ยวกับความสำเร็จของการปฏิวัติคิวบาเป็นจำนวนมาก[230] การสื่อสารระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคคอมมิวนิสต์คิวบาได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990[233] ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 16 ซึ่งหารือถึงความเป็นไปได้ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเรียนรู้จากพรรครัฐบาลอื่น ๆ นั้นมีการยกย่องพรรคคอมมิวนิสต์คิวบาอย่างมาก[233] เมื่ออู๋ กวนเจิ้ง สมาชิกกรมการเมืองกลางพบกับฟิเดล กัสโตรใน ค.ศ. 2007 เขามอบจดหมายส่วนตัวที่เขียนโดยหู จิ่นเทาให้ โดยมีใจความว่า "ข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่าจีนและคิวบาเป็นเพื่อนที่ดีที่ไว้ใจได้ เป็นสหายที่ดี และเป็นพี่น้องที่ดีที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ มิตรภาพของสองประเทศได้ผ่านการทดสอบของสถานการณ์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป และมิตรภาพนั้นได้รับการเสริมสร้างและกระชับให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น"[234]

พรรคการเมืองที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์

แก้

นับตั้งแต่การเสื่อมถอยและการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้หันมาสร้างความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์[162] ความสัมพันธ์เหล่านี้ถูกแสวงหาเพื่อให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้[235] ตัวอย่างเช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีนกระตือรือร้นที่จะทำความเข้าใจว่าพรรคกิจประชาชนของสิงคโปร์ (PAP) รักษาการครอบงำการเมืองสิงคโปร์ทั้งหมดได้อย่างไร ผ่าน "การแสดงตนแบบเงียบ ๆ แต่ควบคุมทั้งหมด"[236] ตามการวิเคราะห์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเกี่ยวกับสิงคโปร์ เหตุผลที่พรรคกิจประชาชนครองอำนาจได้นั้นมาจาก "เครือข่ายทางสังคมที่แข็งแกร่ง ซึ่งควบคุมพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการแทรกซึมลึกเข้าไปในสังคมผ่านหน่วยงานรัฐและกลุ่มที่พรรคควบคุม"[236] ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยอมรับว่าสิงคโปร์เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยม แต่พวกเขามองว่าสิงคโปร์เป็นประชาธิปไตยแบบชี้นำโดยพรรคกิจประชาชน[236] ตามมุมมองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ความแตกต่างที่สำคัญอื่น ๆ คือ "พรรคดังกล่าวไม่ใช่พรรคการเมืองที่ตั้งอยู่บนชนชั้นแรงงาน แต่เป็นพรรคการเมืองของชนชั้นนำ... และยังเป็นพรรคการเมืองของระบบรัฐสภา ไม่ใช่พรรคปฏิวัติ"[237] พรรคอื่น ๆ ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนศึกษาและรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างพรรคด้วย ได้แก่ องค์การสหภาพมลายูแห่งชาติ ซึ่งปกครองมาเลเซีย (ค.ศ. 1957–2018, ค.ศ. 2020–2022) และพรรคเสรีประชาธิปไตยในญี่ปุ่น ซึ่งครองอำนาจทางการเมืองญี่ปุ่นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1955[238]

ตั้งแต่สมัยของเจียง เจ๋อหมิน พรรคคอมมิวนิสต์จีนแสดงท่าทีเป็นมิตรกับศัตรูในอดีตอย่างก๊กมินตั๋ง พรรคคอมมิวนิสต์จีนเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งระหว่างพรรคกับก๊กมินตั๋งเพื่อเสริมสร้างโอกาสในการรวมไต้หวันเข้ากับจีนแผ่นดินใหญ่[239] อย่างไรก็ตาม มีการเขียนงานวิจัยหลายชิ้นเกี่ยวกับการที่ก๊กมินตั๋งสูญเสียอำนาจใน ค.ศ. 2000 หลังปกครองไต้หวันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1949 (ก๊กมินตั๋งปกครองจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเป็นทางการตั้งแต่ ค.ศ. 1928 ถึง 1949)[239] ทั่วไปแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ความสนใจเป็นพิเศษกับรัฐพรรคการเมืองเดียวหรือรัฐพรรคเด่นพรรคเดียวและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพรรคต่อพรรคเพื่อศึกษาประเทศเหล่านั้น[239] ความมีอายุยืนยาวของสาขาภูมิภาคซีเรียของพรรคสังคมนิยมอาหรับบะอษ์นั้นเป็นผลมาจากการใช้อำนาจส่วนบุคคลในตระกูลอัลอะซัด ระบบประธานาธิบดีที่เข้มแข็ง การสืบทอดอำนาจซึ่งส่งต่อจากฮาฟิซ อัลอะซัดไปยังบัชชาร อัลอะซัด บุตรชายของเขา และบทบาทที่มอบให้กับกองทัพซีเรียในทางการเมือง[240]

 
สี จิ้นผิง (ที่สองจากซ้าย) กับเอนริเก เปญญา นิเอโต (ที่สองจากขวา) อดีตประธานาธิบดีเม็กซิโกและสมาชิกชั้นนำของพรรคปฏิวัติสถาบัน

ราว ค.ศ. 2008 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้แสดงความสนใจเป็นพิเศษในลาตินอเมริกา[240] เห็นได้จากการที่จีนส่งผู้แทนไปลาตินอเมริกาและรับผู้แทนจากประเทศเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ[240] สิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ความสนใจเป็นพิเศษคือการปกครองที่ยาวนาน 71 ปีของพรรคปฏิวัติสถาบัน (PRI) ในเม็กซิโก[240] ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้เหตุผลว่าการครองอำนาจอันยาวนานของพรรคปฏิวัติสถาบันเป็นเพราะระบบประธานาธิบดีที่แข็งแกร่ง สอดคล้องกับวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ของประเทศ ท่าทีชาตินิยม การเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับประชากรในชนบท และการดำเนินการนโยบายโอนมาเป็นของรัฐควบคู่ไปกับการตลาดนิยมทางเศรษฐกิจ[240] พรรคคอมมิวนิสต์จีนสรุปว่าพรรคปฏิวัติสถาบันล้มเหลวเนื่องจากการขาดประชาธิปไตยภายในพรรค การดำเนินนโยบายประชาธิปไตยสังคมนิยม โครงสร้างพรรคที่แข็งทื่อซึ่งไม่สามารถปฏิรูปได้ การทุจริตทางการเมือง แรงกดดันของโลกาภิวัตน์ และการแทรกแซงของสหรัฐในการเมืองเม็กซิโก[240] ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนรับรู้ถึงกระแสสีชมพูในลาตินอเมริกาช้าไปบ้าง แต่ก็ได้เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพรรคต่อพรรคกับพรรคการเมืองสังคมนิยมและต่อต้านอเมริกาหลายพรรคในช่วงหลายปีที่ผ่านมา[241] พรรคคอมมิวนิสต์จีนแสดงความไม่พอใจบ้างเป็นครั้งคราวต่อวาทศิลป์ต่อต้านทุนนิยมและต่อต้านอเมริกาของอูโก ชาเบซ[241] ถึงกระนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้บรรลุข้อตกลงใน ค.ศ. 2013 กับสหพรรคสังคมนิยมเวเนซุเอลา (PSUV) ซึ่งก่อตั้งโดยชาเบซ เพื่อให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้การศึกษาแก่บุคลากรของสหพรรคสังคมนิยมเวเนซุเอลาในด้านการเมืองและสังคม[242] ภายใน ค.ศ. 2008 พรรคคอมมิวนิสต์จีนอ้างว่าได้สร้างความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง 99 พรรคใน 29 ประเทศแถบลาตินอเมริกา[241]

ขยวนการประชาธิปไตยสังคมนิยมยุโรปในได้รับความสนใจอย่างมากจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980[241] ยกเว้นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสร้างความสัมพันธ์แบบพรรคต่อพรรคกับพรรคฝ่ายขวาจัดในคริสต์ทศวรรษ 1970 ในความพยายามที่จะหยุดยั้ง "การขยายอำนาจของโซเวียต" ความสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับประชาธิปไตยสังคมนิยมยุโรปถือเป็นความพยายามอย่างจริงจังครั้งแรกในการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับพรรคต่อพรรคกับพรรคที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์[241] พรรคคอมมิวนิสต์จีนยกย่องพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมยุโรปที่สร้างระบบ "ทุนนิยมที่มีหน้าตาเป็นมนุษย์"[241] ก่อนคริสต์ทศวรรษ 1980 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีมุมมองเชิงลบและดูถูกอย่างมากต่อระบอบประชาธิปไตยสังคมนิยท มุมมองที่สืบทอดมาจากองค์การสากลที่สอง (Second International) และมุมมองแบบมากซ์–เลนินต่อขบวนการประชาธิปไตยสังคมนิยม[241] พอถึงคริสต์ทศวรรษ 1980 มุมมองนั้นได้เปลี่ยนไป และพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ตระหนักว่าสามารถเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากขบวนการประชาธิปไตยสังคมนิยมได้[241] ผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนถูกส่งไปทั่วยุโรปเพื่อสังเกตการณ์ [243] ภายในคริสต์ทศวรรษ 1980 พรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมส่วนใหญ่ในยุโรปเผชิญปัญหาคะแนนนิยมตกต่ำและอยู่ในช่วงของการปฏิรูปตนเอง[243] พรรคคอมมิวนิสต์จีนติดตามเรื่องนี้ด้วยความสนใจอย่างมาก โดยให้ความสำคัญมากที่สุดกับความพยายามปฏิรูปภายในพรรคแรงงานอังกฤษและพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี[243] พรรคคอมมิวนิสต์จีนสรุปว่าทั้งสองพรรคได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีกครั้งเนื่องจากพวกเขาทันสมัย โดยการแทนที่หลักการรัฐสังคมนิยมแบบดั้งเดิมด้วยหลักการใหม่ที่สนับสนุนการแปรรูป การละทิ้งความเชื่อในรัฐบาลขนาดใหญ่ การสร้างมุมมองใหม่ต่อรัฐสวัสดิการ การเปลี่ยนแปลงมุมมองเชิงลบต่อตลาด และการย้ายฐานสนับสนุนแบบดั้งเดิมจากสหภาพแรงงานไปสู่ผู้ประกอบการ คนหนุ่มสาว และนักศึกษา[244]

ประวัติการเลือกตั้ง

แก้

การเลือกตั้งสภาประชาชนแห่งชาติ

แก้
การเลือกตั้ง เลขาธิการ ที่นั่ง +/– อันดับ
1982–1983 หู เย่าปัง
1,861 / 2,978
  1
1987–1988 จ้าว จื่อหยาง
1,986 / 2,979
  125   1
1993–1994 เจียง เจ๋อหมิน
2,037 / 2,979
  51   1
1997–1998
2,130 / 2,979
  93   1
2002–2003 หู จิ่นเทา
2,178 / 2,985
  48   1
2007–2008
2,099 / 2,987
  79   1
2012–2013 สี จิ้นผิง
2,157 / 2,987
  58   1
2017–2018
2,119 / 2,980
  38   1
2022–2023   1

ดูเพิ่ม

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. 楊立傑 (30 April 2013). "共产主义小组的建立与中国共产党的成立". Xinhua (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2013. สืบค้นเมื่อ 3 December 2021.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 "中国共产党党内统计公报" [Communist Party of China Party Statistics Announcement] (ภาษาChinese). State Council of the People's Republic of China. 30 June 2024. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 June 2024. สืบค้นเมื่อ 30 June 2024.{{cite web}}: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
  3. "Chinese Communist Party". Encyclopædia Britannica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 October 2019. สืบค้นเมื่อ 13 August 2020.
  4. "Style Guide: PRC, China, CCP or Chinese?". Asia Media Centre – New Zealand. Asia New Zealand Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-06-19. Chinese Communist Party (CCP): May also refer to Communist Party of China (CPC) ... CPC is used officially in China and by China's media, whereas English-language media outside of Chinese conventionally use CCP.
  5. 5.0 5.1 McGregor, Richard (2010). The Party: The Secret World of China's Communist Rulers. New York: Harper Perennial. ISBN 978-0-06-170877-0. OCLC 630262666.
  6. 6.0 6.1 6.2 Hunt, Michael (2013). The World Transformed: 1945 to the Present. Oxford University Press. ISBN 978-0-312-24583-2.
  7. Van de Ven 1991, pp. 26–27.
  8. Hammond, Ken (2023). China's Revolution and the Quest for a Socialist Future. New York, NY: 1804 Books. ISBN 978-1-7368500-8-4.
  9. 9.0 9.1 9.2 Huang, Yibing (2020). Zheng, Qian (บ.ก.). An Ideological History of the Communist Party of China. Vol. 2. แปลโดย Sun, Li; Bryant, Shelly. Montreal, Quebec: Royal Collins Publishing Group. ISBN 978-1-4878-0391-9.
  10. Hao, Zhidong (March 1997). "May 4th and June 4th compared: A sociological study of Chinese social movements". Journal of Contemporary China (ภาษาอังกฤษ). 6 (14): 79–99. doi:10.1080/10670569708724266. ISSN 1067-0564.
  11. Šebok, Filip (2023). "Historical Legacy". ใน Kironska, Kristina; Turscanyi, Richard Q. (บ.ก.). Contemporary China: a New Superpower?. Routledge. pp. 15–28. doi:10.4324/9781003350064-3. ISBN 978-1-03-239508-1.
  12. Van de Ven 1991, p. 38.
  13. Van de Ven 1991, p. 44.
  14. 14.0 14.1 14.2 Karl, Rebecca E. (2010). Mao Zedong and China in the Twentieth-Century World: a Concise History. Asia-pacific: Culture, Politics, and Society series. Durham, NC: Duke University Press. doi:10.2307/j.ctv11hpp6w. ISBN 978-0-8223-4780-4. JSTOR j.ctv11hpp6w.
  15. Hé, Lìbō. "Xiǎn wéi rénzhī de zhōnggòng yī dà cānjiāzhě: Éguórén Níkē'ěrsījī" 鲜为人知的中共一大参加者:俄国人尼科尔斯基. People's Daily 中国共产党新闻网 [News of the Communist Party of China] (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2007. สืบค้นเมื่อ 7 December 2020.
  16. Party History Research Office of the CPC Central Committee (1997). 共產國際、聯共(布)與中國革命檔案資料叢書. Beijing Library Press. pp. 39–51.
  17. Tatlow, Didi Kirsten (20 July 2011). "On Party Anniversary, China Rewrites History". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 January 2022. สืบค้นเมื่อ 2 June 2021.
  18. "1st. National Congress of The Communist Party of China (CPC)". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 December 2017. สืบค้นเมื่อ 8 October 2015.
  19. "Three Chinese Leaders: Mao Zedong, Zhou Enlai, and Deng Xiaoping". Asia for Educators. Columbia University. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2013. สืบค้นเมื่อ 21 March 2022.
  20. 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 Gao 2009, p. 119.
  21. "News of the Soviets of People's Deputies". 9 October 1920.
  22. "News of the Soviets of People's Deputies". 16 November 1921.
  23. 中央檔案館 (1989). 中共中央文件選集1. 中共中央黨校出版社. pp. 187, 271–297.
  24. 中共中央、共青團中央和共產國際代表聯席會議記錄. December 1924.
  25. 共產國際有關中國資料選輯 Collection of the Communist International's Materials on China. Institute of Modern History, Chinese Academy of Social Sciences. 1981. p. 83.
  26. 26.0 26.1 26.2 Schram 1966, pp. 84, 89.
  27. 27.0 27.1 Chiang, Chung Cheng (1957). Soviet Russia in China: a Summing Up at Seventy. Farrar, Straus and Cudahy. OL 89083W.
  28. 奎松, 楊 (April 2010). 中間地帶的革命. Taiyuan: 山西人民出版社.
  29. Allen-Ebrahimian, Bethany. "The Chinese Communist Party Is Still Afraid of Sun Yat-Sen's Shadow". Foreign Policy. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2021. สืบค้นเมื่อ 1 March 2021.
  30. "Tug of war over China's founding father Sun Yat-sen as Communist Party celebrates his legacy". South China Morning Post. 10 November 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2021. สืบค้นเมื่อ 1 March 2021.
  31. Dirlik 2005, p. 20.
  32. Godley, Michael R. (1987). "Socialism with Chinese Characteristics: Sun Yatsen and the International Development of China". The Australian Journal of Chinese Affairs (18): 109–125. doi:10.2307/2158585. JSTOR 2158585. S2CID 155947428.
  33. 獨秀, Du Xiu (3 April 1926). "中國革命勢力統一政策與廣州事變". 嚮導.
  34. 中央檔案館 (1989). 中共中央文件選集2. 中共中央黨校出版社. pp. 311–318.
  35. 奎松, 楊 (2002). "蔣介石從三二零到四一二的心路歷程". 史學月刊. 6.
  36. 上海市檔案館 (1983). 上海工人三次武裝起義. Shanghai People's Press.
  37. 37.0 37.1 Feigon 2002, p. 42.
  38. 38.0 38.1 38.2 38.3 Carter 1976, p. 62.
  39. Ryan, Tom (2016). Purnell, Ingrid; Plozza, Shivaun (บ.ก.). China Rising: The Revolutionary Experience. Collingwood: History Teachers' Association of Victoria. p. 77. ISBN 978-1-875585-08-3.
  40. Schram 1966, p. 106.
  41. Carter 1976, pp. 61–62.
  42. Schram 1966, p. 112.
  43. Schram 1966, pp. 106–109.
  44. Schram 1966, pp. 112–113.
  45. 45.0 45.1 Carter 1976, p. 63.
  46. 46.0 46.1 Carter 1976, p. 64.
  47. Schram 1966, pp. 122–125.
  48. Feigon 2002, pp. 46–47.
  49. 49.0 49.1 49.2 49.3 49.4 49.5 49.6 49.7 49.8 Leung 1992, p. 72.
  50. Duan, Lei (2024). "Towards a More Joint Strategy: Assessing Chinese Military Reforms and Militia Reconstruction". ใน Fang, Qiang; Li, Xiaobing (บ.ก.). China under Xi Jinping: A New Assessment. Leiden University Press. ISBN 978-90-8728-441-1.
  51. Leung 1992, p. 370.
  52. 52.0 52.1 Leung 1992, p. 354.
  53. 53.0 53.1 53.2 53.3 53.4 Leung 1992, p. 355.
  54. 54.0 54.1 54.2 54.3 54.4 54.5 54.6 54.7 Leung 1992, p. 95.
  55. 55.0 55.1 55.2 55.3 Leung 1992, p. 96.
  56. 56.0 56.1 56.2 56.3 Leung 1996, p. 96.
  57. 57.0 57.1 57.2 57.3 57.4 57.5 Miller, Alice. "The 19th Central Committee Politburo" (PDF). China Leadership Monitor, No. 55. Hoover Institution. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 February 2021. สืบค้นเมื่อ 27 April 2020.
  58. 哲, 師 (1991). 在歷史巨人身邊——師哲回憶錄. Beijing: 中央文獻出版社. p. 531.
  59. 子陵, 辛 (2009). 紅太陽的隕落:千秋功罪毛澤東. Hong Kong: 書作坊. p. 88.
  60. 理羣, 錢 (2012). 毛澤東和後毛澤東時代. Taipei: 聯經. p. 64.
  61. King, Gilbert. "The Silence that Preceded China's Great Leap into Famine". Smithsonian (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 October 2019. สืบค้นเมื่อ 28 November 2019.
  62. Du, Guang (2007). ""反右"运动与民主革命——纪念"反右"运动五十周年". Modern China Studies (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2021. สืบค้นเมื่อ 18 July 2020.
  63. Gráda, Cormac Ó (2007). "Making Famine History" (PDF). Journal of Economic Literature. 45 (1): 5–38. doi:10.1257/jel.45.1.5. hdl:10197/492. ISSN 0022-0515. JSTOR 27646746. S2CID 54763671. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2 June 2021. สืบค้นเมื่อ 21 April 2021.
  64. Meng, Xin; Qian, Nancy; Yared, Pierre (2015). "The Institutional Causes of China's Great Famine, 1959–1961" (PDF). The Review of Economic Studies. 82 (4): 1568–1611. CiteSeerX 10.1.1.321.1333. doi:10.1093/restud/rdv016. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2020. สืบค้นเมื่อ 22 April 2020.
  65. Smil, Vaclav (18 December 1999). "China's great famine: 40 years later". The BMJ. 319 (7225): 1619–1621. doi:10.1136/bmj.319.7225.1619. ISSN 0959-8138. PMC 1127087. PMID 10600969.
  66. Mirsky, Jonathan (7 December 2012). "Unnatural Disaster". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 January 2017. สืบค้นเมื่อ 22 April 2020.
  67. Dikötter, Frank. "Mao's Great Famine: Ways of Living, Ways of Dying" (PDF). Dartmouth College. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 16 July 2020.
  68. Kornberg & Faust 2005, p. 103.
  69. Wong 2005, p. 131.
  70. 70.0 70.1 Wong 2005, p. 47.
  71. Sullivan 2012, p. 254.
  72. 72.0 72.1 Deng Xiaoping (30 June 1984). "Building a Socialism with a specifically Chinese character". People's Daily. Central Committee of the Chinese Communist Party. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 January 2013. สืบค้นเมื่อ 13 January 2013.
  73. "An article influences Chinese history". China Internet Information Center. 19 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2008. สืบค้นเมื่อ 9 August 2021.
  74. Doyon, Jérôme; Froissart, Chloé (2024). "Introduction". ใน Doyon, Jérôme; Froissart, Chloé (บ.ก.). The Chinese Communist Party: a 100-Year Trajectory. Canberra: ANU Press. ISBN 978-1-76046-624-4.
  75. Sullivan 2012, p. 25.
  76. 76.0 76.1 76.2 Vogel 2011, p. 682.
  77. 77.0 77.1 77.2 Vogel 2011, p. 684.
  78. Sullivan 2012, p. 100.
  79. 79.0 79.1 Sullivan 2012, p. 238.
  80. 80.0 80.1 Sullivan 2012, p. 317.
  81. Sullivan 2012, p. 329.
  82. "Hu Jintao, Xi Jinping meet delegates to 18th CCP National Congress". Xinhua News Agency. 16 November 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2015. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  83. O'Keeffe, Kate; Ferek, Katy Stech (14 November 2019). "Stop Calling China's Xi Jinping 'President,' U.S. Panel Says". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 November 2019. สืบค้นเมื่อ 8 July 2023.
  84. "The Rise and Rise of Xi Jinping: Xi who must be obeyed". The Economist. 20 September 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 October 2017. สืบค้นเมื่อ 26 October 2017.
  85. "Xi Jinping's Anti-Corruption Campaign: The Hidden Motives of a Modern-Day Mao". Foreign Policy Research Institute (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2020. สืบค้นเมื่อ 17 July 2020.
  86. Mitchell, Tom (25 July 2016). "Xi's China: The rise of party politics". Financial Times (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 November 2020. สืบค้นเมื่อ 16 January 2020.
  87. 87.0 87.1 Phillips, Tom (24 October 2017). "Xi Jinping becomes most powerful leader since Mao with China's change to constitution". The Guardian. ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 October 2017. สืบค้นเมื่อ 24 October 2017.
  88. "The 7 Men Who Will Run China". The Diplomat (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 June 2020. สืบค้นเมื่อ 27 April 2020.
  89. Kirby, Jen (28 July 2020). "Concentration camps and forced labor: China's repression of the Uighurs, explained". Vox (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 December 2020. สืบค้นเมื่อ 22 August 2022.
  90. "'Cultural genocide': China separating thousands of Muslim children from parents for 'thought education'". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 5 July 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2021. สืบค้นเมื่อ 22 August 2022.
  91. Delmi, Boudjemaa (12 July 2019). "Letter to the HRC" (PDF). Human Rights Watch. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 July 2019.
  92. Qiblawi, Tamara (17 July 2019). "Muslim nations are defending China as it cracks down on Muslims, shattering any myths of Islamic solidarity". CNN (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 December 2019. สืบค้นเมื่อ 29 April 2022.
  93. Berlinger, Joshua (15 July 2019). "North Korea, Syria and Myanmar among countries defending China's actions in Xinjiang". CNN (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 April 2022. สืบค้นเมื่อ 29 April 2022.
  94. "Inside the plans for the CCP's 100th anniversary". The Week UK (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 May 2021. สืบค้นเมื่อ 25 May 2021.
  95. "Chinese Communist party clears way for Xi to tighten grip on power". Financial Times. 11 November 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
  96. "China's Communist Party passes resolution amplifying President Xi's authority". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 12 November 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 August 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
  97. Wong, Chun Han; Zhai, Keith (17 November 2021). "How Xi Jinping Is Rewriting China's History to Put Himself at the Center". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 August 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
  98. 98.0 98.1 Tian, Yew Lun (6 July 2021). "China's Xi takes dig at U.S. in speech to political parties around world". Reuters (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 June 2022. สืบค้นเมื่อ 27 June 2022.
  99. Whitson, William W. (1973). The Chinese High Command: A History of Communist Military Politics, 1927-71 (ภาษาอังกฤษ). Praeger. ISBN 978-0-333-15053-5.
  100. 100.0 100.1 100.2 100.3 "Ideological Foundation of the CPC". People's Daily. 30 October 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 December 2013. สืบค้นเมื่อ 26 December 2013.
  101. "Mao Zedong Thought". Xinhua News Agency. 26 December 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2016. สืบค้นเมื่อ 26 December 2013.
  102. Vogel 2011, p. 668.
  103. Chan 2003, p. 180.
  104. Vogel 2011, p. 685.
  105. Selected Works of Jiang Zemin, Eng. ed., FLP, Beijing, 2013, Vol. III, p. 519.
  106. Chan 2003, p. 201.
  107. Kuhn 2011, pp. 108–109.
  108. Kuhn 2011, pp. 107–108.
  109. Kuhn 2011, p. 110.
  110. Izuhara 2013, p. 110.
  111. Guo & Guo 2008, p. 119.
  112. "Full text of Hu Jintao's report at 18th Party Congress". People's Daily. 19 November 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 June 2013. สืบค้นเมื่อ 19 September 2014.
  113. "His own words: The 14 principles of 'Xi Jinping Thought'". BBC Monitoring. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2017. สืบค้นเมื่อ 28 October 2017.
  114. Zhao 2004, p. 28.
  115. Löfstedt 1980, p. 25.
  116. Li 1995, pp. 38–39.
  117. Ghai, Arup & Chanock 2000, p. 77.
  118. Zheng 2012, p. 119.
  119. 119.0 119.1 119.2 119.3 "Marketization the key to economic system reform". China Daily. Chinese Communist Party. 18 November 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2015. สืบค้นเมื่อ 22 December 2013.
  120. Buckley, Chris (13 February 2014). "Xi Touts Communist Party as Defender of Confucius's Virtues". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2014. สืบค้นเมื่อ 13 February 2014.
  121. 121.0 121.1 121.2 Heazle & Knight 2007, p. 62.
  122. 122.0 122.1 122.2 122.3 Heazle & Knight 2007, p. 63.
  123. Heazle & Knight 2007, p. 64.
  124. Shambaugh 2008, p. 104.
  125. 125.0 125.1 Kuhn 2011, p. 99.
  126. 126.0 126.1 126.2 126.3 126.4 Kuhn 2011, p. 527.
  127. 127.0 127.1 127.2 Shambaugh 2008, p. 105.
  128. 128.0 128.1 128.2 Brown 2012, p. 52.
  129. 129.0 129.1 129.2 129.3 129.4 Unger 2002, p. 22.
  130. Baylis 1989, p. 102.
  131. Unger 2002, pp. 22–24.
  132. 132.0 132.1 132.2 Unger 2002, p. 158.
  133. Baranovitch, Nimrod (4 March 2021). "A Strong Leader for A Time of Crisis: Xi Jinping's Strongman Politics as A Collective Response to Regime Weakness". Journal of Contemporary China (ภาษาอังกฤษ). 30 (128): 249–265. doi:10.1080/10670564.2020.1790901. ISSN 1067-0564.
  134. Shirk, Susan L. (2018). "The Return to Personalistic Rule". Journal of Democracy (ภาษาอังกฤษ). 29 (2): 22–36. doi:10.1353/jod.2018.0022. ISSN 1086-3214. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 April 2024. สืบค้นเมื่อ 21 April 2024.
  135. Lyman Miller, Alice (31 December 2020), Fingar, Thomas; Oi, Jean C. (บ.ก.), "1. Xi Jinping and the Evolution of Chinese Leadership Politics", Fateful Decisions, Stanford University Press, pp. 33–50, doi:10.1515/9781503612235-005, ISBN 978-1-5036-1223-5
  136. 136.0 136.1 136.2 136.3 136.4 136.5 136.6 136.7 Chuanzi, Wang (1 October 2013). "Democratic Centralism: The Core Mechanism in China's Political System". Qiushi. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 January 2014. สืบค้นเมื่อ 5 January 2014.
  137. Biddulph, Sarah (5 July 2018), Fu, Hualing; Gillespie, John; Nicholson, Pip; Partlett, William Edmund (บ.ก.), "Democratic Centralism and Administration in China", Socialist Law in Socialist East Asia (1 ed.), Cambridge University Press, pp. 195–223, doi:10.1017/9781108347822.008, hdl:11343/254293, ISBN 978-1-108-34782-2
  138. Jacobs, Andrew (14 June 2012). "Accused Chinese Party Members Face Harsh Discipline". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 January 2022. สืบค้นเมื่อ 17 July 2020.
  139. Brady, Anne-Marie (2017). "Magic Weapons: China's political influence activities under Xi Jinping" (PDF). Woodrow Wilson International Center for Scholars. S2CID 197812164. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2020.
  140. Tatlow, Didi Kirsten (12 July 2019). "The Chinese Influence Effort Hiding in Plain Sight". The Atlantic. ISSN 1072-7825. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2019. สืบค้นเมื่อ 31 August 2020.
  141. Joske, Alex (9 June 2020). "The party speaks for you: Foreign interference and the Chinese Communist Party's united front system" (ภาษาอังกฤษ). Australian Strategic Policy Institute. JSTOR resrep25132. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 June 2020. สืบค้นเมื่อ 9 June 2020.
  142. "The United Front in Communist China" (PDF). Central Intelligence Agency. May 1957. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 23 January 2017. สืบค้นเมื่อ 9 June 2020.
  143. 143.0 143.1 Mackerras, McMillen & Watson 2001, p. 70.
  144. Groot, Gerry (19 September 2016), Davies, Gloria; Goldkorn, Jeremy; Tomba, Luigi (บ.ก.), "The Expansion of the United Front Under Xi Jinping" (PDF), The China Story Yearbook 2015: Pollution, ANU Press, doi:10.22459/csy.09.2016.04a, ISBN 978-1-76046-068-6, เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 4 April 2017, สืบค้นเมื่อ 31 August 2020
  145. Groot, Gerry (24 September 2019). "The CCP's Grand United Front abroad". Sinopsis (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 November 2019. สืบค้นเมื่อ 31 August 2020.
  146. 146.0 146.1 Mackerras, McMillen & Watson 2001, p. 228.
  147. 147.0 147.1 Mackerras, McMillen & Watson 2001, p. 229.
  148. Mackerras, McMillen & Watson 2001, p. 66.
  149. 149.0 149.1 Joseph 2010, p. 394.
  150. 150.0 150.1 Liu 2011, p. 41.
  151. "General Secretary of CPC Central Committee". China Radio International. 13 November 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 February 2016. สืบค้นเมื่อ 8 December 2013.
  152. Mackerras, McMillen & Watson 2001, p. 85.
  153. Miller 2011, p. 7.
  154. Joseph 2010, p. 169.
  155. Li 2009, p. 64.
  156. Fu 1993, p. 201.
  157. 157.0 157.1 157.2 Mackerras, McMillen & Watson 2001, p. 74.
  158. Sullivan 2012, p. 212.
  159. McGregor, Richard (30 September 2009). "The party organiser". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 March 2022. สืบค้นเมื่อ 9 December 2013.
  160. McGregor 2012, p. 17.
  161. Guo 2012, p. 123.
  162. 162.0 162.1 Smith & West 2012, p. 127.
  163. Wang, Kelly (17 March 2023). "China's Institutional Shake-Up Produces New Department to Better Handle Public's Complaints". Caixin. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2023. สืบค้นเมื่อ 18 March 2023.
  164. Guo 2012b, pp. 99, 237.
  165. Finer 2003, p. 43.
  166. 166.0 166.1 Sullivan 2012, p. 49.
  167. Chambers 2002, p. 37.
  168. Yu 2010, p. viii.
  169. Latham 2007, p. 124.
  170. "Communist Party mouthpiece People's Daily launches English news app in soft power push". Hong Kong Free Press. 16 October 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 March 2022. สืบค้นเมื่อ 16 October 2017.
  171. "Ownership and control of Chinese media". Safeguard Defenders (ภาษาอังกฤษ). 14 June 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 July 2021. สืบค้นเมื่อ 10 December 2022.
  172. Heath 2014, p. 141.
  173. "Annual Report to Congress – Military and Security Developments Involving the People's Republic of China 2019" (PDF). United States Department of Defense. p. 5. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 9 May 2019. สืบค้นเมื่อ 27 October 2019.
  174. Guo, Baogang (1 November 2020). "A Partocracy with Chinese Characteristics: Governance System Reform under Xi Jinping". Journal of Contemporary China (ภาษาอังกฤษ). 29 (126): 809–823. doi:10.1080/10670564.2020.1744374. ISSN 1067-0564. S2CID 216205948.
  175. 175.0 175.1 Doshi, Rush (30 September 2021). The Long Game: China's Grand Strategy to Displace American Order (ภาษาอังกฤษ) (1 ed.). Oxford University Press. p. 35. doi:10.1093/oso/9780197527917.001.0001. ISBN 978-0-19-752791-7. OCLC 1256820870.
  176. Pieke, Frank N. (2009). The Good Communist: Elite Training and State Building in Today's China. Cambridge: Cambridge University Press. doi:10.1017/cbo9780511691737. ISBN 978-0-511-69173-7.
  177. "China's Communist Party worries about its grassroots weakness". The Economist. 11 June 2020. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 June 2020. สืบค้นเมื่อ 14 June 2020.
  178. 178.0 178.1 178.2 Gao, Nan; Long, Cheryl Xiaoning; Xu, Lixin Colin (February 2016). "Collective Leadership, Career Concern, and the Housing Market in China: The Role of Standing Committees: Leadership, Careers and Housing Market". Review of Development Economics (ภาษาอังกฤษ). 20 (1): 1–13. doi:10.1111/rode.12202. S2CID 150576471.
  179. Jin, Keyu (2023). The New China Playbook: Beyond Socialism and Capitalism. New York: Viking. ISBN 978-1-9848-7828-1.
  180. Yan, Xiaojun; Huang, Jie (2017). "Navigating Unknown Waters: The Chinese Communist Party's New Presence in the Private Sector". China Review. 17 (2): 37–63. ISSN 1680-2012. JSTOR 44440170.
  181. 181.0 181.1 "China's Communist Party is tightening its grip in businesses". The Economist. 6 July 2023. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2023. สืบค้นเมื่อ 9 July 2023.
  182. Marquis & Qiao 2022, p. 227.
  183. Marquis & Qiao 2022, p. 225.
  184. Marquis & Qiao 2022, p. 14.
  185. Marquis & Qiao 2022, p. 225–226.
  186. Marquis & Qiao 2022, p. 230.
  187. Marquis & Qiao 2022, p. 15.
  188. 188.0 188.1 Marquis & Qiao 2022, p. 228–229.
  189. Marquis & Qiao 2022, p. 229.
  190. 190.0 190.1 190.2 190.3 190.4 190.5 190.6 190.7 Sullivan 2012, p. 183.
  191. 191.0 191.1 Zhang, Phoebe (1 July 2024). "China's Communist Party on track for 100 million members by year's end". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 July 2024. สืบค้นเมื่อ 1 July 2024.
  192. Balachandran, Manu; Dutta, Saptarishi (31 March 2015). "Here's How the BJP Surpassed China's Communists to Become the Largest Political Party in the World". Quartz. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 March 2022. สืบค้นเมื่อ 28 October 2018.
  193. Marquis & Qiao 2022, p. 53–56.
  194. 194.0 194.1 194.2 Marquis & Qiao 2022, p. 53.
  195. 195.0 195.1 McMorrow, R. W. (19 December 2015). "Membership in the Communist Party of China: Who is Being Admitted and How?". JSTOR Daily (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 December 2015.
  196. Marquis & Qiao 2022, p. 55.
  197. Yu, Sun (July 3, 2024). "China demands loyalty from young expats in the US". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-07-03.
  198. "China's Communist Party membership tops entire population of Germany". South China Morning Post. SCMP Group. 30 June 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2015. สืบค้นเมื่อ 30 June 2015.
  199. Angiolillo, Fabio (22 December 2023). "Authoritarian Ruling Parties' Recruitment Dilemma: Evidence from China". Journal of East Asian Studies (ภาษาอังกฤษ): 1–25. doi:10.1017/jea.2023.20. ISSN 1598-2408.
  200. Marquis & Qiao 2022, p. 13.
  201. Bauer, John; Feng, Wang; Riley, Nancy E.; Xiaohua, Zhao (July 1992). "Gender inequality in urban China". Modern China. 18 (3): 333–370. doi:10.1177/009770049201800304. S2CID 144214400.
  202. Tatlow, Didi Kirsten (24 June 2010). "Women Struggle for a Foothold in Chinese Politics". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 January 2022. สืบค้นเมื่อ 6 October 2021.
  203. Judd, Ellen R. (2002). The Chinese Women's Movement. Private Collection: Stanford University Press. p. 175. ISBN 0-8047-4406-8.
  204. Phillips, Tom (14 October 2017). "In China women 'hold up half the sky' but can't touch the political glass ceiling". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 December 2018. สืบค้นเมื่อ 17 February 2021.
  205. 205.0 205.1 "Does it pay to be a communist in China?". The Economist. 6 July 2023. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 8 July 2023.
  206. Targa, Matteo; Yang, Li (September 2024). "The impact of Communist Party membership on wealth distribution and accumulation in urban China". World Development (ภาษาอังกฤษ). 181: 106660. doi:10.1016/j.worlddev.2024.106660. hdl:10419/283577.
  207. Tsai, Wen-Hsuan (June 2016). "Delicacies for a Privileged Class in a Risk Society: The Chinese Communist Party's Special Supplies Food System". Issues & Studies (ภาษาอังกฤษ). 52 (2): 1650005. doi:10.1142/S1013251116500053. ISSN 1013-2511.
  208. Tsai, Wen-Hsuan (2018-11-02). "Medical Politics and the CCP's Healthcare System for State Leaders". Journal of Contemporary China (ภาษาอังกฤษ). 27 (114): 942–955. doi:10.1080/10670564.2018.1488107. ISSN 1067-0564.
  209. 209.0 209.1 209.2 Sullivan 2007, p. 582.
  210. Sullivan 2007, p. 583.
  211. "Constitution of the Communist Party of China". People's Daily. Chinese Communist Party. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 May 2013. สืบค้นเมื่อ 2 January 2014.
  212. Tsimonis, Konstantinos (2021). The Chinese Communist Youth League: Juniority and Responsiveness in a Party Youth Organization. Amsterdam University Press. ISBN 978-90-485-4264-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 January 2022. สืบค้นเมื่อ 15 August 2023.
  213. 213.0 213.1 213.2 "Flag and emblem of Communist Party of China". People's Daily. 29 March 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 March 2015. สืบค้นเมื่อ 15 January 2014.
  214. Hackenesch, Christine; Bader, Julia (9 June 2020). "The Struggle for Minds and Influence: The Chinese Communist Party's Global Outreach". International Studies Quarterly (ภาษาอังกฤษ). 64 (3): 723–733. doi:10.1093/isq/sqaa028. hdl:11245.1/7324dee8-d4d7-4163-86c5-f0e467a5b65a. ISSN 0020-8833.
  215. "15 IMCWP, List of participants". International Meeting of Communist and Workers' Parties. Solidnet.org. 11 November 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 December 2013. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  216. "Senior CPC official meets Portuguese Communist Party leader". People's Daily. 21 February 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 February 2016. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  217. "Senior CPC official vows to develop friendly cooperation with French Communist Party". People's Daily. 8 November 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2012. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  218. "Senior CPC official meets Russian delegation". People's Daily. 24 August 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 January 2014. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  219. "CPC to institutionalize talks with European parties". People's Daily. 19 May 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 November 2011. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  220. "Senior CPC leader meets chairman of Communist Party of Brazil". People's Daily. 5 June 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 January 2014. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  221. Vagenas, Elisseos (2010). "The International role of China". Communist Party of Greece. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 April 2016. สืบค้นเมื่อ 17 January 2022.
  222. "A Leadership Delegation of The Communist Party of Nepal (unified Marxist−Leninist)". China Executive Leadership Academy, Jinggangshan. 27 June 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 October 2018. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  223. "CPC leader pledges exchanges with Communist Party of Spain". People's Daily. 6 April 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 January 2014. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  224. "12th CPA Congress". Central Committee of the Communist Party of Australia. 12 September 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2015. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  225. "More foreign party leaders congratulate CPC on National Congress". Xinhua News Agency. 16 November 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 January 2014. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  226. "中共与日共:曾经的"兄弟"为何一度关系不睦" (ภาษาChinese (China)). The Paper. 19 April 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2022. สืบค้นเมื่อ 27 September 2021.
  227. Shambaugh 2008, p. 100.
  228. Shambaugh 2008, p. 81.
  229. 229.0 229.1 229.2 229.3 Shambaugh 2008, p. 82.
  230. 230.0 230.1 230.2 230.3 230.4 Shambaugh 2008, p. 84.
  231. Shambaugh 2008, pp. 82–83.
  232. 232.0 232.1 232.2 232.3 Shambaugh 2008, p. 83.
  233. 233.0 233.1 Shambaugh 2008, p. 85.
  234. Shambaugh 2008, pp. 85–86.
  235. Shambaugh 2008, pp. 86–92.
  236. 236.0 236.1 236.2 Shambaugh 2008, p. 93.
  237. Shambaugh 2008, p. 94.
  238. Shambaugh 2008, pp. 95–96.
  239. 239.0 239.1 239.2 Shambaugh 2008, p. 96.
  240. 240.0 240.1 240.2 240.3 240.4 240.5 Shambaugh 2008, p. 97.
  241. 241.0 241.1 241.2 241.3 241.4 241.5 241.6 241.7 Shambaugh 2008, p. 98.
  242. "Chinese Communist Party to train chavista leaders". El Universal. 13 May 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 January 2014. สืบค้นเมื่อ 4 January 2014.
  243. 243.0 243.1 243.2 Shambaugh 2008, p. 99.
  244. Shambaugh 2008, pp. 99–100.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "หมายเหตุ" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="หมายเหตุ"/> ที่สอดคล้องกัน