สี จิ้นผิง
สี จิ้นผิง[a] (เกิด 15 มิถุนายน ค.ศ. 1953) เป็นนักการเมืองชาวจีนผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางมาตั้งแต่ ค.ศ. 2012 และด้วยเหตุนี้จึงเป็นผู้นำสูงสุดของจีนนับตั้งแต่ปีนั้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2013 สียังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 7 ของจีน ในฐานะสมาชิกของผู้นำจีนรุ่นที่ห้า สีเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนคนแรกที่เกิดหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
สี จิ้นผิง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
习近平 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() สีใน ค.ศ. 2025 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เริ่มดำรงตำแหน่ง 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 (12 ปี 233 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | หู จิ่นเทา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประธานาธิบดีจีน | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เริ่มดำรงตำแหน่ง 14 มีนาคม ค.ศ. 2013 (12 ปี 114 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
หัวหน้ารัฐบาล | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รองประธานาธิบดี |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | หู จิ่นเทา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เริ่มดำรงตำแหน่ง
(12 ปี 114 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รอง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | หู จิ่นเทา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง
(2 ปี 168 วัน) ดำรงตำแหน่งร่วมกับ กัว ปั๋วสฺยง & สฺวี ไฉโฮ่ว | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประธาน | หู จิ่นเทา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รองประธานาธิบดีจีน | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 15 มีนาคม ค.ศ. 2008 – 14 มีนาคม ค.ศ. 2013 (5 ปี 30 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประธานาธิบดี | หู จิ่นเทา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เจิง ชิ่งหง | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | หลี่ ยฺเหวียนเฉา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เกิด | ปักกิ่ง ประเทศจีน | 15 มิถุนายน ค.ศ. 1953||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (ตั้งแต่ 1974) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คู่สมรส |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บุตร | สี หมิงเจ๋อ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บุพการี | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ความสัมพันธ์ | ฉี เฉียวเฉียว (พี่สาว) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ที่อยู่อาศัย | จงหนานไห่ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การศึกษา | มหาวิทยาลัยชิงหฺวา (วท.บ., น.ด.) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รางวัล | รายการทั้งหมด | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ลายมือชื่อ | ![]() | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อาชีพทางวิทยาศาสตร์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
วิทยานิพนธ์ | การศึกษาเบื้องต้นว่าด้วยการตลาดในชนบทของจีน (2001) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อาจารย์ที่ปรึกษาในระดับปริญญาเอก | หลิว เหม่ย์สฺวิน (刘美珣) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 习近平 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 習近平 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การเป็นสมาชิกสถาบันกลาง[มีการอภิปรายเรื่องนี้อยู่]
คณะผู้นำและคณะกรรมการ
ตำแหน่งอื่น ๆ ที่ดำรง
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เขาเป็นบุตรชายของสี จ้งซฺวิน ทหารผ่านศึกคอมมิวนิสต์จีน สีถูกเนรเทศไปยังชนบทของอำเภอเหยียนชวน มณฑลฉ่านซี ขณะเป็นวัยรุ่น ภายหลังการกวาดล้างบิดาของเขาในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เขาอาศัยอยู่ในถ้ำดิน (เหยาต้ง) ในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ที่ซึ่งเขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนหลังพยายามหลายครั้งไม่สำเร็จ และทำงานเป็นเลขาธิการพรรคประจำท้องถิ่น หลังศึกษาด้านวิศวกรรมเคมีที่มหาวิทยาลัยชิงหฺวาในฐานะนักศึกษาแรงงาน-ชาวนา-ทหาร สีก็ได้เลื่อนตำแหน่งทางการเมืองในมณฑลชายฝั่งทะเลของจีน สีดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนตั้งแต่ ค.ศ. 1999 ถึง 2002 ก่อนจะมาเป็นผู้ว่าการและเลขาธิการพรรคมณฑลเจ้อเจียงที่อยู่ใกล้เคียงตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ถึง 2007 ภายหลังการปลดเฉิน เหลียงยฺหวี่ เลขาธิการพรรคเซี่ยงไฮ้ สีถูกโยกย้ายไปแทนที่เขาเป็นช่วงสั้น ๆ ใน ค.ศ. 2007 เขาเข้าร่วมคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปีเดียวกันนั้น และเป็นเลขาธิการคนที่หนึ่งของสำนักเลขาธิการกลางในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 ใน ค.ศ. 2008 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดต่อจากหู จิ่นเทา เพื่อจุดประสงค์นี้ สีได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานาธิบดีคนที่แปดและรองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง เขาได้รับตำแหน่ง "ผู้นำแกนหลัก" อย่างเป็นทางการจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 2016
ขณะที่กำกับดูแลนโยบายภายในประเทศของจีน สีริเริ่มมาตรการที่ครอบคลุมเพื่อบังคับใช้วินัยของพรรคและเสริมสร้างความเป็นเอกภาพภายในประเทศ การรณรงค์ต่อต้านการทุจริตของเขานำไปสู่การล่มสลายของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งในตำแหน่งและนอกตำแหน่งที่มีชื่อเสียงหลายคน รวมถึงโจว หย่งคัง อดีตสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมือง เพื่อส่งเสริม "ความรุ่งเรืองร่วมกัน" สีออกชุดนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเท่าเทียมกัน เขากำกับดูแลโครงการบรรเทาความยากจนที่เน้นกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ต่อสู้กับความยากจน และสั่งการปราบปรามครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 2021 ต่อภาคส่วนเทคโนโลยีและธุรกิจสอนพิเศษ นอกจากนี้ เขายังได้ขยายการสนับสนุนสำหรับรัฐวิสาหกิจ (SOEs) เน้นย้ำการผลิตขั้นสูงและการพัฒนาเทคโนโลยี ส่งเสริมการหลอมรวมทหาร-พลเรือนและพยายามปฏิรูปภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน หลังเกิดการระบาดทั่วของโควิด-19 ในจีนแผ่นดินใหญ่ ในช่วงแรกเขาเป็นประธานนโยบาย "โควิดเป็นศูนย์" ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 2020 ถึงธันวาคม ค.ศ. 2022 ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์การบรรเทาในที่สุด
สีดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ก้าวร้าวมากขึ้น โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ กรณีเส้นเก้าขีดในทะเลจีนใต้ และข้อพิพาทชายแดนจีน–อินเดีย นอกจากนี้ เพื่อผลักดันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของจีนในต่างประเทศ สีได้พยายามขยายอิทธิพลของจีนในแอฟริกาและยูเรเชียด้วยการผลักดันข้อริเริ่มเข็มขัดและเส้นทาง สียังเป็นประธานในการที่ความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งและไทเปเสื่อมถอยลงภายใต้ประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินของไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจากหม่า อิงจิ่วที่สีเคยพบใน ค.ศ. 2015 ใน ค.ศ. 2020 สีกำกับดูแลการผ่านกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง ซึ่งเป็นการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในเมือง โดยเฉพาะกลุ่มนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย
นับตั้งแต่ขึ้นสู่อำนาจ วาระการดำรงตำแหน่งของสีได้พบเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของการตรวจพิจารณาและการสอดแนมครั้งใหญ่ การเสื่อมถอยของสิทธิมนุษยชน รวมถึงการข่มเหงชาวอุยกูร์ในซินเจียง การผงาดขึ้นของลัทธิบูชาบุคคลรอบตัวผู้นำของเขา และการยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2018 แนวคิดและหลักการทางการเมืองของสี รู้จักกันในชื่อความคิดของสี จิ้นผิง ได้ถูกผนวกเข้าไว้ในธรรมนูญพรรคและรัฐธรรมนูญแห่งชาติ ในฐานะบุคคลสำคัญของผู้นำจีนรุ่นที่ห้า สีได้รวมศูนย์อำนาจสถาบันโดยการเข้ารับตำแหน่งมากมาย รวมถึงคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดใหม่ด้านความมั่นคงแห่งชาติ การปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคม การปรับโครงสร้างและการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย และอินเทอร์เน็ต ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2022 สีได้รับการรับรองให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นสมัยที่สาม และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งรัฐอีกครั้งเป็นสมัยที่สามซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023
ชีวิตช่วงต้น
แก้สี จิ้นผิงเกิดเมื่อ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1953 ในปักกิ่ง[2] เป็นบุตรคนที่สามของสี จ้งซฺวินและฉี ซิน ภรรยาคนที่สองของเขา หลังก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 บิดาของสีได้ดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง รวมถึงหัวหน้ากรมประชาสัมพันธ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน รองนายกรัฐมนตรี และรองประธานสภาประชาชนแห่งชาติ[3] สีมีพี่สาวสองคนคือฉี เฉียวเฉียว (齐桥桥) เกิดเมื่อ ค.ศ. 1949 และฉี อันอัน (齐安安) เกิดเมื่อ ค.ศ. 1952[4] บิดาของสีมาจากอำเภอฟู่ผิง มณฑลฉ่านซี[5]
สีเข้าเรียนทั่โรงเรียนเป่ย์จิงปาอี[6][7] และจากนั้นทีาโรงเรียนปักกิ่งที่ 25[8] ในช่วงทศวรรษ 1960 เขากลายเป็นเพื่อนกับหลิว เฮ่อ ซึ่งเรียนที่โรงเรียนปักกิ่งที่ 101 ในเขตเดียวกัน และต่อมาได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีจีนและที่ปรึกษาใกล้ชิดของสีหลังจากเขากลายเป็นผู้นำสูงสุดของจีน[9][10] ใน ค.ศ. 1963 เมื่อสีอายุได้สิบขวบ บิดาของเขาถูกกวาดล้างออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนและถูกส่งไปทำงานในโรงงานที่ลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน[11] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1966 การปฏิวัติวัฒนธรรมได้ยุติการศึกษาระดับมัธยมศึกษาของสีเมื่อชั้นเรียนมัธยมศึกษาทั้งหมดถูกระงับเพื่อให้นักเรียนวิพากษ์วิจารณ์และต่อสู้กับครูของพวกเขา นักเรียนหัวรุนแรงบุกรื้อค้นบ้านของตระกูลสีและสี เหอผิง พี่สาวคนหนึ่งของสี "ถูกข่มเหงจนเสียชีวิต"[12][13]
ต่อมา มารดาของเขาถูกบังคับให้ประณามบิดาของเขาต่อหน้าสาธารณชน ขณะที่บิดาของเขาถูกแห่ประจานต่อหน้าฝูงชนในฐานะศัตรูการปฏิวัติ หลังจากนั้นบิดาของเขาถูกจำคุกใน ค.ศ. 1968 เมื่อสีอายุ 15 ปี ใน ค.ศ. 1968 สียื่นใบสมัครต่อคณะกรรมาธิการปฏิรูปโรงเรียนปาอีและยืนกรานจะออกจากปักกิ่งไปยังชนบท[14] วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1969 พวกเขาเดินทางออกจากปักกิ่งและมาถึงหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในเหยียนอาน มณฑลฉ่านซี พร้อมกับขบวนการลงสู่ชนบทของเหมา เจ๋อตง[15] พื้นที่ชนบทของเหยียนอานนั้นล้าหลังมาก[16] ซึ่งสร้างความแตกต่างอย่างมากสำหรับสีในวัยรุ่น เขาเคยเล่าว่าเขาต้องเอาชนะ "ห้าอุปสรรค" (หมัด อาหาร การใช้ชีวิต แรงงานและความคิด)[17] และประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เขารู้สึกผูกพันกับคนยากจนในชนบท[16] หลังผ่านไปไม่กี่เดือน ด้วยความที่ทนชีวิตในชนบทไม่ไหว เขาจึงหนีกลับปักกิ่ง เขาถูกจับกุมในระหว่างการปราบปรามผู้หลบหนีจากชนบทและถูกส่งไปยังค่ายแรงงานเพื่อขุดคูน้ำ ต่อมาเขากลับไปที่หมู่บ้านตามคำชักชวนของฉี ยฺหวิน น้าสาวของเขา และเว่ย์ เจิ้นอู๋ ลุงของเขา[18] เขาทำงานเป็นเลขาธิการพรรคประจำหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ที่ซึ่งเขาอาศัยอยู่ในบ้านถ้ำ[19]
จากนั้นเขาใช้เวลาทั้งหมดเจ็ดปีในเหยียนชวน[20][21] ใน ค.ศ. 1973 อำเภอเหยียนชวนมอบหมายให้สี จิ้นผิงไปยังหมู่บ้านจ้าวเจียเหอในคอมมูนเจียเจียนผิงเพื่อเป็นผู้นำความพยายามด้านการศึกษาสังคม[22] ด้วยผลงานที่มีประสิทธิภาพและความสัมพันธ์อันดีกับชาวบ้าน ชุมชนจึงแสดงความต้องการให้เขาอยู่ที่นั่นต่อไป อย่างไรก็ตาม หลังหมู่บ้านเหลียงเจียเหอเรียกร้องให้เขากลับ สีก็กลับไปในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกันนั้นเอง เหลียง ยฺวี่หมิง (梁玉明) และเหลียง โหย่วหฺวา (梁有华) เลขาธิการสาขาพรรคประจำหมู่บ้าน สนับสนุนการสมัครเข้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเขา[23] ทว่า เนื่องมาจากบิดาของเขา สี จ้งซฺวิน ยังคงเผชิญกับการถูกข่มเหงทางการเมือง การสมัครจึงถูกระงับในตอนแรกโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูง[7] แม้จะยื่นใบสมัครไปถึงสิบครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติ กระทั่งไป๋ กวางซิ่ง (白光兴) เลขาธิการคอมมูนคนใหม่ตระหนักถึงความสามารถของสี ใบสมัครของเขาจึงถูกส่งต่อไปยังคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเหยียนชวนและได้รับอนุมัติในต้น ค.ศ. 1974[24] ในช่วงเวลานั้น ขณะที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ สีก็ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานสาขาพรรคของหน่วยเหลียงเจียเหอ[25][26]
หลังเข้ารับตำแหน่ง สีสังเกตว่าเหมียนหยาง มณฑลเสฉวน กำลังใช้เทคโนโลยีแก๊สชีวภาพ และเนื่องจากหมู่บ้านของเขาประสบปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิง เขาจึงเดินทางไปเหมียนหยางเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับบ่อหมักแก๊สชีวภาพ[27] เมื่อกลับมา เขาก็ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในเหลียงเจียเหอ ถือเป็นความก้าวหน้าในมณฑลฉ่านซีที่แพร่หลายไปทั่วทั้งภูมิภาคในไม่ช้า[28] นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้นำความพยายามในการขุดบ่อน้ำเพื่อจัดหาน้ำ ก่อตั้งสหกรณ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้า ทวงคืนที่ดิน ปลูกยาสูบบ่มด้วยควัน และจัดตั้งจุดจำหน่ายเพื่อแก้ไขปัญหาการผลิตและเศรษฐกิจของหมู่บ้าน[29][30] ใน ค.ศ. 1975 เมื่ออำเภอเหยียนชวนได้รับโควตาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหฺวา คณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเหยียนชวนจึงแนะนำสีให้เข้าศึกษา[31] ตั้งแต่ ค.ศ. 1975 ถึง 1979 สีศึกษาด้านวิศวกรรมเคมีที่มหาวิทยาลัยชิงหฺวาในฐานะนักศึกษาแรงงาน-ชาวนา-ทหารในปักกิ่ง[32][33]
อาชีพการเมืองช่วงต้น
แก้คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง
แก้หลังสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ค.ศ. 1979 สีได้รับมอบหมายให้ประจำที่สำนักงานทั่วไปของคณะมนตรีรัฐกิจและสำนักงานทั่วไปของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นหนึ่งในสามเลขานุการของเกิ่ง เปียว[34] สมาชิกกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม[35][7]
เหอเป่ย์
แก้วันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1982 สีได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการพรรคประจำอำเภอเจิ้งติ้ง มณฑลเหอเป่ย์[36][37] เขากับและลฺหวี่ ยฺวี่หลาน (吕玉兰) รองเลขาธิการพรรคประจำเจิ้งติ้งอีกคนหนึ่ง ร่วมกันเขียนจดหมายถึงรัฐบาลกลางเพื่อแจ้งเรื่องการจัดเก็บภาษีที่มากเกินไปซึ่งสร้างภาระให้กับเกษตรกรในท้องถิ่น[38] ความพยายามของพวกเขานั้นประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้รัฐบาลกลางลดปริมาณการจัดเก็บประจำปีลง 14 ล้านกิโลกรัม[22] ใน ค.ศ. 1983 เจิ้งติ้งปรับโครงสร้างการเกษตร นำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของรายได้เกษตรกรจาก 148 หยวนเป็นมากกว่า 400 หยวนใน ค.ศ. 1984[39] ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจของอำเภอได้อย่างถ่องแท้[40]
ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคประจำอำเภอเจิ้งติ้งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1983[41][38] สีริเริ่มโครงการพัฒนาหลายโครงการ รวมถึงการพัฒนา "เก้าพรสวรรค์แห่งเจิ้งติ้ง"[41] การก่อสร้างสวนสาธารณะฉางชาน[42] การฟื้นฟูวัดหลงซิง การจัดตั้งบริษัทท่องเที่ยว และการก่อตั้งคฤหาสน์หรงกั๋วและศูนย์เทเบิลเทนนิสเจิ้งติ้ง[43] เขายังชักชวนศูนย์ผลิตละครโทรทัศน์จีนให้ใช้เจิ้งติ้งเป็นสถานที่ถ่ายทำเรื่องความฝันในหอแดงและได้รับเงิน 3.5 ล้านหยวนเพื่อสร้างคฤหาสน์หรงกั๋ว[44] ซึ่งช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของอำเภออย่างมาก สร้างรายได้ 17.61 ล้านหยวนในปีนั้น[45] นอกจากนี้ สียังเชิญบุคคลสำคัญ เช่น ฮฺว่า หลัวเกิง, ยฺหวี กวงยฺเหวี่ยน, ผาน เฉิงเซี่ยวมาเยี่ยมเยียนเจิ้งติง[46] ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์ "กึ่งเมือง" ของอำเภอ[43] โดยใช้ประโยชน์จากที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับฉือเจียจวงเพื่อการเติบโตทางธุรกิจที่หลากหลาย[47][48]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1984 ระหว่างการประชุมสรุปที่เหอ ไจ้ เลขาธิการของกรมองค์การส่วนกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นประธาน สี จิ้นผิงแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์และความเข้าใจอย่างรอบด้านเกี่ยวกับการพัฒนาของอำเภอเจิ้งติ้ง[49] เหอ ไจ้ พร้อมด้วยเว่ย์ เจี้ยนสิง รองหัวหน้ากรมองค์การส่วนกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน แจ้งผลการประชุมเหล่านี้ต่อหู เย่าปัง โดยบรรยายว่าสีเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์และมีอุดมการณ์แข็งแกร่งในการเป็นพันธมิตรระหว่างกรรมกรและชาวนา[50][51] ใน ค.ศ. 1985 สีเข้าร่วมการศึกษาดูงานเกี่ยวกับการแปรรูปข้าวโพดและเดินทางไปยังรัฐไอโอวา สหรัฐ[52] เพื่อศึกษาการผลิตทางการเกษตรและเทคโนโลยีการแปรรูปข้าวโพด[53][49] ระหว่างการเยือนสหรัฐ กรมองค์การส่วนกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนตัดสินใจย้ายสีไปยังเซี่ยเหมินเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมาธิการสามัญประจำคณะกรรมาธิการพรรคประจำเทศบาลนครเซี่ยหมินและรองนายกเทศมนตรี[50]
ฝูเจี้ยน
แก้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1985 เมื่อสีเดินทางมาถึงเซี่ยเหมินในฐานะรองนายกเทศมนตรี เขาร่างแผนยุทธศาสตร์ฉบับแรกสำหรับการพัฒนาเมือง ซึ่งก็คือ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเซี่ยเหมิน ค.ศ. 1985–2000[54] ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป นอกจากการช่วยเตรียมการจัดตั้งสายการบินเซี่ยเหมิน[55] ศูนย์ข้อมูลเศรษฐกิจเซี่ยเหมิน[56] และโครงการถนนเขตบริหารพิเศษเซี่ยเหมิน เป็นต้น เขายังกำกับดูแลการแก้ปัญหาสำหรับการบำบัดฟื้นฟูทะเลสาบยฺหวินตังแบบองค์รวมด้วย[57] เขาแต่งงานกับเผิง ลี่ยฺหวียนในเซี่ยเหมิน[58][59]
เขาเริ่มรับตำแหน่งหัวหน้าภูมิภาคหลังได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการหนิงเต๋อในเดือนกันยายน ค.ศ. 1988[60] เศรษฐกิจของหนิงเต๋อในเวลานั้นย่ำแย่กว่าฝูโจวและเซี่ยเหมินมาก[61] สีรวบรวมบันทึกและประสบการณ์การทำงานของเขาในช่วงที่อยู่ในหนิงเต๋อไว้ในหนังสือชื่อ Getting out of Poverty (แปลว่า การหลุดพ้นจากความยากจน)[62] และดูแลความพยายามขจัดความยากจนในท้องถิ่นรวมถึงโครงการสร้างพรรคคอมมิวนิสต์จีนในพื้นที่[63] คณะกรรมาธิการพรรคประจำมณฑลฝูเจี้ยนมีมติในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1990 ให้แต่งตั้งสีไปประจำที่นครฝูโจวในตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการเทศบาล[64]
ใน ค.ศ. 1997 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสำรองของคณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 15 ใน ค.ศ. 1999 เขาได้รับตำแหน่งรองผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน และเป็นผู้ว่าการในอีกหนึ่งปีต่อมา สีเสนอแนวคิดสามเหลี่ยมทองคำที่แม่น้ำหมิ่น (จีน: 闽江口金三角经济圈) และดูแลการก่อสร้างแผนแม่บทโครงการฝูโจว 3820[65] ซึ่งเค้าโครงการเติบโตของนครฝูโจวสำหรับ 3, 8 และ 20 ปี[66] เขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติฉางเล่อ โครงการผันน้ำแม่น้ำหมิ่น ศูนย์กลางโทรคมนาคมฝูโจว และท่าเรือฝูโจว เป็นต้น เขาให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนจากไต้หวันและต่างชาติ[67] โดยมีการจัดตั้ง Southwest TPV Electronics และ Southeast Automobile ในฝูโจว และส่งเสริม Fuyao Glass, Newland Digital Technology และบริษัทผู้ผลิตอื่น ๆ[64] นอกจากนี้ เขายังฟื้นฟูสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น ซานฟางชีเซี่ยงในฝูโจว เดินหน้าโครงการฟื้นฟูเมือง และแก้ไขปัญหาความยากจนบนเกาะผิงถานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใน ค.ศ. 1995 สีได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคประจำมณฑลฝูเจี้ยนและดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนตั้งแต่ ค.ศ. 1999 ถึง 2002 ในช่วงนั้นเขานำเสนอแนวคิด "มหานคร" และสนับสนุนกลยุทธ์การเติบโตระหว่างเกาะของฝูโจวและเซี่ยเหมิน ซึ่งกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสามารถแก้ไขผลกระทบจากคดีลักลอบขนสินค้ายฺเหวี่ยนหฺวา (จีน: 远华走私案) และนำกลยุทธ์การพัฒนาใหม่มาใช้ได้อย่างรวดเร็ว[68] สียังดูแลการพัฒนา "ดิจิทัลฝูเจี้ยน" รวมถึงสายด่วนร้องเรียนของมณฑลเข้าสู่ "แพลตฟอร์มบริการพลเมือง 12345" ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร[65]
เจ้อเจียง
แก้ใน ค.ศ. 2002 สีออกจากมณฑลฝูเจี้ยนและเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองชั้นนำในมณฑลเจ้อเจียงที่อยู่ใกล้เคียง ท้ายที่สุดเขาก็เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคประจำมณฑลหลังดำรงตำแหน่งรักษาการผู้ว่าการอยู่หลายเดือน ถือเป็นการดำรงตำแหน่งสูงสุดในระดับมณฑลเป็นครั้งแรกในอาชีพของเขา ใน ค.ศ. 2002 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกเต็มตัวของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 16 บ่งบอกถึงการก้าวขึ้นสู่เวทีระดับชาติของเขา ขณะอยู่ในเจ้อเจียง สีเป็นประธานการบริหารการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งมีรายงานว่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 14 ต่อปี[69] ในช่วงเวลานี้ เจ้อเจียงเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ[70]: 121 อาชีพของเขาในเจ้อเจียงโดดเด่นด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวและตรงไปตรงมาในการต่อต้านเจ้าหน้าที่ทุจริต สิ่งนี้ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในสื่อระดับชาติและดึงดูดความสนใจของผู้นำสูงสุดของจีน[71] ระหว่าง ค.ศ. 2004 ถึง 2007 หลี่ เฉียงดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของสีโดยผ่านตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคเจ้อเจียง ซึ่งพวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์ใกล้ชิดซึ่งกันและกัน[72]
เซี่ยงไฮ้
แก้ตามที่มีการปลดเฉิน เหลียงยฺหวี่ เลขาธิการพรรคประจำเซี่ยงไฮ้ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 เนื่องจากพัวพันกับคดีอื้อฉาวกองทุนประกันสังคม สีก็ถูกย้ายมายังเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 โดยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคอยู่ที่นั่นเป็นเวลาเจ็ดเดือน[73][74] ในเซี่ยงไฮ้ สีเลี่ยงความขัดแย้งและเป็นที่รู้จักในเรื่องการรักษาวินัยของพรรคอย่างเคร่งครัด ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารของเซี่ยงไฮ้พยายามเอาใจเขาด้วยการจัดรถไฟพิเศษเพื่อรับส่งเขาระหว่างเซี่ยงไฮ้และหางโจวเพื่อให้เขาดำเนินการส่งมอบงานให้กับจ้าว หงจู้ ผู้รับตำแหน่งต่อจากเขาในฐานะเลขาธิการพรรคเจ้อเจียงให้เสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า สี จิ้นผิง ปฏิเสธจะขึ้นรถไฟ โดยอ้างถึงระเบียบพรรคที่บังคับใช้อย่างหลวม ๆ ว่ารถไฟพิเศษสงวนไว้สำหรับ "ผู้นำระดับประเทศ" เท่านั้น[75] ขณะอยู่ในเซี่ยงไฮ้ เขาทำงานเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพขององค์กรพรรคท้องถิ่น เขาให้คำมั่นว่าจะไม่มีการ "กวาดล้าง" ในช่วงการบริหารของเขา แม้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจำนวนมากจะถูกสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอื้อฉาวของเฉิน เหลียงยฺหวี่ก็ตาม[76] ในประเด็นส่วนใหญ่ สีก็ดำเนินตามแนวทางของผู้นำส่วนกลางเป็นส่วนใหญ่[77]
คณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมือง
แก้สีได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองซึ่งมีสมาชิกเก้าคนในการประชุมสภาพรรคครั้งที่ 17 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 เขามีตำแหน่งสูงกว่าหลี่ เค่อเฉียง เป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะสืบทอดตำแหน่งผู้นำจีนต่อจากหู จิ่นเทา นอกจากนี้ สียังดำรงตำแหน่งในสำนักเลขาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน การประเมินนี้ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมโดยสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 11 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 เมื่อสีได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน[78] หลังได้รับเลื่อนตำแหน่ง สีดูแลงานหลากหลายด้าน เขามีหน้าที่รับผิดชอบการเตรียมการที่ครอบคลุมสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ในปักกิ่ง ตลอดจนเป็นบุคคลสำคัญของรัฐบาลกลางในกิจการฮ่องกงและมาเก๊า นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งประธานคนใหม่ของโรงเรียนส่วนกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ฝ่ายฝึกอบรมแกนนำและให้การศึกษาด้านอุดมการณ์ของพรรค ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวน ค.ศ. 2008 สีเดินทางไปเยี่ยมพื้นที่ประสบภัยในมณฑลฉ่านซีและกานซู่ เขาเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกในฐานะรองประธานาธิบดีไปยังเกาหลีเหนือ มองโกเลีย ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์และเยเมนตั้งแต่วันที่ 17 ถึง 25 มิถุนายน ค.ศ. 2008[79] หลังจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก สีได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการเตรียมงานฉลองครบรอบ 60 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีรายงานว่าเขายังเป็นผู้นำคณะกรรมาธิการระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เรียกว่าโครงการ 6521 ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการรักษาเสถียรภาพทางสังคมในช่วงวันครบรอบที่ละเอียดอ่อนทางการเมืองใน ค.ศ. 2009[80]
ตำแหน่งของสีในฐานะผู้สืบทอดอำนาจที่ชัดเจนในการเป็นผู้นำสูงสุดนั้นถูกคุกคามจากการผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วของปั๋ว ซีไหล เลขาธิการพรรคประจำฉงชิ่งในขณะนั้น ปั๋วถูกคาดการณ์ว่าจะได้เข้าร่วมคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองในการประชุมสภาพรรคครั้งที่ 18 โดยส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเขาจะพยายามหาทางโค่นล้มสีในที่สุด[81] นโยบายของปั๋วในฉงชิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการเลียนแบบไปทั่วประเทศจีนและได้รับการชื่นชมจากสีด้วยตนเองระหว่างการเยือนฉงชิ่งของสีใน ค.ศ. 2010 บันทึกคำชื่นชมจากสีเหล่านั้นถูกลบออกในภายหลังเมื่อเขากลายเป็นผู้นำสูงสุด การล่มสลายของปั๋วเกิดขึ้นจาก อุบัติการณ์หวัง ลี่จฺวิน ซึ่งเปิดทางให้สีก้าวขึ้นสู่อำนาจโดยไร้คู่แข่ง[82]
สีถือเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของกลุ่มเจ้าชายน้อย กลุ่มนักการเมืองที่สืบเชื้อสายมาจากนักปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีนยุคแรกเริ่ม ลี กวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เมื่อถูกถามเกี่ยวกับสี เขากล่าวว่ารู้สึกว่าเขาเป็น "คนที่มีความคิดรอบคอบ ผู้ซึ่งผ่านการทดสอบและความยากลำบากมามากมาย"[83] ลียังให้ความเห็นอีกว่า: "ผมจัดเขาอยู่ในประเภทบุคคลเดียวกับเนลสัน แมนเดลา เป็นคนที่มีเสถียรภาพทางอารมณ์สูงมาก ซึ่งไม่ยอมให้ความโชคร้ายหรือความทุกข์ทรมานส่วนตัวมาส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาน่าประทับใจ"[84] เฮนรี พอลสัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ บรรยายสีว่า "เป็นคนประเภทที่รู้ว่าจะทำเรื่องต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไร"[85] เควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวว่าสี "มีพื้นเพด้านการปฏิรูป พรรค และการทหารเพียงพอที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก"[86]
การเยือนในฐานะรองประธานาธิบดี
แก้ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 ขณะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี สีออกเดินทางเยือนลาตินอเมริกา โดยไปเยือนเม็กซิโก จาเมกา[87] โคลอมเบีย เวเนซุเอลา[88] บราซิล[89] และมอลตา หลังจากนั้นเขาก็เดินทางกลับจีน[90] วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 ขณะเยือนเม็กซิโก สีกล่าวต่อหน้ากลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลและอธิบายถึงการมีส่วนร่วมของจีนในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินระหว่างประเทศ โดยกล่าวว่าเป็นการ "มีส่วนร่วมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อมวลมนุษยชาติทั้งหมด ที่จีนได้กระทำไป เพื่อป้องกันไม่ให้ประชากร 1,370 ล้านคนของตนต้องอดอยาก"[b] เขายังกล่าวต่อไปว่า: "มีชาวต่างชาติที่เบื่อหน่ายบางคน ท้องอิ่ม ไม่รู้จะทำอะไรดีกว่าการชี้หน้าพวกเรา ประการแรก จีนไม่ได้ส่งออกการปฏิวัติ ประการที่สอง จีนไม่ได้ส่งออกความหิวโหยและความยากจน ประการที่สาม จีนไม่ได้มาสร้างความปวดหัวให้คุณ มีอะไรจะต้องพูดอีก?"[c][91] เรื่องราวดังกล่าวถูกรายงานในสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นบางแห่ง ข่าวนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างล้นหลามในฟอรัมอินเทอร์เน็ตของจีนและมีรายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศของจีนถูกจับได้ว่าไม่ทันตั้งตัวกับคำกล่าวของสี เนื่องจากวิดีโอจริงถูกถ่ายโดยนักข่าวฮ่องกงที่ติดตามไปด้วยและออกอากาศทางโทรทัศน์ฮ่องกง ซึ่งต่อมาปรากฏบนเว็บไซต์วิดีโอต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต[92]
สีเดินทางเยือนเบลเยียม เยอรมนี บัลแกเรีย ฮังการี และโรมาเนียในสหภาพยุโรปตั้งแต่วันที่ 7 ถึง 21 ตุลาคม ค.ศ. 2009[93] เขาเดินทางเยือนญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, กัมพูชา และเมียนมาในการเดินทางเยือนเอเชียตั้งแต่วันที่ 14 ถึง 22 ธันวาคม ค.ศ. 2009[94] ต่อมาเขาเดินทางเยือนสหรัฐ, ไอร์แลนด์และตุรกีในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 การเยือนครั้งนี้รวมถึงการเข้าพบบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้นที่ทำเนียบขาวและโจ ไบเดิน รองประธานาธิบดี (โดยมีไบเดนเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการ)[95] และแวะที่รัฐแคลิฟอร์เนียและไอโอวา ในไอโอวา เขาพบกับครอบครัวที่เคยให้การต้อนรับเขาเมื่อครั้งเขามาเยือนใน ค.ศ. 1985 ในฐานะเจ้าหน้าที่มณฑลเหอเป่ย์[96]
การขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด
แก้ไม่กี่เดือนก่อนเขาจะขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำพรรค สีหายตัวไปจากการรายงานข่าวของสื่อทางการและยกเลิกการประชุมกับเจ้าหน้าที่ต่างชาติเป็นเวลาหลายสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2012 ทำให้เกิดข่าวลือ[7] จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวอีกครั้งในวันที่ 15 กันยายน[97] วันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 สีได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคและประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางโดยคณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 18 สิ่งนี้ทำให้เขากลายเป็นหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเป็นทางการ และเป็นผู้นำสูงสุดอย่างไม่เป็นทางการและยังเป็นคนแรกที่เกิดหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน วันรุ่งขึ้นสีนำคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองชุดใหม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก[98] คณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองลดจำนวนลงจากเก้าคนเหลือเจ็ดคน โดยมีสีและหลี่ เค่อเฉียงยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ ส่วนสมาชิกอีกห้าคนเป็นสมาชิกใหม่[99][100][101] ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกของสีในฐานะเลขาธิการใหญ่ ซึ่งต่างจากแนวปฏิบัติทั่วไปของผู้นำจีนอย่างเห็นได้ชัด เขาใช้ถ้อยคำเรียบง่ายและไม่มีคำขวัญทางการเมืองหรือกล่าวถึงบรรพบุรุษของเขา[102] สีกล่าวถึงความปรารถนาของคนทั่วไป โดยกล่าวว่า "ประชาชนของเรา...คาดหวังการศึกษาที่ดีขึ้น งานที่มั่นคงขึ้น รายได้ที่ดีขึ้น การประกันสังคมที่น่าเชื่อถือมากขึ้น การดูแลทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานสูงขึ้น สภาพความเป็นอยู่สบายขึ้น และสิ่งแวดล้อมที่สวยงามยิ่งขึ้น" สีให้คำมั่นที่จะจัดการกับการทุจริตในระดับสูงสุด โดยบอกเป็นนัยว่าสิ่งนี้จะคุกคามการอยู่รอดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขานิ่งเฉยเกี่ยวกับการปฏิรูปเศรษฐกิจที่กว้างขวาง[103]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 สีเดินทางเยือนมณฑลกวางตุ้งซึ่งเป็นการเดินทางออกนอกปักกิ่งครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ ประเด็นหลักของการเดินทางครั้งนี้คือการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจเพิ่มเติมและเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางทหาร สีเยี่ยมชมรูปปั้นของเติ้ง เสี่ยวผิงและการเดินทางครั้งนี้ถูกอธิบายว่าเป็นการเดินตามรอยการเดินทางเยือนภาคใต้ของเติ้งใน ค.ศ. 1992 ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปฏิรูปเศรษฐกิจเพิ่มเติมในจีนหลังผู้นำพรรคสายอนุรักษนิยมชะลอการปฏิรูปหลายอย่างของเติ้งภายหลังการประท้วงและการสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ในการเดินทางครั้งนั้น สีกล่าวถึงคำขวัญประจำตัวเองอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ "ความฝันของจีน" สีกล่าวกับทหารเรือว่า "ความฝันนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นความฝันของชาติที่แข็งแกร่ง และสำหรับกองทัพแล้ว มันคือความฝันของกองทัพที่แข็งแกร่ง"[104] การเดินทางของสีมีความสำคัญตรงที่เขาละเว้นจากธรรมเนียมปฏิบัติในการเดินทางของผู้นำจีนในหลาย ๆ ด้าน แทนที่จะรับประทานอาหารนอกโรงแรม สีและคณะรับประทานอาหารบุฟเฟต์ปกติของโรงแรม เขาเดินทางด้วยรถตู้ขนาดใหญ่กับเพื่อนร่วมงานแทนที่จะเป็นขบวนรถลิมูซีน และไม่ได้จำกัดการจราจรในส่วนของทางหลวงที่เขาเดินทางผ่าน[105]
สีได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2013 ในการลงคะแนนเสียงรับรองโดยสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 12 ในปักกิ่ง เขาได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบ 2,952 เสียง ไม่เห็นชอบ 1 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง[98] เขาเข้ารับตำแหน่งแทนหู จิ่นเทา ซึ่งเกษียณหลังดำรงตำแหน่งครบสองวาระ[106] วันที่ 17 มีนาคม สีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของเขาจัดการประชุมกับซีวาย เหลียง นายกองค์การบริหารฮ่องกง เพื่อยืนยันการสนับสนุนของเขาต่อเหลียง[107] ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังได้รับเลือก สีหารือเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์และเกาหลีเหนือกับประธานาธิบดีสหรัฐ บารัก โอบามา ทางโทรศัพท์ โอบามาประกาศการเยือนจีนของรัฐมนตรีคลัง แจ็ก ลิว และรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เอฟ. เคอร์รี ในสัปดาห์ถัดไป[108]
ผู้นำประเทศจีน
แก้การรณรงค์ต่อต้านการทุจริต
แก้— สี จิ้นผิง ในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์เมื่อ ค.ศ. 2012[109]
สีให้คำมั่นว่าจะปราบปรามการทุจริตทันทีหลังเขาขึ้นสู่อำนาจ ในสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ สีกล่าวว่าการต่อสู้กับการทุจริตเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุดสำหรับพรรค[110] ไม่กี่เดือนหลังเข้ารับตำแหน่ง สีสรุปกฎระเบียบแปดข้อ ระบุถึงกฎเกณฑ์ที่มุ่งควบคุมการทุจริตและการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในระหว่างการดำเนินงานของพรรคอย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างวินัยที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ สีให้คำมั่นว่าจะกำจัด "เสือและแมลงวัน" ที่หมายถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงและเจ้าหน้าที่พรรคทั่วไป[111]
สีริเริ่มคดีต่อสฺวี ไฉโฮ่วและกัว ปั๋วสฺยง อดีตรองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง โจว หย่งคัง อดีตสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองและหัวหน้าหน่วยความมั่นคง และลิ่ง จี้ฮฺว่า อดีตหัวหน้าผู้ช่วยของหู จิ่นเทา[112] ร่วมกับหวัง ฉีชาน หัวหน้าฝ่ายวินัยคนใหม่ รัฐบาลของสีเป็นหัวหอกในการจัดตั้ง "คณะตรวจสอบที่ส่งมาจากส่วนกลาง" คณะเหล่านี้เป็นหน่วยเฉพาะกิจข้ามเขตอำนาจศาลซึ่งมีหน้าที่ทำความเข้าใจการดำเนินงานขององค์กรพรรคระดับมณฑลและท้องถิ่น และบังคับใช้วินัยของพรรคตามที่ปักกิ่งกำหนด คณะทำงานมีผลในการระบุและริเริ่มการสอบสวนเจ้าหน้าที่ระดับสูง เจ้าหน้าที่ระดับมณฑล-รัฐมนตรีมากกว่าหนึ่งร้อยคนถูกพัวพันในระหว่างการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตทั่วประเทศ รวมถึงอดีตและปัจจุบันของเจ้าหน้าที่ระดับภูมิภาค บุคคลสำคัญของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐบาลกลาง รวมถึงนายพล ภายในสองปีแรกของการรณรงค์เพียงอย่างเดียว เจ้าหน้าที่กว่า 200,000 คนได้รับคำเตือน ค่าปรับ และการลดตำแหน่ง[113]
โครงการรณรงค์นี้นำไปสู่การล้มของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งที่ยังอยู่ในตำแหน่งและเกษียณไปแล้วหลายคน รวมถึงสมาชิกของคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมือง[114] การรณรงค์ปราบปรามการทุจริตของสีถูกมองจากนักวิจารณ์อย่าง ดิอีโคโนมิสต์ ว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกำจัดคู่แข่งที่มีศักยภาพและรวบรวมอำนาจ[115][116] การที่สีจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลแห่งชาติ หน่วยงานต่อต้านการทุจริตแห่งใหม่คือซึ่งมีอำนาจสูงกว่าศาลสูงสุด ได้รับการอธิบายโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่า "เป็นภัยคุกคามเชิงระบบต่อสิทธิมนุษยชน" ที่ "ทำให้ผู้คนหลายสิบล้านตกอยู่ภายใต้ความเมตตาของระบบที่ลับและแทบจะไม่มีความรับผิดชอบใด ๆ ที่อยู่เหนือกฎหมาย"[117][118] ณ ค.ศ. 2023 มีเจ้าหน้าที่รัฐประมาณ 2.3 ล้านคนถูกดำเนินคดี[119]: 129 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2018 สีเปิดตัวโครงการรณรงค์พิเศษสามปีเพื่อปราบปรามองค์กรอาชญากรรมและกำจัดความชั่วร้ายที่ดำเนินไปจนถึง ค.ศ. 2020[120] หลังโครงการรณรงค์พิเศษนี้เปิดเผยปัญหาในระบบกฎหมาย พรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศโครงการรณรงค์เพื่อให้ความรู้และแก้ไขคณะด้านการเมืองและกฎหมายในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2020[121][122]
สีได้กำกับดูแลการปฏิรูปที่สำคัญของคณะกรรมาธิการสอบวินัยส่วนกลาง สถาบันควบคุมภายในสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[123] เขากับหวัง ฉีชาน เลขาธิการคณะกรรมการฯ ทำให้คณะกรรมการฯ มีความเป็นอิสระจากการดำเนินงานประจำวันของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำหน้าที่เป็นองค์กรควบคุมที่แท้จริง[123] ตามรายงานของ เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล การลงโทษการทุจริตต่อเจ้าหน้าที่ระดับรองรัฐมนตรีหรือสูงกว่านั้นต้องได้รับอนุมัติจากสี[124] เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ระบุว่าเมื่อสีต้องการกำจัดคู่แข่งทางการเมือง เขาจะขอให้ผู้ตรวจสอบเตรียมหลักฐานหลายหน้า นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าเขามักอนุมัติการสอบสวนบุคคลใกล้ชิดของนักการเมืองระดับสูง เพื่อนำคนสนิทของเขามาแทนที่และย้ายคู่แข่งไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญน้อยกว่าเพื่อแยกพวกเขาออกจากฐานอำนาจทางการเมือง มีรายงานว่ากลยุทธ์เหล่านี้ยังถูกนำมาใช้กับหวัง ฉีชาน เพื่อนสนิทของสีด้วย[125]
จากคำกล่าวของหวัง เกิงอู่ นักจีนวิทยา สีสืบทอดพรรคที่เผชิญกับการทุจริตอย่างแพร่หลาย[126][127] สีเชื่อว่าการทุจริตในระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้พรรคและประเทศเสี่ยงต่อการล่มสลาย[126] หวังเสริมว่าสีมีความเชื่อว่ามีเพียงพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้นที่สามารถปกครองประเทศจีนได้ และการล่มสลายของพรรคจะเป็นหายนะสำหรับประชาชนชาวจีน สีและผู้นำรุ่นใหม่ตอบสนองด้วยการเปิดตัวการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตเพื่อขจัดการทุจริตในระดับสูงของรัฐบาล[126]
การตรวจพิจารณา
แก้นับตั้งแต่สีดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ การตรวจพิจารณาก็ได้ทวีความรุนแรงขึ้น[128][129] ในการเป็นประธานการประชุมธรรมาภิบาลไซเบอร์เปซจีน ค.ศ. 2018 สีให้คำมั่นที่จะ "ปราบปรามอาชญากรรมอย่างรุนแรงรวมถึงการแฮ็ก การฉ้อโกงทางโทรคมนาคม และการละเมิดความเป็นส่วนตัวของพลเมือง"[130] ระหว่างการเยี่ยมชมสื่อของรัฐบาลจีน สีกล่าวว่า "สื่อที่พรรคและรัฐบาลเป็นเจ้าของต้องยึดมั่นในสกุลของพรรค" และสื่อของรัฐ "จะต้องเป็นตัวแทนเจตจำนงของพรรค ปกป้องอำนาจของพรรค"[131]
รัฐบาลของเขาดูแลการจำกัดการใช้อินเทอร์เน็ตที่เข้มงวดมากขึ้น และถูกอธิบายว่า "เข้มงวดในทุกด้าน" เกี่ยวกับการพูดมากกว่ารัฐบาลชุดก่อน ๆ[132] สีได้แสดงจุดยืนแข็งกร้าวในการควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในประเทศจีน รวมถึงกูเกิลและเฟซบุ๊ก[133] โดยสนับสนุนการตรวจพิจารณาอินเทอร์เน็ตภายใต้แนวคิดอธิปไตยทางอินเทอร์เน็ต[134][135] การตรวจพิจารณาวิกิพีเดียเป็นไปอย่างเข้มงวด ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2019 วิกิพีเดียทุกเวอร์ชันถูกบล็อก[136] ทำนองเดียวกัน สถานการณ์สำหรับผู้ใช้เวย์ปั๋วถูกอธิบายว่าเปลี่ยนจากความกลัวว่าบัญชีจะถูกลบ ไปเป็นความกลัวการถูกจับกุม[137]
กฎหมายที่ตราขึ้นใน ค.ศ. 2013 อนุญาตให้จำคุกเป็นเวลาสามปีสำหรับบล็อกเกอร์ที่แชร์เนื้อหาที่ถือว่า "หมิ่นประมาท" มากกว่า 500 ครั้ง[138] กรมสารนิเทศทางอินเทอร์เน็ตแห่งรัฐเรียกตัวบล็อกเกอร์ผู้ทรงอิทธิพลเข้าร่วมการสัมมนาเพื่อสั่งการให้เลี่ยงการเขียนเกี่ยวกับเรื่องการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือการแสดงความเห็นขัดแย้งกับคำแถลงอย่างเป็นทางการ บล็อกเกอร์หลายคนหยุดเขียนเกี่ยวกับประเด็นที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียง และเวย์ปั๋วก็เริ่มเสื่อมความนิยมลง โดยผู้อ่านจำนวนมากหันไปใช้วีแชตเพื่อพูดคุยกันในวงสังคมจำกัด[138]
การรวบรวมอำนาจ
แก้นักวิเคราะห์การเมืองขนานนามสีว่าคือผู้นำจีนที่ทรงอำนาจที่สุดนับตั้งแต่เหมา เจ๋อตง โดยเฉพาะหลังการยกเลิกข้อจำกัดการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสองสมัยใน ค.ศ. 2018[139][140][141][142] สีแยกตัวออกจากแนวปฏิบัติผู้นำร่วมของผู้นำจีนยุคหลังเหมา เขารวบอำนาจและจัดตั้งคณะทำงานโดยมีตนเองเป็นหัวหน้าเพื่อเลี่ยงระบบรัฐการ ทำให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของรัฐบาล[143] ในความเห็นของนักรัฐศาสตร์อย่างน้อยหนึ่งคน สีได้ "ห้อมล้อมตัวเองด้วยคณะทำงานที่เขาเคยพบเจอขณะประจำอยู่ตามชายฝั่งทะเล ทั้งในฝูเจี้ยน เซี่ยงไฮ้ และเจ้อเจียง"[144]
นักสังเกตการณ์กล่าวว่าสีบั่นทอนอิทธิพลของกลุ่ม "ถวนไพ่" ที่เคยมีอิทธิพลอย่างมาก หรืออีกชื่อหนึ่งคือฝ่ายสันนิบาตเยาวชน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เติบโตมาจากสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์[145] เขาวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่ของสันนิบาตฯ โดยกล่าวว่า [เจ้าหน้าที่เหล่านี้] ไม่สามารถพูดเรื่องวิทยาศาสตร์ วรรณกรรมและศิลปะ การงาน หรือชีวิต [กับคนหนุ่มสาว] ได้เลย สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็แค่พูดถึงเรื่องรัฐการแบบเดิม ๆ และถ้อยคำที่เป็นแบบแผนซ้ำซากเท่านั้น[146]
ใน ค.ศ. 2018 สภาประชาชนแห่งชาติผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญรวมถึงการยกเลิกข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี การจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลแห่งชาติ ตลอดจนการเสริมสร้างบทบาทหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[147][148] สีได้รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง โดยไม่มีการจำกัดวาระอีกต่อไป[149][150] ขณะที่หลี่ เค่อเฉียงได้รับแต่งตั้งให้นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง[151] ตามรายงานของ ไฟแนนเชียลไทมส์ สีแสดงทัศนะเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในการประชุมกับเจ้าหน้าที่จีนและบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ สีอธิบายการตัดสินใจนี้โดยกล่าวถึงความจำเป็นในการประสานสองตำแหน่งที่ทรงอำนาจกว่า นั่นคือ เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ซึ่งไม่มีการจำกัดวาระ อย่างไรก็ตาม สีไม่ได้ระบุว่าเขาตั้งใจจะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางและประธานาธิบดีแห่งรัฐ เป็นเวลาสามวาระหรือมากกว่านั้นหรือไม่[152]
ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่หกของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2021 พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีมติทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเอกสารที่ประเมินประวัติศาสตร์ของพรรค นี่เป็นครั้งที่สามหลังมติที่ออกโดยเหมา เจ๋อตงและเติ้ง เสี่ยวผิง[153][154] เมื่อเทียบกับมติทางประวัติศาสตร์ฉบับอื่น ๆ มติของสีไม่ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนประเมินประวัติศาสตร์ของตน[155] เพื่อให้สอดคล้องกับมติทางประวัติศาสตร์ พรรคคอมมิวนิสต์จีนส่งเสริมแนวคิด "สองสถาปนา" (Two Establishes) และ "สองธำรงไว้" (Two Upholds) โดยเรียกร้องให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนรวมกันและปกป้องสถานะหลักของสีภายในพรรค[156]
การประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 ถึง 22 ตุลาคม ค.ศ. 2022 มีการแก้ไขธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีนและการเลือกสีกลับมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางเป็นสมัยที่สาม โดยผลลัพธ์โดยรวมของการประชุมครั้งนี้คือการเสริมสร้างอำนาจของสีให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น[157] การได้รับเลือกกลับมาอีกครั้งของสีทำให้เขากลายเป็นหัวหน้าพรรคคนแรกนับตั้งแต่เหมา เจ๋อตงที่ได้รับเลือกเป็นสมัยที่สาม แม้เติ้ง เสี่ยวผิงจะปกครองประเทศอย่างไม่เป็นทางการเป็นระยะเวลานานกว่าก็ตาม[158] คณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองชุดใหม่ที่ได้รับเลือกภายหลังการประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่นานนั้นเต็มไปด้วยบุคคลที่ใกล้ชิดกับสีเกือบทั้งหมด โดยมีสมาชิกสี่ในเจ็ดคนของคณะกรรมาธิการฯ ชุดก่อนหน้าก้าวลงจากตำแหน่ง[159] สียังได้รับเลือกกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนและประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกครั้งในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2023 ระหว่างการเปิดประชุมสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 14 ขณะที่หลี่ เฉียง พันธมิตรของสีได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากหลี่ เค่อเฉียง[160]
ลัทธิบูชาบุคคล
แก้สีได้สร้างลัทธิบูชาบุคคลขึ้นรอบตัวเขาเองนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง[161][162] ด้วยหนังสือ การ์ตูน เพลงป๊อปและการเต้นรำที่ยกย่องการปกครองของเขา[163] หลังการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำแกนหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน สีถูกเรียกขานว่า สีต้าต้า (习大大, ลุงหรือป๊าสี)[163][164] แม้การเรียกขานนี้จะยุติลงในเดือนเมษายน ค.ศ. 2016[165] หมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ซึ่งเป็นสถานที่ที่สีถูกส่งไปทำงานนั้น ถูกตกแต่งด้วยโฆษณาชวนเชื่อและจิตรกรรมฝาผนังที่ยกย่องช่วงปีแห่งการสร้างตัวของเขา[166] กรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนเรียกขานสีว่า หลิ่งซิ่ว (领袖) ศัพท์ที่แสดงความเคารพต่อ "ผู้นำ" และเป็นตำแหน่งที่เคยมีเพียงเหมา เจ๋อตงและฮฺว่า กั๋วเฟิง ผู้สืบทอดตำแหน่งโดยตรงของเขาเท่านั้นที่ได้รับ[167][168][169] บางครั้งเขาก็ถูกเรียกว่า "ผู้กุมหางเสือ" (领航掌舵)[170] วันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 2019 กรมการเมืองประกาศอย่างเป็นทางการให้สีเป็น "ผู้นำของประชาชน" (人民领袖; rénmín lǐngxiù) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เหมาเคยได้รับเพียงคนเดียว[171]
เศรษฐกิจและเทคโนโลยี
แก้สีเดิมทีถูกมองว่าเป็นนักปฏิรูปตลาด[172] และคณะกรรมาธิการกลางภายใต้การนำของเขาประกาศว่า "พลังตลาด" จะเริ่มมีบทบาท "ชี้ขาด" ในการจัดสรรทรัพยากร[173] หมายความว่ารัฐจะค่อย ๆ ลดการเข้ามามีส่วนร่วมในการกระจายทุน และปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่มากขึ้น โดยอาจดึงดูดผู้เล่นจากต่างประเทศและภาคเอกชนเข้ามาในอุตสาหกรรมที่ก่อนหน้านี้มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่ขยายตัวอย่างมากเกินไปและได้กำไรอย่างไม่เป็นธรรมจากการปรับโครงสร้างโดยการซื้อสินทรัพย์ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อีกต่อไป สีเปิดตัวเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 2013 ซึ่งถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปเศรษฐกิจ[174] อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าใน ค.ศ. 2017 คำมั่นของสีในการปฏิรูปเศรษฐกิจได้หยุดชะงักไป[175][172] ใน ค.ศ. 2015 ฟองสบู่ตลาดหุ้นจีนแตก ซึ่งทำให้สีต้องใช้กำลังของรัฐเข้าแก้ไข[176] ตั้งแต่ ค.ศ. 2012 ถึง 2022 สัดส่วนมูลค่าตลาดของบริษัทเอกชนในบริษัทจดทะเบียนชั้นนำของจีนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นกว่าร้อยละ 40[177] เขายังได้กำกับดูแลการผ่อนปรนข้อจำกัดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและเพิ่มการถือครองหุ้นและพันธบัตรข้ามพรมแดน[177]
สีได้เพิ่มการควบคุมเศรษฐกิจของรัฐ โดยแสดงการสนับสนุนต่อรัฐวิสาหกิจ[178][172] ขณะเดียวกันก็สนับสนุนภาคเอกชนด้วยเช่นกัน[179] การควบคุมรัฐวิสาหกิจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เพิ่มขึ้น ขณะที่มีการดำเนินการตามขั้นตอนจำกัดการเปิดเสรีตลาด เช่น การเพิ่มการเป็นเจ้าของแบบผสมในรัฐวิสาหกิจ[180] ภายใต้การนำของสี "กองทุนนำร่องของรัฐบาล" กองทุนลงทุนร่วมภาครัฐและเอกชนที่จัดตั้งขึ้นโดยหรือเพื่อหน่วยงานรัฐบาล ได้ระดมทุนมากกว่า 9 แสนล้านดอลลาร์สำหรับการให้ทุนเบื้องต้นแก่บริษัทที่ทำงานในภาคส่วนที่รัฐบาลถือว่ามีกลยุทธ์[181] รัฐบาลของเขาทำให้ธนาคารสามารถออกสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น เพิ่มการมีส่วนร่วมของต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ และเพิ่มบทบาทของสกุลเงินประจำชาติอย่างเงินหยวนในระดับโลก ช่วยให้เงินหยวนเข้าร่วมในกลุ่มสกุลเงินของสิทธิพิเศษถอนเงินของไอเอ็มเอฟ[182] ใน ค.ศ. 2018 เขาสัญญาว่าจะดำเนินการปฏิรูปต่อไปแต่เตือนว่าไม่มีใคร "สามารถบงการประชาชนจีนได้"[183]
เศรษฐกิจของจีนเติบโตภายใต้การนำของสี โดยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 8.5 ล้านล้านดอลลาร์ใน ค.ศ. 2012 เป็น 17.8 ล้านล้านดอลลาร์ใน ค.ศ. 2023[184] ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อหัวที่แท้จริงของจีนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกใน ค.ศ. 2021[185] แม้การเติบโตจะชะลอตัวลงจากร้อยละ 7.9 ใน ค.ศ. 2012 เหลือร้อยละ 5.2 ใน ค.ศ. 2023[186] สีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "การเติบโตที่มีคุณภาพสูง" แทนที่จะเป็น "การเติบโตที่เฟ้อ"[187] เขาได้กล่าวว่าจีนได้ละทิ้งกลยุทธ์ "การเติบโตในทุกวิถีทาง" ซึ่งสีอ้างถึงว่าเป็น "วีรกรรม GDP"[188] แต่สีกล่าวว่าปัญหาทางสังคมอื่น ๆ เช่น การปกป้องสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญ[188] สีได้ตั้งเป้าหมายสำคัญในการขจัดความยากจนขั้นรุนแรงผ่านการบรรเทาความยากจนที่มุ่งเป้า[189] ใน ค.ศ. 2015 เขาเปิดตัวการต่อสู้กับความยากจน[190] ซึ่งสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 2021 เมื่อสีประกาศ "ชัยชนะสมบูรณ์" เหนือความยากจนขั้นรุนแรง โดยกล่าวว่ามีประชาชนเกือบ 100 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนภายใต้การดำรงตำแหน่งของเขา แม้ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าเกณฑ์ความยากจนของจีนต่ำกว่าของธนาคารโลก[191] ใน ค.ศ. 2020 นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง อ้างถึงสำนักสถิติแห่งชาติ (NBS) กล่าวว่าจีนยังมีประชากร 600 ล้านคนที่มีรายได้น้อยกว่า 1,000 หยวน (140 ดอลลาร์) ต่อเดือน แม้ ดิอีโคโนมิสต์ กล่าวว่าวิธีการที่ NBS ใช้มีข้อบกพร่อง[192] เมื่อสีเข้ารับตำแหน่งใน ค.ศ. 2012 ประชากรจีนร้อยละ 54 มีรายได้น้อยกว่า 6.85 ดอลลาร์ต่อวัน แต่ใน ค.ศ. 2021 ตัวเลขนี้ลดลงเหลือร้อยละ 17[193]
สีได้เผยแพร่นโยบายที่เรียกว่าวงจรคู่ขนาน หมายถึงการปรับทิศทางเศรษฐกิจไปสู่การบริโภคภายในประเทศขณะที่ยังคงเปิดรับการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ[194] สีให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลิตภาพ[195] สีได้พยายามปฏิรูปภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อต่อสู้กับการเพิ่มขึ้นของราคาอย่างรวดเร็วและลดการพึ่งพาภาคส่วนนี้ของเศรษฐกิจ[196] การประชุมสภาแห่งชาติพรรคครั้งที่ 19 สีประกาศว่า "บ้านมีไว้เพื่ออาศัย ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร"[197] ใน ค.ศ. 2020 รัฐบาลของสีกำหนดนโยบาย "สามเส้นแดง" ที่มุ่งเป้าไปที่การลดภาระหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สินจำนวนมาก[198] สีสนับสนุนการเก็บภาษีทรัพย์สิน ซึ่งเขาต้องเผชิญกับการต่อต้านจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน[199] รัฐบาลของเขาดำเนินนโยบายรณรงค์ลดหนี้ โดยมุ่งเป้าไปที่การชะลอและลดปริมาณหนี้ที่ไม่ยั่งยืนที่จีนสะสมมาตลอดช่วงการเติบโต[200] ตั้งแต่ ค.ศ. 2021 จีนได้เผชิญกับวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยราคาบ้านลดลง ภาคอสังหาริมทรัพย์หดตัวและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากล้มละลาย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความพยายามของสีในการลดบทบาทของภาคส่วนนี้ในเศรษฐกิจจีน[201]
สีได้ให้ความสำคัญอย่างมากกับบทบาทของการผลิตขั้นสูงและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในอนาคต[202] รัฐบาลของสีส่งเสริมแผน "เมดอินไชนา 2025" ที่มีเป้าหมายจะทำให้จีนพึ่งพาตนเองได้ในเทคโนโลยีหลัก ๆ แม้ในที่สาธารณะจีนจะลดความสำคัญของแผนนี้ลงเนื่องจากการปะทุของสงครามการค้าจีน–สหรัฐ ตั้งแต่การปะทุของสงครามการค้าใน ค.ศ. 2018 สีได้รื้อฟื้นข้อเรียกร้องเรื่อง "การพึ่งพาตนเอง" โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี[203] การใช้จ่ายภายในประเทศด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แซงหน้าสหภาพยุโรป (EU) และสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 564,000 ล้านดอลลาร์ใน ค.ศ. 2020[204] รัฐบาลจีนได้ให้การสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีอย่างหัวเว่ยผ่านเงินช่วยเหลือ การลดหย่อนภาษี วงเงินสินเชื่อและความช่วยเหลืออื่น ๆ ซึ่งทำให้บริษัทเหล่านี้เติบโตขึ้น นำไปสู่มาตรการตอบโต้จากสหรัฐ[205] ใน ค.ศ. 2023 สีนำเสนอ "พลังการผลิตใหม่" หมายถึงรูปแบบใหม่ของพลังการผลิตที่เกิดจากการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องและนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกิดใหม่เชิงยุทธศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งอนาคตในยุคสารสนเทศที่ชาญฉลาดมากขึ้น[206] สียังมีส่วนร่วมในการพัฒนาสฺยงอัน พื้นที่ใหม่ที่ประกาศใน ค.ศ. 2017 โดยมีแผนจะพัฒนาให้เป็นมหานครสำคัญใกล้ปักกิ่ง คาดการณ์ว่าการย้ายถิ่นฐานจะดำเนินไปจนถึง ค.ศ. 2035 ขณะที่มีแผนจะพัฒนาให้เป็น "เมืองสังคมนิยมสมัยใหม่" ภายใน ค.ศ. 2050[207] ภายใต้การนำของสี จีนมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ กลายเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยี เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียมและแผงโซลาร์เซลล์[208]
— สี จิ้นผิง ในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์เมื่อ ค.ศ. 2021[209]
ใน ค.ศ. 2020 เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่าสีมีคำสั่งให้ระงับการเสนอขายหุ้นครั้งแรกให้แก่สาธารณชน (IPO) ของบริษัท Ant Group เป็นการตอบโต้ที่แจ็ก หม่า ผู้ก่อตั้งบริษัท วิพากษ์วิจารณ์กฎระเบียบด้านการเงินของรัฐบาล[210] รัฐบาลของสีได้กำกับดูแลให้มีการลดจำนวนการเสนอขายหุ้น IPO ในต่างประเทศของบริษัทจีน โดยข้อมูล ณ ค.ศ. 2022 ระบุว่าการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทจีนส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ในเซี่ยงไฮ้หรือเชินเจิ้น และรัฐบาลได้เพิ่มการสนับสนุนเงินทุนให้กับการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทที่ดำเนินงานในภาคส่วนที่รัฐบาลพิจารณาว่ามีกลยุทธ์สำคัญซึ่งรวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานทดแทน ปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์และการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ[181]
ตั้งแต่ ค.ศ. 2021 สีได้ส่งเสริมคำว่า "ความรุ่งเรืองร่วมกัน" ซึ่งเขานิยามว่าเป็น "ข้อกำหนดที่จำเป็นของสังคมนิยม" อธิบายว่าเป็นความมั่งคั่งสำหรับทุกคน และกล่าวว่าสิ่งนี้จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนรายได้ส่วนเกินอย่างสมเหตุสมผล[209][211] ความรุ่งเรืองร่วมกันถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลสำหรับการปราบปรามและการออกกฎระเบียบในวงกว้างต่อ "ส่วนเกิน" ที่รับรู้ได้ในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการสอนพิเศษ[212] การดำเนินการที่ได้ทำไปรวมถึงการปรับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่[213] และการผ่านกฎหมายเช่น กฎหมายความมั่นคงทางข้อมูล จีนนำข้อจำกัดที่รุนแรงมาใช้กับบริษัทสอนพิเศษเอกชน เป็นการทำลายอุตสาหกรรมทั้งหมดอย่างมีประสิทธิภาพ[214] สีเปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ในปักกิ่งโดยมีเป้าหมายสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)[215] นอกจากนี้ยังมีกฎระเบียบทางวัฒนธรรมอื่น ๆ รวมถึงข้อจำกัดในการที่ผู้เยาว์เล่นวิดีโอเกมและการปราบปรามวัฒนธรรมคนดัง[216][217] การผลักดันเพื่อความรุ่งเรืองร่วมกันยังรวมถึงการลดเงินเดือนและโบนัส โดยเฉพาะในภาคการเงิน[218][219] ตลอดจนการปราบปรามการโอ้อวดความมั่งคั่ง[220]
การปฏิรูป
แก้ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ในช่วงท้ายของการประชุมเต็มคณะครั้งที่สามของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 18 พรรคคอมมิวนิสต์นำเสนอวาระการปฏิรูปอย่างครอบคลุมและกว้างขวางที่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งในนโยบายเศรษฐกิจและสังคม สีส่งสัญญาณในการประชุมเต็มคณะว่าเขากำลังรวบอำนาจการควบคุมองค์กรความมั่นคงภายในขนาดใหญ่ ที่หน้านี้เคยเป็นอำนาจของโจว หย่งคัง[173] คณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติชุดใหม่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีสีเป็นประธาน ซึ่งนักวิจารณ์กล่าวว่าสิ่งนี้จะช่วยให้สีสามารถรวมอำนาจเหนือกิจการความมั่นคงแห่งชาติได้[221][222]
คณะผู้นำด้านการปฏิรูปเชิงลึกอย่างรอบด้านส่วนกลาง อีกหนึ่งหน่วยงานประสานงานนโยบายเฉพาะกิจที่นำโดยสีและได้รับการยกฐานะเป็นคณะกรรมการใน ค.ศ. 2018 ก็ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อกำกับดูแลการดำเนินงานตามวาระการปฏิรูป[223][224] การปฏิรูปเหล่านี้ถูกเรียกว่า "การปฏิรูปเชิงลึกอย่างรอบด้าน" (全面深化改革; quánmiàn shēnhuà gǎigé) และกล่าวกันว่าเป็นครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่การเยือนภาคใต้ของเติ้ง เสี่ยวผิงใน ค.ศ. 1992 การประชุมเต็มคณะยังประกาศการปฏิรูปเศรษฐกิจและมีมติยกเลิกระบบ เหลาไก่ หรือ "การอบรมใหม่ผ่านแรงงาน" ซึ่งส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนของจีน ระบบนี้ต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาหลายปีจากนักวิจารณ์ในประเทศและผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ[173] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2016 นโยบายลูกสองคนเข้ามาแทนนโยบายลูกคนเดียว[225] ซึ่งต่อมาถูกแทนด้วยนโยบายลูกสามคนในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021[226] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2021 ข้อจำกัดจำนวนสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดตลอดจนบทลงโทษสำหรับการเกินจำนวนที่กำหนดก็ถูกยกเลิกไป[227]
การปฏิรูปการเมือง
แก้ภายใต้รัฐบาลของสีมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างต่อโครงสร้างของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและองค์กรของรัฐ โดยเฉพาะในการยกเครื่องครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 2018 ตั้งแต่ ค.ศ. 2013 พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของสีได้จัดตั้งคณะผู้นำส่วนกลางหลายชุด ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการกำกับดูแลที่อยู่เหนือระดับกระทรวง มีวัตถุประสงค์เพื่อเลี่ยงสถาบันที่มีอยู่เดิมในการตัดสินใจ และเพื่อทำให้กระบวนการกำหนดนโยบายมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามที่กล่าวอ้าง ยังเชื่อกันว่าสีลดทอนอำนาจของนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง โดยเข้าควบคุมอำนาจบริหารเศรษฐกิจซึ่งโดยทั่วไปแล้วถือว่าเป็นขอบเขตอำนาจของนายกรัฐมนตรี[228][229]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 มีการจัดตั้งคณะผู้นำด้านความมั่นคงคอมพิวเตอร์และสารสนเทศส่วนกลางโดยมีสีเป็นผู้นำ สำนักงานสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ตแห่งรัฐ (NSIO) ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้สำนักงานสารสนเทศคณะมนตรีรัฐกิจ (SCI) ได้ถูกย้ายมาอยู่ภายใต้คณะผู้นำส่วนกลางชุดนี้และเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษเป็นการบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน[230] ในส่วนของการบริหารระบบการเงิน มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเสถียรภาพและพัฒนาการเงิน หน่วยงานในสังกัดคณะมนตรีรัฐกิจขึ้นใน ค.ศ. 2017 โดยมีรองนายกรัฐมนตรีหลิว เฮ่อเป็นประธานในช่วงที่คณะกรรมาธิการนี้ยังดำเนินการอยู่ คณะกรรมาธิการดังกล่าวถูกยุบไปโดยคณะกรรมการการเงินส่วนกลางที่จัดตั้งขึ้นใหม่ระหว่างการปฏิรูปพรรคและรัฐใน ค.ศ. 2023[231] สีได้เพิ่มบทบาทของคณะกรรมการกิจการการเงินและเศรษฐกิจส่วนกลางโดยลดทอนบทบาทของคณะมนตรีรัฐกิจลง[232]
ใน ค.ศ. 2018 ได้มีการปฏิรูปสถาบันพรรคและรัฐเชิงลึก ในปีนั้น คณะผู้นำส่วนกลางหลายคณะรวมถึงด้านการปฏิรูป กิจการไซเบอร์ การเงินและเศรษฐกิจ และการต่างประเทศได้รับการยกฐานะเป็นคณะกรรมการ[233] อำนาจของกรมโฆษณาชวนเชื่อกลางได้รับการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ซึ่งปัจจุบันดูแลไชนามีเดียกรุป (CMG) ที่ตั้งขึ้นใหม่[233] สองหน่วยงานของคณะมนตรีรัฐกิจ คือหน่วยงานที่ดูแลชาวจีนโพ้นทะเล และอีกหน่วยงานที่ดูแลกิจการศาสนา ถูกยุบรวมเข้ากับกรมงานแนวร่วม (UFWD) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ขณะที่คณะกรรมการอีกแห่งที่ดูแลกิจการชาติพันธุ์ก็อยู่ภายใต้การนำอย่างเป็นทางการของยูเอฟดับบลิวดี[233] ใน ค.ศ. 2020 การเลือกตั้งทุกระดับของระบบสภาประชาชนและสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ทั้งหมดได้รับคำสั่งให้ยึดมั่นในการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[234]
ใน ค.ศ. 2023 ได้มีการปฏิรูปเพิ่มเติมเกี่ยวกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนและระบบรัฐการของรัฐที่เรียกว่าแผนปฏิรูปสถาบันพรรคและรัฐ ซึ่งรวมถึงการเสริมสร้างการควบคุมของพรรคเหนือภาคส่วนการเงินและเทคโนโลยี[235] สิ่งนี้รวมถึงการก่อตั้งสององค์กรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อกำกับดูแลด้านการเงิน ได้แก่ คณะกรรมการการเงินส่วนกลาง (CFC) รวมถึงการฟื้นฟูคณะกรรมการงานการเงินส่วนกลาง (CFWC) ที่เคยถูกยุบไปใน ค.ศ. 2002[235] นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นใหม่เพื่อกำกับดูแลภาคส่วนเทคโนโลยีโดยรวม ขณะที่ กรมงานสังคมที่จัดตั้งขึ้นใหม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลปฏิสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับหลายภาคส่วน รวมถึงกลุ่มพลเมือง หอการค้าและกลุ่มอุตสาหกรรม ตลอดจนการจัดการเรื่องร้องเรียนและคำร้องของประชาชน[235] หน่วยงานกำกับดูแลมีการยกเครื่องครั้งใหญ่[236] ความรับผิดชอบด้านการกำกับดูแลหลายอย่างยังถูกโอนจากธนาคารประชาชนจีน (PBoC) ไปยังหน่วยงานกำกับดูแลอื่น ขณะที่ PBoC เปิดสำนักงานอีกครั้งทั่วประเทศที่เคยถูกปิดไปในการจัดโครงสร้างใหม่ครั้งก่อน[237] ใน ค.ศ. 2024 บทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับการเสริมสร้างให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยการแก้ไขระเบียบคณะมนตรีรัฐกิจเพื่อเพิ่มข้อความเกี่ยวกับการปฏิบัติตามอุดมการณ์และนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[238]
การปฏิรูปกฎหมาย
แก้— สี จิ้นผิง ในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์เมื่อ ค.ศ. 2020[239]
พรรคภายใต้การนำของสีประกาศชุดการปฏิรูปกฎหมายที่การประชุมเต็มคณะครั้งที่สี่ซึ่งจัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 2014 และหลังจากนั้นเขาก็เรียกร้องให้มี "นิติธรรมแบบสังคมนิยมจีน" ทันที พรรคมีเป้าหมายปฏิรูประบบกฎหมาย ซึ่งถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรมและได้รับผลกระทบจากการทุจริต การแทรกแซงของรัฐบาลท้องถิ่นและการขาดการกำกับดูแลตามรัฐธรรมนูญ การประชุมเต็มคณะครั้งนี้ แม้จะเน้นย้ำถึงการนำโดยเด็ดขาดของพรรค แต่ก็เรียกร้องให้รัฐธรรมนูญมีบทบาทมากขึ้นในกิจการของรัฐและเสริมสร้างบทบาทของคณะกรรมาธิการสามัญสภาประชาชนแห่งชาติในการตีความรัฐธรรมนูญ[240] นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้มีความโปร่งใสมากขึ้นในการดำเนินคดีทางกฎหมาย ให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมมากขึ้นในกระบวนการนิติบัญญัติ และโดยรวมแล้วคือการ "ยกระดับความเป็นมืออาชีพ" ของบุคลากรทางกฎหมาย พรรคยังวางแผนจัดตั้งศาลหมุนเวียนข้ามเขตอำนาจศาลตลอดจนให้มณฑลต่าง ๆ มีอำนาจกำกับดูแลทรัพยากรทางกฎหมายในระดับล่างแบบรวมศูนย์ ซึ่งมีเจตนาลดการมีส่วนร่วมของรัฐบาลท้องถิ่นในการดำเนินคดีทางกฎหมาย[241]
การปฏิรูปการทหาร
แก้ตั้งแต่ขึ้นสู่อำนาจใน ค.ศ. 2012 สีได้ดำเนินการยกเครื่องกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) รวมถึงการปฏิรูปการเมืองและการปรับปรุงให้ทันสมัย[242] การหลอมรวมทหาร-พลเรือนได้ก้าวหน้าภายใต้การนำของสี[243][244] สีมีบทบาทอย่างแข็งขันในการมีส่วนร่วมในกิจการทางทหาร โดยใช้วิธีเข้าถึงการปฏิรูปกองทัพโดยตรงอย่างใกล้ชิด นอกเหนือจากการเป็นประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง (CMC) และผู้นำคณะผู้นำด้านการปฏิรูปการทหารส่วนกลางที่ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 2014 เพื่อกำกับดูแลการปฏิรูปกองทัพอย่างครอบคลุมแล้ว สียังได้กล่าวถ้อยแถลงที่โดดเด่นมากมายที่ให้คำมั่นว่าจะขจัดความประพฤติมิชอบและความพึงพอใจในกองทัพ สีได้ย้ำเตือนว่าการแยกการเมืองของพกองทัพปลดปล่อยประชาชนออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะนำไปสู่การล่มสลายที่คล้ายกับกรณีของสหภาพโซเวียต[245] สีจัดการประชุมกู่เถียนใหม่ใน ค.ศ. 2014 โดยรวบรวมนายทหารระดับสูงของจีน เพื่อเน้นย้ำถึงหลักการที่ว่า "พรรคต้องควบคุมกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด" หลักการที่เหมา เจ๋อตงกำหนดไว้เป็นครั้งแรกในการประชุมกู่เถียน ค.ศ. 1929[246]
— สี จิ้นผิง ในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์[247]
สีประกาศลดกำลังพลของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจำนวน 300,000 นายใน ค.ศ. 2015 ทำให้มีขนาดกำลังพลเหลือ 2 ล้านนาย สีบรรยายว่านี่คือการแสดงออกถึงสันติภาพ ขณะที่นักวิเคราะห์อย่างรอรี เมดคาล์ฟกล่าวว่าการลดกำลังพลดังกล่าวมีขึ้นเพื่อลดต้นทุนและเป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงกองทัพปลดปล่อยประชาชนให้ทันสมัย[248] ใน ค.ศ. 2016 เขาลดจำนวนกองบัญชาการภาคพื้นของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจากเจ็ดเหลือห้าแห่ง[249] เขายังยกเลิกกรมทั่วไปอิสระสี่แห่งของกองทัพปลดปล่อยประชาชน และแทนที่ด้วย 15 หน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง[242] มีการจัดตั้งสองเหล่าทัพใหม่ภายใต้การปฏิรูปของเขา ได้แก่ กองกำลังสนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์[250] และกองกำลังสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงร่วม[251] ใน ค.ศ. 2018 กองกำลังตำรวจติดอาวุธประชาชน (PAP) ถูกจัดให้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางเพียงผู้เดียว จากเดิมที่เคยอยู่ภายใต้การบัญชาการร่วมของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางและคณะมนตรีรัฐกิจแห่งรัฐผ่านกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ[252]: 15
วันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2016 สีได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของศูนย์บัญชาการปฏิบัติการร่วมแห่งใหม่ของกองทัพปลดปล่อยประชาชน[253][254] นักวิเคราะห์บางคนตีความการเคลื่อนไหวนี้ว่าเป็นการพยายามแสดงความแข็งแกร่งและภาวะผู้นำที่เข้มแข็งและเป็นเรื่อง "การเมืองมากกว่าการทหาร"[255] ตามความเห็นของหนี่ เล่อสฺยง ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหาร สี "ไม่เพียงแต่ควบคุมกองทัพเท่านั้น แต่ยังทำได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วย และในยามสงคราม เขาก็พร้อมที่จะบัญชาการด้วยตนเอง"[256] ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารจีนจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แซนดีเอโก สี "สามารถควบคุมการเมืองของกองทัพได้ในระดับเหนือกว่าสิ่งที่เหมาและเติ้งเคยทำมา"[257]
ภายใต้การนำของสี งบประมาณทางทหารอย่างเป็นทางการของจีนเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า[204] แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 246,000 ล้านดอลลาร์ใน ค.ศ. 2025[258] แม้จะเกิดขึ้นก่อนหน้าสี จิ้นผิง แต่รัฐบาลของเขาก็ได้ดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวมากขึ้นเกี่ยวกับกิจการทางทะเล และได้เพิ่มการควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเหนือหน่วยงานความมั่นคงทางทะเล[259] กองทัพเรือกองทัพปลดปล่อยประชาชนเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของสี โดยจีนเพิ่มเรือรบ เรือดำน้ำ เรือสนับสนุนและเรือสะเทินน้ำสะเทินบกขนาดใหญ่จำนวนมากกว่าจำนวนเรือทั้งหมดของกองทัพเรือสหราชอาณาจักรระหว่าง ค.ศ. 2014 ถึง 2018[260] ใน ค.ศ. 2017 จีนตั้งฐานทัพในต่างประเทศแห่งแรกในจิบูตี[261] สียังได้ดำเนินการขยายคลังแสงนิวเคลียร์ของจีน โดยเขากล่าวเรียกร้องให้จีน "สร้างระบบการป้องปรามเชิงยุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่ง" สหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน (FAS) ประมาณการว่าปริมาณคลังแสงนิวเคลียร์ทั้งหมดของจีนอยู่ที่ 410 ลูกใน ค.ศ. 2023 โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐประมาณการว่าคลังแสงของจีนอาจสูงถึง 1,000 ลูกภายใน ค.ศ. 2030[262]
นโยบายต่างประเทศ
แก้สีได้ดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวขึ้นในประเด็นความมั่นคงและกิจการต่างประเทศ โดยฉายภาพของจีนที่เน้นชาตินิยมและแข็งกร้าวมากขึ้นในเวทีโลก[263] แผนการทางการเมืองของเขาเรียกร้องให้จีนเป็นหนึ่งเดียวกันและมั่นใจในระบบค่านิยมและโครงสร้างทางการเมืองของตนเองมากขึ้น[264] นักวิเคราะห์และผู้สังเกตการณ์ต่างประเทศมักกล่าวว่าวัตถุประสงค์หลักของนโยบายต่างประเทศของสีคือการฟื้นฟูสถานะของจีนบนเวทีโลกในฐานะมหาอำนาจ[265][247][266] สีสนับสนุน "การคิดแบบพื้นฐาน" ในนโยบายต่างประเทศของจีน: การกำหนดเส้นแดงชัดเจนที่ประเทศอื่น ๆ จะต้องไม่ข้าม[267] ในมุมมองของจีน ท่าทีแข็งกร้าวในประเด็นพื้นฐานเหล่านี้ช่วยลดความไม่แน่นอนเชิงกลยุทธ์ ป้องกันไม่ให้ประเทศอื่น ๆ ตัดสินผิดพลาดเกี่ยวกับจุดยืนของจีนหรือประเมินต่ำไปถึงความมุ่งมั่นของจีนในการยืนกรานสิ่งที่ตนมองว่าเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ[267] สีกล่าวในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ว่าเขาต้องการให้แน่ใจว่าจีนจะ "เป็นผู้นำโลกในด้านกำลังแห่งชาติโดยรวมและอิทธิพลระหว่างประเทศ" ภายใน ค.ศ. 2049[268]
สีได้ส่งเสริม "การทูตมหาอำนาจ" โดยระบุว่าจีนเป็น "มหาอำนาจ" อยู่แล้วและเบนออกจากแนวทางการทูตแบบระมัดระวังของผู้นำจีนคนก่อน ๆ[269] เขานำนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวมาใช้ซึ่งเรียกว่า "การทูตนักรบหมาป่า"[270] ขณะที่ความคิดด้านนโยบายต่างประเทศของเขาโดยรวมเป็นที่รู้จักในชื่อ "ความคิดของสี จิ้นผิงว่าด้วยการทูต"[271] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2020 สีกล่าวว่า "ตะวันออกกำลังรุ่งเรืองและตะวันตกกำลังเสื่อมถอย" โดยให้เหตุผลว่าอำนาจของโลกตะวันตกกำลังเสื่อมถอยลงและการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 เป็นตัวอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ และจีนกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งโอกาสเนื่องจากสิ่งนี้[272] สีมักกล่าวถึง "ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันเพื่อมนุษยชาติ" ซึ่งนักการทูตจีนกล่าวว่าไม่ได้หมายถึงความตั้งใจเปลี่ยนแปลงระเบียบระหว่างประเทศ[273] แต่ผู้สังเกตการณ์ต่างชาติกล่าวว่าจีนต้องการระเบียบใหม่ที่จะทำให้จีนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น[274] ภายใต้การนำของสี จีนได้ร่วมกับรัสเซีย มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศโลกใต้เพื่อลดผลกระทบของการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ[275]
สีได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่ม "อำนาจแสดงวาทะบนเวทีระหว่างประเทศ" (国际话语权) ของจีนเพื่อสร้างความเห็นเชิงบวกเกี่ยวกับจีนในสายตาชาวโลกมากขึ้น[276] ในการแสวงหานี้ สีได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้อง "เล่าเรื่องของจีนให้ดี" หมายถึงการขยายการโฆษณาชวนเชื่อภายนอก (外宣) และการสื่อสารของจีน[277] สีได้ขยายจุดเน้นและขอบเขตของแนวร่วม ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีนจากองค์ประกอบที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคทั้งภายในและนอกประเทศ และได้ขยายกรมงานแนวร่วมตามไปด้วย[278] สีได้เปิดตัวข้อริเริ่มการพัฒนาระดับโลก (GDI) ข้อริเริ่มด้านความมั่นคงระดับโลก (GSI) และข้อริเริ่มด้านอารยธรรมระดับโลก (GCI) ใน ค.ศ. 2021, 2022 และ 2023 ตามลำดับ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอิทธิพลของจีนในระเบียบโลก[279][280][281]
ในช่วงรัฐบาลของสี จีนพยายามกำหนดบรรทัดฐานและกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศในด้านนโยบายที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งจีนมีความได้เปรียบในฐานะผู้เข้าร่วมในช่วงแรก ๆ[282]: 188 สีอธิบายว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็น "พรมแดนใหม่" และรวมถึงด้านนโยบายต่าง ๆ เช่น อวกาศ ทะเลลึก ภูมิภาคขั้วโลก อินเทอร์เน็ต ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ การปราบปรามการทุจริต และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ[282]: 188
แอฟริกา
แก้ในช่วงรัฐบาลของสี จีนยังคงรักษาสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลในแอฟริกาเกือบทุกประเทศ ยกเว้นเอสวาตินี ซึ่งรับรองไต้หวันแต่ไม่รับรองสาธารณรัฐประชาชนจีน[283] ภายใต้การนำของสี จีนได้ลดการให้กู้ยืมแก่ประเทศในแอฟริกาลง หลังความกังวลว่าประเทศในแอฟริกาไม่สามารถชำระหนี้คืนจีนได้[284] สียังได้ให้คำมั่นว่าจีนจะยกหนี้ของบางประเทศในแอฟริกาด้วย[285]
เอเชีย
แก้ภายใต้การนำของสี ในช่วงแรกจีนมีท่าทีวิพากษ์วิจารณ์เกาหลีเหนือมากขึ้นเนื่องจากการทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ[286] อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ ค.ศ. 2018 ความสัมพันธ์เริ่มดีขึ้นจากการพบปะระหว่างสีกับคิม จ็อง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ[287] สีได้เริ่มต้นปรับปรุงความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้[288] และทั้งสองประเทศลงนามความตกลงเขตการค้าเสรีในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2015[289] ตั้งแต่ ค.ศ. 2017 ความสัมพันธ์ของจีนกับเกาหลีใต้แย่ลงจากกรณีการจัดซื้อระบบป้องกันขีปนาวุธระบบป้องกันภัยเขตระดับความสูงขาลง (THAAD) ของเกาหลีใต้ แต่ก็ดีขึ้นหลังเกาหลีใต้ระงับการจัดซื้อ THAAD[290] ความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นเริ่มต้นแย่ลงภายใต้รัฐบาลของสี ประเด็นที่ยุ่งยากที่สุดระหว่างสองประเทศยังคงเป็นข้อพิพาทเหนือหมู่เกาะเซ็งกากุ ซึ่งจีนเรียกว่าเตี้ยวยฺหวี[291] อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เริ่มดีขึ้นในภายหลัง โดยสีได้รับเชิญให้เยือนใน ค.ศ. 2020[292] แม้การเดินทางจะถูกเลื่อนออกไปในภายหลังด้วยการระบาดของโควิด-19[293]
นับตั้งแต่สีขึ้นสู่อำนาจ จีนได้เร่งสร้างและเสริมกำลังทางทหารบนเกาะต่าง ๆ ในทะเลจีนใต้ สตัดดีไทมส์ ของโรงเรียนส่วนกลางพรรคพรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุว่าเป็นการตัดสินใจที่สีดำเนินการด้วยตัวเอง[294] ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียมีทั้งช่วงขึ้นและลงภายใต้การนำของสี ก่อนจะเสื่อมถอยลงในเวลาต่อมาด้วยปัจจัยหลายประการ ทั้งสองประเทศเคยปะทะกันในเดปสังใน ค.ศ. 2013[295] และอีกครั้งในการปะทะจากการก่อสร้างถนนของจีนที่โดกลัม ดินแดนที่ทั้งภูฏาน (พันธมิตรของอินเดีย) และจีนต่างอ้างกรรมสิทธิ์ใน ค.ศ. 2017[296] วิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดในความสัมพันธ์เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองประเทศมีการปะทะกันอย่างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตใน ค.ศ. 2020 ที่แนวควบคุมแท้จริง ทำให้มีทหารเสียชีวิต[297][298] ขณะที่ในอดีตจีนเคยระมัดระวังการเข้าใกล้ประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลาง สีได้เปลี่ยนแนวทางนี้ โดยเข้าใกล้ทั้งอิหร่านและซาอุดีอาระเบียมากขึ้น[299]
ยุโรป
แก้ความพยายามของจีนภายใต้การนำของสีคือเพื่อให้สหภาพยุโรป (EU) วางตัวเป็นกลางในการแข่งขันระหว่างจีนกับสหรัฐ[300] จีนและสหภาพยุโรปประกาศความตกลงการลงทุนอย่างครอบคลุม (CAI) ใน ค.ศ. 2020 แม้ความตกลงดังกล่าวจะถูกระงับในภายหลังเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรซึ่งกันและกันกรณีซินเจียง[301] สีได้กระชับความสัมพันธ์กับรัสเซียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังวิกฤตยูเครนใน ค.ศ. 2014[302] ระหว่างการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย สีแสดงการต่อต้านการคว่ำบาตรรัสเซีย[303] และยืนยันการสนับสนุนรัสเซียของจีนในประเด็นอธิปไตยและความมั่นคง แต่ก็กล่าวว่าจีนยึดมั่นในการเคารพ "บูรณภาพแห่งดินแดนของทุกประเทศ"[304] ขณะที่จีนได้วางตัวเป็นกลาง[305]
สหรัฐ
แก้สีได้กล่าวถึงความสัมพันธ์จีน–สหรัฐในโลกปัจจุบันว่าเป็น "ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ของมหาอำนาจ" ซึ่งเป็นวลีที่รัฐบาลโอบามาลังเลจะยอมรับ[306] สียังได้กล่าววิจารณ์ทางอ้อมเกี่ยวกับ "การหันเหเชิงยุทธศาสตร์" ของสหรัฐไปยังเอเชีย[307] ความสัมพันธ์กับสหรัฐแย่ลงหลังดอนัลด์ ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2017[308] ตั้งแต่ ค.ศ. 2018 สหรัฐและจีนได้เข้าสู่สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น[309] ใน ค.ศ. 2020 ความสัมพันธ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกด้วยการระบาดของโรคโควิด-19[310]
ความมั่นคงแห่งชาติ
แก้สีได้ทุ่มเทงานจำนวนมากให้กับประเด็นความมั่นคงแห่งชาติ โดยเรียกร้องให้มี "สถาปัตยกรรมความมั่นคงแห่งชาติแบบองค์รวม" ที่ครอบคลุม "ทุกแง่มุมของการทำงานของพรรคและประเทศ"[311] เขานำแนวคิดความมั่นคงแบบองค์รวมมาใช้ใน ค.ศ. 2014 ซึ่งเขานิยามว่าเป็นการยึด "ความมั่นคงของประชาชนเป็นเข็มทิศ ความมั่นคงทางการเมืองเป็นรากฐาน ความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นเสาหลัก ความมั่นคงทางทหารและความมั่นคงทางวัฒนธรรมเป็นเกราะป้องกัน และอาศัยการส่งเสริมความมั่นคงระหว่างประเทศ"[312]: 3 ระหว่างการสนทนาส่วนตัวกับประธานาธิบดีโอบามาและรองประธานาธิบดีไบเดินของสหรัฐ เขากล่าวว่าจีนตกเป็นเป้าหมายของ "การปฏิวัติสี" บ่งชี้ถึงการให้ความสำคัญกับความมั่นคงแห่งชาติของเขา[313] นับตั้งแต่สีก่อตั้งคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติขึ้น คณะกรรมการดังกล่าวได้จัดตั้งคณะกรรมการความมั่นคงระดับท้องถิ่น โดยเน้นไปที่การปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วย[313] ในนามของความมั่นคงแห่งชาติ รัฐบาลของสีได้ผ่านกฎหมายหลายฉบับรวมถึงกฎหมายต่อต้านการจารกรรมใน ค.ศ. 2014[314] กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ[315] และกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายใน ค.ศ. 2015[316] กฎหมายความมั่นคงคอมพิวเตอร์[317] และกฎหมายจำกัดองค์การนอกภาครัฐต่างชาติใน ค.ศ. 2016[318] กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติใน ค.ศ. 2017 [319] และกฎหมายความมั่นคงทางข้อมูลใน ค.ศ. 2021[320] ภายใต้การนำของสี เครือข่ายเฝ้าระวังมวลชนของจีนได้เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยมีการสร้างโปรไฟล์ที่ครอบคลุมสำหรับพลเมืองแต่ละคน[321]
ฮ่องกง
แก้ระหว่างการดำรงตำแหน่งผู้นำของเขา สีได้สนับสนุนและดำเนินนโยบายการรวมฮ่องกงเข้ากับจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจให้มากขึ้น รวมถึงผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น สะพานฮ่องกง–จูไห่–มาเก๊า[322] เขาได้ผลักดันโครงการพื้นที่อ่าวกวางตุ้ง–ฮ่องกง–มาเก๊า ซึ่งมีเป้าหมายจะรวมฮ่องกง มาเก๊า และอีกเก้าเมืองในมณฑลกวางตุ้งเข้าด้วยกัน[323][322] ความพยายามรวมฮ่องกงของสีได้นำไปสู่การลดทอนเสรีภาพและการบั่นทอนอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของฮ่องกงที่แตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่[323][324] มุมมองหลายอย่างที่รัฐบาลกลางยึดถือและนำไปปฏิบัติในฮ่องกงนั้นถูกระบุไว้ในสมุดปกขาวที่เผยแพร่โดยคณะมนตรีรัฐกิจใน ค.ศ. 2014 ชื่อ การปฏิบัติของนโยบาย 'หนึ่งประเทศ สองระบบ' ในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ซึ่งระบุว่ารัฐบาลกลางของจีนมี "อำนาจปกครองอย่างครอบคลุม" เหนือฮ่องกง[325] ภายใต้การนำของสี รัฐบาลจีนยังประกาศว่าปฏิญญาร่วมจีน–อังกฤษนั้นถือเป็นโมฆะทางกฎหมาย[325]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ (NPCSC) มีมติอนุมัติการเลือกตั้งนายกองค์การเขตบริหารฮ่องกง ค.ศ. 2017 โดยให้ใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งแบบถ้วนหน้า แต่ก็กำหนดให้ผู้สมัครต้อง "รักประเทศและรักฮ่องกง" รวมถึงมาตรการอื่น ๆ ที่ทำให้ผู้นำจีนเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจขั้นสูงสุดในการคัดเลือกผู้สมัคร ซึ่งนำไปสู่การประท้วง[326] และท้ายที่สุดร่างกฎหมายปฏิรูปก็ถูกปฏิเสธในสภานิติบัญญัติเนื่องจากการวอล์กเอาต์ของฝ่ายสนับสนุนปักกิ่งเพื่อถ่วงเวลาการลงคะแนน[327] ในการเลือกตั้งนายกองค์การ ค.ศ. 2017 แคร์รี หลั่มได้รับชัยชนะ มีรายงานว่าได้รับการรับรองจากกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน[328]
สีได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลฮ่องกงและแคร์รี หลั่มในการต่อต้านผู้ประท้วงในการประท้วงในฮ่องกง ค.ศ. 2019–2020 ซึ่งปะทุขึ้นหลังมีการเสนอ ร่างกฎหมายที่จะอนุญาตให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังจีน[329] เขาได้ปกป้องการใช้กำลังของตำรวจฮ่องกง โดยกล่าวว่า "เราสนับสนุนอย่างแข็งขันให้ตำรวจฮ่องกงใช้มาตรการเด็ดขาดในการบังคับใช้กฎหมาย และให้กระบวนการยุติธรรมของฮ่องกงลงโทษผู้ที่ก่ออาชญากรรมรุนแรงตามกฎหมาย"[330] ขณะเยือนมาเก๊าในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการกลับคืนสู่จีน สีเตือนถึงกองกำลังต่างชาติที่เข้ามาแทรกแซงในฮ่องกงและมาเก๊า[331] พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่ามาเก๊าอาจเป็นแบบอย่างให้ฮ่องกงปฏิบัติตามได้[332]
ใน ค.ศ. 2020 คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติผ่านกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกงที่เป็นการเพิ่มการปราบปรามฝ่ายต่อต้านในเมืองอย่างมาก ในบรรดามาตรการเหล่านั้นมีการจำกัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างมากและการจัดตั้งสำนักงานรัฐบาลกลางที่อยู่นอกเขตอำนาจของฮ่องกงเพื่อกำกับดูแลการบังคับใช้กฎหมาย[325] สิ่งนี้ถูกมองว่าเป็นจุดสูงสุดของโครงการระยะยาวภายใต้การนำของสีเพื่อรวมฮ่องกงเข้ากับจีนแผ่นดินใหญ่ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น[325] สีเดินทางเยือนฮ่องกงในฐานะผู้นำจีนใน ค.ศ. 2017 และ 2022 ในวาระครบรอบ 20 และ 25 ปีการส่งมอบฮ่องกงตามลำดับ[333] ในการเยือน ค.ศ. 2022 เขาทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกองค์การเขตบริหารของจอห์น ลี อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนเพื่อขยายการควบคุมเมือง[334][335]
ไต้หวัน
แก้ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2015 สีพบกับประธานาธิบดีไต้หวัน หม่า อิงจิ่ว ซึ่งถือเป็นการพบกันครั้งแรกของผู้นำทางการเมืองทั้งสองฝั่งช่องแคบไต้หวันนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองจีนบนแผ่นดินใหญ่ใน ค.ศ. 1950[336] สีกล่าวว่าจีนและไต้หวันเป็น "ครอบครัวเดียวกัน" ที่ไม่สามารถแยกจากกันได้[337] อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เริ่มเสื่อมถอยลงหลังไช่ อิงเหวินจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2016[338]
ในการประชุมสถาพรรคครั้งที่ 19 ซึ่งจัดขึ้นใน ค.ศ. 2017 สียืนยันหลักการ 6 จาก 9 ข้อที่ได้รับการยืนยันอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่การประชุมสภาใหญ่พรรคครั้งที่ 16 ใน ค.ศ. 2002 โดยมีข้อยกเว้นที่น่าสังเกตคือหลักการที่ว่า "ฝากความหวังไว้กับประชาชนชาวไต้หวันในฐานะพลังที่จะช่วยนำมาซึ่งการรวมชาติ"[339] จากข้อมูลของสถาบันบรุกกิงส์ สีใช้ภาษารุนแรงกว่าบรรพบุรุษของเขาว่าด้วยความเป็นไปได้ในเอกราชของไต้หวันเมื่อเทียบกับรัฐบาลพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าในไต้หวันในอดีต สีกล่าวว่า "เราจะไม่ยอมให้บุคคลใด องค์กรใด หรือพรรคการเมืองใดแยกดินแดนส่วนใดส่วนหนึ่งของจีนออกจากจีนได้ไม่ว่าในเวลาใดหรือรูปแบบใด"[339]
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2019 สีเรียกร้องให้ไต้หวันปฏิเสธการเป็นเอกราชอย่างเป็นทางการจากจีน โดยกล่าวว่า: "เราไม่ให้คำมั่นสัญญาที่จะละทิ้งการใช้กำลังและสงวนทางเลือกในการใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็น" เขากล่าวว่าทางเลือกเหล่านั้นสามารถนำมาใช้เพื่อต่อต้าน "การแทรกแซงจากภายนอก" สียังกล่าวอีกว่าพวกเขา "ยินดีจะสร้างพื้นที่กว้างขวางสำหรับการรวมชาติอย่างสันติ แต่จะไม่เหลือที่ว่างสำหรับกิจกรรมแบ่งแยกดินแดนในรูปแบบใด ๆ"[340][341] ประธานาธิบดีไช่ตอบโต้คำกล่าวนี้โดยระบุว่าไต้หวันจะไม่ยอมรับการจัดรูปแบบหนึ่งประเทศ สองระบบกับจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่การเจรจาข้ามช่องแคบทั้งหมดจะต้องเป็นไปในรูปแบบรัฐบาล-รัฐบาล[342]
สิทธิมนุษยชน
แก้ตามรายงานของฮิวแมนไรตส์วอตช์ สีได้ "เริ่มการโจมตีสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง" นับตั้งแต่เขากลายเป็นผู้นำใน ค.ศ. 2012[343] ฮิวแมนไรตส์วอตช์ยังระบุด้วยว่าการปราบปรามในจีนนั้น "อยู่ในระดับเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่การสังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน"[344] ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง สีได้ทำการปราบปรามการเคลื่อนไหวระดับรากหญ้า โดยมีผู้ถูกควบคุมตัวหลายร้อยคน [345] เขายังเป็นประธานการปราบปราม 709 ในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ซึ่งมีทนายความ ผู้ช่วยทนายความและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนมากกว่า 200 คนถูกควบคุมตัว[346] ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งมีการจับกุมและคุมขังนักเคลื่อนไหว เช่น สฺวี่ จื้อหย่ง ตลอดจนบุคคลอื่น ๆ อีกจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับขบวนการพลเมืองใหม่ นักเคลื่อนไหวทางกฎหมายที่มีชื่อเสียงอย่างผู่ จื้อเฉียงจากขบวนการเหวย์เฉวียนก็ถูกจับกุมและควบคุมตัวเช่นกัน[347]
ใน ค.ศ. 2017 รัฐบาลท้องถิ่นของมณฑลเจียงซีบอกให้ชาวคริสต์เปลี่ยนภาพของพระเยซูออกและนำภาพของสีมาแขวนแทน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ทั่วไปต่อโบสถ์ที่ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในประเทศ[348][349][350] ตามรายงานบนสื่อสังคมท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ "เปลี่ยนพวกเขาจากการนับถือศาสนามาเป็นการเชื่อในพรรค"[348] ตามที่นักเคลื่อนไหวระบุ "สีกำลังดำเนินการปราบปรามศาสนาคริสต์อย่างเป็นระบบที่รุนแรงที่สุดในประเทศนับตั้งแต่มีการระบุเสรีภาพทางศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญจีนใน ค.ศ. 1982" และตามคำกล่าวของบาทหลวงและกลุ่มติดตามสถานการณ์ทางศาสนาในจีน การกระทำดังกล่าวรวมถึง "การทำลายไม้กางเขน การเผาคัมภีร์ไบเบิล การสั่งปิดโบสถ์และการบังคับให้ผู้ติดตามศาสนาลงนามในเอกสารละทิ้งศรัทธาของตน"[351]
ภายใต้การนำของสี พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นำนโยบายเน้นการกลืนชาติมาใช้กับชนกลุ่มน้อย โดยมีการลดทอนการเลือกปฏิบัติเชิงบวกในประเทศลงภายใน ค.ศ. 2019[352] และยกเลิกถ้อยคำในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2021 ที่รับรองสิทธิ์ของเด็กชนกลุ่มน้อยในการได้รับการศึกษาด้วยภาษาแม่ของตน โดยเปลี่ยนเป็นการเน้นการสอนภาษาประจำชาติแทน[353] ใน ค.ศ. 2020 เฉิน เสี่ยวเจียงได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะกรรมการกิจการชาติพันธุ์แห่งชาติ ซึ่งเป็นชาวจีนฮั่นคนแรกที่เป็นหัวหน้าหน่วยงานนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1954[354] วันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ.2022 พาน เย่ว์ ชาวจีนฮั่นอีกคนหนึ่ง กลายเป็นหัวหน้าคณะกรรมการ โดยมีรายงานว่าเขามีนโยบายการกลืนชาติกับชนกลุ่มน้อย[355] สีสรุปมุมมองอย่างเป็นทางการของเขาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนฮั่นส่วนใหญ่กับชนกลุ่มน้อยโดยกล่าวว่า "ทั้งแนวคิดชาตินิยมฮั่นหรือแนวคิดชาตินิยมชาติพันธุ์ท้องถิ่นล้วนไม่เอื้อต่อการพัฒนาประชาคมสำหรับประชาชาติจีน"[356]
ซินเจียง
แก้หลังเกิดเหตุก่อการร้ายหลายครั้งในซินเจียงใน ค.ศ. 2013 และ 2014 ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดการประชุมลับเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาการโจมตีเหล่านั้น[357] นำไปสู่การที่สีเปิดตัวการรณรงค์ปราบปรามการก่อการร้ายอย่างหนักใน ค.ศ. 2014 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกักขังจำนวนมากและการเฝ้าระวังกลุ่มชาติพันธุ์ชาวอุยกูร์ในพื้นที่นั้น[358][359] การรณรงค์นี้รวมถึงการกักขังผู้คน 1.8 ล้านคนในค่ายกักกัน ส่วนใหญ่เป็นชาวอุยกูร์แต่ก็รวมถึงชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และศาสนาอื่น ๆ ภายใน ค.ศ. 2020[357] และมีการรณรงค์ควบคุมการเกิดที่นำไปสู่การลดลงอย่างมากของอัตราการเกิดของชาวอุยกูร์ภายใน ค.ศ. 2019[360] กลุ่มสิทธิมนุษยชนและอดีตผู้ถูกคุมขังได้อธิบายค่ายกักกันเหล่านี้ว่าเป็น "ค่ายกักกัน" ที่ซึ่งชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ถูกบังคับให้กลืนเข้ากับสังคมชาวฮั่นซึ่งเป็นชนชาติส่วนใหญ่ของจีน[361] โครงการนี้ถูกเรียกว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยผู้สังเกตการณ์ชาวตะวันตก ขณะที่รายงานโดยสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุว่าอาจเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ[362][363]
เอกสารภายในของรัฐบาลจีนที่รั่วไหลไปยังสื่อมวลชนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2019 แสดงให้เห็นว่าสีสั่งการด้วยตนเองให้มีการปราบปรามความมั่นคงในซินเจียง โดยกล่าวว่าพรรคจะต้อง "ไม่แสดงความปรานีโดยสิ้นเชิง" และเจ้าหน้าที่ต้องใช้อาวุธทั้งหมดของ "เผด็จการประชาธิปไตยของปวงชน" เพื่อปราบปรามผู้ "ติดเชื้อไวรัสหัวรุนแรง"[359][364] เอกสารยังแสดงให้เห็นว่าสีพูดถึงแนวคิดหัวรุนแรงอิสลามซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสุนทรพจน์ของเขา โดยเปรียบเทียบว่าเป็น "ไวรัส" หรือ "ยาเสพติด" ที่สามารถแก้ไขได้ด้วย "การรักษาด้วยการแทรกแซงที่เจ็บปวด"[359] อย่างไรก็ตาม เขายังเตือนไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์และปฏิเสธข้อเสนอกำจัดศาสนาอิสลามในจีน โดยเรียกมุมมองประเภทนั้นว่า "มีอคติ แม้กระทั่งผิดพลาด"[359] บทบาทที่แท้จริงของสีในการสร้างค่ายกักกันยังไม่ได้รับการรายงานต่อสาธารณะ แม้เขาจะถูกเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และคำพูดของเขาเป็นแหล่งที่มาของการให้เหตุผลหลักในการปราบปรามในซินเจียง[365][366]
ระหว่างการเยือนซินเจียงเป็นเวลาสี่วันในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2022 สีเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น "รับฟังเสียงประชาชนเสมอ"[367] และ "ทำสิ่งต่าง ๆ ให้มากขึ้นในการอนุรักษ์วัฒนธรรมชนกลุ่มน้อย"[368] เขายัง ตรวจสอบหน่วยการผลิตและก่อสร้างซินเจียงและชื่นชม "ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่" ในการปฏิรูปและพัฒนา[369] ระหว่างการเยือนซินเจียงอีกครั้งในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2023 สีกล่าวในสุนทรพจน์ว่าภูมิภาคนี้ "ไม่ใช่พื้นที่ห่างไกลอีกต่อไปแล้ว" และควรเปิดกว้างมากขึ้นสำหรับการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ[370][371]
การระบาดทั่วของโควิด-19
แก้วันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2020 สีแสดงความเห็นเป็นครั้งแรกว่าด้วยการระบาดทั่วของโควิด-19 ที่กำลังอุบัติขึ้นในอู่ฮั่น และสั่งการให้ "พยายามควบคุมการแพร่กระจาย" ของไวรัส[372] เขามอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงรับผิดชอบบางส่วนในการรับมือกับโควิด-19 ซึ่ง เดอะวอลล์สตรีตเจอร์นัล ชี้ว่าเป็นการพยายามแยกตัวเองออกจากคำวิจารณ์หากการรับมือล้มเหลว[373] ในช่วงแรกรัฐบาลตอบสนองต่อโรคระบาดด้วยการล็อกดาวน์และการตรวจพิจารณา ซึ่งการตอบสนองเบื้องต้นนี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาแง่ลบอย่างกว้างขวางภายในประเทศจีน[374] เขาพบกับเตโวโดรส อัดฮาโนม เกอเบรออีเยอซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ในวันที่ 28 มกราคม[375] นิตยสาร แดร์ชปีเกิล รายงานว่าในเดือนมกราคม ค.ศ. 2020 สีกดดันเตโวโดรส อัดฮาโนมให้ชะลอการออกคำเตือนทั่วโลกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และยับยั้งข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่เชื้อจากคนสู่คน ข้อกล่าวหานี้ถูกปฏิเสธโดย WHO[376] วันที่ 5 กุมภาพันธ์ สีพบกับฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในปักกิ่ง ซึ่งเป็นผู้นำต่างชาติคนแรกที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศจีนนับตั้งแต่เกิดการระบาด[375] หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในอู่ฮั่นอยู่ภายใต้การควบคุม สีเดินทางเยือนเมืองดังกล่าวในวันที่ 10 มีนาคม[377]
หลังการควบคุมการแพร่ระบาดในอู่ฮั่นประสบความสำเร็จ สีได้สนับสนุนสิ่งที่ทางการเรียกว่า "นโยบายโควิดเป็นศูนย์แบบพลวัต"[378] ที่มีเป้าหมายเพื่อควบคุมและระงับไวรัสให้ได้มากที่สุดภายในพรมแดนของประเทศ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการล็อกดาวน์ในท้องถิ่นและการตรวจหาเชื้อจำนวนมาก[379] แม้ในตอนแรกจะได้รับการยกย่องจากการปราบปรามการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน แต่นโยบายนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในภายหลังโดยผู้สังเกตการณ์ต่างชาติและบางส่วนในประเทศว่าไม่สอดคล้องกับส่วนอื่น ๆ ของโลก และสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ[379] แนวทางนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เป็นพิเศษในช่วงการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ ค.ศ. 2022 ซึ่งบังคับให้ผู้คนหลายล้านต้องอยู่แต่ในบ้านและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของเมือง[380] ทำลายภาพลักษณ์ของหลี่ เฉียง พันธมิตรใกล้ชิดของสีและเลขาธิการพรรคประจำเมือง[381] กลับกัน สีได้กล่าวว่านโยบายนี้ออกแบบมาเพื่อปกป้องความปลอดภัยในชีวิตของผู้คน[382] วันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2022 คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรายงานว่าสีและผู้นำระดับสูงคนอื่น ๆ ได้รับวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตในประเทศแล้ว[383]
ในการประชุมสภาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 สียืนยันการดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไป[384] โดยกล่าวว่าเขาจะดำเนินการ "โควิดเป็นศูนย์แบบพลวัต" อย่าง "แน่วแน่" และให้คำมั่นว่าจะ "ชนะการต่อสู้อย่างเด็ดขาด"[385] แม้จีนจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายบางส่วนในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา[386] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2022 เกิดการประท้วงต่อต้านนโยบายโควิด-19 ของจีน โดยมีเหตุไฟไหม้อาคารอพาร์ตเมนต์สูงในอุรุมชีเป็นชนวน[387] การประท้วงเกิดขึ้นในหลายเมืองใหญ่ โดยผู้ประท้วงบางคนเรียกร้องให้ยุติการปกครองของสีและพรรคคอมมิวนิสต์จีน[387] การประท้วงส่วนใหญ่ถูกปราบปรามภายในเดือนธันวาคม[387] แม้ว่ารัฐบาลจะผ่อนคลายมาตรการจำกัดโควิด-19 ลงอีกนับตั้งแต่นั้น[388] วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2022 จีนประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบายโควิด-19 ครั้งใหญ่ รวมถึงการอนุญาตให้กักตัวที่บ้านสำหรับผู้ติดเชื้อไม่รุนแรง การลดการตรวจ PCR และการลดอำนาจเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์[389]
นโยบายสิ่งแวดล้อม
แก้สีระบุว่าการปกป้องสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในห้าลำดับความสำคัญหลักของจีนเพื่อความก้าวหน้าของชาติ[390]: 164 สีได้ทำให้คำอุปมา "สองภูเขา" เป็นที่นิยมเพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปกป้องสิ่งแวดล้อม[390]: 164 แนวคิดคือภูเขาที่ทำจากทองคำหรือเงินนั้นมีค่า แต่ภูเขาสีเขียวที่มีน้ำใสสะอาดนั้นมีค่ามากกว่า[390]: 164 ความหมายของคำขวัญนี้คือลำดับความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจต้องคำนึงถึงการปกป้องเศรษฐกิจด้วย[390]: 164
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2020 สีประกาศว่าจีนจะ "เสริมสร้างเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ค.ศ. 2030 (NDC) ให้เข้มแข็งขึ้น โดยจะปล่อยแก๊สเรือนกระจกถึงจุดสูงสุดก่อน ค.ศ. 2030 และตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนก่อน ค.ศ. 2060"[391] หากทำสำเร็จ สิ่งนี้จะช่วยลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกที่คาดการณ์ไว้ได้ 0.2–0.3 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็น "การลดลงครั้งใหญ่ที่สุดที่ไคลเมตแอกชันแทร็กเกอร์เคยประเมินมา"[391] สีกล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างการระบาดทั่วของโควิด-19 กับการทำลายธรรมชาติว่าเป็นหนึ่งในเหตุผลสำหรับการตัดสินใจ โดยระบุว่า "มนุษยชาติไม่สามารถละเลยคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าของธรรมชาติได้อีกต่อไป"[392] วันที่ 27 กันยายน นักวิทยาศาสตร์จีนนำเสนอแผนโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว[393] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2021 สีประกาศว่าจีนจะไม่สร้าง "โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในต่างประเทศ" ซึ่งกล่าวกันว่าอาจเป็น "จุดเปลี่ยนสำคัญ" ในการลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ข้อริเริ่มเข็มขัดและเส้นทางก็ไม่ได้รวมการให้เงินทุนสนับสนุนโครงการดังกล่าวแล้วในช่วงครึ่งแรกของ ค.ศ. 2021[394]
สีไม่ได้เข้าร่วมการประชุม COP26 ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม คณะผู้แทนจีนซึ่งนำโดยเจี่ย เจิ้นหฺวา ทูตพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เข้าร่วม[395][396] ระหว่างการประชุม สหรัฐและจีนตกลงในกรอบความร่วมมือเพื่อลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกโดยการร่วมมือกันในมาตรการต่าง ๆ[397]
รูปแบบการปกครอง
แก้เป็นที่รู้กันว่าเขาเป็นผู้นำที่เก็บตัว ทำให้มีการรับรู้จากสาธารณะน้อยมากว่าสีตัดสินใจทางการเมืองอย่างไร หรือขึ้นมาสู่อำนาจได้อย่างไร[398][399] โดยทั่วไปแล้วสุนทรพจน์ของสีจะถูกเผยแพร่หลายเดือนหรือหลายปีหลังจากกล่าว[398] สียังไม่เคยจัดงานแถลงข่าวเลยนับตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด ยกเว้นในการแถลงข่าวร่วมกับผู้นำต่างชาติที่ไม่บ่อยนัก[398][400] เดอะวอลล์สตรีตเจอร์นัล รายงานว่าสีชอบการบริหารแบบละเอียด (micromanaging) ซึ่งต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ อย่างหู จิ่นเทาที่ปล่อยให้รายละเอียดของนโยบายสำคัญเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ระดับล่าง[124] มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีพยายามดึงความสนใจจากสีด้วยวิธีต่าง ๆ โดยบางคนสร้างสไลด์โชว์และรายงานเสียง เดอะวอลล์สตรีตเจอร์นัล ยังรายงานอีกว่าสีสร้างระบบการประเมินผลงานใน ค.ศ. 2018 เพื่อประเมินเจ้าหน้าที่ในด้านต่าง ๆ รวมถึงความจงรักภักดี[124] ตามรายงานของ ดิอีโคโนมิสต์ คำสั่งของสีโดยทั่วไปแล้วจะคลุมเครือ ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับล่างต้องตีความคำพูดของเขา[365] สำนักข่าวซินหัวของจีนระบุว่าสี "ตรวจสอบร่างเอกสารนโยบายสำคัญทุกฉบับด้วยตนเอง" และ "รายงานทั้งหมดที่ส่งถึงเขา ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน ก็จะถูกส่งคืนพร้อมคำสั่งในเช้าวันรุ่งขึ้น"[401] ในส่วนของพฤติกรรมของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ สีเน้นย้ำถึง "สองต้อง" (สมาชิกต้องไม่หยิ่งผยองหรือหุนหันพลันแล่นและต้องรักษาวิญญาณแห่งการทำงานหนัก) และ "หกไม่" (สมาชิกต้องปฏิเสธรูปแบบนิยม ระบบรัฐการ การให้ของขวัญ การเฉลิมฉลองวันเกิดที่หรูหรา การเสพสุข และความฟุ่มเฟือย)[402] สีเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ฝึกการวิจารณ์ตนเอง ซึ่งตามที่ผู้สังเกตการณ์กล่าวไว้คือเพื่อจะดูไม่ทุจริตและเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนมากขึ้น[403][404][405] ตามที่ฮิเดโอะ ทารูมิ นักการทูตชาวญี่ปุ่นซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศจีนกล่าวไว้ สีได้ดำเนินกระบวนการรวมอำนาจอย่างหนักเพื่อรักษาความชอบธรรมของการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[406]
จุดยืนทางการเมือง
แก้— สี จิ้นผิง ในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์เมื่อ ค.ศ. 2017[407]
ฝันจีน
แก้สีและนักอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนบัญญัติวลี "ฝันจีน" ขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายแผนโดยรวมของเขาสำหรับจีนในฐานะผู้นำของประเทศ สีใช้คำนี้ครั้งแรกระหว่างการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจีนในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นที่ที่เขาและเพื่อนร่วมงานในคณะกรรมาธิการสามัญกำลังเข้าร่วมนิทรรศการ "การฟื้นฟูชาติ" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วลีนี้ก็กลายเป็นคำขวัญทางการเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ของยุคสี[408][409] ต้นกำเนิดของคำว่า "ฝันจีน" ยังไม่ชัดเจน แม้คำนี้จะเคยถูกใช้มาก่อนโดยนักข่าวและนักวิชาการ[410] แต่สิ่งพิมพ์บางฉบับได้ตั้งสมมติฐานว่าคำนี้อาจได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดเรื่องฝันอเมริกัน[411] ดิอีโคโนมิสต์ ตั้งข้อสังเกตว่าลักษณะเป็นนามธรรมและดูเหมือนเข้าถึงได้ง่ายของแนวคิดนี้ซึ่งไม่มีข้อกำหนดนโยบายเฉพาะเจาะจงอาจเป็นการจงใจละทิ้งอุดมการณ์ที่เต็มไปด้วยศัพท์แสงของผู้นำคนก่อน ๆ[412] สีได้เชื่อมโยง "ฝันจีน" เข้ากับวลี "การฟื้นฟูอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติจีน"[413]
วัฒนธรรม
แก้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้นำทางการเมืองระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เช่น สี ได้กำกับดูแลการฟื้นฟูบุคคลสำคัญทางปรัชญาจีนโบราณอย่างหาน เฟย์ให้กลับมาอยู่ในกระแสหลักของความคิดจีน เคียงคู่ไปกับลัทธิขงจื๊อ ในการประชุมกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ใน ค.ศ. 2013 เขาอ้างคำกล่าวของขงจื๊อว่า "ผู้ที่ปกครองด้วยคุณธรรมเป็นเสมือนดาวเหนือ มันดำรงอยู่กับที่ และดวงดาวมากมายต่างก็แสดงความเคารพ" ระหว่างการเยือนมณฑลชานตง บ้านเกิดของขงจื๊อ ในเดือนพฤศจิกายน เขาบอกกับนักวิชาการว่าโลกตะวันตกกำลัง "ประสบภาวะวิกฤตความเชื่อมั่น" และพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เป็น "ผู้สืบทอดและผู้ส่งเสริมวัฒนธรรมดั้งเดิมอันโดดเด่นของจีนอย่างภักดี"[414]
จากข้อมูลของนักวิเคราะห์หลายคน การนำของสีได้รับการอธิบายว่าเป็นการฟื้นคืนชีพของปรัชญาการเมืองโบราณที่เรียกว่านิตินิยม[415][416][417] หาน เฟย์ได้รับความโดดเด่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยการอ้างอิงที่ชื่นชอบ ประโยคหนึ่งของหาน เฟย์ที่สีอ้างถึงปรากฏขึ้นหลายพันครั้งในสื่อทางการของจีนทั้งในระดับท้องถิ่น มณฑล และระดับชาติ[417] สียังได้สนับสนุนหวัง หยางหมิง นักปรัชญาขงจื๊อใหม่ โดยบอกให้ผู้นำท้องถิ่นส่งเสริมเขา[418]
ตั้งแต่การประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 สีได้เน้นย้ำเรื่องการใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรแดง การเล่าเรื่องราวสีแดง และการสืบทอดพันธุกรรมสีแดง[419]: xii
วันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2014 สีเลียนแบบการประชุมที่เหยียนอานด้วย "สุนทรพจน์ในการประชุมด้านวรรณกรรมและศิลปะ" ของเขา[420]: 15 สอดคล้องกับมุมมองของเหมาในการพูดคุยที่เหยียนอาน สีเชื่อว่าผลงานศิลปะควรถูกตัดสินด้วยเกณฑ์ทางการเมือง[420]: 16 ใน ค.ศ. 2021 สีอ้างถึงการพูดคุยที่เหยียนอานระหว่างพิธีเปิดการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 11 ของสหพันธ์วรรณกรรมและศิลปะแห่งประเทศจีนและการประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 10 ของสมาคมนักเขียนจีน[421] ตามที่สีกล่าว ศิลปะควรถูกตัดสินด้วยเกณฑ์ทางการเมือง[420]: 16 มุมมองนี้ปฏิเสธแนวคิดเรื่องศิลปะเพื่อศิลปะและยืนยันว่าศิลปะควรรับใช้เป้าหมายของการฟื้นฟูประเทศ[420]: 16 สีวิจารณ์ศิลปะที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาดซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการสร้างความตื่นเต้น โดยเฉพาะผลงานที่ "ทำให้ด้านมืดของสังคมเกินจริง" เพื่อแสวงผลกำไร[420]: 16 เขาสั่งให้อุตสาหกรรมศิลปะ "บอกเล่าเรื่องราวของจีนและเผยแพร่เสียงของจีนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการสื่อสารระหว่างประเทศของประเทศ"[422] สีกล่าวว่านักเขียนชาวจีนควรปฏิบัติตามการนำของพรรค รับใช้แนวทางของสังคมนิยม และ "ทำให้ผู้คนมองเห็นสิ่งดีงาม รู้สึกถึงความหวัง [และ] มีความฝัน"[423]: 252
สียังได้ดูแลการรื้อฟื้นวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม เป็นการหักเหออกจากแนวทางเดิมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มักโจมตีวัฒนธรรมนี้[424] เขาขนานนามวัฒนธรรมดั้งเดิมว่าเป็น "จิตวิญญาณ" ของชาติและเป็น "รากฐาน" ของวัฒนธรรมพรรคคอมมิวนิสต์จีน[425] สียังเรียกร้องให้รวมหลักการพื้นฐานของลัทธิมากซ์เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน[281] ฮั่นฝู เครื่องแต่งกายดั้งเดิมของชาวฮั่น ได้รับการรื้อฟื้นภายใต้การนำของเขา ซึ่งเชื่อมโยงกับการฟื้นฟูวัฒนธรรมดั้งเดิม[426] เขาได้กำหนด "สี่ความมั่นใจ" ซึ่งต่อมาได้ถูกเพิ่มเข้าไปในธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเรียกร้องให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เจ้าหน้าที่รัฐบาล และประชาชนชาวจีน "มั่นใจในเส้นทางที่เราเลือก มั่นใจในทฤษฎีชี้นำของเรา มั่นใจในระบบการเมืองของเรา และมั่นใจในวัฒนธรรมของเรา" เขาได้เปิดตัวข้อริเริ่มอารยธรรมโลกใน ค.ศ. 2023 โดยเรียกร้องให้ "เคารพความหลากหลายของอารยธรรม สนับสนุนค่านิยมร่วมกันของมนุษยชาติ ให้ความสำคัญกับการสืบทอดและนวัตกรรมของอารยธรรม และเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างประชาชนในระดับนานาชาติ"[281] สีสนับสนุนการฟื้นฟูศิลปะแนวสังคมนิยม รวมถึงการส่งเสริมศิลปะรักชาติและวรรณกรรมคลาสสิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[423]: 253
อุดมการณ์
แก้สีกล่าวว่า "มีเพียงสังคมนิยมเท่านั้นที่สามารถช่วยจีนได้"[427] สียังประกาศว่าสังคมนิยมอัตลักษณ์จีนเป็น "หนทางที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวที่จะบรรลุการฟื้นฟูประชาชาติ"[428] ตามรายงานของบีบีซีนิวส์ ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนถูกมองว่าละทิ้งอุดมการณ์คอมมิวนิสต์นับตั้งแต่เริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจใน ค.ศ. 1970 ผู้สังเกตการณ์บางคนเชื่อว่าสี "เชื่อมั่นในแนวคิดของโครงการคอมมิวนิสต์" มากขึ้น[429] โดยเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย บรรยายว่าเป็นนักลัทธิมากซ์–เลนิน[430] การที่สีเน้นการให้ความสำคัญกับอุดมการณ์นั้นรวมถึงการยืนยันเป้าหมายของพรรคที่จะบรรลุคอมมิวนิสต์ในที่สุดและการตำหนิผู้ที่มองว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นเรื่องที่ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงหรือไม่เกี่ยวข้อง[180] สีบรรยายอุดมคติคอมมิวนิสต์ว่าเป็น "แคลเซียม" ในกระดูกสันหลังของสมาชิกพรรค หากไม่มีสิ่งนี้ สมาชิกพรรคก็จะป่วยเป็น "โรคกระดูกพรุน" ของการเสื่อมถอยทางการเมืองและไม่สามารถยืนหยัดได้อย่างตรงไปตรงมา[180]
สีเชื่อว่าสังคมนิยมจะได้รับชัยชนะเหนือทุนนิยมในที่สุด เขากล่าวว่า "การวิเคราะห์ของมาคาส์และเอ็งเงิลส์เกี่ยวกับความขัดแย้งพื้นฐานของสังคมทุนนิยมยังไม่ล้าสมัย และมุมมองของวัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ที่ว่าทุนนิยมจะต้องตายไปและสังคมนิยมจะต้องเป็นฝ่ายชนะก็ยังไม่ล้าสมัยเช่นกัน"[431] สีได้กำกับดูแลการเพิ่มเนื้อหาเรื่อง "เศรษฐศาสตร์การเมืองสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" ให้เป็นหัวข้อการศึกษาหลักสำหรับนักวิชาการในประเทศจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอิทธิพลของแนวคิดเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก[431] แม้เขาจะสั่งให้หยุดยั้งสิ่งที่เขาพิจารณาว่าเป็นการ "ขยายตัวของทุนอย่างไร้ระเบียบ" แต่เขาก็กล่าวด้วยว่า "จำเป็นต้องกระตุ้นพลังของทุนทุกประเภท รวมถึงทุนที่ไม่ใช่ของภาครัฐ และให้บทบาทเชิงบวกของทุนเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่"[431]
— สี จิ้นผิง ในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์เมื่อ ค.ศ. 2018[432]
สีได้ให้การสนับสนุนการควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเหนือสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยกล่าวว่า "รัฐบาล กองทัพ สังคมและโรงเรียน เหนือ ใต้ ออกและตก – พรรคเป็นผู้นำทั้งหมด"[433] ในโอกาสครบรอบ 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 2021 เขากล่าวว่า "หากไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็จะไม่มีจีนใหม่และการฟื้นฟูชาติ" และ "การนำของพรรคคือลักษณะเฉพาะของสังคมนิยมอัตีลกษณ์จีนและเป็นจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของระบบนี้"[434] เขากล่าวว่าจีน แม้จะเผชิญกับอุปสรรคมากมาย แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยระบุว่า "สังคมนิยมอัตลักษณ์จีนได้กลายเป็นผู้ถือธงการพัฒนาสังคมนิยมในศตวรรษที่ 21"[432] อย่างไรก็ตาม เขายังเตือนว่าการที่จีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์นั้นต้องใช้เวลานาน และในช่วงเวลานี้ สมาชิกพรรคจะต้องระมัดระวังไม่ให้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนล่มสลาย[432] สีได้กล่าวโจมตี "การทำลายประวัติศาสตร์" หมายถึงมุมมองทางประวัติศาสตร์ที่ท้าทายแนวทางอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[435] สีกล่าวว่าหนึ่งในสาเหตุของการล่มสลายของสหภาพโซเวียตคือการทำลายประวัติศาสตร์[436]
สีปฏิเสธระบบหลายพรรคสำหรับประเทศจีน โดยกล่าวว่า "ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ การฟื้นฟูระบอบจักรพรรดิ ระบบรัฐสภา ระบบหลายพรรค และระบบประธานาธิบดี เราได้พิจารณาแล้ว ได้ลองใช้แล้ว แต่ไม่มีระบบใดที่ได้ผล"[437] อย่างไรก็ตาม สีพิจารณาว่าประเทศจีนเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยกล่าวว่า "ประชาธิปไตยสังคมนิยมของจีนเป็นประชาธิปไตยที่ครอบคลุม แท้จริงและมีประสิทธิภาพมากที่สุด"[438] คำจำกัดความของประชาธิปไตยของจีนแตกต่างจากประชาธิปไตยเสรีนิยมและมีรากฐานมาจากลัทธิมากซ์ส–เลนิน โดยอิงจากวลี เผด็จการประชาธิปไตยของปวงชนและประชาธิปไตยรวมศูนย์[438] นอกจากนี้ สียังได้บัญญัติศัพท์ใหม่ว่าประชาธิปไตยของปวงชนทั้งกระบวนการซึ่งเขากล่าวว่าเป็นการให้ "ประชาชนเป็นนาย"[439] นักวิเคราะห์และผู้สังเกตการณ์ต่างชาติส่วนใหญ่โต้แย้งอย่างกว้างขวางว่าจีนเป็นประชาธิปไตย โดยกล่าวว่าจีนเป็นรัฐเผด็จการพรรคเดียวและสีเป็นผู้นำเผด็จการ[446] สียังได้ปฏิเสธแนวคิดการทำให้เป็นตะวันตกว่าเป็นหนทางเดียวสู่ความทันสมัย แต่กลับส่งเสริมสิ่งที่เขาเรียกว่า "ความทันสมัยแบบจีน"[447] เขาระบุแนวคิดห้าประการที่เป็นส่วนหนึ่งของความทันสมัยแบบจีน ได้แก่ ความทันสมัยของประชากรจำนวนมหาศาล ความรุ่งเรืองร่วมกัน ความก้าวหน้าทางวัตถุและคุณธรรม-จริยธรรม ความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และการพัฒนาอย่างสันติ[448]
ความคิดของสี จิ้นผิง
แก้ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2017 คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีมติว่าปรัชญาการเมืองของสี ซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่า "ความคิดของสี จิ้นผิงว่าด้วยสังคมนิยมอัตลักษณ์จีนสำหรับสมัยใหม่" จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมนูญพรรค[449][450] สีกล่าวถึง "ความคิดว่าด้วยสังคมนิยมอัตลักษณ์จีนสำหรับสมัยใหม่" เป็นครั้งแรกในสุนทรพจน์เปิดการประชุมสภาพรรคครั้งที่ 19 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017 เพื่อนร่วมงานในคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองของเขาเติมชื่อ "สี จิ้นผิง" ไว้ข้างหน้าคำว่า "ความคิด" ในการทบทวนสุนทรพจน์สำคัญของสีในการประชุม[451] วันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2017 ในการประชุมปิด การประชุมสภาพรรคครั้งที่ 19 อนุมัติการรวมความคิดของสี จิ้นผิงเข้าไว้ในธรรมนูญของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[139] ขณะที่ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2018 สภาประชาชนแห่งชาติได้แก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐเพื่อรวมความคิดของสี จิ้นผิงเข้าไปด้วย[452]
สีอธิบายคงวมคิดนี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการทำงานกว้าง ๆ ที่สร้างขึ้นรอบ ๆ สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน ศัพท์ที่เติ้ง เสี่ยวผิงบัญญัติขึ้นและวางให้จีนอยู่ในขั้นต้นของสังคมนิยม ในเอกสารพรรคอย่างเป็นทางการและถ้อยแถลงของเพื่อนร่วมงานของสีระบุว่า แนวคิดนี้เป็นการสานต่อลัทธิมากซ์–เลนิน ความคิดของเหมา เจ๋อตง ทฤษฎีของเติ้ง เสี่ยวผิง สามตัวแทน และทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนา ในฐานะส่วนหนึ่งของชุดอุดมการณ์ชี้นำที่รวบรวม "ลัทธิมากซ์ที่ปรับให้เข้ากับสภาพของจีน" และข้อพิจารณาในปัจจุบัน[451] นอกจากนี้ยังได้รับการอธิบายว่าเป็น "ลัทธิมากซ์แห่งศตวรรษที่ 21" โดยอาจารย์สองคนในโรงเรียนส่วนกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน[16] หวัง ฮู่หนิง ที่ปรึกษาการเมืองระดับสูงและพันธมิตรคนสนิทของสี ได้รับการกล่าวถึงว่ามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความคิดของสี จิ้นผิง[16] แนวคิดและบริบทเบื้องหลังความคิดของสี จิ้นผิงได้รับการอธิบายอย่างละเอียดในหนังสือชุด วิธีการปกครองประเทศจีน ของสี ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศสำหรับผู้อ่านทั่วโลก เล่มแรกตีพิมพ์ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2014 ตามมาด้วยเล่มสองในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2017[453] เสฺวสีเฉียงกั๋ว แอปพลิเคชันสำหรับสอนความคิดของสี จิ้นผิงได้กลายเป็นแอปพลิเคชันสมาร์ตโฟนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในจีนใน ค.ศ. 2019 เนื่องจากการที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดตัวการรณรงค์ใหม่ที่เรียกร้องให้บุคลากรของพรรคศึกษาหลักคำสอนการเมืองนี้ในทุก ๆ วัน[454]
ชีวิตส่วนตัว
แก้ครอบครัว
แก้สีแต่งงานครั้งแรกกับเคอ หลิงหลิง บุตรีของเคอ หฺวา อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำสหราชอาณาจักรในช่วงต้นทศวรรษ 1980 พวกเขาหย่าร้างกันภายในไม่กี่ปี[455] กล่าวกันว่าทั้งคู่ทะเลาะกัน "เกือบทุกวัน" และหลังการหย่าร้าง เคอย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ[7] ใน ค.ศ. 1987 สีแต่งงานกับเผิง ลี่ยฺเหวียน นักร้องเพลงพื้นบ้านชื่อดีงชาวจีน[456] สีและเผิงได้รับการแนะนำให้รู้จักกันโดยเพื่อน เช่นเดียวกับคู่รักชาวจีนจำนวนมากในทศวรรษ 1980 สีมีชื่อเสียงในด้านความเป็นนักวิชาการในระหว่างการเกี้ยวพาราสี โดยมีการสอบถามเกี่ยวกับเทคนิคการร้องเพลง[457] เผิง ลี่ยฺเหวียน ชื่อที่คุ้นเคยในประเทศจีน เป็นที่รู้จักในหมู่สาธารณชนมากกว่าสีกระทั่งเขาได้รับตำแหน่งทางการเมือง ทั้งคู่มักแยกกันอยู่เนื่องจากชีวิตการทำงานที่ต่างกันเป็นส่วนใหญ่ เผิงมีบทบาทโดดเด่นในฐานะ "สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง" ของจีนมากกว่าผู้ดำรงตำแหน่งคนก่อน ๆ ตัวอย่างเช่น เผิงเป็นเจ้าภาพต้อนรับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งสหรัฐ มิเชล โอบามา ในการเยือนจีนครั้งสำคัญในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014[458]
สีและเผิงมีบุตรีชื่อสี หมิงเจ๋อ ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 2015 ขณะที่เรียนอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เธอใช้นามแฝงและเรียนจิตวิทยาและภาษาอังกฤษ[459] ครอบครัวของสีมีบ้านพักอยู่ที่เขายฺวี่เฉวียน (เขาหยกวสันต์) พื้นที่สวนและที่พำนักทางตะวันตกเฉียงเหนือของปักกิ่งที่บริหารจัดการโดยคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง[460]
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 บลูมเบิร์กนิวส์รายงานว่าสมาชิกครอบครัวขยายของสีมีผลประโยชน์ทางธุรกิจจำนวนมาก แม้จะไม่มีหลักฐานว่าเขาเข้าแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือก็ตาม[461] เว็บไซต์ของบลูมเบิร์กนิวส์ถูกบล็อกในจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อตอบโต้บทความดังกล่าว[462] ตั้งแต่สีเริ่มดำเนินการรณรงค์ต่อต้านการทุจริต เดอะนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่าสมาชิกในครอบครัวของเขาเริ่มขายการลงทุนในบริษัทและอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ ค.ศ. 2012[463] ญาติของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน รวมถึงผู้นำอาวุโสทั้งในปัจจุบันและอดีตเจ็ดคนของกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้รับการระบุชื่อในเอกสารปานามา รวมถึงเติ้ง เจียกุ้ย[464] พี่เขยของสี เติ้งมีบริษัทเชลล์สองแห่งในหมู่เกาะบริติชเวอร์จินขณะที่สีเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมือง ซึ่งบริษัทเหล่านั้นไม่มีความเคลื่อนไหวแล้วเมื่อสีกลายเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012[465]
บุคลิกภาพ
แก้เผิงบรรยายสีว่าเป็นคนขยันและติดดิน: "เมื่อเขากลับมาบ้าน ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่ามีผู้นำบางคนอยู่ในบ้าน ในสายตาฉัน เขาเป็นแค่สามีของฉันเท่านั้น"[466] ใน ค.ศ. 1992 ลีนา เอช. ซัน นักข่าวจาก เดอะวอชิงตันโพสต์ ได้สัมภาษณ์สี ซึ่งขณะนั้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำฝูโจว ซันบรรยายว่าสีดูสบาย ๆ และมั่นใจกว่าเจ้าหน้าที่หลายคนในวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวว่าเขาพูดโดยไม่ต้องดูโพย[467] บทความของ เดอะวอชิงตันโพสต์ ใน ค.ศ. 2011 บรรยายถึงเขาโดยผู้ที่รู้จักเขาว่า "เป็นคนปฏิบัติจริงจัง ระมัดระวัง ขยัน ติดดิน และเก็บตัว" เขายังได้รับการบรรยายว่าเป็นผู้แก้ปัญหาที่ดีและ "ดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งเย้ายวนใจของตำแหน่งสูงสุด"[468] สื่อของรัฐจีนยังได้นำเสนอเขาในฐานะบุคคลที่เหมือนพ่อและเป็นคนของประชาชน ผู้มุ่งมั่นยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ของจีน[399]
ฟุตบอล
แก้สีเป็นแฟนฟุตบอลตัวยง[469] ขณะทำงานอยู่ในเหอเป่ย์ มีรายงานว่าสีมักขอตั๋วฟุตบอลจากเนี่ย เว่ย์ผิง เพื่อนของเขาซึ่งเป็นนักหมากล้อมมืออาชีพ[470] ระหว่างการเยือนไอร์แลนด์ใน ค.ศ. 2012 ในฐานะรองประธานาธิบดีจีน สีแสดงทักษะการเล่นฟุตบอลของเขาที่โครกพาร์ก[469] ใน ค.ศ. 2011 สีวางวิสัยทัศน์ที่จะเปลี่ยนจีนจากทีมฟุตบอลเล็ก ๆ ไปสู่มหาอำนาจลูกหนัง เขาวางแผนสามขั้นตอนสำหรับทีมชาติ: เพื่อผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกอีกครั้ง เพื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกและเพื่อคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก[471] ใน ค.ศ. 2015 สีอนุมัติแผน 50 ข้อของจีนสำหรับกีฬาฟุตบอล ซึ่งรวมถึงการบรรจุฟุตบอลไว้ในหลักสูตรโรงเรียนทั่วประเทศและการจัดตั้งโรงเรียนฟุตบอล 50,000 แห่งทั่วประเทศภายใน ค.ศ. 2025[472] อย่างไรก็ตาม ตามรายงานของซีเอ็นเอ็น "การตัดสินใจทางการเงินที่ผิดพลาดและการทุจริตระดับสูงที่ถูกกล่าวหาควบคู่ไปกับการระบาดทั่วสามปีได้ทิ้งให้กีฬาฟุตบอลอยู่ในสภาพยับเยิน"[471] ใน ค.ศ. 2023 สีกล่าวว่าเขา "ไม่ค่อยแน่ใจนัก" ในความสามารถของทีมชาติ[473]
ความสนใจ
แก้ต่างจากผู้นำจีนคนก่อน ๆ สื่อของรัฐจีนนำเสนอภาพรวมชีวิตส่วนตัวของสีที่ครอบคลุมมากขึ้น แม้จะยังคงถูกควบคุมอย่างเข้มงวดก็ตาม สำนักข่าวซินหัวรายงานว่าสีจะว่ายน้ำหนึ่งกิโลเมตรและเดินทุกวันตราบเท่าที่มีเวลา และสนใจนักเขียนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวรัสเซีย[401] นักเขียนชาวต่างชาติที่เขาชื่นชอบบางคน ได้แก่ เลโอ ตอลสตอย มีฮาอิล โชโลฮอฟ[474] วิกตอร์ อูโก ออนอเร เดอ บาลซัก โยฮัน ว็อล์ฟกัง ฟ็อน เกอเทอและแจ็ก ลอนดอน มีรายงานว่าสีอ้างอิงถึงหนังสือเรื่อง What Is to Be Done? โดยนิโคไล เชอร์นิเชฟสกี เป็นแนวทางในการประชุมสุดยอดบริกส์ครั้งที่ 16[475] มีรายงานว่าสีชอบภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ เช่น เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน ฝ่าสมรภูมินรก[476] กระซิบรักไว้บนฟากฟ้า เดอะ ก็อดฟาเธอร์[477] และ มหาศึกชิงบัลลังก์[478] และเขายังได้ชื่นชมผู้สร้างภาพยนตร์อิสระชาวจีน เจี่ย จางเคอ[479]
ภาพลักษณ์สาธารณะ
แก้ยากที่จะประเมินความเห็นของประชาชนชาวจีนเกี่ยวกับสี เนื่องจากไม่มีการสำรวจที่เป็นอิสระในประเทศจีนและสื่อสังคมก็ถูกตรวจพิจารณาอย่างเข้มงวด[480] อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่าเขาได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในประเทศ [[481][482] จากผลสำรวจใน ค.ศ. 2014 ที่ร่วมสนับสนุนโดยศูนย์เพื่อการปกครองและนวัตกรรมประชาธิปไตยแอชของโรงเรียนฮาร์วาร์ดเคนเนดี สีได้รับคะแนนความนิยมภายในประเทศ 9 เต็ม 10[483] การสำรวจของยูกัฟที่เผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2019 พบว่าประมาณร้อยละ 22 ของผู้คนในจีนแผ่นดินใหญ่ระบุว่าสีเป็นบุคคลที่พวกเขาชื่นชมมากที่สุด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด แม้ว่าตัวเลขนี้จะน้อยกว่าร้อยละ 5 สำหรับผู้อยู่อาศัยในฮ่องกง[484] ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 2019 ศูนย์วิจัยพิวทำการสำรวจความเชื่อมั่นในสีในกลุ่มหกประเทศที่ทำการสำรวจโดยเฉลี่ย ได้แก่ ออสเตรเลีย อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ซึ่งระบุว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 29 มีความเชื่อมั่นว่าสีจะทำสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับกิจการโลก ขณะที่ค่าเฉลี่ยร้อยละ 45 ไม่มีความเชื่อมั่น ตัวเลขเหล่านี้สูงกว่าคิม จ็อง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือเล็กน้อย (มีความเชื่อมั่นร้อยละ 23 ไม่มีความเชื่อมั่นร้อยละ 53) [485] การสำรวจของโพลิติโตและมอร์นิงคอนซัลต์ใน ค.ศ. 2021 พบว่าร้อยละ 5 ของชาวอเมริกันมีความเห็นที่ดีต่อสี จิ้นผิง, ร้อยละ 38 ไม่ดี, ร้อยละ 17 ไม่มีความเห็น และร้อยละ 40 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด ไม่เคยได้ยินชื่อเขาเลย[486]
ใน ค.ศ. 2017 ดิอีโคโนมิสต์ ยกให้เขาเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก[487] ใน ค.ศ.2018 [[ฟอบส์ จัดอันดับให้เขาเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลและมีอิทธิพลมากที่สุดในโลก แทนที่วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งเคยครองอันดับดังกล่าวมาห้าปีติดต่อกัน[488] ตั้งแต่ ค.ศ. 2013 นักข่าวไร้พรมแดน องค์การไม่แสวงผลกำไรและองค์การนอกภาครัฐระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายในการปกป้องสิทธิเสรีภาพการรับรู้ข้อมูล จัดให้สีอยู่ในรายชื่อผู้ล่าเสรีภาพสื่อ[489]
หมายเหตุ
แก้- ↑ ภาษาอังกฤษ: /ˈʃiː dʒɪnˈpɪŋ/ shee-_-jin-PING, or often /ˈʒiː/ zhee; จีน: 习近平; พินอิน: Xí Jìnpíng, pronounced [ɕǐ tɕîn.pʰǐŋ]
- ↑ ต้นฉบับ จีนตัวย่อ: 在国际金融风暴中, 中国能基本解决13亿人口吃饭的问题, 已经是对全人类最伟大的贡献; จีนตัวเต็ม: 在國際金融風暴中, 中國能基本解決13億人口吃飯的問題, 已經是對全人類最偉大的貢獻
- ↑ ต้นฉบับ: จีนตัวย่อ: 有些吃饱没事干的外国人, 对我们的事情指手画脚.中国一不输出革命, 二不输出饥饿和贫困, 三不折腾你们, 还有什么好说的?; จีนตัวเต็ม: 有些吃飽沒事干的外國人, 對我們的事情指手畫腳.中國一不輸出革命, 二不輸出飢餓和貧困, 三不折騰你們, 還有什麽好說的?
อ้างอิง
แก้- ↑ "Association for Conversation of Hong Kong Indigenous Languages Online Dictionary". hkilang.org. 1 July 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 July 2015. สืบค้นเมื่อ 12 September 2019.
- ↑ Wong 2023, p. 21.
- ↑ "Profile: Chinese Vice President Xi Jinping". Radio Free Europe/Radio Liberty. 7 November 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 October 2013. สืบค้นเมื่อ 26 August 2013.
- ↑ 與丈夫習仲勛相伴58年 齊心:這輩子無比幸福 [With her husband Xi Zhongxun for 58 years: very happy in this life] (ภาษาจีน). Xinhua News Agency. 28 April 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 January 2013. สืบค้นเมื่อ 18 March 2013.
- ↑ Chan, Alfred L. (2022-03-24). "Childhood and Youth: Privilege and Trauma, 1953–1979". Xi Jinping: Political Career, Governance, and Leadership, 1953–2018. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-761525-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2024. สืบค้นเมื่อ 12 January 2024.
- ↑ Takahashi, Tetsushi (1 June 2002). "Connecting the dots of the Hong Kong law and veneration of Xi". Nikkei Shimbun. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 December 2021. สืบค้นเมื่อ 23 October 2020.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 Osnos, Evan (30 March 2015). "Born Red". The New Yorker. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 October 2019. สืบค้นเมื่อ 11 September 2019.
- ↑ Li, Cheng. "Xi Jinping's Inner Circle (Part 2: Friends from Xi's Formative Years)" (PDF). Hoover Institution. pp. 6–22. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 September 2020. สืบค้นเมื่อ 15 July 2020.
- ↑ Tisdall, Simon (29 December 2019). "The power behind the thrones: 10 political movers and shakers who will shape 2020". The Guardian. ISSN 0029-7712. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 November 2021. สืบค้นเมื่อ 16 January 2020.
- ↑ Wei, Lingling (27 February 2018). "Who Is 'Uncle He?' The Man in Charge of China's Economy". The Wall Street Journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 October 2021. สืบค้นเมื่อ 16 January 2020.
- ↑ Bouée 2010, p. 93.
- ↑ 习近平:"我坚信我的父亲是一个大英雄" [Xi Jinping: "I firmly believe my father is a great hero"] (ภาษาจีน). State Administration of Press, Publication, Radio, Film and Television. 14 October 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2018. สืบค้นเมื่อ 6 March 2018. 女儿习和平……在"文化大革命"中被迫害致死,是习仲勋难以抹去的心痛。 [His daughter Xi Heping... was persecuted to death during the "Cultural Revolution", which is a heartache that Xi Zhongxun could not erase.]
- ↑ Buckley, Chris; Tatlow, Didi Kirsten (24 September 2015). "Cultural Revolution Shaped Xi Jinping, From Schoolboy to Survivor". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2018. สืบค้นเมื่อ 6 March 2018.
- ↑ Shi, Z. C. (2017). 习近平的七年知青岁月 [Xi Jinping's Seven Years as an Educated Youth] (ภาษาจีน). China Central Party School Press. p. [ต้องการเลขหน้า]. ISBN 978-7-5035-6163-4. สืบค้นเมื่อ 2024-08-18.
- ↑ 不忘初心:是什么造就了今天的习主席? [What Were His Original Intentions? The President Xi of Today]. Youku (ภาษาจีนตัวย่อ). 30 January 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 January 2018. สืบค้นเมื่อ 30 January 2018.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 16.3 Page, Jeremy (23 December 2020). "How the U.S. Misread China's Xi: Hoping for a Globalist, It Got an Autocrat". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 December 2020. สืบค้นเมื่อ 25 December 2020.
- ↑ 《足迹》第1集:过"五关"有多难 ["Footprints" Episode 1: How difficult is it to pass the "Five Gates"]. Xinhua News Agency (ภาษาจีน). 2022-05-23. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-08-18.
- ↑ 习近平的七年知青岁月 [Xi Jinping's Seven Years as an Educated Youth]. China News Service (ภาษาจีน). 2018-07-01. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-08-18.
- ↑ Lim, Louisa (9 November 2012). "For China's Rising Leader, A Cave Was Once Home". NPR. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 June 2018. สืบค้นเมื่อ 27 October 2018.
- ↑ Demick, Barbara; Pierson, David (14 February 2012). "China's political star Xi Jinping is a study in contrasts". Toronto Star. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 October 2017. สืบค้นเมื่อ 24 October 2017.
- ↑ Matt Rivers (19 March 2018). "This entire Chinese village is a shrine to Xi Jinping". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2021. สืบค้นเมื่อ 11 February 2021.
- ↑ 22.0 22.1 習近平扶貧故事 [Xi Jinping's Poverty Alleviation Story] (ภาษาจีน). Sino United Electronic Publishing Limited. 2021. pp. 19–61. ISBN 978-988-8758-27-2. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 習近平如何改變中國 [How Xi Jinping is changing China]. China Interpretation Series (ภาษาจีน). Linghuo wenhua shiye youxiang gongsi. 2014. p. 12. ISBN 978-986-5721-05-3. สืบค้นเมื่อ 2024-08-23.
- ↑ Chan, A. L. (2022). Xi Jinping: Political Career, Governance, and Leadership, 1953–2018. Oxford University Press. p. 33. ISBN 978-0-19-761522-5. สืบค้นเมื่อ 2024-08-23.
- ↑ "Xi Jinping 习近平" (PDF). Brookings Institution. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2021. สืบค้นเมื่อ 14 October 2021.
- ↑ Ranade, Jayadva (25 October 2010). "China's Next Chairman – Xi Jinping". Centre for Air Power Studies. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2013. สืบค้นเมื่อ 27 May 2012.
- ↑ Chan, A. L. (2022). Xi Jinping: Political Career, Governance, and Leadership, 1953-2018. Oxford University Press. p. 34. ISBN 978-0-19-761522-5. สืบค้นเมื่อ 2024-08-23.
- ↑ 延川县志 [Yanchuan County Annals]. Shaanxi Local Chronicles Series (ภาษาจีน). Shaanxi People's Publishing House. 1999. p. 41. ISBN 978-7-224-05262-6. สืบค้นเมื่อ 2024-08-23.
- ↑ 红墙内的子女们 [Children Within the Red Wall] (ภาษาจีน). Yanbian University Press. 1998. p. 468. ISBN 978-7-5634-1080-4. สืบค้นเมื่อ 2024-08-23.
- ↑ 缙麓别调(三) [Jinlu Special Tune (Part 3)] (ภาษาจีน). Chongqing daxue dianzi yinxiang chubanshe. 2021. p. 76. ISBN 978-7-5689-2545-7. สืบค้นเมื่อ 2024-08-23.
- ↑ Pengpeng, Z. 谜一样的人生 [A Mysterious Life] (ภาษาจีน). Zhu Peng Peng. p. 619. ISBN 978-0-9787999-2-2. สืบค้นเมื่อ 2024-08-23.
- ↑ Zhong, Wen; Zhang, Jie (2022). 习近平传 [Biography of Xi Jinping] (ภาษาจีน). Bouden House. p. 3. ISBN 978-1-034-94892-6. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ Simon & Cong 2009, pp. 28–29.
- ↑ 耿飚传 [Biography of Geng Biao] (ภาษาจีน). People's Liberation Army Press. 2009. ISBN 978-7-5065-5904-1. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ Guo, X. (2019). The Politics of the Core Leader in China: Culture, Institution, Legitimacy, and Power. Cambridge University Press. p. 363. ISBN 978-1-108-48049-9. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ Li, C. (2016). Chinese Politics in the Xi Jinping Era: Reassessing Collective Leadership. Brookings Institution Press. p. 338. ISBN 978-0-8157-2694-4. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ Johnson, Ian (2012-09-30). "Elite and Deft, Xi Aimed High Early in China". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2012. สืบค้นเมื่อ 2023-04-04.
- ↑ 38.0 38.1 精准扶贫的辩证法 [The Dialectics of Targeted Poverty Alleviation] (ภาษาจีน). Xiamen University Press. 2018. p. 59. ISBN 978-7-5615-6916-0. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ "习近平同志当县委书记时就被认为是栋梁之才" [Comrade Xi Jinping was considered a pillar of talent when he was the county party secretary]. Xinhua News Agency (ภาษาจีน). 2018-02-08. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 August 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 决战2020:拒绝贫困 [Decisive Battle of 2020: Say No to Poverty] (ภาษาจีน). China Democracy and Legal System Publishing House. 2016. p. 12. ISBN 978-7-5162-1125-0. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 41.0 41.1 正定縣志 [Zhengding Chronicle] (ภาษาจีน). China City Press. 1992. pp. 73–548. ISBN 978-7-5074-0610-8. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 青春岁月: 当代青年小报告文学选 [Youth Years: A Selection of Contemporary Youth Reportage] (ภาษาจีน). People's Literature Publishing House. 1986. p. 62. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 43.0 43.1 河北社会主义核心价值观培育践行报告 [Hebei's Report on the Cultivation and Practice of Socialist Core Values] (ภาษาจีน). Social Sciences Literature Press. 2023. p. 3. ISBN 978-7-5228-1618-0. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 紅色后代 [Red Offspring] (ภาษาจีน). Chengdu Publishing House. 1996. p. 286. ISBN 978-7-80575-946-3. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 血脉总相连: 中国名人后代大寻踪 [Blood is Always Connected: Tracing the Descendants of Chinese Celebrities] (ภาษาจีน). Beijing Yanshan Publishing House. 1993. p. 363. ISBN 978-7-5402-0658-1. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 河北青年 [Hebei Youth] (ภาษาจีน). Hebei Youth Magazine. 1984. p. 5. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 决策论 [Decision Theory] (ภาษาจีน). Beijing Book Co. Inc. 2018. p. 141. ISBN 978-7-226-05307-2. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 社会的逻辑 [The Logic of Society] (ภาษาจีน). Peking University Press. 2017. p. 17. ISBN 978-7-301-26916-9. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 49.0 49.1 "习近平与人民日报的10个故事" [10 stories about Xi Jinping and People's Daily]. Haiwai Net (ภาษาจีน). 2018-06-15. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 August 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ 50.0 50.1 "中共元老何載逝世 曾薦習近平「棟樑之才」" [He Zai, the veteran of the CCP, passed away. He once recommended Xi Jinping as a "pillar of talent"]. China Times (ภาษาจีน). 2023-11-17. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 August 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ "104岁中共元老何载逝世 曾荐习近平"栋梁之才"" [He Zai, a 104-year-old CCP veteran, passed away. He once recommended Xi Jinping as a "pillar of talent"]. Sing Tao Daily (ภาษาจีน). 2023-11-16. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 August 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ Aoyagi, W.S.A. (2017). History of Biodiesel - with Emphasis on Soy Biodiesel (1900-2017): Extensively Annotated Bibliography and Sourcebook. Soyinfo Center. p. 262. ISBN 978-1-928914-97-6. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ "˭谁能想到石家庄食品协会主席成了中国领导人" [Who would have thought that the chairman of Shijiazhuang Food Association would become the Chinese leader?]. China National Radio (ภาษาจีน). 2015-09-23. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 August 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-08-30.
- ↑ Zhang, Qizi (2016). 厦门城市治理体系和治理能力现代化研究 [Research on the modernization of Xiamen's urban governance system and governance capacity]. A series of achievements of inter-academy cooperation of Chinese Academy of Social Sciences: Xiamen (ภาษาจีน). Social Sciences Literature Press. p. 9. ISBN 978-7-5097-9562-0. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ "白鹭振翅 向风而行" [Egrets flap their wings and fly into the wind]. Xinhua News Agency (ภาษาจีน). 2024-07-25. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ "习近平同志推动厦门经济特区建设发展的探索与实践" [Comrade Xi Jinping's exploration and practice in promoting the construction and development of Xiamen Special Economic Zone]. State Council of the People's Republic of China (ภาษาจีน). 2023-05-26. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ "时政长镜头丨筼筜回响" [Long shot of current affairs丨Yuanlong Echo]. Science and Technology Daily (ภาษาจีน). 2024-02-21. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ Kuhn, R.L. (2011). How China's Leaders Think: The Inside Story of China's Past, Current and Future Leaders. Wiley. p. 420. ISBN 978-1-118-10425-5. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ Dillon, M. (2021). China in the Age of Xi Jinping. Taylor & Francis. p. 93. ISBN 978-1-000-37096-6. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ Brown, W.N. (2021). Chasing the Chinese Dream: Four Decades of Following China's War on Poverty. Springer Nature Singapore. p. 9. ISBN 978-981-16-0654-0. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ Brown, W.N. (2022). The Evolution of China's Anti-Poverty Strategies: Cases of 20 Chinese Changing Lives. Springer Nature Singapore. p. 6. ISBN 978-981-19-7281-2. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ 中国脱贫攻坚精神 [China's Spirit of Poverty Alleviation] (ภาษาจีน). Huazhong University of Science and Technology Press. 2021. p. 74. ISBN 978-7-5680-6816-1. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ Feng, Hexia (2023). 中国的贫困治理 [Poverty Governance in China] (ภาษาจีน). Social Sciences Literature Press. p. 11. ISBN 978-7-5228-1509-1. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ 64.0 64.1 Lam, W. (2023). Xi Jinping: The Hidden Agendas of China's Ruler for Life. Taylor & Francis. p. 21. ISBN 978-1-000-92583-8. สืบค้นเมื่อ 2024-09-19.
- ↑ 65.0 65.1 Chan, A.L. (2022). Xi Jinping: Political Career, Governance, and Leadership, 1953-2018. Oxford University Press. p. 547. ISBN 978-0-19-761522-5. สืบค้นเมื่อ 2024-11-07.
- ↑ 《福州年鉴》编辑委员会 (1995). 福州年鉴 (ภาษาจีน). 中国统计出版社. p. 16. สืบค้นเมื่อ 2024-11-07.
- ↑ Tiezzi, Shannon (4 November 2014). "From Fujian, China's Xi Offers Economic Olive Branch to Taiwan". The Diplomat (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 June 2016. สืบค้นเมื่อ 17 March 2016.
- ↑ 驼铃: 大众文学 (ภาษาจีน). 驼铃杂志社. 2000. p. 45. สืบค้นเมื่อ 2024-11-07.
- ↑ Ho, Louise (25 October 2012). "Xi Jinping's time in Zhejiang: doing the business". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 April 2016. สืบค้นเมื่อ 9 December 2019.
- ↑ Chatwin, Jonathan (2024). The Southern Tour: Deng Xiaoping and the Fight for China's Future. Bloomsbury Academic. ISBN 978-1-350-43571-1.
- ↑ Wang, Lei (25 December 2014). 习近平为官之道 拎着乌纱帽干事 [Xi Jinping's Governmental Path – Carries Official Administrative Posts]. Duowei News (ภาษาจีนตัวย่อ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 February 2015. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Tian, Yew Lun; Chen, Laurie; Cash, Joe (11 March 2023). "Li Qiang, Xi confidant, takes reins as China's premier". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 May 2023. สืบค้นเมื่อ 24 May 2023.
- ↑ 习近平任上海市委书记 韩正不再代理市委书记 [Xi Jinping is Secretary of Shanghai Municipal Party Committee – Han Zheng is No Longer Acting Party Secretary]. Sohu (ภาษาจีนตัวย่อ). 24 March 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 October 2007. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ "China new leaders: Xi Jinping heads line-up for politburo". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 15 November 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 September 2019. สืบค้นเมื่อ 25 August 2019.
- ↑ 从上海到北京 习近平贴身秘书只有钟绍军 [From Shanghai to Beijing, Zhong Shaojun Has Been Xi Jinping's Only Personal Secretary]. Mingjing News (ภาษาจีนตัวย่อ). 11 July 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 12 September 2019.
- ↑ Lam 2015, p. 56.
- ↑ 新晋政治局常委: 习近平 [Newly Appointed Member of Politburo Standing Committee: Xi Jinping]. Caijing (ภาษาจีนตัวย่อ). 22 October 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 December 2015. สืบค้นเมื่อ 12 September 2019.
- ↑ "Wen Jiabao re-elected China PM". Al Jazeera (ภาษาอังกฤษ). 16 March 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ "Vice-President Xi Jinping to Visit DPRK, Mongolia, Saudi Arabia, Qatar and Yemen". Ministry of Foreign Affairs. 5 June 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 July 2011. สืบค้นเมื่อ 20 October 2010.
- ↑ Wines, Michael (9 March 2009). "China's Leaders See a Calendar Full of Anniversaries, and Trouble". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 July 2016. สืบค้นเมื่อ 8 September 2019.
- ↑ Anderlini, Jamil (20 July 2012). "Bo Xilai: power, death and politics". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 11 January 2020.
- ↑ Palmer, James (19 October 2017). "The Resistible Rise of Xi Jinping". Foreign Policy. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 February 2020. สืบค้นเมื่อ 11 January 2020.
- ↑ Ansfield, Jonathan (22 December 2007). "Xi Jinping: China's New Boss And The 'L' Word". Newsweek. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 March 2010. สืบค้นเมื่อ 20 October 2010.
- ↑ Elegant, Simon (19 November 2007). "China's Nelson Mandela". Time. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 July 2009. สืบค้นเมื่อ 8 September 2019.
- ↑ Elegant, Simon (15 March 2008). "China Appoints Xi Vice President, Heir Apparent to Hu". Bloomberg News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 October 2012. สืบค้นเมื่อ 20 October 2010.
- ↑ Uren, David (5 October 2012). "Rudd seeks to pre-empt PM's China white paper with his own version". The Australian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 November 2012. สืบค้นเมื่อ 8 September 2019.
- ↑ "Chinese VP Receives Key to the City of Montego Bay". Jamaica Information Service. 15 February 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 July 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ "Chinese VP praises friendly cooperation with Venezuela, Latin America". CCTV. Xinhua. 18 February 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 October 2022. สืบค้นเมื่อ 20 October 2022.
- ↑ "Xi Jinping proposes efforts to boost cooperation with Brazil". China Daily. 20 February 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 February 2011. สืบค้นเมื่อ 11 September 2019.
- ↑ "Chinese vice president begins official visit". Times of Malta (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 22 February 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 February 2020. สืบค้นเมื่อ 11 September 2019.
- ↑ Sim, Chi Yin (14 February 2009). "Chinese VP blasts meddlesome foreigners". AsiaOne. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2011. สืบค้นเมื่อ 20 October 2010.
- ↑ Lai, Jinhong (18 February 2009). 習近平出訪罵老外 外交部捏冷汗 [Xi Jinping Goes and Scolds at Foreigners, Ministry of Foreign Affairs in Cold Sweat]. United Daily News (ภาษาจีนตัวย่อ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 February 2009. สืบค้นเมื่อ 27 February 2009.
- ↑ "A Journey of Friendship, Cooperation and Culture – Vice Foreign Minister Zhang Zhijun Sums Up Chinese Vice President Xi Jinping's Trip to 5 European Countries". Permanent Representative of China to the United Nations. 21 October 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 February 2020. สืบค้นเมื่อ 11 September 2019.
- ↑ Raman, B. (25 December 2009). "China's Cousin-Cousin Relations with Myanmar". South Asia Analysis Group. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2010. สืบค้นเมื่อ 14 February 2012.
{{cite web}}
: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์) - ↑ Bull, Alister; Chris Buckley (24 January 2012). "China leader-in-waiting Xi to visit White House next month". Reuters. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 October 2013. สืบค้นเมื่อ 28 October 2018.
- ↑ Johnson, Kirk (15 February 2012). "Xi Jinping of China Makes a Return Trip to Iowa". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 June 2019. สืบค้นเมื่อ 12 September 2019.
- ↑ Beech, Hannah (15 September 2012). "China's Heir Apparent Xi Jinping Reappears in Public After a Two-Week Absence". Time (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0040-781X. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 August 2022. สืบค้นเมื่อ 20 August 2022.
- ↑ 98.0 98.1 "China Confirms Leadership Change". BBC News. 17 November 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 July 2016. สืบค้นเมื่อ 15 November 2012.
- ↑ "Xi Jinping: China's 'princeling' new leader". Hindustan Times. 15 November 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2018. สืบค้นเมื่อ 28 October 2018.
- ↑ Wong, Edward (14 November 2012). "Ending Congress, China Presents New Leadership Headed by Xi Jinping". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 December 2012. สืบค้นเมื่อ 16 November 2012.
- ↑ FlorCruz, Jaime A; Mullen, Jethro (16 November 2012). "After months of mystery, China unveils new top leaders". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 November 2012. สืบค้นเมื่อ 16 November 2012.
- ↑ Johnson, Ian (15 November 2012). "A Promise to Tackle China's Problems, but Few Hints of a Shift in Path". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 July 2014. สืบค้นเมื่อ 16 July 2014.
- ↑ "Full text: China's new party chief Xi Jinping's speech". BBC News. 15 November 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 September 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Page, Jeremy (13 March 2013). "New Beijing Leader's 'China Dream'". The Wall Street Journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 October 2019. สืบค้นเมื่อ 8 September 2019.
- ↑ Chen, Zhuang (10 December 2012). "The symbolism of Xi Jinping's trip south". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 July 2014. สืบค้นเมื่อ 22 July 2014.
- ↑ Demick, Barbara (3 March 2013). "China's Xi Jinping formally assumes title of president". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2013. สืบค้นเมื่อ 16 March 2013.
- ↑ Cheung, Tony; Ho, Jolie (17 March 2013). "CY Leung to meet Xi Jinping in Beijing and explain cross-border policies". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 March 2013. สืบค้นเมื่อ 16 March 2013.
- ↑ "China names Xi Jinping as new president". Inquirer.net. Agence France-Presse. 15 March 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2013. สืบค้นเมื่อ 16 March 2013.
- ↑ People's Daily, Department of Commentary (20 Nov 2019). "Stories of Incorrupt Government: "The Corruption and Unjustness of Officials Give Birth to the Decline of Governance"". Narrating China's Governance. Singapore: Springer Singapore. pp. 3–39. doi:10.1007/978-981-32-9178-2_1. ISBN 978-981-329-177-5.
- ↑ "Xi Jinping's inaugural Speech". BBC News. 15 November 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 September 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Jacobs, Andrew (27 March 2013). "Elite in China Face Austerity Under Xi's Rule". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 November 2018. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Oster, Shai (4 March 2014). "President Xi's Anti-Corruption Campaign Biggest Since Mao". Bloomberg News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 December 2014. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Heilmann 2017, pp. 62–75.
- ↑ "China's Soft-Power Deficit Widens as Xi Tightens Screws Over Ideology". Brookings Institution. 5 December 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2016. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ "Charting China's 'great purge' under Xi". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 22 October 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 June 2021. สืบค้นเมื่อ 7 January 2022.
- ↑ "Tiger in the net". The Economist. 11 December 2014. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 August 2022. สืบค้นเมื่อ 17 August 2022.
- ↑ "China's former military chief of staff jailed for life for corruption". The Guardian. 20 February 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 October 2019. สืบค้นเมื่อ 13 September 2019.
- ↑ "China's anti-corruption campaign expands with new agency". BBC News. 20 March 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2019. สืบค้นเมื่อ 13 September 2019.
- ↑ Jin, Keyu (2023). The New China Playbook: Beyond Socialism and Capitalism. New York: Viking. ISBN 978-1-9848-7828-1.
- ↑ Greitens, Sheena Chestnut (2020-09-02). "The Saohei Campaign, Protection Umbrellas, and China's Changing Political-Legal Apparatus". China Leadership Monitor (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-03-19.
- ↑ Zheng, William (17 July 2020). "Chinese official leading security purge 'may be on fast track to promotion', analysts say". South China Morning Post. สืบค้นเมื่อ 17 December 2023.
- ↑ "把扫黑除恶专项斗争不断推向深入" [Continue to deepen the special campaign against organized crime and evil]. Legal Daily. 2019-10-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-09-30. สืบค้นเมื่อ 2020-10-27.
- ↑ 123.0 123.1 "31个省级纪委改革方案获批复 12省已完成纪委"重建"" [31 Provincial Commission for Discipline Inspection Reform Plans Approved 12 Provinces Have Completed "Reconstruction"]. Xinhua News Agency. 13 June 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2014. สืบค้นเมื่อ 7 January 2015.
- ↑ 124.0 124.1 124.2 Chin, Josh (15 December 2021). "Xi Jinping's Leadership Style: Micromanagement That Leaves Underlings Scrambling". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Wong, Chun Han (16 October 2022). "Xi Jinping's Quest for Control Over China Targets Even Old Friends". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 October 2022. สืบค้นเมื่อ 17 October 2022.
- ↑ 126.0 126.1 126.2 "China re-connects: joining a deep-rooted past to a new world order". Jesus College, Cambridge (ภาษาอังกฤษ). 19 March 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 February 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-02-11.
- ↑ Wang, Gungwu (7 September 2019). "Ancient past, modern ambitions: historian Wang Gungwu's new book on China's delicate balance". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 February 2023. สืบค้นเมื่อ 11 February 2023.
- ↑ Denyer, Simon (25 October 2017). "China's Xi Jinping unveils his top party leaders, with no successor in sight". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2019. สืบค้นเมื่อ 25 October 2017.
Censorship has been significantly stepped up in China since Xi took power.
- ↑ Economy, Elizabeth (29 June 2018). "The great firewall of China: Xi Jinping's internet shutdown". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 October 2019. สืบค้นเมื่อ 4 November 2019.
Before Xi Jinping, the internet was becoming a more vibrant political space for Chinese citizens. But today the country has the largest and most sophisticated online censorship operation in the world.
- ↑ "Xi outlines blueprint to develop China's strength in cyberspace". Xinhua News Agency. 21 April 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 April 2018. สืบค้นเมื่อ 22 April 2018.
- ↑ Zhuang, Pinghui (19 February 2016). "China's top party mouthpieces pledge 'absolute loyalty' as president makes rare visits to newsrooms". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 March 2023. สืบค้นเมื่อ 14 August 2022.
- ↑ Risen, Tom (3 June 2014). "Tiananmen Censorship Reflects Crackdown Under Xi Jinping". U.S. News & World Report. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 April 2019. สืบค้นเมื่อ 8 September 2019.
- ↑ Bougon 2018, pp. 157–65.
- ↑ Tiezzi, Shannon (24 June 2014). "China's 'Sovereign Internet'". The Diplomat (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 August 2017. สืบค้นเมื่อ 4 August 2017.
- ↑ Ford, Peter (18 December 2015). "On Internet freedoms, China tells the world, 'leave us alone'". The Christian Science Monitor. ISSN 0882-7729. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 August 2017. สืบค้นเมื่อ 4 August 2017.
- ↑ "Wikipedia blocked in China in all languages". BBC News. 14 May 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 May 2019. สืบค้นเมื่อ 15 May 2019.
- ↑ Phillips, Tom (6 August 2015). "'It's getting worse': China's liberal academics fear growing censorship". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 September 2019. สืบค้นเมื่อ 8 September 2019.
- ↑ 138.0 138.1 Grigg, Angus (4 July 2015). "How China stopped its bloggers". The Australian Financial Review. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 June 2018. สืบค้นเมื่อ 8 September 2019.
- ↑ 139.0 139.1 Phillips, Tom (24 October 2017). "Xi Jinping becomes most powerful leader since Mao with China's change to constitution". The Guardian. ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 October 2017. สืบค้นเมื่อ 24 October 2017.
- ↑ "China elevates Xi to most powerful leader in decades". CBC News. 24 October 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 May 2018. สืบค้นเมื่อ 22 June 2018.
- ↑ "China elevates Xi Jinping's status, making him the most powerful leader since Mao". Irish Independent. 24 October 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2018. สืบค้นเมื่อ 22 June 2018.
- ↑ Collins, Stephen (9 November 2017). "Xi's up, Trump is down, but it may not matter". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 June 2018. สืบค้นเมื่อ 22 June 2018.
- ↑ Holtz, Michael (28 February 2018). "Xi for life? China turns its back on collective leadership". The Christian Science Monitor. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2018. สืบค้นเมื่อ 23 June 2018.
- ↑ Andrésy, Agnès (2015). Xi Jinping: Red China, The Next Generation. UPA. p. 88. ISBN 978-0-7618-6601-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2024. สืบค้นเมื่อ 22 August 2020.
- ↑ Pollard, Martin (26 October 2022). "China's Xi deals knockout blow to once-powerful Youth League faction". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 May 2023. สืบค้นเมื่อ 24 May 2023.
- ↑ Gan, Nectar (23 September 2017). "Latest Xi Jinping book gives clues on decline of Communist Party's youth wing". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 October 2017. สืบค้นเมื่อ 8 October 2017.
- ↑ Shi, Jiangtao; Huang, Kristin (26 February 2018). "End to term limits at top 'may be start of global backlash for China'". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2018. สืบค้นเมื่อ 28 February 2018.
- ↑ Phillips, Tom (4 March 2018). "Xi Jinping's power play: from president to China's new dictator?". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2018. สืบค้นเมื่อ 4 March 2018.
- ↑ Wen, Philip (17 March 2018). "China's parliament re-elects Xi Jinping as president". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2018. สืบค้นเมื่อ 17 March 2018.
- ↑ Bodeen, Christopher (17 March 2018). "Xi reappointed as China's president with no term limits". Associated Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2018. สืบค้นเมื่อ 17 March 2018.
- ↑ Zhou, Xin (18 March 2018). "Li Keqiang endorsed as China's premier; military leaders confirmed". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 August 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Mitchell, Tom (7 September 2019). "China's Xi Jinping says he is opposed to life-long rule". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2018. สืบค้นเมื่อ 17 April 2018.
President insists term extension is necessary to align government and party posts
- ↑ Wang, Cat (7 November 2021). "The significance of Xi Jinping's upcoming 'historical resolution'". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 August 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Ni, Vincent (11 November 2021). "Chinese Communist party elevates Xi's status in 'historical resolution'". The Guardian (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 June 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Wong, Chun Han; Zhai, Keith (17 November 2021). "How Xi Jinping Is Rewriting China's History to Put Himself at the Center". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 August 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Bandurski, David (8 February 2022). "Two Establishes". China Media Project (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 July 2022. สืบค้นเมื่อ 12 August 2022.
- ↑ Davidson, Helen; Graham-Harrison, Emma (23 October 2022). "China's leader Xi Jinping secures third term and stacks inner circle with loyalists". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 October 2022. สืบค้นเมื่อ 23 October 2022.
- ↑ Wingfield-Hayes, Rupert (23 October 2022). "Xi Jinping's party is just getting started". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 March 2023. สืบค้นเมื่อ 23 October 2022.
- ↑ "Shake-up at the top of China's Communist Party as Xi Jinping starts new term". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 22 October 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 October 2022. สืบค้นเมื่อ 23 October 2022.
- ↑ "Xi Jinping unanimously elected Chinese president, PRC CMC chairman". Xinhua News Agency. 10 March 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2023. สืบค้นเมื่อ 10 March 2023.
- ↑ "The power of Xi Jinping". The Economist. 18 September 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 November 2017. สืบค้นเมื่อ 20 September 2017.
- ↑ Jiayang, Fan; Taisu, Zhang; Ying, Zhu (8 March 2016). "Behind the Personality Cult of Xi Jinping". Foreign Policy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 July 2019. สืบค้นเมื่อ 26 July 2019.
- ↑ 163.0 163.1 Phillips, Tom (19 September 2015). "Xi Jinping: Does China truly love 'Big Daddy Xi' – or fear him?". The Guardian. ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 April 2019. สืบค้นเมื่อ 31 August 2017.
- ↑ Blanchard, Ben (28 October 2016). "All hail the mighty uncle – Chinese welcome Xi as the 'core'". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2018. สืบค้นเมื่อ 23 June 2018.
- ↑ "Xi's Nickname Becomes Out of Bounds for China's Media". Bloomberg News (ภาษาอังกฤษ). 28 April 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 October 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Rivers, Matt (19 March 2018). "This entire Chinese village is a shrine to Xi Jinping". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2018. สืบค้นเมื่อ 23 June 2018.
- ↑ Gan, Nectar (28 December 2017). "Why China is reviving Mao's grandiose title for Xi Jinping". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2019. สืบค้นเมื่อ 26 July 2019.
- ↑ "Xi Jinping is no longer any old leader". The Economist. 17 February 2018. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2019. สืบค้นเมื่อ 26 July 2019.
- ↑ Shepherd, Christian; Wen, Philip (20 October 2017). "With tears and song, China welcomes Xi as great, wise leader". Reuters (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 July 2019. สืบค้นเมื่อ 26 July 2019.
- ↑ Qian, Gang (2 November 2020). "A Brief History of the Helmsmen". China Media Project (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 August 2022. สืบค้นเมื่อ 16 August 2022.
- ↑ Nakazawa, Katsuji (9 January 2020). "China crowns Xi with special title, citing rare crisis". Nikkei Asian Review. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 January 2020. สืบค้นเมื่อ 10 January 2020.
- ↑ 172.0 172.1 172.2 Whyte, Martin K. (15 March 2021). "China's economic development history and Xi Jinping's "China dream:" an overview with personal reflections". Chinese Sociological Review. 53 (2): 115–134. doi:10.1080/21620555.2020.1833321. ISSN 2162-0555. S2CID 228867589.
- ↑ 173.0 173.1 173.2 Kroeber, Arthur R. (17 November 2013). "Xi Jinping's Ambitious Agenda for Economic Reform in China". Brookings Institution. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2014. สืบค้นเมื่อ 21 July 2014.
- ↑ Denyer, Simon (25 August 2013). "Creeping reforms as China gives Shanghai Free Trade Zone go-ahead". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 June 2023. สืบค้นเมื่อ 4 January 2023.
- ↑ Buckley, Chris; Bradsher, Keith (4 March 2017). "Xi Jinping's Failed Promises Dim Hopes for Economic Change in 2nd Term". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 August 2022. สืบค้นเมื่อ 22 August 2022.
- ↑ Wong 2023, p. 146.
- ↑ 177.0 177.1 Orlik, Tom; Hancock, Tom (3 March 2023). "What Wall Street Gets Wrong About Xi Jinping's New Money Men". Bloomberg News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2024. สืบค้นเมื่อ 4 March 2023.
- ↑ Wang, Orange; Leng, Sidney (28 September 2018). "Chinese President Xi Jinping's show of support for state-owned firms 'no surprise', analysts say". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 November 2020. สืบค้นเมื่อ 31 January 2020.
- ↑ Gan, Nectar (28 September 2018). "Xi says it's wrong to 'bad mouth' China's state firms... but country needs private sector as well". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 January 2020. สืบค้นเมื่อ 31 January 2020.
- ↑ 180.0 180.1 180.2 Pieke & Hofman 2022, p. 48.
- ↑ 181.0 181.1 Lockett, Hudson (2022-06-12). "How Xi Jinping is reshaping China's capital markets". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-11-21.
- ↑ Bradsher, Keith (4 March 2017). "China and Economic Reform: Xi Jinping's Track Record". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2017. สืบค้นเมื่อ 31 January 2020.
- ↑ Wildau, Gabriel (18 December 2018). "Xi says no one can 'dictate to the Chinese people'". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 31 January 2020.
- ↑ "GDP (current US$) – China | Data". World Bank. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 September 2019. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ "World Economic Outlook Database, April 2023". International Monetary Fund. April 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2023. สืบค้นเมื่อ 16 May 2023.
- ↑ "GDP growth (annual %) – China | Data". World Bank. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Hui, Mary (16 February 2022). "What China means when it says it wants "high quality" GDP growth". Quartz (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ 188.0 188.1 Marquis & Qiao 2022, p. 22.
- ↑ "Xi Puts His Personal Stamp on China's Fight Against Poverty". Bloomberg News (ภาษาอังกฤษ). 25 February 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 February 2022. สืบค้นเมื่อ 14 August 2022.
- ↑ Bandurski, David (2021-01-29). "Propaganda Soars Into Orbit". China Media Project (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-03-29.
- ↑ "China's Xi declares victory in ending extreme poverty". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 25 February 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 July 2022. สืบค้นเมื่อ 14 August 2022.
- ↑ "China's poverty line is not as stingy as commentators think". The Economist. Hong Kong. 18 June 2020. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 August 2022. สืบค้นเมื่อ 14 August 2022.
- ↑ "World Bank Open Data". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2024. สืบค้นเมื่อ 12 January 2024.
- ↑ Wei, Lingling (12 August 2020). "China's Xi Speeds Up Inward Economic Shift". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ "China's future economic potential hinges on its productivity". The Economist. 14 August 2021. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ "China's Escalating Property Curbs Point to Xi's New Priority". Bloomberg News (ภาษาอังกฤษ). 27 July 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ "Housing Should Be for Living In, Not for Speculation, Xi Says". Bloomberg News (ภาษาอังกฤษ). 18 October 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 April 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Lin, Andy; Hale, Thomas; Hudson, Hudson (8 October 2021). "Half of China's top developers crossed Beijing's 'red lines'". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Wei, Lingling (19 October 2021). "In Tackling China's Real-Estate Bubble, Xi Jinping Faces Resistance to Property-Tax Plan". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 August 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Tran, Hung (14 March 2023). "China's debt-reduction campaign is making progress, but at a cost". Atlantic Council. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2023. สืบค้นเมื่อ 14 March 2023.
- ↑ "China's Debt-Fueled Housing Market Is Having a Meltdown, Again". Bloomberg News. 23 August 2023. สืบค้นเมื่อ 1 February 2025.
- ↑ White, Edward; Leng, Cheng (2024-03-27). "Will Xi's manufacturing plan be enough to rescue China's economy?". Financial Times. สืบค้นเมื่อ 2025-02-01.
- ↑ Fifield, Anna (2 November 2018). "As China settles in for trade war, leader Xi emphasizes 'self reliance'". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 January 2020. สืบค้นเมื่อ 31 January 2020.
- ↑ 204.0 204.1 Han, Chen; Allen-Ebrahimian, Bethany (2022-10-15). "What China looks like after a decade of Xi Jinping's rule". Axios (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-04-19.
- ↑ Yap, Chuin-Wei (25 December 2019). "State Support Helped Fuel Huawei's Global Rise". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 December 2019. สืบค้นเมื่อ 16 September 2022.
- ↑ Yu, Evelyn (5 March 2024). "Xi Wants 'New Productive Forces' to Fit Local Conditions". Bloomberg News. สืบค้นเมื่อ 1 May 2024.
- ↑ "Xiongan is Xi Jinping's pet project". The Economist. 18 May 2023. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 May 2023. สืบค้นเมื่อ 19 May 2023.
- ↑ "US Efforts to Contain Xi's Push for Tech Supremacy Are Faltering". Bloomberg News. 30 October 2024. สืบค้นเมื่อ 1 February 2025.
- ↑ 209.0 209.1 "Full Text: Xi Jinping's Speech on Boosting Common Prosperity – Caixin Global". Caixin Global (ภาษาอังกฤษ). 19 October 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 October 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Wei, Jing Yang and Lingling (12 November 2020). "China's President Xi Jinping Personally Scuttled Jack Ma's Ant IPO". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 November 2020. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Hass, Ryan (9 September 2021). "Assessing China's "common prosperity" campaign". Brookings Institution (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Shen, Samuel; Ranganathan, Vidya (3 November 2021). "China stock pickers reshape portfolios on Xi's 'common prosperity'". Reuters (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 August 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Moore, Elena (10 April 2021). "China Fines Alibaba $2.8 Billion For Breaking Anti-Monopoly Law" (ภาษาอังกฤษ). NPR. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 September 2021. สืบค้นเมื่อ 16 September 2021.
- ↑ "China's Education Crackdown Pushes Costly Tutors Underground". Bloomberg News (ภาษาอังกฤษ). 12 August 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 March 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ "Trading kicks off on Beijing Stock Exchange, 10 stocks surge". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 15 November 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 November 2021. สืบค้นเมื่อ 22 August 2022.
- ↑ Stevenson, Alexandra; Chien, Amy Chang; Li, Cao (27 August 2021). "China's Celebrity Culture Is Raucous. The Authorities Want to Change That". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Buckley, Chris (30 August 2021). "China Tightens Limits for Young Online Gamers and Bans School Night Play". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ "China Bankers Face Deeper Pay Cuts in 'Common Prosperity' Push". Bloomberg News. 15 November 2022. สืบค้นเมื่อ 1 February 2025.
- ↑ "Xi Crackdown on 'Hedonistic' Bankers Fuels Industry Brain Drain". Bloomberg News. 27 February 2024. สืบค้นเมื่อ 1 February 2025.
- ↑ "China doesn't want people flaunting their wealth". The Economist. 20 June 2024. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 2025-02-01.
- ↑ Wuthnow, Joel (30 June 2016). "China's Much-Heralded NSC Has Disappeared". Foreign Policy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 August 2019. สืบค้นเมื่อ 25 August 2019.
- ↑ Lampton, David M. (3 September 2015). "Xi Jinping and the National Security Commission: policy coordination and political power". Journal of Contemporary China. 24 (95): 759–777. doi:10.1080/10670564.2015.1013366. ISSN 1067-0564. S2CID 154685098.
- ↑ Jun, Mai (21 March 2018). "China unveils bold overhaul to tighten Communist Party control". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Keck, Zachary (7 January 2014). "Is Li Keqiang Being Marginalized?". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 October 2018. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Sridahan, Vasudevan (27 December 2015). "China formally abolishes decades-old one-child policy". International Business Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 August 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Wee, Sui-Lee (31 May 2021). "China Says It Will Allow Couples to Have 3 Children, Up From 2". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2021. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Cheng, Evelyn (21 July 2021). "China scraps fines, will let families have as many children as they'd like". CNBC (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 January 2023. สืบค้นเมื่อ 29 April 2022.
- ↑ "Li Keqiang: China's marginalised premier". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 28 September 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 October 2022. สืบค้นเมื่อ 17 October 2022.
- ↑ Wei, Lingling (11 May 2022). "China's Forgotten Premier Steps Out of Xi's Shadow as Economic Fixer". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 May 2023. สืบค้นเมื่อ 17 October 2022.
- ↑ Attrill, Nathan; Fritz, Audrey (24 November 2021). "China's cyber vision: How the Cyberspace Administration of China is building a new consensus on global internet governance" (PDF). Australian Strategic Policy Institute. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 29 December 2022. สืบค้นเมื่อ 29 December 2022.
- ↑ Chen, Laurie; Tang, Ziyi (16 March 2023). "China to create powerful financial watchdog run by Communist Party". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2023. สืบค้นเมื่อ 17 March 2023.
- ↑ Mitchell, Tom (25 July 2016). "Xi's China: The rise of party politics". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 31 January 2020.
- ↑ 233.0 233.1 233.2 Buckley, Chris (2018-03-21). "China Gives Communist Party More Control Over Policy and Media". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2021. สืบค้นเมื่อ 2022-12-29.
- ↑ Hao, Mingsong; Ke, Xiwang (5 July 2023). "Personal Networks and Grassroots Election Participation in China: Findings from the Chinese General Social Survey". Journal of Chinese Political Science (ภาษาอังกฤษ). 29 (1): 159–184. doi:10.1007/s11366-023-09861-3. ISSN 1080-6954.
- ↑ 235.0 235.1 235.2 Wong, Chun Han; Zhai, Keith (16 March 2023). "China's Communist Party Overhaul Deepens Control Over Finance, Technology". The Wall Street Journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2023. สืบค้นเมื่อ 16 March 2023.
- ↑ "China Overhauls Financial Regulatory Regime to Control Risks". Bloomberg News. 7 March 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 April 2023. สืบค้นเมื่อ 17 March 2023.
- ↑ Bradsher, Keith; Che, Chang (2023-03-10). "Why China Is Tightening Its Oversight of Banking and Tech". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 March 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-03-16.
- ↑ "China passes law granting Communist Party more control over cabinet". Reuters. March 11, 2024. สืบค้นเมื่อ March 11, 2024.
- ↑ "习近平出席中央全面依法治国工作会议并发表重要讲话". Chinadaily.com.cn. 18 Nov 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 Jan 2021. สืบค้นเมื่อ 21 Sep 2023.
- ↑ Zhou, Laura; Huang, Cary (24 October 2014). "Communist Party pledges greater role for constitution, rights in fourth plenum". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 October 2018. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Doyon, Jerome; Winckler, Hugo (20 November 2014). "The Fourth Plenum, Party Officials and Local Courts". Jamestown Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 May 2020. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ 242.0 242.1 Lague, David; Lim, Benjamin Kang (23 April 2019). "How China is replacing America as Asia's military titan". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 January 2021. สืบค้นเมื่อ 10 January 2020.
- ↑ Bitzinger, Richard A. (2021). "China's Shift from Civil-Military Integration to Military-Civil Fusion". Asia Policy (ภาษาอังกฤษ). 28 (1): 5–24. doi:10.1353/asp.2021.0001. ISSN 1559-2960. S2CID 234121234.
- ↑ B. Kania, Elsa; Laskai, Lorand (28 January 2021). "Myths and Realities of China's Military-Civil Fusion Strategy". Center for a New American Security. JSTOR resrep28654. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 February 2023. สืบค้นเมื่อ 30 August 2022.
- ↑ Fifield, Anna (29 September 2019). "China's Communist Party has one more reason to celebrate – a year longer in power than the U.S.S.R." The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 February 2020. สืบค้นเมื่อ 31 January 2020.
- ↑ Meng, Chuan (4 November 2014). 习近平军中"亮剑" 新古田会议一箭多雕 [Xi Jinping And Central Army's New "Bright Sword" Conference In Gutian Killed Many Birds With Only A Single Stone]. Duowei News (ภาษาจีนตัวย่อ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 January 2015. สืบค้นเมื่อ 8 September 2019.
- ↑ 247.0 247.1 Grammaticas, Damian (14 March 2013). "President Xi Jinping: A man with a dream". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 May 2020. สืบค้นเมื่อ 31 January 2020.
- ↑ Wong, Edward; Perlez, Jane; Buckley, Chris (2 September 2015). "China Announces Cuts of 300,000 Troops at Military Parade Showing Its Might". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 September 2015. สืบค้นเมื่อ 10 January 2020.
- ↑ Tiezzi, Shannon (2 February 2016). "It's Official: China's Military Has 5 New Theater Commands". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 August 2020. สืบค้นเมื่อ 10 January 2020.
- ↑ Kania, Elsa (18 February 2017). "China's Strategic Support Force: A Force for Innovation?". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 November 2020. สืบค้นเมื่อ 31 January 2020.
- ↑ Blanchard, Ben (14 September 2016). "China sets up new logistics force as part of military reforms". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 December 2020. สืบค้นเมื่อ 31 January 2020.
- ↑ Wuthnow, Joel (16 April 2019). China's Other Army: The People's Armed Police in an Era of Reform (PDF). Washington: Institute for National Strategic Studies. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 4 July 2020. สืบค้นเมื่อ 3 October 2019.
- ↑ "Xi Jinping named as 'commander in chief' by Chinese state media". The Guardian. 21 April 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 April 2016. สืบค้นเมื่อ 25 April 2016.
- ↑ Kayleigh, Lewis (23 April 2016). "Chinese President Xi Jinping named as military's 'commander-in-chief'". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 April 2016. สืบค้นเมื่อ 25 April 2016.
- ↑ Sison, Desiree (22 April 2016). "President Xi Jinping is New Commander-in-Chief of the Military". China Topix. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 April 2016. สืบค้นเมื่อ 25 April 2016.
- ↑ "China's Xi moves to take more direct command over military". Columbia Daily Tribune. 24 April 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 April 2016. สืบค้นเมื่อ 25 April 2016.
- ↑ Buckley, Chris; Myers, Steven Lee (11 October 2017). "Xi Jinping Presses Military Overhaul, and Two Generals Disappear". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2017. สืบค้นเมื่อ 26 October 2017.
- ↑ Chen, Laurie; Torode, Greg (5 March 2025). "China maintains defence spending increase at 7.2% amid roiling geopolitical tensions". Reuters. สืบค้นเมื่อ 31 March 2025.
- ↑ Miura, Kacie. "The Domestic Sources of China's Maritime Assertiveness Under Xi Jinping" (PDF). Woodrow Wilson International Center for Scholars. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 19 May 2023. สืบค้นเมื่อ 19 May 2023.
- ↑ Lague, David; Kang Lim, Benjamin (30 April 2019). "China's vast fleet is tipping the balance in the Pacific". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 May 2022. สืบค้นเมื่อ 19 April 2023.
- ↑ Sun, Degang; Zoubir, Yahia H. (2021-07-04). "Securing China's 'Latent Power': The Dragon's Anchorage in Djibouti". Journal of Contemporary China (ภาษาอังกฤษ). 30 (130): 677–692. doi:10.1080/10670564.2020.1852734. ISSN 1067-0564. S2CID 229393446.
- ↑ Jacobs, Andrew; Perlez, Jane (2017-02-25). "U.S. Wary of Its New Neighbor in Djibouti: A Chinese Naval Base". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 May 2017. สืบค้นเมื่อ 2023-04-19.
- ↑ "Xi Jinping has nurtured an ugly form of Chinese nationalism". The Economist. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 August 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Meng, Angela (6 September 2014). "Xi Jinping rules out Western-style political reform for China". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2018. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Buckley, Chris (26 February 2018). "Xi Jinping Thought Explained: A New Ideology for a New Era". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 October 2022. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ Barrass, Gordon; Inkster, Nigel (2 January 2018). "Xi Jinping: The Strategist Behind the Dream". Survival. 60 (1): 41–68. doi:10.1080/00396338.2018.1427363. ISSN 0039-6338. S2CID 158856300.
- ↑ 267.0 267.1 Zhao, Suisheng (2023). The Dragon Roars Back: Transformational Leaders and Dynamics of Chinese Foreign Policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 86. doi:10.1515/9781503634152. ISBN 978-1-5036-3088-8. OCLC 1331741429.
- ↑ "Xi's Vow of World Dominance by 2049 Sends Chill Through Markets". Bloomberg News. 26 October 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 November 2022. สืบค้นเมื่อ 14 March 2023.
- ↑ Hu, Weixing (2 January 2019). "Xi Jinping's 'Major Country Diplomacy': The Role of Leadership in Foreign Policy Transformation". Journal of Contemporary China. 28 (115): 1–14. doi:10.1080/10670564.2018.1497904. ISSN 1067-0564. S2CID 158345991.
- ↑ Auto, Hermes (5 April 2021). "China's 'wolf warrior' diplomats back to howl at Xinjiang critics". The Straits Times (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 August 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Bishop, Bill (8 March 2019). "Xi's thought on diplomacy is "epoch-making"". Axios (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 August 2022. สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Buckley, Chris (3 March 2021). "'The East Is Rising': Xi Maps Out China's Post-Covid Ascent". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2022. สืบค้นเมื่อ 12 August 2022.
- ↑ Zhang, Denghua (May 2018). "The Concept of 'Community of Common Destiny' in China's Diplomacy: Meaning, Motives and Implications". Asia & the Pacific Policy Studies. 5 (2): 196–207. doi:10.1002/app5.231. hdl:1885/255057. ISSN 2050-2680.
- ↑ Tobin, Liza (2018). The University Of Texas At Austin, The University Of Texas At Austin. "Xi's Vision for Transforming Global Governance: A Strategic Challenge for Washington and Its Allies (November 2018)". Texas National Security Review (ภาษาอังกฤษ). doi:10.26153/TSW/863. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Seib, Gerald F. (15 July 2022). "Putin and Xi's Bet on the Global South". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 August 2022. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ Jones, Hugo (24 November 2021). "China's Quest for Greater 'Discourse Power'". The Diplomat (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 August 2022. สืบค้นเมื่อ 29 August 2022.
- ↑ "Telling China's Story Well". China Media Project (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 16 April 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 August 2022. สืบค้นเมื่อ 29 August 2022.
- ↑ Kynge, James; Hornby, Lucy; Anderlini, Jamil (26 October 2017). "Inside China's secret 'magic weapon' for worldwide influence". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ "China's Global Development Initiative is not as innocent as it sounds". The Economist. 9 June 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2023. สืบค้นเมื่อ 7 March 2023.
- ↑ Yao, Kevin; Tian, Yew Lun (22 April 2022). "China's Xi proposes 'global security initiative', without giving details". Reuters (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ 281.0 281.1 281.2 Cai, Jane (12 June 2023). "How China's Xi Jinping promotes mix of Marxism and traditional culture to further Communist Party and 'Chinese dream'". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2023. สืบค้นเมื่อ 12 June 2023.
- ↑ 282.0 282.1 Tsang, Steve; Cheung, Olivia (2024). The Political Thought of Xi Jinping. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-768936-3.
- ↑ Shinn, David H.; Eisenman, Joshua (2023). China's Relations with Africa: a New Era of Strategic Engagement. New York: Columbia University Press. ISBN 978-0-231-21001-0.
- ↑ Hille, Kathrin; Pilling, David (11 January 2022). "China applies brakes to Africa lending". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ He, Laura (19 June 2020). "China is promising to write off some loans to Africa. It may just be a drop in the ocean". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 July 2020. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ Li, Cheng (26 September 2014). "A New Type of Major Power Relationship?". Brookings Institution. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 July 2016. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Shi, Jiangtao; Chan, Minnie; Zheng, Sarah (27 March 2018). "Kim's visit evidence China, North Korea remain allies, analysts say". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2019. สืบค้นเมื่อ 26 August 2019.
- ↑ Li, Cheng (26 September 2014). "A New Type of Major Power Relationship?". Brookings Institution. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 July 2016. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Kim, Bo-eun (26 July 2022). "China, South Korea renew service sector talks, opening up a 'win-win for both economies'". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2023. สืบค้นเมื่อ 14 March 2023.
- ↑ Park, Chan-kyong (26 January 2021). "Xi charms Moon as China and US compete for an ally in South Korea". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 March 2021. สืบค้นเมื่อ 14 August 2022.
- ↑ Osawa, Jun (17 December 2013). "China's ADIZ over the East China Sea: A "Great Wall in the Sky"?". Brookings Institution. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 July 2016. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Albert, Eleanor (16 March 2019). "China and Japan's Rapprochement Continues – For Now". The Diplomat (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 July 2022. สืบค้นเมื่อ 12 August 2022.
- ↑ Kelly, Tim (28 February 2021). "China's Xi will not make a state visit to Japan this year -Sankei". Reuters (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2022. สืบค้นเมื่อ 12 August 2022.
- ↑ "Journal of Current Chinese Affairs" (PDF). giga-hamburg.de. May 2009. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 17 February 2012. สืบค้นเมื่อ 20 October 2010.
- ↑ "India says China agrees retreat to de facto border in faceoff deal". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 6 May 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2015. สืบค้นเมื่อ 29 August 2022.
- ↑ "China says India violates 1890 agreement in border stand-off". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 3 July 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 August 2017. สืบค้นเมื่อ 29 August 2022.
- ↑ Janjua, Haroon (10 May 2020). "Chinese and Indian troops injured in border brawl". The Times. ISSN 0140-0460. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2020. สืบค้นเมื่อ 12 May 2020.
- ↑ "Indian and Chinese soldiers injured in cross-border fistfight, says Delhi". The Guardian. Agence France-Presse. 11 May 2020. ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2020. สืบค้นเมื่อ 12 May 2020.
- ↑ Vohra, Anchal (1 February 2022). "Xi Jinping Has Transformed China's Middle East Policy". Foreign Policy (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 September 2022. สืบค้นเมื่อ 8 September 2022.
- ↑ Buckley, Chris; Bradsher, Keith (15 April 2022). "Faced With a Changed Europe, China Sticks to an Old Script". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Miller, Michael E. "China says Macron and Merkel support reviving E.U.-China investment pact. Not so fast". The Washington Post (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0190-8286. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 September 2021. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Baker, Peter (8 November 2014). "As Russia Draws Closer to China, U.S. Faces a New Challenge". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 August 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Ng, Teddy (2 April 2022). "Chinese President Xi Jinping warns it could take decades to repair economic damage caused by Ukraine crisis". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 May 2022. สืบค้นเมื่อ 12 August 2022.
- ↑ "China's Xi Says International Disputes Should be Resolved Via Dialogue, Not Sanctions". Voice of America (ภาษาอังกฤษ). 21 April 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2022. สืบค้นเมื่อ 12 August 2022.
- ↑ Buckley, Chris; Myers, Steven Lee (7 March 2022). "'No Wavering': After Turning to Putin, Xi Faces Hard Wartime Choices for China". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2022. สืบค้นเมื่อ 5 April 2022.
- ↑ Hiroyuki, Akita (22 July 2014). "A new kind of 'great power relationship'? No thanks, Obama subtly tells China". Nikkei Asian Review. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-11. สืบค้นเมื่อ 11 November 2014.
- ↑ Blanchard, Ben (3 July 2014). "With one eye on Washington, China plots its own Asia 'pivot'". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 October 2015. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Brown, Adrian (12 May 2019). "China-US trade war: Sino-American ties being torn down brick by brick". Al Jazeera. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 September 2019. สืบค้นเมื่อ 19 October 2019.
- ↑ Swanson, Ana (5 July 2018). "Trump's Trade War With China Is Officially Underway". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 July 2018. สืบค้นเมื่อ 26 May 2019.
- ↑ "Relations between China and America are infected with coronavirus". The Economist. 26 March 2020. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 March 2020. สืบค้นเมื่อ 14 August 2022.
- ↑ "Xi Sees Threats to China's Security Everywhere Heading Into 2021". Bloomberg News (ภาษาอังกฤษ). 30 December 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2021. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ Shinn, David H.; Eisenman, Joshua (2023). China's Relations with Africa: a New Era of Strategic Engagement. New York: Columbia University Press. ISBN 978-0-231-21001-0.
- ↑ 313.0 313.1 Buckley, Chris; Myers, Steven Lee (6 August 2022). "In Turbulent Times, Xi Builds a Security Fortress for China, and Himself". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 August 2022. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ "China passes counter-espionage law". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 1 November 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2020. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ Wong, Chun Han (1 July 2015). "China Adopts Sweeping National-Security Law". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ Blanchard, Ben (28 December 2015). "China passes controversial counter-terrorism law". Reuters (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 April 2020. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ Wagner, Jack (1 June 2017). "China's Cybersecurity Law: What You Need to Know". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 December 2018. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ Wong, Edward (28 April 2015). "Clampdown in China Restricts 7,000 Foreign Organizations". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2020. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ "China passes tough new intelligence law". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 27 June 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 July 2017. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ Haldane, Matt (1 September 2021). "What China's new data laws are and their impact on Big Tech". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 August 2022. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ Mozur, Paul; Xiao, Muyi; Liu, John (26 June 2022). "'An Invisible Cage': How China Is Policing the Future". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2022. สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ 322.0 322.1 Bland, Ben (2 September 2018). "Greater Bay Area: Xi Jinping's other grand plan". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 11 January 2020.
- ↑ 323.0 323.1 "Young Hong Kongers Who Defied Xi Are Now Partying in China". Bloomberg. 2024-03-03. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-03-18.
- ↑ Yu, Verna (5 November 2019). "China signals desire to bring Hong Kong under tighter control". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2020. สืบค้นเมื่อ 11 January 2020.
- ↑ 325.0 325.1 325.2 325.3 Buckley, Chris; Wang, Vivian; Ramzy, Austin (28 June 2021). "Crossing the Red Line: Behind China's Takeover of Hong Kong". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Buckley, Chris; Forsythe, Michael (2014-08-31). "China Restricts Voting Reforms for Hong Kong". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 February 2015. สืบค้นเมื่อ 2023-03-18.
- ↑ Chan, Wilfred (19 June 2015). "Hong Kong legislators reject China-backed reform bill". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 March 2023. สืบค้นเมื่อ 19 March 2023.
- ↑ Cheng, Kris (7 February 2017). "Carrie Lam is the only leadership contender Beijing supports, state leader Zhang Dejiang reportedly says". Hong Kong Free Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2024. สืบค้นเมื่อ 19 March 2023.
- ↑ Sin, Noah; Kwok, Donny (16 December 2019). "China's Xi vows support for Hong Kong leader during 'most difficult' time". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2020. สืบค้นเมื่อ 11 January 2020.
- ↑ Zhou, Laura (14 November 2019). "Xi Jinping again backs Hong Kong police use of force in stopping unrest". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 November 2020. สืบค้นเมื่อ 11 January 2020.
- ↑ "China's Xi warns of 'foreign forces' at Macao anniversary". Deutsche Welle. 20 December 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2020. สืบค้นเมื่อ 11 January 2020.
- ↑ Siu, Phila; Cheung, Gary (19 December 2019). "Xi Jinping seen as indirectly lecturing Hong Kong as he tells Macau residents to make 'positive voices' heard and resolve problems with rationality". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2020. สืบค้นเมื่อ 11 January 2020.
- ↑ Yip, Martin; Fraser, Simon (30 June 2022). "China's President Xi arrives in Hong Kong for handover anniversary". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Ioanes, Ellen (2 July 2022). "Xi Jinping asserts his power on Hong Kong's handover anniversary". Vox. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Chan, Ho-him; Riordan, Primrose (8 May 2022). "Beijing-backed hardliner John Lee chosen as Hong Kong's next leader". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Perlez, Jane; Ramzy, Austin (4 November 2015). "China, Taiwan and a Meeting After 66 Years". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 September 2017. สืบค้นเมื่อ 1 November 2017.
- ↑ "One-minute handshake marks historic meeting between Xi Jinping and Ma Ying-jeou". The Straits Times. 7 November 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 September 2019. สืบค้นเมื่อ 5 September 2019.
- ↑ Huang, Kristin (15 June 2021). "Timeline: Taiwan's relations with mainland China under Tsai Ing-wen". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 September 2024. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ 339.0 339.1 Bush, Richard C. (19 October 2017). "What Xi Jinping said about Taiwan at the 19th Party Congress". Brookings Institution. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 July 2018. สืบค้นเมื่อ 8 July 2018.
- ↑ Kuo, Lily (2 January 2019). "'All necessary means': Xi Jinping reserves right to use force against Taiwan". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 August 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Griffiths, James (2 January 2019). "Xi warns Taiwan independence is 'a dead end'". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 October 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Lee, Yimou (2 January 2019). "Taiwan president defiant after China calls for reunification". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 September 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ "China: Events of 2017". World Report 2018: Rights Trends in China (ภาษาอังกฤษ). Human Rights Watch. 9 January 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 August 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Withnall, Adam (17 January 2019). "Repression in China at worst level since Tiananmen Square, HRW warns". The Independent (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 May 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ "China widens crackdown against grassroot activists". Financial Times. 9 May 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 11 January 2020.
- ↑ Sudworth, John (22 May 2017). "Wang Quanzhang: The lawyer who simply vanished". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 November 2021. สืบค้นเมื่อ 11 January 2020.
- ↑ "Chinese dream turns sour for activists under Xi Jinping". Bangkok Post. 10 July 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2020. สืบค้นเมื่อ 17 July 2014.
- ↑ 348.0 348.1 Gan, Nectar (14 November 2017). "Replace pictures of Jesus with Xi to escape poverty, Chinese villagers urged". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2019. สืบค้นเมื่อ 26 July 2019.
- ↑ Denyer, Simon (14 November 2017). "Jesus won't save you – President Xi Jinping will, Chinese Christians told". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 May 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Haas, Benjamin (28 September 2018). "'We are scared, but we have Jesus': China and its war on Christianity". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 August 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Bodeen, Christopher (10 September 2018). "Group: Officials destroying crosses, burning bibles in China". Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 October 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Lau, Mimi (5 December 2019). "From Xinjiang to Ningxia, China's ethnic groups face end to affirmative action in education, taxes, policing". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 September 2023. สืบค้นเมื่อ 14 March 2023.
- ↑ Zhai, Keith (8 October 2021). "China's Communist Party Formally Embraces Assimilationist Approach to Ethnic Minorities". The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 14 March 2023.
- ↑ Linda, Lew (19 December 2020). "China puts Han official in charge of ethnic minority affairs as Beijing steps up push for integration". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 December 2020. สืบค้นเมื่อ 9 October 2021.
- ↑ Aaron, Glasserman (2 March 2023). "China's Head of Ethnic Affairs Is Keen to End Minority Culture". Foreign Policy. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 March 2023. สืบค้นเมื่อ 12 March 2023.
- ↑ "Xi Focus: Xi stresses high-quality development of Party's work on ethnic affairs". Xinhua News Agency. 28 August 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2024. สืบค้นเมื่อ 19 March 2023.
- ↑ 357.0 357.1 Khatchadourian, Raffi (5 April 2021). "Surviving the Crackdown in Xinjiang". The New Yorker. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 April 2021. สืบค้นเมื่อ 19 March 2023.
- ↑ Shepherd, Christian (12 September 2019). "Fear and oppression in Xinjiang: China's war on Uighur culture". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 19 January 2020.
- ↑ 359.0 359.1 359.2 359.3 Ramzy, Austin; Buckley, Chris (16 November 2019). "'Absolutely No Mercy': Leaked Files Expose How China Organized Mass Detentions of Muslims". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 January 2020. สืบค้นเมื่อ 6 December 2019.
- ↑ "China cuts Uighur births with IUDs, abortion, sterilization". Associated Press. 28 June 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 December 2020. สืบค้นเมื่อ 18 December 2020.
- ↑ "More than 20 ambassadors condemn China's treatment of Uighurs in Xinjiang". The Guardian. 11 July 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2019. สืบค้นเมื่อ 11 July 2019.
- ↑ "China's Xi responsible for Uyghur 'genocide', unofficial tribunal says". Reuters. 10 December 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 October 2022. สืบค้นเมื่อ 24 October 2022.
- ↑ "U.N. says China may have committed crimes against humanity in Xinjiang". Reuters. 1 September 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 November 2022. สืบค้นเมื่อ 24 October 2022.
- ↑ Tugendhat, Tom (19 January 2020). "Huawei's human rights record needs scrutiny before Britain signs 5G contracts". Hong Kong Free Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2024. สืบค้นเมื่อ 19 January 2020.
- ↑ 365.0 365.1 "Even in secret, China's leaders speak in code". The Economist. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Chin, Josh (30 November 2021). "Leaked Documents Detail Xi Jinping's Extensive Role in Xinjiang Crackdown". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Momen Langka! Presiden China Xi Jinping Kunjungi Kampung Muslim Uighur (ภาษาอังกฤษ), Kompas TV, July 19, 2022, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2024, สืบค้นเมื่อ 7 March 2024 – โดยทาง Youtube,
Selama 4 hari, Xi Jinping mengunjungi sejumlah situs di Xinjiang termasuk perkebunan kapas, zona perdagangan dan museum. Penduduk Uighur pun menyambut Presiden Xi Jinping. Dalam kunjungannya, Xi mendesak agar pejabat Xinjiang selalu mendengarkan suara rakyat demi memenangkan hati dan membuat rakyat bersatu.
- ↑ China's President Xi visits far western Xinjiang region for first time in 8 years (ภาษาอังกฤษ), SCMP, July 15, 2022, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2024, สืบค้นเมื่อ 7 March 2024 – โดยทาง Youtube
- ↑ "Xi Jinping visits Xinjiang for first time since crackdown". Deutsche Welle (ภาษาอังกฤษ). 2022-07-15.
- ↑ ONG HAN SEAN (20 November 2023). "China's Xinjiang: A marvel of wild beauty and a land full of culture and charm". The Star (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 November 2023.
Our visit came on the heels of Chinese President Xi Jinping's visit to Ürümqi, where he reportedly stressed on the positive promotion of the region to show an open and confident Xinjiang. Xi also called for Xinjiang to be opened more widely for tourism to encourage visits from domestic and foreign tourists.
- ↑ "China: How is Beijing whitewashing its Xinjiang policy?". Deutsche Welle (ภาษาอังกฤษ). 2023-09-11. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2024. สืบค้นเมื่อ 2024-03-07.
But amid growing global attention on Xinjiang, China has been eager to portray the region as a "success story" by welcoming more tourists. In a speech that he made while visiting the region last month, Xi said Xinjiang was "no longer a remote area" and should open up more to domestic and foreign tourism.
- ↑ Griffiths, James (17 February 2020). "Did Xi Jinping know about the coronavirus outbreak earlier than first suggested?". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 June 2023. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Page, Jeremy (27 January 2020). "China's Xi Gives His No. 2 a Rare Chance to Shine in Coronavirus Fight, With Risks for Both". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 January 2020. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Griffiths, James (24 January 2020). "Wuhan is the latest crisis to face China's Xi, and it's exposing major flaws in his model of control". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 February 2020. สืบค้นเมื่อ 29 August 2022.
- ↑ 375.0 375.1 Steger, Isabella (10 February 2020). "Xi Jinping emerges to meet the people for the first time in China's coronavirus outbreak". Quartz (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 September 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ "WHO dementiert Telefongespräch mit Chinas Präsident". Der Spiegel (ภาษาเยอรมัน). 10 May 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 May 2020. สืบค้นเมื่อ 14 May 2020.
- ↑ Yew, Lun Tian; Se, Young Lee (10 March 2022). "Xi visits Wuhan, signaling tide turning in China's coronavirus battle". Reuters (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Cao, Desheng. "Xi: Dynamic zero-COVID policy works". China Daily. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ 379.0 379.1 Wong, Chun Han (25 July 2022). "China's Zero-Covid Policy Drags on Vaccination Drive". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2024. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Davidson, Helen (10 June 2022). "Xi Jinping says 'persistence is victory' as Covid restrictions return to Shanghai and Beijing". The Guardian (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2024. สืบค้นเมื่อ 29 August 2022.
- ↑ Hadano, Tsukasa; Doi, Noriyuki (29 June 2022). "Xi ally Li Qiang keeps Shanghai party chief job, but star fades". Nikkei Asia (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 September 2022. สืบค้นเมื่อ 29 August 2022.
- ↑ Cai, Jane; Tang, Frank (29 June 2022). "China to press on with 'zero Covid', despite economic risks: Xi". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ "Covid in China: Xi Jinping and other leaders given domestic vaccine". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 23 July 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 August 2022. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ McDonell, Stephen (16 October 2022). "Xi Jinping speech: Zero-Covid and zero solutions". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 November 2022. สืบค้นเมื่อ 11 November 2022.
- ↑ "Xi Jinping tied himself to zero-Covid. Now he keeps silent as it falls apart". CNN. 17 December 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 December 2022. สืบค้นเมื่อ 16 December 2022.
- ↑ Ramzy, Austin (11 November 2022). "China Eases Zero-Covid Rules as Economic Toll and Frustrations Mount". The Wall Street Journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 November 2022. สืบค้นเมื่อ 11 November 2022.
- ↑ 387.0 387.1 387.2 Che, Chang; Buckley, Chris; Chien, Amy Chang; Dong, Joy (2022-12-05). "China Stems Wave of Protest, but Ripples of Resistance Remain". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-12-05.
- ↑ Olcott, Eleanor; Mitchell, Tom (4 December 2022). "Chinese cities ease Covid restrictions following nationwide protests". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2022. สืบค้นเมื่อ 5 December 2022.
- ↑ Che, Chang; Chien, Amy Chang; Stevenson, Alexandra (2022-12-07). "What Has Changed About China's 'Zero Covid' Policy". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2022-12-08.
- ↑ 390.0 390.1 390.2 390.3 Li, David Daokui (2024). China's World View: Demystifying China to Prevent Global Conflict. New York, NY: W. W. Norton & Company. ISBN 978-0-393-29239-8.
- ↑ 391.0 391.1 "China going carbon neutral before 2060 would lower warming projections by around 0.2 to 0.3 degrees C". Climate Action Tracker. 23 September 2020. สืบค้นเมื่อ 27 September 2020.
- ↑ "China, the world's top global emitter, aims to go carbon-neutral by 2060". ABC News. 23 September 2020. สืบค้นเมื่อ 29 September 2020.
- ↑ "China's top climate scientists unveil road map to 2060 goal". The Japan Times. Bloomberg News. 29 September 2020. สืบค้นเมื่อ 29 September 2020.
- ↑ Brant, Robin (22 September 2021). "China pledges to stop building new coal energy plants abroad". BBC News. สืบค้นเมื่อ 29 September 2021.
- ↑ Faulconbridge, Guy (15 October 2021). "China's Xi will not attend COP26 in person, UK PM Johnson told". Reuters. สืบค้นเมื่อ 20 August 2022.
- ↑ Harvey, Fiona (10 November 2021). "China's top Cop26 delegate says it is taking 'real action' on climate targets". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 11 November 2022.
- ↑ Volcovici, Valeria; James, William; Spring, Jake (11 November 2021). "U.S. and China unveil deal to ramp up cooperation on climate change". Reuters. สืบค้นเมื่อ 11 November 2021.
- ↑ 398.0 398.1 398.2 "An investigation into what has shaped Xi Jinping's thinking". The Economist. 28 September 2022. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 30 September 2022.
- ↑ 399.0 399.1 Myers, Steven Lee (5 March 2018). "Behind Public Persona, the Real Xi Jinping Is a Guarded Secret". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ McGregor, Richard (21 August 2022). "Xi Jinping's Radical Secrecy". The Atlantic (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 21 August 2022.
- ↑ 401.0 401.1 Blachard, Ben (17 November 2017). "Glowing profile cracks door open on private life of China's Xi" (ภาษาอังกฤษ). Reuters. สืบค้นเมื่อ 9 December 2019.
- ↑ Marquis & Qiao 2022, p. 52.
- ↑ Forde, Brendan (9 September 2013). "China's 'Mass Line' Campaign". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2018. สืบค้นเมื่อ 23 June 2018.
- ↑ Levin, Dan (20 December 2013). "China Revives Mao-Era Self-Criticism, but This Kind Bruises Few Egos". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2018. สืบค้นเมื่อ 23 June 2018.
- ↑ Tiezzi, Shannon (27 December 2013). "The Mass Line Campaign in the 21st Century". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2018. สืบค้นเมื่อ 23 June 2018.
- ↑ Lee, Chi Chun (2024-02-15). "China's Xi appeared 'humble' but now rules supreme, ambassador says". Radio Free Asia. สืบค้นเมื่อ 2024-04-22.
- ↑ Ide, Bill (18 Oct 2017). "Xi Lays Out New Vision for Communist China". Voice of America. สืบค้นเมื่อ 30 Jul 2024.
- ↑ "Xi Jinping and the Chinese dream". The Economist. 4 May 2013. ISSN 0013-0613. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 May 2016. สืบค้นเมื่อ 12 September 2019.
- ↑ Moore, Malcolm (17 March 2013). "Xi Jinping calls for a Chinese dream". The Daily Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 March 2013. สืบค้นเมื่อ 20 March 2013.
- ↑ Fallows, James (3 May 2013). "Today's China Notes: Dreams, Obstacles". The Atlantic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 July 2018. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ M., J. (6 May 2013). "The role of Thomas Friedman". The Economist. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2017. สืบค้นเมื่อ 12 September 2019.
- ↑ "Chasing the Chinese dream". The Economist. 4 May 2013. ISSN 0013-0613. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2016. สืบค้นเมื่อ 12 September 2019.
- ↑ Tao, Xie (14 March 2014). "Opinion: Is the Chinese dream fantasy or reality?". CNN. สืบค้นเมื่อ 14 August 2022.
- ↑ Buckley, Chris (12 October 2014). "Leader Taps into Chinese Classics in Seeking to Cement Power". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 September 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Schneider, David K. (2016). "China's New Legalism". The National Interest (143): 19–25. JSTOR 26557304.
- ↑ Crane, Sam (29 June 2018). "Why Xi Jinping's China is Legalist, Not Confucian". China Channel. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 November 2020. สืบค้นเมื่อ 24 November 2020.
- ↑ 417.0 417.1 Mitchell, Ryan Mi (16 January 2015). "Is 'China's Machiavelli' Now Its Most Important Political Philosopher?". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 September 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Johnson, Ian (18 October 2017). "Forget Marx and Mao. Chinese City Honors Once-Banned Confucian". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Li, Ying (2024). Red Ink: A History of Printing and Politics in China. Royal Collins Press. ISBN 9781487812737.
- ↑ 420.0 420.1 420.2 420.3 420.4 Sorace, Christian (2019). "Aesthetics". Afterlives of Chinese Communism: Political Concepts from Mao to Xi. Acton, Australia: Australian National University Press. ISBN 978-1-76046-249-9.
- ↑ Marquis & Qiao 2022, p. 174.
- ↑ Joyce Cheng; Bang Xiao (2022-07-31). "Globally acclaimed author Yan Geling considering giving up writing in native Chinese over censorship". ABC.
- ↑ 423.0 423.1 Tu, Hang (2025). Sentimental Republic: Chinese Intellectuals and the Maoist Past. Harvard University Asia Center. ISBN 9780674297579.
- ↑ "The Communist Party is redefining what it means to be Chinese". The Economist. 17 August 2017. สืบค้นเมื่อ 23 January 2020.
- ↑ Zi, Yang (6 July 2016). "Xi Jinping and China's Traditionalist Restoration". The Jamestown Foundation. สืบค้นเมื่อ 23 January 2020.
- ↑ Buckley, Chris (30 November 2018). "China's 'Hanfu' movement is making it hip to be old-fashioned. Here's why". The Australian Financial Review. สืบค้นเมื่อ 23 January 2020.
- ↑ Tian, Yew Lun (9 September 2021). "Analysis: Unleashing reforms, Xi returns to China's socialist roots". Reuters (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 17 September 2022.
- ↑ "Socialism with Chinese characteristics only correct path toward national rejuvenation: Xi". China Daily. 9 October 2021. สืบค้นเมื่อ 17 September 2022.
- ↑ McDonell, Stephen (22 September 2021). "Changing China: Xi Jinping's effort to return to socialism". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 17 September 2022.
- ↑ Rudd, Kevin (10 October 2022). "The World According to Xi Jinping". Foreign Affairs (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 12 October 2022.
- ↑ 431.0 431.1 431.2 Hancock, Tom (6 June 2022). "Marxism Makes a Comeback in China's Crackdown on 'Disorderly Capital'". Bloomberg News. สืบค้นเมื่อ 17 September 2022.
- ↑ 432.0 432.1 432.2 Zheng, William (16 September 2022). "Xi article gives insight into China's direction ahead of party congress". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 17 September 2022.
- ↑ Gan, Nectar (25 October 2017). "The Communist Party's tighter grip on China in 16 characters". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 14 August 2022.
- ↑ "Full text of Xi Jinping's speech on the CCP's 100th anniversary". Nikkei Asia (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 1 July 2021. สืบค้นเมื่อ 14 August 2022.
- ↑ Wong 2023, p. 181.
- ↑ "China is struggling to keep control over its version of the past". The Economist. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 July 2018. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ "Xi says multi-party system didn't work for China". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 2 April 2014. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ 438.0 438.1 "Democracy". Decoding China (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 4 February 2021. สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Chen, Stella (23 November 2021). "Whole-Process Democracy". China Media Project (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 13 August 2022.
- ↑ Brady, Anne-Marie (2015). "China's Foreign Propaganda Machine". Journal of Democracy (ภาษาอังกฤษ). 26 (4): 51–59. doi:10.1353/jod.2015.0056. ISSN 1086-3214. S2CID 146531927.
- ↑ Amako, Satoshi (2 January 2018). "China's authoritarian path to development: is democratization possible?, by Liang Tang, Abingdon, Routledge, 2017, 263pp., ISBN: 978-1-138-01647-7". Journal of Contemporary East Asia Studies. 7 (1): 81–83. doi:10.1080/24761028.2018.1483700. ISSN 2476-1028.
- ↑ Tung, Hans H. (2019). Economic Growth and Endogenous Authoritarian Institutions in Post-Reform China. Palgrave Macmillan. ISBN 978-3-030-04828-0.
- ↑ Howell, Jude; Pringle, Tim (2019). "Shades of Authoritarianism and State–Labour Relations in China" (PDF). British Journal of Industrial Relations (ภาษาอังกฤษ). 57 (2): 223–246. doi:10.1111/bjir.12436. ISSN 1467-8543. S2CID 158485609.
- ↑ Düben, Björn Alexander (3 March 2020). "Xi Jinping and the End of Chinese Exceptionalism". Problems of Post-Communism. 67 (2): 111–128. doi:10.1080/10758216.2018.1535274. ISSN 1075-8216. S2CID 158657283.
- ↑ Tung, Hans H. (2019). Economic Growth and Endogenous Authoritarian Institutions in Post-Reform China. Palgrave Macmillan. ISBN 978-3-030-04828-0.
- ↑ "Xi Rejects Westernization in Show of Faith in Self Reliance". Bloomberg News. 8 February 2023. สืบค้นเมื่อ 10 February 2023.
- ↑ Xi, Jinping (16 October 2022). "Hold High the Great Banner of Socialism with Chinese Characteristics and Strive in Unity to Build a Modern Socialist Country in All Respects". Qiushi. สืบค้นเมื่อ 10 February 2023.
- ↑ Liu, Xiaodong; Chen, Yu (18 September 2017). 中共中央政治局召开会议 研究拟提请党的十八届七中全会讨论的文件-新华网 [The Political Bureau of the CPC Central Committee Convened to Study the Documents to be Submitted to the Seventh Plenary Session of the 18th CPC Central Committee] (ภาษาจีนตัวย่อ). Xinhua News Agency. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 October 2017. สืบค้นเมื่อ 4 October 2017.
- ↑ Rudolph, Josh (19 September 2017). "CCP Constitution Amendment May Signal Xi's Power – China Digital Times (CDT)". China Digital Times (CDT). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 October 2017. สืบค้นเมื่อ 4 October 2017.
- ↑ 451.0 451.1 Zhang, Ling (18 October 2017). "CPC creates Xi Jinping Thought on Socialism with Chinese Characteristics for a New Era". Xinhua News Agency. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 October 2017. สืบค้นเมื่อ 19 October 2017.
- ↑ Ken, Suzuki (27 November 2018). "China's New "Xi Jinping Constitution": The Road to Totalitarianism". nippon.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 11 August 2022.
- ↑ Yang, Yi (7 November 2017). "Second volume of Xi's book on governance published". Xinhua News Agency. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 December 2017. สืบค้นเมื่อ 6 December 2017.
- ↑ Huang, Zheping (14 February 2019). "China's most popular app is a propaganda tool teaching Xi Jinping Thought". South China Morning Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 September 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Yuan, Elizabeth (8 November 2012). "Xi Jinping: From 'sent-down youth' to China's top". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 November 2012. สืบค้นเมื่อ 8 November 2012.
- ↑ Magnier, Mark (23 October 2007). "China's 'fifth generation' of leaders reflects nation's shifts". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 August 2011. สืบค้นเมื่อ 21 December 2009.
- ↑ Page, Jeremy (12 February 2012). "Meet China's Folk Star First Lady-in-Waiting". The Wall Street Journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2012. สืบค้นเมื่อ 7 November 2012.
- ↑ Beech, Hannah (21 March 2014). "Michelle Obama Tours Beijing With China's First Lady". Time. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 June 2014. สืบค้นเมื่อ 17 July 2014.
- ↑ Osnos, Evan (6 April 2015). "What Did China's First Daughter Find in America?". The New Yorker. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 October 2018. สืบค้นเมื่อ 29 October 2018.
- ↑ Qiao, Long (20 February 2015). "Beijing Police Detain Hundreds For Trying to Visit Chinese Leaders Over New Year". Radio Free Asia. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 March 2018. สืบค้นเมื่อ 1 March 2018.
- ↑ Bennett, Amanda; Hirschberg, Peter (29 June 2012). "Xi Jinping Millionaire Relations Reveal Fortunes of Elite". Bloomberg News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 July 2012. สืบค้นเมื่อ 11 September 2019.
- ↑ Branigan, Tania (29 June 2012). "China blocks Bloomberg for exposing financial affairs of Xi Jinping's family". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 November 2013. สืบค้นเมื่อ 11 September 2012.
- ↑ Forsythe, Michael (17 June 2012). "As China's Leader Fights Graft, His Relatives Shed Assets". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 July 2014. สืบค้นเมื่อ 16 July 2014.
- ↑ Rauhala, Emily (4 April 2016). "The Panama Papers are super awkward for Beijing". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 April 2016. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ Schmitz, Rob (4 April 2016). "Xi Jinping's family linked to Panama Papers". Marketplace. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 April 2016. สืบค้นเมื่อ 6 April 2016.
- ↑ "China's Leaders". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 August 2013. สืบค้นเมื่อ 26 August 2013.
- ↑ Sun, Lena H. (8 June 1992). "Post for a 'princeling'". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ 12 June 2023.
- ↑ Richburg, Keith B. (15 August 2011). "Xi Jinping, likely China's next leader, called pragmatic, low-key". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 October 2019. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ 469.0 469.1 "Xi shows off his football skill". China Daily. 2023-10-10.
- ↑ "What saddens President Xi Jinping?". China Daily. 2014-10-11.
- ↑ 471.0 471.1 Andrew McNicol; Andrew Raine (2023-04-07). "Xi Jinping wanted China to be a global soccer power. What went wrong?". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-07-12.
- ↑ Tariq Panja (2023-03-29). "China's Soccer Experiment Was a Flop. Now It May Be Over". The New York Times.
- ↑ "Xi says 'not so sure' of Chinese football team's abilities". Channel NewsAsia. 2023-11-19. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-12-14.
- ↑ "A look at what's on Chinese President Xi Jinping's shelves" (PDF). Universidad San Francisco de Quito.
Xi Jinping talks about Western literature [...] "Dostoevsky is the deepest Russian writer, while Tolstoy is the widest. Comparing two of them, I prefer Tolstoy." "I like Sholokhov very much. His And Quiet Flows the Don reflects the changes of the time very deeply."
- ↑ Garnaut, John; Chetwin, Sam (2024-12-15). "This Unreadable Russian Novel Drives Xi's Struggle Against America". The New York Times (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-12-15. สืบค้นเมื่อ 2024-12-15.
- ↑ Buckley, Chris (8 February 2012). "China leader-in-waiting carries heavy political baggage to U.S." Reuters (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 29 August 2022.
At a 2007 dinner with the U.S. ambassador to Beijing, Xi mentioned his affection for Hollywood films, including World War II stories such as "Saving Private Ryan," according to U.S. diplomatic cables made public by WikiLeaks.
- ↑ "Xi Jinping: the making of a dictator". The Economist. 2022-10-19. ISSN 0013-0613. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-10-20. สืบค้นเมื่อ 2024-05-03.
He likes football, claims to swim 1,000 metres a day and is a fan of "Sleepless in Seattle", "The Godfather" and "Saving Private Ryan".
- ↑ "Xi Jinping shows his love of Game of Thrones but warns reality must not mirror fantasy". South China Morning Post. 28 April 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2019. สืบค้นเมื่อ 5 May 2019.
- ↑ Branigan, Tania (13 February 2012). "The Guardian profile: Xi Jinping". The Guardian. UK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 November 2013. สืบค้นเมื่อ 14 February 2012.
- ↑ Lin, Liza (13 October 2022). "Do Chinese People Like Xi Jinping? You Won't Find an Easy Answer Online". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. สืบค้นเมื่อ 17 October 2022.
- ↑ Phillips, Tom (14 October 2017). "Chairman Xi crushes dissent but poor believe he's making China great". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0029-7712. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 August 2019. สืบค้นเมื่อ 26 August 2019.
- ↑ Zhou, Christina; Mantesso, Sean (6 March 2019). "'No room for mercy in this system': Xi Jinping's rise from cave dweller to post-modern chairman". ABC News (Australia) (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 August 2019. สืบค้นเมื่อ 26 August 2019.
- ↑ Tiezzi, Shannon (20 December 2014). "The World's Most Popular Leader: China's President Xi". The Diplomat (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 October 2019. สืบค้นเมื่อ 27 October 2019.
- ↑ Smith, Matthew (18 July 2019). "Michelle Obama is the world's most admired woman". YouGov (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 July 2019. สืบค้นเมื่อ 17 August 2019.
- ↑ Silver, Laura; Devlin, Kat; Huang, Christine (5 December 2019). "China's Economic Growth Mostly Welcomed in Emerging Markets, but Neighbors Wary of Its Influence". Pew Research Center. สืบค้นเมื่อ 4 August 2020.
- ↑ "National Tracking Poll #2103129". Morning Consult and Politico. 19–22 March 2021. สืบค้นเมื่อ 29 August 2022.
- ↑ "Xi Jinping has more clout than Donald Trump. The world should be wary". The Economist. 14 October 2017. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 September 2019. สืบค้นเมื่อ 11 September 2019.
- ↑ Ewalt, David M. (31 May 2018). "The World's Most Powerful People 2018". Forbes. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 May 2018. สืบค้นเมื่อ 7 September 2019.
- ↑ "Xi Jinping". Reporters Without Borders. 17 November 2016. สืบค้นเมื่อ 1 November 2021.
ผลงานอ้างอิง
แก้- Bouée, Charles-Edouard (2010). China's Management Revolution: Spirit, Land, Energy. Palgrave Macmillan. ISBN 978-0-230-28545-3.
- Simon, Denis Fred; Cong, Cao (2009). China's Emerging Technological Edge: Assessing the Role of High-End Talent. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-88513-3.
- Lam, Willy (2015). Chinese Politics in the Era of Xi Jinping: Renaissance, Reform, or Retrogression?. Routledge. ISBN 978-0-7656-4209-7.
- Heilmann, Sebastian (2017). China's Political System. Rowman & Littlefield. ISBN 978-1-4422-7734-2.
- Bougon, François (2018). Inside the Mind of Xi Jinping. C. Hurst & Co. ISBN 978-1-84904-984-9.
- Goodman, David S. G. (2015). Handbook of the Politics of China. Edward Elga. ISBN 978-1-78254-437-1.
- Economy, Elizabeth C. (2018). The Third Revolution: Xi Jinping and the New Chinese State. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-086607-5.
- Pieke, Frank N.; Hofman, Bert, บ.ก. (2022). CPC Futures: The New Era of Socialism with Chinese Characteristics. Singapore: National University of Singapore Press. doi:10.56159/eai.52060. ISBN 978-981-18-5206-0. OCLC 1354535847.
- Marquis, Christopher; Qiao, Kunyuan (2022). Mao and Markets: The Communist Roots of Chinese Enterprise. Kunyuan Qiao. New Haven: Yale University Press. ISBN 978-0-300-26883-6. OCLC 1348572572.
- Wong, Chun Han (2023). Party of One: The Rise of Xi Jinping and China's Superpower Future. Simon & Schuster. p. 48. ISBN 978-1-9821-8573-2.
อ่านเพิ่ม
แก้- Bulman, David J.; A. Jaros, Kyle (2021). "Localism in retreat? Central-provincial relations in the Xi Jinping era". Journal of Contemporary China. 30 (131): 697–716. doi:10.1080/10670564.2021.1889228. S2CID 233928573.
- Denton, Kirk (2014). "China Dreams and the 'Road to Revival". Current Events in Historical Perspective. 8 (3): –1–12.
- Economy, Elizabeth C. (2018). "China's New Revolution: The Reign of Xi Jinping" (PDF). Foreign Affairs. 97: 60.
- Esarey, Ashley; and Rongbin Han, eds. The Xi Jinping Effect (University of Washington Press, 2024) online review of this book from H-DIPLO)
- Foot, Rosemary; King, Amy (2019). "Assessing the deterioration in China–US relations: US governmental perspectives on the economic-security nexus". China International Strategy Review. 1: 1–12. doi:10.1007/s42533-019-00005-y. S2CID 195241090.
- Cabestan, Jean-Pierre (2020). "China's foreign and security policy institutions and decision-making under Xi Jinping". British Journal of Politics and International Relations: 1369148120974881.
- Dhar, Bablu Kumar; Mahazan, Mutalib (2020). "Leadership of Xi Jinping behind Unstoppable Sustainable Economic Growth of China" (PDF). International Journal of Organizational Leadership. 9: 39–47.
- Goldstein, Avery (2020). "China's Grand Strategy under Xi Jinping: Reassurance, Reform, and Resistance" (PDF). International Security. 45 (1): 164–201. doi:10.1162/isec_a_00383. S2CID 220633947.
- Johnson, Ian (29 September 2012). "Changing of the Guard: Elite and Deft, Xi Aimed High Early in China". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2012.
- McGregor, Richard (2019). Xi Jinping: The Backlash. Penguin Books Australia. ISBN 978-1-76089-304-0.
- includes McGregor, Richard. "Xi Jinping's Quest to Dominate China." Foreign Affairs 98 (Sept 2019): 18+.
- Magnus, George. Red Flags: Why Xi's China is in Danger (Yale UP, 2018).
- Li, Cheng (2016). Chinese Politics in the Xi Jinping Era: Reassessing Collective Leadership (ภาษาอังกฤษ). Brookings Institution Press. ISBN 978-0-8157-2694-4.
- Mulvad, Andreas Møller (2019). "Xiism as a hegemonic project in the making: Sino-communist ideology and the political economy of China's rise". Review of International Studies. 45 (3): 449–470. doi:10.1017/S0260210518000530. S2CID 150473371.
- Osnos, Evan (14 February 2012). "China's Valentine's Day in Washington". The New Yorker. Review of comment accompanying Xi's visit.
- Osnos, Evan (30 March 2015). "Born Red: How Xi Jinping, an unremarkable provincial administrator, became China's most authoritarian leader since Mao". The New Yorker. Describes Xi Jinping's life.
- Osnos, Evan, "China's Age of Malaise: Facing a grim economy, disillusioned youth, and fleeing entrepreneurs, Xi Jinping turns to the past," The New Yorker, 30 October 2023, pp. 34–45. "Xi [...] has abandoned Deng [Xiaoping]'s 'courageous experiments' and ushered [China] into a straitened new age." (p. 34.) "Year by year, Xi appears more at home in the world of the man he calls his 'best and closest friend,' Vladimir Putin." (p. 36.) "Can Xi's China still manage the pairing of autocracy and capitalism?" (p. 37.) "At his core, a longtime observer told me, Xi is 'Mao with money.'" (p. 38.) "Xi [has] got[ten] rid of anyone with power, [an] entrepreneur said: 'If you have influence, you have power. If you have capital, you have power.'" (p. 40.)
- Smith, Stephen N. (2021). "Harmonizing the periphery: China's neighborhood strategy under Xi Jinping". Pacific Review. 34 (1): 56–84. doi:10.1080/09512748.2019.1651383. S2CID 202329851.
- Vogel, Ezra (2021). "The Leadership of Xi Jinping: A Dengist Perspective". Journal of Contemporary China. 30 (131): 693–696. doi:10.1080/10670564.2021.1884955.
- Zhang, Feng (2019). "The Xi Jinping Doctrine of China's International Relations". Asia Policy. 14 (3). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 September 2019. สืบค้นเมื่อ 4 September 2019.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Biography เก็บถาวร 2006-08-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at Chinavitae.com
- ข้อมูลการออกสื่อ บน ซี-สแปน
- Xi Jinping collected news and commentary at the China Digital Times
- สี จิ้นผิง ข่าวสารและความเห็นที่ผ่านการรวบรวมในเดอะการ์เดียน
- สี จิ้นผิง ข่าวสารและความเห็นที่ผ่านการรวบรวมในเดอะนิวยอร์กไทมส์
- Xi Jinping 2012 profile on BBC Radio Four
- "China, the U.S. & the Rise of Xi Jinping". Frontline. ฤดูกาล 43. ตอน 6. November 26, 2024. PBS. WGBH. สืบค้นเมื่อ November 27, 2024.
ก่อนหน้า | สี จิ้นผิง | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
หู จิ่นเทา | เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน (15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 – ปัจจุบัน) |
อยู่ในวาระ | ||
หู จิ่นเทา | ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน (15 มีนาคม พ.ศ. 2556 – ปัจจุบัน) |
อยู่ในวาระ |