สาธารณรัฐโซเวียตฮังการี
สหพันธ์สาธารณรัฐสภาสังคมนิยมฮังการี (ฮังการี: Magyarországi Szocialista Szövetséges Tanácsköztársaság)[note 2] หรือ สาธารณรัฐสภาฮังการี (ฮังการี: Magyarországi Tanácsköztársaság) เป็นสาธารณรัฐที่มีอยู่เป็นเวลาสั้น ๆ ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก มีอาณาเขตครอบคลุมดินแดนประมาณ 23% ของดินแดนฮังการีในอดีต ดำรงอยู่ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม 1919 ถึงวันที่ 1 สิงหาคม 1919 รวมระยะเวลาทั้งหมดเป็น 133 วัน สาธารณรัฐก่อตั้งขึ้นภายหลังจากการเสื่อมถอยของสาธารณรัฐฮังการีที่หนึ่งในช่วงต้นปี 1919[2] สาธารณรัฐโซเวียตฮังการีมีสถานะเป็นรัฐตกค้างสังคมนิยมขนาดเล็ก[3] มีหัวหน้ารัฐบาลคือ ซานโดร์ กอร์บอยี แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เบลอ กุน กลับมีอำนาจและอิทธิพลในสาธารณรัฐและพรรคคอมมิวนิสต์ฮังการีมากกว่า การที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับไตรภาคี ซึ่งยังคงปิดล้อมทางเศรษฐกิจในฮังการี อีกทั้งความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านดินแดน และความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมอย่างถึงแก่น ทำให้สาธารณรัฐโซเวียตล้มเหลวในเป้าหมายที่วางไว้ และถูกล้มล้างในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่ก่อตั้ง การมอบบันทึกวิกซ์นำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลเสรีนิยมของเคานต์ มิฮาย กาโรยี ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนเป็นสำคัญ[4] และการประกาศสาธารณรัฐโซเวียตเมื่อวันที่ 21 มีนาคม[5] บุคคลที่บทบาทสำคัญในสาธารณรัฐโซเวียตคือ ผู้นำคอมมิวนิสต์ เบลอ กุน[2] ถึงแม้ว่าในช่วงแรกโครงสร้างรัฐบาลใหม่ส่วนใหญ่จะมาจากพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมก็ตาม[6] ระบอบใหม่นี้รวบรวมอำนาจอย่างมีประสิทธิผลในสภาปกครอง ซึ่งใช้อำนาจนี้ในนามของชนชั้นกรรมาชีพ[7][note 3]
สหพันธ์สาธารณรัฐสภาสังคมนิยมฮังการี Magyarországi Szocialista Szövetséges Tanácsköztársaság (ฮังการี) | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
มีนาคม–สิงหาคม 1919 | |||||||||
![]() แผนที่แสดงอาณาเขตของ ราชอาณาจักรฮังการี ในเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม 1919
อาณาเขตที่ควบคุมโดยโรมาเนียในเดือนเมษายน 1919
อาณาเขตที่ควบคุมโดยโซเวียตฮังการี
อาณาเขตของสาธารณรัฐโซเวียตสโลวัก ที่จัดตั้งขึ้นหลังจากโซเวียตฮังการีครอบครอง
อาณาเขตที่ควบคุมโดยยูโกสลาเวียและกองทัพฝรั่งเศส
พรมแดนของฮังการีในปี 1918
พรมแดนของฮังการีในปี 1920
| |||||||||
เมืองหลวง | บูดาเปสต์ 47°29′00″N 19°02′00″E / 47.4833°N 19.0333°Eพิกัดภูมิศาสตร์: 47°29′00″N 19°02′00″E / 47.4833°N 19.0333°E | ||||||||
ภาษาทั่วไป | ฮังการี | ||||||||
เดมะนิม | ชาวฮังการี | ||||||||
การปกครอง | สาธารณรัฐสังคมนิยม | ||||||||
ผู้นำโดยพฤตินัย | |||||||||
• 1919 | เบลอ กุน[note 1] | ||||||||
ประธานสภาปกครองกลาง | |||||||||
• 1919 | ซานโดร์ กอร์บอยี | ||||||||
สภานิติบัญญัติ | สมัชชาแห่งชาติโซเวียต | ||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | สมัยระหว่างสงคราม | ||||||||
• ก่อตั้ง | 21 มีนาคม 1919 | ||||||||
• รัฐธรรมนูญ | 23 มิถุนายน 1919 | ||||||||
• สิ้นสุด | 1 สิงหาคม 1919 | ||||||||
สกุลเงิน | โกโรนอฮังการี | ||||||||
| |||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
ระบอบการปกครองใหม่ล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงกับไตรภาคี นำไปสู่การถูกปิดล้อมทางเศรษฐกิจ การปรับปรุงพรมแดนใหม่ และการยอมรับรัฐบาลใหม่โดยมหาอำนาจที่ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[8] สาธารณรัฐโซเวียตฮังการีมีกองกำลังอาสาสมัครกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากกรรมกรโรงงานในกรุงบูดาเปสต์ มีความพยายามฟื้นฟูดินแดนที่เคยสูญเสียไปให้แก่บรรดาประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อกระตุ้นแรงสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากทุกชนชั้นทางสังคมในฮังการี ไม่เพียงเฉพาะกลุ่มที่เอื้อประโยชน์จากระบอบนี้เท่านั้น[9] ในขั้นต้นสาธารณรัฐได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักอนุรักษนิยมที่มีแนวคิดชาตินิยม กองกำลังนิยมสาธารณรัฐได้รุกเข้าเชโกสโลวาเกียในพื้นที่สโลวาเกีย[10] แต่หลังจากความพ่ายแพ้ทางฝั่งตะวันออกต่อกองทัพโรมาเนียในปลายเดือนเมษายน ทำให้กองทัพต้องล่าถอยออกจากแม่น้ำทิสซอ[11] ต่อมาเมื่อกลางเดือนมิถุนายน ได้มีการประกาศจัดตั้ง “สาธารณรัฐโซเวียตสโลวัก” โดยดำรงอยู่เพียงสองสัปดาห์ จนกระทั่งฮังการีถอนกำลังออกจากสโลวาเกียตามคำร้องขอจากไตรภาคี[10] เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม สาธารณรัฐโซเวียตเริ่มเปิดการโจมตีแนวรบของโรมาเนีย[12] แต่หลังจากนั้นโรมาเนียสามารถต้านทานการโจมตีของฮังการีได้[13] และสามารถฝ่าแนวรบของกองทัพฮังการีจนถึงบูดาเปสต์ ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหลังการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม[14]
การที่รัฐบาลโซเวียตฮังการีประกาศใช้มาตรการทั้งในส่วนของนโยบายต่างประเทศและภายในประเทศ ทำให้สาธารณรัฐสูญเสียความนิยมจากประชาชนไปอย่างรวดเร็ว[15] ความพยายามของฝ่ายบริหารชุดใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและค่านิยมของประชาชนอย่างลึกซึ้งได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง[16] ความพยายามที่จะเปลี่ยนฮังการีซึ่งยังคงสืบเนื่องมรดกจากสมัยราชาธิปไตยเข้าสู่สังคมแบบสังคมนิยมไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากองค์ประกอบหลายประการ กล่าวคือ สาธารณรัฐขาดเจ้าหน้าที่และข้าราชการที่มีประสบการณ์ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ตลอดจนการวางแผนกลยุทธ์ในการบริหาร[16] ความพยายามที่จะโน้มน้าวใจชาวนากลับพบแต่ความว่างเปล่า เนื่องจากการส่งเสริมการผลิตทางการเกษตรและการบริหารเมืองในเวลาเดียวกันนั้นไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จในระยะเวลาอันสั้น[17] หลังจากการถอนกำลังออกจากสโลวาเกีย รัฐบาลได้บังคับใช้มาตรการเพื่อเรียกร้องการสนับสนุนของประชาชนอีกครั้งแต่ก็พบกับความล้มเหลวเช่นเคย[18] โดยเฉพาะมาตรการอนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การส่งมอบที่ดินบางส่วนให้แก่ชาวนาโดยไม่มีการวางแผนและที่ดิน และความพยายามที่จะปรับปรุงสถานการณ์ทางการเงินและการจัดหาเสบียงอาหาร[18] ทำให้สาธารณรัฐโซเวียตฮังการีสูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ไประหว่างเดือนมิถุนายนจนถึงกรกฎาคม ส่งผลให้เกิดความพินาศของสาธารณรัฐพร้อมกับความพ่ายแพ้ทางการทหาร[18] ความล้มเหลวของนโยบายต่างประเทศ ทั้งสถานการณ์การเมืองและการถูกโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจจากไตรภาคี ความล้มเหลวทางการทหารในการเผชิญหน้ากับประเทศเพื่อนบ้าน และความเป็นไปไม่ได้ในการเข้าร่วมกองกำลังกับหน่วยกองทัพแดง มีส่วนทำให้สาธารณรัฐโซเวียตล่มสลาย[19] รัฐบาลประชาธิปไตยสังคมนิยม–คอมมิวนิสต์ได้รับการสืบต่อโดยฝ่ายสังคมนิยมสายกลางเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม[6] กลุ่มคอมมิวนิสต์ลี้ภัยออกจากบูดาเปสต์หรือเดินทางออกนอกประเทศ[13]
ประวัติแก้ไข
การสิ้นสุดของราชาธิปไตยและการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนแก้ไข
ภายหลังความปราชัยของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ขบวนการปฏิวัติของมวลชนซึ่งประกอบไปด้วยกรรมกร ทหาร และชาวนา ได้เริ่มแพร่กระจายเข้าไปในสังคมฮังการี ถึงขนาดที่มีตำรวจหรือหน่วยทหารบางหน่วยเข้าให้การสนับสนุน[20] จากชัยชนะของการปฏิวัติเบญจมาศ ส่งผลให้มีการแต่งตั้งมิฮาย กาโรยี เป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนจากสภาแห่งชาติ[21] ซึ่งก่อตั้งขึ้นจากการรวมตัวกันของพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยม (MSDP), พรรคหัวรุนแรงแห่งชาติ, และพรรคของกาโรยี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม[22][23] ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อาร์ชดยุกโจเซฟ เอากุสท์ ได้พยายามกดดันพระเจ้าคาร์ลที่ 4 อย่างหนัก จนในที่สุดพระองค์จึงทรงประกาศรับรองการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนตามที่สภาแห่งชาติเรียกร้อง[22] อย่างไรก็ตาม รัฐบาลใหม่ได้ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ ทั้งเกิดอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และการขาดแคลนอาหารภายในเมืองต่าง ๆ[24] การปฏิรูปที่ดินเกษตรกรรมที่ชาวฮังการีรอคอยมานานก็ยังไม่ได้รับการดำเนินการเช่นกัน[24] แม้ว่าจะมีการประกาศยุบสภาเก่าเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิออกเสียงอย่างทั่วถึง แต่ก็ยังไม่มีการเลือกตั้งใหม่[23]
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 1918 สาธารณรัฐประชาชนฮังการีได้ประกาศจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีกาโรยีดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว[22][23] แต่ด้วยการบริหารแบบเก่าที่ไม่เป็นระเบียบ ประกอบกับเกิดความยุ่งเหยิงภายในกองทัพ ทางคณะรัฐมนตรีจึงจำต้องพึ่งพาสหภาพแรงงานในการป้องกันการแพร่ขยายของความโกลาหลภายในประเทศ[25] ในช่วงเวลาเดียวกัน รัฐบาลกาโรยียังต้องจัดการกับขบวนการหรือคณะต่าง ๆ ที่ก่อตัวขึ้นทั้งจากกรรมกร ทหาร และชาวนา[25] เมื่อประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศได้บางส่วน เนื่องจากได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินเกษตรกรรมตามที่ให้สัญญาไว้ ซึ่งทำให้พื้นที่แถบชนบทสงบลง และมีการปลดประจำการทหารออกจากกองทัพมากกว่าหนึ่งล้านนาย แม้จะพอมีกำลังทหารในหน่วยทหารรักษาการณ์เพื่อปราบปรามความรุนแรงภายในเมืองต่าง ๆ อยู่บ้าง แต่ทหารเหล่านี้แทบไม่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่เลย[25] ฮังการียังเผชิญกับปัญหาร้ายแรงและข้อเรียกร้องต่าง ๆ ที่ไม่อาจสนองได้ในวิกฤติหลังสงคราม คณะรัฐมนตรีต่างต้องรับมือกับการประท้วงที่เพิ่มมากขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มคอมมิวนิสต์ ซึ่งได้ประณามการดำรงไว้ซึ่งความไม่เท่าเทียมของชนชั้นในฮังการี และผลักดันให้ขบวนการชาวนาและกรรมกรจำนวนมากเข้ายึดอำนาจ[23]
การก่อตั้งและการเติบโตของพรรคคอมมิวนิสต์ฮังการีแก้ไข
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1918[note 4] เบลอ กุน นักสังคมนิยมฝ่ายซ้าย ร่วมกันกับสมาชิกกลุ่มประชาธิปไตยสังคมนิยมและนักสังคมนิยมสายปฏิวัติในการก่อตั้ง "พรรคคอมมิวนิสต์ฮังการี" (KMP) ขึ้น โดยมีอุดมการณ์ที่โน้มเอียงไปทางลัทธิมากซ์–เลนิน[26][27] ซึ่งต่อต้านรัฐบาลผสมสังคมนิยม-เสรีนิยม[27][28][29] พรรคคอมมิวนิสต์ไม่พึงพอใจกับผลลัพธ์ของการปฏิวัติครั้งแรก โดยพรรคพยายามที่จะระดมชนชั้นกรรมาชีพฮังการีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติครั้งที่สองโดยระบอบสังคมนิยม[26] หนังสือพิมพ์ Vörös Ujság (หนังสือพิมพ์แดง) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์หลักของพรรค ได้ก่อตั้งขึ้นประมาณต้นเดือนธันวาคม โดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิวัติสังคมนิยม[30] และมุ่งโจมตีเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยแบบทุนนิยมของรัฐบาลกาโรยี[31] ในขณะเดียวกัน พรรคก็พยายามที่จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยทหารใหม่ที่รัฐบาลกาโรยีจัดตั้งแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก เนื่องจากยังมีชาวนาหรือกรรมกรบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ โดยเห็นว่าไม่คุ้มค่าที่จะให้เสี่ยงอันตรายไปจับอาวุธอีกครั้ง[26] ด้วยความกลัวว่ากองกำลังแดง (Red Guard) จะถูกควบคุมโดยคณะทหารแห่งชาติในบูดาเปสต์ พรรคคอมมิวนิสต์จึงตัดสินใจติดอาวุธให้แก่ผู้สนับสนุนโดยตรง ด้วยการจัดซื้ออาวุธจากกองทัพเยอรมันที่ถอนกำลังภายใต้การสงบศึกเบลเกรดอย่างลับ ๆ[32][note 5] ความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์ในความพยายามจากการชักจูงทหาร ทำให้การยึดอำนาจในเดือนมีนาคม 1919 แทบไม่มีการนองเลือดเกิดขึ้นเลย และหน่วยงานรัฐบาลส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ด้วย[26] ความปั่นป่วนภายในพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้เกิดขึ้นอยู่แค่ทหารเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นจากกรรมกร ชาวนา ชนกลุ่มน้อย หรือแม้แต่กองกำลังติดอาวุธของพรรคเอง[33]
ในช่วงปลายปี 1918 และช่วงต้นปี 1919 ความฟุ้งซ่านในการปฏิวัติและอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ[29] ภายในประเทศเริ่มมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย[34] ในช่วงปลายเดือนธันวาคม นักสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์เริ่มถกเถียงกันในเรื่องการครอบงำของสหภาพแรงงาน[31] กลุ่มคนว่างงาน, ทหารปลดประจำการ, นายทหารชั้นประทวน และการขยายตัวเพิ่มขึ้นของสหภาพแรงงาน เป็นสิ่งที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับความนิยมอย่างสูงในฮังการี[33] ในเดือนธันวาคม รัฐบาลกาโรยีพยายามอย่างไร้ผลที่จะแย่งชิงการควบคุมหน่วยทหารจากคณะทหารในเมืองหลวง ซึ่งรัฐบาลต้องรับรองอย่างถูกกฎหมายเมื่อสองสามวันก่อน จากนั้นคณะทหารจึงถูกควบคุมโดยนักสังคมนิยมคนสนิทของ โยแฌ็ฟ โปกาญ[35] เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม การประท้วงของนายทหารติดอาวุธจำนวนแปดพันนายประสบความสำเร็จ ส่งผลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงครามถูกปลดจากตำแหน่ง[36]
การเสื่อมลงของสาธารณรัฐประชาชนแก้ไข
จากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยปราศจากความช่วยเหลือจากไตรภาคี ทำให้กาโรยีประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนมกราคม 1919 และเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐ[4] สมาชิกพรรคอนุรักษนิยมของกาโรยีและพรรคหัวรุนแรงต่างพากันออกจากคณะรัฐมนตรี[37] ภายหลังวิกฤตการณ์ร้ายแรงของรัฐบาลในช่วงกลางเดือนมกราคม ได้มีนักสังคมนิยมสายกลางบางส่วนตัดสินใจลาออกจากรัฐบาลเพราะคำวิพากษ์วิจารณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ และกลุ่มชนชั้นนายทุนปฏิเสธที่จะปกครองเพียงลำพัง คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้ถูกจัดตั้งโดยมีรัฐมนตรีที่เป็นสังคมนิยมมากขึ้น[38] รัฐบาลใหม่ของฝ่ายประชาธิปไตยสังคมนิยมที่นำโดย เดแน็ช เบริงคีย์[4][39] ได้ให้สัญญาว่าจะทำการปฏิรูป การกระทำนี้ได้สร้างความไม่พอใจต่อสภาโซเวียต เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม สภาแรงงานในเมืองหลวงได้หารือเกี่ยวกับการปฏิรูปไร่นา แต่รัฐบาลยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้จนกระทั่งเมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ และการดำเนินการเป็นไปอย่างล่าช้า[36] ในช่วงต้นเดือนมกราคม ด้วยความหวาดกลัวต่ออิทธิพลของคอมมิวนิสต์ กองบัญชาการพันธมิตรในบูดาเปสต์ได้เสนอให้จับกุมเหล่าผู้แทนสภากาชาดรัสเซีย ซึ่งเป็นกำลังสนับสนุนทางการเงินที่สำคัญของพรรค[40] ท่ามกลางความอ่อนแอของรัฐบาลและนักสังคมนิยมสายกลาง ขบวนการแรงงานได้พากันเข้าควบคุมโรงงานบางแห่งไว้ตามที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้เรียกร้อง[41] ณ ทางตอนเหนือของฮังการี รัฐบาลได้ปราบปรามการจราจลอย่างรุนแรงโดยคนงานเหมืองในช็อลโกตอร์ยาน ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบอุตสาหกรรมและทางรถไฟ มีผู้เสียชีวิตนับร้อยจากการจราจลครั้งนี้[41] ในช่วงปลายเดือนมกราคม พวกนักสังคมนิยมได้ตัดสินใจขับไล่กลุ่มคอมมิวนิสต์ออกจากสภาแรงงานในเมืองหลวงและสหภาพแรงงาน[42] อย่างไรก็ตามก็ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น[39]
มีการคาดการณ์ว่าในเดือนกุมภาพันธ์ พรรคคอมมิวนิสต์มีจำนวนสมาชิกประมาณสามหมื่นถึงห้าหมื่นคน[32] กิจกรรมต่าง ๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ในสภามีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก แม้ว่าอิทธิพลของพรรคในสภาแรงงานเมืองหลวงจะมีน้อยมากก็ตาม เนื่องจากการครอบงำพรรคโดยพวกประชาธิปไตยสังคมนิยม[32] ในขณะที่พวกสังคมนิยมพยายามสร้างอิทธิพลของตนเอง เพื่อยับยั้งการเติบโตของอิทธิพลคอมมิวนิสต์ในหมู่ทหาร[36] อิทธิพลของพวกสังคมนิยมเริ่มลดลงในสหภาพแรงงาน[37] ในการประชุมใหญ่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พวกสังคมนิยมได้อนุมัติมาตรการที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง[29] เช่น การกำหนดให้รัฐควบคุมการผลิตทั้งหมด การเก็บภาษีสำหรับชนชั้นสูงและอภิสิทธิ์ชน และการปราบปรามฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ เป็นต้น[43]
เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ หลังการประท้วงที่หน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยสังคมนิยม Népszava ที่จบลงด้วยการมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกหลายสิบคน[44][note 6] รัฐบาลได้จับกุมผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์[44] จากความพยายามในการระงับข้อขัดแย้งระหว่างไตรภาคี[45][4][23][42] ทำให้รัฐบาลเริ่มอ่อนแอลงและไม่สามารถควบคุมกิจกรรมของพรรคอมมิวนิสต์ได้[4] พรรคได้วางแผนการจราจลเพื่อยึดอำนาจตามแบบฉบับของการก่อการกำเริบสปาตาคิสท์ในเยอรมนี โดยเพิกเฉยต่อคำแนะนำจากรัสเซีย และแผนการนี้ก็ประสบกับความล้มเหลวเช่นเคย[46] อย่างไรก็ตาม การจับกุมและการปฏิบัติอย่างทารุณก่อให้เกิดความไม่สงบเพิ่มขึ้น[45][47] ในขณะเดียวกัน สื่อมวลชนคอมมิวนิสต์ยังคงเคลื่อนไหวในแบบลับต่อไป[48] ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ มีการประท้วงครั้งใหญ่เพื่อสนับสนุนพรรคสังคมนิยมที่หน้ารัฐสภา[44] แต่ทั้งรัฐสภาและรัฐบาลก็ไม่ได้ใช้โอกาสครั้งนี้ในการฟื้นฟูความนิยมจากประชาชนที่หายไป[47] รัฐมนตรีสังคมนิยมไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามคอมมิวนิสต์ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจเรียกร้อง[47] เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ รัฐบาลได้ฟื้นฟูกฎหมายปราบปรามผู้ที่เป็นศัตรูของรัฐตามที่รัฐมนตรีสังคมนิยมเรียกร้อง โดยเป็นกฎหมายที่เคยใช้ในช่วงสงคราม[49] ในขณะเดียวกัน ความคาดหวังของรัฐบาลในการได้รับความช่วยเหลือจากมหาอำนาจก็กลายเป็นเรื่องลวง[4]
สถานการณ์ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป และการมาถึงของฤดูเพาะปลูกทำให้ในชนบทเกิดความโกลาหล พรรคคอมมิวนิสต์ประณามการขาดการเปลี่ยนแปลงและการบำรุงรักษาของเจ้าของที่ดิน และสนับสนุนให้ชาวนายึดที่ดิน[49] ทางรัฐบาลที่เวลานี้ไม่มีกองกำลังทหารก็ไม่สามารถยับยั้งการยึดครองที่ดินโดยชาวนาได้ และมาตรการในการปฏิรูปก็หละหลวม ส่งผลให้มีเจ้าของที่ดินจำนวน 2,700 ราย ได้รับผลกระทบ[49] ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ประเทศเพื่อนบ้านของฮังการีได้เข้ายึดครองอาณาเขตเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากข้อตกลงที่ไม่สามารถลงรอยกันได้ระหว่างไตรภาคี และการที่รัฐบาลไม่มีมาตรการทางสังคมใด ๆ ทำให้กระแสความสังคมนิยมหัวรุนแรงเพิ่มอิทธิพลมากขึ้น[50] เมื่อวันที่ 3 มีนาคม สภาแรงงานในเมืองหลวงได้ยอมรับพรรคคอมมิวนิสต์และให้เข้าร่วมสภาอีกครั้ง ถือเป็นสัญญาณแห่งความอ่อนแอของพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยม[50] คณะรัฐมนตรีต่างรู้ดีว่าไม่สามารถต้านทานอำนาจของสภาแรงงานได้ และสภาเองก็ไม่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลที่พวกเขาไม่พึงพอใจเช่นกัน[50] เมื่อวันที่ 13 มีนาคม หน่วยตำรวจในเมืองหลวง ซึ่งเป็นกำลังสุดท้ายของคณะรัฐมนตรีได้ยอมรับอำนาจของสภาแรงงานเมืองหลวง[50] ด้วยการประท้วงอย่างต่อเนื่องของกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนว่างงาน ทหาร หญิงม่าย ฯลฯ รัฐบาลพยายามเสริมสร้างจุดยืนของตนโดยประกาศให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 13 เมษายน โดยวางใจในการรับรองมาตรการดังกล่าวของมวลชน[48]
การสถาปนาสาธารณรัฐโซเวียตแก้ไข
การประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐแก้ไข
ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 1919 รัฐบาลกาโรยีได้สูญเสียกำลังสนับสนุนลงเรื่อย ๆ[4] เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ไตรภาคีได้เรียกร้องให้มีการยอมรับเขตแดนอย่างไม่เป็นธรรม[48][42] ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งตั้งแต่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีก่อน เนื่องจากข้อตกลงของไตรภาคีต่อประเทศเพื่อนบ้านที่ทำขึ้นในช่วงสงคราม[51] โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างพื้นที่เป็นกลางระหว่างกองกำลังทหารโรมาเนียและฮังการี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการแทรกแซงที่ล้มเหลวในสงครามกลางเมืองรัสเซีย[4] มีการกำหนดพรมแดนขึ้นใหม่ที่ยังคงใกล้เคียงกับข้อตกลงที่ให้ไว้แก่โรมาเนียในสนธิสัญญาบูคาเรสต์ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่ลงนามหลังจากโรมาเนียเข้าร่วมสงครามโลก[52] หลังจากการมอบบันทึกวิกซ์แก่รัฐบาลกาโรยี[5] ซึ่งเรียกร้องให้มีการอพยพประชากรชาวฮังการีออกจากพรมแดนที่กำหนดขึ้นใหม่นี้และมอบดินแดนส่วนนี้ให้แก่โรมาเนีย[53] คณะรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงนี้[48] และกาโรยีได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง[52] พร้อมกับมอบอำนาจให้รัฐบาลใหม่ประชาธิปไตยสังคมนิยม[52][51] ซึ่งมีความเวทนาต่อชนชั้นกรรมาชีพสากลและยอมให้ประเทศเผชิญอยู่กับข้อเรียกร้องของไตรภาคี[54][55] กาโรยีได้ออกมายอมรับว่านโยบายการสร้างความสัมพันธ์ต่อไตรภาคีล้มเหลว[52] แผนการแรกของรัฐบาลใหม่คือการให้กาโรยีดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและจัดตั้งคณะรัฐมนตรีประชาธิปไตยสังคมนิยมใหม่[55] อย่างไรก็ตาม ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล สภาทหารซึ่งนำโดยโยแฌ็ฟ โปกาญได้ตัดสินใจสนับสนุนคอมมิวนิสต์ มีการยึดรถยนต์ของรัฐมนตรี และในช่วงบ่ายของวันนั้นได้มีการส่งมอบการควบคุมกองทหารรักษาการณ์ในเมืองหลวงให้แก่คอมมิวนิสต์[56] ก่อนที่โปกาญจะเข้าควบคุมบูดาเปสต์และกองทหารรักษาการณ์ทั้งหมด โดยปราศจากการต่อต้านจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ[57] ซานโดร์ กอร์บอยี ได้ประกาศต่อสภาแรงงานในเมืองหลวงถึงการจัดตั้งรัฐบาลโซเวียต[52] ของพันธมิตรประชาธิปไตยสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ ในเย็นวันเดียวกัน ได้มีคำสั่งให้ปลดกาโรยีออกจากตำแหน่ง ซึ่งเขาก็ยอมรับโดยไม่ขัดขืนใด ๆ เพราะตระหนักว่าต้องหลีกทางให้แก่คณะรัฐมนตรีฝ่ายซ้ายเพื่อต่อต้านไตรภาคี[56] พวกสังคมนิยมได้ส่งคณะผู้แทนไปที่เรือนจำเพื่อเจรจากับผู้นำคอมมิวนิสต์ ซึ่งสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลผสมประชาธิปไตยสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์[58][59][52][48] เพื่อให้บรรลุตามข้อตกลงนี้ รัฐบาลจึงปล่อยตัวผู้นำคอมมิวนิสต์ที่ถูกคุมขังตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์[60][57] ถึงแม้ว่ากลุ่มประชาธิปไตยสังคมนิยมจะมีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังยอมรับแผนการปฏิบัติงานของกลุ่มคอมมิวนิสต์[61] ซึ่งรวมไปถึงการจัดตั้งระบบสภา การยึดทรัพย์สินส่วนบุคคล และการประกาศระบอบเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพอีกด้วย[6]
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1919[62][60] สภาแรงงานซึ่งได้รับอำนาจนิติบัญญัติใหม่ได้ทราบข่าวถึงการควบรวมกันระหว่างพันธมิตร[52] ของพรรคคอมมิวนิสต์ (นำโดย เบลอ กุน)[56] และพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยม พร้อมกับการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีขึ้น[63] โดยไม่เกิดการนองเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว[64][57] ในตอนแรกกาโรยีซึ่งไม่ได้รับทราบถึงการรวมกันระหว่างพันธมิตรนี้[60] ได้ปฏิเสธที่จะลาออก แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ลาออกจากตำแหน่ง[63]
โครงสร้างของรัฐบาลใหม่แก้ไข
ในคืนเดียวกันนั้น กุนได้รับการปล่อยตัว และได้เดินทางไปที่อดีตสำนักงานใหญ่ของพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยม เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะรัฐบาลใหม่[63][note 7] มีกรรมการราษฎรจากกลุ่มคอมมิวนิสต์สองคนในคณะรัฐมนตรี เพื่อดุลอำนาจส่วนใหญ่[51] ของกรรมการราษฎรจากกลุ่มประชาธิปไตยสังคมนิยม ส่วนสมาชิกกลุ่มคอมมิวนิสต์ที่เหลือเป็นรองกรรมการราษฎร[63][61] กุนได้รับตำแหน่งเป็นกรรมการราษฎรฝ่ายกิจการต่างประเทศ[65][66] ขณะที่สมาชิกคอมมิวนิสต์อื่น ๆ ได้ควบตำแหน่งในกระทรวงการเกษตร[65] ในบรรดาสมาชิกทั้งหมดสามสิบสามคนของสภาปกครองใหม่ มีสิบสี่คนเป็นกลุ่มคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีสิบสองคนเป็นรองกรรมการราษฎร เนื่องจากกรรมการราษฎรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชาธิปไตยสังคมนิยม[67] รัฐบาลได้รวมรัฐมนตรีของรูทีเนียไว้ในคณะรัฐมนตรีด้วย อันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความตั้งมั่นที่จะต่อสู้เพื่อรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนฮังการี[65] ผู้นำหลายคนมีภูมิหลังจากการมีส่วนร่วมในการปฏิวัติรัสเซียหรือไม่ก็เป็นคอมมิวนิสต์ในค่ายกักกันของรัสเซีย[9] แม้ว่ากอร์บอยีจะเป็นประธานสภาปกครองอย่างเป็นทางการ[66] แต่กุนถือเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในสาธารณรัฐโซเวียตใหม่นี้[68][51]
พันธมิตรประชาธิปไตยสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์แก้ไข
พันธมิตรระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตยสังคมนิยมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากตัวของเลนินเอง[69] เขายังวิพากษ์วิจารณ์การเลียนแบบยุทธวิธีของรัสเซียโดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทของฮังการี[70] พรรคใหม่ซึ่งเดิมคือพรรคสังคมนิยมฮังการี[69] ได้เปลี่ยนใหม่เป็น "พรรคแรงงานสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ฮังการี" (อังกฤษ: Party of Socialist Communist Workers in Hungary)[71][72][51]
อย่างไรก็ตาม การที่พรรคทั้งสองทำงานร่วมรัฐบาลเดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย[73][74] จูลอ ไพเดิล ได้เรียกร้องให้มีการยกเลิกระบอบสาธารณรัฐโซเวียตเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม[71] ในความเป็นจริงแล้ว มีเพียงฝ่ายซ้ายและฝ่ายกลางของพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมเท่านั้นที่มีส่วนร่วมในรัฐบาลอย่างแข็งขัน[74] ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองพรรคไม่ได้เกี่ยวกับเป้าหมายของทั้งสองฝ่าย แต่เป็นวิธีการบริหารที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบรรลุเป้าหมายต่างหาก[75] หลังการล่มสลายของสาธารณรัฐในเดือนสิงหาคม ความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งแย่ลง[73][76]
ช่วงแรกแก้ไข
แถลงการณ์ฉบับแรกของรัฐบาลใหม่ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างลัทธิชาตินิยมที่สิ้นหวัง[77] กับลัทธิมากซ์ ทำให้ผู้คนจำนวนมากออกมาต่อต้านรัฐบาลใหม่เพื่อสนับสนุนรัฐบาลประชาธิปไตยสังคมนิยม[65] แต่เมื่อต้องเผชิญกับทางเลือกที่จะต้องยอมรับคำขาดจากบันทึกวิกซ์ ผู้คนส่วนใหญ่จึงตัดสินใจสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ เพื่อรักษาเอกภาพในดินแดนของประเทศ[65] ส่วนหนึ่งของความนิยมที่สนับสนุนระบอบใหม่นี้ มาจากการที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์แห่งมอสโกได้เข้ารุกรานยูเครนเพื่อต่อสู้กับศัตรูภายในซึ่งมีไตรภาคีเป็นกำลังสนับสนุน[15]
รัฐธรรมนูญ สภา และการปกครองแก้ไข
ในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 3 เมษายน สภาปกครองได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับใหม่ โดยได้ยอมรับว่าอำนาจทางการเมืองและทางกฎหมายเป็นของสภาแห่งชาติชุดใหม่[note 8] รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิพลเมือง (การชุมนุม การแสดงออก) สิทธิทางสังคม (การศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย) และสิทธิทางวัฒนธรรม (การรับรู้ทางวัฒนธรรมและภาษาของชนกลุ่มน้อย)[78] อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้ว รัฐบาลใหม่ได้ดำเนินการปกครองในลักษณะแบบเผด็จการ ในฐานะ "การปกครองแบบเผด็จการของชนกลุ่มน้อยที่แข็งขันในนามของชนชั้นกรรมาชีพที่เฉื่อยชา"[79] อำนาจของรัฐกระจุกตัวอยู่แต่เพียงสภาปกครองและสภาบางแห่งเท่านั้น[7] การเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน โดยปรากฏรายชื่อของผู้แทนเพียงคนเดียว และไม่มีฝ่ายค้าน แม้ว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ทางกฎหมายที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ตาม[79] ไม่นานผู้แทนราษฎรก็ถูกถอดออกจากอำนาจท้องถิ่นโดยผู้แทนของรัฐบาล ซึ่งมีอำนาจที่แท้จริง[79]
แม้จะมีข้อจำกัดในการเลือกตั้งสภา แต่ในการประชุมสภาแห่งชาติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ได้ลงเอยด้วยการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อสภาปกครอง ซึ่งจบลงด้วยการยุบสภาและได้มอบอำนาจให้แก่กรรมการราษฎรที่เห็นชอบ[7]
การปะทะกับประเทศเพื่อนบ้านและการปรับโครงสร้างกองทัพแก้ไข
สภาพสังคมและกองทัพแดงแก้ไข
กุนได้ประกาศยุบสภาทหาร ถึงแม้ว่าสภาทหารจะสนับสนุนให้เขาขึ้นสู่อำนาจก็ตาม และได้แต่งตั้งกรรมการราษฎรและศาลทหารปฏิวัติเพื่อพยายามนำความสงบเรียบร้อยมาสู่กองทัพอันไม่เป็นระเบียบ[11] กองพันคนงานและกองพลน้อยระหว่างประเทศถูกส่งไปยังแนวรบหน้าด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล[11] รัฐบาลได้ปฏิรูปกองทัพ ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงช่วงต้นฤดูร้อน กองทัพสามารถกู้คืนดินแดนที่สูญเสียไปได้บางส่วน[9] จุดมุ่งหมายของการฟื้นฟูดินแดนนี้ได้รับความเห็นชอบจากสาธารณชนทั่วไปเกือบทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากมาตรการการเมืองภายใน[9] ปลายเดือนมีนาคม กำลังทหารของฮังการียังคงไม่เพียงพอ โดยบูดาเปสต์มีกำลังทหารเพียง 18,000 นาย ในขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพเชโกสโลวาเกียจำนวน 40,000 นาย กองกำลังโรมาเนีย 35,000 นาย และกองกำลังผสมเซอร์เบียฝรั่งเศส 72,000 นายทางตอนใต้[80]
แม้ว่าชาวนาส่วนใหญ่จะเพิกเฉยต่อคำร้องขอของรัฐบาลใหม่ แต่ชาวนาผู้ลี้ภัยจากดินแดนที่ถูกยึดครองโดยประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาจากบานัตและจากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำทิสซอ กลายเป็นกลุ่มชาวนาได้เข้าร่วมต่อสู้กับกองทัพแดง[81] โครงสร้างของกองทัพแดงส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาวนา ในช่วงสัปดาห์แรกของสงคราม กองทัพแดงสามารถต่อสู้กับกองทัพประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี แต่ในเวลาต่อมากองทัพเริ่มขาดระเบียบวินัยมากขึ้น[82] แม้ว่ารัฐบาลต้องการให้การต่อสู้เป็นแบบสากลนิยม แต่ทหารและเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่กลับต่อสู้ด้วยเหตุผลของชาตินิยม[82]
อดีตนายทหารจากกองทัพออสเตรีย-ฮังการีและผู้ลี้ภัยชนชั้นกลางจำนวนมากก็ได้เข้าร่วมกองทัพใหม่ด้วยเช่นกัน เพราะผู้คนเหล่านี้เห็นถึงโอกาสที่จะสามารถกู้คืนดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมา ไม่ใช่เพราะความนิยมต่ออุดมการณ์ของระบอบใหม่[81][9][10] โดยแรงจูงใจในการเข้าร่วมกองทัพสามารถสรุปได้สามประการ ได้แก่ ประกาศแรกคือแนวคิดชาตินิยมในการปกป้องและฟื้นฟูประเทศบ้านเกิด ประการที่สองคือโอกาสที่ดีในการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วในกองทัพใหม่ ที่ซึ่งเจ้าหน้าที่อาวุโสเก่าถูกปลดประจำการระหว่างสองสาธารณรัฐ และประการที่สามคือความจำเป็นในการยังชีพในกรณีที่ไม่มีงานทำ[83] ผู้คนเหล่านี้มองว่าสาธารณรัฐโซเวียตใหม่พยายามต่อสู้เพื่อประเทศชาติ ซึ่งต่างจากควาบสงบสุขของสาธารณรัฐประชาชนอย่างสิ้นเชิง[81] ชาวฮังการีต่างได้ร่วมต่อสู้อย่างดุเดือดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนมิถุนายน กระทั่งการถอนกำลังออกจากสโลวาเกีย[10] ตามคำขาดของเกลม็องโซ ส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่ไปเข้าร่วมกับฝ่ายต่อต้านปฏิวัติอื่น ๆ เช่น ฝ่ายกองทัพแห่งชาติ ซึ่งนำโดย มิกโลช โฮร์ตี หรือกองกำลังอื่น ๆ เพื่อพยายามหลบหนีการกวาดล้างจากรัฐบาลกุน[81]
อย่างไรก็ตาม การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของประเทศเพื่อนบ้านไม่ใช่ข้ออ้างหลักในการขยายอาณาเขต[77] ยูโกสลาเวียพึงพอใจกับการยึดครองบอรอญอ และหันไปขัดแย้งกับโรมาเนียเสียเอง เพื่อแย่งชิงและแบ่งแยกดินแดนบานัต ทำให้ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐไม่เกิดการต่อสู้กันแต่อย่างใด[77]
พัฒนาการของการต่อสู้แก้ไข
ความพ่ายแพ้ในทรานซิลเวเนียในเดือนเมษายนแก้ไข
ปลายเดือนเมษายน กองกำลังทหารที่เล็กกว่าของกองทัพแดงฮังการีต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังทหารโรมาเนียเจ็ดกอง ซึ่งมีกำลังพลมากกว่ากันอยู่ห้าหมื่นนาย[11] ในเดือนกุมภาพันธ์ ณ ทรานซิลเวเนีย ทางโรมาเนียได้เกณฑ์กำลังทหารจำนวนสองกองพล ได้แก่ กองพลที่ 16 และกองพลที่ 19 โดยประกอบด้วยทหารท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรมาเนียและชาวแซกซัน (เป็นประชากรชนกลุ่มน้อยชาวเยอรมันในภูมิภาค) และได้ทำการเสริมกำลังพลมากขึ้นหลังการประกาศสาธารณรัฐโซเวียตในบูดาเปสต์[84] ในเดือนเมษายน ได้มีการจัดตั้งหน่วยรบใหม่ขึ้น ได้แก่ กองพลที่ 20 และกองพลที่ 21[84] ในช่วงกลางเดือนเมษายน กองบัญชาการของโรมาเนียมีจำนวนกองพันทหารราบทั้งสิ้น 64 กอง กองร้อยทหารม้า 28 กอง กองทหารปืนใหญ่ 192 กอง มีรถไฟหุ้มเกราะและมีฝูงบิน 3 กอง อีกทั้งยังมีบริษัทด้านวิศวกรรม 2 แห่ง ซึ่งทำให้กองทัพโรมาเนียมีแสนยานุภาพเหนือกว่ากองทัพฮังการีที่มีจำนวนกองพันทหารราบเพียงแค่ 35 กอง กองทหารปืนใหญ่ 20 กอง มีฝูงบิน 2 กอง รถไฟหุ้มเกราะ 3–4 ขบวน และกองร้อยทหารม้าไม่กี่กอง[84] อย่างไรก็ตาม กองกำลังทั้งสองฝ่ายยังคงไม่ได้เผชิญหน้ากันอย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากการปะทะกันที่เกิดขึ้นในทางใต้กับกองกำลังเซอร์เบีย[85]
การที่สาธารณรัฐขาดการสนับสนุนจากกองกำลังแนวรุกของโซเวียตรัสเซียในแม่น้ำนีสเตอร์ หลังจากการยึดครองออแดซาและการสร้างแนวป้องกันทางทิศตะวันออกของกองกำลังไตรภาคี ทำให้โรมาเนียสามารถโจมตีแนวรบของฮังการีทางด้านตะวันออกได้สะดวกยิ่งขึ้น[77] การเปลี่ยนตำแหน่งของหน่วยทหารโซเวียตบางหน่วยในยูเครนทำให้ไม่มีการเผชิญหน้าทางทหารกันกับโรมาเนีย[10] รัฐบาลบูดาเปสต์ต้องประสบกับวิกฤตการณ์ขั้นรุนแรง เมื่อกองทัพโรมาเนียและกองทัพเชโกสโลวาเกียเข้ารุกชายแดนของฮังการีและเคลื่อนพลมุ่งสู่เขตเหมืองแร่ในช็อลโกตอร์ยาน[86][87]
หลังจากการรวมกำลังพลไว้ในแนวรบหน้า เมื่อวันที่ 16 เมษายน โรมาเนียจึงเริ่มเปิดการรุกรานทันที[88][85] ในวันที่ 20 เมษายน กองทัพโรมาเนียเคลื่อนทัพเข้าสู่น็อจวาร็อด[89] และในอีกสามวันต่อมาก็สามารถยึดครองแดแบร็ตแซ็นได้[11] ในวันที่ 21 เมษายน กองทัพโรมาเนียได้หยุดการเคลื่อนทัพเพื่อที่จะจัดระเบียบใหม่ ซึ่งนั่นทำให้ฮังการีเข้าใจผิดคิดว่าโรมาเนียจะไม่ข้ามพรมแดนตามที่ตกลงกันไว้ ในวันเดียวกันนั้น ฮังการีได้กำหนดระเบียบการบัญชาการของแนวรบหน้าใหม่ เพื่อพยายามหยุดการรุกรานของโรมาเนีย อีกทั้งเพื่อชดเชยขวัญกำลังใจของทหารที่กำลังตกต่ำและการขาดวินัยของทหารด้วย[90] กรรมการราษฎรในส่วนต่าง ๆ เริ่มสูญเสียการควบคุมทางทหาร และผู้บัญชาการทหารแนวหน้า เอาเรล ชโตร์มแฟล์ด ได้ร้องขอให้ทางการส่งกำลังทหารมาเพิ่มเติม[90] การรุกของโรมาเนียยังคงดำเนินต่อไปโดยขัดคำสั่งของฝรั่งเศส[88] ที่พยายามขัดขวางแผนการตอบโต้ของแนวรบฮังการี[89] ในวันที่ 30 เมษายน กองทัพโรมาเนียได้เคลื่อนพลมาถึงบริเวณแม่น้ำทิสซอ[87] และตั้งแนวรบหลักอยู่ที่นั่น[91] หลังการเสริมกำลังแนวหน้าด้วยกองทหารใหม่จากบูดาเปสต์และเมืองอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทำให้ฮังการีสามารถต้านทานการรุกของโรมาเนียได้ที่โซลโนก และหยุดการรุกคืบของโรมาเนียในแม่น้ำทิสซอ[11] ถึงกระนั้นก็ตาม รัฐบาลได้พิจารณาที่จะยอมจำนน โดยตระหนักว่าทางฮังการีไม่มีกองกำลังเพียงพอที่จะหยุดการโจมตีของกองทัพโรมาเนีย[92] ข่าวลือที่ว่าโรมาเนียจะไม่หยุดยั้งการรุกรานและกำลังรุกเข้าสู่เมืองหลวงได้แพร่กระจายไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ถึงแม้ว่าข่าวลือเหล่านี้จะไม่มีมูลความจริงใด ๆ[93] โรมาเนียยังคงไม่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจอื่นและกำลังเผชิญกับภัยคุกคามอย่างหนักจากรัสเซียในยูเครน กองทัพโรมาเนียได้หยุดการรุกรานระหว่างวันที่ 2 พฤษภาคม ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม[94] ในการรุกรานเมื่อเดือนเมษายน กองทัพโรมาเนียได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยมีนายทหารที่เสียชีวิตประมาณ 600 นาย และบาดเจ็บอีก 500 ราย[91] ทำให้กองกำลังบางส่วนถูกส่งไปยังแนวรบด้านตะวันออกโดยทันที[94] ในทางกลับกัน รัฐบาลฮังการียังคงคาดหวังความช่วยเหลือทางทหารจากรัสเซีย และหวังว่าจะมีการปฏิวัติสังคมนิยมในเยอรมนีและออสเตรีย[92]
ชัยชนะในสโลวาเกียและถอนกำลังในภายหลังแก้ไข
ในเวลาเดียวกัน ทางตอนเหนือ การรุกของเชโกสโลวาเกียได้หยุดลง ซึ่งเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม กองทัพแดงได้เคลื่อนพลมาถึงมิชโกลส์[87] ในวันที่ 10 พฤษภาคม การตอบโต้ของฮังการีเริ่มต้นขึ้นซึ่งสามารถผลักดันกองกำลังศัตรูกลับไปที่แม่น้ำอีปอย[11] ในวันที่ 19 พฤษภาคม กองทัพแดงฮังการีได้เข้ายึดครองเปแตร์วาซารอ และยึดครองมิชโกลส์ในวันที่ 21 ส่งผลให้ขวัญกำลังใจของทหารในกองทัพเพิ่มขึ้น[95] เมื่อวันที่ 26 ผู้บัญชาการกองทัพเริ่มวางแผนระยะต่อไปของการโจมตี โดยมุ่งเป้าหมายไปที่ชายแดนสามแห่งระหว่างเชโกสโลวาเกียและโรมาเนีย ซึ่งมีวัตถุประสงค์สองประการ ประการแรกคือเพื่อให้การพยายามติดต่อกับหน่วยงานในโซเวียตรัสเซียได้สะดวก และประการที่สองคือสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เพื่อแผนการโจมตีกองทัพโรมาเนียในทรานซิลเวเนียต่อไป[95] ปฏิบัติการทางทหารของฮังการีเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ด้วยการโจมตีแนวรบหลัก[95] ทำให้ในเดือนมิถุนายน กองทัพเชโกสโลวาเกียต้องล่าถอยไปเนื่องจากการรุกของกองทัพแดงฮังการี[11] ในวันที่ 5 มิถุนายน กองกำลังฮังการีได้เข้ายึดครองกอซซอ[note 9][96] กองบัญชาการทหารฮังการีเริ่มเตรียมแผนการโจมตีทางตะวันออกโดยไม่ละทิ้งแนวรบด้านเหนือ เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับชัยชนะ แต่กองทัพเชโกสโลวาเกียก็ยังไม่ได้พ่ายแพ้เสียทีเดียว อันเป็นผลมาจากแนวรุกที่ฮังการีเลือกไว้ มีความเสี่ยงอยู่หลายประการอย่างยิ่ง[96]
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 มิถุนายน นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฌอร์ฌ เกลม็องโซ ได้ขอให้ยุติการโจมตีทางเหนือต่อเชโกสโลวาเกีย[96][97] ในวันที่ 10 กุนได้สัญญาว่าจะหยุดการรุกราน[98] ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงหนึ่งวันก่อนการมาถึงของกองทัพฝรั่งเศสในบราติสลาวา[note 10][99][100] ในวันที่ 13 คำขาดของเกลม็องโซถึงรัฐบาลฮังการีว่าด้วยการกำหนดพรมแดนทางเหนือได้เรียกร้องให้กองทัพแดงฮังการีถอนกำลังออกจากสโลวาเกีย และสัญญาว่ากองทัพโรมาเนียจะถอนกำลังออกจากทางตะวันออกเป็นการตอบแทน[101][10][102] ในวันที่ 19 รัฐบาลได้ตอบรับข้อเรียกร้องนี้[103] โดยกุนเลือกที่จะให้ยินยอมกับข้อเรียกร้องของทางการฝรั่งเศส[10] แม้ว่าผู้บัญชาการทหารส่วนใหญ่จะมีความปรารถนาที่จะดำเนินการรุกต่อไปทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ตาม[96] ในวันที่ 24 มีการประกาศยุติการสู้รบ และในวันที่ 30 กองทัพแดงเริ่มถอนกำลังออกจากสโลวาเกีย[104] หลังจากยึดครองดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านได้ 2836 ตารางกิโลเมตร สภาปกครองได้สั่งให้ถอนกำลังไปยังแนวรบเดิมที่ตั้งมั่นไว้ในเดือนพฤษภาคม[101] การถอนกำลังออกจากสโลวาเกียทำให้เหล่าทหารส่วนใหญ่สูญเสียขวัญกำลังใจเป็นอย่างยิ่ง[101] เนื่องจากนายทหารและเจ้าหน้าที่ส่วนมากเข้าร่วมกองกำลังคอมมิวนิสต์ด้วยเหตุผลของชาตินิยม[105][10][106] การทัพในครั้งนี้ทำให้กองทัพฮังการีสูญเสียกำลังพลไปราว 4,500 คน ตามการประมาณการของฝรั่งเศส[104] ในความเป็นจริงแล้ว จากการรุกของฮังการีเองทำให้ในตอนนี้กองทัพแดงได้สูญเสียกำลังพล และคงเป็นการยากที่จะรักษาแนวรุกไว้ได้[107] การถอนกำลังออกจากสโลวาเกียนำไปสู่การลาออกของเจ้าหน้าที่ชั้นอาวุโสหลายคน รวมทั้งนายพลชโตร์มแฟล์ดด้วย ซึ่งปฏิเสธที่จะละทิ้งดินแดนสโลวาเกียอันมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮังการี[104]
เปิดฉากโจมตีทางตะวันออกและความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายแก้ไข
หลังจากที่ทางการโรมาเนียไม่มีการตอบสนองใด ๆ มาเป็นเวลาสองสัปดาห์ ในที่สุดจึงมีการตอบสนองต่อคำร้องขอของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส โดยเรียกร้องให้มีการถอนกำลังของกองทัพแดงฮังการี ก่อนที่กองทัพโรมาเนียจะถอนกำลังออกจากดินแดนที่ยึดได้ในเดือนเมษายน[102] เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม[108] การทัพครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น เพื่อต่อต้านกองกำลังโรมาเนียทางตะวันออก ซึ่งมีเสถียรภาพที่เหนือกว่าทั้งในด้านกำลังพล ระเบียบวินัย และอาวุธยุทโธปกรณ์[109][110] เมื่อวันที่ 11 รัฐบาลฮังการีเรียกร้องให้กองทัพโรมาเนียถอนกำลังพลตามคำสัญญาของฝรั่งเศส แต่ทางการฝรั่งเศสกลับปฏิเสธในวันที่ 14 ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงในการสงบศึก[111] เกลม็องโซปฏิเสธที่จะให้โรมาเนียถอนกำลังตามที่ทางการบูดาเปสต์คาดหวังไว้ ดังนั้นรัฐบาลฮังการีจึงตัดสินใจใช้กำลังเพื่อเป็นการบังคับ[104] เมื่อวันที่ 12 มีการประกาศเกณฑ์ทหารภาคบังคับและกองทัพจากทางเหนือก็เริ่มถอนกำลังออกมาบ้างแล้ว ซึ่งขณะนี้ภายในกองทัพก็เริ่มเกิดความแตกแยกและแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเอง[112]
ปฏิบัติการเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม[110][111] ซึ่งเป็นหนึ่งวันก่อนการเดินขบวนของสหภาพแรงงานในหลายประเทศยุโรปที่สนับสนุนรัฐบาลบูดาเปสต์[113] รัฐบาลต่อต้านการปฏิวัติแห่งแซแก็ดได้แจ้งแผนการโจมตีของกองทัพแดงฮังการีแก่ผู้บัญชาการทหารของโรมาเนีย[109] แม้ว่าจะมีการสื่อสารกันที่ผิดพลาด แต่กองทัพแดงฮังการีได้ข้ามแม่น้ำทิสซอและเคลื่อนทัพต่อไปจนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม[114] ทำให้กองทัพโรมาเนียได้เริ่มโจมตีกลับในวันต่อมา[109][110] กองทัพแดงเริ่มถอนกำลังพลในวันที่ 26 และในวันที่ 27 กองทัพแดงจึงเคลื่อนพลกลับไปที่พื้นที่เดิมก่อนการรุกราน[114] ในวันที่ 30 กองทหารของโรมาเนียเริ่มเคลื่อนพลข้ามแนวแม่น้ำทิสซอ และมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของฮังการีอย่างไม่ลดละ[109][115][110] รัฐบาลโซเวียตรัสเซียไม่สามารถหยุดยั้งการรุกรานของโรมาเนียได้เหมือนครั้งที่เคยทำเมื่อเดือนพฤษภาคม[109][87] ทางฮังการีซึ่งได้ยุบหน่วยทหารที่ไม่จำเป็นไปแล้วบางส่วน ต้องเผชิญกับความขัดแย้งภายในกองทัพและการขาดกำลังสำรอง[112] ขณะนี้กองทัพแดงฮังการีกำลังล่าถอยด้วยความระส่ำระสาย[109][115] ความหวังของรัฐบาลบูดาเปสต์ในการป้องกันการรุกรานแทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากการโจมตีของกองทัพโรมาเนียตลอดทั้งแนวรบ[109] บรรดาผู้นำของรัฐบาลได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะละทิ้งเมืองหลวงและก่อตั้งกลุ่มต่อต้านขึ้นมาแทน โดยหวังว่าจะสามารถหยุดการรุกรานของโรมาเนียได้ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอในการพิจารณานี้ถูกปัดตก แต่มีคำสั่งให้สร้างแนวรับการรุกรานใหม่บริเวณแม่น้ำทิสซอโดยสภาปกครอง[116] ในคืนวันที่ 31 กรกฎาคม กองพลที่ 6 ของโรมาเนีย ได้ตั้งมั่นกองกำลังห่างจากโซลโนก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของแนวรบแม่น้ำทิสซอ เพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น[109] ในขณะที่กองกำลังอื่น ๆ เข้ายึดโตกาย (Tokaj) และตอร์ซอล (Tarcal) ในทางเหนือ[117] รัฐบาลบูดาเปสต์ออกคำสั่งให้ตอบโต้ทันที แม้ว่าขวัญกำลังใจของทหารจะต่ำก็ตาม กองทัพแดงฮังการีได้เดิมพันต่อสู้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของกองทัพโรมาเนียอย่างไร้ผล[118] เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม กองกำลังทหารของฮังการีจำนวนมากได้ละทิ้งแนวแม่น้ำ แม้ว่าจะมีบางหน่วยที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้ หน่วยทหารที่เหลืออยู่ของฮังการีสามารถยึดโซลโนกกลับคืนมาได้ แต่ก็ไม่สามารถหยุดการรุกรานจากแนวรบอื่นที่เหลือ[119] โดยในวันนั้น กองทัพโรมาเนียสามารถรุกคืบเข้าไปได้อีกสามสิบกิโลเมตร ซึ่งระหว่างทางก็พบกับการปะทะกันเล็กน้อย[120]
แม้ว่ายูโกสลาเวียจะไม่เต็มใจเข้าร่วมในปฏิบัติการทางทหารกับฮังการี แต่ที่สุดแล้วรัฐบาลเบลเกรดก็ได้ตกลงเป็นพันธมิตร เนื่องด้วยแรงกดดันจากไตรภาคี[12] การปะทะกันอีกครั้งในแนวรบของโรมาเนียได้สร้างความพ่ายแพ้ให้แก่ฮังการีอย่างรวดเร็ว จากการนัดหยุดงานของแรงงานในยูโกสลาเวีย เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม เพื่อหยุดยั้งการเข้าแทรกแซงสงคราม และการมอบกรรมสิทธิ์ดินแดนบานัตส่วนหนึ่งให้แก่โรมาเนียโดยไตรภาคี ทำให้ยูโกสลาเวียไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อต้านรัฐบาลบูดาเปสต์ครั้งนี้[12]
มาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมและวิกฤตภายในแก้ไข
แม้ว่าสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีจะทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลโซเวียตก็มุ่งมั่นที่จะนำอุดมการณ์แบบลัทธิสังคมนิยมมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงสังคมของฮังการีโดยทันที รัฐบาลเริ่มดำเนินการปฏิรูปและออกมาตรการต่อผู้ที่ถูกมองว่าเป็น "ศัตรูของชนชั้นแรงงาน" โดยยึดตามแบบอย่างของรัสเซียอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้สาธารณรัฐสูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนอย่างรวดเร็ว[81] การใช้มาตรการที่ก้าวหน้าและการประยุกต์ใช้ระบอบเผด็จการของรัฐบาล ก่อให้เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากในหมู่ประชากร[9] ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและค่านิยมของประชากรอย่างลึกซึ้งกลับกลายเป็นความล้มเหลว[16] ความพยายามที่จะเปลี่ยนฮังการีจากสังคมแบบศักดินาเป็นสังคมแบบมาร์กซิสต์ล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการขาดประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐและความล้มเหลวของขบวนการคอมมิวนิสต์ ตลอดจนความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจ[16] รัฐบาลโซเวียตได้กำหนดวัตถุประสงค์ของตนไว้สองประการ ประการแรกคือการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นรูปแบบของมาร์กซิสต์ และประการที่สองคือการกำจัดความขัดแย้งทั้งหมด เพื่อประกันความอยู่รอดของระบอบเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ[16]
ในขณะที่นโยบายต่างประเทศถูกกำหนดโดยกุน นโยบายภายในประเทศส่วนใหญ่ได้ถูกกำหนดโดยสมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมในสภาปกครอง[72][121]
การส่งเสริมวัฒนธรรมและการควบคุมสื่อแก้ไข
รัฐบาลโซเวียตมีความพยายามเป็นอย่างมากที่จะปรับปรุงวัฒนธรรมของประชากร โรงละครถือเป็นสถานที่ส่วนรวมและการจำหน่ายตั๋วถูกควบคุมโดยกรรมการราษฎรฝ่ายศึกษาธิการ ซึ่งมีหน้าที่จำหน่ายตั๋วการแสดงราคาถูกให้แก่คนงาน[122] โดยมาตรการนี้ได้ถูกนำมาใช้ในโรงภาพยนตร์และพิพิธภัณฑ์เช่นเดียวกัน[122] อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรัฐบาลบริหารมาตรการผิดพลาด จึงตกเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากศิลปินที่มีแนวคิดชาตินิยม นักเขียน และนักธุรกิจศิลปะ[122] ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน มาตรการวัฒนธรรมอันทะเยอทะยานของรัฐบาลกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤต โดยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแถบชนบทและตกอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเงินของประเทศ[123]
รัฐบาลจำกัดเสรีภาพสื่ออย่างเข้มงวด และสั่งระงับวารสารเป็นจำนวนมากด้วยเหตุผลทางการเมืองและปัญหาการขาดแคลนกระดาษในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ[124] ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสหภาพนักข่าวนำไปสู่การยุบสภาภายใต้คำสั่งของคณะรัฐมนตรีในเวลาต่อมา[125]
นโยบายเพื่อเยาวชนแก้ไข
จากหลักฐานสิ่งพิมพ์สมัยใหม่ระบุว่ามาตรการของรัฐบาลที่มีต่อเยาวชนได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น[122] รัฐบาลอนุมัติให้มีการตรวจสุขภาพเยาวชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและได้ส่งเสริมสุขอนามัยในโรงเรียน มีการจัดตั้งโครงการอาบน้ำสำหรับเด็กนักเรียนในห้องน้ำสาธารณะและกำหนดให้สถานบำรุงสุขภาพเป็นของส่วนรวม[123] โครงการอาศัยในชนบทถูกสร้างขึ้นสำหรับเด็กจากครอบครัวที่ยากจนในเมืองหลวง และสภาปกครองมีหน้าที่รับผิดชอบในด้านสุขภาพแก่พวกเขา[126] มีการจัดตั้งโครงการสอนพิเศษเฉพาะทางสำหรับเยาวชนผู้พิการในโรงเรียนและจัดตั้งสถาบันที่ทันสมัยสำหรับการรักษาผู้มีปัญหาทางจิต[126] มีแผนการฟื้นฟูระยะยาวสำหรับเยาวชนที่ต่อต้านสังคม ซึ่งแผนนี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้จริงเนื่องจากระยะเวลาอันสั้นของสาธารณรัฐ[126]
การศึกษาและศาสนาแก้ไข
สถานศึกษาต่าง ๆ ถูกกำหนดเป็นของส่วนรวมทั้งสิ้นเมื่อวันที่ 29 มีนาคม และถูกรวมอำนาจการดูแลมาไว้ที่รัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงแผนการศึกษา[127] มีความพยายามปรับปรุงและกำหนดหลักสูตรการศึกษาใหม่ และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่[127][128] มีการจัดพิมพ์หนังสือเรียนใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐ และการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น[128] มีการวางแผนโครงการปลูกฝังลัทธิมากซ์ในสถานศึกษา ซึ่งโครงการยังไม่ทันได้จัดขึ้นเนื่องจากสาธารณรัฐโซเวียตล่มสลายเสียก่อน[129] แม้ว่ารัฐบาลจะมีห่วงใยแก่เหล่าอาจารย์ผู้สอน แต่สำหรับบรรดาคณาจารย์ส่วนใหญ่แล้วกลับไม่ได้นิยมชมชอบต่อระบอบการปกครองใหม่สักเท่าใดนัก[129] ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างครูอาจารย์อย่างรุนแรง[130] การสอนเพศศึกษาสมัยใหม่ได้ถูกนำมาใช้ในหลักสูตรของโรงเรียนโดยไม่มีการวางแผนอะไรมากนัก[130]
ศาสนาถือเป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งของรัฐบาล[130] การโอนกรรมสิทธิ์สถานศึกษาเอกชนและโรงเรียนสอนศานาให้เป็นของรัฐ (ซึ่งคิดเป็น 70 % ของสถานศึกษาทั้งหมดในประเทศ) และการปราบปรามสัญลักษณ์และกิจกรรมทางศาสนาในโรงเรียน ทำให้ความขัดแย้งระหว่างคณาจารย์และรัฐบาลทวีความรุนแรงมากขึ้น[130] แม้ว่ารัฐบาลจะยังปกป้องสิทธิส่วนบุคคลและเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่การโต้เถียงที่เกิดขึ้นจากการปราบปรามสัญลักษณ์ทางศาสนาได้สร้างภาพลักษณ์อันเสื่อมเสียต่อรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง[124]
การปฏิรูปสังคมและสุขภาพแก้ไข
มาตรการทางสังคมของรัฐบาลมีลักษณะเฉพาะเหมือนกับมาตรการวัฒนธรรม: รัฐบาลมีความทะเยอทะยานอย่างยิ่งสำหรับจุดประสงค์ของการบริหาร โดยมีความพยายามในการเปลี่ยนแปลงปัญหาที่ฝังลึก แต่รัฐบาลขาดแคลนบุคลากรและวิธีดำเนินการที่เหมาะสม อีกทั้งมาตรการเหล่านี้ต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมากและมีความเกินจริงมากไป เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์วิกฤตหลังสงคราม[125]
บรรดาศักดิ์ขุนนางต่าง ๆ ถูกยกเลิก[131] มีการประกาศบังคับใช้แรงงานและมีการจัดระบบสวัสดิการสังคมสำหรับผู้ว่างงาน ซึ่งนำไปสู่การล้มละลายของรัฐ[131] แม้รัฐบาลจะบังคับใช้มาตรการด้วยความกระตือรือร้น แต่ก็ประสบผลสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งยังใช้เงินทุนเป็นจำนวนมากเพื่อต่อสู้กับปัญหาร้ายแรงจากการว่างงาน[131]
รัฐบาลอนุมัติมาตรการปรับปรุงด้านมนุษยธรรมและสังคม[16] การบริหารงานของรัฐบาลได้รับการเผยแพร่จากสื่อ (ซึ่งถูกบังคับ) และในโปสเตอร์รณรงค์ที่สรรค์สร้างโดยศิลปินที่โดดเด่นในยุคนั้น[132] การจำหน่ายและการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายถูกสั่งห้าม แต่แรงกดดันจากชนบททำให้ต้องผ่อนปรนลงในวันที่ 23 กรกฎาคม[122] มีความพยายามที่จะกำจัดการค้าประเวณี[131] การหย่าร้างได้รับการอำนวยความสะดวก และมีการประกาศความเท่าเทียมกันทางกฎหมายสำหรับผู้หญิงด้วย[131] ดังนั้นฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติจึงใช้ข้ออ้างนี้ในการโฆษณาชวนเชื่อ โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลตั้งใจที่จะ "สร้างสังคมของผู้หญิง" ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในชนบท[131]
มีความทะเยอทะยานอย่างยิ่งยวดสำหรับการดำเนินการปรับปรุงด้านสุขภาพ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากคณะแพทย์และติดพันโดยสภาปกครอง[131] โรงพยาบาลและอุตสาหกรรมทางเภสัชกรรมยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะแพทย์ต่าง ๆ แม้จะมีความพยายามที่จะส่งต่อการจัดการไปยังผู้แทนทางการเมือง แต่รัฐบาลปฏิเสธ[133] การรักษาที่แตกต่างกันตามชนชั้นทางสังคมในโรงพยาบาลถูกยกเลิกและหอผู้ป่วยส่วนตัวเริ่มให้บริการสำหรับผู้ป่วยที่อาการหนักที่สุดเป็นสำคัญ[133] หรือแม้จะเสียชีวิตไปแล้ว หลุมฝังศพทุกหลุมก็ยังต้องมีขนาดเหมือนกันเพื่อความเสมอภาค[133]
มาตรการที่ได้รับการปฏิเสธจากประชาชนมากที่สุดและก่อให้เกิดการทุจริตมากที่สุด คือ มาตรการขัดเกลาทางสังคมด้านที่อยู่อาศัย[133] เมื่อประเทศเผชิญกับปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัยอย่างรุนแรง อันเป็นผลจากการละเว้นการสร้างที่อยู่อาศัยภายหลังสงคราม รัฐบาลจึงต้องใช้สิ่งปลูกสร้างที่เหลืออยู่เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับประชากร[133] มีการเรียกเก็บภาษีสำหรับเจ้าของที่ดินที่ไม่จ้างงาน บ้านและเครื่องเรือนต่าง ๆ ถือเป็นของส่วนรวมทั้งสิ้น ไม่ใช่ของคนงาน[133] ด้วยกฎระเบียบอันสับสนเช่นนี้ ทำให้คณะกรรมการเคหะล้มเหลวในการปฏิรูปในช่วงต้นเดือนเมษายน[134] การใช้วิธีการที่รุนแรงของกรรมการราษฎรฝ่ายศึกษาธิการ ติโบร์ ซอมูแอลี ในการพยายามปฏิรูปคณะกรรมการ (รวมทั้งการบังคับขู่เข็ญหรือการขับไล่ประชากรประมาณ 200,000 คน ออกจากบูดาเปสต์) เพื่อยุติการละเมิดและทุจริตประสบความล้มเหลว[134] ในเดือนกรกฎาคม มาตรการได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้วว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่แพงจนเกินไป อีกทั้งยังไม่สามารถยุติปัญหาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงได้ด้วย[135]
นโยบายแรงงานและภาษีแก้ไข
ทัศนคติของรัฐบาลที่มีต่อค่าจ้างของแรงงาน คือ ความจำเป็นในการปรับแปลงนโยบายแบบเก่าที่เดิมทีแล้วขึ้นอยู่กับความต้องการของสหภาพแรงงาน เปลี่ยนเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงของการผลิตที่น้อยลงและแรงงานที่ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน[135] รัฐบาลยกเลิกการทำงานที่คิดค่าแรงเป็นรายชิ้น (piecework) กำหนดเวลาทำงานเป็น 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพิ่มค่าแรง เสนอการทำประกันสังคมภาคบังคับ และสัญญาจะรับประกันการจ้างงานสำหรับแรงงานทุกคน[135] อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะมีความพยายามในการปฏิรูปสังคม เช่น การอนุมัติเวลาทำงานเป็นแปดชั่วโมงต่อวัน ให้บริการทางแพทย์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย กำหนดค่าเช่าที่ต่ำลงและเพิ่มค่าแรงที่สูงขึ้น เป็นต้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนพึงพอใจมากขึ้น[71][136] มาตรการเหล่านี้ที่แรงงานรอคอยอย่างยาวนานมีผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตที่ลดลง กล่าวคือการที่รัฐบาลรับประกันการจ้างงาน การเพิ่มค่าแรงที่ไม่สัมพันธ์กับการผลิต การเป็นสมาชิกชนชั้นปกครองโดยชอบธรรมของแรงงานตามโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้คนงานฮังการีส่วนใหญ่หยุดทำงานอย่างถึงที่สุด[135] ในไม่ช้าอัตราเงินเฟ้อก็สูงขึ้น การเพิ่มค่าแรงในงานแต่ละส่วนจึงถูกยกเลิกและเกิดการขาดแคลนสินค้า รัฐบาลตอบโต้ด้วยการพยายามนำนโยบายเดิมที่คนงานไม่เห็นชอบกลับมาใช้ใหม่ เพื่อพยายามผลักดันการผลิตอีกครั้ง ซึ่งทำให้เกิดการจราจลขนาดย่อมขึ้น[137]
อัตราค่าแรงที่กำหนดไว้สำหรับแรงงานภาคเกษตรทำให้แรงงานเหล่านี้เสียเปรียบเมื่อเทียบกับแรงงานในเมือง เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและการขาดแคลนของสินค้าที่ผลิต แม้ว่าชาวนาจะมีรายได้สูงกว่าครั้งใด ๆ ในประวัติศาสตร์ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาบริโภคสินค้าได้มากขึ้น อีกทั้งยังน้อยลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ[138]
แม้จะมีการปรับปรุงเงื่อนไขประกันสังคมของแรงงาน แต่การดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาลก็ยุ่งเหยิงและบางครั้งก็ขัดแย้งกันตลอดสมัยสาธารณรัฐโซเวียต โดยมักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา[139]
รัฐบาลยังควบคุมราคาสินค้าอีกด้วย โดยเรียกเก็บภาษีทางอ้อมจากราคาสินค้า[139] ความพยายามของรัฐบาลที่จะรักษามาตรฐานราคาให้ต่ำนั้นล้มเหลว[140] เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ การผลิตที่ลดลง การมีอยู่ของตลาดมืด และการปิดล้อมทางเศรษฐกิจโดยไตรภาคี ซึ่งได้จำกัดจำนวนทรัพยากรที่มีอยู่ไว้[139]
นโยบายชาติและเศรษฐกิจแก้ไข
รัฐบาลโซเวียตกำหนดให้ธนาคาร[136] โรงงานอุตสาหกรรม[136] เหมืองแร่ และบริษัทขนส่งที่มีแรงงานมากกว่า 20 คน เป็นของส่วนรวมทั้งสิ้น[140] โดยมีกรรมการราษฎรที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลและสภาเป็นผู้บริหารจัดการ[140] (ซึ่งรวมถึงบริษัทข้ามชาติในประเทศ คอนโดมิเนียม[136] ห้างสรรพสินค้า และไร่นาที่มีขนาดใหญ่กว่า 57 เฮกตาร์) นำไปสู่ความโกลาหลทางเศรษฐกิจ[71] พื้นที่การค้าที่มีแรงงานมากกว่าสิบคนถูกกำหนดเป็นของส่วนรวมในอีกสองวันต่อมา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม[140] เช่นเดียวกับโรงแรม สถานบำรุงสุขภาพ (สปา) และบริษัทประกันภัย[140] หอพักทั้งหลายถูกทำให้เป็นแบบสังคมนิยมในวันที่ 26 มีนาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ธนาคารถูกเวนคืน[140] เงินฝากทองคำ เครื่องประดับที่มีมูลค่าเกินกำหนด และเงินตราระหว่างประเทศถูกยึด จำนวนเงินที่สามารถถอนได้จากบัญชีธนาคารก็ถูกจำกัด[140] ไม่นานบริษัทเอกชนส่วนใหญ่จึงตกอยู่ในมือของรัฐ[140]
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการราษฎรที่รับผิดชอบดูแลโรงงานส่วนรวมนั้นไม่มีประสบการณ์ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถป้องกันการผลิตที่ลดลงอย่างรวดเร็วได้[105] ในช่วงปลายเดือนเมษายน การบริการทางรถไฟถูกจำกัดลง เนื่องจากขาดแคลนถ่านหิน[105] รัฐบาลยังคงแบ่งปันทรัพยากรและปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง[71]
ถึงแม้มาตรการรวมสัญชาติจะสามารถนำรายได้จำนวนมากเข้าสู่รัฐบาลใหม่ แต่กลับล้มเหลวในการบริหารมาตรการ[141] ระบบราชการขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ที่เป็นของส่วนรวม แต่เนื่องจากระยะเวลาของการดำรงอยู่อันสั้น จึงไม่สามารถปรับปรุงการผลิตของประเทศได้[141] การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเมืองต่าง ๆ มีโอกาสลดลงระหว่าง 25 % ถึง 75 %[106] การทุจริตอย่างกว้างขวางของระบอบการปกครองที่อัมพาต ปัญหาการเงิน และความล้มเหลวของนโยบายที่ดินก็มีส่วนทำให้เศรษฐกิจของสาธารณรัฐโซเวียตย่ำแย่เช่นกัน[141] การปิดล้อมทางเศรษฐกิจของไตรภาคีและการบริหารงานที่ผิดพลาดยิ่งมีส่วนทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำลงไปอีก[106]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ความปราชัยและการล่มสลายแก้ไข
ภายหลังจากความปราชัยทางทหารในภาคตะวันออก ประกอบกับรัฐบาลได้สูญเสียการสนับสนุนจากสหภาพแรงงาน[142] ส่งผลให้การประชุมคณะกรรมการสหภาพแรงงาน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งมีผู้นำสหภาพแรงงาน 46 คน ลงมติคัดค้านการรักษาระบอบสาธารณรัฐโซเวียตอย่างท่วมท้น โดยมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เห็นด้วย[143] ผลจากการลงมติครั้งนี้ได้ถูกส่งไปให้กุน[143] ซึ่งเมื่อวันก่อน ตัวเขาปฏิเสธที่จะลาออกและระบุว่ากองทัพสามารถยึดแนวหน้าได้[144] สภาปกครองจึงเรียกประชุมวิสามัญของขบวนการแรงงานและทหารในบูดาเปสต์ในวันรุ่งขึ้น[143]
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ระหว่างการประชุมสภาแรงงานกลาง คณะรัฐมนตรีได้มอบอำนาจให้กับรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งประกอบด้วยผู้นำสหภาพแรงงานสายกลาง[117][119][106][111][13] จูลอ ไพเดิล ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่[111] ไพเดิลปฏิเสธที่จะปรากฏตัวต่อสภา โดยเป็นการบ่งบอกว่าตัวเขาปฏิเสธระบอบโซเวียต ซึ่งเขาไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน[143] ภายหลังจากการลาออกของกุน ผู้นำหลักของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีบางคนก็ไปจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ใต้ดิน[145] ในคืนเดียวกันนั้น กุนได้รับการยืนยันว่ารัฐบาลออสเตรียยินดีที่จะให้ที่พักพิงแก่ตัวเขาและผู้ติดตามบางคน[117] กุนและอดีตกรรมการราษฎรบางส่วนจึงได้ลี้ภัยจากบูดาเปสต์[115][120][13] โดยรถไฟสองขบวนและมาถึงเวียนนาในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 2 สิงหาคม[106] พรรคพวกของเขาได้ถูกกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์บุกทำร้ายระหว่างทางไปสถานีรถไฟ[146]
รัฐบาลใหม่ที่นำโดย จูลอ ไพเดิล[106] ซึ่งอยู่ในความดูแลของฝ่ายประชาธิปไตยสังคมนิยม ได้มีกรรมการราษฎรจากคณะรัฐมนตรีของกุนบางคนเข้าร่วมกับคณะรัฐบาลไพเดิล[146][120][147] เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีการประกาศให้ยกเลิกสาธารณรัฐโซเวียต พร้อมกับการฟื้นฟูสาธารณรัฐประชาชนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และได้ออกมาตรการรื้อถอนมรดกตกทอดของระบอบโซเวียต[148][147] ในขณะเดียวกัน กองทัพโรมาเนียได้เคลื่อนกำลังพลห่างจากเมืองหลวงเพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น[13] และในวันรุ่งขึ้น กองกำลังหน่วยแรกของโรมาเนียก็ได้เข้าสู่บูดาเปสต์[120] โดยมีกองทหารของฮังการีเพียงไม่กี่หน่วยเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดปกป้องเมืองหลวง แต่ก็ล้มเหลว รัฐบาลไม่สามารถป้องกันกองทัพโรมาเนียที่เคลื่อนพลเข้าสู่บูดาเปสต์ได้ ดังนั้นในวันที่ 4[120] จึงไม่มีการต่อต้านจากทางการฮังการี[149] โรมาเนียได้พยายามจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดในบูดาเปสต์หลังจากความพ่ายแพ้ของคอมมิวนิสต์ โดยมียูโกสลาเวียและเชโกสโลวาเกียเป็นผู้อนุมัติ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ[150]
ดูเพิ่มแก้ไข
หมายเหตุแก้ไข
- ↑ ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของเบลอ กุน คือกรรมการราษฎรฝ่ายกิจการต่างประเทศของฮังการี
- ↑ เนื่องจากการแปลที่ผิดพลาดในช่วงแรก จึงกลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ สาธารณรัฐโซเวียตฮังการี ในแหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษ (ฮังการี: Magyar Szovjet-köztársaság)
- ↑ เป็นการเลียนแบบอย่างจากบอลเชวิคในโซเวียตรัสเซีย แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสภาแรงงาน (โซเวียต) ซึ่งชื่อเหมือนกัน
- ↑ ตามหนังสือของ Völgyes ในหน้าที่ 161 ได้ระบุวันที่เป็นไปได้อยู่สองวัน คือวันที่ 22 และ 24 พฤศจิกายน ส่วนหนังสือของ Zsuppán ในหน้าที่ 317 ได้ระบุว่าเป็นวันที่ 20 และหนังสือของ Janos ในหน้าที่ 189 ได้ยืนยันว่า วันที่ 20 เป็นวันที่มีการพบปะกันระหว่างพวกคอมมิวนิสต์ นักสังคมนิยมหัวรุนแรง และคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมการก่อตั้งพรรคใหม่
- ↑ ในเดือนมีนาคม คลังอาวุธลับของพรรคคอมมิวนิสต์มีจำนวนปืนไรเฟิลทั้งหมด 35,000 กระบอก[32]
- ↑ มีตำรวจเสียชีวิต 7 นาย และมีผู้บาดเจ็บประมาณ 80 คน ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์รู้ดีว่ารัฐบาลจะต้องจับกุมพวกเขาอย่างแน่นอนหลังจากการประท้วง แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่หลบหนี ทำให้มีผู้ถูกจับกุมในเหตุการณ์ครั้งนี้จำนวนเจ็ดสิบหกคน Zsuppán, p. 329.
- ↑ กอร์บอยีได้อธิบายถึงความจำเป็นในการสร้างความใกล้ชิดกับคอมมิวนิสต์รัสเซียไว้ว่า[60]
จากตะวันตก เราไม่สามารถคาดหวังอะไรได้เลยนอกเสียจากความสงบสุขซึ่งบีบบังคับให้เราละทิ้งการเลือกตั้งโดยเสรี ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการยอมรับระบอบเผด็จการรูปแบบใหม่ ไตรภาคีได้นำเราไปสู่แนวทางใหม่ ที่ทางตะวันออกจะรับรองเรา ส่วนทางตะวันตกปฏิเสธ...
- ↑ รัฐธรรมนูญได้กีดกันพระสงฆ์ ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง อดีตผู้แสวงหาผลประโยชน์ และอาชญากร จากสิทธิในเลือกตั้ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีสิทธิในการเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้ชายผู้หญิงอายุสิบแปดปีขึ้นไป Janos, p. 193.
- ↑ ปัจจุบันคือกอชิตเซ ประเทศสโลวาเกีย
- ↑ ในภาษาฮังการี เรียกว่า "โปโจญ" (Pozsony)
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Angyal, Pál (1927). "A magyar büntetőjog kézikönyve IV. rész". A magyar büntetőjog kézikönyve. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2016.
- ↑ 2.0 2.1 Völgyes 1970, p. 58.
- ↑ John C. Swanson (2017). Tangible Belonging: Negotiating Germanness in Twentieth-Century Hungary. University of Pittsburgh Press. p. 80. ISBN 9780822981992.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 4.7 Juhász 1979, p. 18.
- ↑ 5.0 5.1 Király & Pastor 1988, p. 92.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Balogh 1976, p. 15.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 Janos 1981, p. 195.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 34.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 Bodo 2010, p. 703.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 10.7 Király & Pastor 1988, p. 6.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 11.7 Szilassy 1971, p. 37.
- ↑ 12.0 12.1 12.2 Király & Pastor 1988, p. 226.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 13.3 13.4 Janos 1981, p. 201.
- ↑ Balogh 1975, p. 298; Király & Pastor 1988, p. 226.
- ↑ 15.0 15.1 Király & Pastor 1988, p. 4.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 16.3 16.4 16.5 Völgyes 1971, p. 61.
- ↑ Völgyes 1971, p. 84.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 Király & Pastor 1988, p. 166.
- ↑ Völgyes 1971, p. 88.
- ↑ Pastor 1976, p. 37.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 314.
- ↑ 22.0 22.1 22.2 Szilassy 1969, p. 96.
- ↑ 23.0 23.1 23.2 23.3 23.4 Janos 1981, p. 191.
- ↑ 24.0 24.1 Szilassy 1969, p. 97.
- ↑ 25.0 25.1 25.2 Zsuppán 1965, p. 315.
- ↑ 26.0 26.1 26.2 26.3 Király & Pastor 1988, p. 29.
- ↑ 27.0 27.1 Völgyes 1970, p. 62.
- ↑ Völgyes 1971, p. 162.
- ↑ 29.0 29.1 29.2 Janos & Slottman 1971, p. 66.
- ↑ Janos 1981, p. 190.
- ↑ 31.0 31.1 Zsuppán 1965, p. 321.
- ↑ 32.0 32.1 32.2 32.3 Zsuppán 1965, p. 320.
- ↑ 33.0 33.1 Zsuppán 1965, p. 317.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 127.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 322.
- ↑ 36.0 36.1 36.2 Zsuppán 1965, p. 323.
- ↑ 37.0 37.1 Zsuppán 1965, p. 325.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 326.
- ↑ 39.0 39.1 Zsuppán 1965, p. 327.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 319.
- ↑ 41.0 41.1 Zsuppán 1965, p. 324.
- ↑ 42.0 42.1 42.2 Janos & Slottman 1971, p. 67.
- ↑ Zsuppán 1965, p. 328.
- ↑ 44.0 44.1 44.2 Zsuppán 1965, p. 329.
- ↑ 45.0 45.1 Király & Pastor 1988, p. 129.
- ↑ Völgyes 1971, p. 164.
- ↑ 47.0 47.1 47.2 Zsuppán 1965, p. 330.
- ↑ 48.0 48.1 48.2 48.3 48.4 Zsuppán 1965, p. 333.
- ↑ 49.0 49.1 49.2 Zsuppán 1965, p. 331.
- ↑ 50.0 50.1 50.2 50.3 Zsuppán 1965, p. 332.
- ↑ 51.0 51.1 51.2 51.3 51.4 Janos 1981, p. 192.
- ↑ 52.0 52.1 52.2 52.3 52.4 52.5 52.6 Juhász 1979, p. 19.
- ↑ Szilassy 1969, p. 98.
- ↑ Szilassy 1971, p. 32.
- ↑ 55.0 55.1 Pastor 1976, p. 140.
- ↑ 56.0 56.1 56.2 Szilassy 1971, p. 33.
- ↑ 57.0 57.1 57.2 Zsuppán 1965, p. 334.
- ↑ Pastor 1976, p. 141.
- ↑ Völgyes 1970, p. 64.
- ↑ 60.0 60.1 60.2 60.3 Király & Pastor 1988, p. 259.
- ↑ 61.0 61.1 Janos & Slottman 1971, p. 68.
- ↑ Bodo 2010, p. 708.
- ↑ 63.0 63.1 63.2 63.3 Pastor 1976, p. 143.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 272.
- ↑ 65.0 65.1 65.2 65.3 65.4 Pastor 1976, p. 144.
- ↑ 66.0 66.1 Király & Pastor 1988, p. 245.
- ↑ Völgyes 1970, p. 65.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 31.
- ↑ 69.0 69.1 Völgyes 1970, p. 66.
- ↑ Szilassy 1971, p. 39.
- ↑ 71.0 71.1 71.2 71.3 71.4 Szilassy 1971, p. 38.
- ↑ 72.0 72.1 Völgyes 1970, p. 68.
- ↑ 73.0 73.1 Balogh 1976, p. 16.
- ↑ 74.0 74.1 Janos & Slottman 1971, p. 61.
- ↑ Balogh 1976, p. 23.
- ↑ Janos & Slottman 1971, p. 64.
- ↑ 77.0 77.1 77.2 77.3 Király & Pastor 1988, p. 5.
- ↑ Janos 1981, p. 193.
- ↑ 79.0 79.1 79.2 Janos 1981, p. 194.
- ↑ Völgyes 1970, p. 93.
- ↑ 81.0 81.1 81.2 81.3 81.4 Mocsy 1983, p. 98.
- ↑ 82.0 82.1 Király & Pastor 1988, p. 76.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 172.
- ↑ 84.0 84.1 84.2 Király & Pastor 1988, p. 36.
- ↑ 85.0 85.1 Király & Pastor 1988, p. 37.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 237.
- ↑ 87.0 87.1 87.2 87.3 Juhász 1979, p. 23.
- ↑ 88.0 88.1 Juhász 1979, p. 22.
- ↑ 89.0 89.1 Király & Pastor 1988, p. 43.
- ↑ 90.0 90.1 Király & Pastor 1988, p. 42.
- ↑ 91.0 91.1 Király & Pastor 1988, p. 49.
- ↑ 92.0 92.1 Király & Pastor 1988, p. 65.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 50.
- ↑ 94.0 94.1 Király & Pastor 1988, p. 309.
- ↑ 95.0 95.1 95.2 Király & Pastor 1988, p. 58.
- ↑ 96.0 96.1 96.2 96.3 Király & Pastor 1988, p. 59.
- ↑ Juhász 1979, p. 2.
- ↑ Juhász 1979, p. 24.
- ↑ Szilassy 1971, p. 42.
- ↑ Szilassy 1969, p. 99.
- ↑ 101.0 101.1 101.2 Király & Pastor 1988, p. 69.
- ↑ 102.0 102.1 Juhász 1979, p. 25.
- ↑ Janos & Slottman 1971, p. 82.
- ↑ 104.0 104.1 104.2 104.3 Király & Pastor 1988, p. 81.
- ↑ 105.0 105.1 105.2 Szilassy 1971, p. 43.
- ↑ 106.0 106.1 106.2 106.3 106.4 106.5 Szilassy 1969, p. 100.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 7.
- ↑ Balogh 1976, p. 29.
- ↑ 109.0 109.1 109.2 109.3 109.4 109.5 109.6 109.7 Szilassy 1971, p. 45.
- ↑ 110.0 110.1 110.2 110.3 Király & Pastor 1988, p. 72.
- ↑ 111.0 111.1 111.2 111.3 Juhász 1979, p. 26.
- ↑ 112.0 112.1 Király & Pastor 1988, p. 71.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 82.
- ↑ 114.0 114.1 Király & Pastor 1988, p. 83.
- ↑ 115.0 115.1 115.2 Bodo 2010, p. 704.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 73.
- ↑ 117.0 117.1 117.2 Szilassy 1971, p. 46.
- ↑ Szilassy 1971, p. 48.
- ↑ 119.0 119.1 Király & Pastor 1988, p. 74.
- ↑ 120.0 120.1 120.2 120.3 120.4 Király & Pastor 1988, p. 84.
- ↑ Völgyes 1971, p. 167.
- ↑ 122.0 122.1 122.2 122.3 122.4 Völgyes 1971, p. 63.
- ↑ 123.0 123.1 Völgyes 1971, p. 64.
- ↑ 124.0 124.1 Völgyes 1971, p. 70.
- ↑ 125.0 125.1 Völgyes 1971, p. 71.
- ↑ 126.0 126.1 126.2 Völgyes 1971, p. 65.
- ↑ 127.0 127.1 Völgyes 1971, p. 66.
- ↑ 128.0 128.1 Völgyes 1971, p. 67.
- ↑ 129.0 129.1 Völgyes 1971, p. 68.
- ↑ 130.0 130.1 130.2 130.3 Völgyes 1971, p. 69.
- ↑ 131.0 131.1 131.2 131.3 131.4 131.5 131.6 Völgyes 1971, p. 72.
- ↑ Völgyes 1971, p. 62.
- ↑ 133.0 133.1 133.2 133.3 133.4 133.5 Völgyes 1971, p. 73.
- ↑ 134.0 134.1 Völgyes 1971, p. 74.
- ↑ 135.0 135.1 135.2 135.3 Völgyes 1971, p. 75.
- ↑ 136.0 136.1 136.2 136.3 Mocsy 1983, p. 99.
- ↑ Völgyes 1971, p. 76.
- ↑ Völgyes 1971, p. 78.
- ↑ 139.0 139.1 139.2 Völgyes 1971, p. 79.
- ↑ 140.0 140.1 140.2 140.3 140.4 140.5 140.6 140.7 Völgyes 1971, p. 80.
- ↑ 141.0 141.1 141.2 Völgyes 1971, p. 81.
- ↑ Balogh 1976, p. 26.
- ↑ 143.0 143.1 143.2 143.3 Balogh 1976, p. 34.
- ↑ Balogh 1976, p. 33.
- ↑ Szilassy 1971, p. 47.
- ↑ 146.0 146.1 Szilassy 1971, p. 49.
- ↑ 147.0 147.1 Szilassy 1969, p. 101.
- ↑ Szilassy 1971, p. 52.
- ↑ Király & Pastor 1988, p. 75.
- ↑ Balogh 1975, p. 298.
บรรณานุกรมแก้ไข
- Balogh, Eva S. (1975). "Romanian and Allied Involvement in the Hungarian Coup d'Etat of 1919". East European Quarterly. 9 (3): 297–314. ISSN 0012-8449.
- Balogh, Eva S. (March 1976). "The Hungarian Social Democratic Centre and the Fall of Béla Kun". Canadian Slavonic Papers. Taylor & Francis. 18 (1): 15–35. doi:10.1080/00085006.1976.11091436. JSTOR 40867035.
- Bodo, Bela (October 2010). "Hungarian Aristocracy and the White Terror". Journal of Contemporary History. SAGE Publications. 45 (4): 703–724. doi:10.1177/0022009410375255. JSTOR 25764578. S2CID 154963526.
- Juhász, Gyula (1979). Hungarian Foreign Policy, 1919–1945. Akadémiai Kiadó. ISBN 978-96-30-51882-6.
- Janos, Andrew C.; Slottman, William B. (1971). Revolution in Perspective: Essays on the Hungarian Soviet Republic of 1919. University of California Press. ISBN 978-05-20-01920-1.
- Janos, Andrew C. (1981). The Politics of Backwardness in Hungary: Dependence and Development on the European Periphery, 1825-1945 (ภาษาอังกฤษ). Princeton University Press. p. 370. ISBN 9780691101231.
- Király, Béla K.; Pastor, Peter (1988). War and Society in East Central Europe. Columbia University Press. ISBN 978-08-80-33137-1.
- Mocsy, Istvan I. (1983). "The Uprooted: Hungarian Refugees and Their Impact on Hungary's Domestic Politics, 1918–1921". East European Monographs. doi:10.2307/2499355. ISBN 978-08-80-33039-8. JSTOR 2499355.
- Pastor, Peter (1976). Hungary Between Wilson and Lenin (ภาษาอังกฤษ). East European Monograph. p. 191. ISBN 9780914710134.
- Szilassy, Sándor (1969). "Hungary at the Brink of the Cliff 1918-1919". East European Quarterly. 3 (1): 95–109. ISSN 0012-8449.
- Szilassy, Sándor (1971). Revolutionary Hungary 1918–1921. Aston Park, Florida: Danubian Press. ISBN 978-08-79-34005-6.
- Swanson, John C. (2017). Tangible Belonging: Negotiating Germanness in Twentieth-Century Hungary. University of Pittsburgh Press. ISBN 978-0-8229-8199-2.
- Völgyes, Iván (1970). "The Hungarian Dictatorship of 1919: Russian Example versus Hungarian Reality". East European Quarterly. 1 (4). ISSN 0012-8449.
- Völgyes, Iván (1971). Hungary in Revolution, 1918–1919: Nine Essays. University of Nebraska Press. ISBN 978-08-03-20788-2.
- Zsuppán, Ferenc Tibor (1965). "The Early Activities of the Hungarian Communist Party, 1918-19". The Slavonic and East European Review. 43 (101): 314–334. ISSN 0037-6795.
หนังสืออ่านเพิ่มเติมแก้ไข
- György Borsányi, The life of a Communist revolutionary, Bela Kun translated by Mario Fenyo, Boulder, Colorado: Social Science Monographs, 1993.
- Andrew C. Janos and William Slottman (editors), Revolution in Perspective: Essays on the Hungarian Soviet Republic of 1919. Berkeley, CA: University of California Press, 1971.
- Bennet Kovrig, Communism in Hungary: From Kun to Kádár. Stanford University: Hoover Institution Press, 1979.
- Bela Menczer, "Bela Kun and the Hungarian Revolution of 1919," History Today, vol. 19, no. 5 (May 1969), pp. 299–309.
- Peter Pastor, Hungary between Wilson and Lenin: The Hungarian Revolution of 1918–1919 and the Big Three. Boulder, CO: East European Quarterly, 1976.
- Thomas L. Sakmyster, A Communist Odyssey: The Life of József Pogány. Budapest: Central European University Press, 2012.
- Rudolf Tokes, Béla Kun and the Hungarian Soviet Republic: The Origins and Role of the Communist Party of Hungary in the Revolutions of 1918–1919. New York: F.A. Praeger, 1967.
แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข
- Gioielli, Emily R. (2015). 'White Misrule': Terror and Political Violence During Hungary's Long World War I, 1919–1924 (PDF) (PhD). Central European University. สืบค้นเมื่อ 3 September 2021 – โดยทาง Electronic Theses & Dissertations.
- Hajdu, Tibor (1979). "The Hungarian Soviet Republic". Studia Histórica. Budapest: Akadémiai Kiadó (131). สืบค้นเมื่อ 3 September 2021 – โดยทาง Internet Archive.