ราชอาณาจักรฮังการี (ค.ศ. 1920–1946)
บทความนี้อาจขยายความได้โดยการแปลบทความที่ตรงกันในภาษาสเปน คลิกที่ [ขยาย] เพื่อศึกษาแนวทางการแปล
|
ราชอาณาจักรฮังการี (ฮังการี: Magyar Királyság) เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของรัฐฮังการีระหว่าง ค.ศ. 1920 จนถึง ค.ศ. 1946 ราชอาณาจักรดำรงอยู่กระทั่งความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง และการประกาศสาธารณรัฐฮังการีที่ 2 แม้ว่าในช่วงเวลานี้ฮังการีจะปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย แต่กระนั้นก็ยังไม่มีพระมหากษัตริย์ มีเพียงผู้สำเร็จราชการ มิกโลช โฮร์ตี ซึ่งเป็นพลเรือเอกแห่งอดีตจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ที่ยังคงเป็นประมุขแห่งรัฐ หลังจากการปกครองแบบอนุรักษนิยมเป็นเวลานานตั้งแต่ ค.ศ. 1920 จนถึง ค.ศ. 1944 ประเทศก็ตกอยู่ภายใต้การครอบงำโดยนาซีเยอรมนีใน ค.ศ. 1944 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังปฏิบัติการทางทหารในเดือนมีนาคม ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการถูกแทนที่โดยผู้นำฟาสซิสต์ แฟแร็นตส์ ซาลอชี แห่งพรรคแอร์โรว์ครอสส์ในเดือนตุลาคม แต่ต่อมากองกำลังนาซีได้ถูกขับไล่ออกจากฮังการีโดยกองกำลังโซเวียต ทำให้ประเทศตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียต และมีการล้มเลิกระบอบราชาธิปไตยใน ค.ศ. 1946 ในทางประวัติศาสตร์แล้ว จะมีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างยุคสมัยอื่น ๆ ที่ใช้ชื่อราชอาณาจักรฮังการีเหมือนกัน ดังนั้นคำว่า ยุคผู้สำเร็จราชการ หรือ ยุคโฮร์ตี จึงมักถูกใช้อธิบายเพื่อบ่งบอกถึงช่วงเวลานี้[7]
ราชอาณาจักรฮังการี Magyar Királyság (ฮังการี) | |
---|---|
1920–1946 | |
ราชอาณาจักรฮังการีใน ค.ศ. 1942 | |
เขตการปกครองของฮังการี ค.ศ. 1942 | |
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | บูดาเปสต์ |
ภาษาราชการ | ฮังการี |
ภาษาพื้นเมือง | รูซึน[1][2] (ในซับคาร์เพเทีย) |
ภาษาทั่วไป | โรมาเนีย • เยอรมัน • สโลวัก • โครเอเชีย • เซอร์เบีย • ยิดดิช • สโลวีเนีย • โรมานี[3] |
กลุ่มชาติพันธุ์ (1941)[3] | |
ศาสนา (1941)[3] | รายการ
|
เดมะนิม | ชาวฮังการี |
การปกครอง | รัฐผู้สำเร็จราชการภายใต้ลัทธิอำนาจนิยม (1920-1944) รัฐฮังการีนิยม รัฐพรรคการเมืองเดียวภายใต้ระบอบเผด็จการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ (1944-1945) คณะเปลี่ยนผ่านภายใต้รัฐบาลผสม (1945-1946) |
พระมหากษัตริย์ | |
• 1920-1946 | ว่าง [หมายเหตุ 1] |
ประมุขแห่งรัฐ | |
• 1920-1944 | มิกโลช โฮร์ตี[หมายเหตุ 2] |
• 1944-1945 | แฟแร็นตส์ ซาลอชี[หมายเหตุ 3] |
• 1945-1946 | สภาแห่งชาติชั้นสูง[หมายเหตุ 4] |
นายกรัฐมนตรี | |
• 1920 (คนแรก) | กาโรย ฮูซาร์ |
• 1945-1946 (คนสุดท้าย) | โซลตาน ทิลดี |
สภานิติบัญญัติ | สภานิติบัญญัติ |
• สภาสูง | แฟลเชอฮาซ (Felsőház) |
• สภาล่าง | เกปวีแชเลอฮาซ (Képviselőház) |
ยุคประวัติศาสตร์ | ระหว่างสงคราม · สงครามโลกครั้งที่สอง |
29 กุมภาพันธ์ 1920 | |
4 มิถุนายน 1920 | |
26 มีนาคม 1921 | |
21 ตุลาคม 1921 | |
2 พฤศจิกายน 1938 | |
14 มีนาคม 1939 | |
30 สิงหาคม 1940 | |
11 เมษายน 1941 | |
27 มิถุนายน 1941 | |
19 มีนาคม 1944 | |
16 ตุลาคม 1944 | |
1 กุมภาพันธ์ 1946 | |
พื้นที่ | |
1920[4] | 92,833 ตารางกิโลเมตร (35,843 ตารางไมล์) |
1930[5] | 93,073 ตารางกิโลเมตร (35,936 ตารางไมล์) |
1941[6] | 172,149 ตารางกิโลเมตร (66,467 ตารางไมล์) |
ประชากร | |
• 1920[4] | 7,980,143 |
• 1930[5] | 8,688,319 |
• 1941[6] | 14,669,100 |
สกุลเงิน | โกโรนอ (1920-1927) แป็งเกอ (1927-1946) |
เขตเวลา | UTC+1 (CET) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+2 (CEST) |
[หมายเหตุ 5] | |
ขับรถด้าน | ขวา (ตั้งแต่ ค.ศ. 1941) |
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | โครเอเชีย ฮังการี โรมาเนีย เซอร์เบีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย ยูเครน |
|
หลังจากความพ่ายแพ้ทางทหารของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 บรรดาพรรคอนุรักษนิยมต่างเห็นชอบให้มีการฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยฮังการีขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่กองทัพและกลุ่มขวาจัดปฏิเสธการกลับมาของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค จึงมีการสถาปนาตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนขึ้นเป็นการชั่วคราวในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920[8] ลักษณะการปกครองของผู้สำเร็จราชการโฮร์ตีนั้นเป็นแบบอนุรักษนิยม[9] ชาตินิยม และต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง[10] ระบอบผู้สำเร็จราชการได้รับการสนับสนุนโดยพันธมิตรอนุรักษนิยมที่ไม่มั่นคงและฝ่ายขวาจัด[11] นโยบายระหว่างประเทศของฮังการีในช่วงเวลานี้มีลักษณะเฉพาะคือ การแก้ไขหรือการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วนของสนธิสัญญาสันติภาพ เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่แตกต่างจากในอดีตและเพื่อต่อต้านบอลเชวิค ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ ซึ่งต่อมาจะรวมทั้งการต่อต้านชาวยิว และการปฏิเสธการปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วย[12] ในเดือนพฤศจิกายน มีการลงนามในสนธิสัญญาทรียานง ซึ่งถูกกำหนดไว้โดยประเทศผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยภายในเนื้อหาของสนธิสัญญาระบุถึงการที่ฮังการีจะต้องสูญเสียดินแดนและประชากรจำนวนสองในสามให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน[13] ส่งผลให้การเมืองฮังการีในสมัยระหว่างสงครามถูกครอบงำจากการสูญเสียดินแดนตามสนธิสัญญานี้ ซึ่งทำให้ชาวฮังการีมากกว่าสามล้านคนอยู่นอกเขตแดนใหม่ของราชอาณาจักร[14] การแก้ไขพรมแดนไม่เพียงแต่จะเป็นการรวมอำนาจทางการเมืองของชาติเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการขาดการปฏิรูปภายในด้วย[15] การสิ้นสุดสมัยแห่งความไม่มั่นคงหลังการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลอิชต์วาน แบตแลน[16][17] ผู้ลงสมัครซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษนิยมและกลุ่มขวาจัด[18] การนำนโยบายทางต่างประเทศอันสงบมาใช้และการยุติความไม่มั่นคงภายใน ทำให้ประเทศฮังการีสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติได้ใน ค.ศ. 1922[19] จากเสถียรภาพทางการเมืองที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทำให้ฮังการีสามารถเจรจากับสถาบันการเงินของต่างประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น[20] ด้วยการสนับสนุนของโฮร์ตี ทำให้แบตแลนสามารถควบคุมการเลือกตั้งและการครอบงำพรรคร่วมรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้รัฐบาลของเขาสามารถอยู่ในอำนาจได้เป็นเวลาสิบปี โดยที่ไม่มีการต่อต้านใด ๆ เลย แรงสนับสนุนของรัฐบาลแบธแลนไม่ได้มาจากพรรคการเมืองเพียงเท่านั้น แต่ยังมาจากนักบวช ชนชั้นนายทุน และเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในชนบทอีกด้วย[21] แม้ว่าประเทศจะมีลักษณะการปกครองในรูปแบบรัฐสภา แต่ก็ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ยังคงเป็นระบอบเผด็จการอนุรักษนิยม[22] ฮังการีถูกครอบงำโดยชนชั้นสูงและข้าราชการซึ่งส่วนใหญ่มีภูมิฐานจากชนชั้นสูง[23] หลังจากช่วงระยะเวลาสั้น ๆ อันเนื่องมาจากการปฏิวัติใน ค.ศ. 1919 ชนชั้นสูงก็สามารถนำอำนาจกลับคืนมาได้อีกครั้ง และฟื้นฟูระบอบการเมืองและสภาพสังคมให้กลับไปเป็นแบบในช่วงก่อนสงครามโลก[23] กลุ่มแรงงานในเมืองและชาวนา ซึ่งเป็นจำนวนสองในสามของประชากรทั้งหมด ต่างไม่มีอิทธิพลในรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย[23] และการวางตัวเป็นกลางของพวกสังคมนิยม ทำให้ผู้คนในช่วงปลายทศวรรษถัดมา เริ่มมีแนวคิดหัวรุนแรงจนกลายเป็นฟาสซิสต์[24]
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมขนานใหญ่ ซึ่งทำให้รูปแบบทางการเมืองของรัฐบาลแบตแลนเกิดปัญหา[25] ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้สำเร็จราชการโฮร์ตีและนักการเมืองชั้นนำจึงตัดสินใจเข้าพบกับจูลอ เกิมเบิช ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มขวาจัดและเป็นบุคคลที่น่าจะทำให้มวลชนสงบลงได้มากที่สุด[26] เมื่อเกิมเบิชได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เขาจึงค่อย ๆ วางผู้สนับสนุนของเขาไว้ในตำแหน่งสำคัญทั้งในส่วนของรัฐบาลและกองทัพ[27] หลังจากที่แบตแลนลาออกจากตำแหน่ง ระบอบผู้สำเร็จราชการเริ่มได้รับความสำคัญมากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก ค.ศ. 1935 เป็นต้นไป[28] โฮร์ตีกลายเป็นผู้ชี้ขาดทางการเมืองระดับชาติ ทั้งเพราะรัฐบาลที่เริ่มเสื่อมถอยมากขึ้น เนื่องจากความแตกแยกระหว่างพรรคอนุรักษนิยมกับกลุ่มขวาจัด และเพราะแรงสนับสนุนที่เขาได้รับจากกลุ่มฝ่ายขวาส่วนใหญ่ในประเทศ[29] โฮร์ตีจึงพยายามรักษาสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่ายไว้[28] ในช่วงแปดปีของการปกครองโดยระบอบผู้สำเร็จราชการ อิทธิพลของเยอรมนีและความนิยมของจักรวรรดิไรช์เริ่มแพร่กระจายสู่ประชากรส่วนหนึ่ง ทำให้การเมืองภายในประเทศเริ่มเกิดความรุนแรง และได้โน้มน้าวให้ผู้คนเชื่อว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูรูปแบบอนุรักษนิยมให้เหมือนดังในช่วงทศวรรษ 1920[30] เยอรมนีสามารถบรรเทาวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ ดังนั้นโฮร์ตีจึงเล็งเห็นว่าเยอรมนีน่าจะสามารถสนับสนุนฮังการีให้บรรลุความปรารถนาในการแก้ไขดินแดนได้ แต่มันกลับพังทลายลง เมื่อฮังการีเริ่มกลายเป็นรัฐในอารักขาของเยอรมนีทีละน้อย[30] รัฐบาลฮังการีประสบความล้มเหลวในความพยายามที่จะสกัดกั้นอิทธิพลของเยอรมนีและฝ่ายขวาของประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปฏิเสธที่จะละทิ้งความทะเยอทะยานในการแก้ไขดินแดน ซึ่งความสำเร็จนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับทางรัฐบาลเบอร์ลินด้วย ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มขวาจัดในฮังการี[31]
แต่ด้วยความร่วมมือระหว่างเยอรมนีและอิตาลี ส่งผลให้ประเทศสามารถกู้คืนดินแดนส่วนหนึ่งที่เสียไปให้แก่เชโกสโลวาเกียกลับมาได้ตามการอนุญาโตตุลาการเวียนนาครั้งที่หนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1938[32] ซี่งในช่วงเวลานี้เอง ที่เยอรมนีเริ่มมีบทบาทในการเมืองฮังการี[33] ความปรารถนาของประชาชนในการเปลี่ยนแปลง เจตคติเชิงปฏิกิริยาต่อรัฐบาลที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ความอ่อนแอลงของฝ่ายซ้าย และอำนาจของขบวนการฟาสซิสต์ในยุโรปนั้น เอื้อประโยชน์ต่อการเติบโตขึ้นของกลุ่มฝ่ายขวาจัดที่คัดค้านการปฏิรูป[34] ในการอนุญาโตตุลาการเวียนนาครั้งที่สอง ซึ่งมีผู้ตัดสินคืออิตาลีและเยอรมนีใน ค.ศ. 1940 ทำให้ฮังการีได้รับดินแดนทางตอนเหนือของทรานซิลเวเนียจากโรมาเนีย[35] ประเทศเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่สองโดยอยู่ฝ่ายอักษะ ซึ่งหันไปต่อต้านยูโกสลาเวียและมีส่วนช่วยในการบุกครองสหภาพโซเวียตเมื่อปลายเดือนมิถุนายน และพันธมิตรตะวันตกในเดือนธันวาคม[28] อย่างไรก็ตาม เมื่อฝ่ายอักษะเริ่มพ่ายแพ้แก่กองทัพโซเวียต ทำให้ฮังการีพยายามเปลี่ยนฝ่ายในช่วงปลายสงครามแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากความปรารถนาที่จะรักษาดินแดนที่เคยสูญเสียไปและระบบสังคมที่ล้าสมัย อีกทั้งรัฐบาลก็ไม่เต็มใจที่จะต่อต้านสหภาพโซเวียต[36] เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนฝ่ายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอิตาลี เยอรมนีจึงบุกครองประเทศโดยปราศจากการต่อต้านในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944[37] คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งดูแลโดยตัวแทนจากนาซีเยอรมนีได้ทำการปฏิรูปกองทัพและเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสนับสนุนความพยายามในการทำสงครามของเยอรมนีและยุติปัญหาชาวยิว[38] พวกนาซีได้ทำการรัฐประหารรัฐบาล อันเป็นการสิ้นสุดลงของระบอบผู้สำเร็จราชการที่นำโดยโฮร์ตี และได้มอบอำนาจให้แก่ แฟแร็นตส์ ซาลอชี ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคแอร์โรว์ครอสส์[39] แต่ท้ายที่สุดกองทัพโซเวียตก็สามารถขับไล่นาซีเยอรมนีออกจากดินแดนฮังการีได้เมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1945[40] เป็นเหตุให้การผนวกดินแดนของฮังการีในการอนุญาโตตุลาการเวียนนาทั้งสองครั้งถูกประกาศว่าเป็นโมฆะภายหลังสงคราม[41]
ด้วยประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำให้การกระจายที่ดินยังคงไม่เท่าเทียมกันอย่างมาก[42] โดยทั่วไปแล้ว ชาวนาฮังการีต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้น[42] การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศได้รับการสนับสนุนเพื่อพยายามลดจำนวนประชากรล้นเกินในชนบท แต่ก็ไม่เคยเติบโตมากพอที่จะลดจำนวนประชากรในภาคการเกษตรได้[43] ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจชองฮังการีอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรม ราคาธัญพืชซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของฮังการีทรุดตัวลงในตลาดโลก[44] วิกฤตการณ์ร้ายแรงทางเศรษฐกิจส่งผลให้อิทธิพลของฟาสซิสต์อิตาลีและเยอรมนีเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งสองประเทศต่างเป็นคู่ค้าหลักของผลผลิตทางการเกษตรเพียงไม่กี่รายในประเทศ ซึ่งไม่ถูกครอบงำโดยตลาดต่างประเทศอีกต่อไป[45] ใน ค.ศ. 1938 เยอรมนีเริ่มควบคุมการนำเข้าและส่งออกของฮังการีถึง 50 % แล้ว[46] การค้าขายกับเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นและการเริ่มต้นนโยบายการเสริมกำลังอาวุธ ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงครึ่งหลังทศวรรษ 1930 ได้[39] อย่างไรก็ตาม สภาพความเป็นอยู่และการทำงานของคนงานในอุตสาหกรรมยังคงย่ำแย่ แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธมีส่วนช่วยในการขจัดการว่างงานไปได้แทบทั้งหมด[47] สำหรับประชากรชาวยิวใน ค.ศ. 1930 ซึ่งคิดเป็น 5.1 % ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ[48] ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านอุตสากรรม พาณิชยกรรม และการเงินของประเทศ[49] ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 จนถึงต้นทศวรรษ 1940 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติต่อชาวยิว ซึ่งจำกัดสิทธิต่าง ๆ ของชาวยิวอย่างเห็นได้ชัด ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มไม่มั่นคง[50] ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวทั้งหมด 565,000 คน ถูกสังหารในดินแดนของฮังการี[51]
การเมือง
แก้การฟื้นฟูราชาธิปไตย
แก้ในข่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1919 กองทัพโรมาเนียได้บุกฝ่าแนวรบของกองทัพแดงฮังการี[52] รัฐบาลโซเวียตจึงมอบอำนาจให้กับรัฐบาลประชาธิปไตยสังคมนิยมสายกลางใหม่ที่ไม่สามารถป้องกันการบุกครองของโรมาเนียได้[52] จากนั้นรัฐบาลใหม่ก็ถูกแทนที่โดยรัฐบาลอนุรักษนิยม ซึ่งได้รับการยอมรับจากโรมาเนีย[52][53] ฝ่ายกองทัพแห่งชาตินำโดยพลเรือเอก มิกโลช โฮร์ตี ได้รวบรวมกำลังพลจากเมืองแซแก็ด ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกองทัพฝรั่งเศส เคลื่อนพลเข้าสู่เมืองหลวงหลังจากที่กองทัพโรมาเนียถอนกำลังออกจากประเทศในช่วงต้นฤดูหนาว[52][54][55][56] ฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ ฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ และกลุ่มผู้นิยมระบอบราชาธิปไตยได้ก่อความน่าสะพรึงกลัวขาวขึ้นในภูมิภาคตะวันตกของประเทศตั้งแต่ช่วงปลายฤดูร้อนหลังการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการี[55] เพื่อลบล้างมรดกจากยุคคอมมิวนิสต์ทั้งหมด[52][57][58] ด้วยเหตุนี้ การกดขี่ข่มเหงต่อสมาชิกของขบวนการฝ่ายซ้ายและชาวยิวจึงแพร่กระจายไปทั่วประเทศ[59][57][60][61][55][56][หมายเหตุ 1] กองกำลังกึ่งทหารใช้วิธีการกวาดล้างผู้ต่อต้านซึ่งไม่ต่างจากการก่ออาชญากรรม โดยมีการกรรโชก[8] การโจรกรรม การทรมาน และการฆาตกรรม ซึ่งพวกเขาได้อ้างถึงการกระทำว่าเป็นเพราะเหตุผลทางการเมือง[63] อำนาจยังคงอยู่ในมือของฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายขวาจัด ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มขุนนาง ข้าราชการ และทหาร[11][64] ชาวนาที่เอือมระอากับการกดขี่ของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ (ยกเว้นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม) ยอมรับการกลับมาของระบอบคณาธิปไตยเพื่อแลกกับการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย[65] อย่างไรก็ตาม กองกำลังกึ่งทหารเริ่มผ่อนคลายความรุนแรงลงเมื่อสิ้นสุดสมัยแห่งการปฏิวัติ[66] โดยทั่วไปแล้ว การเมืองของประเทศเริ่มเอนเอียงไปทางฝ่ายขวาในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังการล่มสลายของรัฐบาลปฏิวัติคอมมิวนิสต์[67]
ภายใต้แรงกดดันจากไตรภาคี[55] การเลือกตั้งครั้งใหม่ถูกจัดขึ้นพร้อมกับการสำรวจสำมะโนประชากร และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่ให้สิทธิการเลือกตั้งแก่สตรี[68][8] จากผลการเลือกตั้งในเดือนมกราคม ค.ศ. 1920 ทำให้มีพรรคการเมืองฝ่ายขวาขนาดใหญ่เกิดขึ้น 2 พรรค[55] ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกภายในระหว่างฝ่ายขวาอนุรักษนิยมและฝ่ายมูลวิวัติ[68][69]
ใน ค.ศ. 1920 กฎหมายฉบับแรกได้ยกเลิกมาตรการทั้งหมดที่ตราขึ้นโดยรัฐบาลปฏิวัติของมิฮาย กาโรยี และเบ-ลอ กุน[70][69] ฝ่ายอนุรักษนิยมสนับสนุนการฟื้นฟูราชบัลลังก์ของพระเจ้าคาร์ลที่ 4 แห่งฮังการี ขณะที่กองทัพและกลุ่มมูลวิวัติฝ่ายขวาแม้จะสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นกัน แต่กระนั้นได้ปฏิเสธการกลับมาของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค จึงมีการตัดสินใจตั้งระบอบผู้สำเร็จราชการชั่วคราวซึ่งมีอำนาจมากขึ้นมาแทน[8][71][72][73][หมายเหตุ 2] ฝ่ายกองทัพและกองกำลังกึ่งทหารเข้ายึดอาคารรัฐสภาระหว่างการเลือกตั้ง[8] และแต่งตั้งมิกโลช โฮร์ตี ตัวแทนผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่ายกองทัพขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแห่งฮังการี[69] ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มีนาคม[73][71][74] นั่นจึงทำให้เขากลายเป็นประมุขแห่งรัฐฮังการีคนเดียวตลอดสมัยระหว่างสงคราม และดำรงตำแหน่งจนกระทั่งเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944[71]
การต่อต้านการปฏิวัติ
แก้ระหว่างที่โฮร์ตีดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ฝ่ายมูลวิวัติได้กำหนดนโนบายทางการเมืองของตนในรัฐสภาไว้หลายประการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอนุมัติการปฏิรูปที่ดินบางส่วน การออกกฎหมายต่อต้านชาวยิว ซึ่งเป็นครั้งแรกในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติลง[75] และการฟื้นฟูการลงโทษทางร่างกายสำหรับอาชญากรรมบางประเภท[76] ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมทางสังคมในยุคนั้น[77] การที่รัฐสภาให้สัตยาบันในสนธิสัญญาทรียานงเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน และลงนามในวันที่ 4 มิถุนายน[78][79][หมายเหตุ 3] ซึ่งสนธิสัญญาฉบับนี้ถูกกำหนดไว้โดยประเทศผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะมีการปฏิเสธในบางหัวข้อที่กำหนด ทำให้ประเทศต้องสูญเสียดินแดนและประชากรประมาณสองในสามของราชอาณาจักรเดิม[79][13][81] ความพยายามของนายกรัฐมนตรีปาล แตแลกี (Pál Teleki) ที่จะจำกัดการสูญเสียเพื่อแลกกับผลประโยชน์แก่ฝรั่งเศสและการให้ความช่วยเหลือโปแลนด์ในสงครามโปแลนด์-โซเวียตประสบความล้มเหลว[81][82] ทั้งในรัฐบาลและรัฐสภาต่างถูกครอบงำโดยบุคคลที่มีประสบการณ์ทางการเมืองต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นชนชั้นนายทุนมากกว่าชนชั้นสูง และเป็นบุคคลผู้มีอายุน้อยกว่ากลุ่มผู้ปกครองในช่วงก่อนสงครามทั้งสิ้น แต่หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปในช่วง ค.ศ. 1921 เมื่อรัฐบาลสายอนุรักษนิยมของอิชต์วาน แบตแลน (István Bethlen) ขึ้นสู่อำนาจ[83]
ภายหลังการฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยของฮังการี ประเทศได้เข้าสู่ปีแห่งความวุ่นวายครั้งใหญ่[84][85] สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของฮังการีร้ายแรงเป็นอย่างมาก[79] อดีตพระมหากษัตริย์แห่งฮังการี (พระเจ้าคาร์ลที่ 4) ทรงพยายามฟื้นฟูราชบัลลังก์ถึงสองครั้งใน ค.ศ. 1921 แต่ไม่สำเร็จ[84][86][87][73][หมายเหตุ 4] รัฐบาลซึ่งขาดอำนาจที่เข้มแข็งยังคงปล่อยให้ความน่าสะพรึงกลัวของกองกำลังกึ่งทหารที่ต่อต้านชาวยิว นักสังคมนิยม และปัญญาชนฝ่ายซ้ายดำเนินต่อไป[84] ผู้อพยพจำนวนมากจากดินแดนที่สูญเสียประมาณ 300,000 ถึง 400,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง[88][89] ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญสำหรับฮังการี[84] ดังนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1921 รัฐบาลจึงออกคำสั่งห้ามการเข้ามาของผู้อพยพรายใหม่จำนวนมหาศาล แต่ปัญหาก็ไม่ได้หยุดลง เนื่องจากมีการปล่อยให้ผู้อพยพเข้ามาหลายพันคนในแต่ละเดือน[90] ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวชนชั้นกลางผู้ยากไร้ ทหารปลดประจำการ และข้าราชการจากดินแดนที่สูญเสีย[89] กลุ่มคนเหล่านี้ให้การสนับสนุนฝ่ายฟาสซิสต์ ซึ่งพวกเขาปรารถนาที่จะนำรูปแบบการเมืองระบอบเผด็จการมาใช้ โดยพวกเขาหวังจะเจริญก้าวหน้าในระบอบนี้[91] ประเทศต้อนรับทหารผู้อพยพประมาณ 17,000 คน ขณะที่สนธิสัญญาสันติภาพจำกัดจำนวนทหารผู้อพยพเพียง 1,700 คน นั่นแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีอำนาจควบคุมกองทัพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น[92] ความต้องการของผู้อพยพต่อการจ้างงานของรัฐและความเป็นไปไม่ได้ในการรับผู้อพยพเพิ่ม กระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง[หมายเหตุ 5] ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจทั้งสำหรับรัฐและผู้อพยพ[93] การที่ประชากรชาวยิวมีความสำคัญยิ่งต่อระบบอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ของประเทศและความล้มเหลวของผู้อพยพในการแข่งขันกับชาวยิว ทำให้กระแสการต่อต้านชาวยิวปะทุขึ้นในหมู่ผู้อพยพและเกิดการเรียกร้องการจ้างงานของรัฐอย่างต่อเนื่อง[94] สถานการณ์ความไม่มั่นคงภายในประเทศทำให้นักธุรกิจต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุนในฮังการี แม้ตอนนี้รัฐบาลจะไม่ถูกคุกคามโดยขบวนการชาวนาแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลยังคงประสบความขัดแย้งกับคนงานที่ถูกกดขี่[61] และชนชั้นกลางที่เอือมระอากับการทดลองทางสังคมและกองกำลังกึ่งทหาร[84] การยุติความน่าสะพรึงกลัวทำให้รัฐบาลได้รับการยอมรับในระดับสากลและความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจอีกด้วย[61][85][หมายเหตุ 6]
ทศวรรษแห่งแบตแลน
แก้การสิ้นสุดสมัยแห่งความไม่มั่นคงหลังการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลอิชต์วาน แบตแลน[16][17] ผู้สมัครเลือกตั้งซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษนิยม (เนื่องจากเขาถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นสมาชิกจากตระกูลขุนนางชั้นสูงด้วย) ฝ่ายขวามูลวิวัติ (เนื่องจากแบตแลนมีแนวคิดแบบเทววิทยาปฏิรูปและเป็นหนึ่งในผู้อพยพจากดินแดนทรานซิลเวเนียที่สูญเสีย)[16] นักการเมืองผู้มีประสบการณ์[95] และนักปฏิบัตินิยม[96] ทำให้ในเวลาไม่นานแบตแลนกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลเหนือกว่าโฮร์ตี[97][34] (แบตแลนเริ่มมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคอนุรักษนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ[98] แม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายขวามูลวิวัติก็ตาม)[99][18][100] ทัศนคติแบบอนุรักษนิยมเสรีของแบตแลนเป็นตัวกลางระหว่างทั้งสองฝ่ายที่สนับสนุนระบอบการปกครองแบบอนุรักษนิยมและฝ่ายขวามูลวิวัติ ซึ่งถือเป็นนโยบายภายในประเทศในช่วงระยะเวลาอันยาวนานของแบตแลนในฐานะนายกรัฐมนตรี[18] โดยพื้นฐานแล้ว รัฐบาลใหม่นี้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงปฏิกิริยา พร้อมทั้งฟื้นฟูระบบการเมืองและรูปแบบสังคมให้กลับไปเป็นดังช่วงก่อนสงครามโลก[61][98][16][101]
แบตแลนตัดสินใจระงับการก่อกวนของฝ่ายขวาจัดก่อน[19][102] โดยการติดสินบนบุคคลสำคัญบางคน ซึ่งเขาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาล[18] กองกำลังกึ่งทหารได้รับมอบหมายให้กักขังคนงาน ชาวนา และข่มขู่ฝ่ายค้านทางการเมือง[99] โดยพวกเขาได้กระทำการจนเกินกว่าเหตุและกลายเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่อชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยมที่ต่อต้านการปฏิวัติ[103] การดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลเป็นไปอย่างเชื่องช้าและใช้เวลาดำเนินการเกือบสองปี ส่วนหนึ่งเพราะกองกำลังกึ่งทหารมีผู้สนับสนุนที่มีอำนาจทั้งในฝ่ายกองทัพและฝ่ายบริหารพลเรือน ซึ่งรวมถึงตัวของผู้สำเร็จราชการอย่างโฮร์ตีด้วย[8] (ซึ่งพวกเขาได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมสำหรับอาชญากรรมทั้งหมดของกองกำลังกึ่งทหารในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1921)[104] ในช่วงกลางทศวรรษ 1920 กองกำลังกึ่งทหารในชนบทถูกรวมเข้ากับกองพลตระเวนภายใต้การควบคุมของกองทัพและถูกยุบตัวลงไปโดยส่วนใหญ่[105] ด้วยการควบคุมที่เพียงพอจากทางกองทัพและตำรวจ รัฐบาลจึงแสดงความมุ่งมั่นที่จะยุบเลิกกองกำลังกึ่งทหารทั้งหมดภายในสิ้นปี 1921[106][หมายเหตุ 7] เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ รัฐบาลจึงเพิ่มงบประมาณทางทหารโดยไม่สนใจถึงข้อจำกัดที่กำหนดโดยสนธิสัญญาสันติภาพ[108] เจ้าหน้าที่ทหารส่วนหนึ่งได้รับตำแหน่งในฝ่ายบริหารพลเรือน[103] เจ้าหน้าที่ลับทั่วไปถูกควบคุมโดยทหารผ่านศึกอนุรักษนิยมในสมัยจักรวรรดิมากกว่าผู้บัญชาการทหารที่ต่อต้านการปฏิวัติ[109] เมื่อ ค.ศ. 1922 รัฐบาลประสบความสำเร็จในการยุติความน่าสะพรึงกลัวของกองกำลังกึ่งทหารได้ในที่สุด[110][111] ด้วยนโยบายต่างประเทศที่สันติและการยุติความไม่มั่นคงภายใน แบตแลนจึงสามารถนำพาประเทศเข้าสู่สันนิบาตชาติได้ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1922[19][34][75][112] อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายขวามูลวิวัติ ทำให้แบตแลนรับประกันชัยชนะในอดีตได้เป็นการชั่วคราว[113]
ด้วยรัฐเผชิญกับการล้มละลายอย่างถึงขีดสุด เนื่องจากรายได้ของประเทศไม่เพียงพอ แบตแลนจึงขายทองคำและทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศก้อนสุดท้าย เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับธุรกิจและครอบคลุมงบประมาณแผ่นดินระหว่าง ค.ศ. 1921 ถึง ค.ศ. 1923[20][หมายเหตุ 8] จากเสถียรภาพทางการเมืองที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทำให้ฮังการีสามารถเจรจากับสถาบันการเงินของต่างประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น[20] การเป็นสมาชิกสันนิบาตชาติทำให้ประเทศได้รับสินเชื่อการรักษาเสถียรภาพระหว่างประเทศจำนวน 250 ล้านโกโรนอใน ค.ศ. 1924[19][34][75][112] อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเหล่านี้ส่งผลให้เกิดแรงกดดันในการชำระหนี้เก่าและการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง โดยหนี้ภายนอกเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดชะงักในช่วงทศวรรษของแบตแลน ซึ่งอยู่ที่ 70 % ของจีดีพีใน ค.ศ. 1931[20] กลยุทธ์ของแบตแลนขึ้นอยู่กับการรักษาสินเชื่อระหว่างประเทศ ซึ่งเขาสามารถรักษาไว้ได้ตลอดทศวรรษ 1920[20][114] แม้ว่าผู้คนภายในประเทศหรือตัวของแบตแลนเองจะมีความเกลียดชังชาวยิว แต่เขาก็ยังแสวงหาความร่วมมือจากชนชั้นนายทุนชาวยิวในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสงคราม[115] การปกครองในสมัยนี้ยังคงทัศนคติต่อต้านยิวเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นชนชั้นสูงยิวที่ให้ความร่วมมือแก่รัฐบาล[115]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อาณาเขต
แก้การเสียดินแดน
แก้เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920 ผู้สำเร็จราชการ มิกโลช โฮร์ตี ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง ได้ลงนามในสนธิสัญญาทรียานง ซึ่งเป็นการยินยอมสละดินแดนส่วนใหญ่ของอดีตจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี[78][79] ทำให้ฮังการีสูญเสียดินแดนคิดเป็น 72 % ของดินแดนเดิม (จาก 282,870 ตารางกิโลเมตร เป็น 92,963 ตารางกิโลเมตร)[78][79] และประชากรลดลงจาก 18.2 ล้านคน เป็น 7.98 ล้านคน[13] ประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการเสียดินแดนของฮังการี คือ ออสเตรีย, เชโกสโลวาเกีย, โรมาเนีย (ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับดินแดนมากที่สุด ทั้งทรานซิลเวเนียทั้งหมด บานัตส่วนใหญ่ และดินแดนอื่น ๆ),[116] และยูโกสลาเวีย[13][82] อีกทั้งฮังการียังสูญเสียพื้นที่ทางออกทะเลเพียงแห่งเดียวของประเทศอย่างเมืองท่าฟีอูเมให้กับอิตาลี[13][82] ชาวฮังการีราวสองถึงสามล้านคน (คิดเป็นหนึ่งในสามของประชากร)[82][78] กลายเป็นส่วนหนึ่งของประชากรในประเทศเพื่อนบ้าน[79] ซึ่งผู้คนเหล่านี้สนับสนุนในความปรารถนาที่จะกู้คืนดินแดนที่เสียไป[13] เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายเป็นศัตรูกับทางการบูดาเปสต์ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์[117] ในบางกรณี ก็มีการแบ่งพรมแดนของภูมิภาคที่มีชาวฮังการีอาศัยเป็นส่วนใหญ่[82] เช่นเดียวกับกรณีของเชโกสโลวาเกีย[117] ประชากรชาวฮังการีจำนวนมากบางส่วนถูกแยกออกจากดินแดนราชอาณาจักรเพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น[82]
อย่างไรก็ดี สนธิสัญญายังคงกำหนดประชากรองค์รวมของประเทศให้เป็นมาตรฐาน[88] โดยประกอบด้วยชาวฮังการี 89.8 % ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลานั้น[13][118] สำหรับชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ คือ ชาวเยอรมัน ซึ่งคิดเป็น 6.8 % ของประชากรทั้งหมด[13] ส่วนชนกลุ่มน้อยสโลวัก โรมาเนีย และโครเอเชียก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน แต่มีสัดส่วนที่น้อยกว่า[13] ทำให้ปัญหาชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุดปัญหาหนึ่งในภูมิภาค ได้รับการแก้ปัญหาโดยสนธิสัญญาสันติภาพฉบับนี้[118]
นอกจากการสูญเสียทางดินแดนและเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่งแล้ว สนธิสัญญายังได้จํากัดกำลังพลของฮังการีไว้อีกด้วย โดยกองทัพบกไม่สามารถมีกำลังพลเกิน 35,000 นาย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นอาสาสมัครมิใช่ทหารชำนาญการ ส่วนกองทหารรักษาการณ์และตํารวจสามารถมีเจ้าหน้าที่ได้ไม่เกิน 12,000 นาย[81] ในขณะที่สามประเทศเพื่อนบ้านของฮังการี (เชโกสโลวาเกีย ยูโกสลาเวีย และโรมาเนีย) ที่รวมกันแล้วมีกำลังพลประมาณ 5 แสนนาย กองทัพฮังการีไม่ได้รับอนุญาตให้มีหน่วยการบิน หน่วยรถถัง หน่วยปืนใหญ่หนัก กองเสนาธิการทหาร หรือแม้แต่กําหนดการรับราชการทหารภาคบังคับ[81]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ดูเพิ่ม
แก้หมายเหตุ
แก้- ↑ ชนชั้นสูงได้รับการฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาจากความชอบธรรมในการต่อต้านชาวยิว โดยกล่าวหาว่าประชากรชาวยิวเป็นต้นเหตุให้กองทัพพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อีกทั้งฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ในระหว่างสงคราม และเป็นผู้สนับสนุนที่แท้จริงของสาธารณรัฐโซเวียต ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกันโดยตรงกับแรงงานและชาวนาได้[62]
- ↑ ผู้สำเร็จราชการแห่งฮังการีแทบจะมีอำนาจเทียบเท่าพระมหากษัตริย์ แม้จะไม่สามารถมอบตำแหน่งอันสูงส่งหรือยับยั้งการตัดสินใจของฝ่ายคริสตจักรได้ แต่ผู้สำเร็จราชการมีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี สามารถสั่งยุบสภา หรือยับยั้งกฎหมายได้ อีกทั้งผู้สำเร็จราชการยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพด้วย ใน ค.ศ. 1925 อำนาจของผู้สำเร็จราชการได้รับการขยายมากขึ้น โดยสามารถแต่งตั้งวุฒิสมาชิกตลอดชีพในวุฒิสภาแห่งชาติได้[71]
- ↑ เป็นคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม โดยมีซานโดร์ ชีโมนยี-แชมอด็อม (Sándor Simonyi-Semadam) เป็นประธานคณะรัฐมนตรี ซึ่งต้องลงนามในสนธิสัญญาที่กำหนดโดยผู้ชนะสงครามในเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศปาล แตแลกี ได้ทำการปลดชีโมนยี-แชมอด็อม หลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลได้ไม่นาน[80]
- ↑ เนื่องจากการสวรรคตของพระเจ้าคาร์ลที่ 4 ใน ค.ศ. 1922 ทำให้ความพยายามในการฟื้นฟูราชาธิปไตยฮาพส์บวร์คสิ้นสุดลงในการเมืองฮังการี[86]
- ↑ การแก้ไขสนธิสัญญาสันติภาพทั้งหมดหรือบางส่วนที่ลงนามหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่เอื้ออำนวยมากขึ้นสำหรับฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ ในกรณีของฮังการี การเมืองของประเทศถูกครอบงำด้วยความปรารถนาที่จะกอบกู้ดินแดนอันกว้างใหญ่ที่สูญเสียไปทั้งหมดหรือบางส่วน ไม่ว่าจะโดยสันติหรือใช้กำลังก็ตาม
- ↑ Nagy-Talavera กล่าวถึงผู้ถูกเนรเทศทั้งหมด 70,000 คน ได้รับการส่งตัวไปยังค่ายกักกัน มีการพิจารณาคดีถึง 27,000 ครั้งสำหรับบุคคลที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมยุคสาธารณรัฐ มีการประหารชีวิต 329 ครั้ง การสังหาร 1,200 คน และมีอีกหลายหมื่นคนที่ต้องลี้ภัยเพราะความน่าสะพรึงกลัวนี้[56]
- ↑ อย่างไรก็ตาม Nagy-Talavera ระบุว่ายังมีความวุ่นวายบางส่วนเกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1924-1925 โดยผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่อาศัยประโยชน์จากความผ่อนปรนของศาลฮังการีอยู่เสมอ[107]
- ↑ ใน ค.ศ. 1923 งบประมาณแผ่นดินของรัฐทั้งหมด 79 % มาจากทองคำและทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ[20]
อ้างอิง
แก้- ↑ "A m. kir. minisztérium 1939. évi 6.200. M. E. számú rendelete, a Magyar Szent Koronához visszatért kárpátaljai terület közigazgatásának ideiglenes rendezéséről" [Order No. 6.200/1939. M. E. of the Royal Hungarian Ministry on the provisional administration of the Subcarpathian territory returned to the Hungarian Holy Crown]. Magyarországi Rendeletek Tára (ภาษาฮังการี). Budapest: Royal Hungarian Ministry of the Interior. 73: 855. 1939.
- ↑ Fedinec, Csilla (2002). "A Kárpátaljai Kormányzóság idõszaka" [The period of the Governorate of Subcarpathia]. A kárpátaljai magyarság történeti kronológiája, 1918-1944 [Historical chronology of the Hungarians in Subcarpathia, 1918-1944] (PDF) (ภาษาฮังการี). Galánta - Dunaszerdahely: Fórum Intézet - Lilium Aurum Könyvkiadó. p. 336. ISBN 80-8062-117-9.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 Fogarasi, Zoltán (1944). "A népesség anyanyelvi, nemzetiségi és vallási megoszlása törvényhatóságonkint 1941-ben" [Distribution of the population by mother tongue, ethnicity and religion in the municipalities of Hungary in 1941.]. Magyar Statisztikai Szemle (ภาษาฮังการี). Budapest: Royal Hungarian Central Statistical Office. 22 (1–3): 4, 13.
- ↑ Kollega Tarsoly, István, บ.ก. (1995). "Magyarország". Révai nagy lexikona (ภาษาฮังการี). Vol. 20. Budapest: Hasonmás Kiadó. pp. 595–597. ISBN 963-8318-70-8.
- ↑ Kollega Tarsoly, István, บ.ก. (1996). "Magyarország". Révai nagy lexikona (ภาษาฮังการี). Vol. 21. Budapest: Hasonmás Kiadó. p. 572. ISBN 963-9015-02-4.
- ↑ Élesztős László; และคณะ, บ.ก. (2004). "Magyarország". Révai új lexikona (ภาษาฮังการี). Vol. 13. Budapest: Hasonmás Kiadó. pp. 882, 895. ISBN 963-9556-13-0.
- ↑ The Horthy Era (1920-1944)
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 Nagy-Talavera 1970, p. 55.
- ↑ Rothschild 1990, p. 191.
- ↑ Dreisziger 1998, p. 31.
- ↑ 11.0 11.1 Rogger & Weber 1974, p. 364-365.
- ↑ Nagy-Talavera 1970, p. 77.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 13.5 13.6 13.7 13.8 Janos 1981, p. 205.
- ↑ Nagy-Talavera 1970, pp. 56–57.
- ↑ Rothschild 1990, p. 166.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 16.3 Rogger & Weber 1974, p. 375.
- ↑ 17.0 17.1 Nagy-Talavera 1970, p. 58.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 18.3 Janos 1981, p. 208.
- ↑ 19.0 19.1 19.2 19.3 Rothschild 1990, p. 163.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 20.5 Janos 1981, p. 209.
- ↑ Rothschild 1990, p. 162-163.
- ↑ Seton-Watson 1946, p. 240-241.
- ↑ 23.0 23.1 23.2 Seton-Watson 1946, p. 241.
- ↑ Nagy-Talavera 1970, p. 59.
- ↑ Janos 1981, p. 246.
- ↑ Janos 1981, p. 246-247.
- ↑ Rothschild 1990, pp. 173–174.
- ↑ 28.0 28.1 28.2 Janos 1981, p. 300.
- ↑ Janos 1981, p. 298-300.
- ↑ 30.0 30.1 Rothschild 1990, p. 176.
- ↑ Juhász 1979, p. 135.
- ↑ Janos 1981, p. 292.
- ↑ Janos 1981, p. 301.
- ↑ 34.0 34.1 34.2 34.3 Sugar 1971, p. 75.
- ↑ Rothschild 1990, p. 183.
- ↑ Rothschild 1990, p. 187.
- ↑ Janos 1981, p. 308-309.
- ↑ Janos 1981, p. 309.
- ↑ 39.0 39.1 Rothschild 1990, p. 188.
- ↑ Seton-Watson 1956, p. 105.
- ↑ Balogh 1983, p. 44.
- ↑ 42.0 42.1 Seton-Watson 1946, p. 240.
- ↑ Berend & Ránki 1969, p. 183.
- ↑ Janos 1981, p. 244.
- ↑ Rothschild 1990, p. 171.
- ↑ Basch 1943, p. 206.
- ↑ Rothschild 1990, p. 189.
- ↑ Rothschild 1990, p. 196.
- ↑ Janos 1981, p. 223.
- ↑ Janos 1981, p. 302.
- ↑ Nagy-Talavera 1970, p. 242.
- ↑ 52.0 52.1 52.2 52.3 52.4 Janos 1981, p. 201.
- ↑ Rothschild 1990, p. 152.
- ↑ Rothschild 1990, p. 151-152.
- ↑ 55.0 55.1 55.2 55.3 55.4 Rogger & Weber 1974, p. 371.
- ↑ 56.0 56.1 56.2 Nagy-Talavera 1970, p. 54.
- ↑ 57.0 57.1 Rothschild 1990, p. 153.
- ↑ Mocsy 1983, p. 145.
- ↑ Janos 1981, p. 201-202.
- ↑ Cohen 1984, p. 136.
- ↑ 61.0 61.1 61.2 61.3 Sugar 1971, p. 74.
- ↑ Rogger & Weber 1974, p. 370.
- ↑ Bodó 2006, p. 129-132.
- ↑ Mocsy 1983, p. 145-146.
- ↑ Macartney 1929, p. 585.
- ↑ Macartney 1929, p. 586.
- ↑ Janos 1981, p. 202-203.
- ↑ 68.0 68.1 Janos 1981, p. 202.
- ↑ 69.0 69.1 69.2 Rothschild 1990, p. 154.
- ↑ Macartney 1929, p. 582.
- ↑ 71.0 71.1 71.2 71.3 Janos 1981, p. 203.
- ↑ Rothschild 1990, p. 154, 158.
- ↑ 73.0 73.1 73.2 Rogger & Weber 1974, p. 373.
- ↑ Horel 2008, p. 91.
- ↑ 75.0 75.1 75.2 Rogger & Weber 1974, p. 376.
- ↑ Nagy-Talavera 1970, p. 73.
- ↑ Janos 1981, p. 204.
- ↑ 78.0 78.1 78.2 78.3 Rothschild 1990, p. 155.
- ↑ 79.0 79.1 79.2 79.3 79.4 79.5 Rogger & Weber 1974, p. 372.
- ↑ Ablonczy 2006, p. 67, 69.
- ↑ 81.0 81.1 81.2 81.3 Rothschild 1990, p. 157.
- ↑ 82.0 82.1 82.2 82.3 82.4 82.5 Nagy-Talavera 1970, p. 56.
- ↑ Janos 1981, p. 279.
- ↑ 84.0 84.1 84.2 84.3 84.4 Janos 1981, p. 206.
- ↑ 85.0 85.1 Nagy-Talavera 1970, p. 57.
- ↑ 86.0 86.1 Rothschild 1990, p. 159.
- ↑ Horel 2008, p. 92.
- ↑ 88.0 88.1 Sugar 1971, p. 73.
- ↑ 89.0 89.1 Nagy-Talavera 1970, p. 51.
- ↑ Mocsy 1983, p. 180.
- ↑ Sugar 1971, p. 66.
- ↑ Sakmyster 1975, p. 38.
- ↑ Mocsy 1983, p. 179.
- ↑ Mocsy 1983, p. 183.
- ↑ Rothschild 1990, p. 158.
- ↑ Nagy-Talavera 1970, p. 50.
- ↑ Sakmyster 1975, p. 21.
- ↑ 98.0 98.1 Bodó 2006, p. 141.
- ↑ 99.0 99.1 Bodó 2006, p. 142.
- ↑ Nagy-Talavera 1970, p. 53.
- ↑ Nagy-Talavera 1970, p. 58, 69.
- ↑ Sugar 1971, p. 68, 74.
- ↑ 103.0 103.1 Bodó 2006, p. 122.
- ↑ Bodó 2006, p. 142, 148.
- ↑ Bodó 2006, p. 145.
- ↑ Bodó 2006, p. 143.
- ↑ Nagy-Talavera 1970, p. 57-58.
- ↑ Janos 1981, p. 208-209.
- ↑ Sakmyster 1975, p. 22.
- ↑ Janos 1981, p. 225.
- ↑ Bodó 2006, p. 146.
- ↑ 112.0 112.1 Nagy-Talavera 1970, p. 74.
- ↑ Sugar 1971, p. 68.
- ↑ Nagy-Talavera 1970, p. 83.
- ↑ 115.0 115.1 Nagy-Talavera 1970, p. 64.
- ↑ Lorman 2005, p. 291.
- ↑ 117.0 117.1 Rothschild 1990, p. 156.
- ↑ 118.0 118.1 Rothschild 1990, p. 192.
บรรณานุกรม
แก้- Ablonczy, Balazs (2006). Pal Teleki (1879-1941): The Life of a Controversial Hungarian Politician (ภาษาอังกฤษ). East European Monographs. p. 338. ISBN 9780880335959.
- Balogh, Eva S. (1983). "Peaceful Revision: The Diplomatic Road to War" (PDF). Hungarian Studies Review. 10 (1): 43-51.
- Basch, Antonín (1943). The Danube basin and the German economic sphere (ภาษาอังกฤษ). Columbia University Press. p. 275. OCLC 2226815.
- Batowski, Henryk (1971). "Diplomatic Events in East-Central Europe in 1944". East European Quarterly. 5 (3): 313-324.
- Berend, Ivan; Ránki, György (1969). "Economic Problems of the Danube Region after the Break-Up of the Austro-Hungarian Monarchy". Journal of Contemporary History. 4 (3): 169-185. ISSN 0022-0094.
- Berend, Ivan T.; Ránki, György (1961). "German-Hungarian Relations Following Hitler's Rise to Power (1933-34)". Acta Historica Academiae Scientiarum Hungaricae. 8 (3–4): 313-348.
- Bodó, Béla (2006). "Militia Violence and State Power in Hungary, 1919-1922" (PDF). Hungarian Studies Review. 33 (1–2): 121–156.
- Cohen, Asher (1996). "The Holocaust of Hungarian Jews in Light of the Research of Randolph Braham". Yad Vashem Studies. 25: 361-382.
- Cohen, Asher (1984). "Continuity in the Change: Hungary, 19 March 1944". Jewish Social Studies. 46 (2): 131-144.
- Dombrády, Lóránd (1987). "The Hungarian War Economy and Industry during the Second World War". Acta Historica Academiae Scientiarum Hungaricae. 33 (1): 123-125.
- Dreisziger, Nándor (1998). Hungary in the Age of Total War, 1938-1948 (ภาษาอังกฤษ). East European Monographs. p. 384. ISBN 9780880334075.
- Ferber, Katalin (1983). "The Domestic and International Equilibrium of the Hungarian Economy in the Years Following the Stabilization (1924–1931)". Acta Historica Academiae Scientiarum Hungaricae. 29 (2–4): 283-286.
- Grenzebach, William S. (1988). Germany's Informal Empire: German Economic Policy Toward Yugoslavia and Rumania, 1933-1939 (ภาษาอังกฤษ). Franz Steiner. p. 269. ISBN 9783515050050.
- Horel, Catherine (2008). "L'aristocratie en Hongrie entre les deux guerres: Une apparente continuité". Vingtième Siècle. Revue d'histoire. 99: 91-103.
- Incze, M. (1954). "The Conditions of the Masses in Hungary during the World Economic Crisis of 1929-1933". Acta Historica Academiae Scientiarum Hungaricae. 3 (1–2): 1-93.
- Janos, Andrew C. (1981). The Politics of Backwardness in Hungary: Dependence and Development on the European Periphery, 1825-1945 (ภาษาอังกฤษ). Princeton University Press. p. 370. ISBN 9780691101231.
- Juhász, Gyula (1979). Hungarian foreign policy, 1919-1945 (ภาษาอังกฤษ). Akadémiai Kiadó. p. 356. ISBN 9789630518826.
- Kaiser, David E. (1980). Economic Diplomacy and the Origins of the Second World War: Germany, Britain, France and Eastern Europe, 1930-1939 (ภาษาอังกฤษ). Princeton University Press. p. 346. ISBN 9780691101019.
- Klay, Andor (1974). "Hungarian Counterfeit Francs: A Case of Post-World War I Political Sabotage". Slavic Review. 33 (1): 107-113.
- Klein, Bernard (1966). "Hungarian politics and the Jewish question in the inter-war period". Jewish social studies. 28 (2): 79-98.
- Klein, Bernard (1982). "Anti-Jewish Demonstrations in Hungarian Universities, 1932-1936: István Bethlen vs Gyula Gömbös". Jewish Social Studies. 44 (2): 113-124.
- Lorman, Tom (2005). "Missed Opportunities? Hungarian Policy Towards Romania, 1932-1936". The Slavonic and East European Review. 83 (2): 290-317.
- Macartney, C. A. (1929). "Hungary Since 1918". The Slavonic and East European Review. 7 (21): 577-594.
- Mocsy, Istvan I. (1983). The Uprooted: Hungarian Refugees and Their Impact on Hungary's Domestic Politics, 1918-1921 (ภาษาอังกฤษ). East European Monographs. p. 252. ISBN 9780880330398.
- Nagy-Talavera, Nicholas M- (1970). The Green Shirts and the Others: A History of Fascism in Hungary and Rumania (ภาษาอังกฤษ). Hoover Institution publications. p. 427. ISBN 9739432115.
- Ránki, György (1964). "Problems of the Development of Hungarian Industry, 1900-1944". The Journal of Economic History. 24 (2): 204-228.
- Ránki, György (1981). "Surmounting the Economic Crisis in South-East Europe in the 1930s". Acta Historica Academiae Scientiarum Hungaricae. 27 (3–4): 499-523.
- Rogger, Hans; Weber, Eugen (1974). The European Right (ภาษาอังกฤษ). University of California Press. p. 593. ISBN 9780520010802.
- Rothschild, Joseph (1990). East Central Europe Between the Two World Wars (ภาษาอังกฤษ). University of Washington Press. p. 438. ISBN 9780295953571.
- Sakmyster, Thomas L. (1975). "Army Officers and Foreign Policy in Interwar Hungary, 1918-41". Journal of Contemporary History (ภาษาอังกฤษ). 10 (1): 19-40.
- Sakmyster, Thomas L. (1973). "Hungary and the Munich Crisis: The Revisionist Dilemma". Slavic Review (ภาษาอังกฤษ). 32 (4): 725-740.
- Seton-Watson, Hugh (1956). The East European revolution (ภาษาอังกฤษ). Praeger. p. 435. OCLC 396016.
- Seton-Watson, Hugh (1946). "The Danubian Satellites: A Survey of the Main Social and Political Factors in the Present Situation". International Affairs. 22 (2): 240-253.
- Spira, Thomas (1981). "Hungary and the Little Entente: The Failed Rapprochement of 1937". Südost Forschungen. 40: 144–163.
- Sugar, Peter F. (1971). Native fascism in the Successor States, 1918-1945 (ภาษาอังกฤษ). ABC-Clio. p. 166. ISBN 9780874360745.
- Szilassy, Sándor (1971). Revolutionary Hungary 1918-1921 (ภาษาอังกฤษ). Danubian Press. p. 141. ISBN 9780879340056.
- Winchester, Betty Jo (1976). "Hungary and the Austrian Anschluss". East European Quarterly. 10 (4): 409–25.
- Zsigmond, L. (1966). "La politique extérieure de la Hongrie de 1933 à 1939". Revue d'histoire de la Deuxième Guerre mondiale (62): 7-17.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ History of Hungary between the World Wars