แอร์วีน ร็อมเมิล
โยฮันเนิส แอร์วีน อ็อยเกน ร็อมเมิล (เยอรมัน: Johannes Erwin Eugen Rommel) เป็นนายพลและนักทฤษฏีทางทหารชาวเยอรมัน เป็นที่รู้จักกันในสมญานามของเขาคือ จิ้งจอกทะเลทราย เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นจอมพลในแวร์มัคท์(กองทัพ) ของนาซีเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เช่นเดียวกับการรับใช้ในไรชส์แวร์แห่งสาธารณรัฐไวมาร์และกองทัพบกของจักรวรรดิเยอรมัน
แอร์วีน ร็อมเมิล | |
---|---|
ร็อมเมิลในปี 1942 | |
ชื่อเล่น | "จิ้งจอกทะเลทราย" |
เกิด | 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1891 ไฮเดินไฮม์ ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค จักรวรรดิเยอรมัน |
เสียชีวิต | 14 ตุลาคม ค.ศ. 1944 แฮร์ลิงเงิน นาซีเยอรมนี | (52 ปี)
รับใช้ | เยอรมนี (ถึง 1918)
เยอรมนี (ถึง 1933) ไรช์เยอรมัน (ถึง 1944) |
แผนก/ | กองทัพบกจักรวรรดิเยอรมัน
ไรชส์แฮร์ กองทัพบกเยอรมัน |
ประจำการ | 1911–1944 |
ชั้นยศ | จอมพล (Generalfeldmarschall) |
บังคับบัญชา | |
การยุทธ์ | สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามโลกครั้งที่สอง |
คู่สมรส | Lucia Maria Mollin (สมรส 1916) |
บุตร |
|
ลายมือชื่อ |
ประวัติ
แก้ช่วงต้น
แก้แอร์วีนเกิดในเมืองไฮเดินไฮม์ ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค ส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเยอรมัน เป็นบุตรคนที่สามในจำนวนห้าคนของครอบครัว บิดาเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นและเป็นอดีตทหารปืนใหญ่ เมื่ออายุได้ 18 ปี เขาบรรจุเป็นร้อยตรีในกองทัพเวือร์ทเทิมแบร์คในปี 1910 และเรียนโรงเรียนนายร้อยนครดันท์ซิช เขาจบการศึกษาในปี 1911 และได้รับบรรจุเป็นร้อยโทในกองทัพบกจักรวรรดิในต้นปี 1912[1]
อาชีพทหาร
แก้ร็อมเมิลเป็นนายทหารที่ได้รับการเชิดชูเกียรติขั้นสูงในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้รับอิสริยาภรณ์พัวร์เลอเมรีทจากการปฏิบัติหน้าที่ในแนวรบอิตาลี ในปี 1937 เขาตีพิมพ์หนังสือเรื่อง ทหารราบจู่โจม (Infanterie greift an) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับหลักยุทธวิธีและประสบการณ์ของเขาในสงคราม ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้เป็นผู้บัญชาการกองพลยานเกราะที่ 7 สมญา "กองพลผี"[2] ในยุทธการที่ฝรั่งเศส ซึ่งในครั้งนี้เอง เขาและพลเอกกูเดรีอันตัดสินใจฝ่าฝืนคำสั่งของหน่วยเหนือที่ให้หยุดรอทหารราบมาสมทบ ร็อมเมิลนำกองยานเกราะข้ามแม่น้ำเมิซบุกทะลวงแนวรบของฝรั่งเศสต่อทันทีเพื่อไม่ให้เสียจังหวะบลิทซ์ครีค โดยมีกองพลยานเกราะของกูเดรีอันตามมาติดๆ การตัดสินใจบุกต่อของทั้งสองคนเป็นเหตุผลสำคัญที่สร้างความได้เปรียบแก่เยอรมัน
ร็อมเมิลถูกส่งตัวไปเป็นผู้บัญชาการทหารในการทัพแอฟริกาเหนือ เขาได้แสดงฝีมือและได้รับการยอมรับนับถือเป็นผู้บัญชาการรถถังที่เก่งกาจที่สุดในช่วงสงครามและได้รับสมญา "จิ้งจอกทะเลทราย" แม้แต่ศัตรูอย่างผู้บัญชาการทหารชาวบริติชก็ยังยกย่องเขาเป็นอัศวิน ร็อมเมิลเคยอธิบายการทัพแอฟริกาเหนือไว้ว่าเป็น "สมรภูมิปราศความเกลียดชัง"[3] ร็อมเมิลได้รับยศจอมพลเมื่อ 22 มิถุนายน 1942 หลังได้รับชัยชนะในยุทธการที่กาซาลาในประเทศลิเบีย[4] ต่อมาเขาได้เป็นผู้บัญชาการกลุ่มทัพ B ประจำการในอิตาลี ต่อมาหน่วยนี้ถูกสั่งการไปต้านการยกพลข้ามช่องแคบเพื่อขึ้นบกที่นอร์ม็องดีของฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนมิถุนายน 1944
จุดยืนทางการเมืองและการเสียชีวิต
แก้ทหารส่วนใหญ่ในกองทัพรวมทั้งตัวร็อมเมิลล้วนยินดีต่อการเถลิงอำนาจของฮิตเลอร์และพรรคนาซี[5][6] พวกเขาเชื่อว่าเยอรมนีต้องการระบอบการปกครองที่มั่นคงและเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ร็อมเมิลไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคนาซี[7] และไม่เห็นด้วยกับการต่อต้านยิวและอุดมการณ์นาซี นักวิชาการยังคงถกเถียงกันว่าร็อมเมิลมีส่วนรับรู้ต่อเหตุการณ์ฮอโลคอสต์มากน้อยเพียงใด[8][9][10][11][12] ร็อมเมิลเคยสร้างความตะลึงใจแก่ฮิตเลอร์ในปี 1943 ด้วยข้อเสนอให้แต่งตั้งชาวยิวดำรงตำแหน่งเกาไลเทอร์ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ต่อประชาคมโลกและแก้ต่างให้พ้นจากข้อกล่าวหาของพวกอังกฤษที่ว่าเยอรมนีปฏิบัติไม่ดีต่อชาวยิว แต่ฮิตเลอร์ตอบกลับเขาว่า "ร็อมเมิลที่รัก คุณไม่เข้าใจความคิดผมเลย"[12][13]
นักประวัติศาสตร์หลายคนระบุว่าร็อมเมิลเป็นนายพลสุดโปรดคนหนึ่งของฮิตเลอร์ และความสัมพันธ์อันใกล้ชิดนี้ทำให้เขาได้รับประโยชน์ในอาชีพการงาน[14][15][6]ความโน้มเอียงทางการเมืองของร็อมเมิลนั้นเป็นหัวข้อถกเถียงกันอยู่แม้แต่ในหมู่นาซีร่วมสมัย ร็อมเมิลเองเห็นชอบกับบางแง่มุมของอุดมการณ์นาซี[16] และนิยมโฆษณาชวนเชื่อที่นาซีสร้างขึ้นเกี่ยวกับเขา แต่ก็รู้สึกโกรธที่โฆษณานั้นพรรณนาว่าเขาเป็นสมาชิกพรรคนาซีคนแรก ๆ และเป็นบุตรช่างหิน ทำให้ต้องแก้ไขโฆษณา[17][18]
สำหรับแผนลับเพื่อสังหารฮิตเลอร์ในปี 1944 นั้น ไม่ชัดเจนว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงหรือไม่ มีผู้ก่อการให้การปรักปรำเขา แต่เนื่องจากร็อมเมิลมีสถานะเป็นวีรบุรุษของชาติ ฮิตเลอร์จึงไม่อาจลงโทษเขาอย่างโจ่งแจ้งได้ ร็อมเมิลได้รับข้อเสนอสามข้อจากพลโทบวร์คดอร์ฟ ทางเลือกหนึ่ง; ไปแก้ตัวต่อฮิตเลอร์ด้วยตนเองที่กรุงเบอร์ลิน ทางเลือกสอง; เข้ารับการพิจารณาคดีในชั้นศาลและถูกพิพากษาประหารชีวิต ทางเลือกสาม; ปลิดชีพตัวเองแลกกับการดำรงเกียรติยศและสิทธิทุกอย่าง ครอบครัวจะไม่ถูกลงโทษและได้รับบำนาญตามปกติ ร็อมเมิลเลือกทางเลือกสุดท้าย เขาฆ่าตัวตายโดยการกัดแคปซูลไซยาไนด์[19] ฮิตเลอร์จัดรัฐพิธีศพให้ร็อมเมิลอย่างสมเกียรติ กองทัพประกาศว่าเขาถูกเครื่องบินข้าศึกยิงกราดขณะโดยสารรถยนต์ทหารประจำตัวในนอร์ม็องดี
วีรตำนาน
แก้ร็อมเมิลได้รับกิตติศัพท์ว่าเป็นผู้บัญชาการที่มีมนุษยธรรมสูงและนายทหารมืออาชีพ กองทัพน้อยแอฟริกาภายใต้บัญชาของเขาไม่เคยถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมสงครามเลย ทหารที่ตกเป็นเชลยระหว่างการทัพแอฟริกาของร็อมเมิลได้ให้การว่าได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมด้วยการแบ่งส่วนอาหารที่เท่ากับทหารเยอรมัน เพราะร็อมเมิลคิดว่านักโทษควรได้รับสิทธิ์เท่าเทียบกับพลเรือนเยอรมัน ทหารเยอรมันที่ประจำการที่แอฟริกาเล่าว่า ขณะที่รถของร็อมเมิลติดทราย ร็อมเมิลยังลงมาช่วยทหาร ยิ่งไปกว่านั้น ร็อมเมิลยังปฏิเสธคำสั่งฆ่าคอมมานโด ทหาร และพลเรือนชาวยิวในทุกเขตสงครามใต้บังคับของเขา ร็อมเมิลไม่เคยเกณฑ์พลเรือนมาช่วยงานเขาฟรีๆ เขาจะมีค่าจ้างให้เสมอ[20]
วินสตัน เชอร์ชิล เคยกล่าวต่อรัฐสภาอังกฤษว่าร็อมเมิลเป็น "คู่ปรับที่ชาญฉลาดและใจกล้าพิสดาร" และเป็น "แม่ทัพบกผู้ยิ่งใหญ่"[21][22] ภายหลังสงครามสิ้นสุด ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษได้ยกย่องร็อมเมิลเป็น "คนดีเยอรมัน" และเป็น "สหายร็อมเมิล" ชื่อของเขาถูกนำไปตั้งให้ฐานทัพบกที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีหลังสงคราม นั่นคือค่ายจอมพลร็อมเมิล (Generalfeldmarschall-Rommel-Kaserne) ในเมืองเอากุสท์ดอร์ฟ รัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน
เกียรติยศ
แก้อิสริยาภรณ์เยอรมัน
แก้- กางเขนเหล็ก (1914) ชั้นสอง และชั้นหนึ่ง
- พัวร์เลอเมรีท ได้รับเมื่อ 18 ธันวาคม 1917
- เครื่องหมายบาดเจ็บ เหรียญเงิน (1918)
- เข็มกลัดกางเขนเหล็ก ชั้นสอง และชั้นหนึ่ง
- เครื่องหมายยานเกราะ เนื้อเงิน
- กางเขนอัศวินแห่งกางเขนเหล็ก
- กางเขนอัศวิน ได้รับเมื่อ 27 พฤษภาคม 1940
- ติดใบโอ็ค ได้รับเมื่อ 20 มีนาคม 1941
- คาดดาบ ได้รับเมื่อ 20 มกราคม 1942
- ประดับเพชร ได้รับเมื่อ 11 มีนาคม 1943
ยศทหาร
แก้- กรกฎาคม 1910: นักเรียนทำการนายร้อย (Fähnrich)
- มกราคม 1912 : ร้อยตรี (Leutnant)
- กันยายน 1915 : ร้อยโท (Oberleutnant)
- มกราคม 1918 : ร้อยเอก (Hauptman)
- เมษายน 1932 : พันตรี (Major)
- มกราคม 1935 : พันโท (Oberstleutnant)
- ตุลาคม 1937 : พันเอก (Oberst)
- สิงหาคม 1939 : พลตรี (Generalmajor)
- มกราคม 1941 : พลโท (Generalleutnant)
- กรกฎาคม 1941 : พลเอกทหารยานเกราะ (General der Panzertruppe)
- กุมภาพันธ์ 1942 : พลเอกอาวุโส (Generaloberst)
- กรกฎาคม 1942 : จอมพล (Generalfeldmarschall)
อ้างอิง
แก้- ↑ Butler 2015, pp. 30–31.
- ↑ David, Saul (1994). Churchill's sacrifice of the Highland Division. France 1940. London: Brassey's (UK) Ltd. p. 42. ISBN 978-1857533781.
- ↑ Bierman, John; Smith, Colin (2004). War Without Hate: The Desert Campaign of 1940–43. Penguin Books. ISBN 978-0142003947.
- ↑ Breuer 2002, p. 131.
- ↑ Naumann 2009, p. 190.
- ↑ 6.0 6.1 Watson 1999, p. 158.
- ↑ Butler 2015, p. 138.
- ↑ Remy 2002, pp. 28, 355, 361.
- ↑ Scheck 2010.
- ↑ Butler 2015, pp. 18, 122, 139, 147.
- ↑ Hart 2014, pp. 128–52.
- ↑ 12.0 12.1 Von Fleischhauer & Friedmann 2012.
- ↑ "Der Mann wusste, dass der Krieg verloren ist". Frankfurter Allgemeine (ภาษาเยอรมัน). 3 November 2012. สืบค้นเมื่อ 15 June 2016.
- ↑ Zabecki 2016.
- ↑ Reuth 2005, p. 54.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อRommel ist und bleibt ein Mythos
- ↑ Butler 2015, p. 240.
- ↑ Seewald, Berthold (21 December 2008). "Erwin Rommel, Held der 'sauberen Wehrmacht'". Die Welt. สืบค้นเมื่อ 15 June 2016.
- ↑ Martin, Douglas (9 November 2013). "Manfred Rommel, Son of German Field Marshal, Dies at 84". The New York Times.
- ↑ AT ROMMEL'S SIDE: The Lost Letters of Hans-Joachim Schraepler Publisher: Frontline Books (September 2009) Language: English ISBN 1-84832-538-X ISBN 978-1-84832-538-8
- ↑ Watson 1999, pp. 166–167.
- ↑ Reuth 2005, pp. 141–143.
ก่อนหน้า | แอร์วีน ร็อมเมิล | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ไม่มี | ผู้บัญชาการกลุ่มทัพแอฟริกา (15 สิงหาคม 1941 – 9 มีนาคม 1943) |
พลเอกอาวุโส ฮันส์-เยือร์เกิน ฟ็อน อาร์นิม | ||
จอมพล มัคซีมีลีอาน ฟ็อน ไวชส์ | ผู้บัญชาการกลุ่มทัพ B (15 กรกฎาคม 1943 – 19 กรกฎาคม 1944) |
จอมพล กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ |