กรณีพิพาทอินโดจีน
กรณีพิพาทอินโดจีน หรือ สงครามอินโดจีน ในต่างประเทศเรียกว่า สงครามฝรั่งเศส-ไทย เป็นการสู้รบระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศสเขตวีชีเหนือดินแดนอินโดจีนฝรั่งเศส
กรณีพิพาทอินโดจีน | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
![]() | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
![]() | |||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
![]() (ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก) ![]() (ผู้บัญชาการทหารเรือ) ![]() (ผู้บัญชาการทหารอากาศ) |
![]() | ||||||||
กำลัง | |||||||||
• กำลังพล 60,000 นาย • รถถัง 134 คัน • เครื่องบินรบ ~140 ลำ[5] • เรือป้องกันชายฝั่ง 2 ลำ • เรือตอร์ปิโด 12 ลำ • เรือดำน้ำ 4 ลำ |
• ทหารฝรั่งเศส 12,000 นาย • ทหารอาณานิคม 38,000 นาย • รถถังเบา 20คัน • เครื่องบินรบ ~100 ลำ • เรือลาดตระเวนเบา 1 ลำ • เรือสลุป 2 ลำ • เรือปืน 4 ลำ • เรือสินค้าขนาดใหญ่ติดอาวุธ 1 ลำ • เรือดำน้ำ 1 ลำ | ||||||||
ความสูญเสีย | |||||||||
• ทหารเสียชีวิต 160 นาย • บาดเจ็บ 307 นาย • ตกเป็นเชลย 21 นาย • เสียอากาศยาน 8–13 ลำ • สูญเสียเรือรบ 3 ลำ |
• ทหารเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ 321 นาย • สูญหาย 178 นาย • ตกเป็นเชลย 222 นาย • เสียอากาศยาน 22 ลำ |
จุดเริ่มต้นแก้ไข
ในปี พ.ศ. 2482 ขณะฝรั่งเศสจะประกาศสงครามกับเยอรมนีแต่ยังมีความห่วงใยอาณานิคมของตนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้เสนอขอให้รัฐบาลไทยทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกันทางแหลมอินโดจีน รัฐบาลไทยได้ตอบว่ายินดีจะรับตกลงตามคำของฝรั่งเศสแต่ขอให้ฝรั่งเศสปรับปรุงเส้นเขตแดนบริเวณแม่น้ำโขงเสียใหม่ให้ถูกต้องและเป็นธรรม ได้ต่อรองกันอยู่หลายเดือน ในที่สุดก็ได้ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกันเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2484 แต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน
ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้เยอรมนีเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2483 แล้ว รัฐบาลฝรั่งเศสเขตวีชีได้ขอทำให้รัฐบาลไทยให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน รัฐบาลไทยได้ตอบไปเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2483 ว่าพร้อมที่จะให้สัตยาบัน ถ้าฝรั่งเศสยอมรับข้อเสนอของไทย 3 ข้อคือ (1) ให้ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศ (2) ขอไชยบุรีและจำปาสัก ซึ่งฝั่งขวาของแม่น้ำโขงตรงข้ามกับหลวงพระบาง และตรงข้ามกับปากเซ ให้ไทย โดยถือแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนระหว่างประเทศ และ (3) ขอให้ฝรั่งเศสรับรองว่าถ้าอินโดจีนเปลี่ยนจากอธิปไตยฝรั่งเศสไป ฝรั่งเศสจะคืนอาณาเขตลาวและกัมพูชาให้ไทย ฝรั่งเศสยอมรับเพียงข้อแรกนอกนั้นปฏิเสธ[6]
สถานการณ์ในประเทศไทยเริ่มขึ้นในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483 เมื่อคณะนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง รวมทั้งประชาชนร่วมกันเดินขบวนเรียกร้องรัฐบาลเรียกเอาดินแดนคืนจากฝรั่งเศสจากที่สูญเสียไปเมื่อครั้งวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 เช่น เสียมราฐ พระตะบอง จำปาศักดิ์ เป็นต้น พลตรี หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น (ต่อมาปี พ.ศ. 2485 เป็น จอมพล ป. พิบูลสงคราม) กล่าวขอบคุณนิสิตนักศึกประชาชนที่สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลทางวิทยุกระจายเสียง และปลุกความรู้สึกชาตินิยม เพลงปลุกใจในเวลานั้นได้ถูกเปิดอย่างต่อเนื่อง เช่น เพลงข้ามโขง เพลงดอกฟ้าจำปาศักดิ์ เพลงเสียมราฐ เป็นต้น
ด้านอินโดจีนฝรั่งเศสได้มีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคักในการเตรียมกำลังรบ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าฝรั่งเศสเตรียมการรบกับไทย ได้มีการโยกย้ายทหารจากอ่าวตังเกี๋ยมายังชายแดนไทย ได้รวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์และสะสมเสบียงอาหารไว้ตามชายแดนไทยเป็นจำนวนมาก ปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2483 เริ่มมีการส่งทหารเข้ามาแทรกซึมฝั่งไทย รวมทั้งส่งเครื่องบินล้ำแดนเข้ามาทางจังหวัดตราดลึกถึง 5 กิโลเมตร รัฐบาลไทยได้ประท้วง แต่ฝรั่งเศสหาได้นำพาต่อการประท้วงไม่ มิหนำซ้ำเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ยังได้ส่งเครื่องบินจำนวน 5 เครื่อง เข้ามาโจมตีทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนมแล้วหนีไป มีราษฎรไทยได้รับบาดเจ็บ
เริ่มการสู้รบแก้ไข
รัฐบาลไทยตัดสินใจใช้กำลังทหารเพื่อป้องกันประเทศทันทีทั้งทางบกและทางอากาศ พลตรี หลวงพิบูลสงคราม ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2483 ฝ่ายไทยได้ประกาศระดมพลและสั่งเคลื่อนกำลังทหารเข้าประจำชายแดนเพื่อเข้าตีโต้ตอบ และวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2484 กองทัพไทยได้เคลื่อนกองทัพบุกเข้าไปในเขมรและลาว มุ่งยึดดินแดนคืน
การสู้รบทางบก กองพลพายัพ ยึดได้แคว้นหลวงพระบาง ฝั่งขวาห้วยทราย ตรงข้ามเชียงแสน มีเมืองปากลาย หงสา แลเชียงฮ่อน กองทัพอีสาน กองพลอุบลยึดได้แคว้นจำปาศักดิ์ กองพลสุรินทร์ยึดได้เมืองสำโรงจงกัล ทางจังหวัดเสียมราฐ กองทัพบูรพา ยึดได้พื้นที่ทางทิศตะวันตกของศรีโสภณ กองพลจันทบุรียึดได้บ้านกุบเรียง และบ้านห้วยเขมร ทางด้านทิศตะวันตกของบ่อไพลิน และพระตะบอง
การสู้รบทางอากาศ มีการปฏิบัติการตั้งแต่ก่อนการเคลื่อนกำลังทางบกข้ามเขตแดน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 มีการส่งเครื่องบินขึ้นไปสกัดกั้นเครื่องบินของฝ่ายฝรั่งเศสที่เข้ามาโจมตีไทย จากนั้นก็มีการตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบินไปโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ในลาวและเขมรอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการส่งเครื่องบินไปโจมตีสนามบินฝรังเศสที่นครวัดเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2484 และพนมเปญ เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นการโจมตีครั้งสุดท้าย
การสู้รบทางเรือ เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 เกิดการปะทะกันของกำลังทางเรือไทยกับฝรั่งเศสในยุทธนาวีเกาะช้าง ฝรั่งเศสได้ส่งกำลังทางเรือส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในอินโดจีนเข้ามาในน่านน้ำไทยทางด้านเกาะช้าง ด้วยความมุ่งหมายที่จะระดมยิงหัวเมืองชายทะเลทางภาคตะวันออกของประเทศไทย เพื่อกดดันให้กำลังทหารของไทยที่รุกข้ามชายแดนต้องถอนกำลังกลับมา กำลังเรือของฝรั่งเศสจำนวน 7 ลำ ปะทะเข้ากับกำลังทางเรือของไทยจำนวน 3 ลำ ผลการปะทะฝ่ายไทยเสียเรือรบไปทั้ง 3 ลำ ฝ่ายฝรั่งเศส เรือลาดตระเวนได้รับความเสียหาย จึงล่าถอยกลับไป
ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเวลานั้น (และได้ส่งกำลังทหารมาตั้งฐานทัพที่เมืองฮานอยและเมืองไฮฟองตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2483 แล้ว) เกรงว่าการสู้รบครั้งนี้จะเป็นอุปสรรคต่อแผนของตนที่จะรุกรานลงทางใต้[7] จึงได้ยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ยเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2484 ตกลงให้มีการหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2484[6] และมีการลงนามหยุดยิงบนเรือลาดตระเวนของญี่ปุ่นชื่อนาโตริ หน้าอ่าวเมืองไซ่ง่อน เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2484
หลังสิ้นสุดกรณีพิพาทแก้ไข
หลังสิ้นสุดกรณีพิพาท โดยมีญี่ปุ่นเป็นตัวกลางในการเจรจา ไทยกับฝรั่งเศส ลงนามในอนุสัญญาโตเกียว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2484 ผลทำให้ไทยได้ดินแดนฝั่งขวาของหลวงพระบาง จำปาศักดิ์ ศรีโสภณ พระตะบอง และดินแดนในกัมพูชาคืนมาจากฝรั่งเศส และได้นำมาแบ่งเป็น 4 จังหวัดคือ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง
อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ไทยได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศมหาอำนาจและฝรั่งเศสที่เป็นฝ่ายชนะสงคราม นำไปสู่ ความตกลงระงับกรณีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งทำที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 หรือที่รู้จักในชื่อ ความตกลงวอชิงตัน มีผลให้อนุสัญญาดังกล่าวถูกยกเลิกไป กลับไปสู่สถานะเดิม โดยไทยต้องคืนดินแดน อินโดจีน ที่ได้มาทั้งหมดให้กับประเทศฝรั่งเศส
ภายหลังจากที่กองทัพไทยมีชัยชนะต่ออินโดจีนฝรั่งเศส พลตรี หลวงพิบูลสงคราม ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศจอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2484
อนุสรณ์แก้ไข
เหตุการณ์การสู้รบในครั้งนี้ได้ถูกเรียกว่า กรณีพิพาทอินโดจีน หรือ สงครามอินโดจีน และต่อมาได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่เสียชีวิตไปในการรบครั้งนี้
ผลกระทบแก้ไข
การเบียดเบียนคริสต์ศาสนิกชนเกิดขึ้นหลายแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งที่หมู่บ้านสองคอน จังหวัดนครพนม ซึ่งชาวบ้านทั้งหมดเป็นชาวคาทอลิก บาทหลวงปอล ฟีเก อธิการโบสถ์แม่พระไถ่ทาสซึ่งเป็นโบสถ์ประจำชุมชน ได้ถูกขับออกนอกประเทศ สีฟอง อ่อนพิทักษ์ และซิสเตอร์อีก 2 คน คือ ซิสเตอร์พิลา ทิพย์สุข ซิสเตอร์คำบาง สีคำพอง จึงช่วยกันดูแลความเชื่อของชาวบ้านแทน การเบียดเบียนยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มีซิสเตอร์ถูกข่มขืน รูปศักดิ์สิทธิ์ถูกเหยียดหยามทำลาย สีฟองจึงเขียนจดหมายร้องเรียนไปยังนายอำเภอมุกดาหาร แต่จดหมายนั้นกลับตกไปอยู่ในมือของตำรวจ ตำรวจจึงเขียนจดหมายปลอมว่านายอำเภอให้สีฟองไปพบ ตำรวจลือ เมืองโคตร และตำรวจหน่อ พาสีฟองออกจากบ้านสองคอนตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พอเช้าวันที่ 16 ตำรวจลือก็ยิงเขาเสียชีวิตที่บ้านพาลุกา นับเป็นชาวไทยคาทอลิกคนแรกที่ได้พลีชีพเป็นมรณสักขี[8]
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Tucker, World War II: The Definitive Encyclopedia and Document Collection p. 649
- ↑ Fall, p. 22. "On the seas, one old French cruiser sank one-third of the whole Thai fleet ... Japan, seeing that the war was turning against its pupil and ally, imposed its 'mediation' between the two parties."
- ↑ Fall, Bernard B. (1994). Street Without Joy: The French Debacle in Indochina. Stackpole Books. ISBN 0-8117-1700-3.
- ↑ Windrow, Martin (2004). The Last Valley. Weidenfeld and Nicolson. ISBN 0-306-81386-6.
- ↑ Royal Thai Air Force. (1976) The History of the Air Force in the Conflict with French Indochina. Bangkok.
- ↑ 6.0 6.1 28 พฤศจิกายน 2483 ฝรั่งเศสบอมนครพนม เปิดฉากสงคราม “กรณีพิพาทอินโดจีน”
- ↑ อนุสัญญาสันติภาพระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ลงนาม ณ กรุงโตกิโอ วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2484
- ↑ วิกเตอร์ ลาร์เก, บาทหลวง, ประวัติพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย, ฉะเชิงเทรา : แม่พระยุคใหม่, 2539, หน้า 309-15
แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข
- กรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส เก็บถาวร 2008-02-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (หอมรดกไทย กระทรวงกลาโหม)
- กรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส[ลิงก์เสีย] (ข้อมูลจากกองบัญชาการทหารสูงสุด)
- กรณีพิพาทอินโดจีน เก็บถาวร 2008-02-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์)
- กรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๔๘๓ – ๒๔๘๔ เก็บถาวร 2008-01-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ประวัติการยุทธทางอากาศ)
- อนุสาวรีย์กรณีพิพาทอินโดจีน เก็บถาวร 2010-02-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- "France 1940...something"
- "The French-Thai War"
- Fabienne Mercier-Bernadet, « Le conflit franco-thaïlandais (juin 1940-mai 1941), une manipulation japonaise ? » เก็บถาวร 2013-03-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Revue historique des armées, n°223, 2001.