การยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย
การยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย คือกระบวนการทำให้ความเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยสิ้นสุดลง เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปอีกครั้ง
การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกลไกที่ใช้เมื่อเกิดวิกฤตการณ์การเมือง หรือเมื่อรัฐบาลเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งใหม่ การยุบสภาทำให้ฝ่ายบริหารมีเครื่องมือในการต่อรองกับสภาผู้แทน ซึ่งในประเทศประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างเช่นไทย อำนาจยุบสภาผู้แทนมิใช่อำนาจบริหาร ตุลาการ หรือนิติบัญญัติ หากแต่เป็น "อำนาจเป็นกลาง" (Pouvoir Neutre) ซึ่งถือโดยผู้เป็นกลางที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด[1] เจ้าของอำนาจนี้คือพระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรีเป็นเพียงผู้ขอใช้อำนาจดังกล่าวตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในต่างประเทศเคยมีตัวอย่างที่พระมหากษัตริย์ไม่ยินยอมยุบสภาตามคำเสนอของนายกรัฐมนตรี เช่นสหราชอาณาจักรในปี 2453 และมาเลเซียในปี 2564
ภูมิหลังในไทย
แก้การยุบสภาปรากฎครั้งแรกในธรรมนูญการปกครองสยาม พุทธศักราช 2475 ที่ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกมาใหม่ ในพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภา เช่นนี้ ต้องมีกำหนดให้เลือกตั้งสมาชิกใหม่ภายในเก้าสิบวัน”
ในเวลาต่อมา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มีการเพิ่มเงื่อนไขต่อท้าย ความว่า “...การยุบสภาผู้แทนจะทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”[2] ซึ่งมีที่มาจากประวัติศาสตร์ในประเทศเยอรมนีในปี 2475 ซึ่งนายกรัฐมนตรีฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน ยุบสภาสองครั้งในรัฐบาลชุดเดียว[3] เหตุการณ์นี้เป็นการทำลายระบบรัฐสภาอย่างร้ายแรง ปูทางให้ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจในต้นปีถัดมาโดยไม่ต้องใช้เสียงข้างมาก ด้วยเหตุนี้ในเวลาต่อมา รัฐธรรมนูญเยอรมันจึงมีการเพิ่มข้อความป้องกันการยุบสภาซ้ำซ้อน
ผู้มีอำนาจยุบสภา
แก้การยุบสภาผู้แทนราษฎรมิใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี หากแต่เป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญทุกฉบับซึ่งบัญญัติไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร...การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทําโดยพระราชกฤษฎีกา”
การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติว่าการยุบสภาให้กระทําโดยพระราชกฤษฎีกา ก็เพื่อที่จะให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีสิทธิ์ริเริ่มกระบวนการยุบสภา โดยจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรขึ้นทูลเกล้าถวายให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ในกรณีที่ได้รับการลงพระปรมาภิไธย นายกรัฐมนตรีจะลงนามรับสนองพระราชโองการแล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้
ในกรณีที่ร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาไม่ได้รับการลงพระปรมาภิไธย (รวมถึงร่างกฎหมายอื่นที่มีสถานะเป็นร่างพระราชกฤษฎีกา) ยังไม่ชัดเจนว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติเอาไว้ และเป็นกรณีที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในไทย ศาสตราจารย์หยุด แสงอุทัย เคยให้ความเห็นว่า กรณีที่นำร่างพระราชกฤษฎีกาทูลเกล้าแล้วไม่ได้รับการลงพระปรมาภิไธย รัฐบาลต้องลาออก เพราะถือว่าไม่สามารถทำงานกับกษัตริย์ได้แล้ว[4]
หลักการสำคัญในการยุบสภา
แก้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หลักการสำคัญในการยุบสภาสามารถพิจารณาภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญได้ ดังนี้[5]
- การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ (มาตรา 108 วรรคหนึ่ง) พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ แต่จะทรงใช้พระราชอำนาจนั้นได้ก็ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีเสนอเท่านั้น
- การยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา (มาตรา 108 วรรคสอง) พระราชกฤษฎีกาจะใช้บังคับเมื่อใดแล้วแต่กำหนดไว้ในนั้นเองแต่ต้องหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในการนี้ ต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ
- การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน (มาตรา 108 วรรค 3) หากมีจะการยุบสภาอีกครั้ง มิอาจอ้างเหตุผลที่ใช้ในการยุบสภาครั้งก่อนได้
- การยุบสภาผู้แทนราษฎรมีได้เฉพาะก่อนสภาสิ้นอายุ การยุบสภากระทำในเวลาใดก็ได้ก่อนสภาสิ้นอายุ แม้อยู่ในช่วงปิดสมัยประชุมสภา อย่างไรก็ตาม กรณีมีการเสนอญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแล้ว ย่อมไม่สามารถยุบสภาได้
- การยุบสภาผู้แทนราษฎรทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง (มาตรา 106)
อนึ่ง คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่ในกรณีพ้นจากตำแหน่งจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็น ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ได้แก่
- ไม่กระทำการอันเป็นการใช้อำนาจแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ หรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน
- ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน
- ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป
- ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง และไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
ส่วนสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาหาได้สิ้นสุดลงจากการยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ ดังนั้น จึงยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จะมีการประชุมวุฒิสภามิได้ เว้นแต่เป็นกรณีดังต่อไปนี้ (มาตรา 132)
- การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภา เช่น การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาล การแต่งตั้งพระรัชทายาท การประกาศสงคราม เป็นต้น
- การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งใดตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
- การประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่พิจารณาและมีมติให้ถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง
ลำดับการยุบสภาผู้แทนราษฎร
แก้การยุบสภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้นมาแล้วรวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง[6][7][8]
ครั้งที่ | วันที่ | นายกรัฐมนตรี | สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ | เหตุผล |
---|---|---|---|---|
1 | 11 กันยายน พ.ศ. 2481 | พระยาพหลพลพยุหเสนา | 2 | รัฐบาลขัดแย้งกับสภา |
2 | 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488 | หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช | 3 | สภาผู้แทนยืดอายุมานานในช่วงสงคราม จนสมควรแก่เวลา |
3 | 12 มกราคม พ.ศ. 2519 | หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช | 11 | ความขัดแย้งภายในรัฐบาล |
4 | 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 | เปรม ติณสูลานนท์ | 13 | สภาผู้แทนราษฎรขัดแย้งกับวุฒิสภา กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ |
5 | 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 | 14 | รัฐบาลขัดแย้งกับสภา กรณีการตราพระราชกำหนด | |
6 | 29 เมษายน พ.ศ. 2531 | 15 | ความขัดแย้งภายในรัฐบาล | |
7 | 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535 | อานันท์ ปันยารชุน | 17 | เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อยุบสภาหลังจากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง |
8 | 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 | ชวน หลีกภัย | 18 | ความขัดแย้งภายในรัฐบาล |
9 | 28 กันยายน พ.ศ. 2539 | บรรหาร ศิลปอาชา | 19 | |
10 | 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 | ชวน หลีกภัย | 20 | ปฏิบัติภารกิจตามเป้าหมายเสร็จแล้ว |
11 | 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 | ทักษิณ ชินวัตร | 22 | เกิดวิกฤตการณ์การเมืองจากการชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรี ต่อมาเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 |
12 | 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 | อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ | 23 | วิกฤตการณ์ทางการเมือง |
13 | 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | 24 | ปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกของชนในชาติ (วิกฤตการณ์ทางการเมือง) ต่อมาเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 |
14 | 20 มีนาคม พ.ศ. 2566 | ประยุทธ์ จันทร์โอชา | 25 | เพื่อคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนผ่านการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป[9] |
อ้างอิง
แก้- ↑ จิรากิตติ์ แสงลี.ข้อพิจารณาเกี่ยวกับการ “ยุบสภา” ในฐานะที่เป็นกลไกของระบบรัฐสภาในรัฐธรรมนูญไทย
- ↑ มาตรา 32 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
- ↑ รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร, ชุดที่ 4 สมัยที่ 2 ครั้งที่ 25/2489, สมัยสามัญ, 17 เมษายน 2489: 1436, 1438.
- ↑ ฟังชัดๆ วรเจตน์ตอบประเด็นพระราชอำนาจในการวีโต้ร่างพระราชกฤษฎีกา 16 มกราคม 2562
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
- ↑ มานิตย์ จุมปา. สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) หมวดองค์กรทางการเมือง เรื่อง 7. การยุบสภา. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2544. 41 หน้า. ISBN 974-00-8337-4
- ↑ สิริรัตน์ เรืองวงษ์วาร. ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2539. 632 หน้า. ISBN 974-599-876-4 ข้อผิดพลาดพารามิเตอร์ใน {{ISBN}}: checksum
- ↑ "ด่วน พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภา". ประชาชาติธุรกิจ. 2023-03-20. สืบค้นเมื่อ 2023-03-20.
{{cite news}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ เลือกตั้ง 2566: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าฯ ยุบสภาแล้ว นับถอยหลังศึกเลือกตั้ง