ฝ่ายอักษะ
ฝ่ายอักษะ (อังกฤษ: Axis Powers; เยอรมัน: Achsenmächte; อิตาลี: Potenze dell'Asse; ญี่ปุ่น: 枢軸国 Sūjikukoku) เดิมมีชื่อว่า อักษะ โรม–เบอร์ลิน (Rome–Berlin Axis)[2] เป็นพันธมิตรทางทหารที่ริเริ่มสงครามโลกครั้งที่สองและสู้รบกับฝ่ายสัมพันธมิตร สมาชิกหลักคือ นาซีเยอรมนี ราชอาณาจักรอิตาลีและจักรวรรดิญี่ปุ่น ฝ่ายอักษะเป็นการร่วมมือกันเพื่อต่อต้านฝ่ายสัมพันธมิตร แต่กลับขาดการประสานงานและความสอดคล้องทางอุดมการณ์ที่พอเทียบกันได้
ฝ่ายอักษะ | |
---|---|
ค.ศ. 1936–1945 | |
![]()
ฝ่ายอักษะหลัก[a]
| |
สถานะ | พันธมิตรทางการทหาร |
ยุคประวัติศาสตร์ | สงครามโลกครั้งที่สอง |
25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1936 | |
22 พฤษภาคม ค.ศ. 1939 | |
27 กันยายน ค.ศ. 1940 | |
• พ่ายแพ้ | 2 กันยายน ค.ศ. 1945 |
|
(ซ้าย) อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งเยอรมนี
(กลาง) เบนิโต มุสโสลินี แห่งอิตาลี
(ขวา) ฮิเดกิ โทโจ แห่งญี่ปุ่น
| ||
ผู้นำรองฝ่ายอักษะ: ลาสโล บาดอสซี (ฮังการี), บ็อกดาน ฟิลอฟ (บัลแกเรีย), เอียน อันโตเนสคู (โรมาเนีย), จอมพลแปลก พิบูลสงคราม (ไทย), โยฮัน วิลเลม รังเงล (ฟินแลนด์) และราชิด อาลี อัล-เกลานี (อิรัก) |
ฝ่ายอักษะเติบโตจากความพยายามทางการทูตอย่างต่อเนื่องของเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองโดยเฉพาะในช่วงกลางปี ค.ศ. 1930 ขั้นตอนแรกคือ พิธีสารที่ลงนามโดยเยอรมนีและอิตาลีในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1936 ภายหลังจากผู้นำอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี ได้ประกาศว่า ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปทั้งหมดจะถูกหมุนเวียนกันบนอักษะ โรม-เบอร์ลิน ดังนั้นจึงสร้างคำว่า "อักษะ" ขึ้นมา[3][4] ต่อมาในเดือนพฤสจิกากยนได้แสดงให้เห็นถึงการให้สัตยาบันต่อกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น ซึ่งเป็นสนธิสัญญาต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ระหว่างเยอรมนีและญี่ปุ่น อิตาลีได้เข้าร่วมกติสัญญาใน ค.ศ. 1937 ตามมาด้วยฮังการีและสเปนใน ค.ศ. 1939 "อักษะ โรม-เบอร์ลิน" กลายเป็นพันธมิตรทางทหารใน ค.ศ. 1939 ภายใต้สิ่งที่เรียกกันว่า "กติกาสัญญาเหล็ก" พร้อมด้วยกติกาสัญญาไตรภาคี ค.ศ. 1940 ได้รวมเป้าหมายทางการทหารของเยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ ที่ตามมาในภายหลัง กติกาสัญญาทั้งสามถือเป็นรากฐานของพันธมิตรฝ่ายอักษะ[5]
ณ จุดสูงสุดใน ค.ศ. 1942 ฝ่ายอักษะมีอำนาจเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรป แอฟริกาเหนือ เอเชียตะวันออก ไม่ว่าจะด้วยการยึดครอง การผนวกรวม หรือรัฐหุ่นเชิด ในทางตรงกันข้ามกับฝ่ายสัมพันธมิตร[6] ไม่มีการจัดงานประชุมสุดยอดสามทาง และความร่วมมือและประสานงานนั้นมีน้อย ในบางโอกาส ผลประโยชน์ของฝ่ายอักษะที่สำคัญยังคงแตกต่างกันอีกด้วย[7] สงครามได้สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1945 ด้วยความปราชัยของฝ่ายอักษะและการล่มสลายของพันธมิตรของพวกเขา ในกรณีของพันธมิตร สมาชิกในฝ่ายอักษะนั้นสามารถที่จะแปรเปลี่ยนได้โดยง่าย โดยบางประเทศได้ทำการเปลี่ยนข้างฝ่ายหรือเปลี่ยนระดับของการมีส่วนร่วมทางทหารตลอดในช่วงสงคราม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป การใช้คำว่า "ฝ่ายอักษะ" จะกล่าวถึงพันธมิตรระหว่างอิตาลีและเยอรมนีเป็นหลัก แม้ว่าภายนอกยุโรปจะเข้าใจโดยทั่วไปว่าได้รวมถึงญี่ปุ่นด้วย[8]
จุดกำเนิดและการสร้างแก้ไข
คำว่า "อักษะ" ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิตาลีและเยอรมนีโดยนายกรัฐมนตรีอิตาลี เบนิโต มุสโสลินี ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1923 เมื่อเขาได้เขียนบทนำของ Germania Repubblica ของ Roberto Suster ว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในขณะนี้ แกนกลาง(อักษะ)ของยุโรปกำลังเคลื่อนผ่านทางกรุงเบอร์ลิน" (อิตาลี: non v'ha dubbio che in questo momento l'asse della storia europea passa per Berlino)[9] ในช่วงเวลานั้น เขากำลังหาพันธมิตรกับสาธารณรัฐไวมาร์เพื่อต่อต้านยูโกสลาเวียและฝรั่งเศลในข้อพิพาทเรื่องรัฐอิสระฟียูเม[10]
คำนี้ถูกใช้โดยนายกรัฐมนตรีฮังการี กยูลา เกิมเบิส เมื่อให้การสนับสนุนในการเป็นพันธมิตรระหว่างฮังการีกับเยอรมนีและอิตาลีในช่วงต้น ค.ศ. 1930 ความพยายามของเกิมเบิสส่งผลทำให้เกิดพิธีตราสารโรมระหว่างอิตาลี-ฮังการี แต่เขากลับเสียชีวิตอย่างกระทันหันใน ค.ศ. 1936 ในขณะที่กำลังเจรจากับเยอรมนีในมิวนิค และการมาถึงของ Kálmán Darányi ผู้สืบทอดตำแน่งต่อจากเขา ได้ยุติการมีส่วนร่วมของฮังการีในการติดตามไตรภาคีฝ่ายอักษะ[11] การเจราจาที่ดูขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลี กาลีซโซ ชิอาโน และเอกอัครราชทูตของเยอรมนี Ulrich von Hassell ส่งผลก่อให้เกิดพิธีตราสารสิบเก้าจุด(Nineteen-Point Protocol) ซึ่งถูกลงนามโดยชิอาโนและชาวเยอรมันผู้ที่มีความคล้ายกันกับเขา ค็อนสตันทีน ฟ็อน น็อยราท ใน ค.ศ. 1936 เมื่อมุสโสลินีได้ประกาศเปิดเผยถึงการลงนามต่อสาธารณชน เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน เขาได้ประกาศก่อตั้งอักษะ โรม-เบอร์ลิน ขึ้นมา[10]
ข้อเสนอเบื้องต้นของพันธมิตรระหว่างเยอรมนี-อิตาลีแก้ไข
อิตาลีภายใต้ดูเช่ เบนิโต มุสโสลินีได้ติดตามพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของอิตาลีกับเยอรมนีต่อต้านฝรั่งเศสนับตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1920[12] ก่อนที่จะกลายเป็นหัวหน้ารัฐบาลในอิตาลีในฐานะผู้นำขบวนการฟาสซิสต์อิตาลี มุสโสลินีเคยสนับสนุนการเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีที่เป็นผู้แพ้สงคราม ภายหลังจากการประชุมสันติภาพปารีส (ค.ศ. 1919–1920) จุดสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[12] เขาเชื่อว่าอิตาลีสามารถขยายอิทธิพลได้ในยุโรปโดยการเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีเพื่อต่อต้านฝรั่งเศส[12] ในช่วงแรกของ ค.ศ. 1923 เพื่อเป็นการแสดงออกถึงสันถวไมตรีที่ดีต่อเยอรมนี อิตาลีได้ส่งอาวุธอย่างลับ ๆ ให้แก่กองทัพบกเยอรมัน ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับการลดอาวุธครั้งใหญ่ภายใต้บทบัญญัติของสนธิสัญญาแวร์ซาย[12]
นับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1920 อิตาลีได้ระบุว่า ใน ค.ศ. 1935 เป็นวันสำคัญสำหรับการเตรียมความพร้อมสำหรับการทำสงครามฝรั่งเศส เนื่องจากปี ค.ศ. 1935 เป็นปีที่พันธกรณีของเยอรมนีภายใต้สนธิสัญญาแวร์ซายได้ถูกกำหนดให้สิ้นสุดลง[13] การประชุมเกิดขึ้นที่กรุงเบอร์ลินใน ค.ศ. 1924 ระหว่างนายพล Luigi Capello และบุคคลสำคัญในกองทัพเยอรมัน เช่น von Seeckt และเอริช ลูเดินดอร์ฟ เกี่ยวกับความร่วมมือทางทหารระหว่างเยอรมนีและอิตาลี บทสนทนาได้ข้อสรุปว่า เยอรมันยังคงต้องการทำสงครามล้างแค้นกับฝรั่งเศส แต่ยังขาดอาวุธและหวังว่าอิตาลีจะช่วยเหลือเยอรมนีได้[14]
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ มุสโสลินีได้เน้นย้ำเงื่อนไขที่สำคัญประการหนึ่งที่อิตาลีจะติดตามในการเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี: อิตาลี "จะต้อง...ลากจูงพวกเขา ไม่ใช่ถูกลากจูงโดยพวกเขา"[12] Dino Grandi รัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลีในช่วงแรกปี ค.ศ. 1930 ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "น้ำหนักชี้ขาด" ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของอิตาลีระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนี ซึ่งเขาได้รับรู้ว่าอิตาลียังไม่ได้เป็นมหาอำนาจ แต่รับรู้ว่าอิตาลีมีอิทธิพลมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทางการเมืองในยุโรปโดยวางน้ำหนักของการสนับสนุนไว้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและพยายามสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามฝ่าย[15][16]
พันธมิตรแม่น้ำดานูบ ข้อพิพาทเหนือออสเตรียแก้ไข
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจในเยอรมนี ฮิตเลอร์ได้สนับสนุนการเป็นพันธมิตรระหว่างเยอรมนีและอิตาลีนับตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1920[17] ภายหลังจากได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่นาน ฮิตเลอร์ได้ส่งข้อความส่วนตัวไปยังมุสโสลินี ประกาศถึง "ความชื่นชมยินดีและการแสดงความเคารพ" และประกาศความคาดหมายของเขาเกี่ยวกับโอกาสของมิตรภาพระหว่างเยอรมันและอิตาลีและแม้แต่กระทั่งเป็นพันธมิตร[18] ฮิตเลอร์ทราบดีว่าอิตาลีมีความกังวลเกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ในที่ดินของเยอรมนีที่อาจจะเกิดขึ้นในทีโรลทางตอนใต้ และให้การรับรองกับมุสโสลินีว่า เยอรมนีไม่สนใจเมืองทีโรลทางตอนใต้ ฮิตเลอร์ในหนังสือไมน์คัมพฟ์ได้ประกาศว่า ทีโรลทางตอนใต้ไม่ใช่ประเด็นเมื่อพิจารณาถึงข้อได้เปรียบที่จะได้รับจากพันธมิตรระหว่างเยอรมนี-อิตาลี ภายหลังจากการก้าวขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์ ข้อเสนอของคณะกรรมการมหาอำนาจทั้งสี่ที่ถูกเสนอโดยอิตาลีได้รับการพิจารณาด้วยความสนใจจากบริติช แต่ฮิตเลอร์ไม่ได้ให้คำมั่นในข้อเสนอนี้ ส่งผลทำให้มุสโสลินีกระตุ้นเร่งเร้าให้ฮิตเลอร์พิจารณาถึงข้อได้เปรียบทางการทูตที่เยอรมนีจะได้รับโดยการแยกตัวออกจากความโดดเดี่ยวโดยการเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการและหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางอาวุธทันที[19] ข้อเสนอของคณะกรรมการมหาอำนาจทั้งสี่ได้ระบุว่าเยอรมนีไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดอาวุธอีกต่อไป และจะได้รับสิทธิ์ในการฟื้นฟูแสนยานุภาพภายใต้การควบคุมดูแลของต่างชาติเป็นระยะ ๆ[20] ฮิตเลอร์ได้ปฏิเสธแนวคิดของการควบคุมแสนยานุภาพภายใต้การควบคุมดูแลของต่างชาติอย่างสิ้นเชิง[20]
มุสโสลินีไม่ไว้วางใจต่อเจตจำนงของฮิตเลอร์เกี่ยวกับอันชลุส หรือไม่ก็คำมั่นสัญญาของฮิตเลอร์ที่จะไม่อ้างสิทธิ์ในดินแดนทีโรลทางตอนใต้[21] มุสโสลินีได้แจ้งแก่ฮิตเลอร์ว่าเขาพึงพอใจต่อการมีอยู่ของรัฐบาลต่อต้านมาร์กซิสต์ของดอลล์ฟุสส์ในออสเตรีย และเตือนฮิตเลอร์ว่า เขายืนกรานที่จะต่อต้านอันชลุส[21] ฮิตเลอร์ได้ตอบโต้ด้วยการดูถูกมุสโสลินีว่า เขามีความตั้งใจ"ที่จะโยนดอลล์ฟุสส์ลงไปในทะเล"[21] ด้วยความไม่เห็นด้วยในเรื่องเกี่ยวกับออสเตรียนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างฮิตเลอร์และมุสโสลินีจึงห่างไกลออกไปมากขึ้น[21]
ฮิตเลอร์ได้พยายามที่จะทำลายหนทางตันกับอิตาลีเหนือออสเตรียโดยส่งแฮร์มัน เกอริงไปเจรจากับมุสโสลินีใน ค.ศ. 1933 เพื่อเกลี้ยกล่อมมุสโสลินีให้ทำการกดดันรัฐบาลออสเตรียให้แต่งตั้งสมาชิกพรรคนาซีในออสเตรียเข้าสู่รัฐบาล[22] เกอริงอ้างว่าการครอบงำออสเตรียของนาซีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอิตาลีควรที่จะยอมรับเรื่องนี้ เช่นเดียวกับการทบทวนมุสโสลินีต่อคำมั่นสัญญาของฮิตเลอร์ว่า "จะพิจารณาปัญหาเรื่องชายแดนทีโรลทางตอนใต้ที่จะถูกยุติลงในที่สุดโดยสนธิสัญญาสันติภาพ"[22] ในการตอบสนองต่อการเข้าพบของเกอริ่งกับมุสโสลินี ดอลล์ฟุสส์จึงเดินทางไปยังอิตาลีโดยทันทีเพื่อตอบโต้ความคืบหน้าแต่อย่างใดจากทางการทูตของเยอรมนี[22] ดอลล์ฟุสส์ได้กล่าวอ้างว่ารัฐบาลของเขากำลังถูกมาร์กซิสต์ท้าทายในออสเตรีย และอ้างว่าเมื่อมาร์กซิสต์ได้รับชัยชนะในออสเตรีย การสนับสนุนออสเตรียของนาซีจะอ่อนกำลังลง[22]
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1934 ฮิตเลอร์และมุสโสลินีได้พบกันครั้งแรกที่เวนิส การประชุมไม่เป็นไปอย่างราบรื่น ฮิตเลอร์ได้เรียกร้องให้มุสโสลินีทำการประนีประนอมกับออสเตรียโดยทำการกดดันดอลล์ฟุสส์แต่งตั้งให้สมาชิกพรรคนาซีในออสเตรียเข้าไปในคณะรัฐมนตรีของเขา ซึ่งมุสโสลินีได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องอย่างตรงไปตรงมา ในการตอบโต้ ฮิตเลอร์ได้ให้สัญญาว่าเขาจะยอมรับเอกราชของออสเตรียในขณะนี้ โดยกล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดภายในเยอรมนี (ซึ่งหมายถึงหน่วยเอ็สอาของนาซีที่ฮิตเลอร์จะทำการสังหารในไม่ช้าในคืนมีดยาว) ที่เยอรมนีไม่อาจที่จะทำการยั่วยุอิตาลีได้[23] กาลีซโซ ชิอาโนได้บอกกับสื่อมวลชนว่า ผู้นำทั้งสองได้ทำ"ข้อตกลงสุภาพบุรุษ"เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซงในออสเตรีย[24]
หลายสัปดาห์ต่อมาภายหลังการประชุมที่เวนิส เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1934 นาซีชาวออสเตรียได้ทำการลอบสังหารดอลล์ฟุสส์[23] มุสโสลิรู้สึกโกรธเคือง ในขณะที่เขาถือว่า ฮิตเลอร์มีส่วนต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อการลอบสังหารที่ได้ละเมิดคำมั่นสัญญาของฮิตเลอร์ที่ถูกทำขึ้นเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเพื่อเคารพความเป็นเอกราชของออสเตรีย[25][24] มุสโสลินีได้ส่งกองพลกองทัพบกหลายกองพลและฝูงบินไปยังช่องเขาเบรนเนอร์ และเตือนว่าการที่เยอรมนีโจมตีออสเตรียจะส่งผลทำให้เกิดสงครามระหว่างเยอรมนีและอิตาลี[26] ฮิตเลอร์ได้ตอบโต้ด้วยการปฏิเสธความรับผิดชอบของนาซีในการลอบสังหารและออกคำสั่งให้ยุบความสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างพรรคนาซีเยอรมันและพรรคนาซีสาขาออสเตรีย ซึ่งเยอรมนีได้กล่าวอ้างว่าเป็นความรับผิดชอบต่อวิกฤตการณ์ทางการเมือง[27]
อิตาลีได้ละทิ้งความสัมพันธ์ทางการทูตกับเยอรมนีอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ได้หันเข้าหาฝรั่งเศสเพื่อเป็นการท้าทายต่อการดื้อแพ่งของเยอรมนีด้วยการลงนามในข้อตกลงระหว่างฝรั่งเศส-อิตาลีเพื่อปกป้องเอกราชของออสเตรีย[28] เสนาธิการทหารจากกองทัพฝรั่งเศสและอิตาลีได้หารือถึงความร่วมมือทางทหารที่เป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกับการทำสงครามกับเยอรมนี หากฮิตเลอร์กล้าที่จะโจมตีออสเตรีย
ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและอิตาลีได้รับการฟื้นฟู เนื่องจากการสนับสนุนของฮิตเลอร์ในการรุกรานเอธิโอเปียของอิตาลีใน ค.ศ. 1935 ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ได้ประณามการรุกรานและให้การสนับสนุนการคว่ำบาตรต่ออิตาลี
การพัฒนาของพันธมิตรระหว่างเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่นแก้ไข
ความสนใจในเยอรมนีและญี่ปุ่นในการจัดตั้งพันธมิตรได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อนักการทูตชาวญี่ปุ่นนามว่า ฮิโรชิ โอชิมะ ได้เข้าพบกับโยอาคิม ฟ็อน ริบเบินทร็อพในเบอร์ลินใน ค.ศ. 1935[29] โอชิมะได้แจ้งแก่ฟ็อน ริบเบินทร็อพเกี่ยวกับความสนใจของญี่ปุ่นในการจัดตั้งพันธมิตรระหว่างเยอรมัน-ญี่ปุ่นเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต[29] ฟ็อน ริบเบินทร็อพได้ขยายข้อเสนอของโอชิมะโดยสนับสนุนให้พันธมิตรอยู่ในบริบททางการเมืองของกติกาสัญญาเพื่อต่อต้านโคมินเทิร์น[29] ข้อเสนอในกติกาสัญญาได้พบกับความคิดเห็นที่หลากหลายในญี่ปุ่น โดยมีกลุ่มผู้คลั่งชาติภายในรัฐบาลที่สนับสนุนกติกาสัญญาฉบับนี้ ในขณะที่กองทัพเรือญี่ปุ่นและกระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่นต่างไม่เห็นด้วยกับกติกาสัญญาฉบับนี้อย่างแข็งขัน[30] มีความกังวลอย่างมากในรัฐบาลญี่ปุ่นว่ากติกาสัญญาฉบับนี้กับเยอรมนีอาจจะทำลายความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับบริติช ซึ่งเป็นปีที่อันตรายของข้อตกลงระหว่างบริติช-ญี่ปุ่นเป็นประโยชน์ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นสามารถก้าวขึ้นสู่ประชาคมระหว่างประเทศได้ช่วงแรก[31] การตอบสนองต่อกติกาสัญญาได้พบกับหมวดที่คล้ายกันในเยอรมนี ในขณะที่ข้อเสนอในกติกาสัญญได้รับความนิยมในท่ามกลางผู้นำระดับสูงของพรรคนาซี ถูกต่อต้านโดยคนจำนวนมากในกระทรวงต่างประเทศ กองทัพบก และชุมชนธุรกิจที่มีผลประโยชน์ทางการเงินในจีนซึ่งญี่ปุ่นเป็นศัตรู
ในการเรียนรู้ชองการเจรจาระหว่างเยอรมัน-ญี่ปุ่น อิตาลีก็เริ่มที่จะสนใจที่จะก่อตั้งพันธมิตรกับญี่ปุ่น อิตาลีคาดหวังว่า เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในระยะยาวของญี่ปุ่นกับบริติช พันธมิตรระหว่างอิตาลีและญี่ปุ่นสามารถกดดันให้บริติชยอมรับท่าทีที่เอื้ออำนวยต่ออิตาลีในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้มากขึ้น[29] ในฤดูร้อน ค.ศ. 1936 รัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลี ชิอาโนได้แจ้งแก่ซูกิมูระ โยตาโระ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำอิตาลี "ข้าพเจ้าได้ยินมาว่าข้อตกลงญี่ปุ่น-เยอรมันเกี่ยวกับสหภาพโซเวียตได้บรรลุผลแล้ว และข้าพเจ้าคิดว่าคงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับข้อตกลงที่คล้ายคลึงกันระหว่างอิตาลีและญี่ปุ่น"[29] ทัศนคติของญี่ปุ่นในช่วงแรกต่อข้อเสนอของอิตาลีนั้นมักจะมองข้าม โดยมองว่าพันธมิตรระหว่างเยอรมันและญี่ปุ่นเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียตเป็นสิ่งจำเป็น ในขณะที่พันธมิตรระหว่างอิตาลี-ญี่ปุ่นเป็นเรืองรอง เนื่องจากญี่ปุ่นคาดการณ์ว่าพันธมิตรระหว่างอิตาลี-ญี่ปุ่นจะทำให้เป็นปรปักษ์กับบริติชที่ประณามการรุกรานเอธิโอเปียของอิตาลี[29] ทัศนคตินี้ของญี่ปุ่นที่มีต่ออิตาลีได้เปลี่ยนแปลงไปใน ค.ศ. 1937 ภายหลังสันนิบาตชาติได้กล่าวประณามญี่ปุ่น เนื่องจากได้ทำการรุกรานในจีนและเผชิญกับการแยกตัวออกจากนานาชาติ ในขณะที่อิตาลียังคงชื่นขมต่อญี่ปุ่นอยู่[29] อันเป็นผลทำให้การสนับสนุนของอิตาลีสำหรับญี่ปุ่นในการต้านทานการประณามจากนานาชาติ ญี่ปุ่นจึงทัศนคติเชิงบวกต่ออิตาลีมากขึ้นและได้ให้ข้อเสนอในการทำข้อตกลงไม่รุกรานระหว่างกันหรือกติกาสัญญาวางตัวเป็นกลางกับอิตาลี[32]
กติกาสัญญาไตรภาคีได้ถูกลงนามโดยเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1940 ในกรุงเบอร์ลิน โดยฮังการี (20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940) โรมาเนีย (23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940) สโลวาเกีย (24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940) และบัลแกเรีย (1 มีนาคม ค.ศ. 1941) ได้เข้าร่วมกติกาสัญญาดังกล่าวในภายหลัง[33]
อุดมการณ์แก้ไข
เป้าหมายหลักของฝ่ายอักษะคือการขยายอาณาเขตของตนไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง[34] ในแง่ของอุดมการณ์ ฝ่ายอักษะได้บรรยายถึงเป้าหมายของพวกเขาว่าเป็นการทำลายอำนาจครอบงำของมหาอำนาจตะวันตกที่ยึดถืออุดมการณ์ระบอบเศรษฐยาธิปไตย และปกป้องอารยธรรมจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ฝ่ายอักษะให้การสนับสนุนรูปแบบต่าง ๆ มากมายที่เกี่ยวกับลัทธิฟาสซิสต์ ลัทธิทหาร และการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ[35] การสร้างจักรวรรดิลัทธิการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจที่อยู่ติดกันในอาณาเขตเป็นเป้าหมายร่วมกันของทั้งสามประเทศของฝ่ายอักษะ[8]
ทรัพยากรทางเศรษฐกิจแก้ไข
ประชากรฝ่ายอักษะใน ค.ศ. 1938 มีจำนวน 258.9 ล้านคน ในขณะที่ประชากรฝ่ายสัมพันธมิตร (ยกเว้นสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา ซึ่งภายหลังได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร) มีจำนวน 689.7 ล้านคน[36] ดังนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรมีจำนวนมากกว่าฝ่ายอักษะ 2.7 ต่อ 1[37] รัฐฝ่ายอักษะที่เป็นผู้นำมีจำนวนประชากรในประเทศดังต่อไปนี้: เยอรมนี 75.5 ล้านคน (รวมทั้งจำนวน 6.8 ล้านคนจากการผนวกรวมออสเตรียเข้าด้วยกันได้ไม่นานมานี้) ญี่ปุ่น 71.9 ล้านคน (ยกเว้นดินแดนอาณานิคม) และอิตาลี 43.4 ล้านคน (ยกเว้นดินแดนอาณานิคม) สหราชอาณาจักร(ยกเว้นดินแดนอาณานิคม) มีจำนวนประชากร 47.5 ล้านคน และฝรั่งเศส (ยกเว้นดินแดนอาณานิคม) มีจำนวน 42 ล้านคน[36]
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในช่วงสงครามของฝ่ายอักษะ ราคาอยู่ที่ 911 พันล้านดอลลาร์ ณ จุดสูงสุดใน ค.ศ. 1941 ในราคาสกุลเงินดอลลาร์ระดับสากลใน ค.ศ. 1990[38] จีดีพีของฝ่ายสัมพันธมิตร ราคาอยู่ที่ 1,798 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐอเมริการาคาตั้งอยู่ที่ 1,094 พันล้านดอลลาร์ มากกว่าฝ่ายอักษะโดยรวม[39]
ภาระของการทำสงครามกับประเทศที่เข้าร่วมวัดจากเปอร์เซ็นของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) ที่อุทิศให้กับการใช้จ่ายทางทหาร[40] เกือบหนึ่งในสี่ของ GNP ของเยอรมนีได้ถูกนำไปใช้ในการทำสงครามใน ค.ศ. 1939 และเพิ่มขึ้นเป็นสามในสี่ของ GNP ใน ค.ศ. 1944 ก่อนช่วงการล่มสลายทางเศรษฐกิจ[40] ใน ค.ศ. 1939 ญี่ปุ่นได้ใช้ประมาณ 22 เปอร์เซ็นต์ของ GNP ในการทำสงครามในจีน ได้เพิ่มขึ้นเป็นสามในสี่ของ GNP ใน ค.ศ. 1944[40] อิตาลีไม่ได้ระดมกำลังทางเศรษฐกิจ GNP ที่ถูกนำไปใช้ในการทำสงครามยังคงอยู่ที่ระดับช่วงก่อนสงคราม[40]
อิตาลีและญี่ปุ่นขาดความสามารุถทางอุตสาหกรรม เศรษฐกิจของพวกเขามีขนาดเล็ก ขึ้นอยู่กับการค้าระหว่างประเทศ แหล่งเชื้อเพลิงจากภายนอก และทรัพยากรอุตสาหกรรมอื่น ๆ[40] เป็นผลทำให้การระดมพลกำลังของอิตาลีและญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าจะอยู่ใน ค.ศ. 1943 ก็ตาม[40]
ท่ามกลางสามประเทศหลักของฝ่ายอักษะ ญี่ปุ่นมีรายได้ต่อหัวที่ต่ำที่สุด ในขณะที่เยอรมนีและอิตาลีมีรายได้ระดับที่เทียบเท่ากับสหราชอาณาจักร[41]
ประเทศสมาชิกหลักแก้ไข
เยอรมนีแก้ไข
เหตุผลในการทำสงครามแก้ไข
ใน ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์ได้บรรยายถึงการปะทุของสงครามโลกครั้งที่สองว่าเป็นข้อผิดพลาดของการแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตกต่อเยอรมนีในช่วงที่ทำสงครามกับโปแลนด์ โดยอธิบายว่าเป็นผลของ"ชาวยุโรปและอเมริกันผู้กระหายสงคราม"[42] ฮิตเลอร์ได้ออกแบบให้เยอรมนีกลายเป็นรัฐที่มีอำนาจครอบงำและมีความสำคัญของโลก เช่น เจตจำนงของเขาที่จะทำให้กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนีกลายเป็น Welthauptstadt (เมืองหลวงโลก) เปลี่ยนชื่อเป็นเจอร์มาเนีย[43] รัฐบาลเยอรมันยังได้แสดงเหตุผลในการกระทำของตนโดยอ้างว่า เยอรมนีจำเป็นต้องขยายอาณาเขตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะกำลังเผชิญกับวิกฤตประชากรล้นเกินที่ฮิตเลอร์ได้อธิบายว่า "เรามีประชากรมากเกินไปและไม่สามารถเลี้ยงตนเองจากทรัพยากรของเราเองได้"[44] ดังนั้นการขยายตัวจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการจัดหาเลเบินส์เราม์ ("พื้นที่อยู่อาศัย") สำหรับประเทศชาติเยอรมันและยุติการมีประชากรมากเกินไปของประเทศภายในอาณาเขตจำกัดที่มีอยู่[44] และจัดหาทรัพยากรที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน ตั้งแต่ ค.ศ. 1920 พรรคนาซีได้เผยแพร่ต่อสาธารณชนในการขยายเยอรมนีไปสู่ดินแดนที่สหภาพโซเวียตถือครอง[45]
เยอรมนีได้ให้เหตุผลในการทำสงครามกับโปแลนด์ในประเด็นเรื่องของชนกลุ่มน้อยชาวเยอรมันภายในโปแลนด์ และโปแลนด์คัดค้านในการผนวกรวมเสรีนครดันท์ซิชที่มีชนกลุ่มใหญ่ชาวเยอรมันส่วนใหญ่เข้ากับเยอรมนี ในขณะที่ฮิตเลอร์และพรรคนาซีก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจได้พูดคุยกันอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับการทำลายโปแลนด์และเป็นศัตรูกับโปแลนด์ ภายหลังจากได้ขึ้นสู่อำนาจจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์ได้พยายามปกปิดเจตนาที่แท้จริงของเขาที่มีต่อโปแลนด์ และลงนามในกติกาสัญญาไม่รุกรานระหว่างกันเป็นเวลา 10 ปีใน ค.ศ. 1934 ได้เปิดเผยแผนการของเขาให้เห็นได้แค่เฉพาะเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดที่สุดเท่านั้น[46] ความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีและโปแลนด์ได้เปลี่ยนไปตั้งแต่ต้นถึงปลาย ค.ศ. 1930 ในขณะที่เยอรมนีพยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์กับโปแลนด์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่โปแลนด์จะเข้าสู่เขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต และเรียกร้องความรู้สึกต่อต้านโซเวียตในโปแลนด์[47] ในทางกลับกัน สหภาพโซเวียตกำลังแข่งขันกับเยอรมนีเพื่อแย่งชิงอำนาจอิทธิพลในโปแลนด์[47] ในเวลาเดียวกัน เยอรมนีกำลังเตรียมทำสงครามกับโปแลนด์ และกำลังเตรียมชนกลุ่มน้อยชาวเยอรมันในโปแลนด์อย่างลับ ๆ เพื่อทำสงคราม[48]
วิกฤตทางการทูตได้ปะทุขึ้นภายหลังจากฮิตเลอร์ได้เรียกร้องให้ผนวกรวมเสรีนครดันท์ซิชเข้ากับเยอรมนี ซึ่งนำโดยรัฐบาลนาซีต้องการที่จะผนวกเข้ากับเยอรมนี เยอรมนีได้ใช้แบบอย่างทางกฏหมายเพื่อแสดงเหตุผลในการแทรกแซงโปแลนด์และการผนวกรวมเสรีนครดันท์ซิช (นำโดยรัฐบาลนาซีท้องถิ่นที่พยายามรวมตัวเข้ากับเยอรมนี) ใน ค.ศ. 1939[49] โปแลนด์ได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของเยอรมนี และเยอรมนีได้เตรียมระดมพลในเช้าวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1940[50]
เยอรมนีได้ให้เหตุผลในการบุกครองกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำของเบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก และเนเธอร์แลนด์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 โดยกล่าวอ้างว่าตนเองกำลังสงสัยที่บริติชและฝรั่งเศสกำลังเตรียมที่จะใช้กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำเพื่อที่จะบุกรุกภูมิภาครัวร์ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมของเยอรมนี[51] เมื่อเกิดสงครามระหว่างเยอรมนีกับบริติชและฝรั่งเศสในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์ประกาศว่าเนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยมจะต้องถูกยึดครอง โดยกล่าวว่า "ฐานทัพอากาศยานของดัตซ์และเบลเยียมจะต้องถูกยึด....คำประกาศวางตัวเป็นกลางจะต้องถูกละเลย"[51] ในการประชุมร่วมกับผู้นำทางทหารของเยอรมนี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์ได้ประกาศกับผู้นำทหารว่า "เรามีจุดอ่อนที่รัวร์" และกล่าวว่า "หากอังกฤษและฝรั่งเศสผลักดันผ่านทางเบลเยียมและฮอลแลนด์เข้าสู่รัวร์ เราจะตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง" จึงกล่าวอ้างว่า เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ต้องถูกเยอรมนียึดครอง เพื่อปกป้องเยอรมนีจากการรุกรานของบริติชและฝรั่งเศสต่อรัวร์ โดยไม่คำนึงถึงคำกล่าวอ้างของพวกเขาว่าได้วางตัวเป็นกลาง[51]
การรุกรานสหภาพโซเวียตของเยอรมนีใน ค.ศ. 1941 เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องเลเบินส์เราม์ การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ และนโยบายต่างประเทศของสหภาพโซเวียต ภายหลังจากเยอรมนีรุกรานสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1941 ท่าทีของระบอบนาซีที่มีต่อรัสเซียที่ดินแดนกำลังลดน้อยลงและเป็นอิสระได้รับผลกระทบจากแรงกดดันที่เริ่มต้นขึ้นใน ค.ศ. 1942 จากกองทัพเยอรมันต่อฮิตเลอร์เพื่อรับรองกองทัพรัสเซียภายใต้การนำโดยอันเดรย์ วลาซอฟ[52] ในช่วงแรก ข้อเสนอเพื่อสนับสนุนกองทัพรัสเซียที่ต่อต้านพวกคอมมิวนิสต์ได้ถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงโดยฮิตเลอร์ อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1944 เมื่อเยอรมนีได้ประสบความสูญเสียที่เพิ่มมากขึ้นในแนวรบด้านตะวันออก กองกำลังของวลาซอฟได้รับการยอมรับจากเยอรมนีในฐานะพันธมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยไรชส์ฟือเรอร์-เอ็สเอ็ส ไฮน์ริช ฮิมเลอร์[53]
ภายหลังญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์และการปะทุของสงครามระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐ เยอรมนีได้สนับสนุนแก่ญี่ปุ่นโดยการประกาศสงครามกับสหรัฐในช่วงสงคราม เยอรมนีได้ประณามกฎบัตรแอตแลนติกและรัฐบัญญัติการให้ยืม-เช่าที่สหรัฐประกาศใช้เพื่อสนับสนุนมหาอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตรก่อนที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร เนื่องจากลัทธิจักรวรรดินิยมมุ่งเป้าไปที่การครอบงำและแสวงหาผลประโยชน์จากประเทศภายนอกทวีปอเมริกา[54] ฮิตเลอร์ประณามต่อประธานาธิบดีอเมริกา รูสเวสต์ ที่ใช้คำว่า "เสรีภาพ" เพื่ออธิบายถึงการกระทำของสหรัฐในสงคราม และกล่าวหาชาวอเมริกันว่า "เสรีภาพ" คือ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยในการแสวงหาผลประชน์จากโลก และเสรีภาพสำหรับผู้มั่งคั่งในระบอบประชาธิปไตยดังกล่าวเพื่อเอารัดเอาเปรียบมวลชน[54]
ประวัติศาสตร์แก้ไข
เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลง ประชาชนชาวเยอรมันรู้สึกว่าประเทศของตนได้รับความอัปยศอดสอันเป็นผลมาจากสนธิสัญญาแวร์ซาย รวมทั้งถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้ก่อสงครามขึ้นมาและบังคับให้เยอรมนีจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามอันมหาศาลและทำการริบดินแดนที่เคยถูกควบคุมโดยจักรวรรดิเยอรมันและดินแดนอาณานิคมทั้งหมด แรงกดดันของค่าปฏิกรรมต่อเศรษฐกิจของเยอรมนีทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออันรุนแรงในช่วงต้นปี ค.ศ. 1920 ใน ค.ศ. 1923 ฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองภูมิภาครูร์ เมื่อเยอรมนีได้ผิดนัดชำระจ่ายค่าปฏิกรรม แม้ว่าเยอรมนีจะเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงกลางปี ค.ศ. 1920 ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้สร้างความยากลำบากทางเศรษฐกิจมากขึ้นและการลุกฮือในกองกำลังทางการเมืองที่สนับสนุนการแก้ปัญหาที่รุนแรงต่อความทุกข์ยากของเยอรมนี นาซีภายใต้ฮิตเลอร์ได้ส่งเสริมเรื่องตำนานนักชาตินิยมถูกแทงข้างหลังโดยระบุว่าเยอรมนีถูกชาวยิวและคอมมิวนิสต์หักหลัง พรรคได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างเยอรมนีขึ้นมาใหม่กลายเป็นมหาอำนาจที่สำคัญและสร้างมหาประเทศเยอรมนี ซึ่งจะรวมทั้งอาลซัส-ลอแรน ออสเตรีย ซูเดเทินลันท์ และดินแดนอื่น ๆ ซึ่งมีชาวเยอรมันอาศัยอยู่ในทวีปยุโรป นาซียังได้ตั้งเป้าหมายที่จะครอบครองและก่อตั้งดินแดนอาณานิคมที่ไม่ใช่ของเยอรมันในโปแลนด์ รัฐบอลติก และสหภาพโซเวียต โดยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของนาซีในการแสวงหาเลเบินส์เราม์("พื้นที่อยู่อาศัย") ในยุโรปตะวันออก
เยอรมนีได้ละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายและส่งทหารกลับเข้าสู่ไรน์ลันท์ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1936 เยอรมนีได้กลับมาเกณฑ์ทหารอีกครั้งและประกาศถึงการมีอยู่ของกองทัพอากาศเยอรมันอย่างลุฟท์วัฟเฟอ และกองทัพเรือเยอรมันอย่างครีคส์มารีเนอ ใน ค.ศ. 1935 เยอรมนีได้ทำการผนวกรวมออสเตรียใน ค.ศ. 1938 ซูเดเทินลันท์จากเชโกสโลวาเกีย และดินแดนเมเมลจากลิทัวเนียใน ค.ศ. 1939 เยอรมนีได้บุกครองส่วนที่เหลือของเชโกสโลวาเกียใน ค.ศ. 1939 ก่อตั้งรัฐในอารักขาโบฮีเมียและมอเรเวียและประเทศสโลวาเกียขึ้นมา
เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1939 เยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ลงนามในกติกาสัญญาโมโลตอฟ–ริบเบินทร็อพ ซึ่งมาพร้อมด้วยตราสารลับที่จะทำการแบ่งยุโรปตะวันออกเป็นเขตอิทธิพล[55] เยอรมันได้เข้ารุกรานส่วนหนึ่งของโปแลนด์ภายใต้กติกาสัญญาแปดวันต่อมา[56] ได้จุดชนวนก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1941 เยอรมนีได้ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรป และกองกำลังทหารของเยอรมนีกำลังสู้รบกับสหภาพโซเวียต เกือบจะยึดครองกรุงมอสโกได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ในยุทธการที่สตาลินกราดและยุทธการที่คูสค์ได้ทำลายล้างกองทัพเยอรมัน เมื่อรวมกับการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกในฝรั่งเศสและอิตาลี นำไปสู่สงครามทั้งสามแนวรบที่ทำให้กองทัพเยอรมันละลายหายหมดสิ้น และส่งผลทำให้เยอรมนีพ่ายแพ้ใน ค.ศ. 1945
ดินแดนยึดครองแก้ไข
รัฐในอารักขาโบฮีเมียและมอเรเวียถูกสร้างขึ้นมาจากการแบ่งแยกเชโกสโลวาเกีย ไม่นานหลังจากที่เยอรมนีได้ผนวกภูมิภาคซูเดเทินลันท์ของเชโกสโลวาเกีย สโลวาเกียได้ประกาศอิสรภาพ รัฐสโลวีกใหม่เป็นพันธมิตรกับเยอรมนี ส่วนที่เหลือของประเทศถูกกองทัพเยอรมันเข้ายึดครองและก่อตั้งรัฐในอารักขา สถาบันพลเมืองชาวเช็กได้รับการอนุรักษ์เอาไว้ แต่รัฐในอารักขาได้ถูกพิจารณาภายในอาณาเขตอำนาจอธิปไตยของเยอรมนี
เขตปกครองสามัญ เป็นชื่อที่ถูกตั้งไว้แก่ดินแดนของโปแลนด์ที่ถูกยึดครองซึ่งไม่ได้ถูกผนวกรวมโดยตรงกับจังหวัดต่าง ๆ ของเยอรมนี แต่เป็นเช่นเดียวกับโบฮีเมียและมอเรเวียที่ได้ถูกพิจารณาให้อยู่ภายในอาณาเขตอำนาจอธิปไตยของเยอรมนีโดยทางการนาซี
ไรชส์ค็อมมิสซารีอาท ได้ก่อตั้งขึ้นในเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และนอร์เวย์ โดยกำหนดให้เป็นสถานที่ที่ประชากร"ชาวเจอร์มานิก" ซึ่งจะถูกรวมเข้าไปอยู่ในแผนการมหาประเทศเจอร์มานิกไรช์ ในทางตรงกันข้าม ไรชส์ค็อมมิสซารีอาทที่ก่อตั้งขึ้นในตะวันออก(ไรชส์ค็อมมิสซารีอาทอ็อสท์ลันท์ในทะเลบอลติก ไรชส์ค็อมมิสซารีอาทยูเครนในยูเครน) ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นอาณานิคมเพื่อการตั้งถิ่นฐานโดยชาวเยอรมัน
ในนอร์เวย์ ภายใต้ไรชส์ค็อมมิสซารีอาทในนอร์เวเกน ระบอบควิสลิงภายใต้การนำโดยวิดกึน ควิสลิง ได้รับการแต่งตั้งโดยเยอรมันในฐานะระบอบรัฐบริวารในช่วงการยึกครอง ในขณะที่สมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 และรัฐบาลโดยชอบธรรมทางกฏหมายได้ลี้ภัยออกนอกประเทศ ควิสลิงได้สนับสนุนให้ชาวนอร์เวย์เข้าไปเป็นทหารอาสาสมัครในหน่วยวัฟเฟิน-เอ็สเอ็ส ให้ความร่วมมือในการขับไล่เนรเทศชาวยิวและมีส่วนรับผิดชอบในการประหารชีวิตสมาชิกของขบวนการต่อต้านชาวนอร์เวย์ ชาวนอร์เวย์จำนวนประมาณ 45,000 คนที่เป็นผู้ให้ความร่วมมือได้เข้าร่วมกับ Nasjonal Samling(สหภาพชาติ) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่นิยมนาซี และกรมตำรวจบางหน่วยได้ช่วยเหลือในการจับกุมชาวยิวจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม นอร์เวย์เป็นหนึ่งในประเทศแรกที่ทำการต่อต้านในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างแพร่หลายก่อนถึงช่วงจุดเปลี่ยนสงครามใน ค.ศ. 1943 ภายหลังสงคราม ควิสลิงและผู้ให้ความร่วมมือคนอื่น ๆ ล้วนถูกประหารชีวิต ชื่อของควิสลิงกลายเป็นภาษิตสำหรับ "ผู้สมรู้ร่วมคิด" หรือ "คนทรยศ"
ทหารเยอรมันในช่วงยุทธการที่สตาลินกราดในการทัพแนวรบด้านตะวันออก
เรือประจัญบานบิสมาร์คของเยอรมัน
เครื่องบินขับไล่เมสเซอร์ชมิทท์ เบเอฟ 109ของเยอรมัน
เรือดำน้ำเยอรมัน อู-118 ซึ่งถูกโจมตีทางอากาศในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1943
เครื่องบินดำดิ่งทิ้งระเบิดยุงเคิร์ส ยู 87ของเยอรมัน
อิตาลีแก้ไข
เหตุผลในการทำสงครามแก้ไข
ดูเช่ เบนิโต มุสโสลินีได้บรรยายถึงการประกาศสงครามของอิตาลีกับฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกของบริติชและฝรั่งเศสในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 ดังต่อไปนี้ว่า: "พวกเรากำลังจะทำสงครามกับระบอบประชาธิปไตยของเหล่าผู้มั่งคั่งและพวกปฏิกิริยาของพวกตะวันตกที่ขัดขวางความก้าวหน้าอย่างถาวรและมักคุกคามการดำรงอยู่ของประชาชนชาวอิตาลี"[57] อิตาลีประณามมหาอำนาจตะวันตกในการออกมาตราการคว่ำบาตรอิตาลีใน ค.ศ. 1935 สำหรับการกระทำของตนในสงครามอิตาลี-เอธิโอเปียครั้งที่สอง เมื่ออิตาลีได้กล่าวอ้างว่าเป็นการตอบโต้ต่อการกระทำอันก้าวร้าวของชาวเอธิโอเปียต่อชนเผ่าในอิตาเลียนเอริเทีย ในเหตุการณ์วาลวาลใน ค.ศ. 1934[58] อิตาลีได้เหตุผลเดียวกันกับการกระทำของตนเหมือนกับเยอรมนี โดยอ้างว่า อิตาลีจำเป็นต้องขยายอาณาเขตเพื่อจัดหาสปาซิโอ วิตาเล ("พื้นที่อยู่อาศัย") ให้แก่ประเทศอิตาลี[59]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1938 ภายหลังข้อตกลงมิวนิก อิตาลีได้เรียกร้องการสัมปทานจากฝรั่งเศสเพื่อยินยอมยกให้แก่อิตาลีในแอฟริกา[60] ความสัมพันธ์ระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศสกลับแย่ลง เมื่อฝรั่งเศสปฏิเสธที่จะยอมรับข้อเรียกร้องของอิตาลี[60] ฝรั่งเศสได้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของอิตาลีด้วยการข่มขู่ว่าจะซ้อมการรบทางทะเลเพื่อเป็นการตักเตือนต่ออิตาลี[60] เมื่อความตึงเครียดระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศสเพิ่มมากขึ้น ฮิตเลอร์ได้กล่าวสุนทรพจน์ครั้งสำคัญ เมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1939 โดยเขาให้คำมั่นสัญญาว่าการสนับสนุนทางทหารของเยอรมนีในกรณีการทำสงครามกับอิตาลีโดยปราศจากการยั่วยุ[61]
อิตาลีได้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1940 อิตาลีได้ให้เหตุผลในการแทรกแซงกรีซในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940 โดยการกล่าวหาว่าบริติชกำลังใช้กรีซต่อกรกับอิตาลี มุสโสลินีได้แจ้งเรื่องนี้แก่ฮิตเลอร์ว่า "กรีซเป็นส่วนหนึ่งในประเด็นหลักของบริติช ยุทธศาสตร์ทางทะเลในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน"[62]
อิตาลีได้ให้เหตุผลในการแทรกแซงยูโกสลาเวียในเดือนเมษายน ค.ศ. 1941 โดยเรียกร้องให้ทั้งชาวอิตาลีทำการกล่าวอ้างสิทธิ์ในการเรียกร้องดินแดนกลับคืนและข้อเท็จจริงของพวกแบ่งแยกดินแดนของชาวแอลเบเนีย โครเอเชีย และมาซิโดเนียที่ไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย[63] การแบ่งแยกดินแดนในโครเอเชียเพิ่มสูงขึ้นภายหลังจากการลอบสังหารผู้นำทางการเมืองของโครเอเชียในรัฐสภายูโกสลาเวียใน ค.ศ. 1928 รวมทั้งการเสียชีวิตของ Stjepan Radić อิตาลีได้ให้การรับรองแก่ อานเต ปาเวลิช ผู้แบ่งแยกชาวโครเอเชียและขบวนการอูสตาเชที่ยึดถืออุดมการณ์ฟาสซิสต์ของเขาซึ่งมีพื้นฐานและการฝึกฝนในอิตาลีโดยได้รับการสนับสนุนจากระบอบฟาสซิสต์ก่อนที่จะมีการแทรกแซงต่อยูโกสลาเวีย[63]
ประวัติศาสตร์แก้ไข
ความตั้งใจของระบอบฟาสซิสต์คือการสร้าง"จักรวรรดิโรมันใหม่" ซึ่งอิตาลีจะครอบครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ใน ค.ศ. 1935 - 1936 อิตาลีได้เข้ารุกรานและผนวกเอธิโอเปียและรัฐบาลฟาสซิสต์ได้ประกาศก่อตั้ง "จักรวรรดิอิตาลี"[64] คำประท้วงโดยสันนิบาตชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ บริติช ซึ่งมีผลประโยชน์ในพื้นที่นั้น ทำให้ไม่มีการดำเนินจัดการอย่างจริงจัง แม้ว่าสันนิบาตชาติจะพยายามบังคับใช้มาตราการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิตาลี แต่กลับไร้ผล เหตุการณ์ดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงความอ่อนแอของฝรั่งเศสและบริติช โดยแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างจากความไม่เต็มใจของพวกเขาที่จะบาดหมางอิตาลีและสูญเสียไปในฐานะพันธมิตรของพวกเขา การกระทำที่จำกัดโดยมหาอำนาจตะวันตกได้ผลักดันอิตาลีของมุสโสลินีหันไปเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีของฮิตเลอร์อยู่ดี ใน ค.ศ. 1937 อิตาลีได้ออกจากสันนิบาตชาติและเข้าร่วมกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น ซึ่งถูกลงนามโดยเยอรมนีและญี่ปุ่นในปีที่แล้ว ในเดือนมีนาคม/เมษายน ค.ศ. 1939 กองกำลังทหารอิตาลีได้รุกรานและยึดครองแอลเบเนีย เยอรมนีและอิตาลีได้ลงนามในกติกาสัญญาเหล็ก เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม
อิตาลีไม่พร้อมที่จะทำสงคราม แม้จะมีส่วนเกี่ยวข้องในความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ ค.ศ. 1935 ครั้งแรกกับเอธิโอเปียในปี ค.ศ. 1935-1936 และต่อมาในสงครามกลางเมืองสเปนในฝ่ายชาตินิยมของฟรันซิสโก ฟรังโก[65] มุสโสลินีได้ปฏิเสธที่จะฟังคำเตือนจาก Felice Guarneri รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการแลกเปลี่ยนและเงินตรา ผู้ซึ่งกล่าวว่าการกระทำของอิตาลีในเอธิโอเปียและเสปนซึ่งหมายความอิตาลีใกล้ที่จะล้มละลายแล้ว[66] ในปี ค.ศ. 1939 ค่าใช้จ่ายทางทหารของบริติชและฝรั่งเศลพุ่งสูงขึ้นเกินกว่าที่อิตาลีพอจะจ่ายได้ อันเป็นผลมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจกิจของอิตาลี ทหารอิตาลีได้รับค่าจ้างต่ำ มักจะขาดแคลนยุทโธปกรณ์และซัพพลายที่แย่ และความเกลี่ยดชังที่เกิดขึ้นระหว่างทหารและเจ้าหน้าที่นายทหารระดับสูง สิ่งเหล่านี้มีส่วนทำให้ขวัญกำลังใจตกต่ำลงในท่ามกลางหมู่ทหารอิตาลี[67]
ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1940 อิตาลียังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้รบ และมุสโสลินีได้แจ้งกับฮิตเลอร์ว่าอิตาลีไม่พร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงในไม่ช้า ภายในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1940 มุสโสลินีได้ตัดสินใจว่าอิตาลีจะทำการเข้าแทรกแซงแล้ว แต่วันที่ยังไม่ได้เลือก ผู้นำทางทหารระดับอาวุโสได้มีมติคัดค้านอย่างเป็นเอกฉันท์ในการกระทำดังกล่าว เนื่องจากอิตาลีไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ ไม่มีแร่วัตถุดิบที่คงเหลืออยู่ในคลังพัสดุและปริมาณสำรองที่มีอยู่กำลังจะหมดลงในไม่ช้า อุตสาหกรรมของอิตาลีเป็นเพียงแค่หนึ่งในสิบของเยอรมนี และแม้แต่กระทั่งซับพลายที่กองทัพอิตาลีไม่ได้จัดเตรียมไว้เพื่อจัดหายุทโธปกรณ์ที่จำเป็นในการสู้รบกับสงครามสมัยในระยะยาว โครงการการฟื้นแสนยานุภาพที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานแทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากการสำรองทองคำและสกุลเงินต่างประเทศที่จำกัดของอิตาลี และการขาดแคลนแร่วัตถุดิบ มุสโสลินีได้เมินเฉยต่อข้อคิดเห็นเชิงลบ[68]
ในปี ค.ศ. 1941 ความพยายามของอิตาลีในการดำเนินการทัพอย่างมีอิสระจากเยอรมนี ก็ต้องพังทลายลงอันเป็นผลมาจากความพ่ายแพ้ทางการทหารในกรีซ แอฟริกาเหนือ และแอฟริกาตะวันออก และประเทศก็ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเยอรมนีอย่างมีประสิทธิภาพ ภายหลังจากการรุกรานและเข้ายึดครองยูโกสลาเวียและกรีซซึ่งนำโดยเยอรมัน ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นเป้าหมายของมุ่งหมายในการทำสงครามของอิตาลี อิตาลีถูกบังคับให้ยอมรับการครอบงำของเยอรมันในทั้งสองประเทศที่ถูกยึดครอง[69] นอกจากนี้ ในปี ค.ศ.1941 กองกำลังเยอรมันในแอฟริกาเหนือภายใต้การนำโดยแอร์วีน ร็อมเมิล ได้เข้าควบคุมความพยายามทางทหารอย่างมีประสิทธิภาพในการขับไล่กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรออกไปจากลิเบีย ดินแดนอาณานิคมของอิตาลี และกองทัพเยอรมันได้เข้าประจำการอยู่ที่เกาะซิซิลีในช่วงปีนั้น ความอวดดีของเยอรมนีที่มีต่ออิตาลีในฐานะพันธมิตรได้แสดงให้เห็นในปีนั้น[70] เมื่ออิตาลีถูกกดดันให้ส่ง "แรงงานผู้รับเชิญ" จำนวน 350,000 คน ไปยังเยอรมนีซึ่งถูกใช้เป็นแรงงานเกณฑ์บังคับ[71] ในขณะที่ฮิตเลอร์รู้สึกผิดหวังกับสมรรถภาพทางทหารของอิตาลี เขายังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับอิตาลีโดยรวม เนื่องจากมิตรภาพอันส่วนตัวของเขากับมุสโสลนี[72][73]
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1943 ภายหลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรบุกครองเกาะซิซิลี พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 ทรงรับสั่งปลดมุสโสลินีออกจากตำแหน่ง พร้อมกับจับกุมและคุมขังเขาเอาไว้ และเริ่มทำการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก การสงบศึกได้ถูกลงนาม เมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1943 และสี่วันต่อมา มุสโสลินีได้รับการช่วยเหลือจากเยอรมันในปฏิบัติการโอ้กและได้รับมอบหมายในการดูแลรัฐหุ่นเชิดที่ถูกเรียกว่า สาธารณรัฐสังคมอิตาลี(Repubblica Sociale Italiana/RSI, หรือ สาธารณรัฐซาโล) ทางตอนเหนือของอิตาลี เพื่อเป็นการปลดปล่อยประเทศจากเยอรมันและฟาสซิสต์ อิตาลีได้กลายเป็นคู่ต่อสู้ร่วมของฝ่ายสัมพันธมิตร เป็นผลทำให้ประเทศได้รับการสืบทอดในสงครามกลางเมือง โดยมีกองทัพคู่ต่อสู้ร่วมและพลพรรคของอิตาลีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายสัมพันธมิตรเข้าต่อสู้รบกับกองทัพของสาธารณรัฐสังคมอิตาลีและเยอรมันที่เป็นพันธมิตร บางพื้นที่ในภาคเหนือของอิตาลีได้รับการปลดปล่อยจากเยอรมันในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945 มุสโสลินีถูกสังหารโดยพลพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี เมื่อวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1945 ในขณะที่พยายามจะหลบหนีไปยังสวิตเซอร์แลนด์[74]
อาณานิคมและเมืองขึ้นแก้ไข
ในทวีปยุโรปแก้ไข
หมู่เกาะโดเดคานีส เป็นเมืองขึ้นของอิตาลี ตั้งแต่ ค.ศ. 1912 ถึง ค.ศ. 1943
มอนเตเนโกรเป็นเมืองขึ้นของอิตาลี ตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ถึง ค.ศ. 1943 เป็นที่รู้จักกันคือ เขตผู้ว่าการแห่งมอนเตรเนโกร ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ว่าการทหารของอิตาลี ในช่วงแรก อิตาลีตั้งใจที่จะทำให้มอนเตรเนโกรกลายเป็นรัฐอิสระซึ่งเป็นพันธมิตรอย่างใกล้ชิดกับอิตาลี โดยได้รับการสนับสนุนผ่านการเชื่อมโยงทางราชวงศ์ที่เข้มแข็งระหว่างอิตาลีและมอนเตเนโกร เนื่องจากสมเด็จพระราชินีเอเลนาแห่งอิตาลีทรงเป็นพระธิดาของพระเจ้านิกอลาที่ 1 กษัตริย์องค์สุดท้ายของมอนเตเนโกร เซคูล่า เดอร์เยวิช นักชาตินิยมชาวมอนเตเนโกรที่ได้รับการสนับสนุนจากอิตาลีและผู้ติดตามของเขาได้พยายามที่จะสร้างรัฐมอนเตเนโกรขึ้นมา เมื่อวันที่ 12 กรกฏาคม ค.ศ. 1941 พวกเขาได้ประกาศสถาปนา "ราชอาณาจักรมอนเตเนโกร" ภายใต้การอารักขาของอิตาลี ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ได้ก่อให้เกิดการจลาจลไปทั่วเพื่อต่อต้านชาวอิตาลี ภายในสามสัปดาห์ ผู้ก่อการกำเริบสามารถยึดดินแดนเกือบทั้งหมดของมอนเตเนโกรไว้ได้ กองกำลังทหารอิตาลีจำนวนกว่า 70,000 นาย และทหารที่ไม่ได้เข้าประจำการซึ่งมาจากชาวอัลเบเนียและชาวมุสลิมจำนวน 20,000 คน ได้ถูกส่งเพื่อเข้าปราบปรามกลุ่มกบฏ เดอร์เยวิชถูกขับไล่ออกจากมอนเตเนโกรในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1941 จากนั้นมอนเตเนโกรก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอิตาลีโดยตรง ด้วยการยอมจำนนของอิตาลีใน ค.ศ. 1943 มอนเตเนโกรได้เข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของเยอรมนีโดยตรงแทน
อิตาลีได้เข้าครอบงำทางการเมืองและเศรษฐกิจตั้งแต่การก่อตั้งใน ค.ศ. 1913 อัลแบเนียถูกกองกำลังทหารอิตาลีเข้ายึดครองใน ค.ศ. 1939 ในขณะที่พระเจ้าซ็อกที่ 1 แห่งแอลเบเนียทรงลี้ภัยออกนอกประเทศพร้อมราชวงศ์ของพระองค์ รัฐสภาแอลเบเนียได้ลงมติถวายบัลลังก์แอลเบเนียแด่กษัตริย์แห่งอิตาลี ส่งผลทำให้เกิดสหภาพส่วนบุคคลระหว่างสองประเทศ[75][76]
ในแอฟริกาแก้ไข
อิตาเลียน แอฟริกาตะวันออก เป็นอาณานิคมของอิตาลีที่ดำรงอยู่ ตั้งแต่ ค.ศ. 1936 ถึง ค.ศ. 1943 ช่วงก่อนการบุกครองและผนวกรวมเอธิโอเปียเข้าสู่อาณานิคมที่เป็นเอกภาพใน ค.ศ. 1936 อิตาลีมีอาณานิคมสองแห่ง ได้แก่ เอริเทรียและโซมาเลีย นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1880
ลิเบีย เป็นอาณานิคมของอิตาลีที่ดำรงอยู่ ตั้งแต่ ค.ศ. 1912 ถึง ค.ศ. 1943 ส่วนทางตอนเหนือของลิเบียถูกรวมเข้ากับอิตาลีโดยตรงใน ค.ศ. 1939 อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคนี้ยังคงถูกรวมกันเป็นอาณานิคมภายใต้ข้าหลวงอาณานิคม
เรือรบวิตตอริโอ เวเนโตของอิตาลีปะทะกับเรือรบฝ่ายอังกฤษที่แหลมมะตะปัน
Italian submarine Scirè used in the Raid on Alexandria (1941).
ญี่ปุ่นแก้ไข
เหตุผลในการทำสงครามแก้ไข
รัฐบาลญี่ปุนได้ให้เหตุผลในการกระทำของตนโดยอ้างว่ากำลังพยายามที่จะรวบรวมเอเชียตะวันออกภายใต้การนำของญี่ปุ่นในวงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา เพื่อที่จะปลดปล่อยชาวเอเชียตะวนออกจากการครอบงำและถูกปกครองในฐานะรัฐบริวารของมหาอำนาจตะวันตก ญี่ปุ่นได้ปลุกระดมแนวคิดอุดมการณ์รวมกลุ่มชาวเอเชียและกล่าวว่าประชาชาวเอเชียมีความจำเป็นที่จะเป็นอิสระจากอิทธิพลตะวันตก
สหรัฐได้ต่อต้านสงครามญี่ปุ่นในจีน และให้การยอมรับรัฐบาลชาตินิยมของเจียงไคเชกว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกตัองตามกฏหมายของจีน ด้วยเหตุนี้ สหรัฐจีงพยายามยุติความพยายามในการทำสงครามของญี่ปุ่นโดยกำหนดมาตราการคว่ำบาตรการค้าทั้งหมดระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่น ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาสหรัฐคิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของเชื้อเพลิงปิโตรเลียม และผลที่ตามมาก็คือ การคว่ำบาตรดังกล่าวส่งผลก่อให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจและการทหารของญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นไม่สามารถทำสงครามกับจีนได้อีกต่อไป ถ้าหากไม่สามารถเข้าถึงเชื้อเพลิงปิโตรเลียม
เพื่อที่จะยืนยันในการทัพทางทหารในจีนโดยสูญเสียการค้าเชื้อเพลิงปิโตรเลียมกับสหรัฐครั้งใหญ่ ญี่ปุ่นเล็งเห็นถึงวิธีที่ดีที่สุดในการหาแหล่งทางเลือกของเชื้อเพลิงปิโตรเลียมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อุดมไปด้วยเชื้อเพลิงปิโตรเลียมและทรัพยากรทางธรรมชาติมากมาย การข่มขู่ว่าจะตอบโต้โดยญี่ปุ่นต่อการคว่ำบาตรการค้าทั้งหมดโดยสหรัฐ เป็นที่รับรู้โดยรัฐบาลอเมริกัน รวมทั้งรัฐมนตรีแห่งรัฐของอเมริกานามว่า Cordell Hull ซึ่งกำลังเจรจากับญี่ปุ่นเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม โดยเกรงว่าการคว่ำบาตรทั้งหมด จะทำให้ญี่ปุ่นชิงลงมือในเข้าโจมตีหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตซ์
ญี่ปุ่นระบุว่ากองเรือแปซิฟิกของอเมริกันซึ่งตั้งฐานทัพเรืออยู่ในเพิร์ลฮาร์เบอร์เป็นภัยคุกคามหลักต่อการออกแบบในการรุกรานและเข้ายึดครองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นญี่ปุ่นจึงริเริ่มโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เพื่อยับยั้งการตอบสนองต่อการรุกรานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และซื้อเวลาเพื่อให้ญี่ปุ่นทำการรวบรวมทรัพยากรเหล่านี้ด้วยตัวเองเพื่อทำสงครามทั้งหมดกับสหรัฐ และบังคับให้สหรัฐยอมรับการครอบครองของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและจักรวรรดิบริติช
ประวัติศาสตร์แก้ไข
จักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกปกครองโดยระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญโดยมีสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะทรงเป็นประมุข เป็นประเทศมหาอำนาจฝ่ายอักษะหลักในทวีปเอเชียและทะเลแปซิฟิก ภายใต้จักรพรรดิ มีคณะรัฐมนตรีทางการเมืองและกองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งจักรวรรดิซึ่งมีหัวหน้าเสนาธิการทหารอยู่สองคน ใน ค.ศ. 1945 จักรพรรดิญี่ปุ่นทรงเป็นมากกว่าผู้นำเชิงสัญลักษณ์ พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์เพื่อรักษาราชบังลังก์ของพระองค์เอาไว้
ณ จุดสูงสุด วงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพาของญี่ปุ่น รวมทั้งแมนจูเรีย มองโกเลียใน ส่วนใหญ่ของแผ่นดินจีน มาเลเซีย อินโดจีนฝรั่งเศส หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตซ์ ฟิลิปปินส์ พม่า ส่วนขนาดเล็กของอินเดีย และหมู่เกาะต่าง ๆ ในภาคกลางของมหาสมุทรแปซิฟิก
อันเป็นผลมาจากความไม่ลงรอยกันภายในและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำใน ค.ศ. 1920 องค์ประกอบทางทหารทำให้ญี่ปุ่นอยู่ในเส้นทางของลัทธิการขยายอาณาเขต เนื่องจากหมู่เกาะอันเป็นบ้านเกิดของญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากรทางธรรมชาติที่จำเป็นสำหรับการเติบโต ญี่ปุ่นจึงวางแผนที่จะก่อตั้งสถาปนาอำนาจในทวีปเอเชียและพึ่งพาตนเองได้โดยการเข้ายึดดินแดนที่มีทรัพยากรทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ นโยบายการขยายอาณาเขตของญี่ปุ่นทำให้ตนเองดูแปลกแยกจากประเทศอื่น ๆ ในสันนิบาตชาติ และในช่วงกลางปี ค.ศ. 1930 ได้ทำให้ญี่ปุ่นใกล้ชิดกับเยอรมนีและอิตาลีมากขึ้น ซึ่งทั้งสองประเทศก็ดำเนินนโยบายการขยายอาณาเขตที่คล้ายคลึงกัน ความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและเยอรมนีได้เริ่มต้นด้วยกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น ซึ่งทั้งสองประเทศตกลงที่จะเป็นพันธมิตรเพื่อท้าทายต่อการโจมตีใด ๆ จากสหภาพโซเวียต
ญี่ปุ่นได้เข้าสู่ความขัดแย้งกับจีนใน ค.ศ. 1937 ญี่ปุ่นเข้ารุกรานและยึดครองพื้นที่บางส่วนของจีนทำให้เกิดการกระทำความโหดร้ายทารุณต่อพลเรือนจำนวนมากมาย เช่น การสังหารหมู่ที่นานกิง และนโยบายทั้งสามประการ ญี่ปุ่นได้ต่อสู้รบอย่างประปรายกับกองทัพโซเวียต-มองโกเลียในแมนจูกัวใน ค.ศ. 1938 และ ค.ศ. 1939 ญี่ปุ่นต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการทำสงครามกับสหภาพโซเวียตโดยการลงนามในกติกาสัญญาไม่รุกรานระหว่างกันใน ค.ศ. 1941
ผู้นำทางทหารของญี่ปุ่นได้แตกแยกจากความสัมพันธ์ทางการทูตกับเยอรมนีและอิตาลี และทัศนคติต่อสหรัฐ กองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นสนับสนุนการทำสงครามกับสหรัฐแต่กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะคัดค้านอย่างรุนแรง เมื่อนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น พลเอก ฮิเดกิ โทโจ ได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องของสหรัฐให้ญี่ปุ่นถอนกำลังทหารออกจากจีน การเผชิญหน้ามีแนวโน้มมากขึ้น การทำสงครามกับสหรัฐกำลังถูกปรึกษาหารือภายในรัฐบาลญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1940 ผู้บัญชาการกองเรือผสม พลเรือเอก อิโซโรกุ ยามาโมโตะ ได้เปิดเผยในการแสดงคัดค้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากการลงนามในสนธิสัญญาไตรภาคี โดยบอกกล่าวไว้ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1940 "การสู้รบกับสหรัฐก็เหมือนกับการสู้รบกับคนทั้งโลก แต่ก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าจะสู้อย่างสุดความสามารถ แน่นอนว่าข้าพเจ้าจะต้องตายบนเรือนางาโตะ[เรือธงของเขา] ในขณะเดียวกัน โตเกียวจะถูกแผดเผาพื้นถึงสามครั้ง โคโนเอะและคนอื่น ๆ จะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ โดยประชาชนผู้เคียดแค้น ข้าพเจ้า[ไม่ควร] ที่จะประหลาดใจ" ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ค.ศ. 1940 ยามาโมโตะได้ติดต่อสื่อสารกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกองทัพเรือ โออิคาวะ และกล่าวว่า "มันไม่เหมือนในช่วงก่อนไตรภาคี ต้องมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งเพื่อทำให้แน่ใจว่าเราหลีกเลี่ยงอันตรายจากการไปทำสงคราม"
ด้วยมหาอำนาจยุโรปที่มุ่งแต่ทำสงครามในยุโรป ญี่ปุ่นจึงต้องการที่จะเข้ายึดครองอาณานิคมของพวกเขา ใน ค.ศ. 1940 ญี่ปุ่นได้ตอบสนองต่อการรุกรานฝรั่งเศสของเยอรมันโดยการเข้ายึดครองทางตอนเหนือของอินโดจีนฝรั่งเศส ระบอบวิชีฝรั่งเศสซึ่งเป็นพันธมิตรโดยพฤตินัยของเยอรมนี ได้ให้การยอมรับในการครอบครอง กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ตอบโต้ด้วยการทำสงคราม อย่างไรก็ตาม สหรัฐได้เริ่มต้นการคว่ำบาตรต่อญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1941 เนื่องจากการทำสงครามอย่างต่อเนื่องในจีน สิ่งนี้จะเป็นการตัดซัพพลายอย่างเศษเหล็กและน้ำมันของญี่ปุ่นที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรม การค้า และความพยายามการทำสงคราม
เพื่อทำการแบ่งแยกกองกำลังสหรัฐที่ประจำการอยู่ในฟิลิปปินส์แะเพื่อลดอำนาจของกองทัพเรือสหรัฐ กองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งจักรวรรดิได้สั่งให้โจมตีฐานทัพเรือสหรัฐที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ เกาะฮาวาย เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 พวกเขายังได้เข้ารุกรานหมู่เกาะมลายูและฮ่องกง ในช่วงแรกได้รับชัยชนะมาหลายครั้ง ใน ค.ศ. 1943 กองทัพญี่ปุ่นได้ผลักดันล่าถอยกลับไปยังหมู่เกาะบ้านเกิด สงครามแปซิฟิกได้กินเวลาจนกระทั่งการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะและนางาซากิใน ค.ศ. 1945 โซเวียตประกาศสงครามอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 และเข้าปะทะกองทัพญี่ปุ่นในแมนจูเรียและจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ดินแดนอาณานิคมและเมืองขึ้นแก้ไข
เกาะไต้หวัน เป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1895 เกาหลีเป็นรัฐในอารักขาและเมืองขึ้นของญี่ปุ่นซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการโดยสนธิสัญญาญี่ปุ่น-เกาหลี ค.ศ. 1910
แปซิฟิกใต้ในอาณัติ เป็นดินแดนที่ถูกมอบให้แก่ญี่ปุ่น ในข้อตกลงสันติภาพของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งได้กำหนดให้หมู่เกาะแปซิฟิกใต้ของเยอรมันตกเป็นของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นได้รับดินแดนเหล่านี้เป็นรางวัลจากฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อญี่ปุ่นเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในการต่อต้านเยอรมัน
ญี่ปุ่นเข้ายึดครองหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตซ์ในช่วงสงคราม ญี่ปุ่นวางแผนที่จะเปลี่ยนดินแดนเหล่านี้เป็นรัฐบริวารของอินโดนีเซียและเสาะหาพันธมิตรกับนักชาตินิยมชาวอินโดนีเซียรวมถึงซูการ์โน ประธานาธิบดีอินโดนีเซียในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดรัฐอินโดนีเซียขึ้นมาจนกระทั่งญี่ปุ่นยอมจำนน[77]
Japanese soldiers crossing the border from China into the British colony of Hong Kong during the Battle of Hong Kong in 1941
ประเทศอื่น ๆ ที่ลงนามในกติกาสัญญาไตรภาคีแก้ไข
นอกจากประเทศทั้งสามหลักของฝ่ายอักษะ ยังมีอีกหกประเทศที่ลงนามในกติกาสัญญาไตรภาคีในฐานะประเทศสมาชิก ในบรรดาประเทศอื่น ๆ เช่น โรมาเนีย ฮังการี บัลแกเรีย รัฐเอกราชโครเอเชีย และสโลวาเกีย ต่างได้เข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารต่าง ๆ ของฝ่ายอักษะด้วยกองกำลังติดอาวุธประจำชาติ ในขณะที่ประเทศที่หก ยูโกสลาเวีย ได้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลที่ให้การสนับสนุนนาซีได้ถูกโค่นล้มก่อนหน้านี้ในการก่อรัฐประหารเพียงไม่กี่วัน ภายหลังจากที่ได้ลงนามในกติกาสัญญาและสมาชิกก็ถูกถอดถอน
บัลแกเรียแก้ไข
ประเทศบัลแกเรีย ได้ลงนามในสนธิสัญญาไตรภาคี และได้กลายเป็นประเทศฝ่ายอักษะที่ส่งกองกำลังเข้าร่วมกองทัพพันธมิตรอักษะในการบุกสหภาพโซเวียต
ฮังการีแก้ไข
ประเทศฮังการี ได้ลงนามในสนธิสัญญาไตรภาคี และได้กลายเป็นประเทศฝ่ายอักษะที่ส่งกองกำลังเข้าร่วมกองทัพพันธมิตรอักษะในการบุกสหภาพโซเวียต
Hungarian Toldi I tank as used during the 1941 Axis invasion of the Soviet Union.
Hungarian soldiers in the Carpathian mountains in 1944.
รัฐเอกราชโครเอเชียแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
โรมาเนียแก้ไข
ประเทศโรมาเนีย ได้ลงนามในสนธิสัญญาไตรภาคี และได้กลายเป็นประเทศฝ่ายอักษะที่ส่งกองกำลังเข้าร่วมกองทัพพันธมิตรอักษะในการบุกสหภาพโซเวียต
A formation of Romanian IAR80 fighter aircraft.
สโลวาเกียแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ยูโกสลาเวีย(เพียงแค่สองวันของการเป็นประเทศสมาชิก)แก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประเทศอื่น ๆ ที่ลงนามในกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นแก้ไข
บางประเทศได้ลงนามในกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นแต่ไม่ได้ลงนามในกติกาสัญญาไตรภาคี ดังนั้นการยึดมั่นต่อฝ่ายอักษะจึงอาจดูน้อยกว่าผู้ลงนามในกติกาสัญญาไตรภาคี บางส่วนของรัฐเหล่านี้ได้ทำสงครามอย่างเป็นทางการกับสมาชิกของฝ่ายสัมพันธมิตร ประเทศอื่น ๆ ยังคงวางตัวเป็นกลางในสงคราม และทำการส่งทหารอาสาสมัครไปเข้าร่วมรบเท่านั้น การลงนามในกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นถูกมองว่า "เป็นบททดสอบความจงรักภักดี" โดยผู้นำนาซี
จีน(รัฐบาลแห่งชาติจีนที่ได้รับการปฏิรูป)แก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เดนมาร์กแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ฟินแลนด์แก้ไข
ประเทศฟินแลนด์ ได้ลงนามในสนธิสัญญาไตรภาคี และได้กลายเป็นประเทศฝ่ายอักษะที่ส่งกองกำลังเข้าร่วมกองทัพพันธมิตรอักษะในการบุกสหภาพโซเวียต ต่อมาได้เปลี่ยนฝ่ายมาเป็นสัมพันธมิตร เมื่อในปี พ.ศ. 2487 เมื่อต่อสู้ขับไล่นาซีเยอรมนีออกจากตอนเหนือของฟินแลนด์ในสงครามแลปแลนด์
Finnish troops passing by the remains of a destroyed Soviet T-34 at the battle of Tali-Ihantala
แมนจูเรีย(แมนจูกัว)แก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สเปนแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
กติกาสัญญาทวิภาคีกับฝ่ายอักษะแก้ไข
บางประเทศได้สมรู้ร่วมคิดกับเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น โดยไม่ได้ลงนามในกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นและกติกาสัญญาไตรภาคี ในบางกรณีข้อตกลงทวิภาคีเหล่านี้ได้ถูกทำขึ้นอย่างเป็นทางการ ในบางกรณีก็เป็นทางการที่น้อยกว่า บางประเทศเหล่านี้ก็เป็นรัฐหุ่นเชิดที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยฝ่ายอักษะเอง
พม่า(รัฐบาลบะม่อ)แก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ไทยแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สหภาพโซเวียตแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วิชีฝรั่งเศสแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อิรักแก้ไข
ประเทศอิรัก ได้เป็นประเทศพันธมิตรอักษะในช่วงสั้น ๆ โดยได้ต่อสู้กับสหราชอาณาจักรในช่วงสงครามอังกฤษ-อิรักในเดือน พ.ค. 1941
รัฐหุ่นเชิดแก้ไข
รัฐบาลที่เป็นอิสระเพียงในนามต่าง ๆ ได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาจากกลุ่มผู้ฝักใฝ่ท้องถิ่นภายใต้ระดับต่าง ๆ ของการควบคุมของเยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นภายในอาณาเขตที่พวกเขายึดครองในช่วงสงคราม บางส่วนของรัฐบาลเหล่านั้นได้ประกาศตนว่าเป็นกลางในความขัดแย้งกับฝ่ายสัมพันธมิตร หรือไม่เคยสรุปเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับฝ่ายอักษะ แต่พวกเขาถูกควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพโดยฝ่ายอักษะทำให้พวกเขาในความเป็นจริงที่เป็นการแผ่ขยายอาณาเขตของมันและด้วยเหตุนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของมัน สิ่งเหล่านี้แตกต่างจากเจ้าหน้าที่อำนาจทางทหารและคอมมิสซิเนอร์ที่มีอำนาจทางฝ่ายพลเรือนที่ได้รับมอบหมายแต่งตั้งโดยอำนาจที่เป็นผู้ยึดครอง พวกเขาได้ก่อตั้งขึ้นมาจากประชาชนของประเทศที่ถูกยึดครองและความชอบธรรมที่ถูกอนุมานว่าเป็นรัฐหุ่นเชิดนั้นได้รับการยอมรับโดยผู้ยึดครองโดยนิตินัย หากไม่ใช่โดยพฤตินัย[78]
เยอรมันแก้ไข
ฝ่ายบริหารปกครองที่ให้ความร่วมมือของประเทศที่ถูกเยอรมันยึดครองในยุโรปนั้นมีการปกครองตนเองที่มีระดับที่แตกต่างกันไป และไม่ใช่ทุกประเทศที่มีคุณสมบัติที่เป็นรัฐอธิปไตยที่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่ เขตปกครองสามัญในโปแลนด์ที่ถูกยึดครองเป็นเขตการบริหารปกครองของเยอรมันโดยสมบูรณ์ ในประเทศนอร์เวย์ที่ถูกยึดครอง รัฐบาลแห่งชาติภายใต้การนำโดยวิดกึน ควิสลิง - ซึ่งเป็นชื่อของบุคคลที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความร่วมมือของเหล่าผู้นิยมฝ่ายอักษะในหลายภาษา - ภายใต้การปกครองของไรชส์ค็อมมิสซารีอาท นอร์เวย์ ไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีกองกำลังติดอาวุธใด ๆ ในฐานะพันธมิตรทางทหารที่เป็นที่ยอมรับหรือมีอำนาจปกครองตนเองแต่อย่างใด ในเนเธอร์แลนด์ที่ถูกยึดครอง อันตอน มุสเซิร์ตได้รับตำแหน่งเชิงสัญลักษณ์ว่า 'ฟือเรอร์แห่งประชาชนเนเธอร์แลนด์' - ขบวนการชาติสังคมนิยมของเขาได้จัดตั้งรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือแก่ฝ่ายบริหารปกครองของเยอรมัน แต่ไม่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐบาลดัตซ์ที่แท้จริง
แอลแบเนีย (ราชอาณาจักรแอลเบเนีย)แก้ไข
ภายหลังการสงบศึกของอิตาลี สูญญากาศแห่งอำนาจได้เปิดฉากขึ้นในแอลเบเนีย กองทัพอิตาลีที่ยึดครองนั้นกลับดูไร้อำนาจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติได้เข้าควบคุมทางใต้และแนวร่วมแห่งชาติ (Balli Kombëtar) ได้เข้าควบคุมทางเหนือ ชาวอัลแบเนียในกองทัพอิตาลีได้เข้าร่วมกองกำลังกองโจร ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 กองกำลังกองโจรได้เข้ายึดกรุงติรานาที่เป็นเมืองหลวง แต่พลทหารโดดร่มเยอรมันได้โดดร่มเข้าสู่เมือง ไม่นานภายหลังจากการสู้รบ กองบัญชาการทหารสูงสุงได้ประกาศว่าพวกเขาจะยอมรับความเป็นเอกราชของมหาประเทศแอลเบนีย พวกเขาได้จัดตั้งรัฐบาล ตำรวจ และทหารของแอลเบเนียในความร่วมมือกับ Balli Kombëtar เยอรมันไม่ได้ออกแรงการควบคุมอย่างหนักในการปกครองแอลเบเนีย แต่กลับพยายามที่จะได้รับความนิยมโดยการให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการแก่พันธมิตรทางการเมือง เหล่าผู้นำหลายคนของ Balli Kombëtar ได้รับตำแหน่งในระบอบการปกครอง กองทัพร่วมซึ่งเป็นการรวมตัวเข้าด้วยกันโดยโคโซโว มาซิโดเนียตะวันตก มอนเตเนโกรทางตอนใต้ และเปรเซโวจนกลายเป็นรัฐแอลเบเนีย สภาผู้สำเร็จราชการระดับสูงได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นประมุขแห่งรัฐ ในขณะที่รัฐบาลส่วนใหญ่เป็นผู้นำโดยนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมชาวแอลเบเนีย แอลเบเนียเป็นประเทศเดียวในยุโรปที่ถูกยึดครองโดยฝ่ายอักษะ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติลงด้วยจำนวนประชากรชาวยิวที่มีมากมายก่อนช่วงสงคราม[79] รัฐบาลแอลเบเนียได้ปฏิเสธที่จะส่งมอบประชากรชาวยิว พวกเขาได้จัดทำเอกสารปลอมแปลงให้กับครอบครัวชาวยิวและช่วยเหลือให้พวกเขาได้กระจัดกระจายออกไปในประชากรชาวแอลเบเนีย[80] แอลเบเนียได้รับการปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1944
ดินแดนของผู้บัญชาการทหารในเซอร์เบียแก้ไข
รัฐบาลผู้พิทักษ์ชาติ(Government of National Salvation) หรือเรียกว่า ระบอบเนดิก เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของเซอร์เบียที่สอง ภายหลังจากรัฐบาลผู้ตรวจการณ์(Commissioner Government) ซึ่งถูกก่อตั้งในเขตปกครอง(เยอรมนี)ผู้บัญชาการทหารในเซอร์เบีย[81]|group=nb}} ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รับการแต่งตั้งโดยผู้บัญชาการทหารเยอรมันในเซอร์เบียและดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1941 ถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 แม้ว่าระบอบหุ่นเชิดเซอร์จะได้รับการสนับสนุนบางส่วน[82] ซึ่งไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวเซิร์บส่วนใหญ่ที่ต่างได้เข้าร่วมกับพลพรรคยูโกสลาเวียหรือกลุ่มเชทนิกส์ของดราฌา มิฮาอิลอวิช[83] นายกรัฐมนตรีตลอดกาลคือ นายพล มิลาน เนดิก รัฐบาลผู้พิทักษ์ชาติได้อพยพออกจากกรุงเบลเกรดไปยังเมือง Kitzbühel ณ เยอรมนี ในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 ก่อนที่เยอรมันถอนกำลังออกจากเซอร์เบียอย่างสมบูรณ์
กฏหมายทางเชื้อชาติได้ถูกนำมาใช้ในทุกพื้นที่ดินแดนยึดครองโดยมีผลทันทีต่อประชาชนชาวยิวและโรมานี เช่นเดียวกับการจำคุมขังต่อผู้ที่ต่อต้านลัทธินาซี ค่ายกักกันหลายแห่งถูกก่อตั้งขึ้นในเซอร์เบีย และงานนิทรรศการต่อต้านฟรีเมสัน ค.ศ. 1942 ในกรุงเบลเกรด เมืองนี้ได้ถูกประกาศว่า ปลอดชาวยิว(Judenfrei) เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1942 เกสตาโปของเซอร์เบียได้ถูกก่อตั้งขึ้น ผู้คนประมาณ 120,000 คนถูกกักขังในค่ายกักกันที่เยอรมันเป็นผู้ดำเนินในเซอร์เบียภายใต้เนดิก ระหว่าง ค.ศ. 1941 ถึง ค.ศ. 1944 อย่างไรก็ตาม ค่ายกักกันบานจิกา(Banjica Concentration Camp) ได้ถูกดำเนินการร่วมกันโดยกองทัพบกเยอรมันและระบอบเนดิก[84] จำนวน 50,000 ถึง 80,000 คนล้วนถูกสังหารในช่วงเวลานั้น เซอร์เบียกลายเป็นประเทศที่สองในยุโรป รองจากเอสโตเนีย ซึ่งได้ถูกประกาศว่า ปลอดชาวยิว(Judenfrei) ชาวเซอร์เบียเชื้อสายยิวประมาณ 14,500 คน - 90 เปอร์เซ็นของประชากรชาวเซอร์เบียเชื้อสายยิวจำนวน 16,000 คน ถูกสังหารในสงครามโลกครั้งที่สอง
เนดิกถูกจับกุมโดยอเมริกัน เมื่อพวกเขายึดครองดินแดนเดิมของออสเตรียและต่อมาก็ถูกส่งตัวมอบให้กับทางการคอมมิวนิส์ยูโกสลาเวียเพื่อทำหน้าที่เป็นพยานต่ออาชญากรสงคราม ด้วยความเข้าใจว่า เขาจะถูกส่งตัวกลับไปยังการดูแลของอเมริกันเพื่อเผชิญหน้ากับการพิจารณาคดีโดยฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ทางการยูโกสลาเวียได้ปฏิเสธที่จะส่งตัวเนดิกกลับคืนสู่การดูแลของอเมริกัน เขาเสียชีวิตลง เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ภายหลังจากได้กระโดดหรือตกลงมาจากหน้าต่างของโรงพยาบาลเบลเกรด ภายใต้เหตุการณ์ตามสภาพแวดล้อมที่ดูไม่ชัดเจน
อิตาลี(สาธารณรัฐสังคมอิตาลี)แก้ไข
ผู้นำฟาซิสต์อิตาลี เบนิโต มุสโสลินี ได้ก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมอิตาลี(Repubblica Sociale Italiana ในภาษาอิตาลี) เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1943 รับช่วงต่อจากราชอาณาจักรอิตาลีในฐานะสมาชิกของฝ่ายอักษะ
มุสโสลินีได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจับกุมโดยพระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม ค.ศ. 1943 ภายหลังอิตาลีได้ลงนามสงบศึก ในการตีโฉบฉวยที่นำโดยพลทหารโดดร่มเยอรมันอย่างออทโท สกอร์เซนี มุสโสลินีได้รับการช่วยเหลือจากการจองจำขัง
เมื่อได้รับการฟื้นคืนสู่อำนาจ มุสโสลินีได้ประกาศว่าอิตาลีเป็นสาธารณรัฐและเขาเป็นประมุขแห่งรัฐคนใหม่ เขาได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเยอรมันในช่วงปลายสงคราม
รัฐบริวารที่ถูกปกครองร่วมกันระหว่างเยอรมัน-อิตาลีแก้ไข
กรีซ (รัฐเฮลเลนิก)แก้ไข
ภายหลังจากเยอรมันรุกรานกรีซและการลี้ภัยของรัฐบาลกรีซไปยังเกาะครีตและอียิปต์ รัฐเฮลเลนิกได้ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1941 ในฐานะรัฐหุ่นเชิดของทั้งอิตาลีและเยอรมนี ในช่วงแรก อิตาลีต้องการผนวกกรีซ แต่ถูกเยอรมนีกดดันให้หลีกเลี่ยงเหตุการณ์การก่อความไม่สงบจากพลเรือน ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่ผนวกบัลแกเรีย ผลที่ได้รับคืออิตาลีได้ยอมรับการก่อตั้งระบอบหุ่นเชิดโดยได้รับการสนับสนุนจากเยอรมนี อิตาลีได้รับการรับรองจากฮิตเลอร์ถึงบทบาทหลักในกรีซ ส่วนใหญ่ของประเทศถูกกองทัพอิตาลียึดครอง แต่พื้นที่ในทางยุทธศาสตร์(มาซิโดเนียตอนกลาง หมู่เกาะอีเจียนทางตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่ของเกาะครีต และส่วนหนึ่งของแอตติกา(Attica)) ถูกครอบครองโดยเยอรมัน ซึ่งได้ทำการยึดทรัพย์สินทางเศรษฐกิจของประเทศและควบคุมรัฐบาลที่เป็นฝ่ายให้ความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพ ระบอบหุ่นเชิดไม่เคยสั่งการในอำนาจที่แท้จริงแต่อย่างใด และไม่ได้รับความภักดีจากประชาชน ด้วยค่อนข้างประสบสำเร็จในการขัดขวางขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่างเหล่าทหารโรมันแห่งอะโรเมเนียจากการก่อตั้งของพวกเขาเอง ในช่วงกลางปี ค.ศ. 1943 ขบวนการต่อต้านกรีกได้เข้าปลดปล่อยส่วนใหญ่ของพื้นที่ภายในภูเขา("เสรีกรีซ") ได้ก่อตั้งเขตปกครองที่แยกต่างหากที่นั่น ภายหลังการสงบศึกของอิตาลี เขตยึดครองของอิตาลรได้ถูกยึดครองโดยกองทัพเยอรมัน ซึ่งยังคงอยู่ในหน้าที่ดูแลประเทศจนพวกเขาได้ถอนกำลังในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1944 ในบางแห่งของหมู่เกาะอีเจียน กองทหารรักษาการณ์ของเยอรมันได้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และทำได้แค่เพียงยอมจำนนในภายหลังสงครามยุติลง
ญี่ปุ่นแก้ไข
จักรวรรดิญี่ปุ่นได้สร้างรัฐบริวารจำนวนมากในเขตพื้นที่ยึดครองโดยกองทัพ จุดเริ่มต้นด้วยการก่อตั้งแมนจูกัวใน ค.ศ. 1932 รัฐหุ่นเชิดเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากนานาชาติในระดับที่แตกต่าง
กัมพูชาแก้ไข
ราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นรัฐหุ่นเชิดของญี่ปุ่นที่มีอายุสั้นซึ่งกินเวลาตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม ถึง 15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นได้เคลื่อนทัพเข้าสู่กัมพูชาในอารักขาของฝรั่งเศสในกลางปี ค.ศ. 1941 แต่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของวิชีฝรั่งเศสยังคงดำรงตำแหน่งบริหารปกครอง ในขณะที่ญี่ปุ่นได้เรียกร้องถึง "เอเชียเพื่อชาวเอเชีย" ได้ชนะใจแก่ชาวกัมพูชาผู้รักชาติหลายคน
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 เพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่น ญี่ปุ่นได้ทำการยุบการปกครองดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสและกดดันให้กัมพูชาประกาศเอกราชภายในวงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา กษัตริย์สีหนุทรงประกาศว่าราชอาณาจักรกัมพูชา(แทนที่นามของฝรั่งเศส) เป็นอิสระ เซิน หง็อก ถั่ญซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่ญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1942 ได้เดินทางกลับมาในเดือนพฤษภาคม และได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ[85] ในวันที่ญี่ปุ่นได้ยอมจำนน รัฐบาลชุดใหม่ได้ถูกประกาศโดยมีเซิน หง็อก ถั่ญเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ายึดครองกรุงพนมเปญในเดือนตุลาคม เซิน หง็อก ถั่ญถูกจับกุมในข้อหาให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นและถูกเนรเทศไปยังฝรั่งเศส[85]
อซาดฮินด์แก้ไข
The Arzi Hukumat-e-Azad Hind "รัฐบาลเฉพาะกาลแห่งเสรีอินเดีย" เป็นรัฐที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลฝ่ายอักษะทั้งเก้าประเทศและได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายอักษะโดยญี่ปุ่น[86]
นำโดยสุภาษ จันทระ โพส นักชาตินิยมชาวอินเดียที่ได้ปฏิเสธถึงวิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรงของมหาตมา คานธีในการได้รับเอกราช กองทัพบกแห่งชาติอินเดียที่หนึ่งได้เกิดความลังเลใจ ภายหลังจากผู้นำได้คัดค้านการตกเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อสำหรับเป้าหมายการทำสงครามของญี่ปุ่น และบทบาทของสำนักงานการประสานงานของญี่ปุ่น ได้รับการฟื้นฟูโดยสันนิบาตเอกราชอินเดียด้วยการสนับสนุนของญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1942 ภายหลังจากที่อดีตเชลยศึกและพลเรือนชาวอินเดียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ตกลงที่จะเข้าร่วมในการลองเสี่ยงของกองทัพบกแห่งชาติอินเดียภายใต้เงื่อนไข้ที่นำโดยโพส ตั้งแต่สิงคโปร์ถูกยึดครอง โพสได้ประกาศอิสรภาพให้แก่อินเดีย เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1943 กองทัพบกแห่งชาติอินเดียได้รับมอบหมายให้เป็นส่วนหนึ่งของการรุกอูโก(U Go Offensive) มันเป็นการเล่นบทบาทส่วนใหญ่ในการสู้รบ และได้ประสบความสูญเสียอย่างหนัก และต้องถอนตัวไปพร้อมกองทัพญี่ปุ่นที่เหลืออยู่ภายหลังจากการล้อมที่อิมผาลถูกตีแตกหัก ต่อมาได้รับมอบหมายในการป้องกันพม่าจากการรุกรานของฝ่ายสัมพันธมิตร ได้มีผู้ละทิ้งหน้าที่จำนวนมากในส่วนหลังนี้ กองกำลังทหารที่เหลืออยู่ของกองทัพบกแห่งชาติอินเดียยังคงรักษาความสงบเรียบร้อยในย่างกุ้ง ภายหลังจากการถอนตัวของรัฐบาลบะ ม่อ รัฐบาลเฉพาะกาลได้รับการควบคุมแต่เพียงในนามของหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945
มองโกเลียใน (เหมิ่งเจียง)แก้ไข
เหมิ่งเจียงเป็นรัฐหุ่นเชิดของญี่ปุ่นในเขตมองโกเลียใน ถูกปกครองเพียงแต่ในนามโดยเจ้าชาย Demchugdongrub ขุนนางชาวมองโกลที่สืบเชื้อสายมาจากเจงกิส ข่าน แต่ในความจริงแล้ว ได้ถูกควบคุมโดยกองทัพญี่ปุ่น ความเป็นเอกราชของเหมิ่งเจียงได้ถูกประกาศ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1936 ภายหลังจากญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองภูมิภาคนี้
ชาวมองโกเลียในมีความรู้สึกข้อข้องใจหลายประการต่อส่วนกลางของรัฐบาลจีนในนานกิง รวมถึงนโยบายของพวกเขาที่ได้อนุญาตให้ชาวจีนเชื้อสายฮั่นอพยพไปยังภูมิภาคได้อย่างไม่จำกัด เจ้าชายน้อยหลายพระองค์ของมองโกเลียในได้เริ่มยุยงปลุกปั่นเพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพจากรัฐบาลส่วนกลางมากขึ้น และโดยผ่านคนเหล่านี้ที่เมื่อญี่ปุ่นมองเห็นถึงโอกาศที่ดีในการใช้ประโยชน์จากลัทธิชาตินิยมอุดมการณ์รวมกลุ่มชาวมองโกล และในที่สุดก็เข้ายึดการควบคุมเขตมองโกเลียนอกจากสหภาพโซเวียต
ญี่ปุ่นได้ก่อตั้งเหมิ่งเจียงเพื่อใช้ประโยชน์จากความตึงเครียดระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ชาวมองโกเลียและรัฐบาลส่วนกลางของจีน ซึ่งในทางทฤษฏีแล้ว ได้ปกครองเขตมองโกลเลียใน เมื่อรัฐบาลหุ่นเชิดต่าง ๆ ของจีนได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้รัฐบาลของวาง จิงเว่ย์ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1940 เหมิ่งเจียงยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนในฐานะสหพันธ์อิสระ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างมั่นคงของกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งได้ยึดครองดินแดน เจ้าชาย Demchugdongrub ก็มีกองทัพอิสระของพระองค์เอง เหมิ่งเจียงได้สูญหายไปใน ค.ศ. 1945 ภายหลังญี่ปุ่นได้พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง
ลาวแก้ไข
อินโดจีนฝรั่งเศส รวมทั้งลาวได้ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1941 แม้ว่ารัฐบาลโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของวิชีฝรั่งเศสยังคงดำเนินต่อไป การปลดปล่อยฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1944 ได้ทำให้ชาร์ล เดอ โกลได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งหมายความว่าความเป็นพันธมิตรระหว่างญี่ปุ่นและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของวิชีฝรั่งเศสได้สิ้นสุดลงในอินโดจีน เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นได้ก่อรัฐประหารในกรุงฮานอย และวันที่ 8 เมษายน พวกเขาได้เดินทางมาถึงหลวงพระบาง สมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ได้ถูกควบคุมตัวโดยญี่ปุ่นและถูกบีบบังคับให้ออกแถลงการณ์ประกาศสถานะเอกราช แม้ว่าดูเหมือนไม่เคยมีพิธีการเกิดขึ้นก็ตาม ฝรั่งเศสก็ได้กลับมาควบคุมลาวอีกครั้งใน ค.ศ. 1946[87]
ฟิลิปปินส์ (สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่สอง)แก้ไข
ภายหลังการยอมจำนนของกองทัพฟิลิปปินส์และอเมริกันในคาบสมุทรบาตาอันและเกาะกอร์เรฮีดอร์ ญี่ปุ่นได้ก่อตั้งรัฐหุ่นเชิดในฟิลิปปินส์ใน ค.ศ. 1942[88] ในปีต่อมา สมัชชาแห่งชาติฟิลิปปินส์ได้ประกาศให้ฟิลิปปินส์เป็นสาธารณรัฐอิสระและได้เลือกโฮเซ เลาเรล เป็นประธานาธิบดี[89] ไม่เคยมีพลเรือนที่ให้การสนับสนุนแก่รัฐอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่เป็นเพราะความรู้สึกต่อต้านญี่ปุ่นโดยทั่วไปซึ่งเกิดขึ้นจากความโหดร้ายที่ถูกกระทำโดยกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่น[90] สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่สองได้สิ้นสุดลงพร้อมกับการยอมจำนนของญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1945 และเลาเรลถูกจับกุมและตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏโดยรัฐบาลสหรัฐ เขาได้รับนิรโทษกรรมโดยประธานาธิบดีมานูเอล โรฮัส และยังคงมีบทบาททางการเมือง ในท้ายที่สุดก็ได้เข้าที่นั่งในวุฒิสภาในภายหลังสงคราม
เวียดนาม(จักรวรรดิเวียดนาม)แก้ไข
จักรวรรดิเวียดนามเป็นรัฐหุ่นเชิดของญี่ปุ่นที่มีอายุสั้นซึ่งกินเวลาตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม ถึง 23 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เมื่อญี่ปุ่นเข้ายึดครองอินโดจีนฝรั่งเศส พวกเขาได้ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของวิชีฝรั่งเศสอยู่ในการควบคุมเพียงแต่ในนาม การปกครองของฝรั่งเศสนี้ได้สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1945 เมื่อญี่ปุ่นได้เข้าควบคุมรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ไม่นานหลังจากนั้น จักรพรรดิบ๋าว ดั่ยได้ทำให้สนธิสัญญากับฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1884 ตกเป็นโมฆะ และเจิ่น จ่อง กีม นักประวัติศาสตร์ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรี
การร่วมมือในสงครามโลกครั้งที่สองของเยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่นแก้ไข
การร่วมมือของฝ่ายอักษะ เยอรมัน-ญี่ปุ่นแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การยอมแพ้แก้ไข
ดูเพิ่มแก้ไข
หมายเหตุแก้ไข
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Tom Gallagher, C. Hurst & Co. Publishers, 2005, Theft of a Nation: Romania Since Communism, p. 35
- ↑ Goldberg, Maren; Lotha, Gloria; Sinha, Surabhi (24 March 2009). "Rome-Berlin Axis". Britannica.Com. Britannica Group, inc. สืบค้นเมื่อ 11 February 2021.
- ↑ Cornelia Schmitz-Berning (2007). Vokabular des Nationalsozialismus. Berlin: De Gruyter. p. 745. ISBN 978-3-11-019549-1.
- ↑ "Axis". GlobalSecurity.org. สืบค้นเมื่อ 26 March 2015.
- ↑ Cooke, Tim (2005). History of World War II: Volume 1 - Origins and Outbreak. Marshall Cavendish. p. 154. ISBN 0761474838. สืบค้นเมื่อ 28 October 2020.
- ↑ Tucker, Spencer; Roberts, Priscilla Mary (2005). Encyclopedia of World War II A Political, Social and Military History. ABC-Clio. p. 102. ISBN 9781576079997. สืบค้นเมื่อ 13 February 2021.
- ↑ Momah, Sam (1994). Global strategy : from its genesis to the post-cold war era. Vista Books. p. 71. ISBN 9789781341069. สืบค้นเมื่อ 13 February 2021.
- ↑ 8.0 8.1 Hedinger, Daniel (8 June 2017). "The imperial nexus: the Second World War and the Axis in global perspective". Journal of Global History. 12 (2): 184–205. doi:10.1017/S1740022817000043.
- ↑ Martin-Dietrich Glessgen and Günter Holtus, eds., Genesi e dimensioni di un vocabolario etimologico, Lessico Etimologico Italiano: Etymologie und Wortgeschichte des Italienischen (Ludwig Reichert, 1992), p. 63.
- ↑ 10.0 10.1 D. C. Watt, "The Rome–Berlin Axis, 1936–1940: Myth and Reality", The Review of Politics, 22: 4 (1960), pp. 530–31.
- ↑ Sinor 1959, p. 291.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 12.3 12.4 MacGregor Knox. Common Destiny: Dictatorship, Foreign Policy, and War in Fascist Italy and Nazi Germany. Cambridge University Press, 2000. p. 124.
- ↑ MacGregor Knox. Common Destiny: Dictatorship, Foreign Policy, and War in Fascist Italy and Nazi Germany. Cambridge University Press, 2000. p. 125.
- ↑ John Gooch. Mussolini and His Generals: The Armed Forces and Fascist Foreign Policy, 1922–1940. Cambridge University Press, 2007. p. 11.
- ↑ Gerhard Schreiber, Bern Stegemann, Detlef Vogel. Germany and the Second World War. Oxford University Press, 1995. p. 113.
- ↑ H. James Burgwyn. Italian foreign policy in the interwar period, 1918–1940. Wesport, Connecticut, USA: Greenwood Publishing Group, 1997. p. 68.
- ↑ Christian Leitz. Nazi Foreign Policy, 1933–1941: The Road to Global War. p. 10.
- ↑ H. James Burgwyn. Italian foreign policy in the interwar period, 1918–1940. Wesport, Connecticut, USA: Greenwood Publishing Group, 1997. p. 75.
- ↑ H. James Burgwyn. Italian foreign policy in the interwar period, 1918–1940. Wesport, Connecticut, USA: Greenwood Publishing Group, 1997. p. 81.
- ↑ 20.0 20.1 H. James Burgwyn. Italian foreign policy in the interwar period, 1918–1940. Wesport, Connecticut, USA: Greenwood Publishing Group, 1997. p. 82.
- ↑ 21.0 21.1 21.2 21.3 H. James Burgwyn. Italian foreign policy in the interwar period, 1918–1940. Wesport, Connecticut, USA: Greenwood Publishing Group, 1997. p. 76.
- ↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 H. James Burgwyn. Italian foreign policy in the interwar period, 1918–1940. Wesport, Connecticut, USA: Greenwood Publishing Group, 1997. p. 78.
- ↑ 23.0 23.1 Peter Neville. Mussolini. London, England: Routledge, 2004. p. 123.
- ↑ 24.0 24.1 Knickerbocker, H.R. (1941). Is Tomorrow Hitler's? 200 Questions On the Battle of Mankind. Reynal & Hitchcock. pp. 7–8. ISBN 9781417992775.
- ↑ Peter Neville. Mussolini. London, England: Routledge, 2004. pp. 123–125.
- ↑ Gordon Martel. Origins of Second World War Reconsidered: A. J. P. Taylor and Historians. Digital Printing edition. Routledge, 2003. p. 179.
- ↑ Gordon Martel. Austrian Foreign Policy in Historical Context. New Brunswick, New Jersey, USA: Transaction Publishers, 2006. p. 179.
- ↑ Peter Neville. Mussolini. London, England: Routledge, 2004. p. 125.
- ↑ 29.0 29.1 29.2 29.3 29.4 29.5 29.6 Adriana Boscaro, Franco Gatti, Massimo Raveri, (eds). Rethinking Japan. 1. Literature, visual arts & linguistics. pp. 32–39
- ↑ Adriana Boscaro, Franco Gatti, Massimo Raveri, (eds). Rethinking Japan. 1. Literature, visual arts & linguistics. p. 33.
- ↑ Adriana Boscaro, Franco Gatti, Massimo Raveri, (eds). Rethinking Japan. 1. Literature, visual arts & linguistics. p. 38.
- ↑ Adriana Boscaro, Franco Gatti, Massimo Raveri, (eds). Rethinking Japan. 1. Literature, visual arts & linguistics. pp. 39–40.
- ↑ Hill 2003, p. 91.
- ↑ Shelley Baranowski. Axis Imperialism in the Second World War. Oxford University Press, 2014.
- ↑ Stanley G. Payne. A History of Fascism, 1914–1945. Madison, Wisconsin, USA: University of Wisconsin Press, 1995. p. 379.
- ↑ 36.0 36.1 Harrison 2000, p. 3.
- ↑ Harrison 2000, p. 4.
- ↑ Harrison 2000, p. 10.
- ↑ Harrison 2000, pp. 10, 25.
- ↑ 40.0 40.1 40.2 40.3 40.4 40.5 Harrison 2000, p. 20.
- ↑ Harrison 2000, p. 19.
- ↑ Lewis Copeland, Lawrence W. Lamm, Stephen J. McKenna. The World's Great Speeches: Fourth Enlarged (1999) Edition. p. 485.
- ↑ Hitler's Germany: Origins, Interpretations, Legacies. London, England: Routledge, 1939. p. 134.
- ↑ 44.0 44.1 Stephen J. Lee. Europe, 1890–1945. p. 237.
- ↑ Peter D. Stachura. The Shaping of the Nazi State. p. 31.
- ↑ Stutthof. Zeszyty Muzeum, 3. PL ISSN 0137-5377. Mirosław Gliński Geneza obozu koncentracyjnego Stutthof na tle hitlerowskich przygotowan w Gdansku do wojny z Polska
- ↑ 47.0 47.1 Jan Karski. The Great Powers and Poland: From Versailles to Yalta. Rowman & Littlefield, 2014. p. 197.
- ↑ Maria Wardzyńska, "Był rok 1939. Operacja niemieckiej policji bezpieczeństwa w Polsce Intelligenzaktion Instytut Pamięci Narodowej, IPN 2009
- ↑ A. C. Kiss. Hague Yearbook of International Law. Martinus Nijhoff Publishers, 1989.
- ↑ William Young. German Diplomatic Relations 1871–1945: The Wilhelmstrasse and the Formulation of Foreign Policy. iUniverse, 2006. p. 271.
- ↑ 51.0 51.1 51.2 Gabrielle Kirk McDonald. Documents and Cases, Volumes 1–2. The Hague, Netherlands: Kluwer Law International, 2000. p. 649.
- ↑ Geoffrey A. Hosking. Rulers And Victims: The Russians in the Soviet Union. Harvard University Press, 2006 p. 213.
- ↑ Catherine Andreyev. Vlasov and the Russian Liberation Movement: Soviet Reality and Emigré Theories. First paperback edition. Cambridge, England: Cambridge University Press, 1989. pp. 53, 61.
- ↑ 54.0 54.1 Randall Bennett Woods. A Changing of the Guard: Anglo-American Relations, 1941–1946. University of North Carolina Press, 1990. p. 200.
- ↑ Molotov–Ribbentrop Pact 1939.
- ↑ Roberts 2006, p. 82.
- ↑ John Whittam. Fascist Italy. Manchester, England; New York, New York, USA: Manchester University Press. p. 165.
- ↑ Michael Brecher, Jonathan Wilkenfeld. Study of Crisis. University of Michigan Press, 1997. p. 109.
- ↑ *Rodogno, Davide (2006). Fascism's European Empire: Italian Occupation During the Second World War. Cambridge, UK: Cambridge University Press. pp. 46–48. ISBN 978-0-521-84515-1.
- ↑ 60.0 60.1 60.2 H. James Burgwyn. Italian Foreign Policy in the Interwar Period, 1918–1940. Westport, Connecticut, USA: Praeger Publishers, 1997. pp. 182-183.
- ↑ H. James Burgwyn. Italian Foreign Policy in the Interwar Period, 1918–1940. Westport, Connecticut, USA: Praeger Publishers, 1997. p. 185.
- ↑ John Lukacs. The Last European War: September 1939 – December 1941. p. 116.
- ↑ 63.0 63.1 Jozo Tomasevich. War and Revolution in Yugoslavia, 1941–1945: Occupation and Collaboration. pp. 30–31.
- ↑ Lowe & Marzari 2002, p. 289.
- ↑ McKercher & Legault 2001, pp. 40–41.
- ↑ McKercher & Legault 2001, p. 41.
- ↑ Samuel W. Mitcham: Rommel's Desert War: The Life and Death of the Afrika Korps. Stackpole Books, 2007. p. 16.
- ↑ Stephen L. W. Kavanaugh. Hitler's Malta Option: A Comparison of the Invasion of Crete (Operation Merkur) and the Proposed Invasion of Malta (Nimble Books LLC, 2010). p. 20.
- ↑ Mussolini Unleashed, 1939–1941: Politics and Strategy in Fascist Italy's Last War. pp. 284–285.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อknight2
- ↑ Patricia Knight. Mussolini and Fascism. Routledge, 2003. p. 103.
- ↑ Davide Rodogno. Fascism's European Empire: Italian Occupation during the Second World War. Cambridge, England: Cambridge University Press, 2006. p. 30.
- ↑ John Lukacs. The Last European War: September 1939 – December 1941. Yale University Press, 2001. p. 364.
- ↑ Shirer 1960, p. 1131.
- ↑ Albania: A Country Study: Italian Occupation, Library of Congress. Last accessed 14 February 2015.
- ↑ "Albania – Italian Penetration". countrystudies.us.
- ↑ Li Narangoa, R. B. Cribb. Imperial Japan and National Identities in Asia, 1895–1945. Psychology Press, 2003. pp. 15-16.
- ↑ Lemkin, Raphael (1944). Axis Rule in Occupied Europe: Laws of Occupation, Analysis of Government, Proposals for Redress. Carnegie Endowment for International Peace. p. 11. ISBN 1584779012. สืบค้นเมื่อ 24 October 2020.
- ↑ Sarner 1997, p. [ต้องการเลขหน้า].
- ↑ "Shoah Research Center – Albania" (PDF). คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2003-11-27.
- ↑ Hehn (1971), pp. 344–73
- ↑ MacDonald, David Bruce (2002). Balkan holocausts?: Serbian and Croatian victim-centred propaganda and the war in Yugoslavia. Manchester: Manchester University Press. p. 142. ISBN 0719064678.
- ↑ MacDonald, David Bruce (2007). Identity Politics in the Age of Genocide: The Holocaust and Historical Representation. Routledge. p. 167. ISBN 978-1-134-08572-9.
- ↑ Raphael Israeli (4 March 2013). The Death Camps of Croatia: Visions and Revisions, 1941–1945. Transaction Publishers. p. 31. ISBN 978-1-4128-4930-2. สืบค้นเมื่อ 12 May 2013.
- ↑ 85.0 85.1 David P. Chandler, A History of Cambodia, Silkworm 1993[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ Gow, I; Hirama, Y; Chapman, J (2003). Volume III: The Military Dimension The History of Anglo-Japanese Relations, 1600-2000. Springer. p. 208. ISBN 0230378870. สืบค้นเมื่อ 27 October 2020.
- ↑ Ivarsson, Søren; Goscha, Christopher E. (February 2007). "Prince Phetsarath (1890-1959): Nationalism and Royalty in the Making of Modern Laos". Journal of Southeast Asian Studies. Cambridge University Press. 38 (1): 65–71. doi:10.1017/S0022463406000932. JSTOR 20071807. S2CID 159778908. สืบค้นเมื่อ 2 April 2021.
- ↑ Guillermo, Artemio R. (2012). Historical Dictionary of the Philippines. Scarecrow Press. pp. 211, 621. ISBN 978-0-8108-7246-2. สืบค้นเมื่อ 22 March 2013.
- ↑ Abinales, Patricio N; Amoroso, Donna J. (2005). State And Society In The Philippines. State and Society in East Asia Series. Rowman & Littlefield. pp. 160, 353. ISBN 978-0-7425-1024-1. สืบค้นเมื่อ 22 March 2013.
- ↑ Cullinane, Michael; Borlaza, Gregorio C.; Hernandez, Carolina G. "Philippines". Encyclopædia Britannica. Encyclopædia Britannica, Inc. สืบค้นเมื่อ January 22, 2014.
บรรณานุกรมแก้ไข
สิ่งตีพิมพ์แก้ไข
- Asada, Sadao (2006). From Mahan to Pearl Harbor: The Imperial Japanese Navy and the United States. Annapolis: Naval Institute Press. ISBN 978-1-55750-042-7.
- Axworthy, Mark (1995). Third Axis – Fourth Ally: Romanian Armed Forces in the European War, 1941-1945. London: Arms and Armour. ISBN 9781854092670.
- Bachelier, Christian (2000). Azéma & Bédarida (บ.ก.). L'armée française entre la victoire et la défaite. La France des années noires. 1. Le Seuil.
- Bowen, Wayne H. (2000). Spaniards and Nazi Germany: Collaboration in the New Order. Columbia, Missouri: University of Missouri Press. ISBN 978-0-8262-1300-6.
- Brackman, Roman (2001). The Secret File of Joseph Stalin: A Hidden Life. London; Portland: Frank Cass. ISBN 978-0-7146-5050-0.
- Leonard, Thomas M.; Bratzel, John F. (2007). Latin America During World War II. Lanham Road, Maryland; Plymouth, England: Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-7425-3740-8.
- Churchill, Winston (1953). The Second World War. Boston: Houghton Mifflin Harcourt. ISBN 978-0-395-41056-1.
- Corvaja, Santi (2008) [2001]. Hitler & Mussolini: The Secret Meetings. New York: Enigma.
- Donaldson, Robert H; Nogee, Joseph L (2005). The Foreign Policy of Russia: Changing Systems, Enduring Interests. Armonk, New York: M. E. Sharpe. ISBN 978-0-7656-1568-8.
- Dull, Paul S (2007) [1978]. A Battle History of the Imperial Japanese Navy, 1941–1945. Annapolis: Naval Institute Press.
- Harrison, Mark (2000) [1998]. The Economics of World War II: Six Great Powers in International Comparison. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-78503-7.
- Hill, Richard (2003) [2002]. Hitler Attacks Pearl Harbor: Why the United States Declared War on Germany. Boulder, CO: Lynne Rienner.
- Jabārah, Taysīr (1985). Palestinian leader, Hajj Amin al-Husayni, Mufti of Jerusalem. Kingston Press. p. 183. ISBN 978-0-940670-10-5.
- Jokipii, Mauno (1987). Jatkosodan synty: tutkimuksia Saksan ja Suomen sotilaallisesta yhteistyöstä 1940–41 [Birth of the Continuation War: Analysis of the German and Finnish Military Co-operation, 1940–41] (ภาษาฟินแลนด์). Helsinki: Otava. ISBN 978-951-1-08799-1.
- Kennedy-Pipe, Caroline (1995). Stalin's Cold War: Soviet Strategies in Europe, 1943 to 1956. New York: Manchester University Press. ISBN 978-0-7190-4201-0.
- Kershaw, Ian (2007). Fateful Choices: Ten Decisions That Changed the World, 1940–1941. London: Allen Lane. ISBN 978-1-59420-123-3.
- Kirby, D. G. (1979). Finland in the Twentieth Century: A History and an Interpretation. London: C. Hurst & Co. ISBN 978-0-905838-15-1.
- Lebra, Joyce C (1970). The Indian National Army and Japan. Singapore: Institute of Southeast Asian Studies. ISBN 978-981-230-806-1.
- Lewis, Daniel K. (2001). The History of Argentina. New York; Hampshire: Palgrave MacMillan.
- Lidegaard, Bo (2003). Dansk Udenrigspolitisk Historie, vol. 4 (ภาษาเดนมาร์ก). Copenhagen: Gyldendal. ISBN 978-87-7789-093-2.
- Lowe, Cedric J.; Marzari, Frank (2002) [1975]. Italian Foreign Policy, 1870–1940. Foreign Policies of the Great Powers. London: Routledge.
- McKercher, B. J. C.; Legault, Roch (2001) [2000]. Military Planning and the Origins of the Second World War in Europe. Westport, Connecticut: Greenwood Publishing Group.
- Montgomery, John F. (2002) [1947]. Hungary: The Unwilling Satellite. Simon Publications.
- Nekrich, Aleksandr Moiseevich; Ulam, Adam Bruno; Freeze, Gregory L. (1997). Pariahs, Partners, Predators: German-Soviet Relations, 1922–1941. Columbia University Press. ISBN 0-231-10676-9.
- Paxton, Robert O (1993). J. P. Azéma & François Bédarida (บ.ก.). La Collaboration d'État. La France des Années Noires. Paris: Éditions du Seuil.
- Payne, Stanley G. (1987). The Franco Regime, 1936–1975. Madison, Wisconsin: University of Wisconsin Press. ISBN 978-0-299-11074-1.
- Payne, Stanley G. (1999). Fascism in Spain, 1923–1977. Madison, Wisconsin: University of Wisconsin Press. ISBN 978-0-299-16564-2.
- Potash, Robert A. (1969). The Army And Politics in Argentina: 1928–1945; Yrigoyen to Perón. Stanford: Stanford University Press.
- Roberts, Geoffrey (2006). Stalin's Wars: From World War to Cold War, 1939–1953. Yale University Press. ISBN 0-300-11204-1.
- Preston, Paul (1994). Franco: A Biography. New York: Basic Books. ISBN 978-0-465-02515-2.
- Rodao, Florentino (2002). Franco y el imperio japonés: imágenes y propaganda en tiempos de guerra. Barcelona: Plaza & Janés. ISBN 978-84-01-53054-8.
- Rohr, Isabelle (2007). The Spanish Right and the Jews, 1898–1945: Antisemitism and Opportunism. Eastbourne, England; Portland, Oregon: Sussex Academic Press.
- Sarner, Harvey (1997). Rescue in Albania: One Hundred Percent of Jews in Albania Rescued from the Holocaust. Cathedral City, California: Brunswick Press.
- Senn, Alfred Erich (2007). Lithuania 1940: Revolution From Above. Amsterdam; New York: Rodopi Publishers. ISBN 978-90-420-2225-6.
- Seppinen, Ilkka (1983). Suomen ulkomaankaupan ehdot 1939–1940 [Conditions of Finnish Foreign Trade 1939–1940] (ภาษาฟินแลนด์). Helsinki: Suomen historiallinen seura. ISBN 978-951-9254-48-7.
- Shirer, William L. (1960). The Rise and Fall of the Third Reich. New York: Simon & Schuster. ISBN 978-0-671-62420-0.
- Sinor, Denis (1959). History of Hungary. Woking; London: George Allen and Unwin.
- Steinberg, David Joel (2000) [1982]. The Philippines: A Singular and a Plural Place. Boulder Hill, Colorado; Oxford: Westview Press. ISBN 978-0-8133-3755-5.
- Walters, Guy (2009). Hunting Evil: The Nazi War Criminals Who Escaped and the Quest to Bring Them to Justice. New York: Broadway Books.
- Wettig, Gerhard (2008). Stalin and the Cold War in Europe. Landham, Md: Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-7425-5542-6.
- Wylie, Neville (2002). European Neutrals and Non-Belligerents During the Second World War. Cambridge; New York: Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-64358-0.
- Zaloga, Steven J. (2013). Tanks of Hitler's Eastern Allies 1941-45. Oxford: Osprey. ISBN 978-1-78096-020-3.
ข้อมูลออนไลน์แก้ไข
- Halsall, Paul (1997). "The Molotov–Ribbentrop Pact, 1939". New York: Fordham University. สืบค้นเมื่อ 2012-03-22.
อ่านเพิ่มแก้ไข
- Dear, Ian C. B. (2005). Foot, Michael; Daniell, Richard (บ.ก.). The Oxford Companion to World War II. Oxford University Press. ISBN 0-19-280670-X.
- Kirschbaum, Stanislav (1995). A History of Slovakia: The Struggle for Survival. New York: St. Martin's Press. ISBN 0-312-10403-0.
- Ready, J. Lee (2012) [1987]. The Forgotten Axis: Germany's Partners and Foreign Volunteers in World War II. Jefferson, N.C.: McFarland & Company. ISBN 9780786471690. OCLC 895414669.
- Roberts, Geoffrey (1992). "Infamous Encounter? The Merekalov-Weizsacker Meeting of 17 April 1939". The Historical Journal. Cambridge University Press. 35 (4): 921–926. doi:10.1017/S0018246X00026224. JSTOR 2639445.
- Toynbee, Arnold, บ.ก. (1954). Survey of International Affairs: Hitler's Europe 1939–1946. Highly detailed coverage of conquered territories.
- Weinberg, Gerhard L. (2005). A World at Arms: A Global History of World War II (2nd ed.). New York: Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-85316-3.
แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: ฝ่ายอักษะ |
- Full text of the Pact of Steel
- Full text of the Anti-Comintern Pact
- Full text of The Tripartite Pact
- Silent movie of the signing of The Tripartite Pact
บทความเกี่ยวกับประวัติศาสตร์นี้ยังเป็นโครง คุณสามารถช่วยวิกิพีเดียได้โดยการเพิ่มเติมข้อมูล ดูเพิ่มที่ สถานีย่อย:ประวัติศาสตร์ |