ประเทศสวีเดน
ราชอาณาจักรสวีเดน Konungariket Sverige (สวีเดน) | |
---|---|
ที่ตั้งของ ประเทศสวีเดน (เขียวเข้ม) – ในทวีปยุโรป (เขียว & เทาเข้ม) | |
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | สต็อกโฮล์ม 59°21′N 18°4′E / 59.350°N 18.067°E |
ภาษาราชการ | สวีเดน[c] |
ภาษาชนกลุ่มน้อย | |
กลุ่มชาติพันธุ์ (ค.ศ. 2019) | |
ศาสนา (ค.ศ. 2017) | 66.8% คริสต์ —60.3% คริสตจักรแห่งสวีเดน[a] —6.5% อื่น ๆ 27.0% ไม่มีศาสนา 5.0% อิสลาม 1.2% อื่น ๆ[8][9] |
เดมะนิม | |
การปกครอง | รัฐเดี่ยว ระบบรัฐสภา ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ |
สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ | |
อันเดรียส นอร์เลน | |
อุล์ฟ คริสเตอช็อน | |
สภานิติบัญญัติ | รัฐสภา |
ประวัติ | |
• ก่อตั้งราชอาณาจักรสวีเดน | ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 |
• ส่วนหนึ่งของสหภาพคัลมาร์ | ค.ศ. 1397–1523 |
• ส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรสวีเดนและนอร์เวย์ | 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1814 – สิงหาคม ค.ศ. 1905[10] |
1 มกราคม ค.ศ. 1995 | |
• เข้าร่วมเนโท | 7 มีนาคม ค.ศ. 2024 |
พื้นที่ | |
• รวม | 450,295 ตารางกิโลเมตร (173,860 ตารางไมล์) (อันดับที่ 55) |
8.37 (ใน ค.ศ. 2015)[11] | |
ประชากร | |
• กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 ประมาณ | 10,402,070[12] (อันดับที่ 88) |
25 ต่อตารางกิโลเมตร (64.7 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 198) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | ค.ศ. 2020 (ประมาณ) |
• รวม | 563,882 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[13] (อันดับที่ 39) |
• ต่อหัว | 52,477 ดอลลาร์สหรัฐ[13] (อันดับที่ 16) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | ค.ศ. 2020 (ประมาณ) |
• รวม | 528,929 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[13] (อันดับที่ 23) |
• ต่อหัว | 50,339 ดอลลาร์สหรัฐ[13] (อันดับที่ 12) |
จีนี (ค.ศ. 2020) | 26.9[14] ต่ำ |
เอชดีไอ (ค.ศ. 2019) | 0.945[15] สูงมาก · อันดับที่ 7 |
สกุลเงิน | ครูนาสวีเดน (SEK) |
เขตเวลา | UTC+1 (เวลายุโรปกลาง) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+2 (เวลาออมแสงยุโรปกลาง) |
รูปแบบวันที่ | ปปปป-ดด-วว |
ขับรถด้าน | ขวา[e] |
รหัสโทรศัพท์ | +46 |
รหัส ISO 3166 | SE |
โดเมนบนสุด | .se[f] |
|
สวีเดน (อังกฤษ: Sweden; สวีเดน: Sverige, ออกเสียง: [ˈsvæ̌rjɛ]) หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรสวีเดน (อังกฤษ: Kingdom of Sweden; สวีเดน: Konungariket Sverige) เป็นประเทศกลุ่มนอร์ดิกตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ในยุโรปเหนือ เขตแดนทางตะวันตกจรดประเทศนอร์เวย์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือจรดประเทศฟินแลนด์ และช่องแคบสแกเกอร์แรก ทางตะวันตกเฉียงใต้จรดช่องแคบคัตเทกัต และทางตะวันออกจรดทะเลบอลติก และอ่าวบอทเนีย ด้วยขนาดพื้นที่ 447,425 ตารางกิโลเมตร (172,752 ตารางไมล์) สวีเดนจึงเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มนอร์ดิก และใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าในทวีปยุโรป เมืองหลวงและเมืองใหญที่สุดคือกรุงสต็อกโฮล์ม ภาษาราชการคือภาษาสวีเดน และประชากรเกือบทั้งหมดสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว[20]
ประเทศสวีเดนมีประชากรที่เบาบาง เว้นแต่ในเขตเมืองใหญ่ พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยป่าไม้ ภูเขาสูง และทะเลสาบขนาดใหญ่ แม่น้ำหลายสายไหลมาจากเทือกเขาสแกนดิเนเวีย และยังมีแนวชายฝั่งที่กว้างขวาง สวีเดนมีประชากรราว 10.5 ล้านคน และความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ 25 คนต่อตารางกิโลเมตร โดยกว่า 87% ของประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมืองซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 1.5% ของแผ่นดินทั้งหมด มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดในตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสภาพอากาศที่หลากหลายเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศ
กลุ่มชนเจอร์แมนิกเข้ามาตั้งรกรากในสวีเดนตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และดำรงชีพด้วยการทำประมงก่อนจะรวมตัวกันเป็นชาวทะเลที่รู้จักกันในชื่อ ชาวนอร์ส รัฐอิสระของสวีเดนเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 12 หลังจากการระบาดทั่วของกาฬโรคครั้งใหญ่ในกลางศตวรรษที่ 14 ซึ่งคร่าชีวิตชาวสแกนดิเนเวียไปกว่าหนึ่งในสาม[21][22] การครอบงำของสันนิบาตฮันเซอในยุโรปเหนือได้คุกคามชาวสแกนดิเนเวียทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง หลังสิ้นสุดยุคไวกิง สวีเดนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพคัลมาร์ใน ค.ศ. 1397 ร่วมกับเดนมาร์กและนอร์เวย์ แต่ได้ออกจากสหภาพในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ในสงครามสามสิบปี และได้รบกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะรัสเซีย เดนมาร์ก และนอร์เวย์[23] ซึ่งไม่ยอมรับการที่สวีเดนออกจากสหภาพ ในศตวรรษที่ 17 สวีเดนได้ขยายอาณาเขตด้วยสงครามและกลายเป็นหนึ่งชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป ก่อนจะสูญเสียพื้นที่ราชอาณาจักรรวมถึงฟินแลนด์ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดน และนับตั้งแต่เข้าร่วมสงครามสหราชอาณาจักรสวีเดนและนอร์เวย์ใน ค.ศ. 1814 สวีเดนอยู่ในภาวะสันติและปราศจากสงครามระหว่างประเทศมาตลอด โดยมีนโยบายต่างประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และเป็นกลางในสงครามรวมถึงในสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็น[24] ใน ค.ศ. 2014 สวีเดนได้เฉลิมฉลองสันติภาพประเทศครบ 200 ปี ทำลายสถิติของสวิตเซอร์แลนด์[25]
สวีเดนเป็นผู้ส่งออกเหล็ก ทองแดง และไม้ชั้นนำของยุโรปตั้งแต่สมัยยุคกลาง อย่างไรก็ดี การขนส่งและการคมนาคมที่ดีขึ้น ทำให้สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติจากส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะไม้ และแร่เหล็ก การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและการจัดการศึกษาทั่วไป ช่วยให้เกิดอุตสาหกรรมขึ้นอย่างรวดเร็ว และในทศวรรษ 1890 ประเทศได้เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นสูง ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้เกิดระบบสวัสดิการของรัฐบาลขึ้น ปัจจุบัน สวีเดนมีความโน้มเอียงในทางเสรีนิยม และความเท่าเทียมกันในสังคม
สวีเดนมีรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยอำนาจนิติบัญญัติตกเป็นของสมาชิกรัฐสภาซึ่งมีสมาชิก 349 คน สวีเดนเป็นรัฐรวมซึ่งแบ่งออกเป็น 21 เทศมณฑล และ 290 เทศบาล สวีเดนถือเป็นประเทศพัฒนาแล้ว[26] และรักษาระบบสวัสดิการสังคมตามตัวแบบนอร์ดิกที่มีระบบสาธารณสุขและการศึกษาที่มีคุณภาพ[27][28] มีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับที่ 11 ของโลก และอยู่ในอันดับที่สูงในด้านคุณภาพชีวิต[29] สุขภาพ การศึกษา การคุ้มครองเสรีภาพของพลเมือง ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ความเท่าเทียมกันของรายได้[30] ความเสมอภาคทางเพศ ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนามนุษย์[31] สวีเดนเข้าร่วมสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1995 แต่ได้ปฏิเสธการเป็นสมาชิกยูโรโซนภายหลังการลงประชามติ และยังเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ สภานอร์ดิก สภายุโรป องค์การการค้าโลก และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา สวีเดนได้แสดงเจตนารมณ์ในการเข้าเป็นสมาชิกเนโทใน ค.ศ. 2022[32]
นิรุกติศาสตร์
แก้ชื่อประเทศ สวีเดน (Sweden) เป็นคำมาจากภาษาดัตช์ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ซึ่งสื่อความหมายตรงตัวว่าดินแดนแห่งชาวสวีเดน ต่อมา มีการตั้งชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า Swéoland และ Swíoríce ตามภาษานอร์สเก่า[33] และนักล่าอาณานิคมจากสหราชอาณาจักรได้เริ่มมีการเรียกประเทศสวีเดนว่า Sweden และเริ่มมีการบรรจุในพจนานุกรมโดยนักภาษาศาสตร์[34]
ในส่วนของชื่อทางการของประเทศ Sverige ในภาษาสวีเดน มาจากการประสมคำระหว่าง Svea และ rike ซึ่งหมายถึงดินแดนแห่งชาวสวีเดนและยังหมายถึงชนเผ่าดั้งเดิมของตนเอง ในบริบทสากลชื่อ Sweden ถูกใช้โดยทั่วไป ยกเว้นในภาษานอร์สและภาษาเดนมาร์กจะเรียกประเทศสวีเดนว่า Sverige
ภูมิศาสตร์ และ สภาพอากาศ
แก้สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่เหนือสุดของโลก มีขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย สวีเดนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ในทวีปยุโรป มีพื้นที่ 450,000 ตารางกิโลเมตร (ความกว้าง 500 กิโลเมตร และความยาว 1,600 กิโลเมตร) สวีเดนมีชายฝั่งที่ค่อนข้างยาว จรดทะเลบอลติกและอ่าวบอทเนีย ทางตะวันตกมีเทือกเขาสแกนดิเนเวีย ทอดตามแนวพรมแดนกับประเทศนอร์เวย์[35]
สวีเดนแบ่งออกเป็นสามภาคหลัก ๆ ได้แก่ เยอตาลันด์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นที่ราบและมีป่าไม้ สเวียยาลันด์ เป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ และมีทะเลสาบจำนวนมาก และนอร์ลันด์ เป็นภูมิภาคตอนเหนือของสวีเดน มีภูเขา ป่าไม้ และแร่ธาตุมาก ประมาณร้อยละสิบห้าของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศตั้งอยู่เหนือขึ้นไปจากอาร์กติกเซอร์เคิล[36]
ถึงแม้ว่าสวีเดนจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือมาก แต่กลับมีภูมิอากาศแบบอบอุ่น เนื่องจากอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม ทางตอนเหนือของอาร์กติกเซอร์เคิล พระอาทิตย์ไม่ตกดินเลยในบางช่วงของฤดูร้อน และแทบไม่สามารถเห็นได้ในฤดูหนาว สวีเดนจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน
สภาพภูมิอากาศของสวีเดนแตกต่างกันไปตามสถานที่ตั้ง แต่ส่วนใหญ่จะมีอากาศอบอุ่นทางตอนใต้และตอนเหนือใต้ขั้วโลกเหนือ ทางตอนใต้ฤดูร้อนอากาศเย็นสบายและมีเมฆเป็นบางส่วนในขณะที่ฤดูหนาวอากาศหนาวและมักมีเมฆมาก เนื่องจากทางตอนเหนือของสวีเดนอยู่ภายในอาร์กติกเซอร์เคิล จึงมีฤดูหนาวที่ยาวนานและหนาวเย็นมาก นอกจากนี้เนื่องจากละติจูดทางเหนือของสวีเดนส่วนใหญ่จึงมืดเป็นเวลานานในช่วงฤดูหนาวและมีแสงสว่างในฤดูร้อนนานกว่าหลายชั่วโมงในประเทศทางใต้ กรุงสต็อกโฮล์มเมืองหลวงของสวีเดนมีอากาศค่อนข้างเย็นเนื่องจากอยู่บนชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศ อุณหภูมิสูงโดยเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมในสต็อกโฮล์มคือ 71.4 องศา (22˚C) และอุณหภูมิต่ำสุดโดยเฉลี่ยในเดือนมกราคมคือ 23 องศา (-5˚C)[37]
ประวัติศาสตร์
แก้สวีเดนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่เริ่มจากค่ายล่าสัตว์ก่อนประวัติศาสตร์ทางตอนใต้สุดของประเทศ ในศตวรรษที่ 7 และ 8 สวีเดนเป็นที่รู้จักในด้านการค้า แต่ในศตวรรษที่ 9 ชาวไวกิงได้บุกเข้าไปในภูมิภาคนี้และส่วนใหญ่ในยุโรป ในปี 1397 Queen Margaret แห่งเดนมาร์กได้สร้างสหภาพคัลมาร์ซึ่งรวมถึงสวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และเดนมาร์ก[38]
เมื่อถึงศตวรรษที่ 15 ความตึงเครียดทางวัฒนธรรมทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสวีเดนและเดนมาร์กและในปี 1523 สหภาพคัลมาร์ก็สลายตัวทำให้สวีเดนเป็นอิสระ[39]
ในศตวรรษที่ 17 สวีเดนและฟินแลนด์ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดน) ได้ต่อสู้และชนะสงครามหลายครั้งกับเดนมาร์กรัสเซียและโปแลนด์ซึ่งทำให้ทั้งสองประเทศกลายเป็นที่รู้จักในฐานะมหาอำนาจในยุโรป ด้วยเหตุนี้ในปี 1658 สวีเดนจึงควบคุมพื้นที่หลายแห่งซึ่งบางแห่งรวมถึงหลายจังหวัดในเดนมาร์กและเมืองชายฝั่งที่มีอิทธิพล ในปี 1700 รัสเซียแซกโซนี - โปแลนด์และเดนมาร์ก - นอร์เวย์โจมตีสวีเดนซึ่งสิ้นสุดเวลาในฐานะประเทศที่มีอำนาจ ในช่วงสงครามนโปเลียนสวีเดนถูกบังคับให้ยกฟินแลนด์ให้รัสเซียในปี 1809 อย่างไรก็ตามในปี 1813 สวีเดนได้ต่อสู้กับนโปเลียนและหลังจากนั้นไม่นานสภาคองเกรสแห่งเวียนนาได้สร้างการรวมกันระหว่างสวีเดนและนอร์เวย์ในระบอบกษัตริย์แบบคู่ (ภายหลังสหภาพนี้ได้ถูกยุบอย่างสงบใน ค.ศ. 1905)[40]
ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปี 1800 สวีเดนเริ่มเปลี่ยนเศรษฐกิจไปสู่เกษตรกรรมส่วนตัวและส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศได้รับความเดือดร้อน ระหว่าง ค.ศ. 1850 ถึง 1890 ชาวสวีเดนประมาณล้านคนย้ายไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สวีเดนยังคงเป็นกลางและได้รับประโยชน์จากการผลิตผลิตภัณฑ์เช่นเหล็กลูกปืนและไม้ขีดไฟ หลังสงครามเศรษฐกิจดีขึ้นและประเทศก็เริ่มพัฒนานโยบายสวัสดิการสังคมอย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน สวีเดนเข้าร่วมสหภาพยุโรปในปี 1995[41]
การเมืองการปกครอง
แก้สวีเดนมีการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน มีรัฐสภา
ประมุขแห่งรัฐ
แก้การเมืองการปกครอง
แก้พระมหากษัตริย์สวีเดนเป็นประมุขแห่งรัฐ ซึ่งองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นตัวแทนสูงสุดของประเทศ แต่ไม่มีอำนาจทางการเมืองใด ๆ รวมถึงไม่จำเป็นต้องลงพระปรมาภิไธยในการตัดสินใจของรัฐสภาด้วย[42]
จากการแก้ไขกฎการสืบราชสมบัติในปี 1979 ให้สิทธิเท่าเทียมกันกับรัชทายาททั้งชายและหญิง ทำให้ตำแหน่งรัชทายาทสูงสุดในปัจจุบันเป็นของเจ้าฟ้าหญิงวิกตอเรีย ซึ่งเสด็จพระราชสมภพในปี 1977
รัฐธรรมนูญ
แก้รัฐธรรมนูญของสวีเดนประกอบด้วยกฎหมายมูลฐานสี่ฉบับ ได้แก่
- Regeringsformen (การจัดตั้งรัฐบาล 1974)
- Successionsordningen (กฎมณเฑียรบาล 1810)
- Tryckfrihetsförordningen (พระราชบัญญัติเสรีภาพสื่อ 1766)
- Yttrandefrihetsgrundlagen (กฎหมายมูลฐานว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงออก 1991)
การแก้ไขหรือยกเลิกรัฐธรรมนูญ จะต้องได้รับความเห็นชอบตรงกันจากรัฐสภาสองครั้ง โดยมีการเลือกตั้งทั่วไปคั่นกลาง นอกจากนี้ยังมีพระราชบัญญัติรัฐสภา 1974 (Riksdagsordningen) ซึ่งมีสถานะพิเศษ สูงกว่ากฎหมายทั่วไป แต่อยู่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ[43]
นิติบัญญัติ
แก้รัฐสภาของสวีเดน เรียกในภาษาสวีเดนว่าริกส์ดอก (Riksdag) มีอำนาจนิติบัญญัติ ใช้ระบบสภาเดี่ยวประกอบด้วยสมาชิก 349 คน มาจากการเลือกตั้งทุก ๆ 4 ปี การเลือกตั้งนั้นใช้ระบบสัดส่วน โดยพรรคการเมืองจะต้องได้รับเสียงจากทั่วประเทศอย่างน้อยร้อยละ 4 หรืออย่างน้อยร้อยละ 12 ในเขตเลือกตั้ง จึงจะได้รับที่นั่งในรัฐสภา การเลือกตั้งจัดขึ้นทุก ๆ 4 ปี ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องมีอายุอย่างน้อย 18 ปีในวันเลือกตั้ง[44]
ก่อนหน้านี้ สวีเดนเคยใช้ระบบสองสภามาตั้งแต่ปี 1860 และได้ยกเลิกไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อปี 1968-69[45]
บริหาร
แก้หลังจากการเลือกตั้ง พรรคหรือกลุ่มที่ได้มีจำนวนเสียงสูงสุดจะจัดตั้งรัฐบาล โดยรัฐสภาจะเลือกนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล และนายกรัฐมนตรีเลือกรัฐมนตรีเข้าร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้แก่ สเตฟัน เลอเวน (Stefan Löfven) หัวหน้าพรรคพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ 3 ตุลาคม 2014
พรรคการเมือง
แก้ปัจจุบัน สวีเดนมีพรรคการเมืองที่มีที่นั่งในสภาอยู่ 7 พรรค[45] ได้แก่
ชื่อ | ชื่อภาษาสวีเดน | ปีที่ก่อตั้ง | จำนวนสมาชิกในรัฐสภา |
---|---|---|---|
พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย | Arbetarepartiet Socialdemokraterna | ค.ศ. 1889 | |
พรรคโมเดอเรต | Moderata samlingspartiet | ค.ศ. 1904 | |
พรรคกลาง | Centerpartiet | ค.ศ. 1913 | |
พรรคเสรีนิยม | Folkpartiet liberalerna | ค.ศ. 1902 | |
พรรคคริสเตียนเดโมแครต | Kristdemokraterna | ค.ศ. 1964 | |
พรรคซ้าย | Vänsterpartiet | ค.ศ. 1917 | |
พรรคกรีน | Miljöpartiet de Gröna | ค.ศ. 1981 |
สิทธิมนุษยชน
แก้การแบ่งเขตการปกครอง
แก้สวีเดนแบ่งการปกครองออกเป็น 21 เทศมณฑล (län) ได้แก่
- เทศมณฑลก็อตลันด์ (Gotland)
- เทศมณฑลครูนูแบร์ย (Kronoberg)
- เทศมณฑลคัลมาร์ (Kalmar)
- เทศมณฑลเซอเดอร์มันลันด์ (Södermanland)
- เทศมณฑลดอลานา (Dalarna)
- เทศมณฑลนอร์บ็อตเติน (Norrbotten)
- เทศมณฑลเบลียกิงเงอ (Blekinge)
- เทศมณฑลเย็มต์ลันด์ (Jamtland)
- เทศมณฑลเยินเชอปิง (Jönköping)
- เทศมณฑลแยฟเลอบอร์ย (Gävleborg)
- เทศมณฑลเว็สตราเยอตาลันด์ (Västra Götaland)
- เทศมณฑลเว็สต์มันลันด์ (Västmanland)
- เทศมณฑลเว็สเตอร์นอร์ลันด์ (Västernorrland)
- เทศมณฑลเว็สเตอร์บ็อตเติน (Västerbotten)
- เทศมณฑลแวร์มลันด์ (Värmland)
- เทศมณฑลสกัวเนอ (Skåne)
- เทศมณฑลสต็อกโฮล์ม (Stockholm)
- เทศมณฑลอุปซอลา (Uppsala)
- เทศมณฑลเออเรอบรู (Örebro)
- เทศมณฑลเอิสเตอร์เยิตลันด์ (Östergötland)
- เทศมณฑลฮัลลันด์ (Halland)
นโยบายต่างประเทศ
แก้ตลอดศตวรรษที่ 20 นโยบายต่างประเทศของสวีเดนตั้งอยู่บนหลักการความเป็นกลางในยามสงคราม รัฐบาลสวีเดนดำเนินตามแนวทางที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยามสงบเพื่อความเป็นกลางจะเกิดขึ้นได้ในกรณีของสงคราม หลักคำสอนเรื่องความเป็นกลางของสวีเดนมักสืบย้อนไปถึงศตวรรษที่ 19 เนื่องจากประเทศนี้ไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามตั้งแต่สิ้นสุดการรณรงค์ต่อต้านนอร์เวย์ของสวีเดนในปี 1814 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สวีเดนไม่เข้าร่วมทั้งฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายอักษะ เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันในบางครั้ง เนื่องจากสวีเดนยอมให้ในบางกรณีที่ระบอบนาซีใช้ระบบรถไฟเพื่อขนส่งทหารและสินค้า โดยเฉพาะแร่เหล็กจากเหมืองทางตอนเหนือของสวีเดนซึ่งมีความสำคัญต่อเครื่องจักรทำสงครามของเยอรมัน อย่างไรก็ตาม สวีเดนก็มีส่วนสนับสนุนทางอ้อมในการป้องกันประเทศฟินแลนด์ในสงครามฤดูหนาว[46] และอนุญาตให้มีการฝึกทหารนอร์เวย์และเดนมาร์กในสวีเดนหลังปี 1943
ในช่วงต้นยุคสงครามเย็น สวีเดนได้รวมเอานโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดควบกับนโยบายด้านความมั่นคงที่มีพื้นฐานมาจากการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง หน้าที่ของกองทัพสวีเดนคือการยับยั้งการโจมตี ในเวลาเดียวกัน ประเทศยังคงความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการกับกลุ่มตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขอบเขตของการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง ในปี 1952 เครื่อง DC-3 ของสวีเดนถูกยิงที่ทะเลบอลติกโดยเครื่องบินขับไล่ MiG-15 ของสหภาพโซเวียต ตั้งแต่ปี 1995 สวีเดนเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป และจากสถานการณ์ความมั่นคงของโลกรูปแบบใหม่ หลักนโยบายต่างประเทศของประเทศจึงได้รับการแก้ไขบางส่วน โดยสวีเดนมีบทบาทอย่างแข็งขันมากขึ้นในความร่วมมือด้านความมั่นคงของยุโรป
กองทัพ
แก้ตำรวจสวีเดนเป็นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของตำรวจ หน่วยเฉพาะกิจแห่งชาติเป็นหน่วย SWAT แห่งชาติ มีหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยความมั่นคงแห่งสวีเดนคือการต่อต้านการจารกรรม กิจกรรมต่อต้านการก่อการร้าย การปกป้องรัฐธรรมนูญ และการปกป้องวัตถุและบุคคลที่ต้องการ ๆ คุ้มครอง
Försvarsmakten (Swedish Armed Forces) เป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่ขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหมของสวีเดนและรับผิดชอบการปฏิบัติการในยามสงบของกองทัพสวีเดน ภารกิจหลักของหน่วยงานคือการฝึกอบรมและปรับใช้กองกำลังรักษาสันติภาพในต่างประเทศ กองกำลังติดอาวุธแบ่งออกเป็นกองทัพบกกองทัพอากาศและกองทัพเรือ หัวหน้ากองกำลังติดอาวุธคือผู้บัญชาการทหารสูงสุด (Överbefälhavaren, ÖB) ซึ่งเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรอาวุโสที่สุดในประเทศ ในทางนิตินัย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดจนถึงปี 1974 แต่ในความเป็นจริง เป็นที่เข้าใจกันอย่างชัดเจนตลอดศตวรรษที่ 20 พระมหากษัตริย์จะไม่มีบทบาททางพฤตินัยในฐานะผู้นำทางทหาร[47][48]
ภายหลังสิ้นสุดสงครามเย็น ผู้ชายเกือบทั้งหมดที่อายุถึงการเกณฑ์ทหารได้ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนเพศชายที่เข้าเกณฑ์ทหารลดลงอย่างมาก ในขณะที่จำนวนอาสาสมัครหญิงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยจำนวนทหารเกณฑ์ทั้งหมด 45,000 นาย ในปี 2003 ลดลงเหลือ 15,000 และในวันที่ 1 กรกฎาคม 2010 สวีเดนได้ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร โดยเปลี่ยนไปใช้กำลังอาสาสมัครทั้งหมดแทน แต่มีการระบุไว้ตามกฎหมายว่าจะมีการเรียกเกณฑ์เพิ่มเติมในการเตรียมพร้อมในการป้องกันประเทศ[49]
เศรษฐกิจ
แก้โครงสร้าง
แก้สวีเดนเป็นประเทศที่มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมสูงมาก เกษตรกรรมที่เคยเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศมีการจ้างงานน้อยกว่าร้อยละสองของแรงงานทั้งหมดในปัจจุบัน[50] อุตสาหกรรมดั้งเดิมที่สำคัญของสวีเดนได้แก่ การป่าไม้ เหล็ก และไฟฟ้าพลังน้ำ แต่ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมขั้นสูงเช่นรถยนต์ อากาศยาน อาวุธ และเวชภัณฑ์ เข้ามามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมาก การที่สวีเดนมีประชากรไม่สูงนัก ทำให้ตลาดภายในประเทศจำกัดและต้องพึ่งพาการส่งออก สวีเดนจึงเป็นแหล่งกำเนิดของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในตลาดโลกจำนวนมาก เช่น วอลโว่ ซาบ อีริกส์สัน อีเล็กโทรลักซ์ เอชแอนด์เอ็ม เป็นต้น
สวีเดนได้รับอันดับสามจากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของเวิลด์อิโคโนมิกฟอรัมประจำปี 2006/07[51] สวีเดนมีการเก็บภาษีในอัตราที่สูง เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค และมีสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่ง ธนาคารแห่งชาติสวีเดน Sveriges Riksbank เป็นธนาคารกลางที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ก่อตั้งในปี 1668[52] โดยปัจจุบัน ธนาคารให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของราคา มีเป้าหมายเงินเฟ้อไม่เกินร้อยละ 2[53] ปัจจุบันสวีเดนยังคงใช้สกุลเงินครูนาสวีเดน โดยในปี 2003 ได้มีการลงประชามติเกี่ยวกับการใช้ค่าเงินยูโร ซึ่งร้อยละ 56 ลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วย[45][54]
แม้ว่าสวีเดนเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เมื่อปี 1995 แต่ยังไม่ยอมรับนโยบายเงินสกุลเดียว โดยได้ตัดสินใจไม่เข้าร่วมสหภาพเศรษฐกิจและการเงิน (Economic and Monetary Union – EMU) แม้ว่าระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะผ่านเกณฑ์ (convergence criteria) ที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ก็ตาม และเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2003 ทางการสวีเดนได้ทำประชามติพบว่า ประชาชนกว่าร้อยละ 56.1 ไม่สนับสนุนให้สวีเดนเข้าร่วมการใช้เงินสกุลยูโร
ตลาดสินค้าส่งออกสำคัญที่สุดของสวีเดนอยู่ในยุโรปตะวันตก โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของสินค้าถูกส่งออกไปยังสหภาพยุโรป เช่น กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านนอร์ดิก (เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ และนอร์เวย์) เยอรมนี สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส สำหรับตลาดส่งออกนอกภูมิภาคยุโรปที่สำคัญของสวีเดน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น สำหรับในด้านการนำเข้า ประเทศคู่ค้าของสวีเดนที่สำคัญที่สุด คือ สหภาพยุโรป นอร์เวย์ และสหรัฐอเมริกา
การท่องเที่ยว
แก้การท่องเที่ยวสร้างรายได้มหาศาลให้แก่สวีเดน นับตั้งแต่ทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา สวีเดนเปิดรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยนักท่องเที่ยวส่วนมากมาจากสหรัฐอเมริกา รวมถึงกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในสแกนดิเนเวีย และนักท่องเที่ยวจากเอเชียก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
สวีเดนขึ้นชื่อในด้านแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการรองรองโดยยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกถึง 15 แห่ง[55]
โครงสร้างพื้นฐาน
แก้คมนาคมและโทรคมนาคม
แก้สวีเดนมีถนนลาดยาง 162,707 กม. (101,101 ไมล์) และทางด่วน 1,428 กม. (887 ไมล์) มอเตอร์เวย์สายหลักวิ่งผ่านสวีเดนและข้ามสะพาน Øresund ไปยังประเทศเดนมาร์ก แลยังมีมอเตอร์เวย์แห่งใหม่ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง สวีเดนเคยมีการสัญจรทางซ้ายมือ (Vänstertrafik ในภาษาสวีเดน) ประมาณ ค.ศ. 1736 และยังคงดำเนินต่อไปจนถึงศตวรรษที่ 20 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งปฏิเสธระบบการจราจรทางขวามือในปี 1955 แต่ต่อมา ได้มีการเปลี่ยนมาเป็นทางขวามือในปี 1967 รถไฟใต้ดินในกรุงสต็อกโฮล์มเป็นระบบการขนส่งใต้ดินเพียงระบบเดียวในสวีเดน และให้บริการในเมืองสต็อกโฮล์มผ่าน 100 สถานี ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดยังคงเป็นของรัฐ ในขณะที่เทศมณฑลต่าง ๆ จะรับผิดชอบด้านการเงิน ตั๋ว และการตลาด สำหรับรถไฟขบวนอื่น ๆ ผู้ให้บริการด้านการรถไฟที่มีชื่อเสียง ได้แก่ SJ, Veolia Transport, DSB, Green Cargo, Tågkompaniet และ Inlandsbanan[56][57][58]
ท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานสต็อกโฮล์มออลันดา (ผู้โดยสาร 16.1 ล้านคนในปี 2009)[59] ตั้งอยู่ทางเหนือของสต็อกโฮล์ม 40 กม. (25 ไมล์) ตามมาด้วย ท่าอากาศยานกอเทนเบิร์กลันด์เวตเตอร์ (ผู้โดยสาร 4.3 ล้านคนในปี 2008) และท่าอากาศยานสต็อกโฮล์มสกอฟสตา (2.0 ล้านคน) สวีเดนเป็นเจ้าของบริษัทท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งในสแกนดิเนเวีย ได้แก่ Port of Göteborg AB (Gothenburg) และบริษัทข้ามชาติ Copenhagen Malmö Port AB
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แก้สวีเดนถูกจัดอันดับในฐานะของประเทศแห่งนวัตกรรมเป็นอันดับ 2 ของโลก จากการจัดอันดับ the Global Innovation Index 2012 ซึ่งเป็นเวลานับหลายทศวรรษที่สวีเดนได้เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ของโลก ที่นี่เป็นบ้านเกิดของ Bluetooth, Tetra Pak packaging, Skype และ Spotify ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม
สวีเดนมีความโดดเด่นเรื่องโครงสร้างที่เอื้อต่อการพัฒนาและนวัตกรรม โดยสวีเดนอยู่อันดับที่ 1 ใน European innovation scoreboard 2020 จัดทำโดย Maastricht University โครงการภายใต้ European Commission เพื่อเปรียบเทียบศักยภาพด้านการวิจัยและนวัตกรรมในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป รวมทั้งประเมินจุดแข็งจุดอ่อนของประเทศนั้น ๆ ซึ่งจุดแข็งของสวีเดนคือ ทรัพยากรมนุษย์ ระบบดึงดูดการทำวิจัย และ eco-system ที่ส่งเสริมนวัตกรรม[60]
นวัตกรรมของสวีเดนมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) อย่างใกล้ชิด โดยรัฐบาลสวีเดนประกาศในโอกาสต่าง ๆ ว่า นวัตกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสวีเดนบรรลุเป้าหมาย SDGs ทำให้การพัฒนานวัตกรรมต้องตอบโจทย์ความต้องการแก้ไขปัญหาในสังคม ซึ่งแทบทุกปัญหาจะมีความเชื่อมโยงกัน จึงต้องสร้างกระบวนการ (process) ที่ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมและบทบาทในการผลักดัน เช่น การเพิ่มคุณภาพการจัดการอาหาร
พลังงาน
แก้สวีเดนมีตลาดพลังงานขนาดใหญ่ โดยมากมักเป็นพลังงานแปรรูป ตลาดพลังงานนอร์ดิกเป็นหนึ่งในตลาดพลังงานเสรีแห่งแรก ๆ ในยุโรป ในปี 2006 จากการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 139 TWh ไฟฟ้าจากไฟฟ้าพลังน้ำคิดเป็น 61 TWh (44%) และพลังงานนิวเคลียร์ 65 TWh (47%)
วิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำมันในปี 1973 ตอกย้ำความมุ่งมั่นของสวีเดนในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่นำเข้าจากต่างประเทศ ตั้งแต่นั้นมา การผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจากไฟฟ้าพลังน้ำและพลังงานนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานนิวเคลียร์มีอย่างจำกัด ในเดือนมีนาคม 2005 การสำรวจความคิดเห็นพบว่า 83% สนับสนุนการรักษาหรือเพิ่มพลังงานนิวเคลียร์[61] นักการเมืองได้ประกาศเกี่ยวกับการเลิกใช้น้ำมันในสวีเดน การลดลงของพลังงานนิวเคลียร์ และการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในด้านพลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน[62] ประเทศได้ดำเนินกลยุทธ์การเก็บภาษีทางอ้อมในฐานะเครื่องมือของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมาหลายปีแล้ว ซึ่งรวมถึงภาษีพลังงานโดยทั่วไปและภาษีคาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉพาะ
สาธารณสุข
แก้การดูแลสุขภาพในสวีเดนส่วนใหญ่มาจากเงินภาษี โดยเป็นหลักสากลสำหรับพลเมืองทุกคนและมีกระจายอำนาจอย่างเท่าเทียม[63][64] แม้ว่าการดูแลสุขภาพของเอกชนก็มีอยู่เช่นกัน ระบบการดูแลสุขภาพในสวีเดนได้รับเงินจากภาษีที่เรียกเก็บโดยสภาเทศมณฑลและเทศบาลเป็นหลัก สภาทั้งหมด 21 แห่งรับผิดชอบการดูแลเบื้องต้นและโรงพยาบาลภายในประเทศ การดูแลสุขภาพของเอกชนเป็นสิ่งที่หาได้ยากในสวีเดน และแม้แต่สถาบันเอกชนก็ทำงานภายใต้สภาเทศบาลเมืองที่ได้รับคำสั่ง[65] สภาเทศบาลเมืองควบคุมกฎเกณฑ์และการจัดตั้งแนวปฏิบัติส่วนตัวที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่าในประเทศส่วนใหญ่การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือด้านจิตเวชจะดำเนินการเป็นการส่วนตัว แต่ในสวีเดน หน่วยงานที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสาธารณะมีหน้าที่ดูแลการดูแลประเภทนี้ การดูแลสุขภาพในสวีเดนมีคุณภาพใกล้เคียงกับประเทศที่พัฒนาแล้วอื่น ๆ สวีเดนติดอันดับใน 5 ประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตของทารกต่ำ นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีน้ำดื่มสาธารณะที่สะอาดและปลอดภัย ในปี 2018 การดูแลสุขภาพและการรักษาพยาบาลคิดเป็นประมาณร้อยละ 11 ของค่าจีดีพีทั้งประเทศ
การศึกษา
แก้ตามกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาของสวีเดน เด็กทุกคนที่มีอายุระหว่าง 7 ถึง 16 ปีที่อาศัยอยู่ในประเทศ มีหน้าที่ที่จะต้องไปโรงเรียนซึ่งถือว่าเป็นการศึกษาภาคบังคับและมีระยะเวลา 9 ปี การศึกษาภาคบังคับนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดใดทั้งสิ้นเด็กที่มีอายุ 6 ปีก็จะมีสิทธิ์ที่เข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาได้หากผู้ปกครองต้องการ
การศึกษาของสวีเดนแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับคือ ระดับปฐมวัย (Förskola) ระดับประถมศึกษา (Grundskola) เตรียมอุดมศึกษา (Gymnasium) และอุดมศึกษา (Högskola)
มีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยหลายแห่งในสวีเดนซึ่งเก่าแก่[66]และใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ในเมืองอัปซาลา ลุนด์ กอเทนเบิร์ก และสต็อกโฮล์ม ในปี 2000 คนสวีเดน 32% สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทำให้ประเทศนี้อยู่อันดับที่ 5 ใน OECD ในแง่ผู้จบการศึกษา[67] รัฐบาลยังให้เงินอุดหนุนค่าเล่าเรียนสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่กำลังศึกษาระดับปริญญาที่สถาบันในสวีเดนร่วมกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปอีกหลายประเทศ[68] แม้ว่าร่างกฎหมายล่าสุดที่ผ่านใน Riksdag จะจำกัดเงินอุดหนุนนี้สำหรับนักศึกษาจากประเทศจำนวนผู้อพยพเข้าโรงเรียนในสวีเดนจำนวนมากได้รับการอ้างถึงว่าเป็นส่วนสำคัญของเหตุผลว่าทำไมสวีเดนจึงตกอันดับมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรปในการจัดอันดับการศึกษา PISA ระดับนานาชาติ[69][70][71]
ภาษี
แก้โดยเฉลี่ย 27% ของเงินจากผู้เสียภาษีในสวีเดนจะถูกนำไปใช้เพื่อการศึกษาและการรักษาพยาบาล ในขณะที่ 5% ใช้ไปกับด้านการทหาร และ 42% ให้กับประกันสังคม[72] คนงานทั่วไปจะได้รับ 40% ของค่าแรงหลังจากหักภาษีแล้ว ภาษีทั้งหมดที่จัดเก็บโดยสวีเดนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของจีดีพีกว่า 52.3% ในปี 1990 ประเทศเผชิญกับวิกฤตด้านอสังหาริมทรัพย์และการธนาคารในปี 1990-91 และผ่านการปฏิรูปภาษีในปีต่อมา ตั้งแต่ปี 1990 สวีเดนจัดเก็บภาษีได้ลดลง โดยมีอัตราภาษีรวมสำหรับผู้มีรายได้สูงสุดลดลงมากที่สุดในปี 2010 จีดีพีของประเทศมาจากการเก็บเป็นภาษี 45.8% สูงเป็นอันดับสองในกลุ่มประเทศ OECD และเกือบสองเท่าของเปอร์เซ็นต์ในสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้
สวัสดิการอื่น ๆ
แก้ผู้มีถิ่นฐานในสวีเดนทุกคนจะได้รับเงินบำนาญจากรัฐ หน่วยงานบำเหน็จบำนาญแห่งสวีเดนมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องเงินบำนาญ รวมถึงผู้ที่เคยทำงานในสวีเดนแต่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศก็สามารถรับเงินบำนาญจากรัฐบาลสวีเดนได้เช่นกัน เงินบำนาญในสวีเดนมีหลายประเภทได้แก่ บำนาญจากการเกษียณอายุ เงินบำนาญอาชีพ และเงื่อนไขส่วนตัว บุคคลสามารถรับเงินบำนาญประเภทต่าง ๆ รวมกันได้[73][74]
ประชากรศาสตร์
แก้ประชากรทั้งหมดของสวีเดนคือ 10,377,781 คน (ตุลาคม 2020)[75] โดยมีประชากรเกิน 10 ล้านคนเป็นครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2017[76][77] ความหนาแน่นของประชากรโดยเฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 25 คนต่อตารางกิโลเมตร (65 ต่อตารางไมล์) หรือ 1,437 คนต่อตารางไมล์ในท้องที่ (การตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องโดยมีผู้อยู่อาศัยอย่างน้อย 200 คน) 87% ของประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมืองซึ่งครอบคลุม 1.5% ของพื้นที่ทั้งหมด[78] 63% ของชาวสวีเดนอยู่ในเขตเมืองใหญ่ โดยภูมิภาคทางใต้จะมีประชากรหนาแน่นกว่าทางเหนือมาก เมืองหลวงสต็อกโฮล์มมีประชากรในเขตเทศบาลประมาณ 950,000 คน เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองและสามคือกอเทนเบิร์กและมัลเมอ มหานครกอเทนเบิร์กมีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน และเช่นเดียวกันสำหรับพื้นที่ทางตะวันตกของ Scania ริมฝั่งเออเรซุนด์ ภูมิภาค เออเรซุนด์ ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างเดนมาร์ก-สวีเดน รอบ ๆ เออเรซุนด์ ที่เมืองมัลเมอ มีประชากร 4 ล้านคน
บริเวณนอกเมืองใหญ่ พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ พื้นที่เกษตรกรรมของเอิสเตอร์เกิทลันด์ ชายฝั่งตะวันตก บริเวณรอบทะเลสาบมาลาเรน และพื้นที่เกษตรกรรมรอบอุปซอลา นอร์ลันด์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 60% ของสวีเดน มีความหนาแน่นของประชากรต่ำมาก (ต่ำกว่า 5 คนต่อตารางกิโลเมตร) ภูเขาและพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ห่างไกลส่วนใหญ่แทบไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ความหนาแน่นของประชากรต่ำยังมีอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของสวีแลนด์ทางตะวันตก เช่นเดียวกับทางใต้และตอนกลางของสมอลด์ พื้นที่ที่เรียกว่า Finnveden ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Småland และส่วนใหญ่อยู่ใต้เส้นขนานที่ 57 ก็ถือได้ว่าเกือบจะว่างเปล่าโดยแทบไม่มีผู้คน
ระหว่าง ค.ศ. 1820 ถึง 1930 ชาวสวีเดนประมาณ 1.3 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของประชากรในประเทศในขณะนั้น อพยพไปยังอเมริกาเหนือ และส่วนใหญ่ไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา มีชาวอเมริกันสวีเดนมากกว่า 4.4 ล้านคนตามการประมาณการของสำนักสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐในปี 2006 ในแคนาดา ชุมชนบรรพบุรุษของสวีเดนมีมากถึง 330,000 คน
ไม่มีสถิติอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเชื้อชาติ แต่ตามสถิติของสวีเดน ประมาณ 2,634,967 (25.5%) ชาวสวีเดนมีพื้นเพเป็นชาวต่างชาติในปี 2019 ซึ่งกำหนดว่าเกิดในต่างประเทศหรือเกิดในสวีเดนกับบิดา มารดา ที่เกิดในต่างประเทศ ในจำนวนนี้ มี 2,019,733 คนเกิดในต่างประเทศ และ 615,234 คนเกิดในสวีเดนจากบิดา มารดา ที่เกิดในต่างประเทศ นอกจากนี้ 780,199 คนมีบิดามารดาที่เกิดในต่างประเทศกับบิดามารดาอีกหนึ่งคนที่เกิดในสวีเดน
ผู้อพยพ
แก้การย้ายถิ่นฐานเป็นปัจจัยสำคัญของการเติบโตของจำนวนประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสังคมของสวีเดนในหลายศตวรรษที่ผ่านมา แง่มุมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของการย้ายถิ่นฐานทำให้เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับเชื้อชาติ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานสำหรับผู้ไม่อพยพ รูปแบบการตั้งถิ่นฐาน ผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายทางสังคมที่สูงขึ้น อาชญากรรม และพฤติกรรมในสังคม ไม่มีตัวเลขที่แน่นอนเกี่ยวกับภูมิหลังทางชาติพันธุ์ของผู้อพยพและลูกหลานของพวกเขาในสวีเดน เนื่องจากรัฐบาลสวีเดนไม่ได้อ้างอิงสถิติใด ๆ เกี่ยวกับเชื้อชาติ
ผู้อพยพในสวีเดนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองของสเวียยาลันด์และเยอตาลันด์[79] ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 การอพยพไปยังสวีเดนส่วนใหญ่เกิดจากการอพยพของผู้ลี้ภัยและการรวมครอบครัวจากประเทศในตะวันออกกลางและลาตินอเมริกา[80] ในปี 2019 สวีเดนอนุญาตให้รับผู้ลี้ภัยคน 21,958 คน และ 21,502 คนในปี 2018 ผู้อพยพจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดสิบกลุ่มในทะเบียนราษฎรสวีเดนในปี 2019 มาจาก[81]
- ซีเรีย (191,530)
- อิรัก (146,048)
- ฟินแลนด์ (144,561)
- โปแลนด์ (93,722)
- อิหร่าน (80,136)
- โซมาเลีย (70,173)
- อดีตยูโกสลาเวีย (64,349)
- บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (60,012)
- อัฟกานิสถาน (58,780)
- ตุรกี (51,689)
ศาสนา
แก้ในปี 2006 ชาวสวีเดนประมาณ 6.9 ล้านคนเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งสวีเดน คิดเป็นร้อยละ 75 ของประชากรทั้งประเทศ โดยจำนวนสมาชิกลดลงเรื่อย ๆทุกปี[82] คริสตจักรแห่งสวีเดนเป็นโบสถ์นิกายลูเธอรัน นิกายโรมันคาทอลิกในสวีเดนมีสมาชิกราว 80,500 คน นอกจากคริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ จากการอพยพเข้า[83] จากการสำรวจ "ยูโรบารอมิเตอร์" ในปี 2005 ร้อยละ 23 ตอบแบบสอบถามว่าเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง[84]
ภาษา
แก้ประเทศสวีเดนมีภาษาทางการ โดยมีภาษาสวีเดนเป็นภาษาหลักของประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่พูด สวีเดนรับรองภาษาของชนกลุ่มน้อยห้าภาษา ได้แก่ ภาษาฟินแลนด์ เมแอนเกียลิ (Meänkieli) ภาษาซามิ ภาษาโรมานี และภาษายิดดิช ประเด็นเรื่องการให้ภาษาสวีเดนเป็นภาษาทางการถูกหยิบยกขึ้นมาในปี 2005 แต่การลงคะแนนเสียงในรัฐสภาแพ้ไป 145-147[85]
ภาษาสวีเดนมีคล้ายคลึงกับภาษาเดนมาร์กและนอร์เวย์และสามารถเข้าใจร่วมกันได้ในหลายบริบท แต่แตกต่างกันในด้านการออกเสียงและการสะกดบางคำ ชาวนอร์เวย์และเดนมาร์กสามารถเข้าใจภาษาสวีเดนส่วนมากได้ โดยมีความยากกว่าภาษานอร์สเล็กน้อย ผู้ที่พูดภาษาสวีเดนมาตรฐานสามารถเข้าใจภาษานอร์เวย์ได้ง่ายกว่าภาษาเดนมาร์กมาก ภาษาถิ่นที่พูดกันใน Scania ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศนั้นได้รับอิทธิพลจากภาษาเดนมาร์ก เนื่องจากภูมิภาคนี้เป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์ก และปัจจุบันตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ดังกล่าว[86]
เนื่องจากการหลั่งไหลเข้ามาของเจ้าของภาษาอาหรับในศตวรรษที่ 21 การใช้ภาษาอาหรับจึงมีแนวโน้มแพร่หลายในประเทศมากกว่าภาษาฟินแลนด์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเก็บสถิติอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการใช้ภาษา
ชาวสวีเดนสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเช่นเดียวกับเพื่อนบ้านประเทศสแกนดิเนเวียอื่น ๆ โดยเฉพาะจากการมีระบบการศึกษาที่พัฒนาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในวิชาบังคับทุกโรงเรียนตั้งแต่ปี 1940[87] โดย Eurobarometer ได้สำรวจประชากรและพบว่า 89% ของชาวสวีเดนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี และสถานที่สาธารณะจะปรากฏภาษาอังกฤษให้เห็นเสมอ
วัฒนธรรม
แก้สวีเดนมีนักเขียนหลายคนที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก รวมถึง ออกัสต์ สตรินด์เบิร์ก, แอสตริด ลินด์เกรน, เซลมา ลอเกร์เลิฟ และ แฮร์รี มาร์ตินสัน สวีเดนมีผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมทั้งหมด 7 คน[88] ศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ ได้แก่ จิตรกร เช่น คาร์ล ลาร์สสัน และ แอนเดอร์ ซอร์น และประติมากร โยฮัน โทเบียส เซอร์เกล และ คาร์ล มิลเลส
วัฒนธรรมสมัยศตวรรษที่ 20 ของสวีเดนเป็นที่รู้จักจากผลงานบุกเบิกในยุคแรก ๆ ในวงการภาพยนตร์ โดยมี เมาริตซ์ สติลเลอร์ และ วิคเตอร์ เซสเตริม เป็นสองผู้กำกับที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในแง่การปฏิวัติวงการภาพยนตร์ของนอร์ดิก[89] ในช่วงทศวรรษที่ 1920-1980 ผู้สร้างภาพยนตร์ อิงมาร์ เบิร์กแมน และ นักแสดง เกรทา การ์โบ และ อิงกริด เบิร์กแมน ได้กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติในวงการภาพยนตร์ เมื่อไม่นานมานี้ ภาพยนตร์ของ ลูคัส มูดิสสัน , ลาสซี่ ฮอลสตรอม และ รูเบน ออสต์ลุนด์ ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ
ตลอดช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970[90] สวีเดนถูกมองว่าเป็นผู้นำระดับนานาชาติใน "การปฏิวัติทางเพศ"[91] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ[92] ภาพยนตร์สวีเดนยุคแรก I Am Curious (Yellow) (1967) สะท้อนมุมมองเสรีนิยมเรื่องเพศ รวมถึงฉากแสดงความรักที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติ เสรีนิยมทางเพศถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยการทำลายจารีตประเพณีเดิมอันนำไปสู่การปลดปล่อยพลังและความปรารถนาตามธรรมชาติ[93] สวีเดนยังเปิดกว้างต่อการรักร่วมเพศอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมเช่น Show Me Love ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเลสเบี้ยนสาวสองคนในเมือง Åmål ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ของสวีเดน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2009 สวีเดนได้ยกเลิกกฎหมาย "หุ้นส่วนจดทะเบียน" และแทนที่ด้วยการแต่งงานที่เป็นกลางทางเพศโดยสมบูรณ์[94] สวีเดนยังเสนอการจดทะเบียนหุ้นส่วนภายในประเทศสำหรับคู่รักเพศเดียวกันและคู่รักเพศตรงข้ามอีกด้วย การอยู่ร่วมกัน (sammanboende) โดยคู่รักทุกวัยรวมทั้งวัยรุ่นและคู่สามีภรรยาสูงอายุเป็นที่แพร่หลาย[95] นับตั้งแต่ปี 2009 สวีเดนกำลังประสบปัญหาทางสังคมในการเปลี่ยนถ่ายไปสู่ยุค Baby Boomer หรือสังคมผู้สูงอายุ[96]
สถาปัตยกรรม
แก้ก่อนศตวรรษที่ 13 อาคารเกือบทั้งหมดทำจากไม้ แต่เริ่มเปลี่ยนไปใช้หินในภายหลัง[97] อาคารหินของสวีเดนยุคแรกเป็นโบสถ์แบบโรมาเนสก์ที่ฝั่งชนบท หลาย ๆ แห่งได้รับการสร้างขึ้น และมีผลกับโบสถ์ในเดนมาร์ก ซึ่งรวมถึงโบสถ์ลุนด์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 และโบสถ์ที่มีอายุน้อยกว่าในดัลบี แต่ยังรวมถึงโบสถ์แบบโกธิกยุคแรก ๆ อีกหลายแห่งที่สร้างขึ้นจากอิทธิพลของสันนิบาตฮันเซียติก เช่น ในเมืองอีสตัด มัลเมอ และเฮ็ลซิงบอร์ย วิหารในส่วนอื่น ๆ ของสวีเดนยังถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่นั่งของมุขนายกของสวีเดน มหาวิหารสการาสร้างด้วยอิฐจากศตวรรษที่ 14 และมหาวิหารอุปซอลาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในปี ค.ศ. 1230 ฐานรากของมหาวิหารลินเชอปิงถูกสร้างขึ้น วัสดุเป็นหินปูน แต่ตัวอาคารใช้เวลาสร้างประมาณ 250 ปี
ในอีกสองศตวรรษต่อมา สวีเดนมีระบบสถาปัตยกรรมแบบบาโรก และต่อมาเป็นสถาปัตยกรรมโรโกโก โครงการเด่นในช่วงเวลานั้น ได้แก่ เมืองคอลส์ครูนา ซึ่งปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลกและพระราชวังดร็อตนิงฮ็อล์มด้วย ค.ศ. 1930 เป็นปีแห่งการจัดนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่ในสต็อกโฮล์ม ซึ่งเป็นการบุกเบิกของ สถาปัตยกรรมคำนึงประโยชน์ หรือ "funkis" เมื่อกลายเป็นที่รู้จัก สไตล์นี้เข้ามามีบทบาทในงานก่อสร้างในสวีเดนในทศวรรษต่อมา โครงการเด่น ๆ ในประเภทนี้ ได้แก่ โครงการ Million Programme ซึ่งเป็นที่พักอาศัยในอพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ในราคาไม่แพง Ericsson Globe เป็นอาคารครึ่งวงกลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีรูปร่างเหมือนลูกบอลสีขาวขนาดใหญ่ และใช้เวลาสร้างสองปีครึ่ง ตั้งอยู่ในสต็อกโฮล์ม[98]
ดนตรี
แก้มีการพยายามสร้างดนตรีนอร์สขึ้นใหม่ตามประวัติศาสตร์โดยใช้เครื่องมือที่พบในแหล่งไวกิง เครื่องดนตรีที่ใช้คือ ลูร์ (แตรชนิดหนึ่ง) เครื่องสายธรรมดา ขลุ่ยไม้ และกลอง สวีเดนมีดนตรีพื้นบ้านที่สำคัญคือ joik ซึ่งเป็นเพลงประเภท ซามี เป็นบทสวดที่เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของชาวซามี แบบดั้งเดิม นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Carl Michael Bellman และ Franz Berwald สวีเดนยังมีประเพณีการขับร้องประสานเสียงที่โดดเด่นอีกด้วย[99][100] จากจำนวนประชากร 9.5 ล้านคน ประมาณว่าห้าถึงหกแสนคนมีความสามารถการร้องเพลงประสานเสียงกัน[101] ในปี 2007 ด้วยรายรับมากกว่า 800 ล้านดอลลาร์ สวีเดนเป็นผู้ส่งออกเพลงรายใหญ่เป็นอันดับสามของโลกเป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรเท่านั้น[102] สวีเดนมีเพลงแจ๊สที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา ศูนย์วิจัยดนตรีพื้นบ้านและดนตรีแจ๊สแห่งสวีเดนได้ตีพิมพ์ผลงานภาพรวมของดนตรีแจ๊สในสวีเดนโดย ลาร์ส เวสติน
แฟชั่น
แก้ความสนใจแฟชั่นเป็นเรื่องสำคัญในสวีเดน[103][104] และประเทศนี้มีสำนักงานใหญ่ของยี่ห้อดังอย่าง Hennes & Mauritz (รู้จักในนาม H&M)[105], J. Lindeberg (รู้จักในนาม JL) อย่างไรก็ตาม บริษัทเหล่านี้ประกอบด้วยผู้ซื้อส่วนใหญ่ที่นำเข้าสินค้าแฟชั่นจากทั่วยุโรปและอเมริกา โดยยังคงมีแนวโน้มของธุรกิจสวีเดนในการพึ่งพาเศรษฐกิจข้ามชาติเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง
อาหาร
แก้อาหารประจำชาติของประเทศสวีเดนคล้ายกับอาหารของแถบสแกนดิเนเวีย[106] เช่น ปลา (herring), ปลาเปรี้ยว (pickled herring) และไข่ปลาคาเวียร์ แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือลูกชิ้นสวีเดนหรือที่เรียกกันว่า Köttbullar มีลักษณะเป็นลูกชิ้นที่ปรุงรสแล้วมีทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อวัว กินกับมันฝรั่ง ซอส และควบคู่ไปกับแยมผลไม้ แยมจะมีรสหวานกินง่าย คนสวีเดนส่วนมากจะกินเนื้อสัตว์กับแยมผลไม้ เพื่อเป็นการเพิ่มรสชาติของอาหารและแก้เลี่ยน[107][108]
สื่อมวลชน
แก้ชาวสวีเดนเป็นหนึ่งในผู้บริโภคหนังสือพิมพ์รายใหญ่ที่สุดของโลก และเกือบทุกเมืองมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นให้บริการ หนังสือพิมพ์อ่านตอนเช้าที่มีคุณภาพหลักของประเทศ ได้แก่ Dagens Nyheter (เสรีนิยม), Göteborgs-Posten (เสรีนิยม), Svenska Dagbladet (อนุรักษ์นิยมแบบเสรีนิยม) และ Sydsvenska Dagbladet (เสรีนิยม) หนังสือพิมพ์รายวันที่ใหญ่ที่สุดสองรายการคือ Aftonbladet (สังคมประชาธิปไตย) และ Expressen (เสรีนิยม) และยังมี Metro International หนังสือพิมพ์นานาชาติซึ่งแจกฟรี ก่อตั้งขึ้นในสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ข่าวของประเทศนี้รายงานเป็นภาษาอังกฤษโดย[109]
บริษัทแพร่ภาพกระจายเสียงสาธารณะผูกขาดวิทยุและโทรทัศน์ในสวีเดนมาเป็นเวลานาน การอนุญาตวิทยุกระจายเสียงเริ่มต้นในปี 1925 เครือข่ายวิทยุที่สองเริ่มต้นในปี 1954 และเครือข่ายที่สามในปี 1962 เพื่อตอบสนองต่อการปเดสถานีวิทยุที่ละเมิดลิขสิทธิ์ วิทยุชุมชนที่ไม่แสวงหากำไรได้รับอนุญาตในปี 1979 และในปี 1993 วิทยุท้องถิ่นเชิงพาณิชย์ได้เริ่มดำเนินการ บริการโทรทัศน์ที่ได้รับทุนจากใบอนุญาตเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1956 ช่องที่สองคือ TV2 เปิดตัวในปี 1969 สองช่องนี้ (ดำเนินการโดย Sveriges Television ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970) ได้ผูกขาดการออกอากาศจนกระทั่งช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อเคเบิลทีวีและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเปิดให้บริการ บริการดาวเทียมภาษาสวีเดนครั้งแรกคือ TV3 ซึ่งเริ่มออกอากาศจากลอนดอนในปี 1987 ตามด้วย Kanal 5 ในปี 1989 (ขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ Nordic Channel) และ TV4 ในปี 1990
กีฬา
แก้กิจกรรมกีฬาเป็นกิจกรรมหลักของชาติโดยมีประชากรกว่าครึ่งหนึ่งเข้าร่วมกิจกรรมกีฬาที่จัดขึ้นโดยรัฐบาล กีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดสองประเภท คือ ฟุตบอล และฮอกกี้น้ำแข็ง รองจากฟุตบอล กีฬาขี่ม้า (ซึ่งผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง) มีจำนวนผู้ฝึกหัดมากที่สุด นอกจากนี้ กอล์ฟ โอเรียนเทียริ่ง ยิมนาสติก และกีฬาประเภททีมของฮอกกี้น้ำแข็ง แฮนด์บอล ฟลอร์บอล บาสเก็ตบอล และวงดนตรีเป็นที่นิยมมากที่สุดเช่นกัน[110]
ฮอกกี้น้ำแข็งชายทีมชาติสวีเดน หรือที่รู้จักกันในนาม Tre Kronor (อังกฤษ: Three Crowns; สัญลักษณ์ประจำชาติของสวีเดน) ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลก[111] ชนะเลิศการแข่งขันชิงแชมป์โลกถึงเก้าครั้ง[112] และรั้งอันดับสามในการนับเหรียญรางวัลรวมในการแข่งขันตลอดกาล และยังได้รับรางวัลเหรียญทองโอลิมปิกในปี 1994 และ 2006 ในปี 2006 ทีมนี้กลายเป็นทีมฮอกกี้ระดับชาติทีมแรกที่ชนะทั้งโอลิมปิกและชิงแชมป์โลกในปีเดียวกัน และกรีฑาถือว่าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จหลายคนในช่วงที่ผ่านมา ปี เช่น Carolina Klüft และ Stefan Holm
ฟุตบอล
แก้ฟุตบอลทีมชาติสวีเดนประสบความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลโลกพอสมควร โดยเข้าร่วมการแข่งขันรอบสุดท้ายถึง 17 ครั้ง ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศเมื่อเป็นตนเองเจ้าภาพในฟุตบอลโลก 1958[113] และอันดับสามอีกสองครั้งในปี 1950 และ 1954 และเข้าร่วมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 7 ครั้ง มีนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น นิลส์ ลีดโฮล์ม, เฮ็นริก ลอช็อน, เฟรียดริก ยุงแบร์ย, แคโรลีน ซีเกอร์ และซลาตัน อิบราฮีมอวิช
วันหยุด
แก้นอกเหนือจากวันหยุดตามประเพณีของชาวคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ สวีเดนยังฉลองวันหยุดพิเศษบางอย่างซึ่งเป็นประเพณีก่อนคริสต์ศักราช พวกเขาจะร่วมฉลอง Walpurgis Night (Valborgsmässoafton) ในวันที่ 30 เมษายนด้วยการจุดไฟซึ่งเป็นวันฉลองของชาวคริสต์ของ Saint Walpurga[114] เป็นนักุญที่นับถือศาสนาคริสต์ในศตวรรษที่ 8[115] และวันแรงงานหรือวันแรงงานตรงกับ วันที่ 1 พฤษภาคม อุทิศให้กับการประท้วงสังคมนิยม วันแห่งแสงสว่างของนักบุญลูเซียซึ่งเป็นวันที่ 13 ธันวาคม เป็นที่ทราบกันดีในการเฉลิมฉลองอันวิจิตรบรรจงซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอิตาลีและเริ่มเทศกาลคริสต์มาสที่ยาวนานหนึ่งเดือน และ 6 มิถุนายน เป็นวันชาติของสวีเดน[116] และตั้งแต่ปี 2005 ถือเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ นอกจากนี้ยังมีการฉลองวันโบกธงอย่างเป็นทางการและปฏิทิน Namesdays ในสวีเดนในเดือนสิงหาคม ชาวสวีเดนจำนวนมากมีงาน kräftskivor (งานเลี้ยงอาหารค่ำ) โดยจะเสิร์ฟห่านย่างและสวาร์ตซอปปา ('ซุปดำ' ที่ทำจากน้ำสต๊อกห่าน ผลไม้ เครื่องเทศ สุรา และเลือดห่าน)
การจัดอันดับนานาชาติ
แก้- อันดับ 5 จาก 177 ประเทศในดัชนีการพัฒนามนุษย์ พ.ศ. 2549 โดยสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ[117]
- อันดับ 5 จาก 169 ประเทศในดัชนีเสรีภาพสื่อ พ.ศ. 2550 โดยองค์กรนักข่าวไร้พรมแดน[118]
- อันดับ 4 จาก 179 ประเทศในดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน พ.ศ. 2550 โดยแทรนส์แพเรนซีอินเตอร์เนชันแนล[119]
- อันดับ 3 จาก 125 ประเทศในรายงานขีดความสามารถในการแข่งขันสากลของเวิลด์อิโคโนมิกฟอรัม 2006/2007[120][121]
- อันดับ 1 ในอันดับดัชนีมารดาและอันดับดัชนีสตรี และอันดับ 4 ในอันดับดัชนีเด็ก จากทั้งหมด 41 ประเทศในกลุ่มพัฒนาสูง โดยเซฟเดอะชิลเดรน พ.ศ. 2550[122]
ดูเพิ่ม
แก้หมายเหตุ
แก้- ↑ พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหมดต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ประจำคริสตจักรแห่งสวีเดน แต่นิกายโปรเตสแตนต์ไม่ได้มีสถานะศาสนาประจำชาติมาตั้งแต่ ค.ศ. 2000[3][4][5] อย่างไรก็ตาม คริสต์จักรนี้ได้รับการยอมรับทางกฎหมาย[6] และภาครัฐยังคงสนัสนุนอยู่[7]
อ้างอิง
แก้- ↑ "Mottoes of The Kings and Queens of Sweden". www.kungahuset.se. Royal Court of Sweden. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 ธันวาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 22 ธันวาคม 2015.
- ↑ "Number of persons with foreign or Swedish background (detailed division) by region, age and sex. Year 2002 - 2019". SCB.se. Statistics Sweden. 31 December 2019. สืบค้นเมื่อ 19 January 2021.
- ↑ "The Act of Succession". The Riksdag. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-24. สืบค้นเมื่อ 24 October 2014.
- ↑ Nergelius: pp. 42–44.
- ↑ "Svenska kyrkan i siffror". Church of Sweden (Svenska kyrkan).
- ↑ ."SFS 1998:1591" เก็บถาวร 2011-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Riksdagen
- ↑ "Church of Sweden". www.sweden.org.za. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-04-16. สืบค้นเมื่อ 8 August 2020.
- ↑ "Religions in Sweden | PEW-GRF". www.globalreligiousfutures.org. สืบค้นเมื่อ 8 August 2020.
- ↑ Hackett, Conrad. "5 facts about the Muslim population in Europe". Pew Research/Fact Tank. Pew Research Center. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 August 2018. สืบค้นเมื่อ 12 December 2017.
- ↑ Norborg, Lars-Arne. "svensk–norska unionen". ne.se (ภาษาสวีเดน). Nationalencyklopedin. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 January 2016. สืบค้นเมื่อ 6 August 2015.
- ↑ "Surface water and surface water change". Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD). สืบค้นเมื่อ 11 October 2020.
- ↑ [1] Statistics Sweden. Retrieved 8 July 2021.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 "World Economic Outlook Database, October 2019". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 8 January 2020.
- ↑ "Gini coefficient of equivalised disposable income – EU-SILC survey". ec.europa.eu. Eurostat. สืบค้นเมื่อ 9 August 2021.
- ↑ Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
- ↑ "Språklag (2009:600)" (ภาษาสวีเดน). Riksdag. 28 May 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 November 2014. สืบค้นเมื่อ 10 November 2014.
- ↑ Landes, David (1 July 2009). "Swedish becomes official 'main language'". The Local. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 December 2013. สืบค้นเมื่อ 15 July 2009.
- ↑ "Är svenskan också officiellt språk i Sverige?" [Is Swedish also an official language in Sweden?] (ภาษาสวีเดน). Swedish Language Council. 1 February 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 February 2014. สืบค้นเมื่อ 22 June 2008.
- ↑ "Statistical database - Select variable and values". Statistikdatabasen.scb.se. 19 March 2020. สืบค้นเมื่อ 3 June 2020.
- ↑ Nikel, David. "Why Scandinavians Are So Good At English". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Värre än forskarna anat: Digerdöden". Forskning & Framsteg (ภาษาสวีเดน). 2012-12-15. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-08. สืบค้นเมื่อ 2021-10-08.
- ↑ "Digerdöden | Historiska Museet". historiska.se (ภาษาสวีเดน).
- ↑ "WikiLeaks reveal Swedes gave intel on Russia, Iran". The Washington Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "History of Sweden – more than Vikings | Official site of Sweden". sweden.se (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2015-12-03.
- ↑ https://www.thelocal.se/20140815/sweden-celebrates-200-years-of-peace/
- ↑ "The Ups and Downs of the Swedish Welfare State: General Trends, Benefits and Caregiving". New Politics (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Sweden - Employment, Social Affairs & Inclusion - European Commission". ec.europa.eu.
- ↑ "Constitutional Rights Foundation". www.crf-usa.org.
- ↑ "Global Competitiveness | World Economic Forum - Global Competitiveness". web.archive.org. 2014-12-10. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-12-10. สืบค้นเมื่อ 2021-09-03.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ https://www.oecdbetterlifeindex.org/#/11111111111
- ↑ "| Human Development Reports" (PDF). hdr.undp.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-08-18. สืบค้นเมื่อ 2021-09-03.
- ↑ "Ukraine war: Sweden and Finland confirm Nato plans in historic shift". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2022-05-15. สืบค้นเมื่อ 2022-06-02.
- ↑ "Sweden". gtb.ivdnt.org.
- ↑ "Home : Oxford English Dictionary". www.oed.com (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-08. สืบค้นเมื่อ 2021-10-08.
- ↑ "Sweden | History, Flag, Map, Population, & Facts". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Sweden geography, maps, climate, environment and terrain from Sweden | - CountryReports". www.countryreports.org.
- ↑ "Sweden". Geography (ภาษาอังกฤษ). 2014-03-21.
- ↑ "สวีเดน: ประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์". สวีเดน: ประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์. 2019-11-08.
- ↑ "History of Sweden – more than Vikings | Official site of Sweden". sweden.se (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2015-12-03.
- ↑ "A SHORT HISTORY OF SWEDEN". Local Histories (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2021-03-14.
- ↑ "Sweden | HISTORY Channel". The HISTORY Channel (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ The Head of State เว็บไซต์รัฐบาลสวีเดน (อังกฤษ)
- ↑ The Constitution เก็บถาวร 2011-01-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์รัฐสภาสวีเดน (อังกฤษ)
- ↑ Elections เก็บถาวร 2007-02-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์รัฐสภาสวีเดน (อังกฤษ)
- ↑ 45.0 45.1 45.2 ข้อมูลประเทศสวีเดน เก็บถาวร 2007-02-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน กระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย
- ↑ "Finland: Now, the Seven and a Half - TIME". web.archive.org. 2011-11-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-11-04. สืบค้นเมื่อ 2021-09-27.
- ↑ Forces, Swedish Armed. "The Swedish Armed Forces". Försvarsmakten (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Stockholm, Reuters in (2020-10-15). "Sweden to increase military spending by 40% as tension with Russia grows". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "2021 Sweden Military Strength". www.globalfirepower.com.
- ↑ Sweden กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (อังกฤษ)
- ↑ http://www.weforum.org/pdf/Global_Competitiveness_Reports/Reports/gcr_2006/sweden.pdf (อังกฤษ)
- ↑ http://www.law.nyu.edu/centralbankscenter/texts/Swedish%20Central%20Bank-introduction.html เก็บถาวร 2006-09-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อcia
- ↑ Sweden says No to euro บีบีซีนิวส์ 15 กันยายน 2546 (อังกฤษ)
- ↑ https://visitsweden.com/what-to-do/sights-landmarks/swedens-unesco-world-heritage-sites/
- ↑ "Sweden — Transportation". www.iexplore.com.
- ↑ "Public transportation". visitsweden.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Regeringskansliet, Regeringen och (2014-11-07). "Transport and infrastructure". Regeringskansliet (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Airports in Sweden, arrival info on Swedish airports". All about buses (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
- ↑ "ข้อมูลเกี่ยวกับสวีเดน – Royal Thai Embassy Stockholm".
- ↑ "Nuclear Energy in Sweden - World Nuclear Association". world-nuclear.org.
- ↑ "Sweden plans to be world's first oil-free economy". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2006-02-08.
- ↑ "Improving Quality and Value for Money in Healthcare | READ online". oecd-ilibrary.org.
- ↑ "Getting Better Value for Money from Sweden's Healthcare System | READ online". oecd-ilibrary.org.
- ↑ "Healthcare in Sweden". sweden.se (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2020-05-05.
- ↑ "How the pension system works". collectum.se (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Countries Compared by Education > Educational attainment > Tertiary. International Statistics at NationMaster.com". www.nationmaster.com.
- ↑ "Sweden introduces tuition fees and offers scholarships for students from outside EU – Study in Sweden – SWEDEN.SE". web.archive.org. 2010-06-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-28. สืบค้นเมื่อ 2021-09-27.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Sweden thinks its low test scores are because of immigrants - and it plans to do something about it". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2016-03-16.
- ↑ "What's behind the rising inequality in Sweden's schools, and can it be fixed? - The Local". web.archive.org. 2018-11-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-11-25. สืบค้นเมื่อ 2021-09-27.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Why Sweden's free schools are failing". New Statesman (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2016-06-18.
- ↑ "Offentliga sektorns utgifter". Ekonomifakta (ภาษาสวีเดน).
- ↑ "Pension system in Sweden | Pensionsmyndigheten". www.pensionsmyndigheten.se (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Retirement pension in Sweden | Nordic cooperation". www.norden.org (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Befolkningsstatistik". Statistiska Centralbyrån (ภาษาสวีเดน).
- ↑ https://sverigesradio.se/artikel/6610701
- ↑ https://www.thelocal.se/20170120/swedens-population-reaches-historic-ten-million-milestone/
- ↑ https://www.scb.se/contentassets/745b357fd3b74ffd934fc4004ce5cf62/mi0810_2018a01_sm_mi38sm1901.pdf
- ↑ "Tabeller över Sveriges befolkning 2009 - Statistiska centralbyrån". web.archive.org. 2011-08-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-12. สืบค้นเมื่อ 2021-10-13.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Migration Information Source". migrationpolicy.org (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Population by country of birth, age and sex. Year 2000 - 2020". Statistikdatabasen.
- ↑ สถิติสมาชิกคริสตจักรแห่งสวีเดน ปี 1972-2006 เก็บถาวร 2007-09-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (สวีเดน)
- ↑ Charlotte Celsing. Are Swedes losing their religion? เก็บถาวร 2007-07-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 1 ก.ย. 2549 เรียกข้อมูลวันที่ 31 ก.ค. 2550 (อังกฤษ)
- ↑ รายงานผลการสำรวจยูโรบารอมิเตอร์ (อังกฤษ)
- ↑ Svenskan blir inte officiellt språk, Sveriges Television, 2005-12-07. เรียกข้อมูลวันที่ 25 ก.พ. 2551 (สวีเดน)
- ↑ https://web.archive.org/web/20131116073533/http://ec.europa.eu/education/languages/pdf/doc631_en.pdf
- ↑ "English spoken - fast ibland hellre än bra". web.archive.org. 2006-01-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-01-06. สืบค้นเมื่อ 2021-09-08.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Hayward, Claire (2012-07-05). "Sweden's Literary Nobelists". Culture Trip.
- ↑ "Mauritz Stiller | Swedish director". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Swedish Liberal Attitude Towards Sex - Feminism, Stereotypes & Nudity". Hej Sweden (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2016-09-23.
- ↑ Schmidt, William E. (1992-03-22). "THE WORLD; Sweden Redefines Sexual Revolution". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-10-13.
- ↑ "Opinion | Sweden's Experience As a Sexual Paradise". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 1986-07-30. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2021-10-13.
- ↑ "The Swedish myths: True, false or somewhere in between? - SWEDEN.SE". web.archive.org. 2010-09-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-17. สืบค้นเมื่อ 2021-10-13.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Marklund, Carl (2009-07-13). "Hot Love and Cold People. Sexual Liberalism as Political Escapism in Radical Sweden". doi:10.18452/7999.
{{cite journal}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
(help) - ↑ "Sweden passes new gay marriage law - The Local". web.archive.org. 2009-04-10. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-10. สืบค้นเมื่อ 2021-10-13.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Babyboom i Sverige? - www.scb.se". web.archive.org. 2009-07-30. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-07-30. สืบค้นเมื่อ 2021-10-13.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Swedish architecture". sweden.se (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2015-10-29.
- ↑ "Top 9 Swedish architecture must-sees". visitsweden.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Monica Zetterlund, jazz singer and Swedish Sensation". www.europeana.eu (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
- ↑ "Top swedish jazz artists". Last.fm (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Durant, Colin (2003). Choral Conducting: philosophy and practice. Routledge. pp. 46–47.
- ↑ "Consulate General of Sweden - Export Music Sweden at MuseExpo". web.archive.org. 2008-06-15. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-15. สืบค้นเมื่อ 2021-09-27.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ McCrory, Sorcha (2020-04-28). "Everything You Need to Know About Swedish Fashion". Scandinavia Standard (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Swedish fashion – a story of substance and style". visitsweden.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "H&M offers fashion and quality at the best price". H&M (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Swedish food culture - local produce, international flavours and forward thinking". visitsweden.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "10 things to know about Swedish food". sweden.se (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2013-05-27.
- ↑ Stapelberg, Johanna. "20 Delicious Foods and Dishes From Sweden". Culture Trip.
- ↑ Olson, Kenneth E. (1966). The history makers;: The press of Europe from its beginnings through 1965. LSU Press. pp. 33–49.
- ↑ "Sport in Sweden". www.topendsports.com.
- ↑ Gömd, SKRIBENT: Daniel Blomqvist E.-POST: Adressen. "Landslag". Svenska Ishockeyförbundet (ภาษาสวีเดน).
- ↑ "Tre Kronor's winning ways". webarchive.iihf.com.
- ↑ "FIFA". fifa.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Online, Catholic. "St. Walburga - Saints & Angels". Catholic Online (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Saint Walpurga". World History Encyclopedia (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "NATIONAL DAY OF SWEDEN - June 6". National Day Calendar (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Human Development Report 2006" (PDF). สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2007-02-02. สืบค้นเมื่อ 2007-03-31. (อังกฤษ)
- ↑ "Worldwide Press Freedom Index 2007". องค์กรนักข่าวไร้พรมแดน. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-17. สืบค้นเมื่อ 2007-10-19. (อังกฤษ)
- ↑ "Corruption Perceptions Index 2007". Transparency International. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-28. สืบค้นเมื่อ 2007-10-19. (อังกฤษ)
- ↑ "สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และ สวีเดน ติด 3 อันดับแรกประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในโลก". ThaiEurope.net. 2006-09-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-18. สืบค้นเมื่อ 2007-03-31.
- ↑ "US loses top competitiveness spot". BBC News. 2006-09-26. สืบค้นเมื่อ 2007-05-28. (อังกฤษ)
- ↑ Save the Children. State of the World's Mothers เก็บถาวร 2010-07-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
อ่านเพิ่ม
แก้- Bagge, Sverre (2005). "The Scandinavian Kingdoms". In The New Cambridge Medieval History. Eds. Rosamond McKitterick et al. Cambridge University Press, 2005. ISBN 0-521-36289-X.
- Bradley, David (1990). "Radical principles and the legal institution of marriage: domestic relations law and social democracy in Sweden—BRADLEY 4 (2): 154—International Journal of Law, Policy and the Family". International Journal of Law, Policy and the Family. 4 (2): 154–185. doi:10.1093/lawfam/4.2.154.
- Sweden. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
- "Sweden's population 2012". Statistics Sweden. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 November 2013. สืบค้นเมื่อ 24 March 2013.
- Durant, Colin (2003). Choral Conducting: philosophy and practice, Routledge, pp. 46–47. ISBN 0-415-94356-6.
- Einhorn, Eric and John Logue (1989). Modern Welfare States: Politics and Policies in Social Democratic Scandinavia. Praeger Publishers, 1989. ISBN 0-275-93188-9.
- Frost, Robert I (2000). The Northern Wars. War, State and Society in Northeastern Europe 1558–1721. Longman. ISBN 978-0-582-06429-4.
- Koblik, Steven (1975). Sweden's Development from Poverty to Affluence 1750–1970. University of Minnesota Press. ISBN 0-8166-0757-5.
- Larsson, Torbjörn; Bäck, Henry (2008). Governing and Governance in Sweden. Lund: Studentlitteratur AB. ISBN 978-91-44-03682-3.
- Magocsi, Paul Robert (1998). Encyclopedia of Canada's Peoples. University of Minnesota Press, 1998. ISBN 0-8020-2938-8.
- Ministry of Foreign Affairs, Sweden Agenda 21 – Natural Resource Aspects – Sweden. 5th Session of the United Nations Commission on Sustainable Development, April 1997.
- Nordstrom, Byron J. (2000). Scandinavia since 1500. University of Minnesota Press, 2000. ISBN 0-8166-2098-9.
- Petersson, Olof (2010). Den offentliga makten (ภาษาสวีเดน). Stockholm: SNS Förlag. ISBN 978-91-86203-66-5.
- Sawyer, Birgit; Sawyer, Peter H. (1993). Medieval Scandinavia: from Conversion to Reformation, Circa 800–1500. University of Minnesota Press. ISBN 978-0-8166-1739-5.
- Ståhl, Solveig. (1999). "English spoken – fast ibland hellre än bra". LUM, Lunds universitet meddelar, 7:1999, 3 September 1999. In Swedish.
- "2006 census". Statistics Sweden. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 July 2009.
- "Preliminary Population Statistics, by month, 2004–2006". Statistics Sweden. 1 January 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 July 2009.
- Yearbook of Housing and Building Statistics 2007 (PDF). Statistics Sweden, Energy, Rents and Real Estate Statistics Unit. 2007. ISBN 978-91-618-1361-2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 25 March 2009. สืบค้นเมื่อ 19 February 2007.
- . สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911. Vol. 26 (11 ed.). 1911. pp. 188–221.
- Sweden: Social and economic conditions (2007). In Encyclopædia Britannica. Encyclopædia Britannica Online.
- Terrill, Richard J. (2009). World Criminal Justice Systems: A Survey (7 ed.). Elsevier. ISBN 978-1-59345-612-2.
- Uddhammar, Emil (1993). Partierna och den stora staten: en analys av statsteorier och svensk politik under 1900-talet. Stockholm, City University Press.
- United States Department of State – Sweden
- Zuckerman, Phil (2007), Atheism: Contemporary Rates and Patterns PDF i Cambridge Companion to Atheism. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 0-521-60367-6
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Sweden. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
- Sweden ข้อมูลจาก Encyclopædia Britannica
- ประเทศสวีเดน จาก UCB Libraries GovPubs
- ประเทศสวีเดน ที่เว็บไซต์ Curlie
- ข้อมูลสวีเดน จาก BBC News
- Wikimedia Atlas of Sweden
- ดูข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ ประเทศสวีเดน ที่โอเพินสตรีตแมป
- Key Development Forecasts for Sweden from International Futures
- Study in Sweden – official guide to studying in Sweden
- Wayback Machine Technological Waves and Economic Growth in Sweden 1850–2005
- Sweden – Economic Growth and Structural Change, 1800–2000 — EH.Net Encyclopedia
- vifanord – a digital library that provides scientific information on the Nordic and Baltic countries as well as the Baltic region as a whole
ภาครัฐ
- Sweden.se — เว็บไซต์ทางการของประเทศสวีเดน
- รัฐสภาสวีเดน – เว็บไซต์ทางการ
- รัฐบาลสวีเดน – เว็บไซต์ทางการ
- ราชสำนัก เก็บถาวร 2016-10-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน – เว็บไซต์ทางการของพระมหากษัตริย์สวีเดน
สื่อข่าว
- วิทยุสวีเดน – บริการสาธารณะ
- Sveriges Television (ในภาษาสวีเดน) – บริการสาธารณะ
- Dagens Nyheter (ในภาษาสวีเดน)
- Svenska Dagbladet (ในภาษาสวีเดน)
- The Local – ข่าวสวีเดนในภาษาอังกฤษ – แหล่งข่าวอิสระภาษาอังกฤษ
การค้า
การเดินทาง
- VisitSweden.com – เว็บไซต์การท่องเที่ยวและการเดินทางของสวีเดน