ประเทศรัสเซีย
พิกัดภูมิศาสตร์: 66°N 94°E / 66°N 94°E
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
รัสเซีย (อังกฤษ: Russia; รัสเซีย: Росси́я, อักษรโรมัน: Rossiya, ออกเสียง: [rɐˈsʲijə] ( ฟังเสียง)) หรือ สหพันธรัฐรัสเซีย[b] เป็นประเทศในยูเรเชียเหนือ และเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในโลก กว่า 10,000,000 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ที่สามารถอยู่อาศัยของโลกถึงหนึ่งในแปด รัสเซียยังเป็นชาติมีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 9 ของโลก โดยมีประชากร 143 ล้านคน[18][19] รัสเซียปกครองด้วยระบอบสหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดี ประกอบด้วย 83 เขตการปกครอง ไล่จากตะวันตกเฉียงเหนือถึงตะวันออกเฉียงใต้ รัสเซียมีพรมแดนติดกับนอร์เวย์ ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และโปแลนด์ (ทั้งสองผ่านแคว้นคาลินินกราด) เบลารุส ยูเครน จอร์เจีย อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน จีน มองโกเลียและเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังมีพรมแดนทางทะเลติดกับญี่ปุ่นโดยทะเลโอฮอตสค์ และสหรัฐอเมริกาโดยช่องแคบแบริง อาณาเขตของรัสเซียกินเอเชียเหนือทั้งหมดและ 40% ของยุโรป แผ่ข้ามเก้าเขตเวลาและมีสิ่งแวดล้อมและธรณีสัณฐานหลากหลาย รัสเซียมีปริมาณทรัพยากรแร่ธาตุและพลังงานสำรองใหญ่ที่สุดของโลก[20] และเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก[21] เช่นเดียวกับผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งทั่วโลก[22] รัสเซียมีป่าไม้สำรองใหญ่ที่สุดในโลกและทะเลสาบในรัสเซียบรรจุน้ำจืดประมาณหนึ่งในสี่ของโลก[23]
สหพันธรัฐรัสเซีย Росси́йская Федера́ция (รัสเซีย) | |
---|---|
![]() ที่ตั้งของประเทศรัสเซียบนลูกโลก โดยมีดินแดนไครเมียแสดงเป็นสีเขียวอ่อน[a] | |
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | มอสโก 55°45′N 37°37′E / 55.750°N 37.617°E |
ภาษาราชการ และภาษาประจำชาติ | รัสเซีย[2] |
ภาษาประจำชาติ ที่ถูกรับรอง | ดูที่: ภาษาของประเทศรัสเซีย |
กลุ่มชาติพันธุ์ (ค.ศ. 2010)[3] | |
ศาสนา (ค.ศ. 2017)[4] |
|
เดมะนิม | ชาวรัสเซีย |
การปกครอง | สหพันธ์สาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดีภายใต้รัฐบาลอำนาจนิยมแบบรวมศูนย์[5][6][7][8][9] |
วลาดีมีร์ ปูติน | |
มีฮาอิล มีชุสติน | |
วาเลนตินา มัตวิเยนโก | |
วยาเชสลาฟ โวโลดิน | |
วยาเชสลาฟ เลเบเดฟ | |
สภานิติบัญญัติ | รัฐสภาสหพันธ์ |
• สภาสูง | สภาสหพันธ์ |
• สภาล่าง | สภาดูมา |
ก่อตั้ง | |
ค.ศ. 862 | |
ค.ศ. 879 | |
ค.ศ. 1283 | |
16 มกราคม ค.ศ. 1547 | |
2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1721 | |
15 มีนาคม ค.ศ. 1917 | |
30 ธันวาคม ค.ศ. 1922 | |
12 ธันวาคม ค.ศ. 1991 | |
12 ธันวาคม ค.ศ. 1993 | |
18 มีนาคม ค.ศ. 2014 | |
4 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 | |
พื้นที่ | |
• รวม | 17,098,246 ตารางกิโลเมตร (6,601,670 ตารางไมล์)[10] 17,125,191 ตารางกิโลเมตร (รวมถึงไครเมีย)[11] (อันดับที่ 1) |
13[12] (รวมถึงหนองน้ำ) | |
ประชากร | |
• ค.ศ. 2021 ประมาณ | (อันดับ 9) |
8.4 ต่อตารางกิโลเมตร (21.8 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 181) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | ค.ศ. 2021 (ประมาณ) |
• รวม | ![]() |
• ต่อหัว | ![]() |
จีดีพี (ราคาตลาด) | ค.ศ. 2021 (ประมาณ) |
• รวม | ![]() |
• ต่อหัว | ![]() |
จีนี (ค.ศ. 2018) | ![]() ปานกลาง · อันดับที่ 98 |
เอชดีไอ (ค.ศ. 2019) | ![]() สูงมาก · อันดับที่ 52 |
สกุลเงิน | รูเบิลรัสเซีย (₽) (RUB) |
เขตเวลา | UTC+2 to +12 |
ขับรถด้าน | ขวา |
รหัสโทรศัพท์ | +7 |
โดเมนบนสุด |
ประวัติศาสตร์ของชาติเริ่มขึ้นด้วยชาวสลาฟตะวันออก ผู้ถือกำเนิดขึ้นเป็นกลุ่มที่โดดเด่นได้ในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึงที่ 8[24] รัฐรุสในสมัยกลาง ซึ่งก่อตั้งและปกครองโดยอภิชนนักรบวารันเจียนและผู้สืบเชื้อสาย เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 ใน พ.ศ. 1531 มีการรับศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์จากจักรวรรดิไบแซนไทน์[25] เริ่มต้นการประสมวัฒนธรรมไบแซนไทน์และสลาฟซึ่งนิยามวัฒนธรรมรัสเซียเป็นเวลาอีกสหัสวรรษหน้า[25] ท้ายที่สุด รุสล่มสลายเป็นรัฐขนาดเล็กหลายรัฐ พื้นที่ส่วนใหญ่ของรุสถูกพิชิตโดยการรุกรานของมองโกล และกลายเป็นรัฐบรรณาการของโกลเดนฮอร์ดเร่ร่อน[26] อาณาจักรแกรนด์ดยุคแห่งมอสโกค่อย ๆ รวมราชรัฐรัสเซียในละแวก ได้รับเอกราชจากโกลเดนฮอร์ด และมาครอบงำมรดกทางวัฒนธรรมและการเมืองของเคียฟรุส จนคริสต์ศตวรรษที่ 18 รัสเซียได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางผ่านการพิชิตดินแดน การผนวก และการสำรวจเป็นของจักรวรรดิรัสเซีย นับเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่สุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ แผ่จากโปแลนด์ในยุโรปจรดอะแลสกาในอเมริกาเหนือ[27][28]
หลังการปฏิวัติรัสเซีย รัสเซียกลายมาเป็นสาธารณรัฐใหญ่ที่สุดและผู้นำในสหภาพโซเวียต เป็นรัฐสังคมนิยมมีรัฐธรรมนูญแห่งแรกของโลกและอภิมหาอำนาจที่ได้การยอมรับ[29] ซึ่งมีบทบาทสำคัญในชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง[30][31] สมัยโซเวียตได้ประสบความสำเร็จทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของคริสต์ศตรวรรษที่ 20 รวมทั้งการส่งมนุษย์คนแรกขึ้นสู่อวกาศ สหพันธรัฐรัสเซียก่อตั้งขึ้นหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2534 แต่ได้รับการยอมรับสถานะเป็นนิติบุคคลที่สืบทอดจากสหภาพโซเวียต[32]
รัสเซียมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับที่ 11 ของโลกโดยจีดีพีมูลค่าตลาด หรือใหญ่ที่สุดอันดับที่ 6 โดยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ โดยมีงบประมาณทางทหารมากที่สุดอันดับที่ 5 ของโลก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจธุรกิจจัดอันดับรัสเซียเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกใน พ.ศ. 2554 ขึ้นจากอันดับที่ 10 ใน พ.ศ. 2553 รัสเซียเป็นหนึ่งในห้ารัฐอาวุธนิวเคลียร์ที่ได้รับการรับรองและครอบครองคลังแสงอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงใหญ่ที่สุดในโลก[33] รัสเซียเป็นมหาอำนาจและสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สมาชิก จี 20 สภายุโรปและความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป องค์การการค้าโลก และเป็นสมาชิกผู้นำเครือจักรภพรัฐเอกราช อดีตสมาชิกกลุ่ม 7
นิรุกติศาสตร์แก้ไข
ชื่อ รัสเซีย นั้นสืบทอดมาจาก รุส' (สลาฟตะวันออกเก่า: Рѹсь) ซึ่งเป็นรัฐยุคกลางที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวสลาฟตะวันออก อย่างไรก็ตามชื่อ รัสเซีย มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ในช่วงต่อมาและประเทศมักถูกเรียกโดยผู้ตั้งถิ่นฐานว่า รัสกายา เซมลียา (รัสเซีย: Русская Земля, russkaja zemlja) ซึ่งสามารถแปลได้ว่า ดินแดนรัสเซีย หรือ ดินแดนแห่งรุส เพื่อที่จะแยกแยะความแตกต่างของรัฐนี้กับรัฐอื่น ๆ ที่สืบทอดต่อมา จึงถูกนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่กำหนดเรียกว่า เคียฟสกายา รุส' (รัสเซีย: Ки́евская Русь, Kievskaya Rus’) ชื่อรุสนั้นมาจากชาวรุส' ต้นยุคกลาง ซึ่งเป็นพ่อค้าและนักรบจากเผ่าสวีเดส (อังกฤษ: Swedes; นอร์สโบราณ: svíar / suar)[34][35] อพยพย้ายถิ่นข้ามทะเลบอลติก และตั้งรัฐที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ โนฟโกรอด (รัสเซีย: Новгород) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น เคียฟสกายา รุส'
ภาษาละตินเก่าของชื่อ รุส' คือ รูทีเนีย (ละติน: Ruthenia) ส่วนใหญ่หมายถึงพื้นที่ภูมิภาคตะวันตกและภาคใต้ซึ่งชาวรุส' อาศัยอยู่ติดกับแคว้นคาทอลิกในยุโรป ชื่อปัจจุบันของประเทศ โรสซิยา (รัสเซีย: Россия, Rossija) มาจากชื่อในภาษากรีกยุคไบเซนไทน์ของรุส' (กรีกสมัยกลาง: Ρωσσία) ซึ่งสะกด โรเซีย (กรีก: Ρωσία, Rosía) ในภาษากรีกสมัยใหม่[36]
คำเรียกพลเมืองของรัสเซียคือ รัสเซียน (อังกฤษ: Russians) ในภาษาอังกฤษ[37] และ โรสซิยาเนีย (รัสเซีย: россияне) ในภาษารัสเซีย
ภูมิศาสตร์แก้ไข
ดินแดนอันกว้างใหญ่ของสหพันธรัฐรัสเซียครอบคลุมพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือเหนือของทวีปยูเรเชีย จุดที่ห่างไกลกันที่สุดของรัสเซีย ซึ่งได้แก่ชายแดนที่ติดต่อกับโปแลนด์และหมู่เกาะคูริล มีระยะห่างถึง 8,000 กิโลเมตร ทำให้รัสเซียมีถึง 11 เขตเวลา[38] รัสเซียมีเขตป่าสงวนที่ใหญ่ที่สุดในโลก[39] และถูกเรียกว่าเป็น "ปอดของยุโรป"[40] เพราะปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดูดซึมนั้นเป็นรองเพียงแค่ป่าดิบชื้นแอมะซอนเท่านั้น[40] รัสเซียมีทางออกสู่มหาสมุทรถึงสามแห่ง ได้แก่มหาสมุทรแอตแลนติก อาร์กติก และแปซิฟิก จึงทำให้รัสเซียเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่ออุปทานของสินค้าประมงในโลก[41]
พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัสเซียเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ทางตอนใต้ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสเตปป์ มีป่าไม้มากทางตอนเหนือ และมีพื้นที่แบบทุนดราตามชายฝั่งทางเหนือ เทือกเขาจะอยู่ตามชายแดนทางใต้ เช่นเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งมียอดเขาเอลบรุส ที่มีความสูง 5,642 เมตรและเป็นจุดสูงสุดของรัสเซียและยุโรป หรือเทือกเขาอัลไต และทางตะวันออก เช่นเทือกเขาเวอร์โฮยันสค์ หรือภูเขาไฟในแหลมคัมชัตคา เทือกเขาอูรัลทางตะวันตกวางตัวเหนือใต้และเป็นเขตแดนทางธรรมชาติของทวีปเอเชียและทวีปยุโรป
รัสเซียมีชายฝั่งที่ยาวถึง 37,000 กิโลเมตร ตามแนวมหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลบอลติก ทะเลอะซอฟ ทะเลดำ และทะเลแคสเปียน[42] นอกจากนั้น รัสเซียยังมีทางออกสู่ทะเลแบเร็นตส์ ทะเลขาว ทะเลคารา ทะเลลัปเตฟ ทะเลไซบีเรียตะวันออก ทะเลชุกชี ทะเลเบริง ทะเลโอค็อตสค์ และทะเลญี่ปุ่น เกาะและหมู่เกาะที่สำคัญได้แก่ หมู่เกาะโนวายาเซมเลีย หมู่เกาะฟรัสซ์โยเซฟแลนด์ หมู่เกาะเซเวอร์นายาเซมเลีย หมู่เกาะนิวไซบีเรีย เกาะแวรงเกล เกาะคูริล และเกาะซาคาลิน เกาะดีโอมีด (ซึ่งเกาะหนึ่งปกครองโดยรัสเซีย ส่วนอีกเกาะปกครองโดยสหรัฐอเมริกา) อยู่ห่างกันเพียง 3 กิโลเมตร และเกาะคุนาชิร์ก็อยู่ห่างจากฮกไกโดเพียงประมาณ 20 กิโลเมตร
ประวัติศาสตร์แก้ไข
ยุคเริ่มแรกแก้ไข
ชาวสลาฟตะวันออกเป็นชนชาติแรกที่เข้ามาตั้งถื่นฐานในรัสเซียบริเวณแม่น้ำนีเปอร์และแม่น้ำวอลกาทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนทางตอนเหนือชนชาติสแกนดิเนเวียและไวกิ้งที่รู้จักกันในนามวารันเจียน ได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำเนวา และทะเลสาบลาโดกา ทำการติดต่อค้าขายกับชาวสลาฟ แต่แล้วใน ค.ศ. 880 กษัตริย์แห่งวาแรนเจียนนามรูลิค ก็เข้ามายึดเมืองเคียฟของชาวสลาฟและตั้งเคียฟเป็นเมืองหลวง โดยผนวกดินแดนทางเหนือกับใต้เข้าด้วยกันแล้วขนานนามว่า เคียฟรุส (Kievan Rus') และสถาปนาราชวงศ์รูริคขึ้น
ใน ค.ศ. 978 เจ้าชายวลาดีมีร์ โมโนมัค ขึ้นครองราชย์และทรงนำศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์เข้าสู่รัสเซีย ซึ่งต่อมามีบทบาทและอิทธิพลอย่างสูงต่อศิลปะ สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของประเทศ ในช่วงศตวรรษที่ 11 เคียฟเป็นนครหลวง ศูนย์รวมของอำนาจกษัตริย์และเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ในขณะที่เมืองอื่น ๆ ก็มีประชากรก่อตั้งขึ้นมาเช่นกัน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวอ้างถึงมอสโกครั้งแรกใน ค.ศ. 1147 ว่าเจ้าชายยูริ ดอลโกรูกี มกุฎราชกุมารแห่งนครเคียฟ มีรับสั่งให้สร้างป้อมปราการไม้หรือ "เครมลิน" (Kremlin) ขึ้นที่เนินเขาโบโรวิตสกายา ริมแม่น้ำมอสควา และตั้งชื่อเมืองว่า "มอสโก" (Moscow)
อาณาจักรมัสโควีแก้ไข
ต่อมาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 กองทัพมองโกลนำโดยบาตูข่านเข้ารุกรานรัสเซียและยึดเมืองเคียฟได้สำเร็จ หลังจากนั้นรัสเซียก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก โดยถูกควบคุมทางการเมือง การปกครอง และยังต้องจ่ายภาษีให้กับชาวมองโกล กษัตริย์และพระราชาคณะจึงย้ายศูนย์กลางอำนาจขึ้นมาทางตอนเหนือ
ในปี 1328 พระเจ้าอีวานที่ 1 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีฉายาว่าอีวานถุงเงิน เนื่องจากทรงเก็บส่วยและเครื่องบรรณาการเพื่อส่งให้แก่ชาวมองโกล และในยุคนี้เองที่กษัตริย์ได้ย้ายที่ประทับมาที่มอสโก ต่อมาในยุคของพระเจ้าอีวานที่ 2 (ค.ศ. 1353-1359) ชาวมองโกลเริ่มเสื่อมอำนาจ เจ้าชายดมิตรี โอรสแห่งพระเจ้าอีวานที่ 2 ทรงขับไล่มองโกลได้สำเร็จในการรบที่คูลีโคโวบนฝั่งแม่น้ำดอน ต่อมาในปี 1380 พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาเป็น ดมีตรี ดอนสกอย (ดมีตรีแห่งแม่น้ำดอน) ได้รวมเมืองวลาดิมีร์และซุลดัล อันเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรมัสโควี และยังได้บูรณะเครมลินเป็นกำแพงหินขาวแทนไม้โอ๊ก มอสโกจึงมีอีกชื่อเรียกว่า เมืองกำแพงหินขาว ในยุคนั้น แต่เพียงไม่นานพวกตาตาร์ก็กลับมาทำลายเครมลินจนพินาศ รัสเซียต้องเป็นเมืองขึ้นของตาตาร์อีกครั้งหนึ่งในปี 1382
จนเข้าสู่สมัยของพระเจ้าอีวานที่ 3 หรือพระเจ้าอีวานมหาราช (ค.ศ. 1462-1505) พระองค์ทรงอภิเษกกับหลานสาวของจักรพรรดิองค์ก่อนแห่งไบแซนไทน์ในปี 1472 และรับอินทรีสองเศียรเป็นสัญลักษณ์ของรัสเซีย ในยุคของพระองค์ได้รวบรวมดินแดนให้กลับเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ใน ค.ศ. 1480 ทรงขับไล่กองกำลังตาตาร์ออกจากรัสเซียจนหมดสิ้น ปิดฉากสองศตวรรษภายใต้การปกครองของมองโกล ทรงบูรณะเครมลินให้เป็นหอคอยสูงและโบสถ์งดงามไว้ภายในเครมลิน นับเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของรัสเซีย
ปี 1574 พระเจ้าอีวานที่ 4 (1533-1584) หลานของพระเจ้าอีวานมหาราช ได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าซาร์องค์แรก (ซาร์ มาจากคำว่า ซีซาร์ ผู้ครองอำนาจแห่งจักรวรรดิโรมันและไบแซนไทน์) [43] พระองค์ทรงปกครองอาณาจักรด้วยความเหี้ยมโหด ปราศจากความเมตตา ว่ากันว่ามีรับสั่งให้ควักลูกตาสถาปนิกผู้ออกแบบสร้างมหาวิหารเซนต์บาซิล เพื่อมิให้สร้างสิ่งก่อสร้างที่งดงามเช่นนี้ได้ที่ใดอีก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงถูกขนานนามว่า อีวานผู้โหดเหี้ยม ต่อมาเมื่อหมดยุคของพระองค์ใน ค.ศ. 1584 มอสโกก็ประสบปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง มีการแย่งชิงราชบัลลังก์ระหว่างราชวงศ์รูริค และโรมานอฟ ในที่สุดสมัชชาแห่งชาติและพระราชาคณะแห่งคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ก็มีมติเลือก มีฮาอิล โรมานอฟ ขึ้นเป็นซาร์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์โรมานอฟ
จักรวรรดิรัสเซียแก้ไข
ค.ศ. 1613-1917 พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช (ค.ศ. 1682-1725) ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซีย พระองค์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ 10 ชันษา พร้อมกับพระเจ้าอีวานที่ 5 (เป็นกษัตริย์บัลลังก์คู่) จนในปี 1696 เมื่อพระเจ้าอีวานที่ 5 สิ้นพระชนม์ พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 มหาราช จึงมีพระราชอำนาจโดยแท้จริง ในยุคของพระองค์ทรงขยายอาณาเขตรัสเซียออกไปทางตะวันออกถึงวลาดีวอสตอค และทรงใช้นโยบายสู้ตะวันตก ทรงนำรัสเซียเข้าสู่ยุคใหม่ โดยใน ค.ศ. 1712 ทรงย้ายเมืองหลวงจากมอสโกมาที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเป็นครั้งแรกที่มีการจัดตั้งกองทหารราชนาวีขึ้นในรัสเซีย ทั้งยังทรงนำช่างฝีมือจากฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ มาสร้างวิหารและพระราชวังที่งดงามอีกมากมาย และทรงนำพาจักรวรรดิรัสเซียให้เป็นที่รู้จักเกรียงไกรในสังคมโลก ถัดจากพระเจ้าปีเตอร์มหาราชยังมีซาร์และซารีนาอีกหลายพระองค์ที่สืบราชบัลลังก์ ทว่าผู้ที่สร้างความเจริญเฟื่องฟูให้กับรัสเซียสูงสุด ได้แก่ พระนางเจ้าแคทเธอรีนที่ 2 (ค.ศ. 1762-1796) พระนางได้รับการยกย่องให้เป็นราชินี ด้วยทรงเชี่ยวชาญด้านการปกครองอย่างมาก กระนั้นพระนางก็มีชื่อเสียงด้านลบด้วยพระนางมีคู่เสน่หามากมาย
ผู้สืบราชวงศ์องค์ต่อมาคือ พระเจ้าพอลที่ 1 (ค.ศ. 1796-1801) พระราชโอรสของพระนางเจ้าแคทเทอรีน ทรงครองราชย์อยู่เพียงระยะสั้น จากนั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 (1801- 1825) พระราชโอรสสืบพระราชบัลลังก์ต่อ ในปี 1812 ทรงทำศึกชนะจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส แต่แล้วในช่วงปลายรัชกาล เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบบรัฐสภา ปี 1825 เกิดกบฏต่อต้านราชวงศ์ขึ้นในเดือนธันวาคม เรียก กบฏธันวาคม (Decembrist Movement) แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 (ค.ศ. 1825-1855) ก็ทรงปราบกลุ่มผู้ต่อต้านไว้ได้ พอมาในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 (ค.ศ. 1855-1881) พระองค์ทรงมีฉายาว่า Tzar Liberator (ซาร์ผู้ปลดปล่อย) เนื่องจากพระองค์ทรงปลดปล่อยทาสติดที่ดิน (Serf) หลายล้านคนให้พ้นจากการเป็นทาส แต่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1881 ทิ้งไว้เพียงอนุสรณ์สถานที่สร้างอุทิศแด่พระองค์ ณ จุดที่ถูกลอบปลงพระชนม์ ซาร์องค์ต่อมาคือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (ค.ศ. 1881-1894) จนถึงซาร์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โรมานอฟ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 (1894-1917) ความเหลื่อมล้ำกันทางชนชั้น และความยากจน ก่อให้เกิดการปฏิวัติเป็นครั้งแรกโดยกรรมการชาวนาในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1905 [43] ซึ่งมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า วันอาทิตย์เลือด Bloody Sunday และสุดท้ายคือการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 กระนั้นชนวนที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟและระบอบซาร์ถึงกาลอวสานก็มีปัจจัยอื่นเช่นกัน
สมัยสหภาพโซเวียตแก้ไข
การตัดสินใจเขาร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของซาร์นิโคลัสที่ 2 นั้นนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตของทหารและชาวรัสเซียนับล้านที่เมื่อรัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การจลาจลเกิดขึ้นทั่วเมือง ในที่สุดปี 1917 จึงเกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบซาร์ พระเจ้านิโคลัสที่ 2 สละราชสมบัติ มีการจัดตั้งคณะรัฐบาลเฉพาะกิจเคอเรนสกีขึ้นบริหารประเทศ แต่พรรคบอลเชวิค (Bolshevik) นำโดยวลาดีมีร์ เลนินก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศไว้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเป็น สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Repubilcs หรือ USSR)
ค.ศ. 1918 ย้ายเมืองหลวงและฐานอำนาจกลับสู่มอสโก กระนั้นก็ยังมีผู้ไม่พอใจกับสภาพแร้นแค้น การขาดสิทธิเสรีภาพ จึงทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหลายต่อหลายครั้ง เลนินถึงแก่อสัญกรรมในปี 1924 โจเซฟ สตาลิน (1924-1953) ขึ้นบริหารประเทศแทนด้วยความเผด็จการ และกวาดล้างทุกคนผู้ที่มีความคิดต่อต้าน เขาเปิดการพัฒนาประเทศสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ จนเทียบเคียงสหรัฐอเมริกา แต่ปัญหาความอดอยาก ที่เรื้อรังมานานก็ยากเกินเยียวยา และยิ่งเลวร้ายเมื่อฮิตเลอร์สั่งล้อมมอสโกไว้ โดยเฉพาะที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถูกปิดล้อมไว้นานถึง 900 วันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวรัสเซียเรียกสงครามครั้งนั้นว่า มหาสงครามของผู้รักชาติ (The Great Patriotic War) กระนั้นสตาลินก็มีบทบาทในการพิชิตนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1941-1945) นี้ไว้ได้
ค.ศ. 1955 นีกีตา ครุชชอฟ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำโดยมีแนวคิดในการบริหารประเทศที่เน้นการอยู่ร่วมกัน มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน ผ่อนคลายความเข้มงวดให้น้อยกว่าสมัยสตาลิน รวมถึงเปิดเครมลินเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนได้เข้าชมอีกด้วย ปี 1964 ครุชชอฟลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแทน เบรจเนฟแผ่อิทธิพลไปถึงจีน คิวบา และอัฟกานิสถาน เพิ่มความเครียดไปทั่วโลก เขาจึงนำนโยบายต่างประเทศที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ การผ่อนคลายความตึงเครียด มาใช้โดยปี1980 มอสโกได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 22
ค.ศ. 1985 มิฮาอิล กอร์บาชอฟขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมิวนิสต์ เขาเป็นผู้นำการปฏิรูปโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เรียกว่า เปเรสตรอยคา (Perestroyka) โดยนำพาประเทศเข้าสู่ระบบทุนนิยม มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และพัฒนาฝีมือแรงงานรวมถึงเสนอนโยบายเปิดกว้างกลัสนอสต์ (Glasnost) คือให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณชน มีการติดต่อด้านการค้ากับตะวันตก รวมถึงถอนกำลังออกจากยุโรปตะวันออกและอัฟกานิสถานและยังได้เข้าร่วมกับองค์การนาโต หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ใน ค.ศ. 1990 กอร์บาชอฟได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รวมถึงได้รับยกย่องจากนิตยสารไทม์เป็นบุรุษแห่งทศวรรษ (Man of the Decade) กระนั้นปัญหาขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค และความล้าหลังทางการผลิตที่สั่งสมมานานก็ทำให้นโยบายเปเรสตรอยกาล้มเหลว ความนิยมในกอร์บาชอฟเริ่มตกลง ต่อมาเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนสิงหาคม 1991 โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวเก่าที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดเสรี แต่บอริส เยลต์ซิน ก็สามารถกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ กอร์บาชอฟจึงสิ้นคะแนนนิยมอย่างแท้จริง เขาประกาศลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงประกาศยกเลิกพรรคคอมมิวนิสต์ต่อหน้ามหาชน พร้อมด้วยการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของเยลต์ชิน สหภาพโซเวียตจึงล่มสลาย สาธารณรัฐต่าง ๆ ทั้ง 15 สาธารณรัฐแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งสาธารณรัฐรัสเซีย (Russian SFSR) ภายใต้ชื่อใหม่ว่า สหพันธรัฐรัสเซีย
สหพันธรัฐรัสเซียแก้ไข
บอริส เยลต์ซินได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซียเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์รัสเซีย ระหว่างและหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้มีการปฏิรูปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนการเปิดเสรีตลาดและการค้า[44] และยังมีการเปลี่ยนแปลงลึกซึ้งตามแนวทาง "ช็อกบำบัด" (shock therapy) ดังที่สหรัฐอเมริกาและกองทุนการเงินระหว่างประเทศแนะนำ[45] ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งรัสเซียมีจีดีพีและปริมาณการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงถึง 50% ระหว่าง พ.ศ. 2533-2538[46]
การแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ได้โอนการควบคุมวิสาหกิจจากหน่วยงานของรัฐ ไปเป็นของปัจเจกบุคคลซึ่งมีความเชื่อมโยงภายในในระบบรัฐบาล นักธุรกิจที่ร่ำรวยขึ้นมาใหม่หลายคนได้นำเงินสดและสินทรัพย์นับพัน ๆ ล้านออกนอกประเทศในการโยกย้ายทุนขนานใหญ่[47] ภาวะตกต่ำของรัฐและเศรษฐกิจนำไปสู่การล่มสลายของบริการสังคม อัตราการเกิดตกฮวบ ขณะที่อัตราการตายพุ่งทะยาน ประชาชนหลายล้านคนอยู่ในภาวะยากจน จากระดับความยากจน 1.5% ในปลายยุคโซเวียต เป็น 39-49% ราวกลาง พ.ศ. 2536[48] คริสต์ทศวรรษ 1990 ได้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงและความไม่มีกฎหมายสุดขีด การเพิ่มขึ้นของแก๊งอาชญากรและอาชญากรรมรุนแรง[49]
คริสต์ทศวรรษ 1990 รัสเซียได้เผชิญกับความขัดแย้งด้วยอาวุธในคอเคซัสเหนือ ทั้งการสู้รบประรายด้านชาติพันธุ์ท้องถิ่นและการก่อการกบฏของกลุ่มอิสลามแบ่งแยกดินแดน นับตั้งแต่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเชเชนได้ประกาศเอราชในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 ก็ได้เกิดสงครามกองโจรขึ้นเป็นระยะ ๆ ระหว่างกลุ่มกบฏกับกองทัพรัสเซีย กลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้โจมตีก่อการร้ายต่อพลเรือน ที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ วิกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครมอสโก และการล้อมโรงเรียนเบสลัน ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยศพและเรียกความสนใจจากทั่วโลก
รัสเซียยอมรับความรับผิดชอบในการจัดการหนี้สินภายนอกของสหภาพโซเวียต แม้ประชากรรัสเซียจะมีเพียงครึ่งหนึ่งของประชากรสหภาพโซเวียตเมื่อสหภาพล่มสลายไปนั้น[50] การขาดดุลงบประมาณอย่างสูงเป็นเหตุของวิกฤตการณ์การเงินรัสเซีย พ.ศ. 2541[51] และยิ่งทำให้จีดีพีลดลงไปอีก[44]
วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ประธานาธิบดีเยลต์ซินลาออก ส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ วลาดีมีร์ ปูติน ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2543 ปูตินปราบปรามการก่อกบฏเชเชน แม้ความรุนแรงเป็นพัก ๆ ยังเกิดขึ้นทั่วคอเคซัสเหนือ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและการเริ่มต้นนโยบายเงินตราอ่อนค่า ตามมาด้วยอุปสงค์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น การบริโภคและการลงทุนได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราร้อยละ 7 ต่อปีระหว่างปี พ.ศ. 2541-2551 ซึ่งได้พัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มอิทธิพลของรัสเซียในเวทีโลก[6] แม้การปฏิรูปหลายอย่างที่ปูตินดำเนินการระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยทั่วไปมักถูกชาติตะวันตกวิจารณ์ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย[52] แต่ความเป็นผู้นำของปูตินเหนือการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย เสถียรภาพและความก้าวหน้าได้ทำให้เขาเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในรัสเซีย[53]
วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 ดมิทรี เมดเวเดฟได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีรัสเซีย ขณะที่ปูตินเป็นนายกรัฐมนตรี ปูตินกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี พ.ศ. 2555 และเมดเวเดฟได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ในห้วงวิกฤตการณ์ไครเมีย พ.ศ. 2557 รัสเซียได้ผนวกสาธารณรัฐไครเมีย ซึ่งเกิดจากการรวมกันของสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียและนครเซวัสโตปอลตามการลงประชามติ
การเมืองการปกครองแก้ไข
วลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดี |
มีฮาอิล มีชุสติน นายกรัฐมนตรี |
ตามรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ประเทศนี้เป็นประเทศที่ถูกปกครองโดยระบอบสหพันธ์แบบอสมมาตรและระบอบสาธารณรัฐแบบกึ่งประธานาธิบดี โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ[54] และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐมนตรี สหพันธรัฐรัสเซียมีโครงสร้างทางรากฐานเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนโดยมีหลากหลายพรรค โดยรัฐบาลสหพันธ์ประกอบไปด้วยอำนาจการบริหารสามส่วน ดังนี้:[55]
- ฝ่ายนิติบัญญัติ: มีรัฐสภาสหพันธ์แห่งรัสเซียซึ่งใช้ระบบสองสภา ซึ่งประกอบไปด้วยสภาดูมา มีสมาชิกจำนวน 450 คน และสภาสหพันธ์ มีสมาชิกจำนวน 170 คน ซึ่งมีอำนาจในการใช้กฎหมายสหพันธ์, การประกาศสงคราม, การอนุมัติสนธิสัญญา, มีอำนาจในทางการเงิน และมีอำนาจในการถอดถอนประธานาธิบดี
- ฝ่ายบริหาร: มีประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพสหพันธรัฐรัสเซีย สามารถยับยั้งร่างกฎหมายได้ก่อนที่จะกลายเป็นกฎหมาย และมีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐบาลแห่งสหพันธ์รัสเซีย (คณะรัฐมนตรี) และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่ดูแลและบังคับใช้กฎหมาย และนโยบายอื่น ๆ ของสหพันธ์
- ฝ่ายตุลาการ: มีศาลรัฐธรรมนูญสหพันธ์ ศาลสูงสุด และศาลชั้นต้นสหพันธ์ ซึ่งตุลาการจะได้รับการแต่งตั้งจากสภาสหพันธ์ ตามคำแนะนำของประธานาธินดี มีอำนาจตีความกฎหมาย และสามารถคว่ำกฎหมายที่พวกเขาเห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญสหพันธ์ได้
กระทรวงแก้ไข
ลำดับที่ | ชื่อกระทรวงภาษาไทย | ชื่อกระทรวงภาษาอังกฤษ |
---|---|---|
1 | กระทรวงกิจการภายใน | Ministry of Internal Affairs |
2 | กระทรวงป้องกันพลเรือน เหตุการณ์ฉุกเฉิน และการจัดการผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติ |
Ministry for Civil Defence, Emergencies and Elimination of Consequences of Natural Disasters * |
3 | กระทรวงการต่างประเทศ | Ministry of Foreign Affairs |
4 | กระทรวงกลาโหม | Ministry of Defense |
5 | กระทรวงยุติธรรม | Ministry of Justice |
6 | กระทรวงสาธารณสุข | Ministry of Health |
7 | กระทรวงวัฒนธรรม | Ministry of Culture |
8 | กระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ | Ministry of Education and Science |
9 | กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | Ministry of Natural Resources and Environment |
10 | กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า | Ministry of Industry and Trade |
11 | กระทรวงการพัฒนาพื้นที่รัสเซียตะวันออกไกล | Ministry for Development of Russian Far East |
12 | กระทรวงการสื่อสารและสื่อมวลชน | Ministry of Communications and Mass Media |
13 | กระทรวงเกษตร | Ministry of Agriculture |
14 | กระทรวงกีฬา | Ministry of Sport |
15 | กระทรวงการก่อสร้าง การเคหะและสาธารณูปโภค | Ministry of Construction, Housing and Utilities |
16 | กระทรวงคมนาคม | Ministry of Transport |
17 | กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม | Ministry of Labour and Social Affairs |
18 | กระทรวงการคลัง | Ministry of Finance |
19 | กระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจ | Ministry of Economic Development |
20 | กระทรวงพลังงาน | Ministry of Energy |
* มีชื่อเรียกโดยย่อว่า Ministry of Emergency Situations หรือกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน
การแบ่งเขตการปกครองแก้ไข
ประเทศรัสเซียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น
- 46 แคว้น (Provinces - oblast)
- 22 สาธารณรัฐ (Republics - respublika )
- 9 ดินแดน (Territories - kraya )
- 4 เขตปกครองตนเอง (Autonomous districts - avtonomnyye okruga)
- 1 แคว้นปกครองตนเอง (Autonomous oblast - avtonomnaya oblast )
- 3 นครสหพันธ์ (Federal cities - federalnyye goroda ) คือ มอสโก เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเซวัสโตปอล
กองทัพแก้ไข
กองทัพรัสเซียแบ่งออกเป็นกองกำลังทางบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ นอกจากนี้ยังมีสาขาช่วยรบ (arm of service) อิสระอีกสามสาขา ได้แก่ กองกำลังขีปนาวุธยุทธศาสตร์ กองกำลังป้องกันห้วงอากาศ-อวกาศ และหน่วยส่งทางอากาศ ในปี 2549 กองทัพรัสเซียมีกำลังพลประจำการ 1.037 ล้านนาย[56] ซึ่งบังคับเกณฑ์ให้พลเมืองชายอายุระหว่าง 18–27 ปีทุกคนรับราชการในกองทัพเป็นเวลาหนึ่งปี[6]
ประเทศรัสเซียมีคลังอาวุธนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก และมีกองเรือดำน้ำขีปนาวุธใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสอง และเป็นประเทศเดียวนอกจากสหรัฐอเมริกาที่มีกองกำลังเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์สมัยใหม่[33][57] กองกำลังรถถังของรัสเซียใหญ่ที่สุดในโลก และกองทัพเรือผิวน้ำและกองทัพอากาศใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ประเทศรัสเซียมีอุตสาหกรรมอาวุธขนาดใหญ่และผลิตในประเทศทั้งหมด โดยผลิตยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่เองโดยมีการนำเข้าอาวุธไม่กี่ชนิด ประเทศรัสเซียเป็นผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกมาตั้งแต่ปี 2544 โดยมีการขายอาวุธคิดเป็นราว 30% ของทั่วโลก[58] และมีการส่งออกไปประมาณ 80 ประเทศ[59]
รายจ่ายทางทหารภาครัฐอย่างเป็นทางการในปี 2555 อยู่ที่ 90,700 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ มากเป็นอันดับสามของโลก แม้แหล่งข้อมูลต่าง ๆ จะประเมินว่ารายจ่ายทางทหารของรัสเซียสูงกว่านี้มาก[60] ปัจจุบัน การพัฒนายุทโธปกรณ์ครั้งใหญ่มูลค่าราว 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐอยู่ระหว่างดำเนินการในช่วงปี 2549 ถึง 2558[61]
เศรษฐกิจแก้ไข
การพัฒนาทางเศรษฐกิจแก้ไข
รัสเซียสามารถฟื้นตัวจากวิกฤติทางการเงินในปี 1998 และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของการบริโภคในประเทศ และความมั่นคงทางการเมือง[42] ในปี 2007 รัสเซียมีจีดีพีใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก[62] (มูลค่า 2.088 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อวัดด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ[62]) ค่าแรงเฉลี่ยต่อเดือนในรัสเซียเพิ่มขึ้นจาก 80 ดอลลาร์ในปี 2000 เป็น 640 ดอลลาร์ในต้นปี 2008[63] ชาวรัสเซียที่ยากจนมีประมาณร้อยละ 14 ในปี 2007[64] ซึ่งลดลงอย่างมากจากร้อยละ 40 ในปี 1998 ซึ่งสถิติสูงสุดหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย[48] อัตราว่างงานในรัสเซียลดลงจากร้อยละ 12.4 ในปี 1999 เหลือร้อยละ 6 ในปี 2007[65][66] การที่ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ตลาดของชนชั้นกลางในรัสเซียขยายตัวหลายเท่า[67]
ระบบภาษีที่เข้าใจง่ายกว่าเดิมเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งทำให้ภาระต่อประชาชนลดลงในขณะที่รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้น[68] รัสเซียใช้ระบบอัตราภาษีคงที่ที่ร้อยละ 13 กับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และทำให้กลายเป็นประเทศที่มีระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ดึงดูดผู้บริหารได้ดีเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากการสำรวจในปี 2007[69][70] งบประมาณของรัฐเกินดุลตั้งแต่ปี 2001 และจนถึงสิ้นปี 2007 มีงบประมาณเกินดุลมาร้อยละ 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ รัสเซียใช้รายได้จากน้ำมันที่ได้รับผ่านกองทุนความมั่นคงของสหพันธรัฐรัสเซียในการจ่ายหนี้ซึ่งเกิดขึ้นในยุคโซเวียตคืนแก่ปารีสคลับและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายได้จากการส่งออกน้ำมันยังสามารถทำให้รัสเซียมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มจาก 1 หมื่น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1999 เป็น 5.97 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2008 ซึ่งสูงเป็นอันดับสามของโลก[71] รัสเซียยังสามารถลดหนี้ต่างประเทศที่ก่อขึ้นในอดีตได้อย่างมาก[72]
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภูมิภาค โดยเขตมอสโกเป็นเขตที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศมากที่สุด[73]
พลังงานแก้ไข
รัสเซียมีแหล่งทรัพยากรแก๊สธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก[75] มีแหล่งทรัพยากรถ่านหินใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และมีแหล่งทรัพยากรน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับแปดของโลก[76] รัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกแก๊สธรรมชาติมากเป็นอันดับหนึ่ง[77] และส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลก[75] น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ โลหะ และไม้ เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญและมีมูลค่ามากถึงร้อยละ 80 ของการส่งออกทั้งหมด[42][78]แต่หลังปี 2003 การส่งออกทรัพยากรธรรมชาติก็เริ่มลดความสำคัญลงเพราะตลาดภายในประเทศขยายตัวขึ้นอย่างมาก แม้ว่าราคาทรัพยากรด้านพลังงานจะสูงขึ้นมาก แต่น้ำมันและแก๊สธรรมชาติก็มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.7 ของจีดีพี และรัฐบาลคาดการณ์ว่าสัดส่วนนี้จะลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ภายในปี 2011[79] รัสเซียยังนับว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรอื่น ๆ[67] รัสเซียมีจำนวนประชากรที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษามากกว่าประเทศอื่นในทวีปยุโรป[80]
การขนส่งแก้ไข
ประเทศรัสเซียมีสายการบินประจำชาติคือแอโรฟลอต (รัสเซีย: Аэрофло́т, อังกฤษ: Aeroflot) มีฐานบินหลักอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโว กรุงมอสโก
โครงสร้างพื้นฐานแก้ไข
ตั้งแต่ ค.ศ. 2007 รัฐบาลรัสเซียได้ขยายการศึกษาภาคบังคับจากเดิม 9 ปีเป็น 11 ปี กล่าวคือตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาไปถึงระดับอาชีวศึกษา โรงเรียนในรัสเซียจะแบ่งภาคเรียนออกเป็น 4 ภาคเรียน ซึ่งในแต่ละภาคเรียนจะมีวันหยุด 1-2 สัปดาห์
ประชากรศาสตร์แก้ไข
เมืองใหญ่สุดแก้ไข
เชื้อชาติแก้ไข
สัดส่วนของเชื้อชาติ (ค.ศ. 2002)[83] | |
---|---|
ชาวรัสเซีย | 81.0% |
ตาตาร์ | 3.7% |
ชาวยูเครน | 1.4% |
บัศกีร์ | 1.1% |
ชูวาช | 1.0% |
เชเชน | 0.8% |
อื่น ๆ/ไม่ระบุ | 11.0% |
ประเทศรัสเซียมีประชากรประมาณ 144.3 ล้านคน (ค.ศ. 2016) จำนวนประชากรของรัสเซียมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 ซึ่งเป็นผลจากอัตราการตายที่สูงและอัตราการเกิดที่ต่ำ ในขณะที่อัตราการเกิดในรัสเซียมีพอ ๆ กับประเทศยุโรปอื่น ๆ (อัตราการเกิด 11.3 คนต่อประชากร 1000 คนในปี 2007[85] เทียบกับอัตราเฉลี่ย 10.25 คนต่อประชากร 1000 คนของสหภาพยุโรป[86]) แต่ประชากรกลับลดลงเพราะอัตราการตายสูงกว่า (ในปี 2007 อัตราการตายของรัสเซียคือ 14.7 คนต่อประชากร 1000 คน[85] เมื่อเที่ยบกับอัตราเฉลี่ยของสหภาพยุโรป 10.39 คนต่อ 1000 คน[87]) ปัญหาประชากรที่ลดลงนี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ[88] รัฐบาลจึงตั้งมาตรการต่าง ๆ ในการลดอัตราการตาย เพิ่มอัตราการเกิด พัฒนาสุขภาพของประชาชน[89] กระทรวงสาธารณสุขของรัสเซียคาดการณ์ว่าอัตราการตายและอัตราการเกิดจะปรับตัวจนเท่ากันภายในปี 2011[89]
รัสเซียมีพื้นที่มากที่สุดในโลก แต่เมื่อเทียบกับประชากรแล้ว ความหนาแน่นเพียงแค่ 40 เปอร์เซนต์เท่านั้น
ภาษาแก้ไข
กลุ่มชาติพันธุ์ 160 กลุ่มของรัสเซียมีภาษาพูดกว่า 100 ภาษา อ้างอิงจากการสำรวจสำมะโน พ.ศ. 2545 ประชากร 142.6 ล้านคนพูดภาษารัสเซียตามด้วยภาษาตาตาร์ 5.3 ล้านและภาษายูเครน 1.8 ล้านคน[90] ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการของประเทศเพียงภาษาเดียว แต่รัฐธรรมนูญให้สิทธิ์แก่สาธารณรัฐต่าง ๆ ในการสถาปนาภาษาประจำชาติของตนเองนอกเหนือจากภาษารัสเซีย[91]
แม้จะมีการแพร่กระจายในพื้นที่กว้าง แต่ภาษารัสเซียนั้นเป็นสำเนียงเดียวกันทั่วประเทศ รัสเซียเป็นภาษาที่แพร่หลายมากที่สุดในภูมิภาคยูเรเซียและเป็นภาษาสลาวิกที่พูดกันอย่างกว้างขวางที่สุด[92] ภาษารัสเซียอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนและเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ยังมีผู้ใช้ภาษาของกลุ่มภาษาสลาวิกตะวันออก ภาษาอื่น ๆ ในกลุ่มได้แก่ภาษาเบลารุสและภาษายูเครน (และอาจรวมถึงภาษารูซิน Rusyn) ตัวอย่างภาษาเขียนของ ภาษาสลาวิกตะวันออกเก่า (รัสเซียเก่า) ได้รับการพิสูจน์ว่ามีการบันทึกเริ่มจากคริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา[93]
รัสเซียเป็นภาษาที่ใช้มากเป็นอันดับสองบนอินเทอร์เน็ต ตามหลังภาษาอังกฤษ[94], เป็นหนึ่งในสองภาษาราชการบนสถานีอวกาศนานาชาติ[95] และเป็นหนึ่งในหกภาษาราชการของสหประชาชาติ[96]
35 ภาษาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาลท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ ของรัสเซีย
ศาสนาแก้ไข
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ศาสนา ส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายออร์โธดอกซ์รัสเซีย (ร้อยละ 94) ที่เหลือนับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 5.5) คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก (ร้อยละ 0.8) และพุทธศาสนานิกายมหายาน (ร้อยละ 0.6)
กีฬาแก้ไข
เคยมีการจัดโอลิมปิกเช่นโอลิมปิกฤดูร้อน 1980ที่มอสโก โอลิมปิกฤดูหนาว 2014ที่โซชี และฟุตบอลโลก 2018
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วัฒนธรรมแก้ไข
สื่อสารมวลชนแก้ไข
สถานีโทรทัศน์
ชื่อสถานี | เจ้าของ | เริ่มออกอากาศ | เว็บไซต์ |
---|---|---|---|
รัสเซีย-1 | บรรษัทกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | 1991 | russia |
รัสเซีย-24 | บรรษัทกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | 2006 | www |
รัสเซีย-k | บรรษัทกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | 1997 | tvkultura |
Carousel | ช่องหนึ่งรัสเซีย และ บรรษัทกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | 2010 | www |
TV Tsentr | Moscow Media (state-owned) | 1997 | tvc |
มอสค์กวา 24 | Moscow Media (state-owned) | 2011 | www |
เทเลคานัล ซเวซดา | กระทรวงกลาโหม | 2005 | tvzvezda |
รัสเซียทูเดย์ (ภาษาอังกฤษ) | ทีวี-โนวัสติ | 2005 | rt |
Rusiya Al-Yaum (Arabic version of RT) | TV-Novosti | 2007 | arabic |
Public Television of Russia | Russian government | 2013 | www |
MIR | 10 states from CIS | 1992 | mir24 |
สถานีโทรทัศน์ที่หนึ่ง | Russian government (51%), Roman Abramovich (24%), National Media Group (25%) | 1995 | www |
Spas TV | Russian Orthodox Church of the Moscow Patriarchate | 2006 |
วันหยุดแก้ไข
วันที่ | ชื่อ | ชื่อภาษาท้องถิ่น | ภาษารัสเซีย อักษรซีริลลิก | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|
1 มกราคม | วันปีใหม่ | Новый год (Novy god) | Новогодние каникулы (Novogodniye kanikuly) | |
7 มกราคม | วันคริสต์มาส | Rozhdestvo Khristovo | Рождество Христово | ตามนิกายออร์ทอดอกซ์ |
13 มกราคม | วันปีใหม่เดิมของรัสเซีย (Old-Calendar New Year) | Новый год по старому календарю | วันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินเก่า ซึ่งช้ากว่าปฏิทินเกรโกเรียนไป 13 วัน | |
23 กุมภาพันธ์ | วันพิทักษ์ปิตุภูมิ (Homeland Defender’s Day) | Den zashchitnika Otechestva | День Защитника Отечества | เพื่อรำลึกถึงการก่อตั้ง กองทัพแดง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 เดิมรัสเซียเรียกวันนี้ว่า "วันกองทัพโซเวียตและกองทัพเรือ" (День Советской Армии и Военно-Морского Флота; Den' Sovyetskoy Armii i Voyenno-Morskogo flota) |
8 มีนาคม | วันสตรีสากล | Восьмое марта (Vosmoe marta) | Международный Женский День | วันหยุดสากลให้แก่ความเท่าเทียมทางเพศแก่สตรี |
1 พฤษภาคม | วันแรงงานสากล | Первое Мая (May Day) | День Солидарности Трудящихся ("International Day of Worker's Solidarity") | มีการฉลองอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 และ 2 พฤษภาคม มีอีกชื่อหนึ่งว่า "วันแรงงานและเฉลิมฉลองเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ" |
9 พฤษภาคม | วันแห่งชัยชนะ (Victory Day) | Den Pobedy | День Победы | วันสิ้นสุดของมหาสงครามของผู้รักชาติ ในสงครามโลกครั้งที่สอง |
12 มิถุนายน | วันรัสเซีย (Russia Day) | Den Rossii | День России | เพื่อรำลึกถึงการประกาศใช้คำประกาศอำนาจอธิปไตยรัฐแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1990 |
4 พฤศจิกายน | วันเอกภาพแห่งมวลชน (People’s Unity Day) | Den narodnogo edinstva | День Народного единства | เป็นวันที่มีการรวมตัวกันของชาวมอสโกโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา และสถานะในสังคมเพื่อทำการต่อต้านการรุกรานของโปแลนด์ที่เข้ามาใน ค.ศ. 1612 |
ส่วนวันอีดทั้งสองของศาสนาอิสลามเป็นวันหยุดของ สาธารณรัฐบัชคอร์โตสถาน สาธารณรัฐอิงกูเชเตีย สาธารณรัฐคาบาร์ดีโน-บัลคาเรีย ส่วนสาธารณรัฐบูเรียตียา และสาธารณรัฐคัลมืยคียา ก็ประกาศว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดเช่นกัน
หมายเหตุแก้ไข
- ↑ ไครเมียซึ่งถูกผนวกโดยรัสเซียใน ค.ศ. 2014 ยังคงเป็นที่ยอมรับในระดับสากลว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศยูเครน[1]
- ↑ อังกฤษ: Russian Federation; รัสเซีย: Росси́йская Федера́ция, อักษรโรมัน: Rossiyskaya Federatsiya, สัทอักษรสากล: [rɐˈsʲijskəjə fʲɪdʲɪˈratsɨjə] ( ฟังเสียง)[17]
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Taylor & Francis (2020). "Republic of Crimea". The Territories of the Russian Federation 2020. Routledge. ISBN 978-1-003-00706-7.
Note: The territories of the Crimean peninsula, comprising Sevastopol City and the Republic of Crimea, remained internationally recognised as constituting part of Ukraine, following their annexation by Russia in March 2014.
- ↑ "Chapter 3. The Federal Structure". Constitution of Russia. สืบค้นเมื่อ 22 April 2015.
1. The Russian language shall be a state language on the whole territory of the Russian Federation.
- ↑ "ВПН-2010". perepis-2010.ru. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 18 January 2012.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อPew2017
- ↑ Håvard Bækken (21 November 2018). Law and Power in Russia: Making Sense of Quasi-Legal Practices. Routledge. pp. 64–. ISBN 978-1-351-33535-5.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 "The World Factbook". Central Intelligence Agency. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2015-07-03. สืบค้นเมื่อ 16 February 2019.
- ↑ Central Intelligence Agency (25 May 2021). The CIA World Factbook 2021-2022. Simon and Schuster. ISBN 978-1-5107-6382-1.
- ↑ Shinichiro Tabata, บ.ก. (17 December 2014). Eurasia's Regional Powers Compared - China, India, Russia. Routledge. p. 74. ISBN 978-1-317-66787-2.
- ↑ Saul Bernard Cohen (2014). Geopolitics: The Geography of International Relations (3 ed.). Rowman & Littlefield. p. 217. ISBN 978-1-4422-2351-6. OCLC 1020486977.
- ↑ "World Statistics Pocketbook 2016 edition" (PDF). United Nations Department of Economic and Social Affairs. Statistics Division. สืบค้นเมื่อ 24 April 2018.
- ↑ "Information about availability and distribution of land in the Russian Federation as of 1 January 2017 (by federal subjects of Russia)" Сведения о наличии и распределении земель в Российской Федерации на 1 January 2017 (в разрезе субъектов Российской Федерации). Rosreestr. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2019-03-23. สืบค้นเมื่อ 2022-03-17.
- ↑ "The Russian federation: general characteristics". Federal State Statistics Service. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 28 July 2011. สืบค้นเมื่อ 5 April 2008.
- ↑ 13.0 13.1 Оценка численности постоянного населения на 1 января 2021 г. и в среднем за 2020 г. [Estimated population as of 1 January 2021 and on the average for 2020] (XLS). Russian Federal State Statistics Service (ภาษารัสเซีย). สืบค้นเมื่อ 6 April 2021.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 14.3 "World Economic Outlook Database, April 2021". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 17 April 2020.
- ↑ "GINI index (World Bank estimate) – Russian Federation". World Bank. สืบค้นเมื่อ 22 March 2020.
- ↑ "Human Development Report 2020" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). United Nations Development Programme. 15 December 2020. สืบค้นเมื่อ 15 December 2020.
- ↑ "ชื่อสหพันธรัฐรัสเซียและรัสเซียจักเสมอกัน". "The Constitution of the Russian Federation". (Article 1). สืบค้นเมื่อ 25 June 2009.
- ↑ Russian Federal State Statistics Service (2011). "Всероссийская перепись населения 2010 года. Том 1" [2010 All-Russian Population Census, vol. 1]. Всероссийская перепись населения 2010 года (2010 All-Russia Population Census) (ภาษารัสเซีย). Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ June 29, 2012.
- ↑ "Russia". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 31 January 2008.
- ↑ "Commission of the Russian Federation for UNESCO: Panorama of Russia". Unesco.ru. สืบค้นเมื่อ 29 October 2010.
- ↑ "Country Comparison :: Natural gas – production". CIA World Factbook. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2016-03-15. สืบค้นเมื่อ 3 February 2014.
- ↑ "International Energy Agency – Oil Market Report" (PDF). 18 January 2012. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 18 May 2012. สืบค้นเมื่อ 11 November 2019.
- ↑ Library of Congress. "Topography and drainage". สืบค้นเมื่อ 26 December 2007.
- ↑ "Russia". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 31 January 2008.
- ↑ 25.0 25.1 "Russia: A Country Study: Kievan Rus' and Mongol Periods". Excerpted from Glenn E. Curtis (ed.). Washington, DC: Federal Research Division of the Library of Congress. 1998. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 20 July 2007.CS1 maint: others (link)
- ↑ Michael Prawdin; Gérard Chaliand (2005). The Mongol empire: its rise and legacy. pp. 512–550.
- ↑ Rein Taagepera (September 1997). "Expansion and Contraction Patterns of Large Polities: Context for Russia". International Studies Quarterly. 41 (3): 475–504. doi:10.1111/0020-8833.00053.
- ↑ Peter Turchin, Thomas D. Hall and Jonathan M. Adams, "East-West Orientation of Historical Empires Archived 2007-02-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน", Journal of World-Systems Research Vol. 12 (no. 2), pp. 219–229 (2006).
- ↑ Superpower politics: change in the United States and the Soviet Union Books.Google.com
- ↑ Weinberg, G.L. (1995). A World at Arms: A Global History of World War II. Cambridge University Press. p. 264. ISBN 0521558794.
- ↑ Rozhnov, Konstantin, Who won World War II?. BBC.
- ↑ "Country Profile: Russia". Foreign & Commonwealth Office of the United Kingdom. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 16 October 2009. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ 33.0 33.1 "Status of Nuclear Powers and Their Nuclear Capabilities". Federation of American Scientists. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ "Online Etymology Dictionary". Etymonline.com. สืบค้นเมื่อ 2 November 2011.
- ↑ "Rus – definition of Rus by the Free Online Dictionary, Thesaurus and Encyclopedia". Thefreedictionary.com. สืบค้นเมื่อ 2 November 2011.
- ↑ Milner-Gulland, R. R. (1997). The Russians: The People of Europe. Blackwell Publishing. pp. 1–4. ISBN 978-0-631-21849-4. สืบค้นเมื่อ 15 December 2016.
- ↑ "Definition of Russian". Merriam-Webster. สืบค้นเมื่อ 21 September 2016.
- ↑ World Time Zone: Russia
- ↑ Library of Congress. "Topography and Drainage". สืบค้นเมื่อ 2007-12-26.
- ↑ 40.0 40.1 Walsh, Nick Paton. "It's Europe's lungs and home to many rare species. But to Russia it's £100bn of wood". Guardian (UK). สืบค้นเมื่อ 2009-01-17.
- ↑ Fish Industry of Russia — Production, Trade, Markets and Investment. Eurofish, Copenhagen, Denmark. August 2006. p. 211. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2007-11-23. สืบค้นเมื่อ 26 December 2007.
- ↑ 42.0 42.1 42.2 "The World Factbook: Russia". CIA. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2015-07-03. สืบค้นเมื่อ 2008-12-20.
- ↑ 43.0 43.1 นริศรา พลายมาศ. จักรวรรดิรัสเซียก่อนล่มสลายสู่คอมมิวนิสต์. สำนักพิมพ์ก้าวแรก. ISBN 9786167446875.
- ↑ 44.0 44.1 "Russian Federation" (PDF). Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD). สืบค้นเมื่อ 24 February 2008.
- ↑ Sciolino, E. (21 December 1993). "U.S. is abandoning 'shock therapy' for the Russians". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 20 January 2008.
- ↑ "Russia: Clawing Its Way Back to Life (international edition)". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ "Russia: Clawing Its Way Back to Life (international edition)". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ 48.0 48.1 Branko Milanovic (1998). Income, Inequality, and Poverty During the Transformation from Planned to Market Economy. The World Bank. pp. 186–189.
- ↑ Jason Bush (19 October 2006). "What's Behind Russia's Crime Wave?". BusinessWeek Journal.
- ↑ "Russia pays off USSR's entire debt, sets to become crediting country". Pravda.ru. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ Aslund A. "Russia's Capitalist Revolution" (PDF). คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 28 March 2008.
- ↑ Treisman, D. "Is Russia's Experiment with Democracy Over?". UCLA International Institute. สืบค้นเมื่อ 31 December 2007.
- ↑ Stone, N (4 December 2007). "No wonder they like Putin". The Times. UK. สืบค้นเมื่อ 31 December 2007.
- ↑ "The Constitution of the Russian Federation". (Article 80, § 1). สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ DeRouen, Karl R.; Heo, Uk (2005). Defense and Security: A Compendium of National Armed Forces and Security Policies. ABC-CLIO. p. 666. ISBN 978-1-85109-781-4.
- ↑ "Overview of the major Asian Powers" (PDF). International Institute for Strategic Studies: 31. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2018-12-26. สืบค้นเมื่อ 27 January 2008.
- ↑ Russia pilots proud of flights to foreign shores Archived 2011-05-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน by David Nowak. The Associated Press, 15 September 2008
- ↑ "US drives world military spending to record high". Australian Broadcasting Corporation. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 13 June 2006. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ "Russia arms exports could exceed $7 bln in 2007 – Ivanov". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 27 January 2008.
- ↑ • Countries with the highest military spending in 2012 | Statistic
- ↑ Harding, Luke (9 February 2007). "Big rise in Russian military spending raises fears of new challenge to west". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 6 January 2008.
- ↑ 62.0 62.1 "Gross domestic product 2007, PPP" (PDF). The World Bank. สืบค้นเมื่อ 2008-12-20.
- ↑ "Russians weigh an enigma with Putin's protégé". MSNBC. สืบค้นเมื่อ 2009-01-10.
- ↑ "Russia's economy under Vladimir Putin: achievements and failures". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2008-05-09.
- ↑ "Russia's unemployment rate down 10% in 2007 - report". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2008-05-09.
- ↑ "Russia — Unemployment rate (%)". indexmundi.com. สืบค้นเมื่อ 2008-05-09.
- ↑ 67.0 67.1 Jason Bush (2006-12-07). "Russia: How Long Can The Fun Last?". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 2009-01-13.
- ↑ Tavernise, Sabrina (23 March 2002). "Russia Imposes Flat Tax on Income, and Its Coffers Swell". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ Rabushka, Alvin. "The Flat Tax at Work in Russia: Year Three". Hoover Institution. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2008-01-25. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ "Global personal taxation comparison survey – market rankings". Mercer (consulting firms). คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2011-04-27. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ "International Reserves of the Russian Federation in 2008". The Central Bank of the Russian Federation. สืบค้นเมื่อ 2008-07-30.
- ↑ "Russia's foreign debt down 31.3% in Q3—finance ministry". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ "Gross regional product by federal subjects of the Russian Federation 1998–2006". Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-06-30. (รัสเซีย)
- ↑ The City Built on Oil: EU-Russia Summit Visits Siberia's Boomtown, Spiegel
- ↑ 75.0 75.1 "Russia Key facts: Energy". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2008-12-21.
- ↑ "Rank Order - Oil - proved reserves". CIA. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2007-06-13. สืบค้นเมื่อ 2008-12-21.
- ↑ "Rank Order - Natural gas - exports". CIA. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2009-01-14. สืบค้นเมื่อ 2008-12-21.
- ↑ "Russia Factsheet". The Economist. 2008-12-16.
- ↑ "Russia fixed asset investment to reach $370 bln by 2010 - Kudrin". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ "CEE Biweekly (page 6)" (PDF). UNESCO Institute for Statistics, UniCredit New Europe Research Network. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม (PDF) เมื่อ 2008-04-02. สืบค้นเมื่อ 2008-03-28.
- ↑ Cities with over 1 million population Rosstat
- ↑ Cities with population between 500,000 and 1 million Rosstat
- ↑ "Russian Census of 2002". 4.1. National composition of population. Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-01-16.
- ↑ "Demographics". Federal State Statistics Service. สืบค้นเมื่อ 2008-01-15.
- ↑ 85.0 85.1 "Demography". Federal State Statistics Service. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2008-02-25. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05.
- ↑ The World Factbook. "Rank Order — Birth rate". Central Intelligence Agency. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2013-03-10. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ The World Factbook. "Rank Order — Death rate". Central Intelligence Agency. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 2018-02-28. สืบค้นเมื่อ 2007-12-27.
- ↑ "The incredible shrinking people". The Economist. 2008-11-27.
- ↑ 89.0 89.1 "Russia's birth, mortality rates to equal by 2011 - ministry". RIA Novosti. สืบค้นเมื่อ 2008-02-10.
- ↑ "Russian Census of 2002". 4.3. Population by nationalities and knowledge of Russian; 4.4. Spreading of knowledge of languages (except Russian). Rosstat. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 19 July 2011. สืบค้นเมื่อ 16 January 2008.
- ↑ "The Constitution of the Russian Federation". (Article 68, § 2). สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ "Russian language". University of Toronto. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 6 January 2007. สืบค้นเมื่อ 27 December 2007.
- ↑ "Russian Language History". Foreigntranslations.com. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 27 July 2013. สืบค้นเมื่อ 4 May 2013.
- ↑ Matthias Gelbmann (19 March 2013). "Russian is now the second most used language on the web". W3Techs. Q-Success. สืบค้นเมื่อ 17 June 2013.
- ↑ "JAXA – My Long Mission in Space".
- ↑ Poser, Bill (5 May 2004). "The languages of the UN". Itre.cis.upenn.edu. สืบค้นเมื่อ 29 October 2010.
แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข
- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ประเทศรัสเซีย
- Wikimedia Atlas of Russia
- Geographic data related to Russia ที่ โอเพินสตรีตแมป
- ประเทศรัสเซีย ที่เว็บไซต์ Curlie
- Russia entry at The World Factbook
- Russia Archived 2008-10-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at UCB Libraries GovPubs
- Russia from the BBC News
- Russia at Encyclopædia Britannica
- รัฐบาล
- Official Russian governmental portal
- Chief of State and Cabinet Members Archived 2012-09-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Russian News Agency "Ria Novosti"
- Russian radio "Voice of Russia" Archived 2011-05-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- อื่น ๆ
- Post-Soviet Problems from the Dean Peter Krogh Foreign Affairs Digital Archives
- Russia Beyond the Headlines International news project about Russia
- Way to Russia. An Introduction to Russia and Russian People
- Russia cities and regions guide
- Official Russia Travel Guide
- Russian Consulate
- Russia Beyond the Headlines International news project about Russia
- Moscow Russia Insider's Guide Moscow and Russia through Muscovite's eyes.
- เว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโก Archived 2015-09-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- รูปภาพเกี่ยวกับประเทศรัสเซีย ที่ฟลิคเกอร์
- Russia คู่มือการท่องเที่ยวจากวิกิท่องเที่ยว (ในภาษาอังกฤษ)