การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปครั้งที่ 24 ของประเทศไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ตามความในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 ที่ให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรเสีย ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2554[1]

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554

← พ.ศ. 2550 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 พ.ศ. 2557 (โมฆะ) →

ทั้งหมด 500 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรไทย
ต้องการ 251 ที่นั่งจึงเป็นฝ่ายข้างมาก
ลงทะเบียน46,939,549
ผู้ใช้สิทธิ75.03% (เพิ่มขึ้น 0.52 จุด)
  First party Second party
 
Yingluck Shinawatra at US Embassy, Bangkok, July 2011.jpg
Vejjajivacropped.jpg
ผู้นำ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พรรค เพื่อไทย ประชาธิปัตย์
ผู้นำตั้งแต่ 16 พฤษภาคม 2554[a] 6 มีนาคม 2548
เขตของผู้นำ บัญชีรายชื่อ (#1) บัญชีรายชื่อ (#1)
เลือกตั้งล่าสุด 233 ที่นั่ง, 41.08%[b] 164 ที่นั่ง, 40.45%
ที่นั่งก่อนหน้า 185 179
ที่นั่งที่ชนะ 265 159
ที่นั่งเปลี่ยน เพิ่มขึ้น 32 ลดลง 5
คะแนนเสียง 15,744,190 11,433,762
% 48.41% 35.15%
%เปลี่ยน เพิ่มขึ้น 7.33 จุด ลดลง 5.30 จุด

  Third party Fourth party
 
Chaovarat Chanweerakul (cropped).jpg
ภาพถ่ายเบื้องหลัง การบันทึกเทป โครงการ ไทยเข้มแข็ง (The Official Site of The Prim - Flickr - Abhisit Vejjajiva (49).jpg
ผู้นำ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ชุมพล ศิลปอาชา
พรรค ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา
ผู้นำตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 24 มกราคม 2552
เขตของผู้นำ บัญชีรายชื่อ (#1) บัญชีรายชื่อ (#1)
เลือกตั้งล่าสุด 37 ที่นั่ง, 4.24%[c]
ที่นั่งที่ชนะ 34 19
ที่นั่งเปลี่ยน พรรคใหม่ ลดลง 18
คะแนนเสียง 1,281,652 907,107
% 3.83% 2.71%
%เปลี่ยน พรรคใหม่ ลดลง 1.53 จุด

2011 Thai general election result.svg
2011 Thai General Election Map By Proportional.png
2011 Thai General Election Map By Constituency.png
24th Thailand House of Representatives composition.svg

นายกรัฐมนตรีก่อนการเลือกตั้ง

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ประชาธิปัตย์

ว่าที่นายกรัฐมนตรี

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เพื่อไทย

การเลือกตั้งครั้งนี้มีขึ้นในห้วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาล อันประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค และได้มีการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา คะแนนนิยมของรัฐบาลลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งก่อนสภาผู้แทนราษฎรจะครบวาระ[2]

มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์ทั้งสิ้น 75.03%[3] จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 46,921,682 คน พรรคที่ได้รับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมากที่สุดคือ พรรคเพื่อไทย 15,744,190 คะแนน และรองลงมาคือ พรรคประชาธิปัตย์ 11,433,501 คะแนน [4] โดยผู้ใช้สิทธิ์เลือกพรรคเพื่อไทย คิดเป็น 44.72% ของจำนวนผู้ที่ออกมาเลือกตั้งในปี 2554 ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้ที่นั่งผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง 265 ที่[5] นับเป็นครั้งที่สองในรอบทศวรรษที่มีพรรคการเมืองได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎร[6] และยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย[7] ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก โดยได้ที่นั่งผู้แทนราษฎร 159 ที่[5]

เบื้องหลังแก้ไข

ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2550 ปรากฏว่าพรรคพลังประชาชนได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ได้มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งทำให้มีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน คือ สมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลังจากคดียุบพรรคการเมือง ซึ่งส่งผลให้พรรครัฐบาลหลักสามพรรคถูกยุบ ได้มีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งผลปรากฏว่าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยเสียงสนับสนุนสำคัญจากพรรคภูมิใจไทย โดยหลังจากนั้นได้มีการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่องเกิดความไม่สงบทางการเมืองในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2552 ในขณะที่คดีการบุกยึดท่าอากาศยานในประเทศไทย พ.ศ. 2551 อัยการยังไม่สั่งฟ้องในคดีอาญา

จากเหตุการณ์การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 นำมาสู่การเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายซึ่งมีขึ้น ในวันที่ 28-29 มีนาคม พ.ศ. 2553 ระหว่างตัวแทนจากฝ่ายรัฐบาล อันประกอบด้วย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ และชำนิ ศักดิเศรษฐ์ กับตัวแทนจากทางฝ่ายแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อันประกอบด้วย จตุพร พรหมพันธุ์, วีระ มุสิกพงศ์ และ นายแพทย์เหวง โตจิราการ ที่สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งทางฝ่ายแกนนำผู้ชุมนุม เสนอให้มีการยุบสภาภายใน 15 วัน และมีการเลือกตั้ง แต่ทางรัฐบาลไม่ยอมรับข้อเสนอ เนื่องจากไม่เห็นว่าความขัดแย้งทางการเมืองจะยุติลงได้หลังเลือกตั้งเสร็จแล้ว โดยรัฐบาลยินดีที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งโดยกำหนดระยะเวลาการยุบสภาภายในเวลา 9 เดือน[8]

จากนั้นได้มีข้อเสนอจัดการเลือกตั้งนั้นซึ่งกำหนดไว้เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553[9] อย่างไรก็ตาม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ระบุในข้อเสนอปรองดองว่าเขาจะดำเนินการตามแผนการเลือกตั้งต่อไป แม้ว่ากลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลจะปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวก็ตาม หากมิได้กำหนดวันเลือกตั้งแน่ชัด[9] ซึ่งแม้ว่าแกนนำ นปช. จะตอบรับข้อเสนอดังกล่าว แต่ยังคงทำการชุมนุมต่อไป โดยอ้างว่ามีเพียงคณะกรรมการการเลือกตั้งเท่านั้นที่มีอำนาจกำหนดวันเลือกตั้งได้ นายกรัฐมนตรีจึงถอนข้อเสนอเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553[10] จากนั้นก็ได้เกิดการสลายการชุมนุมตามมา

การแปรบัญญัติกฎหมายเลือกตั้งซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เห็นถึงความจำเป็นก่อนที่จะจัดการเลือกตั้งขึ้นนั้นผ่านสภาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554[11] โดยในอีกหนึ่งเดือนต่อมา ได้มีการประกาศว่าจะมีการยุบสภาภายในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม[12] ซึ่งหลังจากมีการประกาศถึงเจตนารมณ์ในการยุบสภาของนายกรัฐมนตรี ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมากขาดประชุมสภา โดยเฉพาะในช่วงระหว่าง วันที่ 29- 31 มีนาคม 2554 นั้นสภาล่มถึง 3 วันติดต่อกัน เพราะมีผู้เข้าประชุมไม่ครบกึ่งหนึ่งของสภา โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายค้าน ซึ่งมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขาดประชุมทั้งหมด 175 คน จากจำนวนทั้งหมด 188 คน เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน[13] จนท้ายที่สุดมีการตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 พฤษภาคม

โดยก่อนหน้าที่จะมีการประกาศยุบสภานั้น เริ่มตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา พบว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากการบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพจนทำให้ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น การจัดการภัยพิบัติธรรมชาติต่าง ๆ ตลอดจนนโยบายต่างประเทศ[2] หากพรรคประชาธิปัตย์ปล่อยให้เวลาล่าช้าออกไป จะยิ่งทำให้คะแนนนิยมของพรรคตกต่ำลง[14]

ในวันที่ 3 เมษายน 2554 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประทานสัมภาษณ์พิเศษ ในรายการ วู้ดดี้ เกิดมาคุย การประทานสัมภาษณ์ครั้งนั้นมีผลให้ กลุ่มผู้ชุมนุมโกรธแค้น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้เขียนบทความ เรียนถามฟ้าหญิงจุฬาภรณ์: ตาย 91 เจ็บ 2 พัน ไม่น่าสะเทือนใจกว่าการ"เผาบ้านเผาเมือง"หรือครับ? และเหตุใดไม่ทรงวิจารณ์พันธมิตรครับ?[15][16]ความโกรธแค้นของกลุ่มผู้ชุมนุมจากการประทานสัมภาษณ์พิเศษดังกล่าว เป็นสาเหตุหนึ่งของผลการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่สามารถโต้ตอบได้เลยนอกจากแสดงออกในการเลือกตั้งเท่านั้น

พรรคการเมืองที่ลงสมัครแก้ไข

พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2551 มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหัวหน้าพรรค โดยดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ พ.ศ. 2548 ต่อจากบัญญัติ บรรทัดฐาน ส่วนพรรคเพื่อไทยยังไม่เปิดเผยผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชัดเจน จนกระทั่งวันที่ 16 พฤษภาคม เมื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวอดีตนายกรัฐมนตรีดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับมติเอกฉันท์จากที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค เป็นผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 นอกจากนี้ยังมีการจัดผู้สมัครบัญชีรายชื่อ 2 ชุด คือบัญชีผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อเพื่อทำงานในสภา กับบัญชีผู้บริหารเพื่อทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างๆ[17]

ด้านพรรคชาติไทยพัฒนา ส่งชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค เป็นผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1[18] ทางพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ที่เกิดจากการรวมพรรครวมชาติพัฒนาและพรรคเพื่อแผ่นดินนั้น ส่งชาญชัย ชัยรุ่งเรือง เป็นผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1[19] ทางพรรครักประเทศไทย ได้ส่งชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์เป็นผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 โดยประกาศจะขอทำหน้าที่ฝ่ายค้าน[20] ส่วนพรรคการเมืองใหม่ โฆษกพรรค ดร.สุริยะใส กตะศิลา ยืนยันว่าพรรคจะไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส่วนที่สมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรค ออกมาประกาศว่าจะส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งนั้น ไม่ใช่มติพรรค[21]

รูปแบบการเลือกตั้งแก้ไข

โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2554 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 375 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวน 125 คน[22]

ระบบบัญชีรายชื่อแก้ไข

ในระบบบัญชีรายชื่อ จะมีการคัดเลือกด้วยขั้นตอนดังนี้[23]

ให้แต่ละพรรค ส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครจำนวนไม่เกิน 125 คน

    1. บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องประกอบด้วยรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเป็นธรรม และต้องคำนึงถึงโอกาส สัดส่วนที่เหมาะสมและความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย
    2. รายชื่อในบัญชีต้องไม่ซ้ำกับบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองอื่นจัดทำขึ้น และไม่ซ้ำกับรายชื่อของผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
    3. จัดทำรายชื่อเรียงตามลำดับหมายเลข (จาก 1 ลงไป)
  1. หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง ให้นับคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อของทุกพรรคการเมืองรวมกันทั้งประเทศ แล้วหารด้วย 125 จะได้คะแนนเฉลี่ยต่อผู้แทน 1 คน
  2. นำคะแนนของแต่ละพรรคการเมือง หารด้วยคะแนนเฉลี่ยที่คำนวณไว้ จะได้จำนวนผู้แทนระบบบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น
    1. เศษทศนิยม ให้ปัดทิ้งทั้งหมด แต่ให้เก็บข้อมูลเศษทศนิยมของแต่ละพรรคไว้ (เช่น พรรค ก ได้ 52.7 คน ปัดทิ้งเหลือ 52)
    2. รวมจำนวนผู้แทนของทุกพรรค หากยังได้ไม่ครบ 125 ให้กลับไปดูที่เศษทศนิยมของแต่ละพรรค พรรคใดที่มีเศษเหลือมากที่สุด ให้เพิ่มจำนวนผู้แทนจากพรรคนั้น 1 คน หากยังไม่ครบ ให้เพิ่มผู้แทนจากพรรคที่มีเศษเหลือมากเป็นอันดับสองขึ้นอีก 1 คน ทำเช่นนี้ตามลำดับจนกว่าจะได้ครบ 125 คน (เช่น พรรค ก ได้ 52.7 คน ตอนแรกได้ 52 เศษ 0.7 แต่ถ้าจำนวนผู้แทนยังไม่ครบ และไม่มีพรรคใดมีเศษมากกว่า 0.7 พรรค ก จะได้เพิ่มเป็น 53 คน)
  3. เมื่อได้จำนวนผู้แทนในระบบนี้ที่ลงตัวแล้ว ผู้สมัครของพรรคนั้น จากอันดับหนึ่ง ไปจนถึงอันดับเดียวกับจำนวนผู้แทนของพรรคนั้น จะได้เป็นผู้แทนราษฎร (เช่น พรรค ก ได้ 53 คน ผู้ที่มีรายชื่อตั้งแต่อันดับ 1 ถึง 53 จะได้เป็นผู้แทน)

ในการเลือกตั้งครั้งนี้หมายเลขผู้สมัครที่จับในระบบบัญชีรายชื่อจะใช้กับระบบแบ่งเขตเลือกตั้งด้วย โดยแต่ละพรรคจะใช้หมายเลขเดียวกันทั้งสองระบบทั่วประเทศ ซึ่งหมายเลขที่แต่ละพรรคจับได้เป็นดังนี้

หมายเลข พรรคการเมือง[24]
1 พรรคเพื่อไทย
2 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน
3 พรรคประชาธิปไตยใหม่
4 พรรคประชากรไทย
5 พรรครักประเทศไทย
6 พรรคพลังชล
7 พรรคประชาธรรม
8 พรรคดำรงไทย
9 พรรคพลังมวลชน
10 พรรคประชาธิปัตย์
11 พรรคไทยพอเพียง
12 พรรครักษ์สันติ
13 พรรคไทยเป็นสุข
14 พรรคกิจสังคม
15 พรรคไทยเป็นไท
16 พรรคภูมิใจไทย
17 พรรคแทนคุณแผ่นดิน
18 พรรคเพื่อฟ้าดิน
19 พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย
20 พรรคการเมืองใหม่
หมายเลข พรรคการเมือง[24]
21 พรรคชาติไทยพัฒนา
22 พรรคเสรีนิยม
23 พรรคชาติสามัคคี
24 พรรคบำรุงเมือง
25 พรรคกสิกรไทย
26 พรรคมาตุภูมิ
27 พรรคชีวิตที่ดีกว่า
28 พรรคพลังสังคมไทย
29 พรรคเพื่อประชาชนไทย
30 พรรคมหาชน
31 พรรคประชาชนชาวไทย
32 พรรครักแผ่นดิน
33 พรรคประชาสันติ
34 พรรคความหวังใหม่
35 พรรคอาสามาตุภูมิ
36 พรรคพลังคนกีฬา
37 พรรคพลังชาวนา
38 พรรคไทยสร้างสรรค์
39 พรรคเพื่อนเกษตรไทย
40 พรรคมหารัฐพัฒนา

ระบบแบ่งเขตเลือกตั้งแก้ไข

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี พ.ศ. 2550 ก่อนหน้านี้นั้นเป็นแบบ "เขตเดียวสามเบอร์" คือมีการแบ่งเขตเลือกตั้งโดยที่การแบ่งเขตนั้นแต่ละเขตจะมีจำนวนประชากรในเขตที่ต่างกัน ดังนั้นแต่ละเขตจะมีจำนวนผู้แทนได้ไม่เท่ากัน ตั้งแต่ 1-3 คน ตามขนาดของประชากรในเขต ซึ่งผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง สามารถกาบัตรเลือกผู้สมัครได้จำนวน เท่ากับจำนวนผู้แทนในเขตของตน[25] แต่การเลือกตั้งผู้แทนในครั้งนี้ แบบแบ่งเขตในครั้งนี้มีรูปแบบการลงคะแนนเป็นแบบ "เขตเดียวเบอร์เดียว" คือ การแบ่งเขตเลือกตั้งนั้นจะแบ่งเป็น 375 เขต โดยยึดหลักให้แต่ละเขตนั้นมีจำนวนประชากรที่ใกล้เคียงกันให้มากที่สุด ดังนั้นในแต่ละเขตจะมีผู้แทนได้เขตละ 1 คนอย่างเท่าเทียมกัน และผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง สามารถกาบัตรเลือกผู้สมัครได้เพียงคนเดียว[26]

เกณฑ์การแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 เขตนั้น ตามรัฐธรรมนูญ ได้ประกาศให้มีหลักเกณฑ์ในการแบ่ง ดังต่อไปนี้[27]

  1. นำจำนวนราษฎรทั้งประเทศ จากทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีก่อนการเลือกตั้ง หารด้วยจำนวนผู้แทนในระบบเขต (คือ 375) จะได้อัตราส่วนของราษฎรต่อผู้แทน 1 คน
  2. นำจำนวนราษฎรในแต่ละจังหวัด หารด้วยอัตราส่วนที่คำนวณไว้ จะได้จำนวนเขตเลือกตั้งที่มีในจังหวัด
    1. จังหวัดที่ผลหารต่ำกว่า 1 เขต (เช่น 0.86 เขต) ให้ปัดขึ้นเป็น 1 เขต (ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีจังหวัดใดเข้าข่ายกรณีนี้)
    2. จังหวัดที่ผลหารมากกว่า 1 และมีเศษทศนิยม ให้ปัดเศษทิ้งทั้งหมด แต่ให้เก็บข้อมูลของเศษทศนิยมไว้ (เช่น 4.93 ปัดทิ้งเหลือ 4)
    3. รวมจำนวนผู้แทนของทั้ง 77 จังหวัด หากยังไม่ครบ 375 เขต ให้เพิ่มจำนวนเขตในจังหวัดที่มีเศษทศนิยมเหลือมากที่สุดขึ้นไป 1 เขต หากยังไม่ครบอีก ให้เพิ่มจำนวนเขตในจังหวัดที่มีเศษทศนิยมเหลือเป็นอันดับสองขึ้นไปอีก 1 เขต ทำเช่นนี้ไปตามลำดับ จนกว่าจะได้จำนวนครบ 375
  3. จังหวัดใดมีจำนวนเขตมากกว่า 1 เขต จะต้องแบ่งเขตโดยให้พื้นที่ของแต่ละเขตติดต่อกัน และแต่ละเขตต้องมีจำนวนราษฎรที่ใกล้เคียงกันด้วย (หลังจากการเลือกตั้ง ผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงที่สุดในแต่ละเขต จะได้เป็นผู้แทน)

แต่ละจังหวัด มีจำนวนเขตเลือกตั้งดังต่อไปนี้[28]

 
จำนวนเขตเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด
พื้นที่ จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
กรุงเทพมหานคร 33
นครราชสีมา 15
อุบลราชธานี 11
เชียงใหม่, ขอนแก่น 10
อุดรธานี, นครศรีธรรมราช และบุรีรัมย์ 9
ชลบุรี, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ และสงขลา 8
ชัยภูมิ, เชียงราย, สมุทรปราการ และสกลนคร 7
นครสวรรค์, นนทบุรี, สุราษฎร์ธานี
ปทุมธานี, เพชรบูรณ์ และกาฬสินธุ์
6
กาญจนบุรี, นครปฐม, พระนครศรีอยุธยา, พิษณุโลก
มหาสารคาม, ราชบุรี และสุพรรณบุรี
5
กำแพงเพชร, ฉะเชิงเทรา, ตรัง, นครพนม, นราธิวาส, ปัตตานี
ระยอง, ลพบุรี, ลำปาง, เลย, สระบุรี และสุโขทัย
4
กระบี่, จันทบุรี, ชุมพร, ตาก, น่าน, ประจวบคีรีขันธ์
ปราจีนบุรี, พะเยา, พัทลุง, พิจิตร, อุตรดิตถ์, เพชรบุรี
แพร่, ยโสธร, ยะลา, สมุทรสาคร, สระแก้ว, หนองคาย และหนองบัวลำภู
3
ชัยนาท, ภูเก็ต, มุกดาหาร, ลำพูน, สตูล
อ่างทอง, อำนาจเจริญ, อุทัยธานี และบึงกาฬ
2
ตราด, นครนายก, พังงา, แม่ฮ่องสอน
ระนอง, สิงห์บุรี และสมุทรสงคราม
1

การย้ายพรรคแก้ไข

พรรคเพื่อไทย (11)แก้ไข

  1. ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สระบุรี
  2. วุฒิชัย กิตติธเนศวร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครนายก
  3. ปิยะรัช หมื่นแสน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอ็ด
  4. กรุงศรีวิไล สุทินเผือก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมุทรปราการ
  5. จิรพันธ์ ลิ้มสกุลศิริรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมุทรปราการ
  6. สมบูรณ์ วันไชยธนวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สัดส่วน
  1. นิคม เชาว์กิตติโสภณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สัดส่วน[30]
  2. จุมพฏ บุญใหญ่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สกลนคร[31]
  1. บุญเลิศ ครุฑขุนทด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครราชสีมา[32]
  1. อดุลย์ วันไชยธนวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม่ฮ่องสอน[33]
  1. พันตำรวจโทสมชาย เพศประเสริฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครราชสีมา [34]

พรรคประชาธิปัตย์ (5)แก้ไข

  1. มานิตย์ ภาวสุทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชลบุรี[35]
  2. องอาจ วงษ์ประยูร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สระบุรี[35]
  3. นาราชา สุวิทย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สงขลา [36]
  1. วัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สระบุรี [37]
  1. โชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สิงห์บุรี [38]

พรรคภูมิใจไทย (2)แก้ไข

  1. พันตำรวจโทนุกูล แสงศิริ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครสวรรค์[39]
  1. ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สัดส่วน กลุ่มที่ 3[40]

พรรคเพื่อแผ่นดิน (30)แก้ไข

  1. ประนอม โพธิ์คำ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครราชสีมา[41]
  2. จิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครราชสีมา[41]
  3. รณฤทธิชัย คานเขต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ยโสธร[42]
  4. พิกิฎ ศรีชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ยโสธร[42]
  5. พิเชษฐ์ ตันเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฉะเชิงเทรา[42]
  6. ณัชพล ตันเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฉะเชิงเทรา[42]
  7. ปุระพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสัดส่วน[43]
  8. สาธิต เทพวงศ์ศิริรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสุรินทร์[44]
  9. กิตติศักดิ์ รุ่งธนะเกียรติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสุรินทร์[44]
  10. มานพ ปัตนวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสัดส่วน กลุ่มที่ 8[45]
  11. นิมุคตาร์ วาบา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปัตตานี[46]
  12. พีระพงษ์ เฮงสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบุรีรัมย์[47]
  1. ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครราชสีมา
  2. อนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครราชสีมา
  3. พลพีร์ สุวรรณฉวี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครราชสีมา
  4. อุดร ทองประเสริฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อุบลราชธานี
  5. สุชาติ ตันติวณิชชานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อุบลราชธานี
  6. วิทยา บุตรดีวงค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มุกดาหาร
  7. อลงกต มณีกาศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครพนม
  8. คงกฤช หงษ์วิไล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปราจีนบุรี
  9. รัชนี พลซื่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด[49]
  1. ไชยยศ จิรเมธากร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อุดรธานี[50]
  2. นรพล ตันติมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เชียงใหม่[50]
  1. สมเกียรติ ศรลัมพ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สัดส่วน[51]
  2. พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สัดส่วน[52]
  3. ถิรชัย วุฒิธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สัดส่วน[52]
  1. ธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สุรินทร์
  2. มลิวัลย์ ธัญญสกุลกิจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สัดส่วน
  1. ยุซรี ซูสารอ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปัตตานี[54]
  1. แวมาฮาดี แวดาโอะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นราธิวาส[55]

พรรคชาติไทยพัฒนา (2)แก้ไข

  1. อัศวิน วิภูศิริ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสัดส่วน พรรคชาติไทยพัฒนา[56]
  1. มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลพบุรี พรรคชาติไทยพัฒนา[57]

พรรครวมชาติพัฒนา (5)แก้ไข

  1. วิรัช รัตนเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สัดส่วน
  2. ทัศนียา รัตนเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครราชสีมา
  1. วินัย ภัทรประสิทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พิจิตร [58]
  2. ไกร ดาบธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเชียงใหม่[59]
  1. วรศุลี สุวรรณปริสุทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมุกดาหาร[29]

พรรคประชาราช (9)แก้ไข

  1. เสนาะ เทียนทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สัดส่วน
  2. สรวงศ์ เทียนทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สระแก้ว
  3. ฐานิสร์ เทียนทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สระแก้ว
  4. ตรีนุช เทียนทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สระแก้ว
  1. จักรกฤษณ์ ทองศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บุรีรัมย์
  2. ชนากานต์ ยืนยง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปทุมธานี
  1. สมชัย เจริญชัยฤทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นครสวรรค์[29]
  1. จิรวดี จึงวรานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศรีสะเกษ

พรรคกิจสังคม (4)แก้ไข

  1. มนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิษณุโลก
  2. ชยุต ภุมมะกาญจนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปราจีนบุรี
  1. วารุจ ศิริวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอุตรดิตถ์
  2. สมเจตน์ ลิมปะพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสุโขทัย

พรรคมาตุภูมิ (1)แก้ไข

  1. ดร.ฟารีดา สุไลมาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสุรินทร์ พรรคมาตุภูมิ[62]

เหตุการณ์ก่อนการเลือกตั้งแก้ไข

ที่รัฐสภา ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับสภาพัฒนาการเมือง เชิญพรรคการเมืองเข้าร่วมพิธีให้สัตยาบันและลงนามจรรยาบรรณหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีประธานวุฒิสภา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตัวแทนจากศาสนาต่าง ๆ เอกอัครราชทูต และผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศมาร่วมเป็นสักขีพยาน โดยมีตัวแทนจาก 17 พรรคการเมืองเข้าร่วมพิธี ขาดพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคภูมิใจไทย[17]

เป็นที่คาดกันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีความดุเดือดรุนแรงเป็นพิเศษ หลังมีการเปลี่ยนรูปแบบการลงคะแนนไปเป็น "เขตเดียวเบอร์เดียว" และเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ได้เกิดเหตุ ประชา ประสพดี อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ถูกทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธปืนขณะเดินทางด้วยรถยนต์กลับบ้าน[63] โดยคาดว่ามือปืนมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักการเมืองในจังหวัดสมุทรปราการ ตำรวจได้มีการเฝ้าระวังติดตามมือปืนที่มีประวัติและคดีอุกฉกรรจ์ ด้านพันเอกธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ทหารพร้อมเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน่วยเลือกตั้ง[64]

ด้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้มีการรณรงค์ "โหวตโน" หรือกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน พร้อมกับติดป้ายรณรงค์ที่เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ใส่ชุดสูท โดยสื่อถึงนักการเมือง พร้อมข้อความระบุว่า "อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา" ด้านพลตรีจำลอง ศรีเมือง ออกมาระบุว่า กระทำไปด้วยความหวังดีต่อบ้านเมือง และนักการเมืองเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ตลอดจนไม่มีนโยบายที่เกี่ยวกับการเสียดินแดน[65] เกี่ยวกับเรื่องนี้ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ได้ออกมาตั้งคำถามว่า "ผมอยากถามว่า คนเหล่านี้มีสิทธิ์หรือไม่ ในเมื่อเราเป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเชื่อว่าผู้สมัครทั้งหมดของเราขณะนี้ 40 พรรค ไม่ได้แย่ไปหมด ผมยืนยันพี่น้องประชาชน และบ่อยครั้งคนของเราดีกว่ากลุ่มที่รณรงค์โนโหวตด้วยซ้ำไป ฉะนั้นควรปลดป้ายลง เพราะคนเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะติดป้าย เพราะเขาไม่ใช่พรรคการเมือง"[66] ในขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ออกมาร้องคณะกรรมการการเลือกตั้งให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปลดป้ายโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติ 4 ต่อ 1 ให้ปลดป้ายออก อย่างไรก็ตามทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยื่นเรื่องฟ้องศาลปกครองและไม่มีการปลดป้ายแต่อย่างใด[67]

พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอให้มีการดีเบต หรือโต้วาที ระหว่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แสดงวิสัยทัศน์และนโยบายของพรรคต่อประชาชน โดยอภิสิทธิ์ต้องการพิสูจน์ถึงความพร้อมทำงานสานต่อภารกิจ และเห็นว่าเป็นธรรมเนียมประชาธิปไตยที่ผู้สมัครจะแสดงวิสัยทัศน์แก่ประชาชน[68] แต่ทางพรรคเพื่อไทยปฏิเสธ[69] โดยร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง เห็นว่า การดีเบตเป็นแนวทางของระบบประธานาธิบดี[70]

นอกจากนี้ยังได้เกิดเหตุฆ่าหัวคะแนนของพรรคการเมืองต่าง ๆ เช่น