การปฏิวัติและการแทรกแซงในฮังการี (ค.ศ. 1918–1920)
การปฏิวัติและการแทรกแซงในฮังการี กินเวลาระหว่างปี ค.ศ. 1918 จนถึง ค.ศ. 1920 มีจุดเริ่มต้นมาจากการก่อตั้งสาธารณรัฐฮังการีที่หนึ่ง ที่นำโดย มิฮาย กาโรยี ในช่วงการปฏิวัติเบญจมาศในปี ค.ศ. 1918 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919 สาธารณรัฐถูกล้มล้างจากปฏิวัติอีกครั้ง และสถาปนาสาธารณรัฐโซเวียตฮังการี (หรือที่รู้จักกันในนาม “สภาแห่งสาธารณรัฐฮังการี”) ความขัดแย้งที่ยังไม่ได้รับการจัดการนำไปสู่การประกาศสงครามระหว่างฮังการีกับประเทศเพื่อนบ้าน (ราชอาณาจักรโรมาเนีย,[1] ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน[2][3] และเชโกสโลวาเกียที่พึ่งก่อตั้งขึ้นใหม่[1]) ในปี ค.ศ. 1919 สาธารณรัฐโซเวียตฮังการีได้ล่มสลายลง ภายหลังจากการเข้ายึดครองของโรมาเนีย และได้เกิดการลงนามในสนธิสัญญาทรียานงที่แวร์ซายเพื่อลดความขัดแย้งและมอบผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างโรมาเนีย, เชโกสโลวาเกีย และราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน
การปฏิวัติและการแทรกแซงในฮังการี | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ การปฏิวัติ ค.ศ. 1917–1923 | |||||||
กองทหารอาสาสมัครในการปฏิวัติฮังการี | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
สาธารณรัฐฮังการี โซเวียตฮังการี โซเวียตสโลวัก |
เชโกสโลวาเกีย โรมาเนีย ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน สาธารณรัฐแพร็กมูรีแย ราชอาณาจักรฮังการี ฝรั่งเศส | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
มิฮาย กาโรยี เบลอ กุน ออนโตนีน ยอโนอูแซก |
โตมาช มาซาริค เฟอร์ดินานด์ที่ 1 ปีเตอร์ที่ 1 จูลอ กาโรยี ดี. ป็อตต็อนจูช-อาบรอฮาม มิกโลช โฮร์ตี | ||||||
กำลัง | |||||||
ฮังการี: 10,000–80,000 |
เชโกสโลวาเกีย: 20,000 โรมาเนีย: 10,000–96,000 | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
ฮังการี: ไม่ทราบ |
เชโกสโลวาเกีย: 1,000[ต้องการอ้างอิง] โรมาเนีย: 11,666[ต้องการอ้างอิง] |
ภูมิหลัง
แก้ด้วยบรรยากาศและสถานการณ์ทางการเมืองที่ผันผวนภายในภูมิภาคยุโรปกลางในช่วงระหว่างสงคราม ทำให้มีการประกาศแยกตัวเพื่อจัดตั้งรัฐอิสระของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จากอดีตจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 จะเห็นได้จากการต่อสู้เพื่อยึดครองดินแดนของอดีตจักรวรรดิ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยฮังการี มิฮาย กาโรยี ได้ลาออกจากตำแหน่งภายหลังจากการดำรงตำแหน่งเพียงสี่เดือนเท่านั้น (เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1919) ต่อมา เบลอ กุน ผู้ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนบอลเชวิค ได้รับการหนุนหลังจากวลาดีมีร์ เลนิน เพื่อกระทำการยึดอำนาจอย่างรวดเร็วและประกาศจัดตั้งรัฐบาลแห่งการปฏิวัติขึ้น
ความขัดแย้งทางการทหาร
แก้ช่วงเวลาระหว่างสงครามนี้ กองทัพแดงฮังการีได้พยายามป้องกันการรุกรานจากเชโกสโลวาเกียและโรมาเนีย โดยที่ฝรั่งเศสก็มีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญอย่างมากในความขัดแย้งครั้งนี้[4] ความขัดแย้งทางการทูตด้วยเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้ว ได้มีทหารมากกว่า 120,000 นายจากทั้งสองฝ่ายที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งนี้
กุนได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อชาวฮังการี โดยเขาให้คำมั่นสัญญาว่าจะสามารถทวงคืนดินแดนที่เสียไปให้กับประเทศเพื่อนบ้านภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เขาขึ้นสู่อำนาจ กุนได้ประกาศสงครามกับเชโกสโลวาเกีย เมื่อกองทัพฮังการีบุกครองพื้นที่อัปเปอร์ฮังการีหรือสโลวาเกียเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม โดยยึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ในการเผชิญหน้ากับกองทัพฮังการีที่รุกคืบ ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มกดดันรัฐบาลโซเวียตฮังการี และภายในสามสัปดาห์ กุนไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากรัสเซีย กองทัพฮังการีถูกกดดันให้ถอนกำลังออกจากสาธารณรัฐโซเวียตสโลวักที่พึ่งก่อตั้งขึ้น โดยฝรั่งเศสได้ให้สัญญากับรัฐบาลว่ากองทัพโรมาเนียจะถอนกำลังออกจากทิสซานตูล
กองทัพโรมาเนียได้ละเลยคำสัญญาของผู้นำฝรั่งเศสและยังคงตั้งมั่นอยู่ที่แนวฝั่งตะวันออกของแม่น้ำทิสซอ รัฐบาลโซเวียตฮังการีได้อ้างเจตจำนงของฝ่ายสัมพันธมิตรต่อโรมาเนีย และเห็นว่าการแก้ปัญหาทางการทูตไม่สามารถแก้ปัญหาการรุกคืบของกองทัพโรมาเนียได้ จึงมีมติขจัดภัยคุกคามจากกองกำลังทหารทันที โดยพวกเขาได้วางแผนที่จะขับไล่ชาวโรมาเนียออกจากทิสซานตูล พร้อมโจมตีกองทัพโรมาเนีย และยึดดินแดนทรานซิลเวเนียกลับคืนมา อย่างไรก็ตาม การโจมตีกองทัพโรมาเนียของฮังการีได้ล้มเหลว และถึงแม้ว่าจะมีการทำข้อตกลงและการให้คำมั่นสัญญา แต่กองทัพโรมาเนียได้ข้ามแนวแม่น้ำทิสซอและมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงบูดาเปสต์อย่างรวดเร็ว เมืองหลวงของฮังการีแตกเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ซึ่งเป็นเวลาแค่เพียงสามวันเท่านั้น หลังจากที่กุนลี้ภัยไปเวียนนา การล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีและการยึดครองดินแดนต่าง ๆ ของฮังการีโดยโรมาเนีย รวมทั้งกรุงบูดาเปสต์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1919 ได้ยุติสงคราม กองทัพโรมาเนียถอนกำลังออกจากฮังการีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920 ภายหลังจากที่ได้ยึดทรัพยากรของฮังการีไปเป็นจำนวนมาก โดยถือเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม[5][6][7]
หลังจากสิ้นสุด
แก้ภายหลังจากสงครามฮังการี-โรมาเนียยุติลง ทำให้ประเทศฮังการีได้รับความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
รัฐบาลโรมาเนียได้ขอให้รัฐบาลฮังการีชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม โดยเป็นการส่งมอบสินค้าจำนวน 50% ของประเทศ, สินค้าปศุสัตว์จำนวน 30%, อาหารสัตว์ประมาณสองหมื่นคันรถ, และแม้กระทั่งประเมินการชำระเงินสำหรับค่าใช้จ่ายของพวกเขา
ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1920 พวกเขาได้เอาทรัพยากรของฮังการีไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งอาหาร, สินค้า, หัวรถจักรและรถราง, อุปกรณ์ภายในโรงงาน, หรือแม้กระทั่งโทรศัพท์และเครื่องพิมพ์ดีดจากหน่วยงานของรัฐบาล[8] ชาวฮังการีถือว่าการยึดทรัพยากรของโรมาเนียเป็นการชิงทรัพย์[8] โดยเป็นระยะเวลากว่าหกเดือนที่กองทัพโรมาเนียยึดครอง[9]
ภายหลังจากการยึดครองของโรมาเนีย "ความน่าสะพรึงกลัวขาว" ภายใต้การบัญชาของมิกโลช โฮร์ตี ได้ดำเนินการตอบโต้กับ "ความน่าสะพรึงกลัวแดง" ชาวฮังการีจึงต้องใช้ทรัพยากรที่หลงเหลือทั้งหมดเพื่อทำอาวุธสงคราม
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 David Parker, Revolutions and the revolutionary tradition in the West, 1560-1991, Routledge, 2000, p. 170.
- ↑ Priscilla Mary Roberts, World War I: A Student Encyclopedia, ABC-CLIO, 2005, p. 1824
- ↑ Miklós Lojkó, Meddling in Middle Europe: Britain and the 'Lands Between, 1919-1925, Central European University Press, 2006, p. 13
- ↑ Michael Brecher; Jonathan Wilkenfeld (2000). "Hungarian War". A Study of Crisis. University of Michigan Press. p. 575. ISBN 0472108069.
- ↑ Federal Research Division (2004). "Greater Romania and the Occupation of Budapest". Romania: A Country Study. Kessinger Publishing. p. 73. ISBN 9781419145315.
- ↑ Louise Chipley Slavicek (2010). "The Peacemakers and Germany's Allies". The Treaty of Versailles. Infobase Publishing. p. 84. ISBN 9781438131320.
- ↑ George W. White (2000). "The Core: The Tenacity Factor". Nationalism and Territory: Constructing Group Identity in Southeastern Europe. Rowman & Littlefield Publishers. p. 99. ISBN 9780847698097.
- ↑ 8.0 8.1 Cecil D. Eby, Hungary at war: civilians and soldiers in World War II, Penn State University Press, 2007, p. 4
- ↑ Louise Chipley Slavicek, The Treaty of Versailles, Infobase Publishing, 2010, p. 84