ผู้ใช้:Alert9654/ฉายารัฐบาล (ประเทศไทย)
การตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำปี ของสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนานเกือบ 40 ปี สะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาลโดยปราศจากอคติ ซึ่งรัฐบาลแรกที่ถูกนักข่าวทำเนียบตั้งฉายา ก็คือ "รัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์" (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ช่วงปี พ.ศ. 2523-2531)
ช่วงแรก ๆ ปี พ.ศ. 2523-2525 จะเป็นการจัดอันดับให้กับรัฐมนตรี (รวม 3 ครั้ง) และในปี พ.ศ. 2526-2530 จะเป็นการจัดอันดับและตั้งฉายาให้กับรัฐมนตรี (รวม 4 ครั้ง) ก่อนที่ภายหลังปี พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา จะเป็นการตั้งฉายาให้กับรัฐมนตรีเหมือนดังปัจจุบัน ส่วนวาทะแห่งปี ช่วงแรกนั้นจะเรียกว่า "คำขวัญประจำปี" ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นวาทะแห่งปีในภายหลัง
ฉายารัฐบาลฯ ประจำปี 2523-2527
แก้ปี | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ | ฉายา (การจัดอันดับ) และคำขวัญประจำปี | ความหมายหรือที่มา | |
---|---|---|---|---|
พ.ศ.2523 | 42 | รัฐบาล | - | - |
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
(นายกรัฐมนตรี) |
รัฐมนตรีที่น่าเบื่อที่สุด | |||
นายบุญชู โรจนเสถียร
(รองนายกรัฐมนตรี) |
รัฐมนตรีที่น่ารัก (น่าหมั่นไส้) ที่สุด | |||
พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์
(รองนายกรัฐมนตรี) |
รัฐมนตรีที่ขยันให้ข่าวมากที่สุด | |||
นายสมศักดิ์ ชูโต
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
รัฐมนตรีที่ให้ข่าวน้อยที่สุด | |||
นายบรรหาร ศิลปอาชา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
รัฐมนตรีที่ออกข่าวและตกเป็นข่าวมากที่สุด | |||
พลเรือเอก อมร ศิริกายะ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
รัฐมนตรีที่มีอัธยาศัยดีที่สุด | |||
นายตามใจ ขำภโต
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
รัฐมนตรีที่ชาวบ้านด่ามากที่สุด | |||
นายอนุวรรตน์ วัฒนพงศ์ศิริ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน) |
รัฐมนตรีที่มีมนุษยสัมพันธ์ (กับนักข่าว) ดีที่สุด | |||
พันเอก พล เริงประเสริฐวิทย์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม) |
รัฐมนตรีที่ประกาศลาออกจากตำแหน่งบ่อยครั้งที่สุด | |||
นายเกษม ศิริสัมพันธ์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
รัฐมนตรีที่ทำตัวน่าหมั่นไส้ขี้จุ๊ยได้ดีที่สุด | |||
นายขุนทอง ภูผิวเดือน
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) |
รัฐมนตรีที่ปกป้องศีลธรรมและวัฒนธรรมไทยได้ยอดเยี่ยมที่สุด | |||
คำขวัญประจำปี | "กลับบ้านเถอะลูก" | วาทะของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) | ||
พ.ศ.2524 | 42 | รัฐบาล | - | - |
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
(นายกรัฐมนตรี) |
นักร้องที่ยอดเยี่ยมที่สุด | |||
พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์
(รองนายกรัฐมนตรี) |
รัฐมนตรีที่เลือดร้อนมากที่สุด | |||
พลตรี สุตสาย หัสดิน
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
รัฐมนตรีที่ถูกเมินมากที่สุด | |||
พลเรือเอก อมร ศิริกายะ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
รัฐมนตรีที่น่ารักที่สุด | |||
นายชวน หลีกภัย
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
รัฐมนตรีที่แก้ปัญหาด้วยปากเปล่ามากที่สุด | |||
พลเอก สิทธิ จิรโรจน์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
รัฐมนตรีที่กล้าหาญที่สุด | |||
พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
รัฐมนตรีที่น่าหมั่นไส้มากที่สุด | |||
นายเกษม สุวรรณกุล
(รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย) |
รัฐมนตรีที่อยู่นานที่สุด | |||
นายวีระ มุสิกพงศ์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม) |
รัฐมนตรีที่มีความใฝ่ฝันจะได้ภริยาเป็นดารามากที่สุด | |||
นายประกายพฤกษ์ ศรุตานนท์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
รัฐมนตรีที่น่าสงสารที่สุด | |||
คำขวัญประจำปี | "เหนือพรรค เหนือพวก มีแต่เพื่อน" | วาทะของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) | ||
พ.ศ.2525 | 42 | รัฐบาล | - | - |
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
(นายกรัฐมนตรี) |
มีคนโอ๋มากที่สุด | |||
พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ลื่นที่สุด | |||
ร้อยตำรวจโท ชาญ มนูธรรม
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
จุ้นจ้านที่สุด | |||
นายมีชัย ฤชุพันธุ์
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
น่ารักที่สุด | |||
พลเอก สิทธิ จิรโรจน์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
ช่างจำนรรจาที่สุด | |||
นายเกษม สุวรรณกุล
(รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย) |
หลบฉากเก่งที่สุด | |||
นายวีระ มุสิกพงศ์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม) |
น่วมที่สุด | |||
พลอากาศเอก พะเนียง กานตรัตน์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม) |
สุภาพบุรุษที่สุด | |||
นายทวี ไกรคุปต์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
ฉาวโฉ่ที่สุด | |||
นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
ไฟแรงที่สุด | |||
คำขวัญประจำปี | "เหนือพรรค เหนือพวก มีแต่เพื่อน" | วาทะของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) | ||
พ.ศ.2526 | 43 | รัฐบาล | - | - |
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
(นายกรัฐมนตรี) |
ขวัญใจชนบท | |||
นายพิชัย รัตตกุล
(รองนายกรัฐมนตรี) |
คลายทุกข์ชาวบ้านมากที่สุด | |||
เรืออากาศโท ศุลี มหาสันทนะ
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
สุภาพบุรุษที่สุด | |||
ร้อยตำรวจโท ชาญ มนูธรรม
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
จุ้น...ไม่เสร็จ | |||
นายไชยศิริ เรืองกาญจนเศรษฐ์
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
สร้างสรรค์กีฬามากที่สุด | |||
นายสมหมาย ฮุนตระกูล
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
คุณ...ตัวดูด | |||
นายสมัคร สุนทรเวช
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
เซลส์แมนฝันเฟื่อง | |||
นายพิภพ อะสีติรัตน์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม) |
ใช้หัว...มากที่สุด | |||
นายดำรง ลัทธพิพัฒน์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน) |
ประชาสัมพันธ์ยอดเยี่ยมที่สุด | |||
นายอบ วสุรัตน์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
ผลงานดีเด่นที่สุด | |||
คำขวัญประจำปี | "ก็แล้วแต่..." | วาทะของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) | ||
พ.ศ.2527 | 43 | รัฐบาล | - | - |
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
(นายกรัฐมนตรี) |
บุรุษยอดทรหด | |||
พลเอก ประจวบ สุนทรางกูร
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ว่าที่นายกฯ ตลอดกาล | |||
นายพิชัย รัตตกุล
(รองนายกรัฐมนตรี) |
มนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยม | |||
นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์
(รองนายกรัฐมนตรี) |
คนว่างงาน | |||
นายสมหมาย ฮุนตระกูล
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
ซามูไรทมิฬ | |||
นายสมัคร สุนทรเวช
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
สิงห์จอมโว | |||
นายโกศล ไกรฤกษ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
รัฐมนตรีเจ้าอารมณ์ | |||
นายอบ วสุรัตน์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
ฝ่านค้านใน ครม. | |||
ร้อยตำรวจเอก สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
ผู้มีสปิริตยอดเยี่ยม | |||
นายโอภาส พลศิลป
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
ขวัญใจเสี่ยฮะ | |||
คำขวัญประจำปี | "ขั้นตอน...ลูก...ขั้นตอน" | วาทะของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) |
ฉายารัฐบาลฯ ประจำปี 2528-2532
แก้ปี | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ | ฉายา (การจัดอันดับ) และคำขวัญประจำปี | ความหมายหรือที่มา | |
---|---|---|---|---|
พ.ศ.2528 | ||||
พ.ศ.2529 | 44 | รัฐบาล | - | - |
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
(นายกรัฐมนตรี) |
แชมป์ตลอดกาล | |||
พลเรือเอก สนธิ บุณยะชัย
(รองนายกรัฐมนตรี) |
รับจนเละ | |||
นายพิชัย รัตตกุล
(รองนายกรัฐมนตรี) |
แม่ไก่ดี๊ดด๊าด | |||
นายมีชัย ฤชุพันธ์
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
รัฐมนตรีซึมไม่สร่าง | |||
นายสุธี สิงห์เสน่ห์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
รัฐมนตรีปรมาจารย์ | |||
พลเอก หาญ ลีนานนท์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
รัฐมนตรีหิ่งห้อย | |||
นายบรรหาร ศิลปอาชา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
รัฐมนตรีด่วนมหาภัย | |||
ร้อยตำรวจเอก สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
รัฐมนตรีบุญน้อย | |||
นายมนตรี พงษ์พานิช
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
รัฐมนตรีท่าดีทีเหลว | |||
นายสอาด ปิยวรรณ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม) |
ดร.ห้าแต้ม | |||
คำขวัญประจำปี | "เจ็บไหมลูก" | วาทะของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) | ||
พ.ศ.2530 | 44 | รัฐบาล | - | - |
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
(นายกรัฐมนตรี) |
อารมณ์บูดที่สุด | |||
พลเรือเอก สนธิ บุณยะชัย
(รองนายกรัฐมนตรี) |
เฮงที่สุด | |||
นายพงส์ สารสิน
(รองนายกรัฐมนตรี) |
สบายที่สุด | |||
นายบรรหาร ศิลปอาชา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
ซวยที่สุด | |||
นายมนตรี พงษ์พานิช
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
หมดท่าที่สุด | |||
พลเอก ประจวบ สุนทรางกูร
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
รัฐมนตรีไม่มีปัญหา | |||
นายประมวล สภาวสุ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
ขวัญใจนายทุน | |||
นายศุภชัย พานิชภักดิ์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง) |
รัฐมนตรีมีอนาคต | |||
พันโท สนั่น ขจรประศาสน์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม) |
กาวใจไร้น้ำยา | |||
นายไสว พัฒโน
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
เด่นที่สุด | |||
คำขวัญประจำปี | "ปีนี้ไม่มีคำขวัญ เพราะอารมณ์ไม่ดี" | วาทะของ สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล
เป็นวาทะหยิกแกมหยอกที่สะท้อนถึงภาวะทางอารมณฺของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) ในรอบปีที่ผ่านมา | ||
พ.ศ.2531 | 45 | รัฐบาล | - | - |
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
(นายกรัฐมนตรี) |
น้าชาติ...มาดนักซิ่ง | |||
ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
รัฐมนตรีนักชกนักชน | |||
นายประมวล สภาวสุ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
ซานตาคลอส | |||
พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) |
คุณปู่ใจน้อย | |||
พันโท สนั่น ขจรประศาสน์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
รัฐมนตรีป่าลั่น | |||
พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ | |||
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
รัฐมนตรีปากไว...ใจเร็ว | |||
นายวัฒนา อัศวเหม
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
ขวัญใจฉันทนา | |||
นายสันติ ชัยวิรัตนะ
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
รัฐมนตรีไฮเทค | |||
นายเสนาะ เทียนทอง
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
รัฐมนตรีฟิวส์ขาด | |||
คำขวัญประจำปี | "ไม่มีปัญหา" | วาทะของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (นายกรัฐมนตรี) | ||
พ.ศ.2532 | 45 | รัฐบาล | - | - |
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
(นายกรัฐมนตรี) |
นักบริหารชั้นยอด | |||
นายพงส์ สารสิน
(รองนายกรัฐมนตรี) |
นักธุรกิจการเมือง | |||
นายประมวล สภาวสุ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
รัฐมนตรีขี้โอ่ | |||
พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) |
รัฐมนตรีเต่าล้านปี | |||
พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
ตุ๊กแกตีนเหนียว | |||
นายมนตรี พงษ์พานิช
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
รัฐมนตรีโครงการแสนล้าน | |||
นายสุบิน ปิ่นขยัน
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
รัฐมนตรีหน้าเนื้อใจเสือ | |||
พลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสาร
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
มลภาวะเป็นพิษ | |||
นายชวน หลีกภัย
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) |
รัฐมนตรีต้านเอดส์ | |||
นายบรรหาร ศิลปอาชา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
ปลาไหลพันธุ์สั้น | |||
คำขวัญประจำปี | "มีอะไรแล้วจะบอก" | วาทะของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (นายกรัฐมนตรี) |
ฉายารัฐบาลฯ ประจำปี 2533-2537
แก้ปี | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ | ฉายาและวาทะแห่งปี | ความหมายหรือที่มา | |
---|---|---|---|---|
พ.ศ.2533 | 45-46 | รัฐบาล | รัฐบาลเก้าอี้ดนตรี | เนื่องจากรัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีกันบ่อยครั้ง จนคล้ายกับการ "เล่นเกมเก้าอี้ดนตรี" หากจะนับตั้งแต่ปลายปี 2532-ปลายปี 2533 ก็มีปรับเปลี่ยน-โยกย้าย ประมาณ 9 ครั้ง และครั้งที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีขนานใหญ่ที่สุด ก็คือ ปลายเดือนสิงหาคม ปี 2533 ที่มีการปรับเปลี่ยนรวม 29 ตำแหน่ง |
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
(นายกรัฐมนตรี) |
ปลาไหลใส่สเกต | สืบเนื่องจากพรรคชาติไทยที่พล.อ.ชาติชายเป็นหัวหน้าพรรคนั้น ได้รับฉายาว่า "พรรคปลาไหล" ประกอบกับภายในรอบปีที่ผ่านมาได้เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้นหลายครั้งจนรัฐบาลและนายกฯ ต้องประสบกับวิกฤติศรัทธา
แต่นายกฯ ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์เอาตัวรอดผ่านไปได้อย่างทุลักทุเล แม้จะออกนอกลู่นอกทางและอ้างเหตุผลไม่เข้าท่าในบางครั้งก็ตาม จากชายผู้เคยได้รับฉายาบุรุษจอมพลิ้ว มาบัดนี้กลับไม่พลิ้วเหมือนฉายา | ||
นายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
บัวในดงบอน | หากใครได้มีโอกาสสนทนาพาทีกับนายบุญเอื้อ ก็ดูคล้ายจะเข้าใกล้แสงแห่งธรรมไปทุกที ๆ เพราะนายบุญเอื้อเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งในจำนวนที่ไม่มากนักที่ได้รับการยอมรับในความซื่อสัตย์สุจริต เฉกเช่น "ดอกบัวที่เกิดและเติบโตท่ามกลางดงบอน" | ||
นายบรรหาร ศิลปอาชา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
เสือสิ้นลาย | ในยุคนั้นถือว่าเป็นยุคตกต่ำทางการเมือง เดิมทีบรรดารัฐมนตรีร่วมรัฐบาลต่างพากันขนานให้นายบรรหารเป็น "ผู้จัดการรัฐบาล" ซึ่งนายบรรหารก็ขานรับ แต่คำพูดในอดีตก็ส่งผลให้ความเชื่อถือในฐานะผู้จัดการรัฐบาลลดน้อยลง เพราะนายบรรหารเคยประกาศกร้าวว่า "ถ้าหากมีการยุบสภา ตนเองต้องเป็นคนทำ การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ตนจะต้องเป็นผู้ชี้นำ ขนาดนายกฯ ยังต้องมาขอคำปรึกษา" แต่พอเอาเข้าจริง ๆ นายบรรหารกลับเพิกเฉยเข้าอีหรอบ "หนูไม่รู้" | ||
พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) |
หงส์ในหมู่กา | - | ||
นายมนตรี พงษ์พาณิช
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
นักบุญคนบาป | เนื่องจากผู้ผลักดันโครงการมูลค่านับแสนล้านบาท แต่มีพฤติกรรมเป็นที่น่าคลางแคลงใจ ไม่สามารถอธิบายเหตุผลต่อสาธารณชนให้กระจ่างได้ แม้จะพยายามทำบุญด้วยการทอดกฐินครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ด้วยจำนวนเงิน 33 ล้านบาทที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ก็ยังไม่วายถูกตั้งข้อครหาว่านำรายได้จากหน่วยงานรัฐมาทำบุญเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตน โดยที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจจริง | ||
นายอมเรศ ศิลาอ่อน
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
ต้นกล้าทระนง | เนื่องจากเป็นรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่เป็นเสมือนตัวแทน "รัฐมนตรีข้าวนอกนา (มาจากคนนอกหรือไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งเป็น ส.ส.)" แต่ก็ยังสามารถทนทานต่อแรงบีบคั้นจากนักการเมืองที่นิยมแสวงหาผลประโยชน์หลาย ๆ กลุ่ม
ทั้งยังใช้ความรู้ความสามารถบริหารบ้านเมืองเหมือน "ต้นกล้าไม่หวั่นต่อแรงลม" ยกตัวอย่างเช่น กรณีการแสดงความเห็นเรื่องระบบการจัดสรรโควตามันสำปะหลัง ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งกับบุคคลอื่น ๆ ตามมา ในส่วนของการควบคุมราคาสินค้า ก็ถือว่าเป็นผลงานที่โดดเด่นเห็นประจักษ์ | ||
นายประมวล สภาวสุ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
หน่อมแน้ม | หลังจากถูกปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี มาเป็น รมว.อุตสาหกรรม ตอนปลายปี 2533 นายประมวลได้แสดงอาการน้อยเนื้อต่ำใจจนเห็นได้ชัด คล้ายกับเด็กสูญเสียของเล่น ชอบพูดจาประชดประชันกระแหนะกระแหนผ่านสื่ออยู่หลายครั้ง คล้าย "คนหน่อมแน้ม ทำอะไรแบบเด็ก ๆ ไม่รู้ประสีประสา" | ||
นายสันติ ชัยวิรัตนะ
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
บูมเมอแรง | เนื่องจากพฤติการณ์ที่พรรคกิจสังคม ซึ่งเป็นพรรคต้นสังกัดได้กระทำกับนายสันติอย่างปวดแสบปวดร้อน เปรียบเสมือนการปัดสวะให้พ้นกอ แต่นายสันติกลับเป็นบูมเมอแรง "ยิ่งขว้างไปแรง ก็ยิ่งกลับมาเร็ว"
เพราะเมื่อพ้นออกจากพรรค นายสันติก็ออกมาเปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชันขนานใหญ่ ว่ารัฐมนตรีของพรรคกิจสังคม ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ต้องการหาเงินเข้าพรรคเป็นจำนวน 500 ล้านบาท แต่เนื่องจากตนที่เป็นรัฐมนตรีใหม่ไม่สามารถหาเงินเข้าพรรคได้ตามจำนวนที่สั่ง แล้วยังระบุอีกว่า "ผู้ใหญ่ภายในพรรค สอนวิธีให้ตนทุจริต" นี่จึงเป็นเหตุการณ์ที่สร้างเสียงฮือฮาที่สุดในรอบปี ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของพรรคกิจสังคมตกต่ำที่สุดในรอบทศวรรษ นับตั้งแต่มีการก่อตั้งพรรคเมื่อปี 2517 ถือเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยที่รัฐมนตรีออกมาเปิดโปงวิธีการคอร์รัปชันได้อย่างหมดจดและเจ็บแสบ | ||
นายเสนาะ เทียนทอง
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
เสือร้องไห้ | ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่านายเสนาะ เป็นเสมือนเจ้าพ่อแห่งภาคตะวันออก ที่มีความตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสีย และดุดันดั่งเสือร้าย แต่ก็มิวายกลับต้องมาหลั่งน้ำตาต่อหน้านายกฯ เพราะข่าวฉาว จนหวิดหลุดจากตำแหน่ง
กรณีคดีทุจริตที่ดินอัลไพน์ ในข้อกล่าวหากระทำการเอื้อประโยชน์ในการซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นธรณีสงฆ์ เนื่องจากนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดิน ประมาณ 730 ไร่ ถวายให้แก่วัดธรรมิการาม ก่อนที่มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยฯ ผู้จัดการมรดก จะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับบริษัทที่มีนายเสนาะเป็นผู้ถือหุ้น | ||
ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) |
รัฐมนตรีบ่อนแตก | เพราะบุคลิกที่ขึงขัง โผงผาง ซ้ำยังนิยมบ่มเพาะศัตรูและหาคู่ขัดแย้งมาให้รัฐบาลเสมอ ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ร.ต.อ.เฉลิม จะกลายเป็นรัฐมนตรีบ่อนแตก อยู่ที่ไหนก็ทำให้วงแตกกระเจิง | ||
วาทะแห่งปี | "คุณรู้จักผมน้อยไปเสียแล้ว" | วาทะของ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (นายกรัฐมนตรี)
เป็นคำกล่าวเมื่อครั้งที่พล.อ.ชาติชายได้รับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักหน่วง | ||
พ.ศ.2534 | 47 | รัฐบาล | รัฐบาลหอยสิบเปลือก | |
นายอานันท์ ปันยารชุน
(นายกรัฐมนตรี) |
ผู้ดีมีปัญหา | เนื่องจากนายอานันท์เคยเป็นผู้ดีเก่า เป็นทูตประจำอยู่ในหลายประเทศ เมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีก็ยังคงแสดงความเป็นผู้ดีอย่างไม่เสื่อมคลาย ดังจะเห็นได้จากอิริยาบถและอัธยาศัยอันนุ่มนวล ราวกับเดินออกมาจากหนังสือเรื่อง "สมบัติผู้ดี" พ่วงด้วยบุคลิกการพูดการจาที่นุ่มนวล ราบเรียบ แต่บาดลึก
ตลอดเวลา 9 เดือนเศษที่นายอานันท์เข้ามาบริหารงาน เคยกล่าววิพากษ์วิจารณ์สภาพทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองไทยอย่างแสบสัน เช่น เรื่องที่คนไทยชอบวิ่งเข้าหาศูนย์กลางอำนาจ เรื่องระบบราชการไทยที่อืดอาดชักช้า เรื่องการศึกษาที่มีปัญหา เรื่องภาคเอกชนโกงภาษีรัฐ ทำมาหากินไม่ซื่อสัตย์ โดยเฉพาะในช่วงเกิดวิกฤติการณ์ตุลาการและรัฐธรรมนูญ นายอานันท์เคยปรารภกับผู้สื่อข่าวว่า "ผมไม่เข้าใจคนไทย ไม่เข้าใจสังคมไทยจริง ๆ" ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้รับฉายาว่า "ผู้ดีมีปัญหา" | ||
นายมีชัย ฤชุพันธ์
(รองนายกรัฐมนตรี) |
พิมพ์ดำ | นายมีชัยได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระดับปรมาจารย์ตั้งแต่สมัยป๋าเปรม สมัย พล.อ.ชาติชาย ที่ถูกมอบหมายให้ร่างกฎหมายต่าง ๆ ชนิดสั่งปุ๊บ ได้ปั๊บ เพราะท่านมีความเชี่ยวชาญมากและไม่ได้เลียนแบบมาจากใคร ไม่ได้เป็นฉบับคัดลอกพิมพ์เขียว แต่เป็น "ต้นฉบับพิมพ์ดำ"
จวบจนมาถึงยุคของสภาคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นายมีชัยก็เข้าไปมีส่วนในการยกร่างรัฐธรรมนูญการปกครอง และพระราชบัญญัติต่าง ๆ หลายฉบับ | ||
นายเสนาะ อูนากูล
(รองนายกรัฐมนตรี) |
อัจฉริยะไอซียู | นายเสนาะเข้ามารับภาระงานอันหนักหน่วงในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้นายเสนาะโหมงานอย่างเต็มที่ด้วยหวังจะให้บ้านเมืองเฟื่องฟู จนกระทั่งล้มป่วยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองตีบ ต้องนำตัวหามส่งเข้าห้องไอซียู แต่ท่านก็ยังไม่ยอมแพ้ พอรู้สึกตัวก็ไม่รั้งรอใช้ไม้ค้ำยันขึ้นรถเข็นกลับมาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลด้วยใจสู้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน | ||
นายไพจิตร เอื้อทวีกุล
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
รัฐมนตรีแรมโบ | นายไพจิตร เคยเป็นบุคคลสำคัญในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กรณีลดค่าเงินบาทจนต้องสังเวยตำแหน่งทางราชการมาแล้ว มาในรัฐบาลชุดนี้ก็ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพคับแก้ว เพราะนายไพจิตรมักออกความเห็นชนดะไปทั่วทุกแนวรบ (เหมือนพระเอกในภาพยนตร์เรื่อง แรมโบ)
อาทิ กรณีรื้อโครงการยักษ์ของรัฐบาลชุดที่แล้วขึ้นมาสะสางความซ้ำซ้อนเพื่อปกป้องเงินภาษีของประชาชน (เช่น โครงการรถไฟยกระดับโฮปเวลล์) การผลักดันให้ใช้น้ำมันไร้สารตะกั่ว การปรับปรุงกฎหมายสิ่งแวดล้อม การยับยั้งการตั้งสภาการเกษตร และได้รับความบอบช้ำอย่างสาหัสจากรณีม็อบชาวบ้านโครงการสวนสาธารณะบางกะเจ้า นายไพจิตร จึงกลายเป็น รมว.ที่สภาคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) อยากเปลี่ยนตัวมากที่สุด | ||
นายมีชัย วีระไวทยะ
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
รัฐมนตรีทอล์กโชว์ | นายมีชัย เป็นผู้ทำให้วงการคุมกำเนิดโด่งดังจนถุงยางอนามัย ถูกเรียกกันติดปากว่า "ถุงมีชัย" มาคราวนี้ชื่อเสียงก็โด่งดังก้องโลก เมื่อนายมีชัยเข้าไปแจกถุงยางอนามัยให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมธนาคารโลก (การประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ 2534 / World Bank / International Monetary Fund Annual Meetings 1991) เพื่อรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ บวกกับความสามารถในการตอบปัญหาต่าง ๆ ชนิดถามปุ๊บ ตอบปั๊บ เหมือนการนั่งโต๊ะซักถามในรายการทอล์กโชว์ | ||
นางสายสุรี จุติกุล
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
ดุ๊ยดุ่ย | นางสายสุรี เป็นผู้หญิงคนเดียวใน ครม.ที่ต่อสู้พิทักษ์ปกป้องสิทธิสตรีอย่างต่อเนื่อง อาทิ การผลักดันเรื่องการอนุญาตให้สตรีที่รับราชการสามารถลาคลอดได้ 90 วัน การต่อสู้ในเรื่องโสเภณี รวมทั้งต่อสู้ในเรื่องเด็กเยาวชน แต่ที่แหวกแนวและฮือฮามากที่สุด คือ "การเสนอแนวคิดเรื่อง การลดหรือบรรเทาปัญหาโสเภณีและปัญหาทางเพศ ด้วยการให้บุรุษทั้งหลายได้สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองบ้างเป็นครั้งคราว อย่าไปคร่ำเคร่งกับการร่วมเพศกับสตรีมากนัก"
และเนื่องจากช่วงนั้นมีข่าวหลวงตา อายุ 72 ปี ปีนต้นไม้ขึ้นไปผูกว่าวดุ๊ยดุ่ยแล้วตกลงมาถึงแก่มรณภาพ ทางผู้สื่อข่าวจึงนำชื่อว่าวดังกล่าวมาตั้งเป็นฉายา | ||
นายนุกูล ประจวบเหมาะ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
วิ่งสู้ฟัด | บุคลิกของนายนุกูลเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ ถึงขนาดงัดข้อกับคนโตในสภาคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) อย่าง "พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท" รมช.กระทรวงเดียวกัน ด้วยการสั่งให้รื้อโครงการโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมายที่ พล.อ.วิโรจน์ ดูแลอยู่ขึ้นมาพิจารณาใหม่ จนมีข่าวลือออกมาว่า่จะมีการปลดนายนุกูลออกจากตำแหน่ง ซึ่งนายนุกูลก็ไม่ได้แสดงความหวั่นเกรงแต่อย่างใด แถมยังออกมาให้ข่าวสวนกลับไปอีกว่า "ผมกลัวท่านจะตายอยู่แล้ว"
สุดท้ายด้วยความวิ่งสู้ฟัดไปมาของเจ้ากระทรวงคมนาคมกับทำเนียบรัฐบาล เพื่อชี้แจงกับนายกรัฐมนตรี ได้ส่งผลให้มีการแก้ไขสัญญาในโครงการดังกล่าวเป็นผลสำเร็จในเวลาต่อมา | ||
นายอมเรศ ศิลาอ่อน
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
พ่อค้าฉุน | เมื่อนายอมเรศถูกผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์หรือซักถามเรื่องใด ก็จะเห็นอารมณ์ของท่านแปรเปลี่ยนไปในทางฉุนเฉียวขึ้นทุกที ทั้ง กรณีถามเรื่องสินค้าขาดแคลน เรื่องสินค้าราคาแพง ฯลฯ กลายเป็น "พ่อค้าที่ทำตัวฉุนเฉียวตลอดเวลา" | ||
พลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
ตุ๋ย...โธ่เอ๊ย | พล.อ.อิสระพงศ์ มีชื่อเล่นว่า "ตุ๋ย" เมื่อรวมเข้ากับบุคลิกท่าทางอันจัดจ้าน ซึ่งถ้าเป็นมวยก็ต้องบอกว่าเป็นต่อตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นชก แต่พอท่านได้ขึ้นเวทีจริง ลีลาการออกหมัดกลับทำให้สภาคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ถึงกับพะอึดพะอมหลายต่อหลายครั้ง เพราะออกหมัดทีไร เป็นต้องโดนโห่เสียทุกรอบ อาทิ โครงการสี่ทหารเสือเผยแพร่ประชาธิปไตย โครงการลาดตั้งกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และอื่น ๆ ซึ่งหมัดที่ออกไปแต่ละโครงการ เล่นเอา พล.อ.อิสระพงศ์ ต้องออกอาการละล้าละลังด้วยเสียงโห่ ถึงขั้นงอนไม่เข้าร่วมประชุม ครม.หลายต่อหลายครั้ง
และเวลาที่ พล.อ.อิสระพงศ์ ให้สัมภาษณ์ ท่านก็มักจะอุทานว่า "โธ่เอ๊ย !!" เหมือนกับเพลงของวงปานามาอย่างไรก็อย่างนั้น | ||
นายประภาศน์ อวยชัย
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม) |
รัฐมนตรีศรีธนญชัย | นายประภาศน์ ถูกมองว่าเคยใช้กฎหมายเพื่อสนองความเห็นของตนอย่างแยบคาย ประหนึ่ง "ศรีธนญชัย" ก็ไม่ปาน จนก่อให้เกิดวิกฤติตุลาการขึ้น | ||
พลเอก วิมล วงศ์วาณิช
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม) |
กันชนคุณภาพ | พล.อ.วิมล เป็นผู้ที่เข้าประชุม ครม.อย่างสม่ำเสมอ และแสดงบทบาทเป็น "กันชน" คอยคลี่คลายปัญหาการกระทบกระทั่งกันระหว่างรัฐบาลกับสภาคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) การชี้แจงเรื่องราวต่าง ๆ เช่น การซื้ออาวุธ ข่าวที่สร้างความเสียหายให้กับ รสช. ท่านก็ออกมาชี้แจงอย่างสุขุมนุ่มนวล ใช้เหตุผลน่ารับฟัง สะท้อนให้เห็นถึง "คุณภาพ" ของนายทหารคนหนึ่งที่ฉายแสงโดดเด่นท่ามกลางวิกฤติภาพลักษณ์ตกต่ำของสภา รสช. ในสายตาประชาชน | ||
วาทะแห่งปี | - | - | ||
พ.ศ.2535 | 48-49 | งดตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เนื่องจากพลเอก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีประกาศลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 จากกรณีชุมนุมประท้วงต่อต้านนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือพฤษภาทมิฬ ระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ก่อนที่นายมีชัย ฤชุพันธ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเข้ามาทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว
| ||
พ.ศ.2536[1] | 50 | รัฐบาล | รัฐบาลเต่ากระดองแตก | รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยฯ ที่ประกอบด้วย 5 พรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นที่คาดหวังของประชาชนว่าจะบริหารงานได้ดี มีผลงานปรากฏให้เห็นเด่นชัด
แต่ในรอบปีที่ผ่านมาความเป็นรับบาลผสมกลับกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้งานสำคัญ ๆ หลายงานต้องล่าช้าและติดขัด เหมือนกับ "ลักษณะการเคลื่อนไหวของเต่า และยังเป็นเต่ากระดองแตกที่ขาดซึ่งความเป็นเอกภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง" |
นายชวน หลีกภัย
(นายกรัฐมนตรี) |
จอมฟุตเวิร์ก | ลีลาการทำงานของนายชวนถูกวิจารณ์ว่าเป็นไปอย่างเชื่องช้า ยึดติดอยู่กับหลักการจนทำให้การตัดสินใจแต่ละเรื่องไม่ทันใจ เมื่อเกิดความขัดแย้งก็มักเลือกใช้วิธีการปล่อยให้เรื่องนั้นเดินไปตามขั้นตอน
นอกจากนั้นยังโยนลูกให้ รมต. ที่รับผิดชอบเป็นผู้ตัดสินใจ เหมือนไม่ต้องการเข้ามาแตะต้องปัญหาโดยตรง อย่างมากก็เข้ามาเพียงแค่จด ๆ จ้อง ๆ พอให้เห็นว่าไม่ได้ทิ้งปัญหาไปไหน เปรียบเสมือน "นักมวยฟอร์มดีที่มัวแต่ออกลีลาเต้นฟุตเวิร์ก แต่ไม่ลงมือชกเสียที" ซึ่งนั่นก็ทำให้นายชวนได้รับการโจมตีว่าเป็นการลอยตัวเหนือปัญหา | ||
นายบุญชู โรจนเสถียร
(รองนายกรัฐมนตรี) |
บุญชู บุญไม่ช่วย | นายบุญชู เป็นผู้รับผิดชอบงานด้านการแก้ปัญหาจราจร แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ทำให้งานเกิดความตัดขัด นอกจากนั้นยังต้องรับศึกจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน
ดังนั้นถึงแม้นายบุญชูจะเป็นนักการเมืองที่ข้ามห้วยเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ซึ่งดูเหมือนว่า "มีบุญ" แต่บุญนั้นกลับไม่ชูให้ท่านสามารถทำงานได้อย่างบรรลุผล สมประสงค์ตามชื่อ | ||
นายศุภชัย พานิชภักดิ์
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ข้างหลังภาพ | นายศุภชัย เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (เป็น รมต.คนนอก) ซึ่งได้ใช้ความรู้ความสามารถในการกำกับดูแลงานด้านเศรษฐกิจของประเทศและระหว่างประเทศ ในลักษณะผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานต่าง ๆ ที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับรัฐบาล อาทิ การทำให้ประเทศหลุดพ้นจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา
และนอกเหนือจากความรู้ความสามารถแล้ว นายศุภชัยยังเป็น รมต.ประเภทก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่พยายามประชาสัมพันธ์บทบาทตัวเอง รวมทั้งไม่ตกอยู่ในวังวนความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี | ||
นายสาวิตต์ โพธิวิหค
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
พรานม้วนเสื่อ | นายสาวิตต์ เป็น รมต.ผู้ได้รับความคาดหวังให้เข้ามาดูแลงานด้านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แต่กลับเสนอแนวความคิดแหวกแนว วางแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติ จนถูกต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ
แถมถูกพรรคประชาธิปัตย์ต้นสังกัด ปล่อยลอยแพให้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เปรียบเสมือน "นายพรานที่ต้องการช่วงชิงพื้นที่ป่าไม้มาให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยดูแลดำเนินการ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และต้องจำใจม้วนเสื่อกลับไปในที่สุด" | ||
นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
ขุนคลังตลาดแตก | นายธารินทร์ เป็น รมต.ที่สร้างความฮือฮาด้วยการใช้มาตรการเด็ดขาดจัดระเบียบในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล สร้างความแตกตื่นและตกตะลึงในหมู่ผู้ซื้อ-ขายหุ้นจากการดำเนินการ จนมีการจับกุมนักปั่นหุ้นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคการเมือง และก็เป็นยุคที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1,600 จุด | ||
นายอุทัย พิมพ์ใจชน
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
มันจุกอก | ในรอบปีที่ผ่านมาต้องประสบกับมรสุมหลากรูปแบบ ทั้งปัญหาการสั่งพักราชการ "นายพชร อิศรเสนา ณ อยุธยา (ปลักกระทรวงพาณิชย์)", ปัญหาราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ และเรื่องโควตามันสำปะหลังที่ทำให้กรรมการสมาคมพ่อค้าประกาศลาออกยกคณะ เป็นเหยื่อให้ฝ่ายค้านหยิบยกมาโจมตีในการอธิปรายไม่ไว้วางใจถึง 2 ครั้ง | ||
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
สิงห์เดี้ยง | พล.อ.ชวลิต เป็น รมต.ในกระทรวงที่มีตราสิงห์เป็นสัญลักษณ์ แต่ในรอบปีที่ผ่านมาถูกปัญหารุมเร้า จนไม่สามารถคลี่คลายได้ ตั้งแต่ กรณีถูกมือดีปาระเบิดข้างตึกกระทรวงฯ การเผาโรงเรียนในภาคใต้ คลีเพชรซาอุดิอาระเบีย จนถึงกรณีความปั่นป่วนในการโยกย้ายอธิบดีกรมตำรวจ เปรียบเสมือน "สิงห์เดี้ยง" ที่มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างถนัดถนี่เป็นชิ้นเป็นอัน | ||
พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
กาวใจไร้ยาง | พล.ต.สนั่น เคยเป็นผู้ที่มีผลงานโดดเด่นทางการเมืองจนได้รับสมญานามว่า "ผู้จัดการรัฐบาล" แต่ในรอบปีที่ผ่านมา กลับไม่สามารถทำหน้าที่เป็นกาวใจประสานความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล จนรัฐบาลชวน 1/1 ต้องพบกับจุดจบเมื่อพรรคกิจสังคมถูกขับออก และรัฐบาลชวน 1/2 ก็ยังมีปัญหากระทบกระทั่งกันอยู่เนือง ๆ | ||
นายบุญชู ตรีทอง
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง) |
บัตรเขียว ตีนโต | นายบุญชู เป็น รมต.มาดเข้ม เป็นผู้กว้างขวางภายในพรรคความหวังใหม่ โด่งดังด้วยข่าวฮือฮาว่าจะมีการแจกบัตรเขียวสู่ประตูสวรรค์ในงานเลี้ยงสมาชิกพรรค มีบุคลิกเป็นเจ้าพ่อเมืองรถม้า (จังหวัดลำปาง) ผู้ชอบสะสมปืนเป็นงานอดิเรก เมื่อไม่พอใจคำถามของผู้สื่อข่าวก็ทำท่าทางคล้ายจะตบปืนให้ดู ขู่ให้กลัว ทั้งยังเป็นผู้ที่มีความพิถีพิถันในการแต่งกาย โดยเฉพาะรองเท้าที่ทำมาจากหนังชั้นดีราคาแพง และเมื่อฉุนเฉียว ก็จะใช้เบอร์รองเท้าข่มขวัญ เปรียบให้เห็นว่า "ของข้า...ใหญ่กว่าของเอ็ง !!" | ||
นายทวี ไกรคุปต์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคมนาคม) |
จอจุ้น | นายทวี มีความโดดเด่นในงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบดูแล ไม่ว่าจะเป็นกรณีวิพากษ์วิจารณ์เรื่องปั่นหุ้น จนเกิดปริศนาเกี่ยวกับ "มิสเตอร์ที" และกรณีให้สัมภาษณ์ตอบโต้กรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับปัญหาการโยกย้ายอธิบดีกรมดำรวจ | ||
วาทะแห่งปี | "ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน" | วาทะของ นายชวน หลีกภัย (นายกรัฐมนตรี)
ซึ่งเป็นวาทะที่สะท้อนให้เห็นถึงหลักการทำงานส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี โดยบางครั้งนายชวนได้นำประโยคนี้ไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการเปิดเผยผลการตัดสินใจให้สาธารณชนได้รับทราบ เป็นการแสดงความเชื่อมั่นของความเป็นนักกฎหมาย นักการเมืองที่ยึดมั่นในระบบรัฐสภา รวมทั้งการให้น้ำหนักต่อการทำงานของข้าราชการประจำ ทั้งหมดจึงถูกมองว่าเป็นการซื้อเวลาให้ปัญหาเหล่านั้นคลี่คลายได้ด้วยตัวของมันเอง หรือปล่อยให้ปัญหานั้นค่อย ๆ ไกลตัวออกไป | ||
พ.ศ.2537 | 50 | รัฐบาล | รัฐบาลเก้าอี้ดนตรี | ในระยะเวลาสั้น ๆ ของปี 2537 มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีถึง 2 ครั้งในช่วงเวลาที่ห่างกันไม่มากนัก โดยในการปรับแต่ละครั้งนั้น มักหนีไม่พ้นเรื่องการแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรีกัน แม้กระทั่งกรณีการดึงพรรคฝ่ายค้านมาเข้าร่วมรัฐบาล ก็ปรากฏว่าพรรคการเมืองในซีกของฝ่ายค้านต่างพากันจ้องที่จะเสียบแทนที่พรรคความหวังใหม่
ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาความไม่ลงตัวกันขึ้นในรัฐบาลแต่ละครั้ง ก็เปรียบเสมือน "เสียงดนตรีที่บรรเลงให้คนที่อยู่วงนอก คอยจ้องหาจังหวะเข้ามาช่วงชิงเก้าอี้ที่กำลังจะว่างลง" |
นายชวน หลีกภัย
(นายกรัฐมนตรี) |
- | - | ||
พลตรี จำลอง ศรีเมือง
(รองนายกรัฐมนตรี) |
จอมสร้างภาพ | ที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง ถูกมองว่าสร้างภาพมาโดยตลอด ไม่ว่าจะกรณีการไม่ใช้รถประจำตำแหน่ง หรือการสวมใส่เสื้อม่อฮ่อม เพื่อรักษาไว้ซึ่งภาพลักษณ์ของความสมถะ
ในขณะที่เกิดปัญหาขึ้นภายในพรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่ามีกลุ่ม 23 (น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ, โรจนเสถียร และ พ.อ.วินัย สมพงษ์) ที่เป็นเสมือนหอกข้างแคร่ แต่ท่านก็พยายามบอกกับสังคมว่า "ไม่มีอะไร..." รวมทั้งการสร้างกฎเหล็กขึ้นมาบังคับลูกพรรคให้เข้าประชุมตรงต่อเวลา แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนปฏิบัติตามได้ โดยเฉพาะตัวของท่านเอง | ||
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน
(รองนายกรัฐมนตรี) |
กันชนสายเสมอ | นายบัญญัติ มักทำหน้าที่เป็นด่านหน้ารอรับปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้าใส่รัฐบาล ด้วยการคอยชี้แจงทำความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้กระแสของความรุนแรงเบาบางลง เปรียบเสมือนกันชนรถยนต์
ส่วนคำว่า "สายเสมอ" มาจากการปฏิบัติภารกิจในหน้าที่ ไม่ว่าการประชุม ครม. หรือการได้รับเชิญไปเปิดงานต่าง ๆ นายบัญญัติก็มักเดินทางไปสายอยู่เป็นประจำ ทั้งนี้ก็เพราะการเดินทางของท่านไม่มีขบวนรถของตำรวจนำหน้า เพื่อเคลียร์เส้นทางการจราจรเหมือนกับ รมต.ท่านอื่น ๆ | ||
นายศุภชัย พานิชภักดิ์
(รองนายกรัฐมนตรี) |
เหนือคำบรรยาย | เพราะผลงานในอดีตที่ยอมรับโดยทั่วไป โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะสั่นคลอนเพียงใด นายศุภชัยก็ไม่เคยนำมาเป็นแรงกดดันในการทำงาน ตรงกันข้ามกับพร้อมทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติตลอดเวลา รวมทั้งการเดินหน้าในโครงการเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ อีกหลายโครงการ | ||
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
ขงเบ้งตะกายดาว | พล.อ.ชวลิต เคยได้รับสมญานามว่า "ขงเบ้ง" ประกอบกับมีเป้าหมายทางการเมืองด้วยการเดินทางไกลหาเสียงให้กับลูกพรรคถึง 200,000 กิโลเมตร เพื่อต้องการให้พรรคความหวังใหม่ของตนได้รับเสียงข้างมาก เข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและตนก็จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่การเดินทางครั้งนี้กลับไม่ประสบความสำเร็จ เปรียบเสมือน "ผู้พยายามตะกายดาวหวังไขว้คว้าในสิ่งที่ตนเองวาดหวังเอาไว้" | ||
นาวาอากาศตรี ประสงค์ สุ่นศิริ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) |
พ่อมดหมดฤทธิ์ | ด้วยภาพลักษณ์และบุคลิกที่ลึกลับ จนถูกกล่าวหาว่าเป็น "ซีไอเอเมืองไทย" หลายคนจึงมอง น.ต.ประสงค์ ด้วยความกลัวที่ว่าการพูดหรือการปฏิบัติอะไรต้องมีเงื่อนงำซ่อนเร้น โดยเฉพาะที่ผ่านมา น.ต.ประสงค์ สามารถนำเอาข้อมูลลับหลายเรื่องมาใช้เล่นงานโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ
และแม้ภายหลังจะหลุดจากตำแหน่ง รมต. และพ้นจากรัฐบาลไปแล้ว ท่านก็ยังคงแสดงออกซึ่งบทบาททางการเมืองเหมือนเช่นเคย แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากเท่าที่ควร คล้ายกับ "พ่อมดที่สิ้นฤทธิ์เดช" | ||
นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
สุภาพบุรุษจำยอม | ผลงานตลอดปีของนายนิพนธ์ที่ไม่ค่อยโดดเด่น แถมยังต้องแบกรับกับปัญหา ส.ป.ก. 4-01 ต่อจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์) ที่ลาออกไป จนเจ้าตัวไม่สามารถทนทานต่อกระแสแรงกดดันได้ ทำให้ต้องจำยอมสวมบทบาทความเป็นสุภาพบุรุษสละตำแหน่งตามนายสุเทพไปอีกคน | ||
นายอุทัย พิมพ์ใจชน
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
โบนัสสีทอง | นายอุทัย กลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่ถูกหนุ่มสติเฟื่องบุกเข้าไปให้ของขวัญอันไม่พึงปรารถนา (อุจจาระ) ถึงตึกกระทรวง ถือว่าเป็นโบนัสสีทองที่เจ้าตัวคงต้องจดจำไปตลอดชีวิต จนมิอาจลืมเลือนได้ง่าย ๆ | ||
พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
รมต. ฉก. | เมื่อครั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เคยตั้งหน่วยเฉพาะกิจ (ฉก.) ขึ้นมาทำงานแทนจนถูกมองว่าเจ้ากระทรวงทำงานไม่เป็น ในขณะที่หน่วยเฉพาะกิจชุดดังกล่าวก็ไม่สามารถทำงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ และเมื่อเข้ามารับตำแหน่งเจ้ากระทรวงมหาดไทย แทนพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ถูกปรับออกจากตำแหน่ง ก็สร้างความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง จากกรณีมีแนวความคิดที่จะจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้นอีกหลายชุด จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา ในท้ายที่สุดก็ต้องเปลี่ยนชื่อหน่วยเพื่อไม่ให้เป็นที่แสลงแคลงใจประชาชน | ||
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
เทพสะท้าน ป่าสะเทือน | จากปัญหานโยบายการปฏิรูปที่ดินในการออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 ที่ส่งผลให้นายสุเทพ ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่ง รมต. ทำให้นโยบายได้รับผลกระทบ จนต้องมีการทบทวนวิธีการดำเนินการในการออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 | ||
นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม) |
หวานแต่เจ็บ | เพราะความเป็นนักการเมืองหญิงที่เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในพรรคพลังธรรมของตน ก็สามารถแปรเปลี่ยนความหวานเป็นความดุดันเข้าห่ำหั่นใส่เหล่าผู้อาวุโสทางการเมืองชนิดตั้งรับกันแทบไม่ทัน | ||
วาทะแห่งปี | "เฮงซวย" | วาทะของ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง) และ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ (รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย)
รมต.หลาย ๆ คนนำวาทะหรือคำอุทานนี้มาใช้ เริ่มจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ได้กล่าวคำนี้ข้ามประเทศมาจากเวียดนาม เพื่อสื่อสารโดยตรงถึง ส.ว.ที่ลงมติคว่ำร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลในวาระที่ 1 ต่อมาคำพูดนี้ได้หลุดออกจากปากของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2537 จากการให้สัมภาษณ์นักข่าวภายหลังการเป็นประธานเปิดโครงการถนนสีเขียวที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดนนทบุรีกับกรุงเทพมหานคร โดยนักข่าวในวันนั้นได้ถาม พล.อ.ชวลิต ว่า "การที่ท่านไม่ไปหารือกับวิปรัฐบาล เหมือนกับเป็นการไม่ให้เกียรติหรือไม่" พล.อ.ชวลิต ก็ตอบว่า "การที่ผมไม่ได้เข้าร่วมหารือกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ไม่ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ เมื่อสั่งผมไปพบวิป ผมก็ไปพบ เมื่อมีการนัดหมายหารือกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ผมก็ไปรอพบ แต่ไม่เห็นมีพรรคไหนมาแม้แต่พรรคเดียว หรือว่าจะมาเรียกผมไปก็ไม่มี และเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผมก็ไปรอพบตั้งแต่ 09.00 น. แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่หัวเดียว จนกระทั่งเวลา 16.00 น. ผมได้เดินทางไปทำพิธีขลิบผมเพื่อทำพิธีบวชนาคที่เยาวราช ซึ่งขณะนั้นก็มีการเรียกผมเข้าพบ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเรียกในช่วงนั้นทุกที ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร พอไปถึงแทนที่จะได้พบทั้ง 5 พรรคร่วมรัฐบาล แต่กับพบแต่ท่านนายกฯ เพียงคนเดียว" "เมื่อวานนี้ก็เช่นเดียวกัน อยุ่ดี ๆ ก็เรียกผมเข้าพบในขณะที่ผมกำลังทำพิธีวันสิ้นพระชนม์กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นพิธีของกระทรวงมหาดไทย ผมจะมาพบได้อย่างไร ใครไม่ให้เกียรติใครกันแน่ ผมอยากจะถามว่าใครอดทนมากกว่ากัน หรืออยากเห็นผมไม่อดทนหรือไม่ สำหรับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ผมเห็นว่า...ไม่ได้เรื่อง เฮงซวย ไม่เข้าท่า" |
ฉายารัฐบาลฯ ประจำปี 2538-2542
แก้ปี | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ | ฉายาและวาทะแห่งปี | ความหมายหรือที่มา | |
---|---|---|---|---|
พ.ศ.2538 | 51 | รัฐบาล | รัฐบาลต่างตอบแทน | เนื่องจากรัฐบาลได้อ้างอาญาสิทธิ์จากประชาชนเข้ามาทำการจัดตั้งรัฐบาลโดยแบ่งสรรโควตา รัฐมนตรี และงานที่รับผิดชอบกันภายใน 7 พรรคร่วมรัฐบาล เหมือนการแบ่งสัมปทานประเทศ ซ้ำยังเมินเฉยต่อกระแสเรียกร้องของสังคมที่ต้องการให้ปรับรัฐมนตรีประเภท "ยี้" หรือก็คือรัฐมนตรีผู้ไม่เป็นที่พึงประสงค์ให้ปรับออกจากคณะ
สะท้อนให้เห็นภาพการทำงานของรัฐบาลที่มุ่งสานผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองมากกว่าประโยชน์ของประชาชน |
นายบรรหาร ศิลปอาชา
(นายกรัฐมนตรี) |
หลงจู๊เสียศูนย์ | เนื่องจากลักษณะการทำงานแบบเถ้าแก่บริษัท ไม่ค่อยมีหลักการในการบริหารประเทศ อีกทั้งในส่วนของมติคณะรัฐมนตรีที่ออกมานั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงกันง่ายดายราวกับว่าเป็นการเล่นขายของ รวมทั้งไม่สามารถควบคุมการบริหารงานตลอดจนพรรคร่วมรัฐบาลและลูกพรรคชาติไทยได้
คำว่า "หลงจู๊" เป็นคำจีนสยาม ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้จัดการ" ในกิจการใดกิจการหนึ่ง ในบริบทของสังคมสมัยก่อนหลงจู๊มีหน้าที่กำกับดูแลแทบทุกเรื่องในกิจการนั้น ๆ แต่ในปัจจุบันสภาพของสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้ผู้ที่เป็นหลงจู๊ต้องปรับเปลี่ยนลดบทบาทของการกำกับดูแลเรื่องต่าง ๆ ทุกเรื่อง รวมทั้งการเข้าไปล้วงลูกก็ลดลงตามไปด้วย เมื่อคำนี้ถูกนำมาใช้ตั้งฉายา จึงมีความหมายเชิงเสียดสีถึงลักษณะการบริหารงานว่าเข้าข่าย "หลงจู๊" กล่าวคือ นายบรรหารเข้าไปล้วงลูกการทำงานของลูกพรรคตนเอง | ||
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
(รองนายกรัฐมนตรี) |
หน้ากากเทวดา | พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ที่มีแบบฉบับของบุคลิกและการทำงานต่างจากพลตรี จำลอง ศรีเมือง อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม โดยเน้นการสร้างภาพที่ดีให้กับตนเองและพรรคเพื่อให้คนกรุงเทพฯ มองเขาเหมือนกับเป็นเทวดาผู้มีบทบาทอันโดดเด่นอยู่เพียงคนเดียว ในขณะที่หลังฉากนั้นยังมีข้อเคลือบแคลงสงสัยในธุรกิจส่วนตัวของเขา | ||
นายสมัคร สุนทรเวช
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ไดโนเสาร์ติดหล่ม | นายสมัคร ถูกมองว่าเป็นผู้ที่เล่นการเมืองมายาวนานประมาณ 20 ปีแล้ว แต่ยังมีพฤติกรรมการทุบกระจกเล่นบทบาทอนุรักษนิยม มักจะทะเลาะกับสื่อมวลชน รวมทั้งไม่ยอมเปลี่ยนแนวความคิดและพฤติกรรมของตน | ||
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
คลื่นใต้น้ำ | พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ที่พยายามดำเนินบทบาททางการเมืองอย่างเงียบ ๆ มีการสั่งสมบารมี การเตรียมความพร้อม และการจัดขบวนทัพใหม่เพื่อให้สามารถบรรลุความใฝ่ฝันอันสูงสุดในชีวิต คือ "ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" จึงทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความหวาดระแวงในความซุ่มเงียบ ซึ่งเปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำที่รอวันโผล่ขึ้นมาประกาศศักดาเหนือพื้นผิวน้ำ | ||
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
วิญญูชนจอมปลอม | นายสุรเกียรติ์ เป็นผู้ที่ย้ำอยู่เสมอว่าตนเองเป็นนักวิชาการ หวังจะเข้ามาทำงานเพื่อช่วยให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลดีขึ้น แต่กลับกล่าวหาสังคมไร้สติ อีกทั้งมีพฤติกรรมเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะการถูกกล่าวหาว่าใช้วิชาการที่ร่ำเรียนมาเป็นประโยชน์ในอาชีพนายหน้า
ในขณะที่ไม่แสดงความรับผิดชอบหรือเคลียร์ปัญหาใด ๆ ทว่ากลับใช้อำนาจสั่งปลดรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกจากตำแหน่ง โดยอ้างว่ามีหลักฐานการกระทำความผิด แต่ไม่ยอมแสดงหลักฐานดังกล่าวให้สังคมประจักษ์ นอกจากนั้นพฤติกรรมการอัดฉีดเม็ดเงิน 30,000 ล้านบาท เข้าตลาดหุ้น ก็เป็นการแก้ปัญหาโดยไม่ตั้งสติให้ดีเสียก่อน | ||
นายมนตรี พงษ์พานิช
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
นักรื้อจอมล้วง | เพราะการกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในครั้งนี้ นายมนตรีมีพฤติกรรมอันโดดเด่น คือเป็นผู้ที่รื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่ากรณีเรื่องการประมูลปุ๋ย การเปลี่ยนแปลงจัดสรรงบประมาณ การรื้อบอร์ดการไฟฟ้าฝ่ายผลิต การรื้อบอร์ดการท่าอากาศยาน รวมไปถึงการออกคำสั่งย้ายข้าราชการในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | ||
นายชูชีพ หาญสวัสดิ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
ลาดื้อ | นายชูชีพ เป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ความสามารถทางด้านนี้โดยตรง แต่กลับดื้อรั้นไม่ยอมฟังเสียงทักท้วงจากผู้ใด ยกตัวอย่าง กรณีการแต่งตั้งปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรณีการดันทุรังคงไว้ซึ่งโควตามันสำปะหลังโดยไม่สามารถอธิบายเหตุผลให้เป็นที่ยอมรับได้ เป็นต้น | ||
ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม) |
จอมวางยา | เพราะการทำหน้าที่เหมือนกับเป็นสายลับในรัฐบาลและช่วยเหลือนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบทบาทเดียวกันกับสมัยที่อยู่ร่วมรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ บทบาทอันโดดเด่น คือ การออกมาตอบโต้หัวหน้าพรรคพลังธรรมที่กำลังเขย่าบัลลังก์ของรัฐบาล ด้วยการวางยาหลอกล่อให้คนอื่นตกหลุมพราง | ||
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
จิ้งจกเปลี่ยนสี | เนื่องจากเคยเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลพลเอกสุจินดา และรัฐบาลนายชวน แต่พอเข้ามาร่วมทำงานกับรัฐบาลนายบรรหาร กลับไม่แยแสต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ลืมคำที่ตนเองเคยประกาศไว้ว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคชาติไทย โต้ตอบองค์กรประชาธิปไตยที่เคยร่วมต่อสู้เคียงบ่าไหล่กันมา และไม่มีผลงานด้านการปราบปรามน้ำมันเถื่อนปรากฏให้เห็นชัดเจนดังเช่นที่ได้คุยไว้ก่อนหน้าที่จะมารับตำแหน่ง | ||
นายเนวิน ชิดชอบ
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง) |
ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ | มาจากความหมายของคำ 3 คำรวมกัน คือ "ยี่" "ห้อย" และ "ร้อยยี่สิบ"
ในส่วนของคำว่า "ยี้" นั้น เป็นคำบ่งบอกพฤติกรรมในอดีตของนายเนวินที่ไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากคนในสังคมส่วนหนึ่งมากเท่าใดนัก ซึ่งพอเวลาผู้คนเหล่านั้นได้ยินชื่อของนายเนวิน ก็จะออกอาการยี้ขึ้นมาทันทีทันใด ส่วนคำว่า "ห้อย" เป็นการล้อเลียนถึงลักษณะรูปปากของนายเนวิน และคำว่า "ร้อยยี่สิบ" เป็นเรื่องราววิบากกรรมของนายเนวินที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2538 กรณีนายนฤดล และนางประภาพร ศิริพานิช เตรียมการซื้อเสียงให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งคนหนึ่งของทีมนายเนวิน ชิดชอบ โดยตำรวจชุดเฉพาะกิจพบธนบัตรใบละ 100 บาท และใบละ 20 บาท เย็บติดกันเป็นชุด ๆ รวมเป็นเงิน 11,399,900 บาท | ||
วาทะแห่งปี | "ผมจะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง" | วาทะของ นายบรรหาร ศิลปอาชา (นายกรัฐมนตรี)
คำพูดสัญญาประชาคมที่เคยให้ไว้กับประชาชนทั้งประเทศในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ปี 2538 แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นไปตามสิ่งที่ท่านตั้งใจไว้ว่าจะให้ทุกอย่างเป็นไปตามคำพูดนั้น | ||
พ.ศ.2539 | 52 | งดตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เนื่องจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2539 เพื่อรอการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 17 พฤจิกายน พ.ศ. 2539 ก่อนจะมีการประกาศพระบรมราชโองการ วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 แต่งตั้งพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลชี้แจงว่า "รัฐบาลชุดดังกล่าว เพิ่งเข้ามาทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ จึงไม่อาจสะท้อนภาพการทำงานของรัฐบาลได้มากนัก จึงมีมติงดตั้งฉายาฯ" | ||
พ.ศ.2540 | 53 | งดตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เนื่องจากพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีประกาศลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 จากกรณีวิฤกติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ก่อนจะมีการลงมติเลือกผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก่อนจะมีการประกาศพระบรมราชโองการ วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 แต่งตั้งนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลชี้แจงว่า "รัฐบาลชุดดังกล่าว เพิ่งเข้ามาทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ จึงไม่อาจสะท้อนภาพการทำงานของรัฐบาลได้มากนัก จึงมีมติงดตั้งฉายาฯ" | ||
พ.ศ.2541 | 53 | รัฐบาล | อัศวินม้าไม้ | รัฐบาลชวน หลีกภัย เข้ามาบริหารประเทศต่อจากรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงจยุทธ ด้วยเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.ในสภาและประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้เข้ามาช่วยแก้ไขวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศชาติในขณะนั้น ท่ามกลางความคาดหวังของคนทั้งประเทศ ดังนั้นตัวของผู้นำจึงเปรียบเสมือน "อัศวินขี่ม้าขาว" ที่เข้ามาช่วยกอบกู้เศรษฐกิจให้ฟื้นคืนกลับมาดีดังเดิม
ทว่าการบริหารงานหนึ่งปีที่ผ่านมา นอกจากจะไม่คืบหน้าแล้ว ยังมีปัญหาเกิดขึ้นมากมายในรัฐบาลโดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและการบริหารงานที่ผิดพลาด ทำให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไม่ได้เป็นอัศวินที่แท้จริง หรือหากเป็นอัศวินก็เป็นได้แค่เพียง "อัศวินม้าไม้ที่ไม่มีชีวิต" ไม่ใช่อัศวินม้าขาวอย่างที่หลายคนเข้าใจและตั้งความหวังไว้ในครั้งแรก |
นายชวน หลีกภัย
(นายกรัฐมนตรี) |
ช่างทาสี | เนื่องจากเป็นการกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สอง นับเป็นความยุ่งยากพอสมควร เพราะว่ากว่าจะได้มาซึ่งตำแหน่ง นายชวนต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำหลาย ๆ อย่าง ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าทิ้งหลักการเพื่อตนเอง อาทิ การนำเอาคนที่ตนเองเคยกล่าวหามาร่วมรัฐบาลแล้วบอกว่าเป็นคนดี ใครก็ตามที่มีพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชัน เมื่อมาอยู่ข้างนายชวน ก็จะกลับกลายเป็นคนดี ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็จะกลายเป็นคนเลวไปในพริบตา
เปรียบเสมือน "ช่างทาสี" ที่เลือกจะทาสีขาวให้กับพรรคพวกตนเองและทาสีดำให้กับผู้อื่น ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการบริหารงานส่วนอื่น ๆ ที่ฉาบด้วยสีสดใส ทำให้ผู้คนมองเห็นแต่ภาพภายนอกที่สวยงาม แต่ที่สุดแล้วไม่ว่าจะทาด้วยสีอะไรก็ตาม เนื้อแท้ข้างในซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีมันก็ยังคงไม่ดีอยู่วันยันค่ำ | ||
นายศุภชัย พานิชภักดิ์
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
อาทิตย์ผิดฟ้า | ถึงแม้นายกรัฐมนตรีจะวางตัวนายศุภชัยให้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจคู่กับนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ทว่าภาพที่ออกมานั้นปรากฏว่านายชวนให้น้ำหนักหรือสนับสนุนยกย่องนายธารินทร์มากกว่า ทำให้ความสามารถของนายศุภชัยที่เคยได้มีโอกาสก้าวขึ้นสู่เวทีระดับโลก ในฐานะผู้ชิงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (World Trade Organization) ถูกมองว่าไม่ได้รับการนำมาใช้งาน เปรียบเสมือน "ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นผิดฟ้า ผิดที่ผิดทางฉันใดก็ฉันนั้น" | ||
พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
ชะลาวันสันหลังหวะ | เพราะตลอดเวลาของการเป็นรัฐมนตรีในช่วงปีเศษ มีแต่เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล มีทั้งเรื่องอื้อฉาวส่วนตัว ครอบครัว ลิ่วล้อ และบริวาร รวมทั้งความบกพร่องในการบริหารงานอันแสดงให้เห็นว่าไม่มีความรู้ความสามารถ แต่ได้ดิบได้ดีเพราะเป็นผู้จัดการรัฐบาล เลยมีอำนาจแต่นำไปใช้ในทางที่ผิด ตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาล ไม้ป่าสาละวิน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) การขึ้นค่าทางด่วน ทัวร์ขยะฝรั่งเศส คดีจ่าสิบตำรวจสุวิทย์ มลธุวัช ไปจนถึงการณีบ้านพักริมเขื่อนศรีนครินทร์
ทำให้ พล.ต.สนั่น เหมือนกับ "คนที่มีบาดแผลอยู่เด็มตัว สะกิดตรงไหนก็โดนแผล" เฉกเช่น "วัวสันหลังหวะ" และเนื่องจาก พล.ต.สนั่น เป็น ส.ส.จากจังหวัดพิจิตร ซึ่งจังหวัดพิจิตรมีสมญานามว่า "จังหวัดชาละวัน" | ||
คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
ฉุยฉาย | ด้วยเพราะงานภายใต้การกำกับดูแลส่วนใหญ่ถือเป็นหน้าเป็นตาของรัฐบาล อาทิ โครงการไทยช่วยไทย องค์การสวนสัตว์ กรมประชาสัมพันธ์ องค์การสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ไม่ค่อยมีความคืบหน้ามากเท่าใดนักในรอบปีที่ผ่านมา อีกทั้งเวลามีปัญหาอะไร คุณหญิงสุพัตราก็มักทำหน้าตาเหรอหรา ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง ถึงภาระงานจะเยอะแต่ก็ทำงานแบบฉาบฉวย เปรียบเสมือน "นางรำฉุยฉาย" รำเบิกโรงคณะรัฐมนตรี เสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน | ||
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
สาระแนหน้าจอ | เนื่องจากพฤติกรรมที่ผู้คนมองว่า "คอยเสนอหน้าไปเสียแทบทุกเรื่อง" ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายให้ทำงานอะไร จะต้องให้สื่อมวลชนโดยเฉพาะสาขาโทรทัศน์ทำข่าวสารประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าข่าวนั้นจะสำคัญหรือไม่ก็ตาม ขณะที่งานในหน้าที่เช่นงานเก่าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรืองานปัจจุบัน อาทิ เรื่องยาเสพติด ประธานวิปรัฐบาล (ประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร) และการเตรียมความพร้อมในฐานะประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาเอเชียนเกมส์ 1998 ครั้งที่ 13 นายจุรินทร์มักจดจ่ออยู่กับการแถลงข่าวออกทีวีมากกว่า บางครั้งแถลงเรื่องหนึ่งได้ข่าวอีกเรื่องหนึ่งก็เอา | ||
นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
นักกู้สิบทิศ | นายธารินทร์ คือขุนคลังคู่บารมีของนายกรัฐมนตรีจนถูกยกย่องให้เป็นมืออาชีพ แต่พอเข้ามาบริหารงานจริง ๆ แนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจกลับไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร ผลงานไม่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม คนส่วนใหญ่เลยมองว่างานหลักของนายธารินทร์คือ "การกู้เงิน"
ไม่ว่าจะกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) จำนวน 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐ การกู้เงินกับธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) กองทุนมิยาซาวา กองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลแห่งญี่ปุ่น และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น ล้วนแล้วแต่เป็นการกู้เพื่อสร้างหนี้สินให้กับคนไทยแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าอยู่ใกล้หรือไกลนายธารินทร์ก็จะบากหน้าไปขอกู้เขาลูกเดียว เช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น "การกู้หนี้เพื่อนำมาใช้หนี้" | ||
นายปองพล อดิเรกสาร
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
หนังใหญ่เมืองสุพรรณ | เนื่องจากนายปองพลถูกนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ชักใยอยู่เบื้องหลังแทบทุกเรื่อง เหมือน "หนังใหญ่" ที่ทำอะไรไม่เป็น ปล่อยให้นายบรรหาร ณ สุพรรณ ครอบงำการทำงานแทบทุกอย่าง | ||
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
กล่องดำนายหัว | เมื่อใดที่นายสุเทพตกเป็นข่าวในทางที่ไม่ค่อยดี ก็จะเห็นภาพของนายกรัฐมนตรีออกมาพูดปกป้องแทบทุกครั้ง ทำให้หลายคนสงสัยในสัมพันธภาพระหว่างบุคคลทั้งสอง ว่าแต่ละคนต่างเก็บงำความลับซึ่งกันและกันไว้หรือไม่ ซึ่งไม่มีใครทราบได้ แต่ที่แน่ ๆ คือนายสุเทพมีความสำคัญต่อนายกรัฐมนตรีมากกว่าใครในพรรคประชาธิปัตย์ ถึงขนาดนายกฯ ยอมปล่อยให้รัฐบาลชวน 1 ล้มเพื่อปกป้องนายสุเทพ จากกรณี ส.ป.ก. 4-01 อันอื้อฉาว
มาในคราวนี้ (สมับรัฐบาลชวน 2) ก็ยกตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมให้อีก จึงเปรียบนายสุเทพว่าเป็นเสมือน "กล่องดำ" ที่เก็บงำความลับทุกอย่างของนายหัว อย่าง "นายชวน หลีกภัย (นายกรัฐมนตรี)" เอาไว้ | ||
นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง) |
โกลบอล (ปาก) บอน | นับได้ว่าเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะขยับจากตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก้าวพรวดพราดติดจรวดขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งที่เจ้าตัวเรียนจบด้านกฎหมายและประกอบอาชีพทนายความ แต่เพราะมีปากเป็กเอก ชอบเป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล จึงสร้างศัตรูให้แก่รัฐบาลบ่อยครั้ง และก็ปากอีกนั่นแหละที่เคยกล่าวหาฝ่ายค้านว่า "ถ่วงพระราชกำหนดว่าด้วยการออกพันธบัตรโกลบอลบอนด์ของรัฐบาล"
ซึ่งหากการออกกฎหมายดังกล่าวล่าช้า จะทำให้ประเทศเสียหายนาทีละ 280,000 บาท ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดนั้น ทำให้ฝ่ายค้านเกิดความหมั่นไส้ อันนำมาซึ่งความพยายามในการขัดขวางกฎหมายของรัฐบาลเกือบทุกฉบับ ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง นายพิเชษฐมักใช้คำปากเป็นอาวุธทิ่มแทงตอบโต้ จะผิดจะถูกไม่สนใจ ขอให้มันปากเป็นพอ | ||
นายวัฒนา อัศวเหม
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
เจ้าพ่ออสรพิษ | ด้วยความที่เคยถูกขนานนามว่าเป็น "เจ้าพ่อปากน้ำ" ครั้นมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ถูกมอบหมายงานให้ดูแลเรื่องปัญหาแรงงาน แม้ว่าชีวิตทางการเมืองต้องเผชิญกับมรสุมหลายลูก แต่ก็ไม่สิ้นลายผู้ทรอิทธิพล กรณียกพวก 12 คนออกจากพรรคประชากรไทย เพื่อสนับสนุนนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย ตอกหน้าว่าเป็น "งูเห่าสารพัดพิษ"
ต่อมานายวัฒนาก็สามารถขอเก้าอี้รัฐมนตรีได้ถึง 4 ตำแหน่ง แถมตนเองยังได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ขนาดถูกร้องว่า "เข้าไปมีส่วนในกรณีของการเลือกตั้งโคตรโกงที่ปากน้ำ ก็ยังไม่มีใครทำอะไรได้" ล่าสุดแผ่แม่เบี้ยให้การปกป้องดูแลนายพูลผล อัศวเหม ส.ส.จังหวัดสมุทรปราการ และเป็นลูกชายแท้ ๆ ของตนเองที่ไปก่อเหตุขับรถชนตำรวจจราจรจนได้รับบาดเจ็บ ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความเป็น "เจ้าพ่ออสรพิษ" ที่ไม่ใช่อสรพิษธรรมดา ๆ ทั่วไป | ||
วาทะแห่งปี | "ปัญหานี้สืบเนื่องจากรัฐบาลชุดที่แล้ว" | วาทะของ นายชวน หลีกภัย (นายกรัฐมนตรี)
เกือบทุกครั้งที่รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความบกพร่องในการบริหารงาน หรือทุกครั้งที่รัฐบาลไม่สามารถตอบชี้แจงต่อกรณีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ นายกรัฐมนตรีก็มักจะโยนความผิดไปให้รัฐบาลชุดก่อน ๆ เช่นนี้ถือว่าเข้าข่ายการปัดสวะให้พ้นตัว | ||
พ.ศ.2542 | 53 | รัฐบาล | รัฐบาลชวนเชื่อ | เนื่องจากการเข้ามาบริหารประเทศในช่วง 2 ปีเศษ ๆ ภาพของรัฐบาลมักใช้ภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีมาเป็นจุดขาย มีการใช้กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบเพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความสำเร็จในการแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยเฉพาะการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ในขณะที่ข้อมูลที่รัฐบาลนำเสนอออกไปสู่สาธารณชนส่วนใหญ่ มักเป็นข้อมูลในด้านดีที่เป็นผลดีต่อรัฐบาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าปัญหาบางเรื่องได้รับการเข้าไปแก้ไข ก็ยังมีปัญหาอื่นเกิดขึ้นตามมาอยู่ตลอดเวลา
จึงเปรียบเสมือนกับเป็นการเพิ่มปัญหามากกว่าการแก้ปัญหา ซึ่งรัฐบาลยังคงเชื่อมั่นว่าวาทะของนายกรัฐมนตรีจะสามารถโน้มน้าวให้ประชาชนเชื่อถือได้ นอกจากนั้นแล้วในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล ก็มีพฤติกรรมการทุจริตประพฤติมิชอบ มีการใช้อำนาจไปในทางที่ผิด มีการปกป้องพวกพ้องของตนเอง และการกระทำในลักษณะสวนกระแสสังคมอย่างรุนแรง แต่รัฐบาลสามารถเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง โดยมีนายกรัฐมนตรีออกมาให้การรับรอง ซึ่งเปรียบเสมือนกับ "การโฆษณาชวนเชื่อ" |
นายชวน หลีกภัย
(นายกรัฐมนตรี) |
นายประกันชั้น 1 | เนื่องจากรัฐบาลมักนำเอาคุณสมบัติของนายชวนว่าด้วยเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต มาเป็นเครื่องรับรองหรือการันตีรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลถูกฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ที่แม้ว่ารัฐมนตรีบางคนจะไม่สามารถชี้แจงเหตุผลหรือแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างชัดเจน และบางคนถึงขนาดตอบไม่ได้หรืออ้างเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น แต่นายกฯ ก็สามารถใช้ความเชี่ยวชาญในการตอบโต้ในเวทีสภามาช่วยให้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านเบาลง
และที่ผ่านมานายกฯ ก็ไม่เคยใช้บทบาทในฐานะผู้บริหารสูงสุดออกมาพูดกำราบหรือปรามรัฐมนตรีที่เหลิงอำนาจ เช่น กรณีการทุจริตการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ หรือแม้แต่กรณีบ้าน 3 หลัง และกรณีซีดีเถื่อน | ||
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ตลกหลวง | แม้ว่าจะได้รับมอบหมายให้มีส่วนดูแลงานด้านเศรษฐกิจและได้รับความไว้วางใจจากนายกฯ ให้เป็นผู้ทำหน้าที่ในการช่วยชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่แทนที่จะกล่าวชี้แจงอย่างจริงจังในเนื้อหาสาระ นายไตรรงค์กลับใช้ลีลาปล่อยมุกตลกโปกฮาทำให้เรื่องราวที่เป็นสาระ กลายเป็นเรื่องไร้สาระโดยสิ้นเชิง | ||
พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
มาเฟียเสียฟอร์ม | ถูกมองว่ามีพฤติกรรมเหมือนกับเจ้าพ่อที่มีบริวารอยู่ล้อมรอบ เมื่อมีการกระทำความผิดหรือใช้อำนาจส่อไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของตนเองหรือบรรดาเหล่าลูกน้อง พล.ต.สนั่น ก็พยายามที่จะปกปิดพฤติกรรมเหล่านั้น ซึ่งในที่สุดแล้วก็ไม่สามารถปกปิดได้มิด หลายเรื่องถูกนำมาเปิดเผยหรือตีแผ่ต่อการรับรู้ของสาธารณชน ไม่ว่าจะกรณีเรื่องบ้าน 3 หลังในบริเวณพื้นที่เขื่อนศรีนครินทร์ เรื่องนายอุลริค โวล์ฟกัง เรื่องซีดีเถื่อน และเรื่องการปกปิดบัญชีทรัพย์สินในรูปของการกู้ยืมเงิน | ||
คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
ตุ๊กตาทองเค | เพราะคุณหญิงสุพัตราเป็นรัฐมนตรีหญิงเพียงคนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้รับการส่งเสริมให้กำกับดูแลงานสำคัญ ๆ หลายอย่าง อาทิ เป็นประธานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารทางวิชาการ เป็นกรรมการนโยบายสังคมแห่งชาติ เป็นผู้ควบคุมดูแลสื่อของรัฐบาลทั้งหมด แต่ปรากฏว่างานทุกอย่างที่อยู่ในความดูแลกลับไม่มีผลงานเป็นรูปธรรมชัดเจน
ขณะเดียวกันมีการใช้อำนาจเข้าไปแทรกแซงโดยคุณหญิงสุพัตราก็มักออกมาปฏิเสธเสมอ ๆ ไม่ยอมรับในพฤติกรรมดังกล่าวด้วยสีหน้าและท่าทางที่สมจริงสมจัง ประหนึ่งว่าเป็น "นักแสดงมืออาชีพที่มีรางวัลตุ๊กตาทองเป็นเครื่องการันตี แต่ทว่าผลงานที่ปรากฏกลับทำให้ตุ๊กตาทองที่ได้รับเป็นได้แค่ตุ๊กตาทองเค ไม่ใช่ตุ๊กตาทองคำ" | ||
นางปวีณา หงสกุล
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
แม่พระผิดโบสถ์ | เนื่องจากเป็นผู้ที่มีภาพลักษณ์ของความเป็นแม่พระ คอยให้ความช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกข่มเหงรังแก แต่สำหรับเรื่องหน้าที่การงานด้านการท่องเที่ยวที่ต้องสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ และกำหนดนโยบายอันเป็นกลยุทธ์เพื่อดึงดูดเงินตราเข้าประเทศ นางปวีณากลับติดอยู่กับบทบาทเดิม ๆ ส่งผลให้งานด้านการท่องเที่ยวไม่ค่อยคืบหน้าเท่าที่ควร เปรียบเสมือนการทำงานที่ผิดที่ผิดทาง | ||
นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
คนขายฝัน | การเข้ามาเป็นขุนคลังได้ก็เพราะนายกฯ ให้ความเชื่อถือในฝีมือ แต่เมื่อเข้ามาบริหารงานในหน้าที่ หลักสำคัญคือการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจ กลับสร้างความผิดหวังให้หลาย ๆ คนที่เฝ้ามองอยู่ แม้นายธารินทร์จะพยายามออกมาตรการต่าง ๆ ทั้งมาตรการ 14 สิงหาคม มาตรการ 4 เมษายน รวมทั้งมาตรการอื่น ๆ เพื่อขายแนวความคิดหรือขายฝัน อันจะทำให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นแนวทางที่สามารถทำให้สภาพทางเศรษฐกิจฟื้นตัวได้
จนนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจการเงินการคลังจะคอยให้คำชี้แนะอยู่ตลอด นายธารินทร์ก็ยังยืนยันในแนวคิดของตนเอง โดยพยายามบอกอยู่เสมอว่า "สิ่งเหล่านั้น กำลังทำอยู่แล้ว" ทว่าก็ไม่มีความชัดเจนปรากฏออกมาให้เห็นแต่อย่างใด | ||
นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) |
หางเครื่องลุงแซม | เนื่องจากถูกมองว่าการทำงานที่ผ่านมามักคล้อยตามการชี้นำของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือที่รู้จักกันในนามของ "เมืองลุงแซม" มาโดยตลอด จนทำให้ดูเหมือนว่าประเทศไทยไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งบางครั้งได้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่น กรณีความพยายามในการผลักดันนโยบายสัมพันธ์แบบยืดหยุ่นในกลุ่มประเทศอาเซียน ความพยายามเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศเมียนมาตามนโยบายของประเทศสหรัฐอเมริกา | ||
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
หอกข้างแคร่ | ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและเลขาธิการพรรคชาติพัฒนา ซึ่งถือว่าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสองที่มีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองสูง นายสุวัจน์จึงถูกมองว่าเป็นคู่แข่งบารมีกับนายกร ทัพพะรังสี หัวหน้าพรรคของตนเอง และเป็นผู้มีบทบาทในคณะรัฐมนตรีที่มักใช้สถานการณ์ต่าง ๆ พลิกผันให้เกิดประโยชน์กับตนเอง
รวมทั้งเป็นรัฐมนตรีคนเดียวที่กล้าลุยกล้าชน ด้วยการแสดงความคิดเห็นสวนทางกับแนวทางของรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ ยกตัวอย่างเช่น กรณีการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองเกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน นายสุวัจน์จึงเป็นเสมือน "หอกข้างแคร่ในรัฐบาล" | ||
นายวัฒนา อัศวเหม
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
อัศว-เหิม | เมื่อได้มาเข้าร่วมรัฐบาลก็สร้างปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง โดยกรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด ก็คือ กรณีทุจริตการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ, กรณีการจัดเลี้ยงโต๊ะจีน แนะนำอดีตลูกน้องให้กับผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงได้รู้จักว่ากำลังจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ว. แถมยังหาเสียงแทนอีกต่างหาก นอกจากนั้นลูกชายทั้งสองคนต่างก็มีพฤติกรรมที่ท้าทายกฎหมาย
ซึ่งที่ผ่านมานายวัฒนามักพูดอย่างภาคภูมิใจว่า "ตระกูลของตนเปรียบเสมือนม้าทอง" แต่พฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกมากลับเป็นการกระทำของม้าที่เหิมเกริม ไม่ใช่ม้าทองอย่างที่กล่าวอ้าง น่าจะเป็น อัศว (ม้า) - เหิม (เกริม) เสียมากกว่า | ||
นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) |
รัฐมนตรีเงาเตี่ย | เพียงแค่ได้เป็น ส.ส.มาแล้ว 2 สมัย ก็ได้รับการผลักดันจากนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ผู้เป็นบิดาให้ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีชนิดวิ่งข้ามหัวผู้มีอาวุโสกว่าของพรรคหลาย ๆ คน ประกอบกับแนวทางการทำงานในกระทรวงก็มีลักษณะเป็นไปตามแนวทางที่นายบรรหารเป็นผู้กำหนด คอยกำกับอยู่เบื้องหลัง เสมือนเป็นเงาที่คอยครอบงำอยู่ตลอดเวลา | ||
วาทะแห่งปี | "ผมไม่ขอโทษ แต่ถ้าทำให้เสียความรู้สึก ผมก็เสียใจ" | วาทะของ นายชวน หลีกภัย (นายกรัฐมนตรี)
ซึ่งวาทะดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากกระแสสังคมส่วนหนึ่งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีกล่าวคำขอโทษต่อประชาชน กรณีที่นายกฯ เตรียมเสนอแต่่งตั้ง "จอมพล ถนอม กิตติขจร" ผู้ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ให้เป็นนายทหารพิเศษรักษาพระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่สวนกระแสความรู้สึกของประชาชนจำนวนมาก แต่ท้ายที่สุดนายกรัฐมนตรีก็กลับใช้วาทะดังกล่าวมาแสดงถึงหลักการของตนเอง ทำให้ดูเสมือนว่า..."สิ่งที่ตนกำลังดำเนินการอยู่นั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว" |
ฉายารัฐบาลฯ ประจำปี 2543-2547
แก้ปี | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ | ฉายาและวาทะแห่งปี | ความหมายหรือที่มา | |
---|---|---|---|---|
พ.ศ.2543 | 53 | งดตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เนื่องจากมีพระราชกฤษฎีกาประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 เพื่อรอการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ทำให้รัฐบาลชุดนี้มีสถานะเป็นรัฐบาลรักษาการ | ||
พ.ศ.2544[1] | 54 | รัฐบาล | บริษัท จำกัด (ไม่มหาชน) | นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีส่วนใหญ่ของรัฐบาลชุดนี้ ล้วนมีที่มาจากการเป็น "ผู้ประสบความสำเร็จในการบริหารบริษัทมหาชน" เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ในการบริหารประเทศชาติ ก็ได้นำเอารูปแบบการบริหารแบบบริษัทมหาชนมาปรับใช้กับการบริหารราชการแผ่นดิน จนเรียกกันว่า "ระบบ CEO"
และเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในกระทรวงต่าง ๆ นายกฯ จะเป็นผู้ที่ลงมาตัดสินใจแก้ไขปัญหาทุกครั้ง นอกจากนั้นแล้วลักษณะของการบริหารก็ไม่อิงรูปแบบตามหลักเกณฑ์เดิม ทำให้เกิดความแปลกใหม่ อย่างไรก็ตาม มีอยู่หลายครั้งหลายกรณีด้วยกันที่รัฐบาลถูกมองว่าไม่ค่อยให้ความสนใจในการรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ และข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย ดังนั้น ลักษณะการบริหารของรัฐบาลจึงเปรียบเสมือนกับ "บริษัท" แต่ไม่มีความเป็นมหาชนเพราะผู้ถือหุ้น (ประชาชน) ไม่มีสิทธิแสดงความคิดเห็น หรือมีสิทธิแสดงความคิดเห็น แต่ไม่ได้รับความสนใจและการตอบสนอง |
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
(นายกรัฐมนตรี) |
เศรษฐีเหลิงลม | เนื่องจากเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวยเข้าขั้นอภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งของเมืองไทย และภายหลังพ้นจากข้อกล่าวหากรณีซุกหุ้นซึ่งส่งผลให้นายกฯ ได้ดำรงตำแหน่งต่อไป ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการบริหารประเทศชาติเป็นรัฐบาล 2 สมัย หรือ 8 ปี
ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเป็นนายกฯ ได้ยังไม่ถึงปี การใช้อำนาจบริหารประเทศก็เป็นไปในลักษณะของความมั่นอกมั่นใจว่าสามารถนำพาประเทศชาติให้พ้นจากภาวะวิกฤติได้ หากนายกฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือติติงเรื่องการบริหาร ก็มักตอบโต้กลับด้วยท่าทีแข็งกร้าวพร้อมกับแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว จนทำให้มีภาพลักษณ์เชื่อมั่นในตัวเอง คล้าย ๆ กับคนที่กำลังเหลิงในอำนาจที่ตนมีอยู่ | ||
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) |
เสือเฒ่าจำศีล | เนื่องจาก พล.อ.ชวลิต เคยตำรงตำแหน่งสูงสุดในกองทัพและนายกฯ มาแล้ว เปรียบเสมือนเสือใหญ่ที่ผ่านสมรภูมิทั้งทางการทหารและการเมืองมาอย่างโชกโชน มาในสมัยรัฐบาลทักษิณ แม้ว่าจะยอมลดตัวเองลงมาดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ทว่ายังคงเป็นเสือเฒ่าทางการเมืองที่มีเขี้ยวเล็บอันน่ากลัว อย่างไรก็ตาม ท่วงท่าการแสดงออกในการอยู่ร่วมกันกับรัฐบาลยังคงสงบนิ่งอยู่ เปรียบเสมือน "เสือเฒ่าจำศีล" นั่นเอง | ||
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
ร่างทรงตึกไทย | นายสมคิดมักเดินทางเข้ามาปรึกษาหารือกับนายกฯ ที่ห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนจะกำหนดออกมาเป็นนโยบายหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาเรื่องต่าง ๆ นอกจากนี้นายสมคิด ยังมักให้สัมภาษณ์กล่าวยกย่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เสมอ ๆ รวมทั้งมักอ้างอิงว่าทิศทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมีที่มาจากแนวความคิดของนายกฯ จึงเปรียบเสมือน "ร่างทรงของนายกฯ หรือร่างทรงตึกไทยคู่ฟ้า" | ||
นายอดิศัย โพธารามิก
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
ขุนนางค้างสต็อก | ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบถึงบุคลิกการทำงานของนายอดิศัย ว่าเหมือนกับขุนนางเก่าที่เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง ถือตนเป็นใหญ่ ทำให้เกิดกรณีปัญหาความขัดแย้งกับข้าราชการระดับสูงในกระทรวง และกรณีไม่สามารถแก้ปัญหาการส่งออกที่ไม่บรรลุเป้าหมายได้ ดังนั้น ท่าทีการทำงานเหมือนขุนนางเก่า จึงไม่สามารถนำมาปรับใช้กับสถานการณ์ในตอนนี้ได้ เช่นเดียวกันกับสินค้าไทยจำนวนมากที่ยังคงค้างสต็อกอยู่ ไม่สามารถส่งออกได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ | ||
ร้อยตํารวจเอก ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
มือปราบสายเดี่ยว | ด้วยภาพลักษณ์ที่ยึดมั่นในหลักการและกฎระเบียบบ้านเมือง ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติงานในหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา จริงจังกับนโยบายการปราบปรามอบายมุข และเน้นการบังคับใช้กฎหมายกับสถานบันเทิงและสถานบริการอย่างเข้มงวด ตามนโยบาย "จัดระเบียบสังคม" ที่กำหนดให้สถานบันเทิงและสถานบริการ ต้องไม่ให้เด็กวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าไปใช้บริการ
แต่ในสายตาวัยรุ่นจำนวนมาก กลับมองภาพของ ร.ต.อ.ปุระชัย ว่าเป็นมือปราบสายเดี่ยวที่เข้ามาสร้างผลกระทบกับวิถีชีวิตของพวกตน หรือพูดง่าย ๆ คือ "การสวมใส่เสื้อสายเดี่ยวออกไปเที่ยวยามค่ำคืนทำได้ยากมากขึ้น" | ||
นายสุวิทย์ คุณกิตติ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) |
กลวง | เนื่องจากในอดีตได้รับการยกย่องว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีภาพลักษณ์ดีและมีคุณภาพเพียงพอที่จะไม่ไต่เต้าบนเส้นทางการเมืองไปจนถึงขั้นได้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่ครั้นพอได้รับมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบในนโยบายกองทุนหมู่บ้านและการปฏิรูปการศึกษา กลับไม่ได้รับการยอดรับจากคนจำนวนหนึ่งในวงการศึกษาและบุคคลที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งลักษณะของการทำงานดูเหมือนไม่รู้จริง เข้าทำนองที่ว่าท่าดีแต่ทีเหลว ไม่สามารถนำเอาแนวนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุผลได้อย่างแท้จริง | ||
นายนที ขลิบทอง
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
ตั๋วจำนำ | เพราะเมื่อครั้งที่มีการจัดตั้ง ครม.ชุดแรกในสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 นายเนวิน ชิดชอบ สังกัดพรรคชาติไทย ได้รับการเสนอชื่อจากนายบรรหาร ศิลปอาชา ให้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รมต. ในโควตาของพรรคชาติไทย แต่เนื่องจากนายเนวินถูกสังคมส่วนหนึ่งตีตราว่าเป็นบุคคลเข้าข่ายประเภทที่เรียกว่า "ยี้" นายกฯ จึงไม่อาจกล้าฝืนกระแสสังคม
ส่งผลให้นายบรรหารต้องเสนอชื่อ "นายนที ขลิบทอง" ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนนายเนวินไปพลาง ๆ ก่อน จึงเปรียบเสมือนทรัพย์สินที่นายเนวินนำไปจำนำไว้กับรัฐบาล แล้วรอเวลาที่จะไถ่ถอนกลับคืนมาในอนาคต | ||
นายประชา มาลีนนท์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม) |
เถ้าแก่บ้อท่า | ก่อนหน้าที่จะเข้ามาเล่นการเมือง นายประชาเป็นนักธุรกิจด้านสื่อสารมวลชน เมื่อเข้ามาทำงานในฐานะรัฐมนตรี ก็ยังคงไว้ซึ่งบุคลิกของการบริหารงานแบบเถ้าแก่ ด้วยการใช้อำนาจในการกำหนดทิศทางการบริหารงานกับข้าราชการประจำและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ
จนก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ อาทิ "การบินไทย สถานบินสุวรรณภูมิ ถึงขนาดถูกประท้วงขับไล่และทุบรถยนต์ กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง" | ||
นายสมบัติ อุทัยสาง
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
มรดกบาป | เนื่องจากภายหลังการเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมต. คุณสมบัติได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลปัญหาที่ค้างคามาจากรัฐบาลชุดก่อน ๆ ซึ่งถือว่าเป็นมรดกบาป
ที่ทำให้คุณสมบัติต้องถูกฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเวลาต่อมา ปัญหาต่าง ๆ นั้น ได้แก่ "กรณีการนำที่ดินสงฆ์ของวัดธรรมมิกการามไปขาย ให้แก่บริษัทอัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด กรณีการเก็บภาษีเพิ่มรวมกับค่าทางด่วน และกรณีบริษัทบีบีซีดี ฟ้องเรียกค่าเสียหาย จำนวน 6,200 ล้านบาทจากรัฐ" | ||
นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข) |
หมอหลังฉาก | เนื่องจากเป็นคุณหมอที่เป็นคนต้นคิดนโยบาย "30 บาท รักษาทุกโรค" และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้นโยบายดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ
แต่ นพ.สุรพงษ์ กลับไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าวมากนัก เพราะมักทำงานอยู่เบื้องหลังมากกว่าการสร้างภาพทางการเมืองเหมือนนักการเมืองทั่วไป นอกจากนั้นแล้วการทำงานในกระทรวง ภาพเบื้องหน้าส่วนมากจะเป็นการประชาสัมพันธ์การทำงานของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงเสียมากกว่า | ||
วาทะแห่งปี | "บกพร่องโดยสุจริต" | วาทะของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) กล่าวระหว่างให้คำแถลงการณ์ปิดคดีด้วยวาจาต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ณ ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2544
กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จงใจซุกซ่อนบัญชีทรัพย์สิน ยื่นทรัพย์สินอันเป็นเท็จ (คดีซุกหุ้นทักษิณ ภาค 1) โดยในถ้อยแถลงได้เน้นว่าตนไม่มีเจตนาในการกระทำความผิด แต่อาจจะมีความบกพร่องผิดพลาดเกี่ยวกับเอกสารและความสับสนในข้อกฎหมาย ซึ่งถือเป็น "ความบกพร่องโดยสุจริต มิได้ทำการทุจริตแต่อย่างใด" และเมื่อถึงวันที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลงมติคำวินิจฉัยกลางในคดีนี้ ผลออกมา 8 ต่อ 7 เสียง ส่งผลให้พ้นผิดในคดีซุกหุ้นไปได้อย่างหวุดหวิด | ||
พ.ศ.2545[1] | 54 | รัฐบาล | รัฐบาลหลอน | เนื่องจากนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ได้นำเสนอต่อประชาชน เป็นนโยบายที่สร้างความหวังให้กับคนทุกชนชั้นในสังคม ทั้งที่นโยบายเดิมยังไม่สัมฤทธิ์ผล แต่กลับมรนโยบายใหม่ ๆ ออกมาเพื่อให้ประชาชนเกิดความศรัทธาและความหวังว่าจะหายยากจน สำหรับผู้ที่เป็นนักธุรกิจก็จะมีกำไรมากขึ้น รวมทั้งเหล่าข้าราชการก็จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย ครั้นพอนโยบายถูกตรวจสอบและส่อให้เห็นว่าจะมีปัญหายุ่งยากในทางปฏิบัติ กลับออกนโยบายและมาตรการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เปรียบเสมือนการหลอนให้ประชาชนเกิดความรู้สึกที่ดีกับรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา |
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
(นายกรัฐมนตรี) |
เทวดา | จากสไตล์การบริหารงานที่มีลักษณะเชื่อมั่นในตนเองสูง หากบุคคลใดแสดงความคิดเห็นท้วงติงการทำงานในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็มักถูกตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรง ว่าไม่มีความรู้บ้าง ขาดความเข้าใจบ้าง เสมือนเป็น "เทวดา" ที่ยึดติดกับความคิดของตนเองว่าถูกต้องแต่เพียงผู้เดียว สามารถชี้ถูกชี้ผิดในปัญหาต่าง ๆ ภายใต้บรรทัดฐานของตนเอง พยายามเนรมิตนโยบายที่ให้ความหวังกับประชาชนทุกกลุ่มชนชั้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และพยายามแสดงบทบาทให้สังคมเห็นว่าสามารถดำรงตนเป็นผู้นำในระดับเอเชียและระดับโลกได้ | ||
นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
(รองนายกรัฐมนตรี) |
นาย...ลิขิต | เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายงานให้กำกับดูแลด้านเศรษฐกิจทั้งที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ขาดการยอมรับจากนักธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศ เพราะมองว่ามีประสบการณ์การทำงานเพียงแค่ลูกจ้างของบริษัทชินวัตรฯ เท่านั้น เมื่อครั้งที่ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการนายกฯ ก็ทำงานภายใต้การสั่งงานของนาย (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) อยู่ตลอดเวลา และคอยแปลความคิดของนายถ่ายทอดออกมาสู่การปฏิบัติ ซึ่งหมายความว่า "ทุกอย่างได้มา ก็เพราะนายลิขิต" | ||
นายวิษณุ เครืองาม
(รองนายกรัฐมนตรี) |
เนติบริกร | เพราะความเป็นมือกฎหมายของรัฐบาลมาแล้วหลายชุดในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มาในสมัยรัฐบาลทักษิณก็ทำหน้าที่ดังกล่าวอีกเช่นเคยถึงขนาดเข้าตากรรมการอย่างนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ที่สามารถใช้ความรู้ทางกฎหมายในการพลิกแพลงให้รัฐบาลมีความชอบธรรมและได้เปรียบฝ่ายที่เห็นแตกต่างจากรัฐบาล นับว่าเป็นข้าราชการการเมืองมืออาชีพที่สามารถตอบสนองความต้องการของฝ่ายการเมืองได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ จึงถูกเลือกให้มาบริการทางด้านกฎหมายในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี | ||
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
จอมจัดฉาก | เนื่องจากถูกมองว่าพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เกิดขึ้นกับตนเองและรัฐบาล (ช่วงนั้นรัฐบาลมีลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก เกี่ยวกับเรื่องราวการทุจริตคอร์รัปชันหลายกรณีด้วยกัน) ด้วยการจัดฉากโชว์ผลงานฟันข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตทางด่วนสายมอเตอร์เวย์ แต่ไม่สามารถสาวไปถึงตัวนักการเมืองผู้อยู่เบื้องหลังได้ | ||
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) |
ไอ้ก้านน่วม | เนื่องจากในอดีตสมัยเหตุการณ์ 14 ตุลา เคยได้รับฉายาว่า "ไอ้ก้านยาว" ผู้ซึ่งกล้าหาญชาญชัยถือไม้ท่อนยาวยืนประจันหน้ากับรถถังบริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ทำให้มีภาพลักษณ์ของความเป็นฮีโร่ผู้ต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ แต่พอได้มาเป็น รมว.กลับถูกกล่าวหาจากฝ่ายค้านว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับการทุจริตหลายเรื่อง อาทิ เรื่องโค-กระบือ เรื่องการรับจำนำลำไยอบแห้ง การบุกรุกที่ดินป่าสงวน จนทำให้ "น่วมไปทั้งตัว" เหมือนคนที่ถูกตีจนร่างกายน่วมไปหมดทั้งตัว | ||
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
สิงห์ซุ่ม | เพราะในอดีตเป็นผู้ที่มีบุคลิกค่อนข้างนุ่มนวล แต่เมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย กลับพลิกบทบาทกลายเป็นสิงห์ที่มีความดุดันในการทำงาน คล้ายกับ "สิงห์ที่ซุ่มตัว เพื่อรอจังหวะในการโชว์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไป" | ||
ร้อยตํารวจเอก ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม) |
ไม้บรรทัดงอ | เนื่องจาก ร.ต.อ.ปุระชัย เคยได้รับการยอมรับจากสังคมและสื่อมวลชนว่าเป็นคนเถรตรง ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ยอกหักไม่ยอมงอ แต่ในที่สุดก็ต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามฝ่ายการเมืองเพื่อความอยู่รอดของตนเอง โดยไม่สามารถรักษาหลักการเอาไว้ได้
อย่างเช่นกรณีไม่พยายามสืบสาวราวเรื่องเอาความผิดกับผู้ครอบครองสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งสร้างอยู่บนที่ดินสงฆ์ กรณีการยอมจับมือยอมความ กับนายสุขวิช รังสิตพล ผู้ซึ่งเคยกล่าวหา ร.ต.อ.ปุระชัย ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีค่าโง่ทางด่วน | ||
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) |
ตุ๊กตาทอง 2 หน้า | เพราะถูกมองว่ายังคงรูปแบบการทำงานแบบเดิม ๆ ในลักษณะของการสร้างภาพโชว์ผลงานผ่านสื่อมวลชนโดยตลอด ทั้งที่เนื้องานต่าง ๆ ไม่ปรากฏเป็นชิ้นเป็นอันอย่างชัดเจน แต่กลับสามารถสร้างกระแสความนิยมกลายเป็นขวัญใจของชาวบ้านได้ จึงเปรียบเสมือนได้กับนักแสดงที่มีความสามารถระดับรางวัลตุ๊กตาทอง | ||
นายเนวิน ชิดชอบ
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
จิ้งจกตีนกาว | ก่อนหน้านั้นเคยถูกกีดกันไม่ให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ทั้งจากนายกฯ และพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล เพราะกระแสสังคม แต่ในท้ายที่สุดก็สามารถเบียดแทรกเข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยได้เป็นผลสำเร็จ เปรียบเสมือนจิ้งจกตีนกาวเหนียวหนึบ ที่สามารถเกาะติดกับเก้าอี้รัฐมนตรีได้อย่างเหนียวแน่นโดยไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ | ||
นางอุไรวรรณ เทียนทอง
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม) |
มรดกเจ้าพ่อ | นางอุไรวรรณ ถูกมองว่าได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วย เนื่องจากแรงหนุนของสามีอย่างนายเสนาะ เทียนทอง ผู้ซึ่งสื่อมวลชนเคยตั้งฉายาให้ว่าเป็น "เจ้าพ่อวังน้ำเย็น" | ||
วาทะแห่งปี | "รู้น้อยอย่าพูดมาก" | วาทะของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) กล่าวระหว่าง ณ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2545
มักใช้คำพูดนี้ตอบโต้กับผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากตนในหลายครั้งหลายคราว | ||
พ.ศ.2546 | 54 | รัฐบาล | รัฐบาลตระกูลเอื้อ | |
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
(นายกรัฐมนตรี) |
นายทาส | ผู้ประกาศปลดปล่อยประชาชนให้พ้นจาก "พันธนาการ" ความยากจน ยาเสพติด ผู้มีอิทธิพล และพ้นจากทาสไอเอ็มเอฟ แต่กลับนำกลไกของรัฐมาสร้างพันธนาการใหม่ให้กับประชาชนด้วยนโยบาย "ก่อหนี้" ทุกรูปแบบ ทั้งยังส่งเสริมระบบเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน เปรียบประหนึ่งว่ากำลังสนับสนุนค่านิยมเสี่ยงโชค อาจส่งผลให้ประชาชนต้องตกเป็นทาสการพนันไปในที่สุด | ||
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
(รองนายกรัฐมนตรี) |
สมรู้ร่วมคิด | |||
ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
อธิบดีคลัง | |||
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) |
ผู้ดีฟอร์มยักษ์ | |||
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
ร้อยลิ้นพันล้าน | |||
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
เลขาฯ ก๊วนชวนอิ่ม | |||
นายวัฒนา เมืองสุข
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
ไก่ชน GMO | |||
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
ร.ม.ต.นอร์หัก | |||
นายอนุรักษ์ จุรีมาศ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม) |
ลูกโป่งหลงจู๊ | |||
นายอดิศัย โพธารามิก
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) |
ครูพันธุ์ดื้อ | |||
วาทะแห่งปี | "ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ" | วาทะของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2546
กรณีที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights: UNHCHR) จะส่งผู้แทนพิเศษเข้ามาตรวจสอบข่าวการฆ่าตัดตอนคดียาเสพติด และกรณีนายแพทย์ประดิษฐ์ เจริญไทยทวี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เตือนว่า การฝ่าฝืนสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองจะไปสิ้นสุดที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ | ||
พ.ศ.2547 | 54 | รัฐบาล | รัฐบาลกิน-แบ่ง | |
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
(นายกรัฐมนตรี) |
ผู้นำจานด่วน | เนื่องจากเป็นปีสุดท้ายของการเป็นรัฐบาลไทยรักไทยวาระแรก 4 ปี ทักษิณจึงคลอดนโยบายประชานิยมออกมามากมาย เพื่อรองรับการหาเสียงเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงต้นปี 2548 | ||
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ขุน...สึก | |||
ร้อยตำรวจเอก ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์
(รองนายกรัฐมนตรี) |
คนดีที่ลืมโลก | |||
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
(รองนายกรัฐมนตรี) |
โคบาลเป่าปี่ | |||
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ส.โหย | |||
นายวัฒนา เมืองสุข
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
เขยเอื้ออาทร | |||
นายอดิศัย โพธารามิก
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) |
เอี้ยมจุ๊นติดหล่ม | |||
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) |
หน้าเด้งดอตคอม | |||
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
เฮีย..ฟุ้ง | |||
นายเนวิน ชิดชอบ
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
ห้อย...จัดให้ | |||
วาทะแห่งปี | "โจรกระจอก" | วาทะของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) กล่าว ณ กองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายปิเหล็ง กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547
หลังเกิดกรณีโจรใต้บุกเข้าปล้นปืนไป 400 กว่ากระบอก จนส่งผลให้ทหาร 4 นายเสียชีวิตจากการต่อสู้ |
ฉายารัฐบาลฯ ประจำปี 2548-2552
แก้ปี | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ | ฉายาและวาทะแห่งปี | ความหมายหรือที่มา | |
---|---|---|---|---|
พ.ศ.2548[2] | 55 | รัฐบาล | ประชาระทม | ที่ผ่านมารัฐบาลโหมใช้นโยบายประชานิยมโฆษณาชวนเชื่อ จนประชาชนมอบความไว้วางใจด้วยคะแนนท่วมท้นให้เป็นรัฐบาลอีกสมัย โดยหวังว่าจะเข้ามาพลิกฟื้นคุณภาพชีวิตให้อยู่ดีกินดี แต่หลังจากบริหารประเทศยังไม่ทันครบปี ปรากฏว่า "นโยบายประชานิยมกลับพ่นพิษ" ทำให้ประชาชนต่างทุกข์ระทม ภาวะหนี้สินทุกครัวเรือนพุ่งขึ้นไม่หยุด เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง เกิดความรุนแรงในสังคม กอปรกับสถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีทีท่าจะยุติ มิหนำซ้ำยังมีข่าวฉาวคอร์รัปชัน เอื้อผลประโยชน์พวกพ้อง ขนาดองค์กรอิสระที่ชาวบ้านหวังเป็นที่พึ่งยังถูกครอบงำจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้
แม้รัฐบาลจะตีปี๊บประโคมข่าว ตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะดีดตัวสูงขึ้น แต่ประชาชนชั้นรากหญ้ายังต้องระทมทุกข์ต่อไป |
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
(นายกรัฐมนตรี) |
พ่อมดมนต์เสื่อม | ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนอย่างท่วมท้นกว่า 19 ล้านเสียง นั่งแท่นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 อย่างสง่างาม แต่จากการทำงานช่วงระยะเวลาไม่ถึงปี ภาพเดิมที่เคยถูกมองว่าเป็น "เทวดา" เก่งและเนรมิตได้ทุกเรื่อง ใครแตะต้องไม่ได้ กลับกลายเป็น "พ่อมด" ที่ใช้แต่อารมณ์ ยิ่งเมื่อถูกรุมเร้าด้วยปัญหาสารพัด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง สุดท้ายต้องแหงนหน้าพึ่งดาวพุธ ถอยฉากตั้งหลัก
ขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นลดลงไปเรื่อย ๆ เพราะถูกจับได้ไล่ทันว่าไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้ ประชาชนเสื่อมศรัทธาไม่เชื่อถือในความซื่อสัตย์ ไม่เพียงแค่ประชาชน แม้แต่ลูกพรรคไทยรักไทยยังออกมาลองของไม่เว้นแต่ละวัน คำพูดของท่านผู้นำที่เคยศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้กลับเสื่อมถอยลง | ||
นายแพทย์สุชัย เจริญรัตนกุล
(รองนายกรัฐมนตรี) |
เด็กนายหญิง | รัฐมนตรีสายตรงจากนายหญิง ถูกส่งเข้ามาคุมกระทรวงหมอ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กเส้น ขาดประสบการณ์งานบริหาร แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เข้าไปทำงาน ได้สร้างความปั่นป่วน ด้วยการสั่งปลดโยกย้ายบิ๊กสาธารณสุข รวดเดียว 9 คน จนเกิดแรงต้านจากกลุ่มหมอ และลุกลามไปสู่การประลองกำลังระหว่าง "เจ๊ใหญ่" กับ "นายหญิง" ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีต้องรีบปลดชนวนระเบิด สั่งทบทวนโผโยกย้าย แต่เจ้าตัวยังฮึดฮัด ขัดขืน ประกาศยื่นใบลาออก ร้อนถึงนายหญิง ต้องออกแรงอุ้ม ไปเป็นรองนายกรัฐมนตรี เพื่อรักษาศักดิ์ศรีจันทร์ส่องหล้า | ||
นายวิษณุ เครืองาม
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ทนายหน้าหอ | เป็นเนติบริกร ให้กับรัฐบาลทักษิณเพื่อใช้ข้อกฎหมายมาพลิกแพลงให้เป็นคุณต่อรัฐบาล บางครั้งถึงกับยอมพลิกลิ้น ฉีกตำรากฎหมาย หาช่องทางสนองบัญชาให้เป็นไปตามความต้องการของรัฐบาล
มาในปีนี้ยิ่งหนักข้อขึ้น เมื่อรัฐบาลเจอวิกฤติร้อน ๆ สารพัดเรื่องจากสถานะมือกฎหมายของรัฐบาล นายวิษณุจึงต้องตกที่นั่งกลายมารับหน้าที่เป็นทนายแก้ต่าง เพื่อคลายปมปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "การทุจริตซีทีเอ็กซ์ ปัญหา กสช. การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช การถ่ายโอนโรงเรียนไปยังท้องถิ่น" จึงเปรียบได้แค่ทนายหน้าหอ มีหน้าที่คอยแก้ตัวสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลเท่านั้น | ||
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
พี.อาร์.25 ชั่วโมง | ขึ้นชื่อเป็นรัฐมนตรีที่เน้นการประชาสัมพันธ์ให้ตัวเองเป็นหลัก มากกว่าผลงานในหน้าที่ มุ่งทำตัวเองให้เป็นข่าวออกหน้าจอทีวีเสมอ เก็บทุกประเด็นไม่แยกแยะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ขอให้ได้เป็นข่าวก็พอ จนเกิดปัญหาเกาเหลากับรัฐมนตรีเจ้าสังกัดโดยตรง ตกเป็นข่าวคึกโครมกับนายประชา มาลีนนท์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กรณี "รับธงซีเกมส์" | ||
พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม) |
ปลั๊กหลวม | เป็นนายตำรวจรุ่นพี่นายกรัฐมนตรี มีดีกรีถึงดอกเตอร์ ถูกคาดหวังให้มารับผิดชอบเรื่องความมั่นคง แทน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รับหน้าเสือดับไฟใต้ แต่เมื่อทำงานจริงกลับไม่สัมฤทธิ์ผลตามราคาคุย ขยันออกนโยบายแต่ไม่เป็นผลในทางปฏิบัติ เพราะฝีมือไม่ถึง บารมีไม่พอ ขาดประสบการณ์
เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ "ปลั๊กหลวม" เสียบแล้วใช้การได้ไม่เต็มที่ ติด ๆ ดับ ๆ จึงไม่สามารถลดสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ลงได้ | ||
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) |
ซากซีทีเอ็กซ์ | ถูกฝ่ายค้านลากขึ้นเขียงอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นคนแรกของรัฐบาล "ทักษิณ 2" จากกรณีการทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 ในโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลให้ภาพลักษณ์รัฐบาลติดลบ สอบตกเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตอย่างร้ายแรงนับตั้งแต่นั้นมา
แม้นายกฯ จะปรับพ้นเก้าอี้ รมว.คมนาคม เพื่อลดกระแส แต่ยังเอื้ออาทร ยอมให้ตำแหน่งรองนายกฯ ควบกระทรวงอุตสาหกรรม แถมยังให้อำนาจกำกับดูแลกระทรวงคมนาคมต่อ และแม้จะพยายามดิ้นสุดฤทธิ์จนได้เครื่องซีทีเอ็กซ์ เจ้าปัญหามาการันตีความบริสุทธิ์แล้วก็ตาม แต่สังคมปักใจเชื่อว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง ชะตากรรมของนายสุริยะ จึงไม่ต่างกับซากซีทีเอ็กซ์ ที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนตลอดไป | ||
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
คลื่นแทรก | รับบทบาทพิมาตสื่อ คอยเป็นกันชนไม่ให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาล ซ้ำร้ายจ้องจับผิดสื่อที่เป็นอริ สร้างความอึดอัดใจกันทั้งวงการ มีการใช้สารพัดวิชามารใต้ดิน บนดิน แทรกแซงจนสื่อแทบขาดอิสระในการทำงาน โดยเฉพาะสื่อของรัฐโดนครอบงำ ให้เสนอแต่เรื่องที่เป็นคุณแก่รัฐบาลข้างเดียว
บทบาทของนายสุรนันทน์ จึงเป็นเหมือนคลื่นแทรก ที่คอยก่อกวน และสกัดการทำงานของสื่อ | ||
นายวัฒนา เมืองสุข
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) |
อิกคิวเซ็ง | มีไอเดียแหวกแนว เหมือน "อิกคิวซัง" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้มีปัญญา แต่ทว่าชอบคิดอะไรเพี้ยน ๆ สวนกระแสสังคมบ่อยครั้ง หวังสร้างกระแสให้ตัวเอง อาทิ "การจัดถนนให้วัยรุ่นซิ่งรถจักรยานยนต์ ให้ภรรยากราบเท้าสามีก่อนนอน การฉายสปอตไลต์หน้าโรงแรมม่านรูดในคืนวันลอยกระทง จนถูกประณามอย่างหนัก"
พฤติกรรมดังกล่าวจึงน่าจะเข้าข่าย "อิกคิวเซ็ง" ที่คิดอะไรแย่ ๆ อวดฉลาด จนคนในสังคมเซ็งกับความคิดของนายวัฒนา | ||
นายวิเศษ จูภิบาล
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) |
โบรกเกอร์รัฐบาล | ถูกส่งมากำกับดูแลด้านพลังงาน ท่ามกลางวิกฤตน้ำมันแพง แต่กลับทำตัวเป็นโบรกเกอร์ ที่คอยต่อรองสร้างผลกำไรให้กับกลุ่มทุนซีกรัฐบาล โดยเฉพาะการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่นำ กฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ จนถูกมองว่า นำทรัพย์สินของประเทศไปขาย
ขณะเดียวกันปัญหาน้ำมันแพงก็ยังแก้ไม่ตก ส่งผลให้กองทุนน้ำมันติดลบมหาศาล เนื่องจากนำเงินไปพยุงราคาน้ำมัน แบบฝืนกลไกการตลาด สุดท้ายชาวบ้านต้องก้มหน้ารับกรรมใช้น้ำมันแพงต่อไป | ||
พลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
รมต.พลัง "น้ำ" | อาศัยบารมี "ลูกน้ำ" ศรีภรรยา ซึ่งเป็นเพื่อนและเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยานายกรัฐมนตรี จนได้นั่งเก้าอี้เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ท่ามกลางเสียงคัดค้านของกลุ่มมุ้งการเมืองในพรรคไทยรักไทยที่พลาดตำแหน่ง
ขณะที่ผลงานติดลบตลอด ถูกลูบคมด้วยประทัดยักษ์ถึงหัวบันไดกระทรวง ไม่สามารถบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชนได้ เสนอไอเดียออกมาแต่ละอย่างมีแต่เสียงโห่ไล่ เช่น "การติดยูบีซีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้" จนถูก ส.ส.รวมหัวตะเพิดออกจากตำแหน่ง แต่ด้วยพลังภายในของ "ลูกน้ำ" ทำให้ "พี่บิ๊ก" ยังเกาะเก้าอี้แน่นต่อไป | ||
วาทะแห่งปี | "จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เรา ต้องดูแลเป็นพิเศษ" | วาทะของ พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) กล่าวระหว่างเป็นประธานมอบหนังสือแสดงสิทธิสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้กับประชาชนตามโครงการรัฐเอื้อราษฎร์ ณ หอประชุมโรงเรียนบรรพตพิทยาคม อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2548
หลังการเลือกตั้งซ่อมใน 3 จังหวัดที่พรรคไทยรักไทยส่งผู้สมัครลงแข่งขัน หลังผู้สมัคร 3 คนของพรรคได้รับใบเหลืองจาก กกต. แต่สามารถชนะการเลือกตั้งกลับเข้าสภามาได้เพียง 1 จังหวัด คือที่จังหวัดสิงห์บุรี ที่ชนะผู้สมัครจากพรรคชาติไทย กลับเข้ามาแบบฉิวเฉียด 700 กว่าคะแนน จากที่เคยชนะกว่า 2 หมื่นคะแนน ส่วนจังหวัดพิจิตรพ่ายแพ้ผู้สมัครจากพรรคมหาชน กว่า 17,000 คะแนน และแพ้พรรคชาติไทยในจังหวัดอุทัยธานี ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศว่าเป็นบ้านเกิดของพ่อตาที่จะต้องเอาชนะให้ได้ เกือบ 1 หมื่นคะแนน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของผู้นำในการเลือกปฏิบัติ เน้นการเมืองสำคัญมากกว่าการบริหารประเทศ จนสร้างความฮือฮาให้กับคนทั้งประเทศและถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด[3] | ||
พ.ศ.2549 | 56 | งดตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และบรรยากาศทางการเมืองยังอยู่ในภาวะไม่ปกติ อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง เชื่อมโยง หรือขยายผลทางการเมือง | ||
พ.ศ.2550 | งดตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และบรรยากาศทางการเมืองยังอยู่ในภาวะไม่ปกติ อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง เชื่อมโยง หรือขยายผลทางการเมือง | |||
พ.ศ.2551 | 57-59 | งดตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ถึง 3 ครั้ง ภายในปีเดียว ตั้งแต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช, รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ | ||
พ.ศ.2552[4] | 59 | รัฐบาล | ใครเข้มแข็ง? | รัฐบาลประกาศแผนพลิกฟื้นประเทศไทยให้พ้นจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ผ่านแผนปฏิบัติการ "ไทยเข้มแข็ง" เพื่อลงทุนยกเครื่องประเทศครั้งใหญ่ ภายใต้ พ.ร.บ. และ พ.ร.ก.เงินกู้รวม 8 แสนล้านบาท เมื่อโครงการนี้ไปสู่การปฏิบัติมีเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งเรื่องผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาล ความไม่โปร่งใส จนเกิดคำถามว่าการสร้างหนี้เพื่อฟื้นประเทศไทยทำให้ใครเข้มแข็งระหว่างประชาชน หรือนักการเมือง ? |
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
(นายกรัฐมนตรี) |
หล่อหลักลอย | เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีภาพลักษณ์ดี หน้าตาดี การศึกษาดี จึงมีแม่ยกเป็นจำนวนมาก มักประกาศจุดยืนและหลักการด้านประชาธิปไตย โดยเฉพาะเมื่อรับตำแหน่งได้ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อให้คณะรัฐมนตรีมีความรับผิดชอบทางการเมืองมากกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย
แต่เมื่อรัฐมนตรีบางคนมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย หรือมีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส กลับไม่ได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง นั่นเท่ากับไม่สามารถกำกับให้กฎเหล็กมีผลใช้บังคับได้ หลักที่เคยประกาศไว้จึงเหมือนคำพูดที่เลื่อนลอย ไม่เป็นไปตามหลักการที่วางไว้ | ||
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
กั๊ก-กอบ-โกย | ขึ้นชื่อว่าเป็นรองนายกฯ จอมตรวจสอบ กั๊ก และคอยดักจับโครงการของพรรคร่วมรัฐบาล จนเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันอยู่เนือง ๆ และถูกแกนนำพรรคร่วมตั้งสมญาว่า "พ่อชุนละเอียด"
แต่ไป ๆ มา ๆ กลับสะดุดขาตัวเอง เมื่อพบปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนจากการแต่งตั้งน้องชาย เป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) ที่มีตัวเองเป็นประธาน สุดท้ายทั้งพี่และน้องก็ฝ่าแรงกดดันจากสังคมไม่ไหว จำต้องโกยออกจากตำแหน่ง แม้กระทั่งตำแหน่งตัวเองก็ต้องโกยออกไปเป็นเลขาธิการนายกฯ | ||
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
แม่นม อมทุกข์ | แม้ไม่ใช่เป็นผู้ให้กำเนิดทางการเมืองแก่นายอภิสิทธิ์โดยตรง แต่ก็คอยดูแล อุ้มชู และสนับสนุนในทางการเมืองทุกอย่าง ถึงขั้นประกาศว่าความใฝ่ฝันทางการเมืองสูงสุด คือ การผลักดันให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ แต่เมื่อสานฝันได้สำเร็จ นายอภิสิทธิ์กลับสร้างปัญหาหนักอกให้นายสุเทพตามล้างตามเช็ด อาทิ "การแก้รัฐธรรมนูญ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)"
ทำให้ผู้จัดการรัฐบาลถูกพรรคประชาธิปัตย์วิจารณ์อย่างหนักว่าตีตัวออกห่าง มัวแต่เอาใจพรรคร่วมรัฐบาล จนเจ้าต้องอยู่ในอาการอมทุกข์ | ||
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
ช่างจัดฉาก | เป็นคนสนิทของนายกฯ กำกับดูแลสื่อของรัฐ มักเปรียบเปรยว่าตัวเองเป็น "อิมเมจ เมเกอร์" พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้านบวกให้รัฐบาล เป็นจอมจัดการ เช่น "การจัดคิวให้นายกฯ และคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่จัดฉากให้คณะรัฐมนตรีออกทีวี-วิทยุ จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาล" ทว่าเสียงสะท้อนกลับติดลบเป็นส่วนใหญ่
โดยเฉพาะโครงการ "ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง" ที่ให้ทุกจังหวัดเกณฑ์คนมาร้องเพลงชาติ แต่ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องงบประมาณ เสมือนช่างที่พยายามจัดฉากให้ดูดี แต่ไม่มีเนื้องานเป็นรูปธรรม | ||
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) |
ป้อมพลัง "ป" | ชื่อเล่นเขา คือ "ป้อม" ได้เป็นรัฐมนตรีที่ไม่มีความชัดเจนว่าเป็นโควตาของกลุ่มการเมืองใด ไม่ใช่สายตรงประชาธิปัตย์ ไม่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับภูมิใจไทย ไม่ใช่ตัวแทนของกองทัพอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ได้รับความเกรงกลัว-เกรงใจจากคนในรัฐบาลอย่างมาก ถึงขั้นปล่อยผ่านเมกะโพรเจกต์ของกองทัพอย่างง่ายดาย
เนื่องจากมีพลัง อิทธิพล และบารมีของคนชื่อ "ป ปลา" แห่งกองทัพเป็นป้อมปราการค้ำบัลลังก์และป้องกันภัยทางการเมือง | ||
นายกรณ์ จาติกวณิช
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
ทวิต-กู้ | เป็นขุนคลังที่ประชาชนจดจำผลงานในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ นอกจากภาพการกู้เงินที่เป็นไม้ตายการแก้ปัญหา แต่ภาพของนายกรณ์ในโลกไซเบอร์คือนักโพสต์มือหนึ่ง ผ่านเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และไฮไฟว์ มักเข้าไปอัปเดตภาพ-ข่าวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งขณะนั่งประชุมคณะรัฐมนตรีก็ยังทวิตข้อความและรูปภาพให้สมาชิกได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น
ในช่วงที่ถูกโจมตีเรื่องการทำงาน บางครั้งศรีภริยาก็ออกมาทวิตแก้ต่างให้ สมเป็นขุนคลังออนไลน์ที่มีผลงานกู้เร็วทันใจราวกับไฮ-สปีด อินเทอร์เน็ต | ||
นายกษิต ภิรมย์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) |
ไส้ติ่งรัฐบาล | เป็นอดีตนักการทูตที่ได้เข้ามารับตำแหน่งในรัฐบาล จากการเป็นดาวไฮปาร์กบนเวทีกลุ่มพันธมิตรฯ แต่กลับไม่ยอมใช้วาทศิลป์ทางการทูตเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ตรงกันข้ามถูกวิจารณ์ว่าปากเป็นพิษ โดยเฉพาะการเปรียบเปรยนายกฯ กัมพูชา ว่าเป็น "แก๊งสเตอร์" จึงเปรียบเสมือนเป็น "ไส้ติ่ง" ที่แม้จะอยู่ในร่างกายได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดีไม่ดีพอเกิดการอักเสบขึ้นมาจะเป็นโทษต่อร่างกายถึงขั้นเสียชีวิตด้วย | ||
นายโสภณ ซารัมย์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
ภูมิใจ "นาย" | ไม่เคยทำงานบริหาร และผ่านงานคมนาคมมาก่อน แต่เป็นลูกน้องคนสนิทของนายเนวิน ชิดชอบ จึงได้รับความไว้วางใจให้คุมกระทรวงเกรดเอ อย่างกระทรวงคมนาคม จากนักการเมืองโนเนมจึงมีชื่อติดกระแสขึ้นมา
การเสนอโครงการเป็นไปตามใบสั่ง "นาย" แทบทุกโครงการ โดยเฉพาะโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน หลังต่อสู้กับพรรคร่วมหลายรอบ เป็นโต้โผใหญ่ในการเปิดบ้านพักที่จังหวัดบุรีรัมย์ต้อนรับนายกฯ แทนลูกพี่ โดยไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงมาปั่นป่วน จึงถือเป็นลูกน้องที่สร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เป็น "นาย" อย่าง "เนวิน" | ||
นางพรทิวา นาคาศัย
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
เจ้าแม่แพ้หน้าเน็ต | เป็นรัฐมนตรีหญิงที่มีบทบาทสำคัญในคณะรัฐมนตรี เพราะพยายามผลักดันโครงการของพรรคภูมิใจไทยเข้าสู่คณะรัฐมนตรีตลอดเวลา อาทิ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง การปรับเปลี่ยนระบบการจัดงบเพื่อบริหารสินค้าเกษตร ฯลฯ
แต่ถูกแกนนำรัฐบาลรุมเตะสกัด ทำให้บางโครงการไม่ผ่านการอนุมัติ บางครั้งถึงกับร่ำไห้กลางวงประชุมคณะรัฐมนตรี เปรียบเสมือน "นักตบลูกหนังที่แค่ตั้งท่ายังไม่ทันตบ ก็ติดบล็อกจากฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว" | ||
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
สตั๊นท์เฒ่าเฝ้าเก้าอี้ | สิงห์เฒ่า วัย 73 ปี ผู้นี้ได้เข้ามารั้งเก้าอี้ มท.1 พร้อมตำแหน่งหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แทนบุตรชายที่อยู่ในบ้านเลขที่ 111 การเป็นรัฐมนตรีถูกมองว่าเป็นการแสดงบทตามที่ลูก และเพื่อนลูกอย่างนายเนวิน ชิดชอบ คอยกำกับเท่านั้น เหมือนเป็นตัวแทนมานั่งเฝ้าเก้าอี้รอตัวจริง
แม้จะเป็น "สตั๊นท์เฒ่า" ก็มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม และชั้นเชิงทางการเมือง ทำให้สามารถเฝ้าเก้าอี้ มท.1 เฝ้าเก้าอี้หัวหน้าพรรคอยู่ในรัฐบาลได้อย่างเหนียวแน่น | ||
วาทะแห่งปี | "ใครก็ตามที่ประกาศชัยชนะ ผมถือว่าคน ๆ นั้นและกลุ่มคนนั้นคือศัตรูของประเทศอย่างแท้จริง" | วาทะของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) กล่าวระหว่างแถลงต่อสื่อมวลชน ณ โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2552
หลังจากกลุ่มคนเสื้อแดงนำมวลชนบุกล้มการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) และคู่เจรจา ครั้งที่ 14 ณ เมืองพัทยา ก่อนจะประกาศว่าเป็นชัยชนะของชาวเสื้อแดง |
ฉายารัฐบาลฯ ประจำปี 2553-2557
แก้ปี | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ | ฉายาและวาทะแห่งปี | ความหมายหรือที่มา | |
---|---|---|---|---|
พ.ศ.2553[5] | 59 | รัฐบาล | รัฐบาลรอดฉุกเฉิน | ตลอดปี 2553 รัฐบาลต้องเผชิญกับวิกฤตหลายด้าน ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตภัยธรรมชาติ วิกฤตการเมืองทั้งในและนอกสภา เกิดความขัดแย้งและแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคม จนต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในหลายพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ ยังไม่รวมวิกฤตสังคมอื่น ๆ จนทุกฝ่ายมองว่า รัฐบาลไม่น่าจะบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้ แต่สุดท้ายรอดจากวิกฤตต่าง ๆ รวมทั้งรอดพ้นจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางข้อกังขาจากสังคม |
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
(นายกรัฐมนตรี) |
ซีมาร์กโลชัน | ในภาวะที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก วิกฤติความขัดแย้งทางสังคมทั้งระดับประเทศ ลงไปถึงระดับครอบครัว เปรียบเสมือนผู้ป่วยหนักที่ต้องการยารักษาโรคให้หายขาด บางปัญหาต้องทำการผ่าตัด-ปรับโครงสร้าง-เปลี่ยนอวัยวะ สังคมคาดหวังว่านายกฯ จะเข้ามาแก้ไขปัญหาและรักษาอาการของประเทศได้ แต่ผลการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ ยังทำได้ผลเพียงการบรรเทาโรค เปรียบเสมือนการใช้ "ซีมาโลชัน" ทาแก้คันเท่านั้น | ||
พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ลิ้นชาละวัน | ผลงานในตำแหน่งรองนายกฯ ไม่เป็นที่ประจักษ์-เป็นรูปธรรม แต่บทบาทที่เด่นชัด คือ "การเดินสายเจรจาสร้างความปรองดองกับทุกพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล และกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองทุกสี รวมทั้งการเจรจากับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี" จนถูกวิจารณ์ว่า อยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผลการเจรจาก็ไม่สำเร็จ
เปรียบเหมือนการใช้ลิ้นจระเข้ที่ไม่มีต่อมรับรส กินอะไรก็ไม่รู้รสชาติ การเจรจาของชาละวัน-สนั่น จึงไม่มีการตอบรับจากทุกฝ่าย | ||
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ทศกัณฐ์กรำศึก | เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในทุกเรื่อง เปรียบเหมือนทศกัณฐ์ที่มีหลายหน้า อาทิ "รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง แม่บ้านพรรคประชาธิปัตย์ ผู้จัดการรัฐบาล บิดาของนายแทน เทือกสุบรรณ" ที่ถูกโจมตีเรื่องการครอบครองที่ดินเขาแพง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ทำให้ต้องเผชิญศึกหนักจากรอบด้าน ทั้งศึกที่จบไปแล้ว และศึกที่ยังดำรงอยู่
แต่ด้วยความมีประสบการณ์การเมืองสูง รอบจัด จึงเอาตัวรอดจากศึกรอบด้านมาได้ ขนาดหลุดจากเก้าอี้ ส.ส. เพราะถือหุ้นต้องห้าม ตามด้วยการไขก๊อกจากเก้าอี้รองนายกฯ ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม สุดท้ายก็ฟื้นชีพการเมืองครบทุกตำแหน่ง เปรียบเสมือนทศกัณฐ์ที่ถอดกล่องดวงใจได้ ไม่มีวันสิ้นชีพ | ||
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย
(รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) |
กริ๊ง...สิงสื่อ | แม้จะพ้นจากการกำกับดูแลสื่อในช่วงครึ่งปีหลัง แต่บทบาทที่เด่นชัด คือ "การสั่งการสื่อสำนักต่าง ๆ ของรัฐ" โดยเฉพาะในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง มักโทรศัพท์สายตรงไปถึงกองบรรณาธิการ-สถานีโทรทัศน์ เพื่อชี้นำและกำหนดทิศทางในการนำเสนอประเด็นข่าว ทำให้บางสื่อเกิดความอึดอัด แต่ต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ของสื่อดังขึ้น มีชื่อผู้โทรเข้าเป็นนายสาทิตย์ จะทำให้ทุกสื่อรู้สึกสยองขวัญกับคำสั่งที่สิงสู่ส่งมาตามสาย | ||
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) |
ป้อมทะลุเป้า | ชื่อเล่นคือ "บิ๊กป้อม" เป็นพี่ใหญ่ของนายพลทุกเหล่าทัพ แม้คนภายนอกมองว่า บทบาทของเขาไม่โดดเด่น แต่ในความเป็นจริงเขากลับสร้างผลงานได้ทะลุเป้าในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น "การกุมอำนาจในฝ่ายความมั่นคง การปฏิบัติการกระชับพื้นที่ชุมนุมย่านราชประสงค์ การขออนุมัติใช้งบของกองทัพ ทั้ง งบลับ-งบแจ้งที่ถูกครหาว่าสูงเป็นประวัติการณ์ การได้รับอนุมัติจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากรัฐบาลทุกรูปแบบ ทุกเงื่อนไข" ทำให้เป็นปีที่ "ป้อมทะลุทุกเป้า" | ||
นายกรณ์ จาติกวณิช
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
โย่งคาเฟ่ | ในฐานะ รมว.คลัง จำเป็นต้องมีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ การแสดงบทบาทต่อสาธารณะทุกครั้ง เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณต่อความเชื่อมั่นเรื่องภาวะเศรษฐกิจ และเป็นท่าทีทางนโยบายของรัฐบาล แต่สำหรับนายกรณ์กลับแสดงออกไม่สมบทบาทขุนคลัง ในหลายกรณี อาทิ "การเปิดผับเชียร์ฟุตบอลโลก การแสดงบท พ.ต.ประจักษ์ มหศักดิ์ คู่กับแอฟ ทักษอร ในละครวนิดา ภาคปลดหนี้" จนถูกวิจารณ์ว่า มีพฤติกรรมที่เน้นสร้างความบันเทิง-เฮฮา มากกว่าบทบาท รมว.คลัง | ||
นายจุติ ไกรฤกษ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) |
หัวเทียนบอด-แบน | เป็นคนหนุ่มไฟแรงที่นายกฯ ตั้งความหวังเอาไว้มากว่าจะเข้ามาพัฒนาระบบไอทีของประเทศ แต่ทั้งนายกฯ และคนไทยกลับต้องผิดหวังแทบทุกเรื่อง เพราะทั้งระบบ 3 จี บัตรประชาชนอเนกประสงค์ (สมาร์ตการ์ด) ทุกโครงการยังไม่สำเร็จ ทั้งที่พยายามสตาร์ตมาทั้งปี แต่ยังไม่ติด เหมือนรถที่หัวเทียนบอด
แต่รูปธรรมการทำงานกลับเป็นการไล่บี้-สั่งแบนเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้แบนติดดิน โดยเฉพาะการมุ่งแต่สะสางสัญญาสัมปทานของค่ายชินคอร์ป | ||
นางพรทิวา นาคาศัย
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
นาง "ฟ้า" สต็อกลม | เป็นอดีตแอร์โฮสเตสที่ผันตัวมาเล่นการเมือง ก่อนรับบทแม่ค้าในฐานะ รมว.พาณิชย์ ต้องค้า-ขายบริหารสินค้าเกษตร และระบายสต็อกสินค้าเกษตรทั้งหมด แต่ทุกครั้งที่มีการเปิดประมูลสินค้าเกษตร มักมีปัญหาส่อความไม่ชอบมาพากล จนถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งอนุกรรมการสอบสวน เมื่อตรวจพบสินค้าเกษตรบางรายการเป็นเพียงสต็อกลม และสินค้ามีที่มาที่ไปไม่โปร่งใส ขณะเดียวกันยังเกิดปัญหาสินค้าราคาแพง ทำให้สบช่องจัดรายการ "ธงฟ้าราคาประหยัด" อยู่ตลอดทั้งปี | ||
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
เสืออิ่ม สิงห์โอด | ถูกวิจารณ์จากทั้งคนในและนอกกระทรวงมหาดไทยว่า "เป็นยุคตกต่ำที่สุดของกระทรวงนักปกครอง" ที่ถูกเรียกขานตามสัญลักษณ์ "สิงห์" โดยปรากฏข่าวไม่ชอบมาพากลสารพัดโครงการ มีการแต่งตั้งโยกย้ายที่ถูกร้องเรียนว่าไม่เป็นธรรมมากที่สุด ทำลายสถิติเรื่องการมีว่าที่ปลัดกระทรวงมากที่สุด
จนนักปกครองทุกสี ทั้ง สิงห์ดำ-สิงห์แดง-สิงห์ขาวออกมาโอดครวญ เพราะถูก "เสือ" เจ้ากระทรวงขย้ำ จนไม่เหลือความเป็น "สิงห์" ขณะที่เสือ-คนรอบตัว รมว.กลับอิ่มหมีพีมันเสพสุข | ||
นายมั่น พัธโนทัย
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง) |
หยากไย่ | เป็นนักการเมืองรุ่นเก่าที่ได้เข้ามาร่วมรัฐบาลชนิดที่หลายฝ่ายคาดไม่ถึง เมื่อนำ ส.ส.พรรคมาตุภูมิ เพียง 3 เสียงมาร่วมรัฐบาล หลังพรรคประชาธิปัตย์ขับพรรคเพื่อแผ่นดินออกจากรัฐบาล แม้งานที่ทำจะเงียบเชียบ ไม่มีผลงานชัดเจน แต่ก็ยังชักใย-เกาะติดอยู่กับฝ่ายรัฐบาลได้ทุกยุค เปรียบเหมือน "หยากไย่" ที่เกาะอยู่ในบ้านเรือน ที่ไม่มีประโยชน์ รอวันถูกปัด-กวาดทิ้ง | ||
วาทะแห่งปี | "ถ้าเลือกตั้งแล้วนองเลือด แล้วผมชนะ ผมไม่เอาหรอก" | วาทะของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ โรงแรมเซนทาราแกรนด์ เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2553 | ||
พ.ศ.2554[6] | 60 | รัฐบาล | ทักษิณส่วนหน้า | สืบเนื่องจากการบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ไม่สามารถสลัดภาพว่ามีพี่ชายอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังได้ จนรัฐบาลชุดนี้เปรียบเหมือนศูนย์บัญชาการส่วนหน้าของตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องทำตามสิ่ง ที่พ.ต.ท.ทักษิณ คิดและวางไว้ให้
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประชานิยม ที่ชูสโลแกน "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" หรือในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ผู้ที่มีสิทธิได้ตำแหน่ง ต่างเดินทางไปถึงดูไบ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ไปกรุยทางให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนการเดินทางไปเยือนประเทศต่าง ๆ นอกเหนือไปจากการการันตีว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือโคลนนิ่งของตัวเอง |
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
(นายกรัฐมนตรี) |
นายกฯ นกแก้ว | เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้หญิงที่มีความสวย บุคลิกดี มีความความโดดเด่น คล้ายกับนกแก้วที่มีสีสันสวยงาม แต่กลายเป็นนกแก้วที่ต้องติดอยู่ในกรงทอง ไม่สามารถบินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง ต้องมีพี่เลี้ยงคอยประกบดูแลอย่างใกล้ชิด
บทบาทที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงต่อสาธารณชน จึงเป็นเพียงนกแก้วที่พูดตามบทที่มีคนเขียน หรือบอกให้พูดเท่านั้น และลักษณะการตอบคำถามก็มักพูดซ้ำไปซ้ำมา วกวนจนไม่รู้ข้อเท็จจริงคืออะไร หลายครั้งก็พูดผิด กระทั่งตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ในที่สุด | ||
พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ประแจปากตาย | อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ผู้นี้ เป็นคนที่มีบุคลิกพูดน้อย มีท่าทีแข็งทื่อ หลายครั้งทำเหมือนพูดไม่รู้เรื่อง ทำให้ไม่มีบทบาทตามหน้าสื่อหรือภายในพรรคเพื่อไทย
แต่ความจริง พล.ต.ท.โกวิท เป็นตัวเดินเกมและคอยแก้ไขปัญหาให้กับรัฐบาล รวมถึงพรรคเพื่อไทยในหลาย ๆ เรื่อง ที่โดดเด่น คือ การกล่อมให้ "พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี" ย้ายจากตำแหน่ง ผบ.ตร. มาเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเปิดทางให้กับ "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" พี่ภรรยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เป็น ผบ.ตร. สมใจ หลังเจ้าตัวรอคอยตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน | ||
ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง
(รองนายกรัฐมนตรี) |
กุมารทองคะนองศึก | กุมารทองมักสวมเครื่องทรง แทนสัญลักษณ์ของผู้มีตำแหน่งสำคัญ โดยลักษณะทั่วไปของกุมารทอง คือ จะทำงานตามคำสั่งและทำเพื่อประโยชน์ของผู้เลี้ยงเท่านั้น เช่นเดียวกับ ร.ต.อ.เฉลิม ที่จะทำงานตามคำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ
นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังมักจะเป็นพรายกระซิบ คอยบอกบทของเพื่อนรัฐมนตรีระหว่างการชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม ยังมีความซุกซน ชอบเข้าไปเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องที่ไม่ใช่งานในความรับผิดชอบของตัวเอง หวังเพียงสร้างประเด็นข่าว และยังมีความคึกคะนองพร้อมที่จะประกาศศึกกับใครก็ได้ จนบางครั้งกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้านไป | ||
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
ทักษิโด้ โชว์ห่วย | จากอดีตที่ผ่านมา นายยงยุทธเคยเป็นถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มีประวัติการทำงานที่เป็นถึงอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ได้จัดตั้งรัฐบาล นายยงยุทธจึงถูกวางตัวให้รับตำแหน่งสำคัญในฐานะ รมว.มหาดไทย เพื่อตอบแทนความภักดีที่คอยดูแลพรรคในช่วงเวลาที่ตกต่ำสุดขีด
แต่นอกจากการเป็นผู้ที่แต่งกายและมีบุคลิกดี คล้ายผู้ชายใส่ "ทักซิโด" เมื่อถึงเวลาแสดงผลงานกลับสอบตก "โชว์ห่วย" จนมีเสียงเรียกร้องภายในพรรคให้ปรับออกจากตำแหน่ง นอกจากนี้ คำว่า "ทักษิโด้" ยังเป็นการล้อจากชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้อยู่เบื้องหลังของการได้มาซึ่งตำแหน่งของนายยงยุทธด้วยเช่นกัน | ||
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) |
"ปึ้ง" เป้าเป๊ะ | "ปึ้ง" เป็นชื่อเล่นของนายสุรพงษ์ ผู้ที่ถูกสังคมตั้งคำถามนับแต่เข้ารับตำแหน่ง รมว.การต่างประเทศ ว่ามีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการรับตำแหน่งสำคัญนี้ได้หรือไม่
แต่ผลงานตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนผลงานนายสุรพงษ์เข้าเป้าทุกประการ เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการขอวีซ่าเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และอาศัยจังหวะชุลมุนช่วงน้ำท่วม ออกหนังสือเดินทางให้กับอดีตนายกฯ หรือแม้แต่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกระทรวง | ||
นายธีระ วงศ์สมุทร
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
ขงเบ๊ | "ขงเบ้ง" เป็นกุนซือคนสำคัญในเรื่อง สามก๊ก ซึ่งนายธีระเคยนำไปเปรียบเปรยในสภา ถึงปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมาว่า "ต่อให้ขงเบ้งมาเกิดใหม่ ก็แก้ปัญหาไม่ได้"
ซึ่งนอกจากนายธีระไม่ใช่คนที่คอยวางแผนให้คนอื่นปฏิบัติตามแล้ว ยังจะเป็นคนที่รับคำสั่งจาก นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ทั้งงานในกระทรวงเกษตรฯ และการบริหารจัดการน้ำ คำว่า "เบ๊" นอกจากแปลว่า ทำตามคำสั่งคนอื่นแล้ว ยังมาจากแซ่ของนายบรรหาร ที่แปลว่า "ม้า" หรือ "อาชา" ด้วย | ||
นายพิชัย นริพทะพันธุ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) |
ไอเดียกระฉอก | เป็นเจ้าโพรเจกต์ สารพัดคิด หลายเรื่องยังไม่ได้ข้อสรุปในที่ประชุม ก็เป็นเจ้าตัวที่ทำให้กระฉอกออกมา อย่างโครงการ "นิวไทยแลนด์" ที่เจ้าตัวออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมกู้เงิน 900,000 ล้านบาท เพื่อมาฟื้นฟูประเทศ แต่สุดท้ายนายกรัฐมนตรีกลับปฏิเสธว่า ไม่มีโครงการดังกล่าว
หลายไอเดียที่เจ้าตัวคิดออกมาดัง ๆ แล้วถูกติติงจากผู้รู้ว่า ไม่น่าจะนำไปปฏิบัติได้จริง เพียงข้ามวัน นายพิชัยก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่ไอเดียของตน เหมือนน้ำที่กระฉอกไป กระฉอกมา หาอะไรแน่นอนไม่ได้ สุดท้ายผลงานเลยไม่เป็นไปตามเป้า | ||
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
ปุเลง...นอง | ล้อมาจากคำว่า "บุเรงนอง" ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในนิยาย "ผู้ชนะสิบทิศ" เช่นเดียวกับนายกิตติรัตน์ที่เป็นขุนพลด้านเศรษฐกิจ ผู้ประกาศตัวว่าจะเข้ามากู้วิกฤติให้กับประเทศ แต่การทำงานของนายกิตติรัตน์ กลับเป็นไปอย่างติด ๆ ขัด ๆ ไม่ราบรื่นเหมือนกับปุเลง ๆ ไปเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ยังมีปัญหากับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง หลายครั้งหลายหน กระทั่งเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ ทะลักเข้านิคมอุตสาหกรรมสำคัญหลายแห่ง สร้างความเสียหายมหาศาล จนท้ายที่สุด นายกิตติรัตน์ต้องน้ำตานองหน้าต่อคนทั้งประเทศ | ||
พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม) |
อินทรีหลงป่า | พล.ต.อ.ประชา มีดีกรีเป็นถึงอดีตอธิบดีกรมตำรวจ พื้นเพเป็นคนอีสาน และได้แสดงผลงานการปราบปรามสมัยสวมเครื่องแบบสีกากีอย่างโดดเด่น จนถูกขนานนามว่า เป็น "อินทรีอีสาน"
แต่เมื่อเข้ามาเป็นรัฐมนตรี กลับได้รับงานที่ผิดฝาผิดตัว คือ "งานแก้ปัญหาน้ำท่วม" ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ซึ่งไม่ใช่งานที่ถนัด อีกทั้งการแก้ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร หลงทิศหลงทาง ส่งผลให้ปัญหาน้ำท่วมลุกลาม ประชาชนหลายพื้นที่เกิดความขัดแย้ง กระทั่งตัว พล.ต.อ.ประชา ยังถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และถูกฝ่ายค้านยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง จึงเป็นที่มาของ "อินทรีหลงป่า" | ||
นายปลอดประสพ สุรัสวดี
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) |
ผีเจาะปลอด | เป็น รมว.วิทยาศาสตร์ฯ แต่โด่งดังจากการเตือนภัยว่าน้ำจะท่วม กทม. ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า "ตื่นตูมเกินเหตุ" แต่ท้ายสุดน้ำก็ท่วม กทม.จริง ๆ นับจากนั้น นายปลอดประสพจึงมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลเรื่องน้ำ อย่างไรก็ตาม การเตือนภัยระยะหลังของนายปลอดประสพ จะเป็นไปในลักษณะให้ตื่นกลัวมากกว่าตื่นตัว
ที่สำคัญด้วยบุคลิกของนายปลอดประสพที่เป็นคนพูดเก่ง แม้แต่เรื่องที่ไม่ให้พูด เปรียบเสมอ "ผีเจาะปาก" แต่สำหรับนายปลอดประสพกลายเป็น "ผีเจาะปลอด" เพราะการพูดแต่ละครั้ง มักจะทำให้คนตื่นกลัว หรือตกใจ | ||
วาทะแห่งปี | "น้ำตาที่ไม่ได้ไหลจากความอ่อนแอ ใครไม่โดนไม่รู้ มันเป็นอารมณ์ร่วม" | วาทะของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2554
ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังเผชิญวิกฤติอย่างหนัก หลังจากไม่สามารถสกัดกั้นไม่ให้น้ำเข้ามาท่วมกรุงเทพฯ รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ ผลโพลต่าง ๆ ก็ออกมาตรงกันว่า ไม่เชื่อถือการทำงานของรัฐบาล นำไปสู่คำถามที่ว่า รัฐบาลจะสามารถประคองตนจนถึงสิ้นปีหรือไม่ ช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะไปปฏิบัติงานที่ใด น.ส.ยิ่งลักษณ์ มักจะหลั่งน้ำตาออกมา จนหลายคนมองว่า เป็นพฤติกรรมที่สะท้อนภาวะจิตใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ไม่ได้ต้องการเล่นการเมืองมาแต่ต้น แต่ถูกพี่ชายผลักดันให้มาทวงความเป็นธรรมให้กับตระกูลชินวัตร แม้จะเฉไฉไปว่าร้องไห้เพราะเห็นใจประชาชนก็ตาม | ||
พ.ศ.2555[7] | 60 | รัฐบาล | พี่คนแรก | ล้อคำมาจากนโยบายที่ขึ้นชื่อของรัฐบาล เช่น รถคันแรก บ้านหลังแรก แต่ด้วยความที่รัฐบาลต้องทำงานบริหารประเทศ โดยมีเงาของพี่ชาย พี่สาว พาดผ่านเข้ามา
รวมไปถึงปัญหาต่าง ๆ ก็มาจากเรื่องของพี่ ทั้งปัญหาของบ้านเมือง ข้าวของแพง ปัญหาปากท้องของชาวบ้าน ข้อครหาทุจริตไม่ได้รับการแก้ไข หรือชี้แจงอย่างชัดเจน เรียกได้ว่า เอะอะอะไรก็พี่ เรื่องของพี่ต้องมาก่อน ต้องมาเป็นอับดับแรก |
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
(นายกรัฐมนตรี) |
ปูกรรเชียง | ล้อจากชื่อเล่นของนายกฯ คือ "ปู" ซึ่งลักษณะของปู คือ เดินเซไปเซมา ไม่ตรงทาง
ในการบริหารงานของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องแบกภาระ และใบสั่งจากพี่ชายชื่อทักษิณ พี่สาว (เจ๊ ด.) แม้แต่คนรอบข้างก็คอยลากไปลากมา ทำงานไม่เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรม ได้แต่เดินโชว์ไปโชว์มา เมื่อมีปัญหาทางการเมือง ก็มักจะตีกรรเชียง ลอยตัวหนีปัญหา | ||
ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง
(รองนายกรัฐมนตรี) |
กันชนตระกูลชิน | บอดี้การ์ดคอยปกป้องนายกฯ และนายใหญ่ โดยเฉพาะคนตระกูลชินวัตร ทุกรูปแบบทั้งงานในสภา และม็อบต้านรัฐบาล เดินหน้าท้าชนทุกเรื่อง แต่กลัวการลงไปแก้ปัญหาภาคใต้ ผลงานโดดเด่น คือ การปราบปรามยาเสพติด | ||
นายปลอดประสพ สุรัสวดี
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ปั้นน้ำเป็นทุน | ผลงานโดดเด่น คือ "รับผิดชอบการแก้ปัญหาน้ำท่วม" และเนื่องจากปีนี้น้ำไม่ท่วม จึงแอ็กอาร์ต คุยโม้ มั่นใจว่าเป็นฝีมือของตนเอง โดยเฉพาะเมื่อได้รับการเลื่อนขั้นจากรัฐมนตรี ขึ้นเป็นรองนายกฯ ที่ได้ดูแลโพรเจกต์น้ำ มูลค่ากว่า 350,000 ล้าน | ||
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) |
ลูกไก่ไวต์ไล | เป็นถึงรองนายกฯ ที่กำกับดูแลงานด้านเศรษฐกิจของประเทศ แต่กลับดิสเครดิตตัวเองจากกรณีโกหกสีขาว (White Lie) คือ การตั้งเป้าทางเศรษฐกิจเกินจริง จนถึงถูกตราหน้าว่าขี้โกหก เหมือนเด็กเลี้ยงแกะ
ส่วนคำว่าลูกไก่ ล้อจากชื่อเล่น "โต้ง" แต่เนื่องจากผลงาน และประสบการณ์ ทางการเมืองยังไม่เด่นชัด และเก่งกาจตามที่ถูกคาดหวัง จึงเป็นได้เพียงลูกไก่ ไม่ใช่ไก่โต้ง | ||
พลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณทัต
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) |
ตามล่าหน้าหล่อ | ตำแหน่งใหญ่โตแต่กลับไม่มีผลงานโดดเด่นด้านความมั่นคง ผลงานเป็นที่ประจักษ์เพียงอย่างเดียว คือ การไล่ล่าอดีตนายกฯ หน้าหล่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อถอดยศ กรณีหนีการเกณฑ์ทหาร
นอกจากนี้ยังถูกหลาน "โอ๊ก - พานทองแท้ ชินวัตร" โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กสั่งสอนข่าวลอบทำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้ง ๆ ที่พานทองแท้ เป็นเพียงเด็กที่ผ่านการเรียน ร.ด.มาเท่านั้น แต่สามารถสั่งสอนคนระดับนายพลได้ | ||
นายชัชชาติ สิทธิพันธ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
โฟร์แมนสแตนบาย | เป็นรัฐมนตรีน้องใหม่ เป็นที่คาดหวังของรัฐมนตรีน้ำดี ถูกมอบหมายให้ทำงานสารพัด เป็นคนเก่ง ไฟแรง ประกาศไม่ขอยุ่งการเมือง เร่งผลักดันงานด้านคมนาคมด้านต่าง ๆ อาทิ รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า ฯลฯ | ||
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
บุญทรุด | รัฐมนตรีที่รับผิดชอบนโยบายหลักของรัฐบาล คือ "การรับจำนำข้าว การแก้ปัญหา สินค้าราคาแพง" แต่กลับถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ โดยเฉพาะเรื่องการรับจำนำข้าว แทนที่จะเป็นผลงาน กลับกลายเป็นจุดอ่อนให้ถูกโจมตี ข้อกล่าวหาต่าง ๆ ไม่สามารถชี้แจงได้ อาทิ สัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจี
ขณะเดียวกันกลับถูกมองว่า ที่ยังสามารถเป็นรัฐมนตรีอยู่ได้ เพราะเป็นเด็กเจ๊ ด. | ||
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) |
สิงห์สำรอง | สัญลักษณ์ของกระทรวงมหาดไทย คือ "สิงห์" แต่เส้นทางการเข้ามาทำหน้าที่ของนายจารุพงษ์ ทั้งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ถูกมองว่าเป็นเพียงหุ่นเชิด ไม่ใช่ตัวจริง เป็นการเดินตามรอย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่เจอวิกฤติการเมืองจนต้องลาออกไป จึงถูกมองว่าเป็นได้เพียงสิงห์สำรองเท่านั้น | ||
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโลโนยี) |
ด.ดันดี | เด็กเจ๊แดง (นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์) ผลงานไม่เป็นที่ปรากฏ แต่ไม่เคยถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี ยึดเก้าอี้ได้เหนียวแน่นแถมล่าสุด ยังไต่ระดับขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการเลยทีเดียว เชื่อว่ามีแรงดันดีจากเจ๊ ด. อีกคน | ||
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
ไพร่เทียม | เป็นโควตาหนึ่งเดียวของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คนเสื้อแดงที่ได้เป็นรัฐมนตรี แม้ในการปรับคณะรัฐมนตรีล่าสุด ก็ยังคงเป็นได้เป็นรัฐมนตรี ส่งผลให้นายจตุพร พรหมพันธ์ หนึ่งในแกนนำ นปช. ที่ได้รับการคาดหมาย จะได้รับตำแหน่งต้องพลาดหวัง ขณะที่ผลงานไม่เด่นชัด มีชัดเจนเพียงการพูดเก่ง ดีแต่ปาก ขณะที่เมื่อมาเป็นรัฐมนตรี กลับใช้ชีวิต และการทำงาน ลักษณะอำมาตย์ ไม่ต่างจากคำว่าไพร่เทียม | ||
วาทะแห่งปี | "คำว่าลอยตัวนั้น ต่างกับคำว่าไม่รับผิดชอบ" | วาทะของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (นายกรัฐมนตรี) กล่าวระหว่างชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ณ รัฐสภา เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2555
หลังถูกกล่าวหาเรื่องการขาดความรับผิดชอบ ลอยตัวเหนือปัญหา ไม่ชี้แจงประเด็นที่ถูกกล่าวหา โดยเฉพาะเรื่องนโยบายรับจำนำข้าว โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใส และเอื้อผลประโยชน์พวกพ้อง | ||
พ.ศ.2556 | 60 | งดตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐบาลประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เพื่อรอการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ทำให้รัฐบาลชุดนี้มีสถานะเป็นรัฐบาลรักษาการ | ||
พ.ศ.2557 | - | งดตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และบรรยากาศทางการเมืองยังอยู่ในภาวะไม่ปกติ อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง เชื่อมโยง หรือขยายผลทางการเมือง |
ฉายารัฐบาลฯ ประจำปี 2558-2562
แก้ปี | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ | ฉายาและวาทะแห่งปี | ความหมายหรือที่มา | |
---|---|---|---|---|
พ.ศ.2558 | - | งดตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และบรรยากาศทางการเมืองยังอยู่ในภาวะไม่ปกติ อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง เชื่อมโยง หรือขยายผลทางการเมือง | ||
พ.ศ.2559 | ||||
พ.ศ.2560 | ||||
พ.ศ.2561 | ||||
พ.ศ.2562[8] | 62 | รัฐบาล | รัฐเชียงกง | สะท้อนภาพรัฐบาลคล้ายแหล่งค้าขายอะไหล่มือสอง ประกอบกันขึ้นจากข้าราชการยุคก่อน และนักการเมืองหน้าเก่า แม้ใช้ประโยชน์ได้ แต่ยังขาดความน่าเชื่อถือ สะท้อนความไม่มีเสถียรภาพ |
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) |
อิเหนาเมาหมัด | ยกคำสุภาษิตไทย "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง" เปรียบแนวทางปฎิบัติและนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่เห็นได้ชัดหลายเรื่อง มักจะตำหนิหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และสุดท้ายก็กลับมาทำเอง เช่น โครงการลักษณะประชานิยม บอกไม่เป็นนายกฯ สุดท้ายก็กลับลำคำโต บอกไม่อยากเล่นการเมืองก็หนีไม่พ้น การหนีการตอบกระทู้ในสภาฯ มองข้ามข้อครหาเรื่องงูเห่าการเมือง การซื้อตัว ส.ส. การแต่งตั้งคนมีคดีความที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองเป็นรัฐมนตรี การแต่งตั้งญาติพี่น้องเข้าสภาฯ การยอมให้พรรคที่สนับสนุนใช้นโยบายค่าแรงหาเสียง ทั้งที่เคยตำหนิว่าการขึ้นค่าแรงเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน
อีกทั้งไม่สามารถควบคุมให้รัฐบาลมีความเป็นเอกภาพ เกิดปัญหาติดขัดการทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงงบประมาณที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบ และ ฝ่ายตรงข้ามรุมเร้าคล้ายโดนระดมหมัดเข้าถาโถม แม้พยายามสวนหมัดสู้ แต่หลายครั้งถึงกับมึนชกโดนตนเองก็มี | ||
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
พี่ใหญ่สายเอ็นฯ | ในฐานะพี่ใหญ่ของ สาม ป. นอกจากจะต้องคอยดูแลน้องรักแล้ว ยังต้องเอ็นเตอร์เทนพรรคร่วมรัฐบาล และต้องเอ็นดูคนในพรรคพลังประชารัฐที่ได้รับมอบหน้าที่ประธานยุทธศาสตร์ทุกด้าน ตั้งแต่คดีระหว่างประเทศ ยันฟาร์มไก่ ทำให้งานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแล เหลือเพียงเดินสายเปิดงานอีเวนต์ และประชุมทั่วไปเท่านั้น | ||
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ชายน้อยประชารัฐ | เจ้าของโครงการประชารัฐ ที่หวังเดินหน้าต่อยอดในรัฐบาลนี้ กลับทำไม่ได้อย่างที่หวัง ถูกริบอำนาจงานด้านเศรษฐกิจหลายกระทรวง คล้ายคนง่อยเปลี้ยเสียขา ขาดมือไม้ในการทำงาน ทำให้เดินหน้าโครงการไม่ได้ 100% ถึงกับออกปากว่า "ตอนนี้เหมือนคนที่เหลือเพียงขาเดียวเท่านั้น สุดท้ายเหมือนตัวคนเดียว พรรคร่วมก็ไม่เอาด้วย" | ||
นายวิษณุ เครืองาม
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ศรีธนญชัยรอดช่อง | ความเป็นกูรูด้านกฎหมายของรัฐบาล สามารถช่วยรัฐบาลรอดพ้นปากเหวได้ทุกครั้ง เปิดทางตันด้วยช่องว่างทางกฎหมายที่แม้แต่แว่นขยายก็ยังมองไม่เห็น | ||
นายอนุทิน ชาญวีรกูล
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) |
สารหนู | แม้มีชื่อเล่นว่า "หนู" แต่ก็ไม่หนูอย่างที่คิด พิษสงรอบตัว ด้วยจำนวน ส.ส. ในมือ มีผลต่อความเป็นไปของรัฐบาล จนสามารถต่อรองคุมกระทรวงใหญ่ไว้ในมือได้ อีกทั้งนโยบายแบนสามสารพิษ ก็โดดเด่นและถูกจับตามอง ถึงกับเป็นชนวนความขัดแย้งเกิดขึ้นในรัฐบาล ก่อนจะสยบรอยร้าวได้ในที่สุด | ||
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
รัฐอิสระ | เมื่อฝ่ายค้านมีฝ่ายค้านอิสระ รัฐบาลนี้ก็มีฝ่ายรัฐบาลอิสระเช่นกัน ให้ความสำคัญและเดินหน้าเฉพาะนโยบายของพรรคตนเองเป็นหลัก ไม่สนใจภาพรวมของรัฐบาล ไม่สามารถควบคุม ส.ส.ของพรรคได้ สร้างความหวาดระแวงภายในรัฐบาลตลอดเวลา ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐ | ||
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
โอ๋ แซ่รื้อ | ตั้งแต่เข้ามากำกับดูแลกระทรวงคมนาคม ผุดไอเดียบรรเจิดจนคนต่อต้าน เช่น ติดตั้ง GPS ในรถยนต์ส่วนบุคคล ไม่พอยังเดินหน้ารื้อหลายโครงการที่เป็นปัญหา เช่น "รื้อมาตรการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า รื้อคดีค่าโง่ทางด่วน รื้อหลักสูตรสอบใบขับขี่ รื้อแผนท่าเรือปากบารา-สงขลา 2 รื้อแผนฟื้นฟู ขส.มก. แม้แต่ไม้กั้นรถไฟยังถูกรื้อ" | ||
นายวราวุธ ศิลปอาชา
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) |
สัปเหร่อออนท็อป | นับแต่เข้ารับตำแหน่ง ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันซ้ำไปซ้ำมา กับบรรดาสิงสาราสัตว์ที่มีชื่อเสียง ทั้ง พะยูนมาเรียม แพนด้าช่วงช่วง เสือของกลาง ช้างป่าเขาใหญ่ เป็นความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ก็สามารถแสดงศักยภาพรับมือเหตุต่าง ๆ ได้ดี คล้ายทำหน้าที่สัปเหร่อเก็บกวาดทุกเรื่อง รวมไปถึงคดีความร้อน ๆ ของคน และพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ | ||
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
เทามนัส | แม้คดีความต่าง ๆ จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่การถูกขุดคุ้ยล่าสุดทั้งเรื่องคดียาเสพติดในต่างประเทศ และวุฒิการศึกษา ยังทำให้คนกังขา ไม่เชื่อมั่นในความโปร่งใส รวมถึงการทำหน้าที่มือประสานสิบทิศทางการเมือง ก็ยังถูกครหาเรื่องการซื้อตัว ส.ส.พรรคเล็ก และดีลการเมืองกับฝ่ายค้านอีกด้วย | ||
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
มาดามแบนเก้อ | ด้วยบุคลิกเฉิดฉาย เด็ดเดี่ยว และโดดเด่น เดินหน้าแบนสามสารพิษ อย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แม้ต้องชนกับเจ้ากระทรวงของตัวเองก็ไม่หวาดหวั่น เดินหน้าตามธงที่ถือไว้ แต่จนแล้วจนรอด การแบนสามสารก็ยังไม่สามารถปฏิบัติได้จริง | ||
วาทะแห่งปี | "อย่าเพิ่งเบื่อผมก็แล้วกัน ยังไงผมก็อยู่อีกนานพอสมควร" | วาทะของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) กล่าวระหว่างให้โอวาทเจ้าหน้าที่และนักกีฬาทีมชาติไทยที่จะเดินทางไปร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2562 |
ฉายารัฐบาลฯ ประจำปี 2563-ปัจจุบัน
แก้ปี | คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ | ฉายาและวาทะแห่งปี | ความหมายหรือที่มา | |
---|---|---|---|---|
พ.ศ.2563[9] | 62 | รัฐบาล | VERY กู้ | เปรียบเปรยการทำงานของรัฐบาล ที่ต้องกอบกู้วิกฤตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 กู้ชีวิตคนไทยให้อยู่รอดปลอดภัย แม้จะยังไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ แต่ก็ยังดีกว่าหลายประเทศ แม้จะไม่ถึงขั้น Very Good ก็ตาม
ขณะเดียวกัน ผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องคนไทยที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินและภาวะตกงาน บางคนต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่อาจรับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่งผลให้รัฐบาลต้องกู้เงินสูงที่สุดในประวัติศาสตร์มาบรรเทาปัญหา |
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) |
ตู่ไม่รู้ล้ม | เป็นการล้อคำ "โด่ไม่รู้ล้ม" ชื่อยาดองชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณทำให้กระปี้กระเปร่า คึกคัก ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย สะท้อนถึงการทำงานของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ว่าจะประสบปัญหา อุปสรรคทางการเมือง หรือการชุมนุมขับไล่ถาโถมขนาดไหน ก็ยังยืนหยัดฝ่าฟันอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป | ||
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ป้อมไม่รู้โรย | ล้อจากคำว่า "บานไม่รู้โรย" ด้วยภาพลักษณ์ของพี่ใหญ่ 3 ป. ในวัย 75 ปี ยังคงทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีเคียงข้างน้อง ๆ ได้อย่างแข็งขัน แถมยังแผ่บารมีควบเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล
เหมือนกับ "ดอกไม้ ที่แม้จะบานมายาวนานมากแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้โรย" แถมยังสอดคล้องกับวลีติดปากที่ พล.อ.ประวิตร มักจะพูดตอนตอบคำถามสื่อมวลชนแทบทุกครั้งว่า "ไม่รู้ ๆ" อีกด้วย | ||
นายวิษณุ เครืองาม
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ไฮเตอร์ เซอร์วิส | เป็นการยกคุณสมบัติเด่นของนายวิษณุ ที่สามารถหาทางออกปัญหาหนักอกของคนในรัฐบาล โดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมายได้อย่างเชี่ยวชาญ จนมักถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
เปรียบได้กับผลิตภัณฑ์ซักฟอกขาวยี่ห้อดังที่สามารถล้างคราบสกปรกให้ขาวสะอาดหมดจดได้ จนอาจทำให้เนื้อผ้าเสียหาย ขาดความสวยงาม คล้ายกับชื่อเสียงของรัฐบาลที่สึกกร่อนตามไปด้วย | ||
นายอนุทิน ชาญวีรกูล
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) |
ทินเนอร์ | ด้วยชื่อ "อนุทิน" ซึ่งพ้องกับทินเนอร์ สารระเหยที่มีทั้งคุณและโทษ ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท หากสูดเดาเข้าไปมาก ๆ ก็อาจทำลายระบบประสาท กระทบกระเทือนความรู้สึกนึกคิด คล้าย "พฤติกรรมการใช้คำพูดที่ขาดความยั้งคิด ส่งผลลบต่อตนและรัฐบาลหลาย ๆ ครั้ง"
โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน จนกลายเป็นประเด็นลดความน่าเชื่อถือของตนเอง เช่น "โควิด...กระจอก, การไล่นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับประเทศ หรือแม้แต่การตอบโต้กับบุคลากรทางการแพทย์" จนเกิดกระแสต่อต้านจากสังคมหลายต่อหลายครั้ง | ||
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
เช้าสายบ่ายเคลม | สะท้อนการทำงานที่เห็นได้บ่อยครั้งว่านายจุรินทร์เป็นคนไม่ตรงต่อเวลา เข้าร่วมประชุมสายสม่ำเสมอ แถมมีบุคลิกการทำงานที่นิ่งเงียบ ไม่รับมือกับปัญหาที่ส่งผลลบต่อตนและพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้าเป็นเรื่องดี ๆ ที่มีผลต่อคะแนนนิยม นายจุรินทร์ก็จะรีบเคลมผลงานดังกล่าวทันที | ||
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
ศักดิ์สบายสายเขียว | แม้จะต้องเผชิญกับปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว และอีกหลายโครงการที่ขัดแย้งกับหลายหน่วยงาน แต่นายศักดิ์สยามก็ยังได้รับการสนับสนุนเกื้อกูลอย่างดีจากนายกรัฐมนตรี จนระยะหลัง ๆ เรียกได้ว่า "ขึ้นหม้อ" ตามติดนายกรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิด
ขณะที่การทำงานในพรรคภูมิใจไทย ก็อยู่ได้อย่างไร้ความกังวล เพราะมีพี่ชายที่ชื่อ "เนวิน ชิดชอบ" คอยดูแลปัดเป่าทุกข์ภัยต่าง ๆ ให้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สุขสบายไร้ความกังวลจริง ๆ | ||
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) |
พัง PORN | สะท้อนการทำงานที่ล้มเหลวในฐานะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานด้านโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักที่ถูกนำมาใช้โจมตีรัฐบาลอย่างหนักหน่วงในช่วงหลัง ๆ
แม้นายพุทธิพงษ์จะแก้ปัญหา ด้วยการเปิดศูนย์ Anti-Fake News ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ได้ และล่าสุดก็มีดรามาร้อน ๆ หลังนายพุทธิพงษ์สั่งปิดการเข้าถึงเว็บไซต์ปลุกใจเสือป่าชื่อดัง อย่าง "PornHub" จนเกิดกระแสต่อต้านและลุกลามบานปลายใหญ่โต | ||
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) |
หวีดดับ | ภาพลักษณ์อดีตแกนนำ กปปส. ยังคงเป็นภาพจำที่ผู้คนไม่อาจลบเลือน เช่นเดียวกับนกหวีดที่ถูกหยิบยกมาใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อเปรียบเปรย แม้นายณัฏฐพลจะได้กำกับดูแลงานในกระทรวงเกรดเอ แต่เขากลับไม่มีผลงานโดดเด่นเลย จะมีก็เพียงข่าวกระแสต่อต้านรายวัน หนักหน่วงที่สุด ก็คือ "การถูกกลุ่มนักเรียน-นักศึกษารวมตัวเรียกร้องและขับไล่หน้าตึกกระทรวง" | ||
นายสันติ พร้อมพัฒน์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง) |
ค้างคลัง | ต่อให้ฝันไกล แต่นายสันติก็ยังไปไม่ถึงดวงดาว แม้ตำแหน่ง รมว.คลัง จะมีการปรับเปลี่ยนถึง 2 ครั้ง แต่คนนอกสายตาก็ยังคงเป็นคนนอกสายตา ถูกรั้งให้เป็นได้แค่ รมช.คลัง ทั้งที่นายสันติทุ่มเทให้กับพรรค แถมเคยออกตัวแรง แสดงชัดเจนว่า "ตนพร้อมมาก ที่จะทำหน้าที่นี้" แต่สุดท้ายนายสันติก็ยังค้างอยู่ที่ตำแหน่งเดิม | ||
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์
(รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) |
แชมป์ไตรกีฬา | "ไตรกีฬา" ประกอบด้วยกีฬา 3 ชนิดคือ วิ่ง ว่ายน้ำ และปั่นจักรยาน สะท้อนภาพลักษณ์นางนฤมลได้อย่างครบถ้วนชัดเจน เพราะเธอควบทั้งตำแหน่ง รมช. และเหรัญญิกของพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องวิ่งเต้น เข้าหาผู้ใหญ่ และปลุกปั่นกระแส
แม้จะถูกกล่าวหาว่าลืมบุญคุณ "นายอุตตม สาวนายน (อดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ)" ผู้ชักนำเข้าสู่เส้นทางการเมือง แต่เธอก็ไม่หวั่นเสียงวิจารณ์ เดินหน้าจนสามารถคว้าตำแหน่งที่ต้องการได้สำเร็จ ทั้งที่เป็นนักการเมือง และ ส.ส. สมัยแรกเท่านั้น | ||
วาทะแห่งปี | "ไม่ออก...แล้วผมทำผิดอะไรหรือ" | วาทะของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) กล่าวระหว่างตอบข้อซักถามสื่อมวลชน พร้อมกับบรรดาคณะรัฐมนตรีที่ยืนเรียงหน้าประกาศความเหนียวแน่น ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2563
หลังกลุ่มผู้ชุมนุมยื่นข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง | ||
พ.ศ.2564[10] | 62 | รัฐบาล | ยื้อยุทธ์ | ภาพของรัฐบาลที่ยื้อแย่งกันเองทั้งในส่วนของอำนาจและตำแหน่ง โดยไม่สนใจประชาชน ทำให้การเดินหน้าบริหารประเทศ ถูกมองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม
ประกอบกับ การดำรงอยู่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล ก็คล้ายกับการทำทุกวิถีทาง เพื่อยื้อยุดให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่อ ไม่หวั่นแม้จะมีการชุมนุมขับไล่ไสส่งอย่างต่อเนื่อง "ใครไม่อยู่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงอยู่" |
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
(นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) |
ชำรุดยุทธ์โทรม | การบริหารราชการแผ่นดินตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ถือได้ว่าเป็นผู้ที่รับบทหนักที่สุดแห่งปี ถูกมองว่าทำงานล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาโควิด-19 การกระตุ้นเศรษฐกิจ การบริหารราชการ หรือแม้แต่เรื่องการเมือง จนถูกโจมตีจากรอบด้าน
แม้ยังคงอยู่ในตำแหน่งได้ แต่ก็ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมสภาพ และบอบช้ำ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ | ||
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
รองช้ำ | ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พี่ใหญ่ในตระกูล 3 ป. อย่าง "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" ประสบกับเรื่องช้ำ ๆ เจ็บซ้ำ ๆ มาโดยตลอด หลายสถานการณ์ต้องตกเป็นรอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องการเมือง
โดยเฉพาะปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐที่เกิดความแตกแยกอย่างหนัก สะเทือนถึงพี่น้องอีก 2 ป. สั่นคลอนนิยาม "3 ป. Forever" ซ้ายก็น้องรัก (ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) ขวาก็ลูกน้องที่รัก (กลุ่ม 3 ช. ประกอบด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์, นายสันติ พร้อมพัฒน์) หักใจเลือกใครก็ไม่ได้ สุดท้ายต้องยอมแบกความเจ็บช้ำไว้คนเดียว | ||
นายอนุทิน ชาญวีรกูล
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) |
ว้ากซีน | เป็นการล้อมาจากคำว่า "วัคซีน" เพราะช่วงที่ผ่านมา ภาพบุคลากรทางการแพทย์ดาหน้าออกมาเรียกร้องวัคซีนชนิด mRNA ประกอบกับประชาชนพากันว้าก โวย เหวี่ยง ตำหนิการจัดหาและให้บริการวัคซีนที่ถูกเลื่อนแบบไม่มีกำหนด เพราะวัคซีนที่สั่งซื้อไม่มาตามนัด
ไม่ว่านายอนุทินจะชี้แจงอย่างไร กระแสตอบรับโดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์กลับไม่มีคำว่ารักษาน้ำใจ หรือเห็นถึงความพยายามในการแก้ปัญหาท่ามกลางภาวะวิกฤต จนนายอนุทินต้องออกมาโต้ตอบอย่างดุเดือดผ่านสื่อและโซเชียลทุกครั้งที่มีโอกาส | ||
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
นายกฯ บางโพล | แม้ปีนี้จะยังไม่เข้าสู่ช่วงการเลือกตั้งใหญ่ แต่หัวหน้าพรรคการเมืองหลายพรรคก็แสดงความพร้อมประกาศตัวเป็นนายกรัฐมนตรี หนึ่งในนั้น คือ "นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีผลสำรวจความคิดเห็น หรือโพลบางสำนักเท่านั้นที่ต้องการให้ นายจุรินทร์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เปรียบได้กับการเป็นนายกรัฐมนตรีแค่บางโพล แต่ไม่ใช่ทุกโพลที่ต้องการให้เป็น | ||
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
(รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) |
มหาเฉื่อย 4D | ตลอดการดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ นายสุพัฒนพงษ์ยังแสดงฝีมือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่เด่นชัด ทำให้ประชาชนกลายเป็นประชาจน เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ตั้งแต่ ปัญหาราคาน้ำมันแพง จนสมาคมรถบรรทุกออกมาประท้วงและหยุดวิ่ง
แม้จะแก้ปัญหาด้วยการผุดโครงการต่าง ๆ ออกมามากมาย แต่ก็มิวายถูกมองว่าเป็นนโยบายขายฝัน ด้วยเอกลักษณ์เดินถือแก้วกาแฟสบายใจเฉิบ มอบนโยบายเหมือนบรรยายธรรม โดยเฉพาะนโยบาย 4D ที่ตนท่องจนเป็นคาถาติดปาก จึงไม่แปลกที่เขาจะได้รับฉายานี้ไป | ||
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) |
ดีลล่มระดับโลก | การท่องเที่ยวถือเป็นรายได้สำคัญของประเทศไทย การจัดอีเวนต์จึงเป็นหนทางฟื้นเศรษฐกิจและทำให้ทั่วโลกหันกลับมามองประเทศไทย นายพิพิฒน์จึงวาดฝันจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ออกตัวการันตีว่า "ลิซา จากวง BLACKPINK" ศิลปินเกาหลีสัญชาติไทยที่โด่งดังในระดับโลก ได้ตอบรับมาร่วมงานนี้แน่นอน
แต่ดีลก็ล่มไม่เป็นท่า เมื่อต้นสังกัด YG Entertainmen ออกแถลงการณ์ดับฝัน ทำให้รัฐบาลเสียเครดิต หรือแม้แต่โครงการจังหวัดนำร่องที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยโดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน อย่าง "Sandbox" ก็เกือบจะเป็น Sadbox เพราะต้องลดพื้นที่ให้เหลือแค่จังหวัดภูเก็ตเพียงจังหวัดเดียว เป็นผลมาจากโควิด-19 ที่ระบาดรุนแรงอีกระลอก | ||
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม) |
สายขม นมชมพู | ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวที่คาราคาซังมานานข้ามปียังไม่มีข้อยุติ ผลพวงมาจากภาระหนี้สินก้อนใหญ่ที่ยังหาทางออกไม่ได้ กลายเป็นเรื่องขมคอของหลาย ๆ หน่วยงาน
ซ้ำร้ายนายศักดิ์สยาม ยังมีภาพหลุดที่ ส.ส. พรรคเล็กขุดมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า "นายศักดิ์สยาม มีส่วนเชื่อมโยงกับคลัสเตอร์โควิด-19 สถานบันเทิงย่านทองหล่อ" ก่อนจะออกมาชี้แจงว่าภาพดังกล่าว เป็นการสะท้อนชีวิตแบบหนุ่มโสด ที่ชอบร้องคาราโอเกะ ดื่มนมชมพู หาความสุขหลังเลิกงาน ไม่ใช่ชายเสเพล ใช้ชีวิตประมาท จนเกิดคลัสเตอร์การระบาด | ||
นายสุชาติ ชมกลิ่น
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน) |
สุชาติ ชมเก่ง | เกือบทุกครั้งในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เมื่อพูดถึงนโยบายของรัฐบาล หรืองานในความรับผิดชอบ นายสุชาติมักจะขึ้นต้นประโยคด้วยการชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคของตน แถมยังยังติดสอยห้อยตามการลงพื้นที่ต่าง ๆ จนเรียกว่ายกยอปอปั้นอยู่เสมอ ๆ ก็คงจะได้
อีกทั้งยังเป็นรัฐมนตรีหนึ่งเดียวที่ขันอาสาออกหน้ารับคำท้า ขึ้นชกมวยคาดเชือกกับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ แทนนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาท้าว่าใครแพ้ต้องลาออก และหากไม่รับคำท้าก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย | ||
วาทะแห่งปี | "นะจ๊ะ" | เป็นวาทะติดปากของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) แม้จะเป็นคำสามัญธรรมดาที่ใช้ทั่วไป แต่กลายเป็นคำไม่ธรรมดาเมื่อออกจากปากของผู้นำประเทศท่ามกลางวิกฤติที่ประชาชนสิ้นหวัง มีผู้คนล้มตายข้างถนน ตกงาน และขาดรายได้จากวิกฤตโควิด–19
แม้นายกรัฐมนตรีจะเลือกใช้คำดังกล่าว เพื่อลดอุณหภูมิของสถานการณ์ดังกล่าวให้เย็นลง แต่สังคมกลับมองว่าเป็นการเลือกใช้คำที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ จนเกิดการกระทบกระเทือนจิตใจผู้ฟัง โดยเฉพาะการพูดคำ ๆ นี้ หลังการประชุมวัคซีนและการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ณ ตึกภักดีบดิทร์ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2564 ที่ประชาชนต่างรอคอยการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ในการพิจารณาข้อเสนอมาตรการล็อกดาวน์กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สะท้อนภาวะความเป็นผู้นำที่ล้มเหลวในการสื่อสารท่ามกลางภาวะวิกฤติ | ||
พ.ศ.2565[11] | 62 | รัฐบาล | หน้ากากคนดี | เป็นอีกหนึ่งปีที่ทุกคนยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 ขณะเดียวกันภายใต้หน้ากากของรัฐบาลที่สร้างภาพจำตลอดเวลาว่าเป็น "คนดี" นโยบายทุกอย่างทำเพื่อบ้านเมืองและประชาชน แต่กลับเกิดข้อกังขาว่ายังเดินตามเจตนารมณ์ที่ประกาศไว้ได้หรือไม่
ตั้งแต่ "นโยบายกัญชา" ที่อวดอ้างทำเพื่อประชาชน แต่เมื่อเกิดผลกระทบจากการใช้ผิดวัตถุประสงค์ กลายปัญหาสังคมบานปลาย แม้แต่การออกกฎหมายควบคุมการใช้ยังทำไม่ได้ สุดท้ายผลักภาระเพิ่มให้ตำรวจ เพียงเพราะต้องการเช็กลิสต์ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ นโยบายประชานิยมที่ออกแนวหาเสียง ให้ทั้งเบ็ด ทั้งปลา หรือการประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็มีความคลุมเครือ ว่าประโยชน์ที่ได้นั้น เป็นของประชาชนหรือนักการเมืองกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใด เมื่อออกมาในนามรัฐบาล ประชาชนจึงเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า "ภายใต้หน้ากากที่ประกาศเป็นคนดีนั้นจริงหรือไม่?" |
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา(นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) | แปดเปื้อน | ปมวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี สั่นคลอนภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีตลอดปีที่ผ่านมา และกลายเป็นข้อครหาถึงความชอบธรรมในการครองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนาน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย ที่ศาลมีคำสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ แม้จะเพียงแค่ 38 วัน ก็ทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยในตัวของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่มักจะพูดเสมอว่า "ไม่ยึดติดอำนาจ ทุกอย่างทำเพื่อบ้านเมืองและประชาชน ไม่เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง" ยิ่งเมื่อปัญหาใต้พรมถูกขุดคุ้ยขึ้นใกล้ตัวเกินกว่าจะปัดความเกี่ยวโยงได้ ทั้งนโยบายประชานิยม ทุนสีเทาสนับสนุนพรรคการเมือง หรือแม้แต่นักการเมืองใกล้ตัว นายทหารใกล้ชิด ที่ได้ไปนั่งอยู่ในบอร์ดบริหารบริษัทพลังงาน แม้พิสูจน์กันทางกฎหมายไม่ได้ แต่ก็ทำให้ถูกมองว่า ไม่ได้ใสสะอาด ผุดผ่องอีกต่อไป | ||
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
(รองนายกรัฐมนตรี) |
ลองนายกฯ | แม้จะเป็นเวลาเพียง 38 วัน ที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ได้ทำอย่างสุดกำลัง ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ลองเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะหลายครั้งที่นายกรัฐมนตรีตัวจริงอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศ พี่ใหญ่ในกลุ่ม 3 ป. ในฐานะ สร.2 (หรือ รองนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 2) ก็ทำหน้าที่แทนมาโดยตลอด แต่ก็มิอาจยาวนานเช่นครั้งนี้ ซึ่งมีอำนาจเต็ม (ในขณะนั้น) หากจะยุบสภาฯ ก็สามารถทำได้
บรรดากองหนุนและกองเชียร์ปั่นกระแสจนเคลิบเคลิ้ม ถึงกับประกาศใช้ประโยคจากเพลง "ใจบันดาลแรง" ของเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ลุยงานรัว ๆ ทำเอากองเชียร์นายกฯ ตัวจริง ร้อน ๆ หนาว ๆ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ "ลอง" เท่านั้น | ||
นายวิษณุ เครืองาม
(รองนายกรัฐมนตรี) |
เครื่องจักรซักล้าง | ความเอกอุด้านกฎหมายระดับปรมาจารย์ในตำนาน ถูกใช้สนองตอบความต้องการของรัฐบาลทุกช่องทาง ทั้งพรรคหลักพรรคร่วม ไม่มีเลือกปฏิบัติ ช่วยยกภูเขาออกจากอก ลดปัญหาหนักใจ ทำหน้าที่เสมือนเครื่องจักรกล คอยซักล้างความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลให้ผ่านพ้น เรื่องไหนผ่านมือเนติบริกรคนนี้ อย่าหวังว่าจะมีใครโต้แย้งได้ ตั้งแต่ "ปม 8 ปีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่เรื่องเหมืองทองอัครา" | ||
นายอนุทิน ชาญวีรกูล
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) |
ภูมิใจดูด พูดแล้วดอย | "พูดแล้วทำ" คือ สโกแกนพรรคภูมิใจไทย แต่ทำแล้วสำเร็จหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แม้จะปลดล็อกกัญชาจากการเป็นยาเสพติด แต่กฎหมายควบคุมกลับค้างเติ่งติดดอย ไปต่อไม่ได้ เกิดเป็นปัญหาสังคมบานปลาย เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงกัญชาได้อย่างง่ายดาย เมื่อจวนตัวกลับโยนให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ หัวจะปวดกันทั้งประเทศ
ขณะที่บทบาทพรรคร่วมรัฐบาล ถือได้ว่าเป็นเด็กดีมาโดยตลอด แต่เมื่อเสียงปี่กลองเลือกตั้งดังขึ้น กลับสวมบทไดโวโชว์พลังดูด ส.ส. นักการเมือง ทั้งจากพวกเดียวกัน และต่างขั้ว ชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม โดดเด่นไม่แพ้การนำเสนอนโยบายกัญชาเลยทีเดียว | ||
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) |
ประกันไรได้ | "ประกันรายได้" เป็นนโยบายหาเสียงหลักของพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ในฐานะหัวหน้าพรรค แถมยังนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีและกระทรวงค้าขาย ก็จัดหนักนโยบายนี้ จนแทบไม่โฟกัสงานอื่น ๆ แม้ข้าวของจะขึ้นราคาไม่หยุด แต่สินค้าเกษตรกลับต้องทุ่มเงินไปประกันอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดคำถามกับการแก้ปัญหาของรัฐบาลด้วยวิธีประกันรายได้ ว่าถูกทางจริงหรือ? "ที่ว่าประกันนั้น 'ประกันไรได้บ้าง'?" | ||
นายดอน ปรมัติวินัย(รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) | ลุ่ม ๆ ดอน ๆ | การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปก (APEC) ถือเป็นงานใหญ่งานหนึ่งในรอบ 20 ปีของไทย ที่มาพร้อมโอกาสทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 นโยบายเปิดประเทศจึงเป็นความหวังของทุกคน ที่จะทำให้ประเทศพ้นกับดักต่าง ๆ
แต่บทบาทในฐานะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง กลับไม่สามารถสร้างการรับรู้ หรือดึงดูดความสนใจของคนในประเทศได้เท่าที่ควร การเป็นเจ้าภาพเอเปก (APEC) จึงเหมือนรับรู้กันเฉพาะในวงที่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องพูดถึงความสนใจจากทั่วโลกที่ดูน้อยมาก จนเกิดการเปรียบเทียบกับรัฐบาลในอดีตที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดงานสำคัญ ล้มเหลวตั้งแต่ระบบลงทะเบียน ลามไปจนถึงกิจกรรมประชาสัมพันธ์โหมโรง ที่ไม่ลุกโชนตามความตั้งใจ แม้แต่ธงโบกสะบัดยังปักเป็นหย่อม ๆ ก่อนงานเพียงไม่กี่วัน และมีเสียงเล่าลือกันหนาหูว่า "การทำงานในกระทรวงร่วมกับข้าราชการ ก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่เปิดกว้างรับฟัง เกิดเป็นภาพการทำงานที่ล่าช้า ตกยุค ไม่ทันสมัย" | ||
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
(รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) |
Powerblank | วิกฤตพลังงาน เป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสสำหรับคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก หลายมาตรการที่เข็นออกมาไม่ขาดสาย นอกจากชักเนื้อรัฐบาลมาอุดหนุน ก็ยังไม่เห็นว่ามีสิ่งไหนทำได้จริง ยิ่งการล้วงเงินจากกระเป๋าเอกชนอย่างโรงกลั่นน้ำมันโครมครามอยู่พักใหญ่ แล้วก็หายไปกับสายลม เหมือนการขายที่ดินให้ต่างชาติแลกเงินลงทุน เกิดกระแสตีกลับระเนระนาด ถอยตั้งหลักแทบไม่ทัน จึงเกิดข้อสงสัยกันว่า "เป็นรัฐมนตรีพลังงาน หรือ รัฐมนตรีไม่มีพลังงานกันแน่?" | ||
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) |
วันทอง 2 ป. | ด้วยรักและเคารพพี่น้อง 2 ป. ทั้ง "พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร" ไปไหนไปกัน ตามติดแทบทุกภารกิจ
ครั้นมาถึงทางแยก ต้องเลือกว่าจะอยู่ไหม หรือไปต่อกับใคร จึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจ เหตุการณ์ที่ทำเอานักข่าวลืมไม่ลง นั่นคือ "วันที่ 2 ป. มีภารกิจชนกัน" แม้แยกร่างไม่ได้ แต่มีวิชาแยกเงา... เช้าบึ่งรถไปส่ง พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเครื่อง ก่อนส่งทีมงานตามติดไปแทน บ่ายรีบบึ่งรถรีบไปเดินตาม พล.อ.ประวิตร ทำภารกิจลงพื้นที่ เรียกได้ว่าไม่มีขาดตกบกพร่อง เปรียบเสมือนกับนางในวรรณคดีอย่าง "วันทอง" ที่รักขุนแผน แต่แพ้ความดีขุนช้าง ยากจะตัดสินใจว่าจะไปต่อกับใครดี | ||
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) | หน้าชัด หลังเบลอ | ในบรรดาพี่น้อง 3 ป. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา สามารถควบคุมภาพลักษณ์ที่แสดงออกต่อสาธารณชนได้สงบนิ่งที่สุด แม้สื่อมวลชนจะได้สัมผัสความหลากของอารมณ์ขึ้น ๆลง ๆ ไม่ต่างจากพี่น้องอีก 2 ป.ก็ตาม
เบื้องหน้าเราจะได้รับรู้และเห็นเฉพาะในสิ่งที่ต้องการให้เห็นเท่านั้น แต่ฉากหลังกลับคลุมเครือไม่ชัดเจน เรียกได้ว่า "เก็บมิด ปิดเงียบ" ถ้าไม่ได้เห็นคะแนนไว้วางใจที่มาเป็นอันดับโหล่ ก็ไม่มีทางรู้เลยว่า เกมเขย่าเก้าอี้ มท.1 ไต่ระดับทะลุ 10 ริกเตอร์ไปแล้ว | ||
นายสุชาติ ชมกลิ่น
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน) |
รมต.แรงลิ้น | ยังคงคอนเซ็ปต์ "ปากหวานไม่สร่าง" ขยันอวย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขั้นสุดในทุกด้าน เอ่ยปากแต่ละครั้งก็แรงจัดชัดเจน
ต้นปีเปิดศึกแตกหักกับบ้านใหญ่เมืองชล (ตระกูลคุณปลื้ม) จนเกิดวิวาทะ "ทรยศ หักหลัง" สนั่นออนไลน์ ปลายปีตีจาก "บิ๊กป้อม" คนที่ออกปากเองว่ารักเหมือนพ่อ พร้อมข้อครหาหอบ ส.ส. ตาม "บิ๊กตู่" ที่ปากบอกว่ารักเหมือนแม่ ไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ลิ้นมหาเสน่ห์วาดวิมานในทุ่งลาเวนเดอร์ จะขนพลพรรคมาเป็นฐานดัน "บิ๊กตู่" สู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกสมัย แว่วว่าเจ้าที่บ้านหลังใหม่ก็แรงไม่แพ้ใคร เกิดอาการลิ้นคับปาก คับที่อยู่ยาก คับใจก็ต้องทนอยู่ | ||
วาทะแห่งปี | "เกลียดหรือไม่เกลียดก็ช่างคุณเถอะ เพราะผมไม่รู้" | วาทะของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 65 ที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ในหัวข้อ "บทบาทของภาครัฐ เอกชน และการเมือง ในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ" เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2565 |
สถิติน่าสนใจ
แก้จำนวนตำแหน่งรัฐมนตรี (รมว.) ที่มักได้รับการตั้งฉายา
แก้จำนวน (ครั้ง) | ตำแหน่ง | ปี |
---|---|---|
23 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | 2523, 2524, 2527, 2529 (2 ตำแหน่ง), 2530, 2532, 2533, 2534, 2536, 2537, 2538, 2541, 2544, 2546, 2547, 2552, 2553, 2554, 2555, 2562, 2563, 2564, 2565 |
21 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | 2524, 2525, 2530, 2531, 2532, 2534, 2536, 2537 (2 ตำแหน่ง), 2538, 2541, 2542, 2544, 2545, 2546, 2548, 2552, 2553, 2554, 2555, 2565 |
20 | รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี | 2523, 2524, 2525 (2 ตำแหน่ง), 2526 (3 ตำแหน่ง), 2529, 2531, 2534 (3 ตำแหน่ง), 2536, 2541 (2 ตำแหน่ง), 2542 (2 ตำแหน่ง), 2548, 2552, 2553 |
16 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | 2523, 2526, 2527, 2529, 2530, 2532, 2533, 2534, 2541, 2545, 2546, 2552, 2555, 2562, 2563, 2564 |
15 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | 2526, 2527, 2529, 2531, 2532, 2533, 2536, 2538, 2541, 2542, 2544, 2546, 2552, 2553, 2555 |
11 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | 2524, 2526, 2527, 2530, 2532, 2533, 2536, 2538, 2542, 2547, 2548 |
9 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | 2523, 2529, 2531, 2532, 2537, 2538, 2541, 2546, 2554 |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | 2531, 2532, 2533, 2537, 2542, 2546, 2552, 2554, 2565 | |
8 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม | 2544, 2552, 2553, 2555, 2562, 2563, 2564, 2565 |
7 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม | 2526, 2529, 2534, 2538, 2545, 2548, 2554 |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข | 2532, 2545, 2547, 2562, 2563, 2564, 2565 | |
6 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
(อดีตคือ... - กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน - ทบวงมหาวิทยาลัย - สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) |
2523, 2524, 2525, 2526, 2554, 2555 |
4 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน | 2548, 2554, 2564, 2565 |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ | 2544, 2546, 2547, 2563 | |
3 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
(อดีตคือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) |
2553, 2563, 2565 |
2 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | 2545, 2562 |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
(อดีตคือ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม) |
2564, 2565 | |
1 | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | 2564 |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ | 2548 | |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม | 2546 |
จำนวนตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย (รมช.) ที่มักได้รับการตั้งฉายา
แก้จำนวน (ครั้ง) | ตำแหน่ง | ปี |
---|---|---|
13 | รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย | 2523, 2527 (2 ตำแหน่ง), 2530, 2531 (4 ตำแหน่ง), 2533 (2 ตำแหน่ง), 2541, 2542, 2544 |
7 | รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | 2537, 2544, 2545, 2547, 2562 (2 ตำแหน่ง), 2563 |
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม | 2523, 2524, 2525, 2530, 2536, 2537, 2544 | |
6 | รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง | 2530, 2536, 2538, 2541, 2553, 2563 |
3 | รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ | 2524, 2525, 2555 |
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ | 2523, 2533, 2542 | |
2 | รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม | 2525, 2534 |
1 | รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม | 2545 |
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข | 2544 | |
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม | 2525 |
รายชื่อบุคคลที่ได้รับการจัดอันดับ และการตั้งฉายามาก-น้อยที่สุด
แก้**โดยไม่ยึดโยงกับตำแหน่งทางการเมือง
จำนวน | รายชื่อ | การจัดอันดับ และฉายา | ปี |
---|---|---|---|
7 | พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ | รัฐมนตรีที่น่าเบื่อที่สุด / นักร้องที่ยอดเยี่ยมที่สุด / มีคนโอ๋มากที่สุด / ขวัญใจชนบท / บุรุษยอดทรหด / แชมป์ตลอดกาล / อารมณ์บูดที่สุด | 2523, 2524, 2525, 2526, 2527, 2529, 2530 |
พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ | กาวใจไร้น้ำยา / รัฐมนตรีป่าลั่น / ตุ๊กแกตีนเหนียว / กาวใจไร้ยาง / รมต. ฉก. / ชาละวันสันหลังหวะ / มาเฟียเสียฟอร์ม / ลิ้นชาละวัน | 2530, 2531, 2532, 2536, 2537, 2541, 2542, 2553 | |
6 | พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ | ป้อมพลัง "ป" / ป้อมทะลุเป้า / พี่ใหญ่สายเอ็นฯ / ป้อมไม่รู้โรย / รองช้ำ / ลองนายกฯ | 2552, 2553, 2562, 2563, 2564, 2565 |
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร | หน้ากากเทวดา / เศรษฐีเหลิงลิม / เทวดา / นายทาส / ผู้นำจานด่วน / พ่อมดมนต์เสื่อม | 2538, 2544, 2545, 2546, 2547, 2548 | |
นายบรรหาร ศิลปอาชา | รัฐมนตรีที่ออกข่าวและตกเป็นข่าวมากที่สุด / รัฐมนตรีด่วนมหาภัย / ซวยที่สุด / ปลาไหลพันธุ์สั้น / เสือสิ้นลาย / หลงจู๊เสียศูนย์ | 2523, 2529, 2530, 2532, 2533, 2538 | |
5 | พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ | สิงห์เดี้ยง / ขงเบ้งตะกายดาว / คลื่นใต้น้ำ / เสือเฒ่าจำศีล / ขุน...สึก | 2536, 2537, 2538, 2544, 2547 |
ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง | รัฐมนตรีนักชกนักชน / รัฐมนตรีบ่อนแตก / จอมวางยา / กุมารทอง คะนองศึก / กันชนตระกูลชิน | 2531, 2533, 2538, 2554, 2555 | |
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ | สาระแนหน้าจอ / รัฐอิสระ / เช้าสายบ่ายเคลม / นายกฯ บางโพล / ประกันไรได้ | 2541, 2562, 2563, 2564, 2565 | |
นายชวน หลีกภัย | รัฐมนตรีที่แก้ปัญหาด้วยปากเปล่ามากที่สุด / รัฐมนตรีต้านเอดส์ / จอมฟุตเวิร์ก / ช่างทาสี / นายประกันชั้น 1 | 2524, 2532, 2536, 2541, 2542 | |
นายมนตรี พงษ์พานิช | รัฐมนตรีท่าดีทีเหลว / หมดท่าที่สุด / รัฐมนตรีโครงการแสนล้าน / นักบุญคนบาป / นักรื้อจอมล้วง | 2529, 2530, 2532, 2533, 2538 | |
นายวิษณุ เครืองาม | เนติบริกร / ทนายหน้าหอ / ศรีธนญชัยรอดช่อง / ไฮเตอร์ เซอร์วิส / เครื่องจักรซักล้าง | 2545, 2548, 2562, 2563, 2565 | |
4 | พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ | รัฐมนตรีที่น่าหมั่นไส้มากที่สุด / น้าชาติ...มาดนักซิ่ง / นักบริหารชั้นยอด / ปลาไหลใส่สเกต | 2524, 2531, 2532, 2533 |
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา | อิเหนาเมาหมัด / ตู่ไม่รู้ล้ม / ชำรุดยุทธ์โทรม / แปดเปื้อน | 2562, 2563, 2564, 2565 | |
นายประมวล สภาวสุ | ขวัญใจนายทุน / ซานตาคลอส / รัฐมนตรีขี้โอ่ / หน่อมแน้ม | 2530, 2531, 2532, 2533 | |
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ | รัฐมนตรีมีอนาคต / ข้างหลังภาพ / เหนือคำบรรยาย / อาทิตย์ผิดฟ้า | 2530, 2536, 2537, 2541 | |
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ | เทพสะท้าน ป่าสะเทือน / กล่องดำนายหัว / แม่นม อมทุกข์ / ทศกัณฐ์กรำศึก | 2537, 2541, 2552, 2553 | |
นายอนุทิน ชาญวีรกูล | สารหนู / ทินเนอร์ / ว้ากซีน / ภูมิใจดูด พูดแล้วดอย | 2562, 2563, 2564, 2565 | |
3 | พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา | คุณปู่ใจน้อย / รัฐมนตรีเต่าล้านปี / หงส์ในหมู่กา | 2531, 2532, 2533 |
พลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสาร | ลื่นที่สุด / รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ / มลภาวะเป็นพิษ | 2525, 2531, 2532 | |
ร้อยตำรวจเอก ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ | มืปราบสายเดี่ยว / ไม้บรรทัดงอ / คนดีที่ลืมโลก | 2544, 2545, 2547 | |
นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ | ขุนคลังตลาดแตก / นักกู้สิบทิศ / คนขายฝัน | 2536, 2541, 2542 | |
นายเนวิน ชิดชอบ | ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ / จิ้งจกตีนกาว / ห้อย...จัดให้ | 2538, 2545, 2547 | |
นายพิชัย รัตตกุล | คลายทุกข์ชาวบ้านมากที่สุด / มนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยม / แม่ไก่ดี๊ดด๊าด | 2526, 2527, 2529 | |
นายมีชัย ฤชุพันธ์ | น่ารักที่สุด / รัฐมนตรีซึมไม่สร่าง / พิมพ์ดำ | 2525, 2529, 2534 | |
นายวัฒนา เมืองสุข | ไก่ชน GMO / เขยเอื้ออาทร / อิกคิวเซ็ง | 2546, 2547, 2548 | |
นายวัฒนา อัศวเหม | ขวัญใจฉันทนา / เจ้าพ่ออสรพิษ / อัศว-เหิม | 2531, 2541, 2542 | |
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ | โอ๋ แซ่รื้อ / ศักดิ์สบายสายเขียว / สายขม นมชมพู | 2562, 2563, 2564 | |
นายสมัคร สุนทรเวช | เซลส์แมนฝันเฟื่อง / สิงห์จอมโว / ไดโนเสาร์ติดหล่ม | 2526, 2527, 2538 | |
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ | หอกข้างแคร่ / ส.โหย / พี.อาร์. 25 ชั่วโมง | 2542, 2547, 2548 | |
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ | จอมจัดฉาก / เลขาฯ ก๊วนชวนอิ่ม / ซากซีทีเอ็กซ์ | 2545, 2546, 2548 | |
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ | ร่างทรงตึกไทย / สมรู้ร่วมคิด / ชายน้อยประชารัฐ | 2544, 2546, 2562 | |
นายอดิศัย โพธารามิก | ขุนนางค้างสต็อก / ครูพันธุ์ดื้อ / เอี้ยมจุ๊นติดหล่ม | 2544, 2546, 2547 | |
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ | หวานแต่เจ็บ / ตุ๊กตาทอง 2 หน้า / หน้าเด้งดอตคอม | 2537, 2545, 2547 | |
2 | พลเอก ประจวบ สุนทรางกูร | ว่าที่นายกฯ ตลอดกาล / รัฐมนตรีไม่มีปัญหา | 2527, 2530 |
พลเอก สิทธิ จิรโรจน์ | รัฐมนตรีที่กล้าหาญที่สุด / ช่างจำนรรจาที่สุด | 2524, 2525 | |
พลเรือเอก สนธิ บุณยะชัย | รับจนเละ / เฮงที่สุด | 2529, 2530 | |
พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ | รัฐมนตรีที่ขยันให้ข่าวมากที่สุด / รัฐมนตรีที่เลือดร้อนมากที่สุด | 2523, 2524 | |
ร้อยตำรวจเอก สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ | ผู้มีสปิริตยอดเยี่ยม / รัฐมนตรีบุญน้อย | 2527, 2529 | |
ร้อยตำรวจโท ชาญ มนูธรรม | จุ้นจ้านที่สุด / จุ้น...ไม่เสร็จ | 2525, 2526 | |
นายกรณ์ จาติกวณิช | ทวิต-กู้ / โย่งคาเฟ่ | 2552, 2553 | |
นายเกษม ศิริสัมพันธ์ | รัฐมนตรีที่ทำตัวน่าหมั่นไส้ขี้จุ๊ยได้ดีที่สุด / รัฐมนตรีที่อยู่นานที่สุด | 2523, 2524 | |
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง | ปุเลง...นอง / ลูกไก่ไวต์ไล | 2554, 2555 | |
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล | สตั๊นท์เฒ่าเฝ้าเก้าอี้ / เสืออิ่ม สิงห์โอด | 2552, 2553 | |
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี | รัฐมนตรีปากไว...ใจเร็ว / ตลกหลวง | 2531, 2542 | |
นายทวี ไกรคุปต์ | ฉาวโฉ่ที่สุด / จอจุ้น | 2525 / 2536 | |
นายบุญชู โรจนเสถียร | รัฐมนตรีที่น่ารัก (น่าหมั่นไส้) ที่สุด / บุญชู บุญไม่ช่วย | 2523, 2536 | |
นายปลอดประสพ สุรัสวดี | ผีเจาะปลอด / ปั้นน้ำเป็นทุน | 2554, 2555 | |
นายพงส์ สารสิน | สบายที่สุด / นักธุรกิจการเมือง | 2530, 2532 | |
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา | สิงห์ซุ่ม / ร.ม.ต.นอร์หัก | 2545, 2546 | |
นายวีระ มุสิกพงศ์ | รัฐมนตรีที่มีความใฝ่ฝันจะได้ภริยาเป็นดารามากที่สุด / น่วมที่สุด | 2524, 2525 | |
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน | ร้อยลิ้นพันล้าน / โคบาลเป่าปี่ | 2546, 2547 | |
นายสมหมาย ฮุนตระกูล | คุณ...ตัวดูด / ซามูไรทมิฬ | 2526, 2527 | |
นายสันติ ชัยวิรัตนะ | รัฐมนตรีไฮเทค / บูมเมอแรง | 2531, 2533 | |
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย | ช่างจัดฉาก / กริ๊ง...สิงสื่อ | 2552, 2553 | |
นายสุชาติ ชมกลิ่น | สุชาติ ชมเก่ง / รมต.แรงลิ้น | 2564, 2565 | |
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ | มหาเฉื่อย 4D / Powerblank | 2564, 2565 | |
นายสุรเกียรติ เสถียรไทย | วิญญูชนจอมปลอม / ผู้ดีฟอร์มยักษ์ | 2538, 2546 | |
นายเสนาะ เทียนทอง | รัฐมนตรีฟิวส์ขาด / เสือร้องไห้ | 2531, 2533 | |
นายอมเรศ ศิลาอ่อน | ต้นกล้าทระนง / พ่อค้าฉุน | 2533, 2534 | |
นายอบ วสุรัตน์ | ผลงานดีเด่นที่สุด / ฝ่านค้านใน ครม. | 2526, 2527 | |
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ | หล่อหลักลอย / ซีมาร์กโลชัน | 2552, 2553 | |
นายอุทัย พิมพ์ใจชน | มันจุกอก / โบนัสสีทอง | 2536, 2537 | |
คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ | ฉุยฉาย / ตุ๊กตาทองเค | 2541, 2542 | |
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | นายกฯ นกแก้ว / ปูกรรเชียง | 2554, 2555 | |
นางพรทิวา นาคาศัย | เจ้าแม่แพ้หน้าเน็ต / นาง "ฟ้า" สต็อกลม | 2552, 2553 | |
1 | พลเอก วิมล วงศ์วาณิช | กันชนคุณภาพ | 2534 |
พลเอก หาญ ลีนานนท์ | รัฐมนตรีหิ่งห้อย | 2529 | |
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา | หน้าชัด หลังเบลอ | 2565 | |
พลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี | ตุ๋ย...โธ่เอ๊ย | 2534 | |
พลเรือเอก อมร ศิริกายะ | รัฐมนตรีที่มีอัธยาศัยดีที่สุด | 2523 | |
พลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา | รมต.พลัง "น้ำ" | 2548 | |
พลอากาศเอก พะเนียง กานตรัตน์ | สุภาพบุรุษที่สุด | 2525 | |
พลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณทัต | ตามล่าหน้าหล่อ | 2555 | |
พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ | ประแจปากตาย | 2554 | |
พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์ | ปลั๊กหลวม | 2548 | |
พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก | อินทรีหลงป่า | 2554 | |
พลตรี จำลอง ศรีเมือง | จอมสร้างภาพ | 2537 | |
พลตรี สุตสาย หัสดิน | รัฐมนตรีที่ถูกเมินมากที่สุด | 2524 | |
พันเอก พล เริงประเสริฐวิทย์ | รัฐมนตรีที่ประกาศลาออกจากตำแหน่งบ่อยครั้งที่สุด | 2523 | |
นาวาอากาศตรี ประสงค์ สุ่นศิริ | พ่อมดหมดฤทธิ์ | 2537 | |
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า | เทามนัส | 2562 | |
ร้อยเอก สุชาติ เชาว์วิศิษฐ | อธิบดีคลัง | 2546 | |
เรืออากาศโท ศุลี มหาสันทนะ | สุภาพบุรุษที่สุด | 2526 | |
นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช | นาย...ลิขิต | 2545 | |
นายแพทย์สุชัย เจริญรัตนกุล | เด็กนายหญิง | 2548 | |
นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี | หมอหลังฉาก | 2544 | |
นายกษิต ภิรมย์ | ไส้ติ่งรัฐบาล | 2552 | |
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ | กั๊ก-กอบ-โกย | 2552 | |
นายโกศล ไกรฤกษ์ | รัฐมนตรีเจ้าอารมณ์ | 2527 | |
นายขุนทอง ภูผิวเดือน | รัฐมนตรีที่ปกป้องศีลธรรมและวัฒนธรรมไทยได้ยอดเยี่ยมที่สุด | 2523 | |
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ | สิงห์สำรอง | 2555 | |
นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา | ไฟแรงที่สุด | 2525 | |
นายจุติ ไกรฤกษ์ | หัวเทียนบอด-แบน | 2553 | |
นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ | โฟร์แมนสแตนบาย | 2555 | |
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ | วันทอง 2 ป. | 2565 | |
นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ | ลาดื้อ | 2538 | |
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ | จิ้งจกเปลี่ยนสี | 2538 | |
นายไชยศิริ เรืองกาญจนเศรษฐ์ | สร้างสรรค์กีฬามากที่สุด | 2526 | |
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ | หวีดดับ | 2563 | |
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ | ไพร่เทียม | 2555 | |
นายดอน ปรมัติวินัย | ลุ่ม ๆ ดอน ๆ | 2565 | |
นายดำรง ลัทธพิพัฒน์ | ประชาสัมพันธ์ยอดเยี่ยมที่สุด | 2526 | |
นายตามใจ ขำภโต | รัฐมนตรีที่ชาวบ้านด่ามากที่สุด | 2523 | |
นายธีระ วงศ์สมุทร | ขงเบ๊ | 2554 | |
นายนที ขลิบทอง | ตั๋วจำนำ | 2544 | |
นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ | สุภาพบุรุษจำยอม | 2537 | |
นายนุกูล ประจวบเหมาะ | วิ่งสู้ฟัด | 2534 | |
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน | กันชนสายเสมอ | 2537 | |
นายบุญชู ตรีทอง | บัตรเขียวตีนโต | 2536 | |
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ | บุญทรุด | 2555 | |
นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ | คนว่างงาน | 2527 | |
นายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ | บัวในดงบอน | 2533 | |
นายประกายพฤกษ์ ศรุตานนท์ | รัฐมนตรีที่น่าสงสารที่สุด | 2524 | |
นายประชา มาลีนนท์ | เถ้าแก่บ้อท่า | 2544 | |
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ | ไอ้ก้านน่วม | 2545 | |
นายประภาศน์ อวยชัย | รัฐมนตรีศรีธนญชัย | 2534 | |
นายปองพล อดิเรกสาร | หนังใหญ่เมืองสุพรรณ | 2541 | |
นายพิภพ อะสีติรัตน์ | ใช้หัว...มากที่สุด | 2526 | |
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ | ไอเดียกระฉอก | 2554 | |
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ | ดีลล่มระดับโลก | 2564 | |
นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล | โกลบอล (ปาก) บอน | 2541 | |
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ | พัง PORN | 2563 | |
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล | เฮีย...ฟุ้ง | 2547 | |
นายไพจิตร เอื้อทวีกุล | รัฐมนตรีแรมโบ | 2534 | |
นายมั่น พัธโนทัย | หยากไย่ | 2553 | |
นายมีชัย วีระไวทยะ | รัฐมนตรีทอล์กโชว์ | 2534 | |
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ | ทักษิโด้ โชว์ห่วย | 2554 | |
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล | ด.ดันดี | 2555 | |
นายวราวุธ ศิลปอาชา | สัปเหร่อออนท็อป | 2562 | |
นายวิเศษ จูภิบาล | โบรกเกอร์รัฐบาล | 2548 | |
นายสมบัติ อุทัยสาง | มรดกบาป | 2544 | |
นายสมศักดิ์ ชูโต | รัฐมนตรีที่ให้ข่าวน้อยที่สุด | 2523 | |
นายสอาด ปิยวรรณ | ดร.ห้าแต้ม | 2529 | |
นายไสว พัฒโน | เด่นที่สุด | 2530 | |
นายสันติ พร้อมพัฒน์ | ค้างคลัง | 2563 | |
นายสาวิตต์ โพธิวิหค | พรานม้วนเสื่อ | 2536 | |
นายสุธี สิงห์เสน่ห์ | รัฐมนตรีปรมาจารย์ | 2529 | |
นายสุบิน ปิ่นขยัน | รัฐมนตรีหน้าเนื้อใจเสือ | 2532 | |
นายสุวิทย์ คุณกิตติ | กลวง | 2544 | |
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ | คลื่นแทรก | 2548 | |
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล | "ปึ้ง" เป้าเป๊ะ | 2554 | |
นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ | หางเครื่องลุงแซม | 2542 | |
นายเสนาะ อูนากูล | อัจฉริยะไอซียู | 2534 | |
นายโสภณ ซารัมย์ | ภูมิใจ "นาย" | 2552 | |
นายอนุรักษ์ จุรีมาศ | ลูกโป่งหลงจู๊ | 2546 | |
นายอนุวรรตน์ วัฒนพงศ์ศิริ | รัฐมนตรีที่มีมนุษยสัมพันธ์ (กับนักข่าว) ดีที่สุด | 2523 | |
นายอานันท์ ปันยารชุน | ผู้ดีมีปัญหา | 2534 | |
นายโอภาส พลศิลป | ขวัญใจเสี่ยฮะ | 2527 | |
นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา | รัฐมนตรีเงาเตี่ย | 2542 | |
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ | มาดามแบนเก้อ | 2562 | |
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ | แชมป์ไตรกีฬา | 2563 | |
นางปวีณา หงสกุล | แม่พระผิดโบสถ์ | 2542 | |
นางสายสุรี จุติกุล | ดุ๊ยดุ่ย | 2534 | |
นางอุไรวรรณ เทียนทอง | มรดกเจ้าพ่อ | 2545 |
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 วีระ เลิศสมพร. (2546). ชื่อ ฉายา และสมญานามทางการเมืองไทย พ.ศ. 2475-2545 เล่ม 3. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร : กิจเสรีการพิมพ์. https://onedrive.live.com/?id=2771A82432FEB0BE%21231&cid=2771A82432FEB0BE
- ↑ สื่อตั้งฉายารัฐบาล 2548 "ประชาระทม" https://mgronline.com/daily/detail/9480000178881
- ↑ "ทักษิณ" ประกาศใครไม่เลือก ทรท.ช่วยทีหลัง https://mgronline.com/politics/detail/9480000150744
- ↑ สื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายารัฐบาล 2552 "ใครเข้มแข็ง" https://www.posttoday.com/politic/news/5599
- ↑ ฉายารัฐบาล 2553 "รอดฉุกเฉิน" - นายกฯ "ซีมาร์กโลชัน" https://www.thairath.co.th/content/137597
- ↑ ฉายา 2554 "นายกฯ นกแก้ว" สื่อทำเนียบตั้งฉายาลักษณ์ รัฐบาล "ทักษิณส่วนหน้า" https://www.thairath.co.th/content/226130
- ↑ ฉายารัฐบาล ปี 2555 "พี่ชายคนแรก" ยิ่งลักษณ์ "ปูกรรเชียง"https://www.sanook.com/news/1161028/
- ↑ รวมฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2562 https://www.bbc.com/thai/thailand-50891016
- ↑ ฉายารัฐบาล 2563 : สื่อทำเนียบตั้งฉายา พล.อ. ประยุทธ์ "ตู่ไม่รู้ล้ม" กับรัฐบาล "VERY กู้" https://www.bbc.com/thai/thailand-55463071
- ↑ ฉายารัฐบาล 64 “ยื้อยุทธ์” อุ้มนายกฯ “ชำรุดยุทธ์โทรม” มอบ “นะจ๊ะ” วาทะแห่งปี https://www.sanook.com/news/8494754/
- ↑ ฉายารัฐบาล 2565 "หน้ากากคนดี" ส่วนนายกฯ ได้ฉายา "แปดเปื้อน" https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/187186