หลี่ เค่อเฉียง

อดีตนายกรัฐมนตรีจีน

หลี่ เค่อเฉียง (จีน: 李克强; พินอิน: Lǐ Kèqiáng; 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1955 – 27 ตุลาคม ค.ศ. 2023) เป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมืองชาวจีนผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของจีนตั้งแต่ ค.ศ. 2013 ถึง 2023 เขายังเป็นสมาชิกอันดับสองของคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ตั้งแต่ ค.ศ. 2012 ถึง 2022 หลี่เป็นส่วนสำคัญของ "ผู้นำจีนรุ่นที่ห้า" ร่วมกับสี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานาธิบดี

หลี่ เค่อเฉียง
李克强
หลี่ใน ค.ศ. 2023
นายกรัฐมนตรีจีน คนที่ 7
ดำรงตำแหน่ง
15 มีนาคม ค.ศ. 2013 – 11 มีนาคม ค.ศ. 2023
(9 ปี 116 วัน)
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
รองหัวหน้ารัฐบาล
ก่อนหน้าเวิน เจียเป่า
ถัดไปหลี่ เฉียง
รองนายกรัฐมนตรีจีน
ดำรงตำแหน่ง
17 มีนาคม ค.ศ. 2008 – 16 มีนาคม ค.ศ. 2013
(4 ปี 354 วัน)
หัวหน้ารัฐบาลเวิน เจียเป่า
เลขาธิการพรรคประจำมณฑลเหลียวหนิง
ดำรงตำแหน่ง
13 ธันวาคม ค.ศ. 2004 – 29 ตุลาคม ค.ศ. 2007
(2 ปี 320 วัน)
ผู้ว่าการจาง เหวินเยว่
ก่อนหน้าเหวิน ชื่อเจิน
ถัดไปจาง เหวินเยฺว่
เลขาธิการพรรคประจำมณฑลเหอหนาน
ดำรงตำแหน่ง
30 ธันวาคม ค.ศ. 2002 – 13 ธันวาคม ค.ศ. 2004
(1 ปี 349 วัน)
ผู้ว่าการหลี่ เฉิงยฺวี่
ก่อนหน้าเฉิน ขุยยฺเหวียน
ถัดไปสฺวี กวางชุน
เลขาธิการสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน คนที่หนึ่ง
ดำรงตำแหน่ง
10 มีนาคม ค.ศ. 1993 – 23 มิถุนายน ค.ศ. 1998
(5 ปี 105 วัน)
ก่อนหน้าซ่ง เต๋อฝู
ถัดไปโจว เฉียง
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด3 กรกฎาคม ค.ศ. 1955(1955-07-03)[1]
เหอเฝย์ มณฑลอานฮุย ประเทศจีน
เสียชีวิต27 ตุลาคม ค.ศ. 2023(2023-10-27) (68 ปี)
ผู่ตง เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
พรรคการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน (ตั้งแต่ 1974)
คู่สมรสเฉิง หง (สมรส 1983)[2]
บุตร1
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง (น.บ., ศ.ม., ปร.ด.)
รัฐบาลรัฐบาลหลี่ เค่อเฉียง
ลายมือชื่อ
อาชีพทางวิทยาศาสตร์
สาขาเศรษฐศาสตร์ 
วิทยานิพนธ์ว่าด้วยโครงสร้างไตรภาคของเศรษฐกิจจีน (1991)
อาจารย์ที่ปรึกษาในระดับปริญญาเอกลี่ อี่หนิง (厉以宁)
การเป็นสมาชิกสถาบันกลาง
  • 2007–2022: กรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองชุดที่ 17, 18, 19
  • 2007–2022: กรมการเมืองชุดที่ 17, 18, 19
  • 1997–2022: สมาชิกเต็มตัว, คณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 15, 16, 17, 18, 19
  • 1993–1998: ผู้แทน, สภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 8

ตำแหน่งในคณะผู้นำ

ตำแหน่งอื่น ๆ ที่ดำรง
ชื่อภาษาจีน
อักษรจีนตัวย่อ李克强
อักษรจีนตัวเต็ม李克強

หลี่เกิดในเหอเฝย์ มณฑลอานฮุย ใน ค.ศ. 1955 เขาเริ่มต้นเส้นทางในแวดวงการเมืองจีนด้วยการไต่เต้าจากบทบาทที่เกี่ยวข้องกับสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน โดยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคนที่หนึ่งขององค์กรนั้นตั้งแต่ ค.ศ. 1993 ถึง 1998 ตั้งแต่ ค.ศ. 1998 ถึง 2004 หลี่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเหอหนาน และเลขาธิการพรรคประจำมณฑลนั้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2004 ถึง 2007 เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำมณฑลเหลียวหนิง ตำแหน่งทางการเมืองสูงสุดในมณฑลนั้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2008 ถึง 2013 หลี่ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่ง[หมายเหตุ 1] ภายใต้เวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยดูแลรับผิดชอบงานที่หลากหลายซึ่งรวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ การควบคุมราคา การเงิน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการบริหารเศรษฐกิจมหภาค

ในตอนแรกหลี่ถูกมองว่าเป็นผู้สมัครที่จะขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด แต่เขากลับเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนใน ค.ศ. 2013 ระหว่างดำรงตำแหน่ง หลี่อำนวยความสะดวกในการปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญของรัฐบาลจีนจากการเติบโตที่นำโดยการส่งออกไปสู่การมุ่งเน้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น และลดภาษีลง เขายังเป็นบุคคลสำคัญในการเปิดเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้ซึ่งเปิดทำการใน ค.ศ. 2013 นอกจากนี้ หลี่และคณะรัฐมนตรีของเขาได้ริเริ่มแผนยุทธศาสตร์เมดอินไชนา 2025 ใน ค.ศ. 2015 หลี่ยังเป็นผู้ดูแลการรับมือการระบาดทั่วของโควิด-19 ของจีนด้วย

จากประสบการณ์ในสันนิบาตเยาวชน หลี่ได้รับการพิจารณาโดยทั่วไปว่าเป็นพันธมิตรทางการเมืองของอดีตผู้นำหู จิ่นเทาและเป็นสมาชิกของกลุ่มถวนไพ่ ในด้านเศรษฐกิจ หลี่ถูกมองว่าสนับสนุนการปฏิรูปและการเปิดเสรีและได้รับการอธิบายว่าเป็นตัวแทนของผู้นำจีนที่เน้นการปฏิบัติและเชี่ยวชาญด้านเทคนิค หลี่ก้าวลงจากคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองในเดือนตุลาคม ค.ศ.2022 และหลี่ เฉียงได้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากเขาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 หลี่ถึงแก่อสัญกรรมในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2023 ด้วยอาการหัวใจวาย หลังเพิ่งพ้นจากตำแหน่งได้เพียงไม่กี่เดือน

ชีวิตช่วงต้น

แก้

หลี่ เค่อเฉียงเกิดเมื่อ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1955 ในอำเภอติ้งยฺเหวี่ยน เหอเฝย์ มณฑลอานฮุย[3][1] บิดาของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในอานฮุย หลี่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเหอเฝย์ที่ 8 ใน ค.ศ. 1974 ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม และถูกส่งไปใช้แรงงานในชนบทที่ไร่นาเกษตรในอำเภอเฟิ่งหยาง มณฑลอานฮุย ที่นั่น เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ใน ค.ศ. 1976 และกลายเป็นหัวหน้าพรรคของฝ่ายการผลิตในท้องถิ่น[3] ในช่วงเวลานี้เขาได้รับเกียรติเป็น บุคคลดีเด่นด้านการศึกษาความคิดของเหมา เจ๋อตง[4]

หลี่ปฏิเสธข้อเสนอของบิดาที่จะเตรียมเขาให้เป็นผู้นำพรรคระดับมณฑลและเข้าเรียนที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่งใน ค.ศ. 1978 ซึ่งเขาได้เป็นประธานสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัย[5] เขาเรียนกับศาสตราจารย์กง เซียงรุ่ย ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบการเมืองตะวันตกที่ได้รับการศึกษาจากอังกฤษซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี[3] เขาร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นแปลงานด้านกฎหมายที่สำคัญจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาจีน รวมถึง The Due Process of Law ของลอร์ดเดนนิง[3] เขาได้รับปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ใน ค.ศ. 1982[5]

ใน ค.ศ. 1982 หลี่ ได้เป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีนประจำมหาวิทยาลัยปักกิ่ง[6] เขาปฏิเสธโอกาสไปศึกษาต่อในสหรัฐเพื่อจะอยู่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการต่อไป[7] เขาเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของสันนิบาตฯ ระดับประเทศใน ค.ศ. 1983 ในฐานะสมาชิกสำรองของสำนักเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางสันนิบาตฯ[3] และทำงานอย่างใกล้ชิดกับหู จิ่นเทา เลขาธิการใหญ่พรรคในอนาคต ซึ่งก็เติบโตในสายงานของสันนิบาตฯ เช่นกัน เขาได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการสำนักเลขาธิกาสันนิบาตฯ ใน ค.ศ. 1985[3]

ใน ค.ศ. 1988 เขากลับมามหาวิทยาลัยปักกิ่งเพื่อศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษา เขาศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ภายใต้การดูแลของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ลี่ อี่หนิง ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญาเอกของเขา[8] เขาได้รับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์และปริญญาเอกสาขาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งใน ค.ศ. 1995[9] ตามคำเชิญของลี่ อี่หนิง คณะกรรมาธิการสอบวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของหลี่ประกอบด้วยนักเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยชาวจีนที่มีชื่อเสียง เนื่องจากความเข้มงวดทางวิชาการของคณะกรรมาธิการ ทำให้หลี่เลื่อนการนำเสนอวิทยานิพนธ์ออกไปครึ่งปี[10] วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของหลี่เรื่อง "ว่าด้วยโครงสร้างไตรภาคของเศรษฐกิจจีน" (On the ternary structure of Chinese economy) ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1991 และอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญาเอกของเขาบรรยายว่าสามารถ "ทนทานต่อการตรวจสอบทุกรูปแบบ" ได้รับรางวัลซุน เหย่ฟาง รางวัลสูงสุดด้านเศรษฐศาสตร์ของจีนใน ค.ศ. 1996[11][12][13]

หลี่ได้เป็นเลขาธิการคนที่หนึ่งของสันนิบาตฯ ใน ค.ศ. 1993 และดำรงตำแหน่งนั้นจนถึง ค.ศ. 1998[3] ใน ค.ศ. 1993 หลี่เสนอปฏิบัติการอาสาสมัครเยาวชนของสันนิบาตฯ ซึ่งเป็นการสรรหาและส่งอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการด้านการศึกษา สังคม และสิ่งแวดล้อม[14]: 130  สิ่งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งเลขาธิการคนที่หนึ่งของสันนิบาตฯ [14]: 130  หลี่เป็นตัวแทนของคนรุ่นแรกที่ก้าวขึ้นมาจากตำแหน่งผู้นำของสันนิบาตฯ[ต้องการอ้างอิง] ใน ค.ศ. 1997 เขากลายเป็นสมาชิกเต็มตัวของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน[3]

ระดับมณฑล

แก้

เหอหนาน (ค.ศ. 1998–2004)

แก้

หลี่กลายเป็นผู้ว่าการมณฑลที่อายุน้อยที่สุดของจีนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1998 เมื่อเขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการเหอหนานขณะอายุ 43 ปี เขายังดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคประจำเหอหนานด้วย[3] ตามคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ประจำมณฑลที่ทำงานร่วมกับเขาในขณะนั้น หลี่ปฏิเสธการเข้าร่วมงานเลี้ยงหรูหราขนาดใหญ่หรืองานอีเวนต์แฟนซีที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของรัฐบาล[15] ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการนั้น มีความรู้สึกสาธารณะเกี่ยวกับ "โชคร้าย" ของเขาเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ถึงสามครั้งในมณฑล[16]

หลี่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นคนพูดจาโผงผางและเป็นผู้นำการพัฒนาเศรษฐกิจในเหอหนาน โดยเปลี่ยนภูมิภาคตอนในที่ยากจนให้กลายเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน[ต้องการอ้างอิง] เขาเดินทางไปทั่วทุกภูมิภาคของมณฑลเพื่อพยายามค้นหาวิธีแก้ปัญหาที่ครอบคลุมสำหรับปัญหาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[ต้องการอ้างอิง] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีมติแต่งตั้งหลี่ให้มาแทนที่เฉิน ขุนยฺเหวียนในตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคประจำมณฑลเหอหนาน[17] และลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการใน ค.ศ. 2003[3] เหอหนานกระโดดขึ้นจากการจัดอันดับ GDP ระดับชาติอันดับที่ 28 ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มาเป็นอันดับที่ 18 ใน ค.ศ. 2004 เมื่อหลี่ออกจากเหอหนาน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของเขานั้นค่อนข้างไม่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาดของเอชไอวี/เอดส์ที่กำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชนบทของมณฑล[18]

เหลียวหนิง (ค.ศ. 2004–2007)

แก้

หลี่ถูกย้ายไปทำงานในตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำเหลียวหนิงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2004[3] ที่นั่นเขาเป็นที่รู้จักจากโครงการ "ห้าจุดหนึ่งเส้นทาง" ซึ่งเขาเชื่อมโยงต้าเหลียน ตานตง และท่าเรืออื่น ๆ อีกหลายแห่งเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมเพื่อปรับปรุงการไหลเวียนของการค้า[19] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 หลี่ตั้งเป้าหมายจัดการกับสลัมในมณฑลให้แล้วเสร็จภายในสามปี ซึ่งเป็นโครงการที่เขาประสานงานกับรัฐบาลกลาง การรณรงค์ดังกล่าวส่งผลให้มีการรื้อถอนสลัมในมณฑลมากกว่า 12 ล้านตารางเมตรภายใน ค.ศ. 2007 และทำให้เขาได้รับการสนับสนุนจากประชาชน[20] ในช่วงที่เขานำเหลียวหนิง หลี่ออกแบบ "ดัชนีหลี่ เค่อเฉียง" ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการที่มุ่งเป้าไปที่การเลี่ยงตัวเลข GDP อย่างเป็นทางการของมณฑลที่มักไม่น่าเชื่อถือ และมักจะถูกทำให้สูงเกินจริงเพื่อใช้เป็นตัวบ่งชี้สุขภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แทนที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยรวมเพียงอย่างเดียว หลี่ใช้ปริมาณการขนส่งสินค้าทางราง การใช้ไฟฟ้า และยอดสินเชื่อรวมที่ธนาคารปล่อยกู้เพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจ[21]

รองนายกรัฐมนตรี

แก้
 
มกราคม ค.ศ. 2011, หลี่เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของสภาธุรกิจจีน–อังกฤษและกล่าวสุนทรพจน์

หลี่เข้าร่วมคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนหลังการประชุมสภาพรรคครั้งที่ 17 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 ในฐานะสมาชิกอันดับ 7 เขาถูกแทนที่ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคเหลียวหนิงโดยผู้ว่าการจาง เหวินเยฺว่ จากประสบการณ์ในสันนิบาตเยาวชนและการเชื่อมโยงกับผู้นำสูงสุดในขณะนั้นอย่างหู จิ่นเทา หลี่ถูกมองตั้งแต่ช่วงแรกในสมัยของหูว่าจะเป็นผู้ท้าชิงเพื่อสืบทอดตำแหน่งต่อจากหูเมื่อวาระการเป็นผู้นำพรรคของเขาสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 2012[22] แม้อนาคตทางการเมืองของหลี่จะดูสดใส แต่เขากลับมีอันดับต่ำกว่าสี จิ้นผิงในคณะกรรมาธิการสามัญ ซึ่งเพิ่งลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคเซี่ยงไฮ้เพื่อเข้าร่วมตำแหน่งผู้นำส่วนกลางในปักกิ่ง ลำดับตำแหน่งนี้บ่งชี้ว่าจะเป็นสี ไม่ใช่หลี่ ที่จะสืบทอดตำแหน่งเลขาธิการพรรคและประธานาธิบดีต่อจากหูในที่สุด ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 หลี่พบกับประธานคณะกรรมการยุโรป โฮเซ มานูเอล บาร์โรโซ เป็นการพบปะครั้งแรกของเขากับคณะผู้แทนต่างประเทศในฐานะตำแหน่งใหม่[23]

ในการประชุมสมัยที่ 1 ของสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 11 หลี่ได้รับเลือกเป็นรองนายกรัฐมนมนตรีอันดับหนึ่ง เป็นการตอกย้ำกระแสคาดการณ์ว่าหลี่จะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และกำลังถูกเตรียมตัวให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า[16] ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี หลี่ดูแลงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ งบประมาณของรัฐ ที่ดินและทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และสาธารณสุข[24] เขายังเป็นหัวหน้าคณะกรรมการส่วนกลางที่ดูแลโครงการเขื่อนสามผาและโครงการผันน้ำจากใต้สู่เหนือ ตลอดจนเป็นผู้นำคณะกรรมาธิการกำกับดูแลการปฏิรูปบริการสุขภาพ ความปลอดภัยด้านอาหาร และงานที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์[25] ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ยังเป็นมือขวาของนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่าในภารกิจที่กว้างขวางเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงาน เทคโนโลยีสารสนเทศ การฟื้นฟูภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนและการพัฒนาภูมิภาคตะวันตกไกลของจีน[ต้องการอ้างอิง] เขายังได้รับมอบหมายให้ดูแลการปรับโครงสร้างรัฐบาลด้วย[26]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 หลี่กล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกในฐานะรองนายกรัฐมนตรี โดยเขากล่าวว่าจีนจะ "ควบคุมเศรษฐกิจมหภาคให้อยู่ในระดับเหมาะสม"[27] ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี หลี่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจใน ค.ศ. 2008 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเสฉวนและภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่[28] หลี่ปรากฏตัวในงานประชุมสภาเศรษฐกิจโลก 2010 ในดาโฟส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเขานำเสนอวิสัยทัศน์ระยะยาวของจีนสำหรับการพัฒนาต่อหน้าผู้นำธุรกิจและผู้นำทางการเมืองทั่วโลก[29] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลี่บรรยายสรุปให้ WEF ทราบถึงความมุ่งมั่นของจีนในการพัฒนาอย่างยั่งยืน พลังงานสีเขียว การลดช่องว่างรายได้ และการปรับปรุงอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์สำคัญให้ทันสมัย[29] ขณะที่ย้ำถึงความมุ่งมั่นของจีนในการพัฒนาอย่างสันติและการมุ่งเน้นการเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ แม้จะมีแรงกดดันภายนอกจากวิกฤตการณ์ทางการเงิน ค.ศ. 2008 หลี่ยังเตือนถึงลัทธิคุ้มครอง โดยกล่าวว่า "การเปิดกว้างสามารถเป็นได้ทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคี...ในแง่นี้ หนึ่งบวกหนึ่งมักจะมากกว่าสอง"[30]

 
หลี่กับมุขมนตรีสกอตแลนด์ อเล็กซ์ แซลมอนด์, ธันวาคม ค.ศ. 2011

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 หลี่กล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้นำระดับรัฐมนตรีและระดับมณฑลเกี่ยวกับความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น สุนทรพจน์ดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์โดยมีการตัดทอนเล็กน้อยในวารสาร ฉิวชื่อ ฉบับวันที่ 1 มิถุนายน สิ่งพิมพ์ทฤษฎีการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ หลี่กล่าวว่าจีนได้มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศสามารถดำเนินเส้นทางการเติบโตต่อไปได้ หลี่เน้นย้ำเป็นพิเศษถึงความจำเป็นในการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และเน้นความสำคัญของการทำให้เป็นเมืองอย่างต่อเนื่อง[31] หลี่ยังเน้นย้ำว่าจีนควรจะก้าวไปสู่สังคมที่เน้นชนชั้นกลางมากขึ้นโดยมีการกระจายความมั่งคั่งเป็นรูปทรง "มะกอก" ซึ่งประชากรส่วนใหญ่และความมั่งคั่งของประเทศอยู่ในชนชั้นกลาง[32] เขายังย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรม การทำให้เป็นเมือง และการปรับปรุงเกษตรกรรมให้ทันสมัยในจีนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางพลังงาน ที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง และบริการสุขภาพ[33]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 หลี่เดินทางเยือนฮ่องกงอย่างเป็นทางการ รวมถึงการเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยฮ่องกง ความอ่อนไหวทางการเมืองและการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเป็นพิเศษแวดล้อมเหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดอุบัติการณ์ฮ่องกง 818 เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่[34][35] ในปลาย ค.ศ. 2011 ในการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หลี่ เรียกร้องให้จีนมี "ท้องฟ้าสีคราม น้ำใส และดินที่ไม่ปนเปื้อน"[36] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 ขณะเยือนเหอเป่ย์ หลี่กล่าวว่านโยบายที่รัฐบาลนำมาใช้เพื่อควบคุมราคาที่อยู่อาศัยจะยังคงอยู่และเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นสร้างบ้านราคาไม่แพงสำหรับผู้มีรายได้น้อย[37] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2012 ในพิธีเปิดการประชุมสภาปั๋วอ๋าวแห่งเอเชีย หลี่แสดงความมั่นใจต่อเศรษฐกิจของจีน และกล่าวว่าจีนจะยังคงรักษาเสถียรภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในขณะที่ควบคุมเงินเฟ้อ[38] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 หลี่กล่าวว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนภาษีธุรกิจด้วยภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับบริษัทมากขึ้น รวมถึงบริษัทในด้านไปรษณีย์ โทรคมนาคม ทางรถไฟและการก่อสร้าง โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการครอบคลุมทั่วประเทศจีน[39] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 หลังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งปฏิเสธผู้ป่วยมะเร็งปอดหลังพบว่าเขาติดเชื้อเอชไอวี หลี่เรียกร้องให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข "รับรองสิทธิ" ของผู้ป่วยเอชไอวีในการ "รักษาพยาบาลโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติใด ๆ"[40]

นายกรัฐมนตรี

แก้

หลี่กลายเป็นสมาชิกอันดับสองของคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองหลังการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 ซึ่งจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ขณะที่เขาถูกคาดหวังให้เป็นนายกรัฐมนตรี นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากธรรมเนียมปฏิบัติก่อนหน้านี้เกี่ยวกับคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองที่กำหนดไว้ใน ค.ศ. 1997 ซึ่งนายกรัฐมนตรีอยู่ในอันดับสาม รองจากประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ ซึ่งอยู่ในอันดับสอง หลี่เน้นย้ำว่าจีนต้องดำเนินการ "สี่ทันสมัย" หมายถึงการทำให้เป็นอุตสาหกรรม การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การทำให้เป็นเมือง และการทำให้การเกษตรทันสมัย[41] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ไม่นานหลังการประชุมสภาพรรค หลี่กล่าวในการสัมมนาที่จัดโดยคณะมนตรีรัฐกิจ ซึ่งเขาเน้นย้ำถึงการปฏิรูปเพื่อบรรลุสังคมมั่งคั่งพอประมาณภายใน ค.ศ. 2020[42]

ต่อมาหลี่พบปะกับนักกิจกรรมด้านเอชไอวี/เอดส์จาก 12 องค์การนอกภาครัฐที่กระทรวงสาธารณสุข[43] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 หลี่เดินทางเยือนเจียงซี ถือเป็นการตรวจเยี่ยมครั้งแรกของเขานับตั้งแต่ขึ้นเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองอันดับสอง[44] วันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 2013 หลี่ได้รับเลือกจากที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 12 สมัยที่ 1 ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากเวิน เจียเป่า[45] จากสมาชิกสภานิติบัญญัติเกือบ 3,000 คนที่เข้าร่วมการประชุม มีผู้ลงคะแนนให้เขา 2,940 เสียง คัดค้าน 3 เสียง และงดออกเสียง 6 เสียง[45] ในการประชุมครั้งเดียวกันนั้น เลขาธิการใหญ่พรรค สี จิ้นผิง ก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี[46] ในการแถลงข่าวครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรี หลี่เน้นย้ำถึงการปฏิรูปตลาด[47]

 
หลี่กับนายกรัฐมนตรีนเรนทระ โมทีของอินเดียและประธานาธิบดีโรดรีโก ดูแตร์เตของฟิลิปปินส์
 
กรกฎาคม ค.ศ. 2015, หลี่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดทางเศรษฐกิจฝรั่งเศส–จีนและกล่าวสุนทรพจน์

วันที่ 16 มีนาคม สภาประชาชนแห่งชาติแต่งตั้งจาง เกาลี่, หลิว เหยียนตง, วัง หยาง และหมา ไข่ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีภายหลังได้รับการเสนอชื่อจากหลี่[48] เขากล่าวสุนทรพจน์สำคัญครั้งแรกในวันที่ 17 มีนาคม ในการปิดประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลประหยัด มุ่งเน้นการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หลี่ให้ความสนใจกับการที่จีนจะเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคแทนการพึ่งพาการเติบโตที่นำโดยการส่งออก[49] หลี่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น[[รายพระนามและชื่อบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกของฟอบส์|บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอันดับที่ 14 ในรายชื่อของ ฟอบส์]] ประจำปี 2013 หลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจีน[50] วันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2018 หลี่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหลังได้รับคะแนนเสียงสนับสนุน 2,964 เสียงและมีผู้คัดค้านเพียงสองเสียงจากสภาประชาชนแห่งชาติ[51] มีการคาดการณ์ว่าหลี่อาจถูกลดบทบาทลงจากการรวบรวมอำนาจของสี จิ้นผิง[52] โดยบางคนเรียกเขาว่าเป็น "นายกรัฐมนตรีที่อ่อนแอที่สุด" นับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นสู่อำนาจใน ค.ศ. 1949[53]

 
มีนาคม ค.ศ. 2015, หลี่เข้าร่วมการแถลงข่าวของจีนและต่างประเทศ

นโยบายภายในประเทศ

แก้

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 หลี่จัดการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรี โดยเขากระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามคำสั่งของรัฐบาล[54] เขายังประกาศการจำกัดการใช้จ่ายนอกงบประมาณเพื่อต่อต้านการทุจริต[55] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2013 หลี่กล่าวว่าจีนจะยังคงเพิ่มการลงทุนในอัตราที่ "สมเหตุสมผล"[56] ในเดือนเดียวกันนั้น หลี่ไปเยือนเสฉวนหลังเกิดแผ่นดินไหวที่หลูชาน โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างรวดเร็ว[57] ต่อมาเขายังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ลดอัตราการเสียชีวิตจากไข้หวัดนก H7N9[58] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013 หลี่จัดการประชุมครั้งแรกของ "สภาที่ปรึกษาซีอีโอระดับโลก" ซึ่งประกอบด้วยผู้นำธุรกิจ 14 คน[59] ในเดือนเดียวกันนั้น หลี่ส่งสัญญาณว่าระบบการเงินของจีนควรกำจัดการขยายสินเชื่อ[60]

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2013 หลี่ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าของคณะผู้นำด้านการพัฒนาภูมิภาคตะวันตกของคณะมนตรีรัฐกิจ คณะผู้นำด้านการฟื้นฟูฐานอุตสาหกรรมเก่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนของคณะมนตรีรัฐกิจ และคณะผู้นำด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการอนุรักษ์พลังงานแห่งชาติ[61] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 หลี่สั่งการให้สำนักงานการตรวจเงินแห่งชาติตรวจสอบหนี้สินที่ถือครองโดยรัฐบาลท้องถิ่น[62] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2013 หลี่เข้าร่วมการประชุมสภาเศรษฐกิจโลกในต้าเหลียน ซึ่งเขากล่าวว่าจีนจะดำเนินการปฏิรูปทางการเงิน รวมถึงการเปิดเสรีอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน การส่งเสริมการแปลงสกุลเงินหยวนภายใต้บัญชีทุน และการผ่อนคลายอุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่และรายย่อยให้เข้าสู่อุตสาหกรรมการเงิน[63]

หลี่มีบทบาทสำคัญในการเปิดเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเปิดทำการในเดือนกันยายน ค.ศ. 2013 และต้องต่อสู้กับการคัดค้านจากคณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารแห่งประเทศจีนและคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน[64][65] เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ รายงานในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2013 ว่าหลี่ชอบเก็บตัวเงียบเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อวาระการปฏิรูปของเขา[66] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 หลี่กล่าวว่าจีนต้องการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ร้อยละ 7.2 เพื่อรักษาเสถียรภาพการจ้างงาน[67]

ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่สามของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 18 ซึ่งจัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 2013 พรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมอันกว้างไกล อย่างไรก็ตาม เอกสารที่ระบุถึงการปฏิรูปนั้นถูกร่างขึ้นภายใต้การนำของสี, หลิว ยฺหวินชาน และจาง เกาลี่ โดยที่หลี่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเตรียมเอกสารนี้เลย การเบี่ยงเบนจากธรรมเนียมปฏิบัติ (ซึ่งในอดีตเวิน เจียเป่าเป็นผู้ร่างเอกสารหลักเบื้องหลังการปฏิรูปที่ประกาศในการประชุมเต็มคณะครั้งที่สามใน ค.ศ. 2003) นำไปสู่การคาดการณ์ว่าหลี่กำลังถูกลดบทบาทในคณะบริหารชุดใหม่ และแท้จริงแล้ว "คณะบริหารสี–หลี่" ที่กล่าวขวัญกันอย่างแพร่หลายนั้นไม่มีอยู่จริง เนื่องจากอำนาจกำลังถูกรวมศูนย์มากขึ้นภายใต้การควบคุมของสีในฐานะเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน[68]

 
สี จิ้นผิง (ซ้าย) และหลี่ เค่อเฉียง (ขวา)

หลังจากการประชุมเต็มคณะครั้งที่สามใน ค.ศ. 2013 สีรวบรวมบทบาทผู้นำในหน่วยงานที่ทรงอำนาจเหนือกระทรวงสี่แห่งที่จัดตั้งขึ้นใหม่ซึ่งกำกับดูแล "การปฏิรูปเชิงลึกอย่างรอบด้าน" อินเทอร์เน็ต การปฏิรูปกองทัพ และคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติด้วย คณะผู้นำด้าน "การปฏิรูปเชิงลึก" ถูกกล่าวหาว่ากำลังเข้ามามีบทบาทในกิจการด้านเศรษฐกิจที่โดยปกติแล้วนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดูแล และถูกมองว่ามีผลในการลดอำนาจในสถาบันของหลี่ อย่างไรก็ตาม หลี่ปรากฏตัวในข่าวประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในฐานะผู้ช่วยอันดับหนึ่งของสี โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติ[69] นอกเหนือจากการเป็นรองหัวหน้าคณะผู้นำด้าน "การปฏิรูปเชิงลึก" ความมั่นคงทางอินเทอร์เน็ต และเศรษฐกิจและการเงิน[70] หลังมีการประกาศการปฏิรูปอย่างรอบด้านในการประชุมเต็มคณะครั้งที่สามใน ค.ศ. 2013 หลี่กลายเป็นบุคคลสำคัญในความพยายามของรัฐบาลในการดำเนินการปฏิรูป การประชุมเต็มคณะครั้งที่สามเรียกร้องให้กลไกตลาดมีบทบาท "ชี้ขาด" ในการจัดสรรทรัพยากร โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลดกฎระเบียบของรัฐบาลต่อตลาด[71]

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 เขาไปเยือนเทียนจิน ที่ซึ่งเขาเรียกร้องให้คนหนุ่มสาวมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ[72] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 ในรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลประจำปีที่นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสภาประชาชนแห่งชาติ หลี่กล่าวว่าการปฏิรูปการคลังและการเงินจะช่วยให้จีนลดการพึ่งพาการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรได้ในที่สุด[73] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2014 หลี่ไปเยือนฉงชิ่ง ถือเป็นการเยือนครั้งแรกของผู้นำรัฐสู่เมืองนี้นับตั้งแต่การประชุมสภาพรรคในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 และการล่มสลายของอดีตเลขาธิการพรรค ปั๋ว ซีไหล[74] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2014 หลี่กล่าวว่ารัฐบาลท้องถิ่นยังคงไม่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามคำสั่งปฏิรูปของรัฐบาลกลาง และรัฐบาลบางแห่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง และบางแห่งก็ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ควรทำ หลี่เน้นย้ำว่าความสำเร็จของการปฏิรูปขึ้นอยู่กับการ "ดำเนินการและการนำไปปฏิบัติ" และ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลท้องถิ่นที่ล้มเหลวในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการปฏิรูป[71] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 หลี่จัดการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจ ที่ซึ่งเขาให้คำมั่นว่าจะมีการลงทุนในโครงการสำคัญ[75]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 หลี่กล่าวต่อที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติในรายงานผลการดำเนินงานประจำปีว่าจีนจะดำเนินการ "ปฏิรูปที่เจ็บปวด"[76] เขายังจัดการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจในเวลาต่อมา โดยกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่อธิบายประเด็นทางสังคมต่อสาธารณชน[77] เขายังได้เสนอแผน "อินเทอร์เน็ตพลัส" และกระตุ้นให้บริษัทโทรคมนาคมลดราคาและเพิ่มความเร็วพร้อมทั้งประกาศการลงทุนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป้าหมายนี้[78] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2015 เขากล่าวกับเจ้าหน้าที่และผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ โดยเรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น[79] He then visited Jilin,[80] และต่อมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2015 ก็เดินทางเยือนธนาคารเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรมแห่งประเทศจีนและธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศจีน ซึ่งเขาเรียกร้องให้ธนาคารต่าง ๆ สนับสนุนเศรษฐกิจจริง[81] เขายังเยือนเขตการค้าเสรีฝูเจี้ยนในเดือนเดียวกัน โดยเรียกร้องให้มีการลดต้นทุนการกู้ยืม[82] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015 หลี่ริเริ่มแผนยุทธศาสตร์เมดอินไชนา 2025[83]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2016 หลี่เข้าร่วมการประชุมสภาปั๋วอ๋าวแห่งเอเชีย ซึ่งเขากล่าวว่าจีนจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีเสถียรภาพและเรียกร้องให้ประเทศในเอเชียปฏิเสธการกีดกันทางการค้า[84] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 หลี่บอกกับเจ้าหน้าที่ระดับมณฑลให้ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและเพิ่มการลงทุนภาคเอกชน[85] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2016 เขาเดินทางเยือนมาเก๊า ซึ่งเขายกย่องเมืองนี้ว่าเป็น "แดนบัวอันล้ำค่า สถานที่ที่สวยงามและพิเศษ"[86] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2017 หลี่กล่าวว่าจีนจะต้องปรับปรุงสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา[87] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2018 หลี่จัดการประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและผู้ประกอบการ ซึ่งเขาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปและนวัตกรรม[88] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2018 รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลของหลี่ระบุว่าจีนจะยังคงต่อสู้กับความเสี่ยงในภาคการเงิน[89] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018 หลี่เดินทางเยือนเขตปกครองตนเองทิเบต ถือเป็นการเดินทางครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีจีนในรอบหลายทศวรรษ[90] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2018 หลี่กล่าวในการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจว่าการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางไม่ควรถูก "เพิกถอนตามอำเภอใจ"[91]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 หลังธนาคารประชาชนจีนประกาศว่ายอดปล่อยสินเชื่อพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ หลี่เตือนถึง "ความเสี่ยงใหม่ที่อาจเกิดขึ้น"[92] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2019 หลี่ปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการบริโภคและภาษีนำเข้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ[93] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2019 หลี่เข้าร่วมและเป็นประธานการประชุมระดับชาติว่าด้วยการจ้างงาน ซึ่งเขาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ให้ความสำคัญกับการสร้างงานเป็นอันดับแรก[94] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2019 หลี่เข้าร่วมการสัมมนาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเขาอ้างถึงไอแซก นิวตันและเรียกร้องให้นักวิทยาศาสตร์จีนได้รับ "อิสระในการสำรวจมากขึ้นโดยปราศจากความกลัว"[95] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019 หลี่เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลม 1+6 กับผู้นำของสถาบันต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงผู้นำของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารโลกและองค์การการค้าโลก โดยเขากล่าวว่าจีนตกลงจะ "ไม่ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่"[96]

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 หลี่ประกาศระหว่างการประชุมฝ่ายบริหารของคณะมนตรีรัฐกิจว่าจีนจะสร้าง เขตนำร่องแบบบูรณาการใหม่ 46 แห่งสำหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน นอกเหนือจาก 59 แห่งที่มีอยู่แล้ว[97] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2020 ระหว่างรายงานผลการดำเนินงานประจำปีของรัฐบาล หลี่ประกาศแผนชะลอการชำระคืนเงินกู้และการจ่ายดอกเบี้ยและเพิ่มเงินกู้จากธนาคาร[98] ระหว่างการแถลงข่าวของการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ หลี่อ้างอิงสำนักสถิติแห่งชาติ (NBS) โดยกล่าวว่าจีนยังมีประชากร 600 ล้านคนที่มีรายได้น้อยกว่า 1,000 หยวน (140 ดอลลาร์) ต่อเดือน แม้บทความจาก ดิอีโคโนมิสต์ จะระบุว่า ระเบียบวิธีที่สำนักสถิติใช้มีข้อบกพร่อง โดยกล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวใช้รายได้รวม ซึ่งจากนั้นก็ถูกแบ่งเท่า ๆ กัน[99]

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ 2020 หลี่เยี่ยมชมพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยในเอียนไถ มณฑลชานตง ซึ่งเขากล่าวถึงเศรษฐกิจแผงลอยว่าเป็น "ไฟ" หรือหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจจีน[100] หลังจากนั้น ปักกิ่งเดลี ตีพิมพ์บทบรรณาธิการที่ระบุว่า "ผู้ค้าเร่และแผงลอยริมถนนจะสร้างแรงกดดันที่เห็นได้ชัดต่อการจัดการเมือง สิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และการจราจร"[101] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 ระหว่างการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจ หลี่เรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นจัดสรรการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางไปยังธุรกิจและครัวเรือน[102] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2020 หลี่เข้าร่วมการประชุมนวัตกรรมในเซี่ยงไฮ้ผ่านวิดีโอลิงก์ ซึ่งเขากล่าวว่าจีนจะเพิ่ม "การมีส่วนร่วมในเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก"[103] ในการประชุมวิดีโอร่วมกับเจ้าหน้าที่จากห้ามณฑลในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020 หลี่เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ "บอกความจริง" เกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ[104] เขาเขียนบทความใน พีเพิลส์เดลี ในเดือนเดียวกันนั้น โดยระบุว่าเศรษฐกิจจีนเผชิญกับ "แรงกดดันมหาศาล"[105]

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2021 หลี่จัดการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจ ซึ่งเขาสั่งให้กระทรวงต่าง ๆ เร่งนำมาตรการมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในเศรษฐกิจ[106] ในเดือน ค.ศ. มีนาคม 2021 เขาประกาศว่าจีนจะเพิ่มจำนวนสินเชื่อ "แบบครอบคลุม" ที่เสนอให้กับธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อย[107] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 ระหว่างการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจ หลี่กล่าวว่าเศรษฐกิจเผชิญกับ "ความไม่แน่นอนใหม่"[108] ในเดือนเดียวกันนั้น เขาเข้าร่วมการประชุมระดับชาติประจำปีว่าด้วยธรรมาภิบาลซึ่งเขากล่าวว่าเศรษฐกิจของจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายจากระบบรัฐการที่ยุ่งยากและประสิทธิภาพต่ำ[109] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2021 หลี่เป็นประธานการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจ ซึ่งเสนอการเปลี่ยนแปลงกฎหมายประชากรและการวางแผนครอบครัวเพื่อส่งเสริมอัตราการเกิด[110] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2021 หลี่จัดการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจเพื่ออนุมัติแผนฟื้นฟูภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน[111] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2021 เขาจัดการประชุมคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน[112] ในเดือนเดียวกันนั้น เขาเข้าร่วมงานกวางตุ้งแฟร์ในกว่างโจว ซึ่งเขากล่าวว่าจีนมี "เครื่องมือเพียงพอในคลังของเราเพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว รวมถึงความตึงเครียดด้านพลังงานและไฟฟ้า"[113] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2021 ระหว่างการประชุมกับสำนักงานบริหารเพื่อการควบคุมตลาดแห่งรัฐ หลี่กล่าวว่าจีนจำเป็นต้องลดค่าธรรมเนียมและภาษีสำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง[114] เขายังจัดการประชุมกับหัวหน้าหน่วยงานท้องถิ่น 10 แห่ง ซึ่งเขากระตุ้นให้พวกเขาให้ความสำคัญกับธุรกิจขนาดเล็ก[115]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2022 หลี่ประกาศว่าจีนจะนำบัตรประจำตัวประชาชนฉบับดิจิทัลมาใช้[116] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2022 เขาเข้าร่วมการประชุมสัมมนาผู้นำหลายมณฑลในเจียงซี โดยกล่าวว่าจีนต้องเสริมสร้าง "ความรู้สึกเร่งด่วน"[117] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2022 หลี่บอกกับการประชุมทางไกลของผู้นำระดับมณฑลว่าสถานการณ์การจ้างงานนั้น "ซับซ้อนและเลวร้าย" โดยเร่งเร้าให้พวกเขาดำเนินการมากขึ้น[118] ในเดือนเดียวกันนั้น เขาเดินทางเยือนยูนนาน ซึ่งเขาให้คำมั่นว่าจะ "พยายามอย่างเด็ดขาด" ในการปราบปรามปัญหาไฟฟ้าดับ[119] เขายังจัดการประชุมทางวิดีโอซึ่งเขาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกว่า 100,000 คน โดยเขาเตือนถึงความท้าทายที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญอยู่[120] ในเดือนมิถุนายน 2022 หลี่ได้จัดการประชุมสัมมนาที่กระทรวงคมนาคม โดยพูดถึงความสำคัญของการคมนาคมในระบบเศรษฐกิจแบบตลาด[121] เขายังเดินทางเยือนเกาเปย์เตี้ยนและจัวโจว มณฑลเหอเป่ย์ ในเดือนเดียวกัน โดยกล่าวว่า "อุปทานธัญพืชที่เพียงพอของจีนมีความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพราคาผู้บริโภค"[122]

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2022 หลี่เรียกร้องให้มีโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจ[123] ในเดือนเดียวกันนั้น เขาเข้าร่วมการประชุมสัมมนากับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในฝูเจี้ยน ซึ่งเขากระตุ้นให้เซี่ยงไฮ้ กวางตุ้ง เจียงซู เจ้อเจียงและฝูเจี้ยนรักษาเสถียรภาพการผลิตและการจ้างงาน[124] หลังจากนั้น เขาเยี่ยมชมกระทรวงกิจการพลเรือนและกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และประกันสังคม ต่อมาได้จัดการสัมมนาว่าด้วยปัญหาการจ้างงานและการพัฒนาเศรษฐกิจ[125] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2022 เขาเดินทางเยือนเชินเจิ้น ที่ซึ่งเขาพบปะกับผู้นำจากมณฑลกวางตุ้งด้วยตนเองและผ่านวิดีโอลิงก์กับผู้นำระดับมณฑลจากเจียงซู เจ้อเจียง ชานตง เหอหนานและเสฉวน[126] เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หลี่ยังส่งคณะตรวจสอบจาก 16 มณฑลในเดือนสิงหาคมอีกด้วย ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2022 เขาจัดการประชุมพิเศษของคณะมนตรีรัฐกิจเพื่อ "นำเสนอนโยบายและมาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน"[127]

เศรษฐกิจ

แก้

หลี่เป็นผู้เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ในการใช้ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเพื่อช่วยในการตัดสินใจของรัฐบาล เมื่อหลี่เข้ารับตำแหน่งบริหารในช่วงแรก ประเทศจีนกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่สืบทอดมาจากรัฐบาลชุดก่อน เช่น ปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมากจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดยักษ์หลายแห่งที่ประเทศเริ่มต้นขึ้นหลังวิกฤตการณ์การเงิน ค.ศ. 2008 ซึ่งส่งผลให้มีหนี้สินล้นพ้น รายได้ต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ และช่องว่างทางความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ กล่าวกันว่าหลี่ตอบสนองด้วยสิ่งที่รู้จักในชื่อ "หลี่โคโนมิกส์" (Likonomics) ศัพท์ที่บัญญัติขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์จากวาณิชธนกิจบาร์คลีส์ แคปิตอล หลี่โคโนมิกส์ประกอบด้วยแนวทางสามด้านที่รวมถึงการลดหนี้ในทุกภาคส่วน การยุติการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของรัฐบาลเวิน เจียเป่า และการปฏิรูปโครงสร้าง[128] อย่างไรก็ตาม ภายใน ค.ศ. 2014 แรงกดดันทางเศรษฐกิจทั่วโลกและการลดลงของความต้องการสินค้าส่งออกของจีนนำไปสู่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ อัตราการเติบโตของ GDP เมื่อเทียบเป็นรายปีมีมูลค่าน้อยกว่าร้อยละ 7.5 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1989 รัฐบาลของหลี่จึงตอบสนองด้วยการลดภาษีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก โครงการปรับปรุงพื้นที่เมืองยากจน และการก่อสร้างทางรถไฟอีกรอบ โดยเฉพาะมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ตอนในของประเทศ[129]

หลี่เน้นย้ำว่าการทำให้เป็นเมืองเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดวาระการดำรงตำแหน่งของเขา[130] หลี่สนับสนุนนโยบาย "การเป็นผู้ประกอบการและนวัตกรรมมวลชน' ซึ่งมุ่งแสวงหาช่องทางใหม่ ๆ ในการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น อีคอมเมิร์ซ ในช่วงเวลาที่รูปแบบดั้งเดิมดูเหมือนจะสูญเสียแรงขับเคลื่อนไป[131] เขายังส่งเสริมการลดภาษีด้วย; ตั้งแต่ ค.ศ. 2015 ถึง 2020 รัฐบาลลดภาษีและค่าธรรมเนียมลง 7.6 ล้านล้านหยวน ทำให้สัดส่วนรายได้ภาษีของรัฐบาลต่อ GDP ลดลงร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 15.2 [132]

ระบบรัฐการ

แก้

หลี่วิพากษ์วิจารณ์ระบบรัฐการที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะในระดับรากหญ้า เขากล่าวว่าเขาเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ระดับล่างหลายคนไม่สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกี่ยวกับการที่เขาไม่พอใจในเรื่องนี้ เรื่องเล่าที่น่าจดจำของหลี่หลายเรื่องได้กลายเป็นที่แพร่หลาย ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015 หลี่กล่าวถึงกรณีที่พลเมืองคนหนึ่งกำลังกรอกแบบฟอร์มเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ (เป็นเรื่องปกติในสาธารณรัฐประชาชนจีน) ต้องระบุชื่อผู้ติดต่อฉุกเฉิน (พลเมืองคนนั้นระบุว่าแม่ของตนเป็นผู้ติดต่อ) และเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลเรื่องดังกล่าวขอให้พลเมืองคนนั้นจัดหาเอกสารที่ได้รับการรับรองจากทนายความเพื่อ "พิสูจน์ว่าแม่ของคุณคือแม่ของคุณ"[133] หลี่เรียกเหตุการณ์นี้ว่า "ไร้สาระสิ้นดี" ในอีกกรณีหนึ่ง เขากล่าวถึงข้ารัฐการระดับรากหญ้าที่ขอหลักฐานว่าเด็กอายุหนึ่งขวบไม่มีประวัติอาชญากรรม เพื่อที่จะให้บริการภาครัฐ[134] ในอีกกรณีหนึ่ง หลี่กล่าวถึงผู้สูงอายุที่ยื่นขอรับสวัสดิการโดยถูกบังคับจากเจ้าหน้าที่รัฐให้จัดหาหลักฐานว่า "พวกเขายังมีชีวิตอยู่" เกี่ยวกับสองเหตุการณ์หลัง หลี่กล่าวว่า "นี่ไม่ใช่เรื่องตลก ทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริง!"[134]

โควิด-19

แก้

ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 2020 หลี่รับผิดชอบการตอบสนองของรัฐบาลจีนต่อการระบาดทั่วของโควิด-19 ในฐานะหัวหน้าคณะผู้นำด้านการรับมือการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ส่วนกลาง[135][136] วันที่ 27 มกราคม หลี่เดินทางเยือนอู่ฮั่น ศูนย์กลางการแพร่ระบาดเริ่มต้น เพื่อกำกับดูแลงานป้องกันการระบาด[137] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 หลี่กล่าวว่าจีนควรให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจและการจ้างงานเนื่องจากได้ควบคุมโควิด-19 ไว้แล้ว[138] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 หลี่ประกาศว่าด้วยการระบาดทั่ว จีนจะขยายสิทธิประโยชน์การว่างงานและรูปแบบอื่น ๆ ของการช่วยเหลือฉุกเฉินแก่แรงงานข้ามถิ่น คณะมนตรีรัฐกิจประกาศว่าโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับทุนจากรัฐจะใช้เงินลงทุนได้ถึงร้อยละ 15 ของโครงการ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10[139] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2021 ระหว่างการประชุมคณะมนตรีรัฐกิจ หลี่กล่าวว่าความโปร่งใสเป็นสิ่งจำเป็นและเตือนไม่ให้ปกปิดการระบาด[140] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2022 เขาปกป้องนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (zero-COVID) ของจีน ขณะเดียวกันก็ให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามแนวทางที่ "เป็นวิทยาศาสตร์และมุ่งเป้า" มากขึ้น[141]

นโยบายต่างประเทศ

แก้

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2013 ระหว่างการประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ จอห์น เคร์รี หลี่เตือนว่า "การยั่วยุในคาบสมุทรเกาหลีจะทำลายผลประโยชน์ของทุกฝ่าย"[142] หลี่เดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกที่อินเดียในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 เพื่อแก้ไขข้อพิพาทชายแดนและกระตุ้นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ[143] เขากล่าวว่าการเลือกอินเดียเป็นประเทศแรกที่เดินทางไปเยือนเน้นย้ำถึงความสำคัญของจีนในความสัมพันธ์กับประเทศนั้น[144] หลี่ยังเดินทางเยือนสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนีในการเดินทางไปยุโรปครั้งแรก และพบปะกับผู้นำของทั้งสองประเทศ[145] ระหว่างเยือนปากีสถาน หลี่พบปะกับผู้นำสูงสุดของประเทศและแสดงความเห็นว่า "ในฐานะเพื่อนและพี่ชายที่ใกล้ชิดที่สุดของปากีสถาน เรายินดีจะให้ความช่วยเหลือแก่ฝ่ายปากีสถานให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้"[146] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2014 ระหว่างการเยือนสหราชอาณาจักร หลี่กระตุ้นให้สกอตแลนด์ ซึ่งจะจัดการลงประชามติเอกราชในปลายปีนั้น ให้อยู่เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร[147] ระหว่างการเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีนเรนทระ โมทีใน ค.ศ. 2015 หลี่และโมทีได้ถ่ายเซลฟีด้วยกันที่หอสักการะฟ้า[148]

พลโท เอช. อาร์. แมกมาสเตอร์ แห่งสหรัฐเขียนถึงหลี่ว่า "หากมีใครในคณะของอเมริกาที่ยังสงสัยเกี่ยวกับมุมมองของจีนต่อความสัมพันธ์กับสหรัฐ คำพูดของหลี่ก็จะช่วยขจัดข้อสงสัยเหล่านั้นได้หมด เขาเริ่มต้นด้วยการสังเกตว่าจีน ซึ่งได้พัฒนาฐานอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของตนเองไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐอีกต่อไป"[149]

หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แก้

วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2022 หลี่ยืนยันว่าเขาจะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจีนเมื่อครบวาระสมัยที่สองในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023[150] อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าเขาอาจยังคงดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนในตำแหน่งอื่น เช่น ประธานคณะกรรมาธิการสามัญสภาประชาชนแห่งชาติ ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่มีมูลความจริง[151] ระหว่างการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2022 หลี่ก้าวลงจากคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน[152] วาระการดำรงตำแหน่งของหลี่สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2023 และหลี่ เฉียง พันธมิตรใกล้ชิดของสีขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน[153] แม้จะไม่รวมอยู่ในบันทึกถอดความอย่างเป็นทางการ แต่สุนทรพจน์อำลาของเขามีข้อสังเกตว่า "ขณะที่คนทำงาน สวรรค์มองดูอยู่ ดูเหมือนว่าสวรรค์มีตา"[53]

หลังหลี่ก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 เขาได้ไปเยี่ยมชมถ้ำมั่วเกาในกานซู่ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2023 เป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเขาหลังการเกษียณอายุและก่อนเขาจะถึงแก่อสัญกรรม[154]

 
หลี่และภริยา (ขวาสุด) กับประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โรดรีโก ดูแตร์เต ใน ค.ศ. 2019

อสัญกรรม

แก้

หลี่ เค่อเฉียงถึงแก่อสัญกรรมที่โรงพยาบาลฉู่กวงในเครือมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเซี่ยงไฮ้ (上海中医药大学附属曙光医院) ในผู่ตง เวลา 00:10 น. ตามเวลามาตรฐานจีนของวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2023 ด้วยวัย 68 ปีหลังมีอาการหัวใจวายเมื่อวันก่อนหน้า[155][156][157] เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ (SCMP) รายงานว่าอาการหัวใจวายเกิดขึ้นขณะเขากำลังว่ายน้ำอยู่ที่โรงแรมตงเจียวสเตตเกสต์ในเซี่ยงไฮ้[158] เดอะสแตนดาร์ด รายงานว่าการใช้ยาต้านการปฏิเสธอวัยวะมาเป็นเวลานานหลังการผ่าตัดเปลี่ยนตับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ถึงแก่อสัญกรรม[159] SCMP รายงานว่าเขายังเคยเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจด้วย[158]

ร่างของหลี่ถูกนำไปปักกิ่งในวันที่ 27 ตุลาคม[160] วันที่ 2 พฤศจิกายน มีพิธีไว้อาลัยจัดขึ้นที่สุสานปฏิวัติปาเป่าชานและร่างของเขาถูกฌาปนกิจ ผู้เข้าร่วมพิธีประกอบด้วยสี จิ้นผิง, เผิง ลี่ยฺเหวียน ภริยา, นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง, สมาชิกคนอื่น ๆ ทั้งหมดของคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองชุดที่ 20 และรองประธานาธิบดีหาน เจิ้ง ตามรายงานของสื่อทางการ อดีตผู้นำหู จิ่นเทาส่งพวงหรีดและไม่ได้เข้าร่วมพิธี[161] มีการลดธงชาติครึ่งเสาตามอาคารหน่วยงานรัฐการของจีน สถานทูต สถานกงสุล และในฮ่องกงและมาเก๊า[161][160]

 
ผู้ไว้อาลัยวางดอกไม้บริเวณที่พำนักพักวัยเด็กของหลี่ในเขตหลูหยาง เหอเฝย์

ชีวิตส่วนตัว

แก้

หลี่แต่งงานกับเฉิง หง ศาสตราจารย์ด้านภาษาและวรรณคดีอังกฤษ (โดยเฉพาะสาขาธรรมชาตินิยมอเมริกัน) ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจนครหลวงในปักกิ่ง พ่อตาของเขาเคยเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ นอกจากภาษาจีนกลางแล้ว เขายังสามารถพูดภาษาอังกฤษในระดับสนทนาได้อีกด้วย[162]

มุมมองทางการเมือง

แก้

โดยทั่วไปแล้วหลี่ถูกมองว่าสนับสนุนการปฏิรูปและเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ[52] เขาได้รับการอธิบายว่าแสดงถึงด้านที่ไม่ยึดอุดมการณ์มากนักและเป็นด้านที่เน้นการปฏิบัติจริงและเทคโนแครตของผู้นำจีน[163] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2022 หลี่กล่าวสุนทรพจน์ในเชินเจิ้นเพื่อยกย่องเติ้ง เสี่ยวผิงและการปฏิรูปเศรษฐกิจของเขา ซึ่งต่อมาถูกทางการจีนตรวจพิจารณา[164] หวัง จฺวินเถา ผู้เห็นต่างชาวจีนและอดีตเพื่อนร่วมงานของหลี่ในช่วงที่เขาศึกษาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง กล่าวว่าหลี่ "สนใจอย่างมาก" ในการปฏิรูปทางการเมือง[165]

เศรษฐกิจ

แก้

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 หลี่เขียนบทความในนิตยสาร ฉิวชื่อ โดยหลี่เขียนว่าเศรษฐกิจจีนขับเคลื่อนด้วยการบริโภคน้อยเกินไป และจีนควรขยายสัดส่วนของผู้มีรายได้ปานกลางโดยการหาวิธีให้ผู้มีรายได้น้อยมีรายได้มากขึ้น รวมถึงการขึ้นค่าจ้าง การขยายเครือข่ายประกันสังคม การให้แรงจูงใจทางธุรกิจ การอุดหนุนที่อยู่อาศัยและการจัดหาบริการทางการแพทย์ในราคาเข้าถึงได้มากขึ้น[32]

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 "李克强同志生平". Xinhua News Agency. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 ธันวาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2023.
  2. "程虹陪同李克强出访非洲(图)" (ภาษาจีน). 凤凰网. 4 พฤษภาคม 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 พฤษภาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2023.
  3. 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 "Li Keqiang 李克强" (PDF). Brookings Institution. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 31 พฤษภาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2023.
  4. 《多维月刊》:李克强出身非平民,成长靠恩师(2). Dwnews.com (ภาษาจีน). 28 พฤศจิกายน 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 ธันวาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 18 มีนาคม 2013.
  5. 5.0 5.1 "Profile: Chinese First Vice Prime Minister Li Keqiang". Radio Free Europe/Radio Liberty. 7 พฤศจิกายน 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2013. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2013.
  6. Xiaobing Li (2015). Modern China. ABC-CLIO, Santa Barbara, California. p. 104. ISBN 978-1610696258.
  7. Ma, Josephine (23 ตุลาคม 2007). "Li Keqiang: Scholar who passed up foreign study for party". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  8. 总理恩师厉以宁 [Li Yining: teacher of the premier] (ภาษาChinese (China)). Sohu. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2015. สืบค้นเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2015.
  9. "李克强同志简历_人物资料_中国政府网". State Council of the People's Republic of China. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2022.
  10. Qu, Shanshan (11 เมษายน 2013). "厉以宁:李克强的博士论文"经得起各种检验"-搜狐财经". business.sohu.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2022.
  11. Ji, Xiang (16 มีนาคม 2013). "李克强与妻女常用英语交流 其博士论文经得起考验 – 中新网". www.chinanews.com.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2022.
  12. 李, 克强 (1991). "论我国经济的三元结构" (PDF). State Council of the People's Republic of China. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 27 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2022.
  13. Chen, Fashan (24 ธันวาคม 2012). "李克强曾获孙冶方经济学论文奖". economy.caixin.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 เมษายน 2015. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2022.
  14. 14.0 14.1 Doyon, Jérôme (2023). Rejuvenating Communism: Youth Organizations and Elite Renewal in Post-Mao China. University of Michigan Press. doi:10.3998/mpub.12291596. ISBN 978-0-472-90294-1.
  15. "Duowei: Li Keqiang helps Henan fight off the poverty". Chinese Newsnet (ภาษาจีน). 10 มิถุนายน 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 มกราคม 2013. สืบค้นเมื่อ 18 มีนาคม 2013.
  16. 16.0 16.1 "Power Players: Li Keqiang". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 สิงหาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 18 มีนาคม 2013.
  17. "中共中央决定:李克强同志任河南省委书记". 中国网--网上中国 (ภาษาจีน). สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2024.
  18. Watts, Jonathan (25 ตุลาคม 2003). "Hidden from the world, a village dies of Aids while China refuses to face a growing crisis". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 ธันวาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2023.
  19. "Coastal areas to be focus of economic growth". China Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 31 ตุลาคม 2023.
  20. Ting, Shi (6 กุมภาพันธ์ 2007). "Hu protege shows he's got what it takes". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  21. "How to measure China's true economic growth". The Economist. 9 มีนาคม 2023. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 15 มีนาคม 2023.
  22. Hale, Erin (1 มิถุนายน 2022). "Li Keqiang: China's sidelined premier back in the limelight". Al Jazeera. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 สิงหาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2022.
  23. "Protege Li steps into spotlight". South China Morning Post. 29 พฤศจิกายน 2007. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  24. "China's new top Party leaders make debut". China.org.cn. 15 พฤศจิกายน 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2012. สืบค้นเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2012.
  25. Li, Raymond (29 พฤศจิกายน 2012). "Li Keqiang wants tax breaks for NGOs specialising in Aids/HIV work". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  26. Huang, Cary (22 มกราคม 2009). "Regional bureaucracies targeted for streamlining in reform plan". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  27. "Beijing has levers and skills to keep economy stable, Li Keqiang says". South China Morning Post. 24 มีนาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  28. Hancock, Tom (27 ตุลาคม 2023). "Li Keqiang: Late China Premier Championed Growth, Small Business". Bloomberg News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2023.
  29. 29.0 29.1 Maidment, Paul (28 มกราคม 2010). "China's Li Delivers A Polished Future". Forbes. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 3 กันยายน 2017.
  30. Li, Keqiang (28 มกราคม 2010). "Davos Annual Meeting 2010 – Special Address by Li Keqiang". World Economic Forum. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 กันยายน 2012. สืบค้นเมื่อ 4 มิถุนายน 2010.
  31. Li, Keqiang. 关于调整经济结构促进持续发展的几个问题 [Questions Concerning Changes to China's Economic Structure]. Qiushi. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มิถุนายน 2010. สืบค้นเมื่อ 1 มิถุนายน 2010.
  32. 32.0 32.1 Zhang, Ed (19 กุมภาพันธ์ 2012). "Beefing up the middle-class meat in the economic sandwich". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  33. Xinhua News Agency (11 ตุลาคม 2010). "China's vice premier urges accelerating industrialization, urbanization". Xinhuanet. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 ตุลาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2010.
  34. "Asia Times Online :: China's Santa Claus shakes up Hong Kong". Asia Times. 25 สิงหาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 สิงหาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2011.{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  35. "Asia Times Online :: Battle for Hong Kong University's soul". Asia Times. 1 พฤศจิกายน 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 ตุลาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2011.{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  36. Li, Jing (21 เมษายน 2013). "Environmental experts say China's new leadership has to tackle pollution". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  37. Ren, Daniel (29 พฤศจิกายน 2011). "Vice-premier vows housing curbs will stay". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  38. Huang, Cary; Tsang, Denise (3 เมษายน 2012). "Vice-premier confident over growth". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  39. Ruan, Victoria (23 ตุลาคม 2012). "Tax relief for more mainland companies". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  40. Zhuang, Pinghui (23 พฤศจิกายน 2012). "Vice-Premier weighs in on HIV patients hospital rejection". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  41. Ruan, Victoria (19 พฤศจิกายน 2012). "Incoming premier to forge new strategic economic path". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  42. Shi, Jiangtao (23 พฤศจิกายน 2012). "Next premier Li Keqiang sets out case for reform". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  43. Li, Raymond (28 พฤศจิกายน 2012). "Premier-in-waiting Li Keqiang meets Aids activists". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  44. Huang, Cary (29 ธันวาคม 2012). "Li Keqiang follows new down-to-earth working style on tour of Jiangxi". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  45. 45.0 45.1 "China confirms Li Keqiang as premier". BBC News. 15 มีนาคม 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 มีนาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 15 มีนาคม 2013.
  46. "Li Keqiang named Chinese premier, government's second most powerful post". CNN. 15 มีนาคม 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2013. สืบค้นเมื่อ 17 มีนาคม 2013.
  47. Cai, Jane (18 มีนาคม 2013). "Li Keqiang stresses market reforms at first press conference as premier". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  48. "Who's Who in China's New Government Leadership Lineup". Bloomberg. 16 มีนาคม 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 มีนาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 16 มีนาคม 2013.
  49. DING QINGFEN (26 มีนาคม 2013). "Premier Li Keqiang focuses on consumption". China Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2013. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2013.
  50. "Li Keqiang". Forbes. 18 เมษายน 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 ตุลาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 18 มีนาคม 2013.
  51. Zhou, Xin (18 มีนาคม 2018). "Li Keqiang endorsed as China's premier, while military commission chiefs consolidate power". South China Morning Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 สิงหาคม 2019. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2018.
  52. 52.0 52.1 Wei, Lingling (11 พฤษภาคม 2022). "China's Forgotten Premier Steps Out of Xi's Shadow as Economic Fixer". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 พฤษภาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2022.
  53. 53.0 53.1 Yu, Verna (11 มีนาคม 2023). "'A defeated person': sidelined by Xi, China's Li Keqiang bows out as premier". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 15 มีนาคม 2023.
  54. Huang, Cary (22 มีนาคม 2013). "Implement reforms with sincerity, Li Keqiang tells cabinet". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  55. Zhai, Keith (27 มีนาคม 2013). "Anti-corruption drive targets off-budget spending". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  56. Li, Sandy (18 เมษายน 2013). "Premier pledges continued steady investment growth". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  57. Zhuang, Pinghui (20 เมษายน 2013). "Premier Li visits quake-hit areas". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  58. He, Huifeng; Ho, Jolie (29 เมษายน 2013). "Reduce H7N9 human fatalities, Premier Li Keqiang tells health officials". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  59. Boehler, Patrick (7 มิถุนายน 2013). "Beijing sets up advisory body with multinationals". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  60. "Short sharp shock". South China Morning Post. 28 มิถุนายน 2013. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  61. Huang, Cary (15 กรกฎาคม 2013). "Premier Li Keqiang named head of three more powerful advisory bodies". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  62. "Local government debt to be exposed by Li's survey". South China Morning Post. 1 สิงหาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  63. Ruan, Victoria (12 กันยายน 2013). "Reforms enter critical stage, says Premier Li Keqiang". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  64. "Shanghai free-trade zone launched". BBC News. 29 กันยายน 2013. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2013.
  65. Chen, George (15 กรกฎาคม 2013). "Exclusive: Li Keqiang fought strong opposition for Shanghai free-trade zone plan". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  66. Chen, George (28 ตุลาคม 2013). "Li at crossroads in the fight for economic changes". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  67. Kwong, Man-ki (5 พฤศจิกายน 2013). "China needs 7.2pc economic growth, Premier Li Keqiang says". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  68. 习刘张起草三中 李克强未参与引争议 [Xi Liu Zhang drafted three middle schools Li Keqiang did not participate in the dispute]. Duowei News (ภาษาจีน). 17 พฤศจิกายน 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 มกราคม 2015.
  69. "Xi Jinping to lead national security commission". China Daily. 24 มกราคม 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2014. สืบค้นเมื่อ 31 มกราคม 2014.
  70. Anthony, Augusta (1 พฤศจิกายน 2023). "Death of China's former premier offers a way to air frustration with Xi era". CNN (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 ธันวาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 4 ธันวาคม 2023.
  71. 71.0 71.1 学者称李克强style为专家治国 [Scholars say Li Keqiang style is an expert] (ภาษาจีน). Duowei News. 21 กรกฎาคม 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 มกราคม 2015.
  72. Ng, Eric; Kwong, Man-ki (28 ธันวาคม 2013). "Li urges young entrepreneurs to make an impact". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  73. Victoria, Ruan (5 มีนาคม 2014). "China to push ahead with fiscal reforms as it sets economic growth at 7.5pc". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  74. Zhang, Hong (29 เมษายน 2014). "Premier Li Keqiang makes high-profile visit to Chongqing". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  75. "Premier Li Keqiang pledges major projects, policy tweaks". South China Morning Post. 9 ตุลาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  76. Cai, Jane (16 มีนาคม 2015). "'Like taking a knife to one's flesh': Li Keqiang vows to push on with 'painful reforms'". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  77. Zuo, Mandy (23 มีนาคม 2015). "Be more responsive to public concerns, Chinese Premier Li Keqiang tells ministers". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  78. "China reveals ambitious broadband plan". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 14 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  79. He, Huifeng (6 เมษายน 2015). "China needs new trade route to future, Premier Li Keqiang says". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  80. Ruan, Victoria (13 เมษายน 2015). "China's premier warns worst-performing provinces to boost economic growth". South China Morning Post.
  81. "China's Premier Li urges reluctant banks to support real economy". South China Morning Post. 19 เมษายน 2015. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  82. Ren, Daniel (25 เมษายน 2015). "Chinese premier Li Keqiang to use free-trade zones to cut high bank rates". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  83. "Made in China 2025" plan unveiled to boost manufacturing เก็บถาวร กรกฎาคม 25, 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. China News Service, May 2015.
  84. Zuo, Mandy; Wu, Wendy (24 มีนาคม 2016). "Chinese premier vows to stabilise the property market". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  85. Zhou, Xin (21 กรกฎาคม 2016). "Throw open the doors to private investors, Chinese premier tells provinces". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  86. Fraser, Niall (10 ตุลาคม 2016). "Chinese premier Li Keqiang gives Macau his seal of approval". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  87. "'Inadequate' intellectual property rights hitting investment, says China's premier". South China Morning Post. 23 พฤศจิกายน 2017. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  88. "More targeted reform and innovation key to China's economic renewal, Chinese Premier Li Keqiang says". South China Morning Post. 24 มกราคม 2018. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  89. Cai, Jane (20 มีนาคม 2018). "China will push ahead 'resolutely' with financial sector fight, says Li Keqiang". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  90. Ng, Teddy; Ho, Matt (27 กรกฎาคม 2018). "Chinese Premier Li Keqiang tells Buddhist leaders to defend ethnic unity on rare trip to Tibet". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  91. "China's Premier Li Keqiang says loans to small firms should not be 'wilfully withdrawn'". South China Morning Post. 10 พฤศจิกายน 2018. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  92. Xie, Yu; Tang, Frank (21 กุมภาพันธ์ 2019). "China's Premier Li Keqiang warns central bank of 'new potential risks' posed by record loans in January". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  93. Lee, Amanda (8 เมษายน 2019). "China cuts controversial tax on personal items bought overseas in move to boost consumption". South China Morning Post.
  94. Xie, Echo; Zheng, William (15 พฤษภาคม 2019). "China turns attention to jobs as trade war casts shadow over economy, with Li Keqiang demanding jobs for graduates, ex-military and more". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  95. Lee, Amanda (4 กันยายน 2019). "China Premier invokes Isaac Newton in calling for revamp of 'rigid' Chinese research to fight US tech war". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  96. Tang, Frank (22 พฤศจิกายน 2019). "China will not use 'all-out stimulus' to boost slowing economy, Premier Li Keqiang says". South China Morning Post.
  97. Zhang, Jane (8 เมษายน 2020). "China to set up 46 new integrated pilot zones for cross-border e-commerce to revive foreign trade". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  98. Zhou, Cissy (22 พฤษภาคม 2020). "Coronavirus: China's pandemic lifeline for small firms draws lukewarm response from business owners". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  99. "China's poverty line is not as stingy as commentators think | The Economist". The Economist. 20 มีนาคม 2023. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2023.
  100. Zhang, Jane (4 มิถุนายน 2020). "Chinese tech firms pledge more help for street stalls, small vendors after premier's comments". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  101. Liu, Zhen (8 มิถุนายน 2020). "Beijing city authorities reject calls to let roadside stalls return, saying they are 'unsuitable' for city". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  102. Zhou, Xin (18 สิงหาคม 2020). "Coronavirus: China's State Council urges local authorities to speed up fiscal support for small firms". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  103. Wu, Wendy (23 ตุลาคม 2020). "Chinese leaders call for more international scientific cooperation". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  104. Lee, Amanda (24 พฤศจิกายน 2020). "China's Premier Li Keqiang orders provincial governments to 'tell the truth' about economic conditions". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  105. Lee, Amanda (18 พฤศจิกายน 2020). "China's Li Keqiang vows stability as 'complex and volatile' international climate weighs on economy". South China Morning Post.
  106. Tang, Frank (22 มกราคม 2021). "China's small businesses in 'urgent need' of support to protect jobs and boost domestic demand, State Council says". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  107. Bray, Chad (5 มีนาคม 2021). "Two sessions 2021: China's banks to increase lending to small businesses by 30 per cent". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  108. Wang, Orange (12 เมษายน 2021). "China GDP: 'new uncertainties' ahead for economy, Premier Li Keqiang warns, even with double-digit growth expected". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  109. Cai, Jane (10 พฤษภาคม 2021). "Chinese Premier Li Keqiang warns of challenges over jobs, private sector, red tape". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  110. Lau, Mimi (19 มิถุนายน 2021). "China a step closer to three-child policy but what support will women need?". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  111. Tang, Frank (25 สิงหาคม 2021). "China fighting 'uphill' battle to revitalise northeast rust-belt in latest bid to transform former industrial heartland". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  112. Tang, Frank (12 ตุลาคม 2021). "China power crisis: Premier Li warns provinces not to 'jump the gun' by cutting electricity to homes". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  113. He, Huifeng (14 ตุลาคม 2021). "China's Li Keqiang acknowledges slowing economic growth, but says Beijing has the 'tools' to cope with headwinds". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  114. Ji, Siqi (3 พฤศจิกายน 2021). "China must ease small firms' tax burden amid 'downward pressure' on the economy, says Premier Li Keqiang". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  115. Wang, Orange; Ji, Siqi (23 พฤศจิกายน 2021). "China on high alert for mounting economic headwinds as Li Keqiang meets with local government heads". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  116. Zheng, William (12 มีนาคม 2022). "China plans digital version of national identification card later this year, premier says". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  117. Wang, Orange (12 เมษายน 2022). "China's premier flags 'sense of urgency' to provincial leaders in call to action". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  118. Sun, Luna (8 พฤษภาคม 2022). "China jobs: Premier Li Keqiang warns of 'complicated, grim' outlook, urges action ahead of Communist Party congress". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  119. Wang, Orange (20 พฤษภาคม 2022). "Chinese Premier Li Keqiang vows 'resolute efforts' to prevent power cuts amid 'skyrocketing' energy prices". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  120. Tang, Frank (27 พฤษภาคม 2022). "China GDP: Premier Li signals 'clear urgency' on reviving economy, but no change to zero-Covid". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  121. Ying, Leona Liu (8 มิถุนายน 2022). "China's transport restrictions have upended goods trade, Premier Li says in calling for logistical changes". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  122. Tang, Frank (22 มิถุนายน 2022). "China inflation: Li Keqiang says 'prudent' economic policy, bumper wheat harvest leaves room to tackle risks". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  123. Tang, Frank (1 กรกฎาคม 2022). "China's Li Keqiang calls for new infrastructure push to shake off economic slowdown". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  124. Wang, Orange (8 กรกฎาคม 2022). "China's coronavirus recovery at 'critical point', says Li Keqiang, singling out five regions to carry the economy". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  125. Ying, Leona Liu (29 มิถุนายน 2022). "China jobs: 'arduous' task to stabilise employment and boost economy, Premier Li Keqiang says". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  126. Zheng, William; He, Huifeng; Wong, Kandy (17 สิงหาคม 2022). "Chinese premier renews call for economic dynamos to help stabilise road to post-Covid recovery". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  127. Tang, Frank (13 กันยายน 2022). "As China vows to boost economy, crippling zero-Covid policy may be 'more zealously implemented'". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  128. "Likonomics: what's not to like". The Economist. 1 กรกฎาคม 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 พฤษภาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 13 กรกฎาคม 2017.
  129. Chen, George (7 เมษายน 2014). "Forget 'Likonomics', it's all about economic stimulus in China again". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ธันวาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2015.
  130. Cai, Jane (7 มีนาคม 2017). "How China's rush to urbanise has created a slew of ghost towns". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  131. Liu, Lizhi (2024). From Click to Boom: The Political Economy of E-Commerce in China. Princeton University Press. p. 75. ISBN 9780691254104.
  132. Cai, Jane (13 เมษายน 2023). "Whatever happened to Likonomics? Chinese Premier Li Keqiang heads for the exit". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  133. 李克强:证明"你妈是你妈"是天大笑话. Duowei News. 6 พฤษภาคม 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2015.
  134. 134.0 134.1 李克强屡斥"奇葩"证明 简政放权再推进. Chinanews. 12 พฤษภาคม 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 พฤษภาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2015.
  135. "Chinese premier stresses curbing viral pneumonia epidemic". China Daily. Beijing: Xinhua News Agency. 21 มกราคม 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 มกราคม 2020. สืบค้นเมื่อ 22 มกราคม 2020.
  136. "China to extend Spring Festival holiday to contain coronavirus outbreak". Xinhua News Agency. Beijing. 26 มกราคม 2020. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 มกราคม 2020.
  137. "Chinese Premier Li visits Wuhan, epicenter of virus outbreak". Reuters. Beijing. 27 มกราคม 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 มกราคม 2020. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2020.
  138. Tang, Frank (13 มีนาคม 2020). "Coronavirus: China's premier shrugs off likely first quarter economic growth contraction as 'not a big deal'". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  139. Tang, Frank (21 เมษายน 2020). "Coronavirus: China extends welfare support to vast migrant labour force amid 'unprecedented challenges'". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  140. Yeung, Karen (10 มกราคม 2021). "Coronavirus: Chinese premier warns against cover-up of outbreaks". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  141. Zhuang, Pinghui (11 มีนาคม 2022). "Zero Covid: China's premier pledges future strategy will protect lives and supply chain". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  142. Ng, Teddy; Li, Raymond (14 เมษายน 2013). "Premier Li Keqiang warns North Korea: Halt 'provocations'". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  143. "Chinese premier visits India". Al Jazeera English. 19 พฤษภาคม 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2013.
  144. "Chinese PM vows to build trust with India". Al Jazeera English. 19 พฤษภาคม 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 สิงหาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2013.
  145. Li visits four countries เก็บถาวร 25 พฤษภาคม 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน China Daily
  146. "Chinese premier hopes for more fruits in friendship with Pakistan". Xinhuane. 24 พฤษภาคม 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 สิงหาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2013.
  147. "Scottish independence: Chinese premier calls for a 'united' UK". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 17 มิถุนายน 2014. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2025.
  148. "Selfie Diplomacy: India Leader Snaps Pic With China P.M." NBC News. 15 พฤษภาคม 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 มกราคม 2022. สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2024.
  149. McMaster, Herbert Raymond (17 เมษายน 2020). "How China Sees the World". The Atlantic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 กันยายน 2022. สืบค้นเมื่อ 8 พฤษภาคม 2020.
  150. "Chinese premier Li confirms he will step down next March". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 11 มีนาคม 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 มีนาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2022.
  151. "二十大报道:习近平连任挑战和政治局常委布局". Voice of America (ภาษาจีน). 20 สิงหาคม 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 สิงหาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2022.
  152. Gan, Nectar; McCarthy, Simone (22 ตุลาคม 2022). "China's Xi emerges from Communist Party Congress with more power, set for third term" (ภาษาอังกฤษ). CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม 2022.
  153. "China's parliament names Xi Jinping ally Li Qiang as new premier". Al Jazeera. 11 มีนาคม 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2023.
  154. "李克強病逝消息震驚輿論 生前視頻和語錄被熱轉". 联合早报. 27 ตุลาคม 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2023.
  155. Chan, Laurie; Yew, Lun Tian (27 ตุลาคม 2023). "China's former premier Li Keqiang has died – state media". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2023.
  156. Tan, Yvette; McDonnell, Stephen (27 ตุลาคม 2023). "Former China PM Li Keqiang dead at 68". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2023.
  157. Mai, Jun; Wu, Wendy; Dang, Yuanyue; Tang, Frank (27 ตุลาคม 2023). "Li Keqiang, former premier of China, dead after heart attack". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2023.
  158. 158.0 158.1 "Li Keqiang: former premier had fatal heart attack during swim in Shanghai, sources say". South China Morning Post. 27 ตุลาคม 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2023.
  159. "Flags at half-mast at farewell for Li". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2023. สืบค้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2023.
  160. 160.0 160.1 huaxia (31 ตุลาคม 2023). "Remains of Li Keqiang to be cremated on Nov. 2". Xinhua. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 31 ตุลาคม 2023.
  161. 161.0 161.1 Zhuang, Sylvie; Zheng, William (2 พฤศจิกายน 2023). "President Xi Jinping and China's leadership pay final tribute to former premier Li Keqiang". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2023. สืบค้นเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2023.
  162. "Li Keqiang's Wife and In-laws". Duowei Monthly. 21 พฤศจิกายน 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 มกราคม 2013.
  163. "Mixed Messages From Top China Leaders Feed Speculation of Split". Bloomberg News (ภาษาอังกฤษ). 10 พฤษภาคม 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กรกฎาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2022.
  164. Wei, Lingling (17 ตุลาคม 2022). "Xi Jinping's Ideological Ambition Challenges China's Economic Prospects". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 18 ตุลาคม 2022.
  165. "China's prime minister, Li Keqiang, is about to retire". The Economist. 2 มีนาคม 2023. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 15 มีนาคม 2023.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้
ก่อนหน้า หลี่ เค่อเฉียง ถัดไป
เวิน เจียเป่า    
นายกรัฐมนตรีจีน
(16 มีนาคม พ.ศ. 2556 – 11 มีนาคม พ.ศ. 2566)
  หลี่ เฉียง


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "หมายเหตุ" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="หมายเหตุ"/> ที่สอดคล้องกัน