สงครามพระเจ้าอลองพญา
สงครามพระเจ้าอลองพญา เป็นชื่อเรียกความขัดแย้งทางทหารครั้งแรกระหว่างอาณาจักรโก้นบองแห่งพม่า กับอาณาจักรอยุธยาสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง สงครามครั้งนี้เป็นการจุดชนวนการสงครามนานหลายศตวรรษระหว่างทั้งสองรัฐขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะกินเวลานานไปอีกหนึ่งศตวรรษข้างหน้า ฝ่ายพม่านั้นอยู่ที่ "ขอบแห่งชัยชนะ" แล้วเมื่อจำต้องถอนกำลังจากการล้อมอยุธยา เนื่องจากพระเจ้าอลองพญาถูกระเบิดปืนใหญ่สิ้นพระชนม์[6] พระองค์สวรรคตและทำให้สงครามครั้งนี้ยุติลง
สงครามพระเจ้าอลองพญา | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ยุทธศาสตร์การยกทัพพระเจ้าอลองพญา | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
อาณาจักรโก้นบอง | อาณาจักรอยุธยา | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
พระเจ้าอลองพญา † เจ้าชายมังระ มังฆ้องนรธา |
พระเจ้าเอกทัศ พระเจ้าอุทุมพร | ||||||||
กำลัง | |||||||||
กำลังรุกราน: |
ตะนาวศรีและอ่าวไทย: |
ความต้องการครอบครองชายฝั่งตะนาวศรีและการค้าขายในแถบนี้เป็นชนวนเหตุของสงคราม[7][8] และการให้การสนับสนุนของอยุธยาต่อกบฏมอญแห่งอดีตราชอาณาจักรหงสาวดีฟื้นฟู[6][9] ราชวงศ์โก้นบองที่เพิ่งจะสถาปนาขึ้นใหม่นั้นต้องการจะแผ่ขยายอำนาจเข้าควบคุมชายฝั่งตะนาวศรีตอนบนอีกครั้ง (ปัจจุบันคือ รัฐมอญ) ซึ่งอยุธยาได้ให้การสนับสนุนแก่กบฏชาวมอญและจัดวางกำลังพลไว้ ฝ่ายอยุธยาปฏิเสธข้อเรียกร้องของพม่าที่จะส่งตัวผู้นำกบฏมอญหรือระงับการบุกรุกดินแดนซึ่งพม่ามองว่าเป็นดินแดนของตน[10]
สงครามครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2302 เมื่อทหารพม่า 40,000 นาย ภายใต้การนำของพระเจ้าอลองพญา และพระราชบุตร เจ้าชายมังระ ยกพลรุกรานลงมาตามชายฝั่งตะนาวศรีจากเมาะตะมะ แผนยุทธการของพระองค์คือ เคลื่อนทัพหลบตำแหน่งที่มีการป้องกันอย่างแข็งแรงของอยุธยา ตามเส้นทางการรุกรานที่สั้นและเข้าถึงโดยตรงมากกว่า กองทัพรุกรานพิชิตการป้องกันของอยุธยาที่ค่อนข้างเบาบางตามแนวชายฝั่ง ข้ามเทือกเขาตะนาวศรีไปจนถึงอ่าวไทย จากนั้นวกขึ้นเหนือไปยังกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายอยุธยารู้สึกประหลาดใจกับการรุกรานดังกล่าว โดยรีบจัดทัพมาเผชิญกับพม่าทางใต้ของกรุง และจัดตั้งการป้องกันอย่างกล้าหาญระหว่างทางสู่กรุงศรีอยุธยา แต่กองทัพพม่าซึ่งกรำศึกกลับเอาชนะกองทัพฝ่ายป้องกันของอยุธยาซึ่งมีจำนวนเหนือกว่าได้ และเคลื่อนมาถึงชานกรุงเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2303 แต่เพียงห้าวันหลังจากการล้อมเริ่มต้นขึ้น พระมหากษัตริย์พม่ากลับทรงพระประชวรและมีการตัดสินใจยกทัพกลับ[6] ปฏิบัติการของทหารกองหลังอันมีประสิทธิภาพ ภายใต้การนำของแม่ทัพมังฆ้องนรธาทำให้การถอนกำลังเป็นไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย[11]
สงครามดังกล่าวไม่มีบทสรุปแน่ชัด ขณะที่พม่าสามารถแผ่อำนาจควบคุมเหนือชายฝั่งตะนาวศรีตอนบนไปจนถึงทวาย แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดภัยคุกคามจากดินแดนรอบข้างได้ ซึ่งถือว่าไม่ค่อยสำคัญเท่าใดนัก ฝ่ายพม่าถูกบีบให้ตกลงกับกบฏชนกลุ่มน้อยที่ได้รับการสนับสนุนจากอยุธยา เช่นเดียวกับในล้านนา ในอีกสี่ปีต่อมา พม่าจะยกทัพมารุกรานอาณาจักรอยุธยาอีกครั้ง และนำไปสู่การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2310 ยุติประวัติศาสตร์นานสี่ศตวรรษของอยุธยา
ภูมิหลัง แก้
สรุปความขัดแย้งระหว่างพม่ามอญและสยาม แก้
พระเจ้าตะเบงชเวตี้กษัตริย์พม่าราชวงศ์ตองอูได้เข้าพิชิตยึดครองอาณาจักรหงสาวดีของชาวมอญในพม่าตอนล่างได้สำเร็จในพ.ศ. 2082 ต่อมาไม่นานชาวมอญได้เป็นกบฏจนพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองต้องทำการพิชิตชาวมอญอีกครั้งในพ.ศ. 2094 กษัตริย์พม่าราชวงศ์ตองอูตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองหงสาวดีของชาวมอญ และมีความเคารพต่ออัตลักษณ์วัฒนธรรมมอญ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงกรีฑาทัพเข้าบุกยึดเมืองอังวะและพม่าตอนบนจากชาวไทใหญ่ได้สำเร็จในพ.ศ. 2098 รวบรวมอาณาจักรพม่าให้เป็นเอกภาพ ยึดล้านนาเชียงใหม่ในพ.ศ. 2101 ยึดเมืองมณีปุระในพ.ศ. 2103 และยึดเมืองทวายในพ.ศ. 2105 ปีต่อมาพ.ศ. 2106 สงครามช้างเผือก พระเจ้าบุเรงนองทรงยกทัพพม่าเข้าโจมตีหัวเมืองเหนือของสยาม พระมหาธรรมราชาแห่งพิษณุโลกหัวเมืองเหนือยินยอมสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าบุเรงนอง[12] และพระเจ้าบุเรงนองจึงยกทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2107 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิกษัตริย์อยุธยาทรงยอมสงบศึกเป็นไมตรีต่อพระเจ้าบุเรงนอง[12] ต่อแต่มาไม่นานกรุงศรีอยุธยาเกิดความขัดแย้งกับหัวเมืองเหนือพิษณุโลก เป็นเหตุให้พระเจ้าบุเรงนองส่งทัพเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง จนนำไปสู่การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งในพ.ศ. 2112[12] อยุธยาตกเป็นประเทศราชของพม่า ในรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนองอาณาจักรพม่าเรืองอำนาจแผ่อิทธิพลและอาณาเขตไพศาล พระเจ้าบุเรงนองได้รับฉายาว่า"ผู้ชนะสิบทิศ" พระเจ้าบุเรงนองทรงแต่งตั้งให้พระโอรสคือเจ้าชายสาวัตถีนรธาเมงสอให้เป็นกษัตริย์เชียงใหม่มีอำนาจเหนือล้านนา
พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสวรรคตในพ.ศ. 2124 พระโอรสพระมหาอุปราชขึ้นครองราชสมบัติพม่าต่อมาเป็นพระเจ้านันทบุเรง[12] จึงเข้าสู่ยุคเสื่อมอำนาจของอาณาจักรพม่าตองอู สมเด็จพระนเรศวรฯทรงเป็นปฏิปักษ์ต่อพม่าในพ.ศ. 2127[12] กรุงศรีอยุธยาจึงเป็นอิสระจากอำนาจของพม่า พระเจ้านันทบุเรงกษัตริย์พม่าส่งทัพพม่าเข้ามาปิดล้อมอยุธยาในพ.ศ. 2129 แต่ไม่สามารถพิชิตกรุงศรีอยุธยาได้ต้องถอยทัพกลับ[12] หลังจากนั้นทัพพม่าไม่รุกรานเข้ามาถึงชานกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นเวลาประมาณสองร้อยปี (จนกระทั่งสงครามพระเจ้าอลองพญา) พระเจ้านันทบุเรงส่งพระโอรสพระมหาอุปราชมังกยอชวายกทัพเข้ารุกรานสยามในพ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรฯทรงสามารถต้านทานและเอาชนะทัพพม่าได้ในการรบยุทธหัตถีพ.ศ. 2135 สังหารพระมหาอุปราชพม่าสิ้นพระชนม์ในที่รบ หลังจากสงครามยุทธหัตถีพม่าไม่เข้ารุกรานกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นเวลาประมาณสองร้อยปี (พงศาวดารพม่ากล่าวถึงการรุกรานสยามครั้งหนึ่งในสมัยของสมเด็จพระเพทราชาแต่ไม่ปรากฏในพงศาวดารไทย) จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรฯทรงส่งทัพสยามเข้ายึดทวายและตะนาวศรีคืนจากพม่าในพ.ศ. 2136 และตีได้เมืองเมาะตะมะของชาวมอญในพ.ศ. 2137 พระเจ้าสาวัตถีนรธาเมงสอแห่งเชียงใหม่เข้าสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยา เมื่อมีชัยชนะต่อทัพพม่าผู้รุกราน ฝ่ายสยามกรุงศรีอยุธยากลับเป็นฝ่ายรุก สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้เมืองเมาะตะมะเป็นฐานในการโจมตีพม่า แต่ทว่ามอญเมืองเมาะตะมะได้เป็นกบฏต่อสยามในพ.ศ. 2142[12] สมเด็จพระนเรศวรฯเสด็จยกทัพปราบกบฏมอญที่เมาะตะมะ ในเวลาเดียวกันเจ้าเมืองตองอูร่วมมือกับอาณาจักรยะไข่เข้ายึดเมืองหงสาวดีได้สำเร็จ ปีต่อมาพ.ศ. 2143 สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพเข้าตีกรุงหงสาวดี ฝ่ายเมืองตองอูจึงนำพระเจ้านันทบุเรงกษัตริย์พม่าไปไว้ที่เมืองตองอู ส่วนฝ่ายยะไข่นั้นเผาทำลายเมืองหงสาวดีลงแล้วกลับไป[12] สมเด็จพระนเรศวรฯเสด็จยกทัพติดตามไปจนถึงเมืองตองอู เข้าล้อมเมืองตองอู ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรทรงล้อมเมืองตองอูไม่สามารถตีหักเอาเมืองตองอูได้จึงเสด็จถอยทัพกลับ[12] ในปีเดียวกันนั้นพระเจ้านันทบุเรงทรงถูกนัตจินหน่องวางยาพิษปลงพระชนม์[12] สยามกรุงศรีอยุธยาจึงมีอำนาจปกครองทั้งล้านนาเมืองเมาะตะมะและทวายตะนาวศรีทั้งหมด
เมื่อสิ้นพระเจ้านันทบุเรงแล้ว อาณาจักรพม่าตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง มีผู้ตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นสี่แห่งได้แก่อังวะแประตองอูและสีเรียม เจ้าชายนยองรามเจ้าเมืองอังวะยกทัพเข้าปราบปรามหัวเมืองไทใหญ่ในพ.ศ. 2146[12] สมเด็จพระนเรศวรฯเสด็จยกทัพขึ้นไปช่วยเมืองแสนหวีแต่ประชวรสวรรคตระหว่างเส้นทางเมื่อพ.ศ. 2148[12] เจ้าชายนยองรามแห่งอังวะก็ได้ประชวรสิ้นพระชนม์ในครั้งนั้นเช่นกัน โอรสขึ้นเป็นพระเจ้าอังวะพระองค์ใหม่พระนามว่าพระมหาธรรมราชาอะเนาะเพะลูน พระเจ้าอะเนาะเพะลูนเจ้าเมืองอังวะได้ปราบเมืองแปรตองอูและสีเรียม รวบรวมพม่าได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าอะเนาะเพะลูนตั้งราชธานีที่เมืองหงสาวดีขึ้นอีกครั้งในพ.ศ. 2156 รวมทั้งยังเกลี้ยกล่อมเมืองเมาะตะมะให้เป็นของพม่าดังเดิม สามารถยึดเมืองทวายคืนได้[12]ในพ.ศ. 2157 และยึดเมืองเชียงใหม่และล้านนาคืนจากอยุธยาได้ในพ.ศ. 2158 หลังจากนั้นความขัดแย้งระหว่างพม่าและสยามเข้าสู่สภาวะคุมเชิงและสงบศึก ยุติลงที่พม่าปกครองล้านนาและทวายในขณะที่อยุธยาปกครองมะริดตะนาวศรี พระเจ้าตาลุนทรงย้ายราชธานีในพ.ศ. 2178 จากเมืองหงสาวดีในพม่าตอนล่างไปยังเมืองอังวะในพม่าตอนบน ทำให้ชาวมอญในพม่าตอนล่างเป็นอิสระและออกห่างจากการควบคุมของราชสำนักพม่าได้มากขึ้น
ในพ.ศ. 2204 ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จักรพรรดิหย่งลี่แห่งราชวงศ์หมิงใต้เข้าลี้ภัยที่พม่าเมืองสะกาย เป็นเหตุให้จักรวรรดิจีนราชวงศ์ชิงส่งทัพเข้ารุกรานพม่าเพื่อตามตัวจักรพรรดิหย่งลี่ พระเจ้าเชียงใหม่มีความเกรงกลัวต่อทัพจีนจึงขอความช่วยเหลือจากราชสำนักอยุธยา ฝ่ายพม่าเกณฑ์ชาวมอญไปรบกับจีนแต่ชาวมอญไม่พอใจเกิดการกบฏของชาวมอญขึ้นที่เมาะตะมะ สมเด็จพระนารายณ์เสด็จกรีฑาทัพขึ้นไปช่วยเมืองเชียงใหม่ในพ.ศ. 2204 แต่เมืองเชียงใหม่หันกลับไปเข้ากับพม่าเนื่องจากพม่าสามารถต้านทานทัพจีนได้แล้ว พระเจ้าเบงตะเลกษัตริย์พม่าส่งทัพลงมาปราบกบฏชาวมอญแล้วล่วงเข้ารุกรานสยามทางด่านเจดีย์สามองค์ในพ.ศ. 2204 สมเด็จพระนารายณ์ฯจึงมีพระราชโองการให้พระยาสีหราชเดโช (ทิป) ยกทัพจากเชียงใหม่มาป้องกันทางกาญจนบุรี พระยาสีหราชเดโชตีทัพพม่าแตกพ่ายไปที่ไทรโยค[12] จากนั้นสมเด็จพระนารายณ์จึงเสด็จยกทัพไปตีได้เมืองเชียงใหม่ในปลายปีพ.ศ. 2204 แล้วจึงส่งพระยาสีหราชเดโช (ทิป) และพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) นำทัพสยามเข้ารุกรานโจมตีเมืองทวายและเมาะตะมะของชาวมอญในพ.ศ. 2205 แต่ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาไม่ได้ยึดครองล้านนาเชียงใหม่และหัวเมืองมอญเป็นการถาวร เพียงแต่กวาดต้อนชาวเชียงใหม่และชาวมอญมาที่อยุธยาเท่านั้น หลังจากนั้นเมืองเชียงใหม่และหัวเมืองมอญรวมทั้งทวายจึงกลับคืนแก่พม่า
ความเสื่อมและการล่มสลายของราชวงศ์ตองอู แก้
ในพ.ศ. 2247 พระเจ้าจาไรรงบา (Charairongba) แห่งอาณาจักรคังเลปัก (Kangleipak) ได้ยกพระขนิษฐาคือเจ้าหญิงชักปามาเคางัมบี (Chakpa Makhao Ngambi)[13] ให้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสเน่ห์กษัตริย์พม่าราชวงศ์ตองอู แต่ทว่าพระเจ้าสเน่ห์ได้เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหญิงชักปามาเคางัมบี ไม่ได้ยกขึ้นเป็นพระมเหษีเอกตามที่ได้สัญญาไว้ ทำให้พระเจ้าจาไรรงบาแค้นเคืองตรอมพระทัยจนสิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. 2252 พระเจ้าจาไรรงบาได้สั่งเสียแก่พระโอรสพามเฮบา (Pamheiba) ว่าให้ทำการแก้แค้นแก่พม่าเมื่อมีโอกาส พามเฮบาขึ้นครองราชสมบัติต่อจากบิดาเป็นกษัตริย์แห่งคังเลปักพระองค์ต่อมา พระเจ้าพามเฮบาได้รับอิทธิพลจากกูรูชาวอินเดียชื่อว่าศานติทาส อธิการี (Shantidas Adhikari) ทำให้พระเจ้าพามเฮบาทรงรับเอาศาสนาพราหมณ์ไวษณพนิกายให้เป็นศาสนาประจำอาณาจักร เปลี่ยนชื่ออาณาจักรคังเลปักเป็นอาณาจักรมณีปุระ และแปลงพระนามเป็นภาษาเปอร์เซียพระนามว่าพระเจ้าการิบนิวาซ (Gharib Niwaz) ต่อมาในพ.ศ. 2259 กษัตริย์พม่าพระองค์ใหม่คือพระเจ้าช้างเผือกตะนินกันเหว่ส่งทูตมาสู่ขอเจ้าหญิงมณีปุระเป็นบาทบริจาริกาของกษัตริย์พม่า พระเจ้าการิบนิวาซทรงจดจำคำสั่งเสียของพระบิดาได้มีความแค้นเคืองต่อพม่า จึงส่งกำลังไปทำร้ายและจับกุมคณะทูตพม่านั้น[13] กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามพม่า-มณีปุระ พระเจ้าการิบนิวาซแห่งมณีปุระยกทัพเข้าโจมตีสร้างความเสียหายแก่หัวเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า ในลุ่มแม่น้ำชี่นดวี่นและแม่น้ำมู ได้แก่เมืองปิดู่ (Myedu) เมืองดีเปเยียง (Tabayin) เมืองมินกิน (Mingin) การรุกรานของมณีปุระทำให้พม่าเสื่อมอำนาจลง ในพ.ศ. 2270 เจ้าองค์คำแห่งเชียงใหม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของพม่าได้สำเร็จ ในพ.ศ. 2277 พระเจ้าการิบนิวาซยกทัพเข้ายึดรัฐไทใหญ่เมืองก้องซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของพม่า กูรูศานติทาสทูลกษัตริย์มณีปุระว่าแม่น้ำอิระวดีเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์หากได้สรงน้ำในแม่น้ำอิระวดีนั้นจะเป็นสิริมงคล ในพ.ศ. 2282 ในสมัยพระมหาธรรมราชาธิบดีกษัตริย์พม่าราชวงศ์ตองอูพระองค์สุดท้าย พระเจ้าการิบนิวาซยกทัพมณีปุระเข้ามายึดและเผาทำลายเมืองสะกาย ซึ่งอยู่เพียงฝั่งตรงข้ามแม่น้ำอิระวดีจากกรุงอังวะไปเท่านั้น แต่พระเจ้าการิบนิวาซไม่ได้เข้าโจมตีเมืองอังวะ เพียงแต่ประกอบพิธีอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ำอิระวดีตามคำแนะนำของกูรู ในปีต่อมาพ.ศ. 2283 ฝ่ายพม่าได้บรรลุข้อตกลงสงบศึกกับพระเจ้าการิบนิวาซ จนกษัตริย์มณีปุระถอยทัพกลับไปในที่สุด
หลังจากที่พม่าได้ย้ายราชธานีจากเมืองหงสาวดีของชาวมอญไปยังเมืองอังวะแล้ว ราชสำนักพม่าได้ส่งเมี้ยวหวุ่นหรือผู้ปกครองชาวพม่ามาปกครองชาวมอญที่เมืองหงสาวดีแทนที่ แต่ชาวมอญเป็นอิสระจากการควบคุมของพม่ามากขึ้น ในพ.ศ. 2280 มังสาอ่อง ขุนนางชาวพม่าได้มาเป็นเมี้ยวหวุ่นเจ้าเมืองหงสาวดี[14] มังสาอ่องทำการขูดรีดภาษีชาวมอญอย่างหนักสร้างความไม่พอใจแก่ชาวมอญ ในพ.ศ. 2283 เมื่อกรุงอังวะกำลังประสบภัยการรุกรานจากมณีปุระนั้น มองส่าอ่องเห็นเป็นโอกาสจึงกบฏขึ้นที่หงสาวดีประกาศตนเองเป็นเจ้าอิสระ "ธอระแซงมู"ขุนนางมอญไปกราบทูลพระเจ้าอังวะว่ามังสาอ่องเป็นกบฏ[14] พระเจ้าอังวะทรงส่งมังมหาราชาหรือมังรายจอข่อง[14] เป็นแม่ทัพพม่าลงมาปราบมังสาอ่อง จับตัวมังสาอ่องไปประหารชีวิต จากนั้นพระเจ้าอังวะทรงแต่งตั้ง"มองซวยเยนรธา"เป็นเจ้าเมืองหงสาวดีคนใหม่ แต่ทว่าชาวมอญได้ร่วมมือกับ"ชาวกวย" (ชาวไทใหญ่ซึ่งถูกกวาดต้อนมาอยู่ที่พม่าตอนล่าง หรืออาจหมายถึงชาวกะเหรี่ยง) กบฏต่ออังวะในพ.ศ. 2283 โดยมีผู้นำคือพระภิกษุชาวกวยชื่อว่าสมิงทอ (พงศาวดารมอญระบุว่าสมิงทอเป็นชาวกวย แต่พงศาวดารพม่าระบุว่าสมิงทอเดิมเป็นโอรสของเจ้าพุกาม เจ้าชายพม่าซึ่งได้เคยกบฏแล้วหนีไป)[12] ธอระแซงมูสังหารมองซวยเยนรธาเจ้าเมืองหงสาวดีคนใหม่ ยกเมืองหงสาวดีให้แก่สมิงทอและยกย่องสมิงทอขึ้นเป็นกษัตริย์หงสาวดีพระเจ้าทอพุทธเกษ[14] ก่อตั้งฟื้นฟูอาณาจักรหงสาวดีของชาวมอญขึ้นใหม่ ในพม่าตอนล่าง สมิงทอแต่งตั้งให้ธอระแซงมูเป็นเสนาบดีดำรงตำแหน่งเป็นพญาทะละและสมรสกับบุตรสาวของพญาทะละเป็นพระมเหสี[14] จากนั้นสมิงทอจึงยกทัพมอญเข้าโจมตีเมืองแปร เจ้าเมืองเมาะตะและเจ้าเมืองทวายเกรงว่าชาวมอญจะเข้าโจมตี จึงหลบหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกษัตริย์อยุธยา[14] ฝ่ายกษัตริย์พม่าเมื่อทรงทราบว่าเจ้าเมืองเมาะตะมะและเจ้าเมืองทวายได้หลบหนีเข้ามาที่กรุงศรีอยุธยา จึงแต่งทูตเดินทางมาถึงอยุธยาในพ.ศ. 2287 กราบทูลขอตัวเจ้าเมืองทั้งสองคืนแก่อังวะ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงทรงแต่งคณะทูตนำโดยพระยายมราชเป็นราชทูต พระธนบุรีเป็นอุปทูต[12] เป็นคณะทูตสยามนำตัวเจ้าเมืองทั้งสองไปถวายคืนแก่พระเจ้าอังวะ คณะทูตสยามได้แสดงท่าทีสนับสนุนพม่าและเป็นปฏิปักษ์ต่อมอญ[14] ทำให้สมิงทอกษัตริย์หงสาวดีเกรงว่าจะถูกฝ่ายกรุงศรีอยุธยาตีกระหนาบจากด้านหลังจึงถอยทัพออกจากเมืองแปรในที่สุด พงศาวดารไทยระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงศรีอยุธยาและพม่าในช่วงเวลานี้เป็นไปด้วยความไมตรี แต่เอกสารพม่าระบุว่าราชสำนักพม่าไม่ไว้วางใจคณะทูตสยาม และสงสัยว่าสยามอาจให้ความช่วยเหลือแก่มอญ
สมิงทอกษัตริย์หงสาวดีนั้น เดิมมีพระมเหสีอยู่แล้วองค์หนึ่งคือนางคุ้งเป็นบุตรสาวของพญาทะละกรมช้าง (เดิมคือ"ธอระแซงมู") ในพ.ศ. 2287 สมิงทอได้สู่ขอพระธิดาจากเจ้าองค์คำแห่งเชียงใหม่มาเป็นพระมเหสีองค์ที่สอง[14] ชื่อว่า นางสอิ้งทิพ[12]หรือนางเทพวิลา สมิงทอโปรดปรานนางเทพวิลามเหสีเชียงใหม่มากกว่าทำให้พระมเหสีเดิมไม่พอพระทัย จึงนำความไปฟ้องต่อพญาทะละผู้เป็นบิดา พญาทะละจึงมีความไม่พอใจต่อสมิงทอ ในพ.ศ. 2289 เมื่อสมิงทอออกไปคล้องช้างอยู่นั้น พญาทะละเสนาบดีทำการยึดอำนาจที่กรุงหงสาวดี ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์หงสาวดีแทนที่สมิงทอ (เอกสารพม่าระบุว่าพญาทะละดั้งเดิมอาจเป็นหมอช้างชาวฉาน ชาวยวนล้านนา? จากเชียงใหม่ที่ได้อพยพมาอยู่หงสาวดี) พญาทะละแต่งตั้งให้น้องชายชื่อว่าธอลองเป็นอุปราช[14] จากนั้นในปีเดียวกันพญาทะละส่งให้อุปราชธอลองยกทัพขึ้นไปยึดเมืองแปรและตองอูของพม่าได้สำเร็จ[14] ฝ่ายสมิงทอหลบหนีไปเชียงใหม่ นำกำลังชาวกะเหรี่ยงมากอบกู้ราชสมบัติคืนจากพญาทะละในปีต่อมาพ.ศ. 2290 แต่ไม่สำเร็จ พ่ายแพ้ทำให้สมิงทอต้องหลบหนีมายังกรุงศรีอยุธยาขอพึ่งพระโพธิสมภารพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศฯ[14] ต่อมาในพ.ศ. 2292 พระเจ้าการิบนิวาซกษัตริย์มณีปุระทรงสละราชสมบัติให้แก่พระโอรสคือพระเจ้าจิตไซ (Chitsai) จากนั้นพระเจ้าการิบนิวาซยกทัพเข้ามายังกรุงอังวะเพื่ออภิเษกพระนัดดาเจ้าหญิงมณีปุระถวายกษัตริย์พม่าเป็นบาทบริจาริกา[15] เมื่อสิ้นหนทาง พระมหาธรรมราชาฯพระเจ้าอังวะจึงทรงแต่งเครื่องบรรณาการไปมอบให้แก่ข้าหลวงมณฑลยูนนานในพ.ศ. 2293 ร้องขอทัพจีนมาช่วยเหลือ ทัพจีนราชวงศ์ชิงเข้ามาช่วยเหลือพม่าแต่เห็นว่าทัพพม่าขาดประสิทธิภาพจึงกลับไป พระเจ้าจิตไซกษัตริย์มณีปุระองค์ใหม่ทรงขับไล่พระบิดาคือพระเจ้าการิบนิวาซออกจากราชธานีกรุงอิมผาลในพ.ศ. 2293 จนพระเจ้าการิบนิวาซต้องเสด็จลี้ภัยมายังกรุงอังวะของพม่า[15] ในพ.ศ. 2294 ราชสำนักหงสาวดีทำสนธิสัญญากับผู้แทนฝรั่งเศส ชื่อว่าเดอบริวโน (Sieur de Bruno) ยินยอมให้ฝรั่งเศสจัดตั้งกองกำลังที่เมืองสิเรียม โดยมีข้อแลกเปลี่ยนให้ฝรั่งเศสส่งมอบอาวุธได้แก่ปืนใหญ่และปืนคาบศิลาให้แก่หงสาวดีเป็นการตอบแทน ฝ่ายมอญจึงมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่าของพม่าอังวะ ขณะนั้นอังกฤษและฝรั่งเศสกำลังมีความขัดแย้งกัน อังกฤษจึงตอบโต้ด้วยการยกทัพเข้ายึดเมืองท่าเนกราย (Negrais) ใกล้กับเมืองสีเรียมในพ.ศ. 2296
ในพ.ศ. 2294 พญาทะละจัดทัพใหญ่ให้อุปราชคุมทัพเรือจำนวน 20,000 คน ให้ตาละปั้นคุมทัพหน้า 7,000 คน[14] ยกขึ้นไปตามลำน้ำอิระวดีเพื่อตีเมืองอังวะ ฝ่ายพม่าแม่ทัพมังมหาราชาตั้งรับมอญที่เมืองแปรแต่พ่ายแพ้ถอยไป ฝ่ายมอญสามารถยึดเมืองพุกามล่วงขึ้นไปจนถึงเมืองอังวะในต้นปีพ.ศ. 2295 ฝ่ายพม่าพ่ายแพ้การรบหลายครั้งหมดสิ้นเสบียงอาหารและกำลังพล จนกระทั่งทัพชาวมอญและชาวกวย นำโดยอุปรายธอลองและแม่ทัพตาละปั้น สามารถเข้ายึดเมืองอังวะราชธานีพม่าได้ในที่สุด ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2295 พระมหาธรรมราชาธิบดี พระเจ้าอังวะกษัตริย์พม่าราชวงศ์ตองอูพระองค์สุดท้าย ทรงยินยอมให้จับกุมแต่โดยดี อุปราชมอญมีคำสั่งให้เผาทำลายเมืองอังวะลง กวาดต้อนเชื้อพระวงศ์อังวะรวมทั้งชาวพม่าจำนวนกว่า 20,000 คน ลงไปไว้ที่หงสาวดี และมอบหมายให้ตาละปั้นเป็นผู้รักษาการที่อังวะ เนื่องจากฝ่ายมอญกังวลว่าหากสู้รบในพม่าตอนบนอยู่นานฝ่ายสยามกรุงศรีอยุธยาจะถือโอกาสยกมาโจมตีเมืองเมาะตะมะ ฝ่ายพระเจ้าการิบนิวาซอดีตกษัตริย์มณีปุระซึ่งได้ประทับอยู่ที่กรุงอังวะ เมื่อเสียกรุงอังวะแล้วพระเจ้าการิบนิวาซเสด็จกลับไปยังเมืองมณีปุระแต่พระโอรสคือพระเจ้าจิตไซเกรงว่าพระบิดาจะกลับมาทวงอำนาจคืน จึงส่งคนไปลอบสังหารปลงพระชนม์พระเจ้าการิบนิวาซเสียกลางทาง[15]
รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แก้
หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติสยามเมื่อพ.ศ. 2231 พระเพทราชาปราบดิภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์อยุธยาก่อตั้งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ในสมัยราชวงส์บ้านพลูหลวงเกิดกบฏขึ้นหลายครั้งได้แก่กบฏธรรมเถียรพ.ศ. 2232 กบฏนครราชสีมาพ.ศ. 2242 และกบฏนครศรีธรรมราชพ.ศ. 2243 ที่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสามารถปราบลงได้[16] กษัตริย์อยุธยาราชวงศ์บ้านพลูหลวงจึงมีนโยบายขยายอำนาจของราชสำนักส่วนกลางออกไปยังหัวเมือง[17] โดยการให้สมุหนายกควบคุมหัวเมืองฝ่ายเหนือ และให้สมุหกลาโหมควบคุมหัวเมืองฝ่ายใต้ แต่นโยบายนี้สุดท้ายแล้วทำให้ราชสำนักอยุธยาสูญเสียอำนาจในหัวเมือง[17] ราชสำนักอยุธยาไม่สามารถควบคุมกำลังพลในหัวเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีข้าศึกรุกรานราชสำนักอยุธยาจึงไม่สามารถเรียกเกณฑ์กำลังพลมาป้องกันพระนครได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับนโยบายลดอำนาจหัวเมืองทำให้หัวเมืองมีกำลังไม่เพียงพอไม่สามารถเป็นปราการหน้าด่านสำหรับพระนครได้ ยุทธวิถีการรับศึกพม่าจึงเป็นการตั้งรับศึกอยู่ที่พระนครศรีอยุธยาแต่เพียงเท่านั้น ระบบการปกครองของอยุธยาสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงนั้น เป็นไปเพื่อการสร้างเสถียรภาพภายในและป้องกันการกบฏเป็นหลัก ไม่ได้เป็นไปเพื่อการตั้งรับการรุกรานจากภายนอก[17] ในขณะเดียวกันการค้าสำเภาระหว่างอยุธยากับจีนราชวงศ์ชิงรุ่งเรืองขึ้น เนื่องจากจีนประสบปัญหาขาดแคลนข้าวโดยเฉพาะในภาคใต้ของจีน ในเวลานั้นราชสำนักจีนมีนโยบายไห่จิ้น (海禁) คือห้ามค้าขายกับต่างประเทศโดยเด็ดขาด ราชสำนักอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระได้ทดลองนำข้าวขนส่งไปกับเรือบรรณาการไปขายที่เมืองกวางตุ้งในพ.ศ. 2265 พระจักรพรรดิคังซีมีพระราชานุญาตให้สยามเข้ามาขายข้าวเป็นกรณีพิเศษ ต่อมาในพ.ศ. 2270 พระจักรพรรดิยงเจิ้งทรงประกาศยกเลิกนโยบายไห่จิ้นทำให้ชาวจีนสามารถค้าขายต่างประเทศได้อย่างอิสระ สยามค้าขายข้ามกับจีนผ่านระบบบรรณาการรวมทั้งพ่อค้าจีนเอกชน สร้างรายได้ให้แก่ราชสำนักอยุธยาและไพร่ที่ปลูกข้าวเพื่อส่งออก[18]
ในพ.ศ. 2273 มีผู้นำหนังสือสอนศาสนาของมิชชันนารีฝรั่งเศส ซึ่งแต่งขึ้นโดยสังฆราชลาโน ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ซึ่งมีเนื้อหาเป็นการเปรียบเทียบระหว่างศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ และแต่งโดยใช้ภาษาไทยและภาษาบาลีอักษรขอมไทย ถวายแด่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลฯเจ้าฟ้าพร เป็นเหตุให้ราชสำนักกรุงศรีอยุธยามีความสงสัยว่ามิชชันนารีฝรั่งเศสแต่งหนังสือโจมตีพุทธศาสนา และพระเจ้าอยู่ท้ายสระมีพระราชโองการห้ามมิชชันนารีสอนศาสนาด้วยภาษาไทยหรือภาษาบาลีอักษรขอมไทย ห้ามมิให้มิชชันนารีสอนศาสนาแก่ชาวสยาม ชาวมอญ และชาวลาว (ล้านนา) ห้ามมิให้มิชชันนารีชักชวนให้ชาวไทยมอญลาวเข้ารีตเป็นคริสเตียน และห้ามมิให้มิชชันนารีติเตียนพระพุทธศาสนา[19] ทางราชสำนักกรุงศรีอยุธยาได้ทำศิลาประกาศพระราชโองการนี้ปักไว้ที่โบสถ์เซนต์โยเซฟในอยุธยา[19]
ในพ.ศ. 2276 ก่อนสวรรคตพระเจ้าท้ายสระทรงยกราชสมบัติให้แก่พระโอรสเจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศร์ แทนที่จะทรงมอบให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเจ้าฟ้าพรพระอนุชา ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในอยุธยาระหว่างเจ้าฟ้าพรและเจ้าฟ้าอภัยเจ้าปรเมศร์ ในชั้นแรกฝ่ายวังหน้าถูกทัพฝ่ายวังหลวงตีแตกถอยร่น จนกระทั่งขุนชำนาญชาญณรงค์ขุนนางวังหน้าได้ทูลอาสานำทัพออกไปรบกับฝ่ายวังหลวง สุดท้ายขุนขำนาญสามารถเอาชนะทัพฝ่ายวังหลวงได้ เจ้าฟ้าอภัยและเจ้าปรเมศร์ถูกจับกุมและสำเร็จโทษประหารชีวิต เจ้าฟ้าพรทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงแต่งตั้งให้ขุนชำนาญผู้มีความดีความชอบให้เป็นเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ที่ตำแหน่งพระคลังและเป็นเสนาบดีผู้มีอำนาจ ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศอยุธยาประสบปัญหาขาดแคลนกำลังพลเนื่องจากความเสื่อมของระบบการเกณฑ์ไพร่ ทรงตั้งกรมเจ้านายขึ้นหลายกรมเพื่อควบคุมกำลังพลของเจ้านายแต่ละพระองค์ เป็นการป้องกันการแย่งชิงราชสมบัติ เศรษฐกิจการส่งออกข้าวไปจีนที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นทำให้ไพร่มีรายได้มากขึ้นจากการค้าขายนำไปสู่กำเนิด"ไพร่มั่งมี"[18] หรือคหบดีชนชั้นกลางขึ้น ไพร่จึงหลีกเลี่ยงการเกณฑ์แรงงานออกไปทำผลผลิตค้าขายสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง บรรดาไพร่ไม่ต้องการเป็นไพร่หลวงเนื่องจากถูกใช้งานหนักจึงหลีกเลี่ยงไปเป็นไพร่สมตามกรมเจ้านายแทน ทำให้ระบบการควบคุมกำลังพลของอยุธยาเสื่อมถอยลง ในพ.ศ. 2285 พระยาราชภักดี (สว่าง) สมุหนายก ได้ออกเกลี้ยกล่อมบรรดาไพร่ที่หลบหนีตามแขวงเมืองต่างๆในภาคกลางตอนล่าง สามารถเกลี้ยกล่อมไพร่ให้กลับเข้ารับราชการได้เป็นจำนวนหลายหมื่นคน[20]
รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่บรมโกศตรงกับช่วงปลายสมัยราชวงศ์ตองอูของพม่า ในพ.ศ. 2285 เจ้าเมืองเมาะตะมะและเจ้าเมืองทวายหลบหนีกบฏมอญเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารฯ เจ้าเมืองทั้งสองกราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศว่า "สมิงทอคนหนึ่งเป็นชาติถ่อย คบคิดกันกับพระยาทละกรมช้างกบฏต่อพระเจ้าอังวะ"[21] พ.ศ. 2287 พระมหาธรรมราชาธิบดีกษัตริย์พม่าพระเจ้าอังวะทรงส่งทูตพม่ามายังกรุงศรีอยุธยาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและเพื่อกราบทูลขอตัวเจ้าเมืองพม่าทั้งสองนั้นกลับไป พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงทรงแต่งคณะทูตมีพระยายมราชเป็นราชทูต พระธนบุรีเป็นอุปทูต[12] เดินทางนำเจ้าเมืองทั้งสองกลับไปพม่า ทูตสยามประกาศสนับสนุนฝ่ายพม่าและให้ทูตพม่าปล่อยข่าวออกไป ทำให้สมิงทอกษัตริย์หงสาวดีซึ่งขณะนั้นกำลังโจมตีเมืองแปรอยู่ เกรงว่าจะถูกสยามโจมตีจากทางตะนาวศรีจึงถอยทัพออกจากเมืองแปร สมิงทอต้องการสานสัมพันธ์กับอยุธยาเพื่อรักษาชายแดนด้านตะนาวศรีให้ปลอดภัย[14] จึงส่งผู้แทนมายังกรุงศรีอยุธยาเพื่อทูลสู่ขอพระธิดาในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไปเป็นมเหสี ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่บรมโกศทรงพระพิโรธ "อ้ายสมิงธอนี้ มันเป็นชาติกวย เมื่อครั้งมันได้นั่งเมืองหงสาวดีนั้น มันจัดให้มาขอลูกสาวเราใจกำเริบมันไม่คิดถึงตัวมันว่าไม่ใช่เชื้อกษัตริย์"[21] ต่อมาพ.ศ. 2289 สมิงทอกษัตริย์หงสาวดีถูกพญาทะละเสนาบดียึดอำนาจ จนสุดท้ายสมิงทอจำต้องเดินทางลี้ภัยมายังกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศฯทรงให้จำคุกสมิงทอด้วยข้อหาบังอาจมาทูลขอพระธิดา พระยาพระราม พระยากลางเมือง และพระยาน้อยวันดี แม่ทัพมอญผู้ภักดีต่อสมิงทอ ได้อพยพนำชาวมอญจำนวน 400 คน[14][20] เข้ามายังอยุธยา พระราชทานให้ชาวมอญอพยพไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่โพธิ์สามต้น[20]ทางเหนือของอยุธยา ปีต่อมาพ.ศ. 2290 พญาทะละกษัตริย์หงสาวดีองค์ใหม่ส่งทูตมากรุงศรีอยุธยา ขอต้วสมิงทอคืนไม่ให้กรุงศรีอยุธยาเลี้ยงดูสมิงทอไว้ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงเมตตาสมิงทอจึงตัดสินพระทัยให้จับสมิงทอใส่โซ่ตรวนลงเรือสำเภาจีนเนรเทศไปเมืองกวางตุ้ง โดยมีทูตมอญเป็นสักขีพยาน[14] พญาทะละกษัตริย์มอญไม่พอใจที่สยามไม่ยอมส่งมอบตัวสมิงทอให้แต่ไม่สามารถทำอย่างไรได้เนื่องจากต้องการรักษาสัมพันธ์กับสยาม[14] สุดท้ายแล้วสมิงทอหลบหนีออกจากเรือที่เมืองญวน สามารถเดินทางไปยังเมืองเชียงใหม่อยู่กับเจ้าองค์คำเจ้าเชียงใหม่ผู้เป็นพ่อตา ในพ.ศ. 2293 สมิงทอขอกำลังจากเจ้าเชียงใหม่ไปกอบกู้ราชสมบัติหงสาวดีคืนแต่เจ้าเชียงใหม่ไม่เห็นชอบด้วย[14] ในปีเดียวกันนั้น พระยาพระรามหัวหน้าชาวมอญที่โพธิ์สามต้น อาจได้ข่าวว่าสมิงทอมีความเคลื่อนไหว จึงนำปืนสยามพร้อมกำลังมอญบางส่วนลักลอบหลบหนีออกไปทางด่านเจดีย์สามองค์เพื่อช่วยเหลือสมิงทอแต่ถูกจับได้ที่บางแก้วราชบุรี พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงลงพระราชอาญาให้ประหารชีวิตพระยาพระรามพร้อมพรรคพวก[20]
กำเนิดราชวงศ์คองบอง แก้
อองไจยะ (Aung Zeiya) หรือ อ่องชัย เกิดที่หมู่บ้านมุกโซโบในลุ่มแม่น้ำมู[22] ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงอังวะ เมื่อพ.ศ. 2259 พงศาวดารพม่าระบุว่าอ่องชัยมาจากวงศ์ตระกูลเป็นขุนนางท้องถิ่นแต่หลักฐานอื่นระบุว่าเดิมเป็นนายพราน เมื่อเติบโตขึ้นอ่องชัยรับราชการเป็นนายบ้านมุกโซโบ เมื่ออุปราชธอลองนำทัพมอญเข้าล้อมกรุงอังวะในพ.ศ. 2295 นั้น อุปราชาหงสาวดีได้ประกาศให้ชาวพม่าในพม่าตอนบนทั้งปวงเข้ามาสวามิภักดิ์ถือน้ำ อ่องชัยซึ่งเป็นเจ้าภาษีได้ปกครองหมู่บ้านจำนวนสี่สิบหกหมู่บ้านในลุ่มแม่น้ำมู เป็นหนึ่งในขุนนางพม่าที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อมอญ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2295 หนึ่งเดือนก่อนเสียกรุงอังวะ[22] อ่องชัยได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าอลองพญา แปลว่า พระโพธิสัตว์ เมื่อเสียกรุงอังวะให้แก่มอญในเดือนมีนาคม พระเจ้าอลองพญาทรงแปลงนามหมู่บ้านมุกโซโบเป็นเมืองรัตนสิงห์ (Yadana Theingka) หรือเมืองชเวโบ (Shwebo) หรือเมืองอยุชฌปุระรัตนสิงห์คองบองชเวปยีจี (Ayujjhapura Rattanasingha Konbaung Shwe Pyi Gyi)[23] ทรงให้สร้างป้อมตั้งค่ายขุดคูเมืองที่ชเวโบเตรียมรับศึกมอญ ฝ่ายอุปราชหงสาวดีเกรงว่ากรุงศรีอยุธยาจะตีกระหนาบหลังทางทวาย[24] หลังจากพิชิตพม่ากรุงอังวะได้สำเร็จแล้วจึงรีบนำทัพกลับลงไปหงสาวดี ตั้งให้ตาละปั้นเป็นผู้รักษาเมืองอังวะ ตาละปั้นส่งกองกำลังมอญมาสู้รบพระเจ้าอลองพญาแต่ไม่สำเร็จถูกตีแตกพ่าย ในเดือนมิถุนายน[24] ตาละปั้นแม่ทัพมอญยกทัพมาด้วยตนเองเข้าโจมตีเมืองรัตนสิงห์ชเวโบแต่พ่ายแพ้ พระเจ้าอลองพญาทรงปราบปรามชุมนุมต่างๆในพม่าตอนบนรวบรวมชาวพม่าให้เป็นเอกภาพในการกอบกู้บ้านเมืองจากมอญ ในปลายปีพ.ศ. 2296 พระเจ้าอลองพญาทรงให้มังระราชบุตร (ต่อมาคือพระเจ้ามังระ) ยกทัพพม่าเข้าโจมตีล้อมเมืองอังวะ จนสามารถยึดเมืองอังวะคืนจากมอญได้สำเร็จในเดือนมกราคม พ.ศ. 2297 อุปราชมอญและแม่ทัพตาละปั้นยกจากหงสาวดียกขึ้นมาล้อมกรุงอังวะแต่ไม่สำเร็จ เจ้าชายมังระสามารถรักษาอังวะไว้ได้ ในเวลานั้นชาวพม่าที่เมืองแปรได้ลุกฮือขึ้นและขับไล่มอญออกจากเมือง ตาละปั้นยกเข้าล้อมเมืองแปร แต่พระเจ้าอลองพญาทรงตีทัพตาละปั้นขับไล่ออกไปจากแปรได้ในพ.ศ. 2298[24] ทำให้พระเจ้าอลองพญาทรงมีอำนาจลงไปจรดถึงเมืองแปร
พระเจ้าอลองพญาเสด็จยกทัพเข้ารุกรานยึดครองพม่าตอนล่างปากแม่น้ำอิระวดีอย่างรวดเร็ว ในพ.ศ. 2298 พระเจ้าอลองพญาทรงโจมตีเมืองตะโก้ง ในเวลานั้นชาวมอญได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสนำโดยนายบริวโนผู้แทนฝรั่งเศส ทัพฝ่ายมอญมีความได้เปรียบเนื่องจากมียุทโธปกรณ์ตะวันตกที่ทันสมัยได้รับจากฝรั่งเศส พระเจ้าอลองพญาทรงร้องขออาวุธปืนจากอังกฤษที่มีเนกราย[22] แต่ยังไม่ทันส่งมอบอาวุธพระเจ้าอลองพญาทรงยึดได้เมืองตะโก้งเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองร่างกุ้ง หลังจากนั้นพระเจ้าอลองพญาจึงยกทัพเข้าโจมตีเมืองสิเรียมในเดือนพฤษภาคม เมืองสิเรียมของมอญเป็นเมืองที่มีป้อมปราการแข็งแรงและมีอาวุธทันสมัย เนื่องจากมีทั้งชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศสตั้งสถานีการค้าอยู่ ฝ่ายอังกฤษซึ่งในขณะนั้นมีความขัดแย้งกับฝรั่งเศสในสงครามเจ็ดปี จึงตัดสินใจให้การสนับสนุนแก่พระเจ้าอลองพญา แต่พระเจ้าอลองพญาทรงไม่ไว้วางพระทัยอังกฤษเนื่องจากทราบว่ามีเรือรบอังกฤษชื่อว่าอาร์โคต (Arcot) ได้ร่วมรบในฝ่ายมอญ[22]ที่สิเรียม ในปลายปีพ.ศ. 2298 พระเจ้าอลองพญาเกรงว่าจะถูกมณีปุระและไทใหญ่โจมตีด้านเหนือ จำต้องจัดทัพล้อมเมืองสิเรียมไว้แล้วเสด็จขึ้นไปเมืองอังวะ ส่งทัพพม่าเข้าปราบมณีปุระในพ.ศ. 2298 สร้างความเสียหายแก่มณีปุระ เหตุการณ์นี้ถูกขนานนามว่า "ความเสียหายครั้งที่หนึ่ง" (Koolthakahalba)[25] ของมณีปุระ เมื่อปราบมณีปุระแล้วพระเจ้าอลองพญาจึงเสด็จกลับลงมาที่สิเรียมในต้นปีพ.ศ. 2299 การล้อมเมืองสิเรียมกินเวลากว่าสิบเอ็ดเดือน[14] นายบริวโนแม่ทัพฝรั่งเศสขอกำลังเสริมจากเมืองปอนดีเชอรี จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม กลางปีพ.ศ. 2299 พระเจ้าอลองพญาทรงเกรงว่ากำลังหนุนฝรั่งเศสจะมาถึง จึงจัดตั้ง"กองกำลังผู้กล้าแห่งสิเรียม" (Golden Company of Syriam)[26] ประกอบด้วยผู้กล้าจำนวน 93 คน สละชีพรับกระสุนปืนฝรั่งเศสเป็นทัพหน้าเพื่อเปิดทางให้แก่ทัพพม่า จนพระเจ้าอลองพญาทรงสามารถตีเมืองสิเรียมแตกได้ในที่สุด เมื่อเรือบรรทุกอาวุธฝรั่งเศสมาถึงเมืองสิเรียม สามวันหลังจากเสียเมือง พระเจ้าอลองพญาทรงบังคับให้นายบริวโนเขียนจดหมายให้นายเรือฝรั่งเศสนำเรือเข้ามา[24] แล้วฝ่ายพม่าได้เข้ายึดเรือฝรั่งเศสทั้งสองนั้น ได้อาวุธยุทโธปกรณ์ ปืนใหญ่และปืนคาบศิลาที่ทันสมัยจำนวนมากมาไว้ในครอบครอง หลังจากนั้นพระเจ้าอลองพญาทรงประหารชีวิตนายบริวโนชาวฝรั่งเศสด้วยการย่างไฟ
การที่พระเจ้าอลองพญายึดเมืองสีเรียมได้เป็นการทำลายที่มั่นของฝรั่งเศสในการช่วยเหลือมอญหงสาวดี หลังจากพักค้างฤดูฝนพระเจ้าอลองพญาทรงยกทัพเข้าล้อมเมืองหงสาวดีในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2299 ฝ่ายหงสาวดีพญาทะละกษัตริย์หงสาวดีและอนุชาคืออุปราชธอลองยินยอมเจรจาสงบศึกเป็นประเทศราชของพม่าแต่โดยดี พญาทะละส่งบุตรสาวของตน ซึ่งตาละปั้นหมายมั่นว่าจะแต่งงานด้วย ให้อุปราชนำไปถวายพระเจ้าอลองพญา พระเจ้าอลองพญาทรงคุมตัวอุปราชไว้ ทำให้แม่ทัพตาละปั้นไม่พอใจและไม่เห็นด้วยไม่ต้องการสงบศึกกับพม่า จึงออกโจมตีฝ่าวงล้อมพม่าออกไปทางเมืองสะโตงไปยังเชียงใหม่ พระเจ้าอลองพญาดำริว่าฝ่ายหงสาวดีหลงกลแล้วจึงตรัสว่าฝ่ายหงสาวดีสงบศึกแล้วแต่กลับเสียสัจจะส่งตาละปั้นออกมารบอีก จึงส่งทัพเข้าโจมตีเมืองหงสาวดีอีกครั้ง การล้อมเมืองหงสาวดีกินเวลาประมาณหกเดือน จนกระทั่งเดือนพฤษภาคมพ.ศ. 2300 ฝ่ายพม่าสามารถเข้ายึดเมืองหงสาวดีได้ พระเจ้าอลองพญาทรงช้างเสด็จเข้าเมืองหงสาวดีทางประตูเมืองยางทิศใต้ จับกุมพญาทะละกษัตริย์หงสาวดีได้ พระเจ้าอลองพญาพิโรธที่ฝ่ายมอญได้ปลงพระชนม์พระมหาธรรมราชาธิบดีอดีตกษัตริย์พม่า[14] (พงศาวดารมอญระบุว่าพระมหาธรรมราชาฯประชวรสิ้นพระชนม์ ส่วนหลักฐานพม่าระบุว่าพญาทะละมีคำสั่งให้ปลงพระชนม์) พระเจ้าอลองพญามีพระราชโองการให้เผาทำลายเมืองหงสาวดีที่ได้สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าบุเรงนองลงอย่างราบคาบ และให้ฆ่าพระสงฆ์มอญกว่าพันรูปเนื่องจากพิโรธว่าพระสงฆ์มอญทำมงคลตะกรุดประเจียดลงยันต์ให้แก่ทหารมอญถือว่าศีลขาดแล้ว[14] จากนั้นพระเจ้าอลองพญาทรงกวาดต้อนชาวมอญหงสาวดี พร้อมทั้งพญาทะละและอุปราชไปไว้ที่เมืองร่างกุ้ง นับจากนั้นเมืองร่างกุ้งจึงกลายเป็นศูนย์กลางของพม่าตอนล่างแทนที่เมืองหงสาวดี พระเจ้าอลองพญามีพระราชโองการให้อังกฤษเมืองเนกรายมาเข้าเฝ้าที่เมืองแปร โธมัส เลสเตอร์ (Thomas Lester) ผู้แทนอังกฤษจากเนกรายจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอลองพญา[22] นายเลสเตอร์ต้องถอดรองเท้าคลานเข่าเข้าหากษัตริย์พม่า[22] นำไปสู่ข้อตกลงสนธิสัญญาอังกฤษ-พม่า พ.ศ. 2300 พระเจ้าอลองพญาทรงอนุญาตให้อังกฤษตั้งสถานีการค้าที่เนกรายและพะสิม โดยที่อังกฤษตอบแทนด้วยการส่งดินดำให้แก่ราชสำนักพม่าทุกปี[22]
ความขัดแย้งภายในอยุธยา แก้
เจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์ถึงแก่กรรมในพ.ศ. 2269 ทำให้เกิดสูญญากาศทางอำนาจภายในราชสำนักอยุธยา กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กรมขุนเสนาพิทักษ์ ทรงมีอำนาจขึ้น ทรงสามารถลงพระอาญาเฆี่ยนพระยากลาโหม (ปิ่น) จนเสียชีวิต กรมพระราชวังบวรฯทรงเผชิญกับการท้าทายอำนาจจากเจ้าสามกรม ประกอบด้วย กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดี พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศฯซึ่งประสูติแต่พระสนม ในพ.ศ. 2298 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงแต่งตั้งเสนาบดีได้แก่;[20]
- พระยาราชสุภาวดีบ้านประตูจีน เป็น เจ้าพระยาอภัยราชาว่าที่สมุหนายก
- พระยาธรรมไตรโลกบ้านคลองแกลบ เป็น เจ้าพระยามหาเสนาบดีสมุหกลาโหม
- พระยาบำเรอภักดิ์ เป็น พระยารัตนาธิเบศร์ว่าที่กรมวัง
พระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรฯประชวรเป็นพระโรคสำหรับบุรุษไม่ได้เข้าเฝ้าถึงสามปีเศษ เจ้าสามกรมแต่งตั้งข้าในกรมให้มียศเป็นขุนสูงเกินกว่าศักดิ์ กรมพระราชวังบวรฯมีพระบัณฑูรให้นำตัวข้าในกรมของเจ้าสามกรมมาลงพระอาญาโบยหลัง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2299 กรมหมื่นสุนทรเทพกราบทูลฯว่ากรมพระราชวังบวรฯเป็นชู้กับเจ้าฟ้านิ่มเจ้าฟ้าสังวาล พระชายาในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศฯ กรมพระราชวังบวรฯทรงถูกจำและรับเป็นสัตย์ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศฯทรงลงพระราชอาญาให้เฆี่ยนกรมพระราชวังบวรฯ 230 ครั้ง เฆี่ยนไปได้ 180 ครั้ง กรมพระราชวังบวรฯจึงดับสูญสิ้นพระชนม์ จากนั้นตำแหน่งมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงว่างลง ในพ.ศ. 2300 กรมหมื่นเทพพิพิธปรึกษาด้วยเจ้าพระยาอภัยราชาสมุหนายก เจ้าพระยามหาเสนา พระยาพระคลัง กราบทูลฯขอพระราชทานยกให้เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์ต่อมา กรมขุนพรพินิตทูลว่ามีพระเชษฐาเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีอยู่ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศตรัสว่ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลาหาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าให้เป็นพระมหาอุปราชบ้านเมืองจะวิบัติฉิบหายเสีย เห็นแต่กรมขุนพรพินิตมีสติปัญญา พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีพระราชโองการให้กรมขุนอนุรักษ์มนตรีไปผนวชที่วัดละมุดปากจั่น เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตจึงอุปราชาภิเษกขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่ยังคงประทับอยู่ที่พระตำหนักสวนกระต่ายตามแต่เดิม[20]
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคตเมื่อแรม 5 คำ เดือน 6 จุลศักราช 1120 (26 เมษายน พ.ศ. 2301) กรมหมื่นเทพพิพิธอัญเชิญพระแสงดาบให้ชาวที่นำไปประดิษฐานไว้ที่พระตำหนักสวนกระต่ายอันเป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรฯ ฝ่ายเจ้าสามกรมซึ่งกำลังซ่องสุมอยู่ที่ตำหนักศาลาลวดนั้น ได้เชิญเอาพระแสงบนพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ไปไว้ที่ตำหนักศาลาลวด ฝ่ายกรมขุนอนุรักษ์มนตรีซึ่งได้ผนวชอยู่ที่วัดละมุดปากจั่นนั้น ได้เสด็จมายังกรุงศรีอยุธยา กรมขุนอนุรักษ์มนตรีมีคำสั่งให้กรมหมื่นเทพพิพิธพระแสงในโรงแสงต้นไปไว้ที่พระตำหนักสวนกระต่ายทั้งหมด เพื่อเป็นการตอบโต้เจ้าสามกรม กรมพระราชวังบวรฯกรมขุนพรพินิต มีพระบัณฑูรให้ข้าทูลละอองฯทั้งปวงมาเข้าเฝ้าที่ตำหนักสวนกระต่าย ในเวลาเดียวกันนี้ เจ้าสามกรมส่งคนปีนกำแพงเข้าทลายประตูโรงแสงนอกยึดอาวุธปืนไปเป็นจำนวนมาก เมื่อเห็นว่ากรุงศรีอยุธยากำลังจะเข้าสู่สงครามกลางเมือง พระราชาคณะจำนวนห้ารูป นำโดยพระเทพมุนีวัดกุฎีดาว ไปเกลี้ยกล่อมให้เจ้าสามกรมยอมรับอำนาจของกรมพระราชวังบวรฯ เจ้าสามกรมยอมเชื่อฟังคำของพระราชาคณะและเดินทางไปเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ แต่ทว่ากรมพระราชวังบวรฯทรงปรึกษากับกรมขุนอนุรักษ์มนตรี จับกุมตัวเจ้าสามกรมไปกุมขังไว้ แล้วลงพระอาญาสำเร็จโทษเจ้าสามกรมด้วยท่อนจันทน์ตามประเพณี[20]
กรมพระราชวังบวรฯกรมขุนพรพินิต เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าอุทุมพร เมื่อวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 (12 พฤษภาคม) แต่กรมขุนอนุรักษ์มนตรีซึ่งผนวชอยู่ในสมณเพศนั้น กลับไปประทับที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ไม่เสด็จกลับวัดละมุด พระเจ้าอุทุมพรอยู่ในราชสมบัติประมาณหนึ่งเดือน ทรงเผชิญกับการกดดันทางการเมืองจากพระเชษฐา จนทรงสละราชสมบัติในที่สุดเมื่อวันแรม 1 ค่ำ เดือน 7 (22 พฤษภาคม) ถวายราชสมบัติให้แก่กรมขุนอนุรักษ์มนตรีพระเชษฐา กรมขุนอนุรักษ์มนตรีเจ้าฟ้าเอกทัศน์จึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อข้างขึ้นเดือน 8 ฝ่ายพระเจ้าอุทุมพรเสด็จออกผนวชที่วัดประดู่ทรงธรรม ได้รับสมัญญานามว่า "ขุนหลวงหาวัด" กรมหมื่นเทพพิพิธออกบวชลี้ภัยทางการเมืองประทับอยู่ที่วัดกระโจม เมื่อพระเจ้าเอกทัศน์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว พี่ชายของเจ้าจอมเพ็งสองคนได้แก่ พระยาราชมนตรี (ปิ่น) และจมื่นศรีสรรักษ์ (ฉิม) ขึ้นมามีอำนาจในราชสำนัก
พระยาราชมนตรีและจมื่นศรีสรรักษ์ถือตนว่ามีอำนาจหมื่นประมาทขุนนางเสนาบดีระดับสูง สร้างความไม่พอใจให้แก่ขุนนางกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในเดือนสิบสอง กลุ่มขุนนางประกอบด้วยเจ้าพระยาอภัยราชา (ประตูจีน) สมุหนายก พระยายมราชเสนาบดีนครบาล พระยาเพชรบุรีเจ้าเมืองเพชรบุรี หมื่นทิพเสนา นายจุ้ย และนายเพ็งจันทร์ วางแผนการกบฏล้มอำนาจพระเจ้าเอกทัศน์คืนราชสมบัติให้แก่พระเจ้าอุทุมพรขุนหลวงหาวัด เจ้าพระยาอภัยราชานำคณะผู้ก่อการไปเข้าเฝ้ากรมหมื่นเทพพิพิธที่วัดกระโจม ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งยังคงจงรักภักดีต่อพระเจ้าอุทุมพร ยินยอมเป็นผู้นำในการกบฏครั้งนี้ กรมหมื่นเทพพิพิธนำคณะผู้ก่อการไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอุทุมพรที่วัดประดู่ทรงธรรม พระเจ้าอุทุมพรไม่มีพระทัยปรารถนาจะครองราชสมบัติจึงตรัสตอบว่า "รูปเป็นสมณะ จะคิดอ่านการแผ่นดินนั้นไม่ควร ท่านทั้งปวงจะเหนเปนประการใดก็ตามแต่จะคิดกันเถีด"[20] ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธเข้าใจว่าพระเจ้าอุทุมพรทรงตอบตกลงแล้ว จึงดำเนินการตามแผนการ พระเจ้าอุทุมพรทรงไม่ไว้วางพระทัยกรมหมื่นเทพพิพิธ "คนเหล่านี้คิดขบถจะทำการใหญ่ ถ้าเขาทำการสำเรจ์จับพระเชษฐาได้แล้ว เขาก็จะมาจับเราเสียด้วยจะยกกรมหมื่นเทพพิพิธ ขึ้นครองราชสมบัดิ์ เราสองคนพี่น้องก็จะภากันตาย"[20] พระเจ้าอุทุมพรจึงตัดสินพระทัยนำความกบฏไปทูลพระเชษฐาพระเจ้าเอกทัศน์ พร้อมทั้งถวายพระพรขอไว้ชีวิตคณะผู้ก่อการกบฏครั้งนี้ พระเจ้าเอกทัศน์จึงมีพระราชโองการให้จับกุมคณะกบฏ เจ้าพระยาอภัยราชา พระยายมราช พระยาเพชรบุรี ถูกจับกุมและเฆี่ยน หมื่นทิพเสนาและนายเพ็งจันทร์หลบหนีไปได้ กรมหมื่นเทพพิพิธเสด็จหนีจากวัดกระโจมพร้อมทั้งบุตรธิดาไปทางตะวันตกแต่ทรงถูกจับกุมได้ที่พระแท่นดงรัง พระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชโองการให้เนรเทศฝากกรมหมื่นเทพพิพิธพร้อมทั้งบุตรธิดาลงเรือกำปั่นฮอลันดาออกไปยังเมืองลังกา ในพ.ศ. 2301 นั้นเอง นอกจากนี้ พระเจ้าเอกทัศน์ยังหมายจะลงพระราชอาญาแก่พระยาพระคลังในฐานะรู้เห็นต่อการกบฏ พระยาพระคลังจึงถวายเงินให้แด่พระเจ้าเอกทัศน์ พระเจ้าเอกทัศน์จึงปูนบำเหน็จพระยาพระคลังขึ้นเป็น"เจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหนายก" เป็นสมุหนายกต่อจากเจ้าพระยาอภัยราชา (ประตูจีน) ซึ่งถูกกุมขังอยู่
ตะนาวศรีจนถึง พ.ศ. 2301 แก้
"พงศาวดารทวาย" (Dawei Yazawin) บรรยายตำนานการสร้างเมืองทวายไว้ว่า กาลครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จมาที่บริเวณเมืองทวาย ผีนัตท้องถิ่นชื่อว่าทุรคาได้ถวายผลทุเรียนให้พระพุทธเจ้าเสวย พระพุทธเจ้าจึงมีพุทธทำนายว่าจะเกิดเมืองขึ้นในที่แห่งนี้ ต่อมาท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์ ได้ส่งผีนัตสตรีมามีบุตรกับฤๅษีชื่อว่ากวีนันท์ เกิดเป็นเด็กชายขึ้นมา ต่อมาเด็กชายคนนี้จึงปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็น"พระเจ้าสามนตราชา"แห่งเมืองสาคร (Thagara) ในพ.ศ. 1249 ซึ่งเมืองสาครนี้คือเมืองทวายแห่งแรก อยู่ทางเหนือของเมืองทวายในปัจจุบันทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำทวาย ในขณะที่พงศาวดารมอญพม่าระบุว่า กษัตริย์พม่าเมืองพุกามชื่อว่าพระเจ้าอลังคจอสู เสด็จลงมาปราบเมืองมอญสะเทิมสุธรรมวดี แล้วเสด็จประพาสมายังบริเวณเมืองทวาย ทรงพบต้นทุเรียนขึ้นอยู่จำนวนมาก จึงมีพระราชโองการให้สร้างเมืองทวายขึ้นเพื่อส่งส่วยทุเรียนให้แก่ราชสำนักพุกาม[14] นายฟรานซิส เมสัน (Francis Mason) มิชชันนารีชาวอเมริกันซึ่งได้เดินทางมายังเมืองทวายในพ.ศ. 2374 ซึ่งทวายอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษแล้วนั้น บันทึกตำนานการสร้างเมืองทวายไว้ว่าในปีพ.ศ. 1747 พระเจ้านรปติสิธูกษัตริย์พม่าพุกามเสด็จลงมาตั้งเมืองทวาย แล้วทรงให้ชาวพม่าอพยพเข้ามาอยู่เมืองทวาย เป็นเหตุให้ชาวทวายพูดภาษาตระกูลพม่า[27] "เมืองทวายซึ่งพระเจ้าอลังคจอสู่สร้างไว้ให้พวกพม่าอยู่นั้น คนทั้งหลายในเมืองนั้นจึงพูดเปนภาษาพม่า ครั้นนานมาภาษานั้นเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ว่าพม่าพอฟังได้"[14] จารึกในสมัยพุกามระบุว่า เมืองทวายเป็นเมืองสุดเขตแดนทางทิศใต้ของอาณาจักรพุกาม
ต่อมาเมืองทวายจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรมอญหงสาวดีซึ่งปกครองพม่าตอนล่าง พงศาวดารมอญพม่าระบุว่า เจ้าเมืองทวายเข้าสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าฟ้ารั่ว[14] ซึ่งเป็นกษัตริย์มอญที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรสุโขทัย ในปีพ.ศ. 1933 เมืองทวายย้ายไปตั้งอยู่ที่เมืองเวยดี (Weidi)[28] ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมืองทวายในปัจจุบัน อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำทวาย และต่อมามีการตั้งเมืองโมกติ (Mokti) หรือเมืองมุตตสุขนครขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ ต่อมาในพ.ศ. 2031 สมเด็จพระบรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จยึดเมืองทวายได้ หลังจากนั้นเมืองทวายจึงอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม ส่วนเมืองตะนาวศรีนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยานับตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นอย่างน้อย ดังปรากฏในจารึกลานทองที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองตะนาวศรีในพ.ศ. 2005[29] เมืองตะนาวศรีปรากฏในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน นาทหาร หัวเมือง มีราชทินนามว่า"ออกญาไชยาธิบดี" เมืองตะนาวศรีและเมืองทวายปรากฏเป็นเมืองเจ้าพระยามหานครในกฎมณเฑียรบาลที่เจ้าเมืองต้องเข้ามาถือน้ำพิพัฒน์สัตยา "พงศาวดารมะริด" (Myeik Yazawin) ระบุว่า ในพ.ศ. 2074 เจ้าเมืองตะนาวศรีชื่อว่า"พญาราม"ได้สร้างเมืองท่าขึ้นใหม่ชื่อเมืองมะริด เพื่อทดแทนเมืองท่าเดิมที่ตะกอนทับถมจนตื้นเขิน เมืองมะริดจึงถือกำเนิดอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองตะนาวศรี
พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองยกทัพมาโจมตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง จึงยึดเมืองทวายและตะนาวศรีไปได้ทั้งหมด[12] หลังจากนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จยกทัพเข้าโจมตีเมืองตะนาวศรีและเมืองทวายคืนจากพม่าได้ในพ.ศ. 2136[12] ชายฝั่งตะนาวศรีสลับผลัดเปลี่ยนมือระหว่างพม่าและสยามหลายครั้ง ท้ายที่สุดพระเจ้าอโนะเพะลุนกษัตริย์พม่าได้เข้ายึดเมืองทวายในพ.ศ. 2157 นับจากนั้นมาเมืองทวายจึงอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ในขณะที่เมืองมะริดและตะนาวศรีอยู่ภายใต้การปกครองของสยามกรุงศรีอยุธยา สถานการณ์ในชายฝั่งตะนาวศรีคงที่อยู่ในลักษณะนี้เป็นระยะเวลาร้อยกว่าปี เมืองมะริดบนฝั่งทะเลอันดามันเป็นเมืองท่าหลักของอยุธยา ซึ่งเป็นแหล่งการค้ากับอินเดียและชาติตะวันตกที่สำคัญ[1] ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2224 ทรงแต่งตั้งให้นายริชาร์ด เบอร์นาบี (Richard Burnaby) ชาวอังกฤษ มาเป็นเจ้าเมืองมะริด นายเบอร์นาบีเจ้าเมืองมะริด และนายแซมมวล ไวท์ (Samuel White) ได้ทำการแก้แค้นส่วนตัวด้วยการต่อเรือขึ้นที่เมืองมะริดและยกกองเรือไปโจมตีเรือสินค้าของอังกฤษในอ่าวเบงกอล เป็นเหตุให้อังกฤษประกาศสงครามกับสยาม นำไปสู่สงครามอังกฤษ-สยามในพ.ศ. 2230 เรืออังกฤษเดินทางมายังเมืองมะริด เจ้าเมืองตะนาวศรียกทัพสยามเข้าสังหารชาวอังกฤษที่เมืองมะริดไปสิ้น รวมทั้งนายเบอร์นาบีเจ้าเมืองมะริดด้วย สมเด็จพระนารายณ์ทรงแต่งตั้งนายทหารชาวฝรั่งเศสชื่อ เชอวาลิเยร์ เดอ โบเรอการ์ (Chevalier de Beauregard) ให้เป็นออกพระมะริดเจ้าเมืองมะริดคนใหม่ ต่อมาในพ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงอนุญาตให้ฝรั่งเศสนำกองกำลังมาประจำการที่เมืองมะริด แต่ไม่นานได้เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติสยาม ทัพสยามยกมาขับไล่ชาวฝรั่งเศสออกไปจากเมืองมะริด นายเดอโบเรอการ์เจ้าเมืองมะริดหลบหนีทางเรือไปขอความช่วยเหลือจากเมืองทวาย ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า แต่ทว่านายเดอโบเรอการ์ถูกฝ่ายพม่าโจมตีและจับกุมตัวที่เมืองทวาย เคอโบเรอการ์ถูกทางการพม่าตัดสินให้ขายตัวลงเป็นทาส ถูกส่งไปที่เมืองหงสาวดีและเสียชีวิตต่อมาอีกไม่นาน
ในพ.ศ. 2283 เมื่อมอญเป็นกบฏต่อพม่าขึ้นที่หงสาวดี เจ้าเมืองเมาะตะมะชาวพม่าชื่อว่ามังนราจอสู มีความเกรงกลัวว่าชาวมอญในเมืองเมาะตะมะจะเป็นกบฏขึ้นบ้าง จึงตัดสินใจละทิ้งเมืองเมาะตะมะอพยพลี้ภัยมาอยู่ที่เมืองทวาย[14] ต่อมาสมิงทอพระเจ้าหงสาวดีมีคำสั่งให้มังนราจอสูไปสวามิภักดิ์ต่อมอญที่หงสาวดี มิฉะนั้นจะส่งกำลังไปโจมตี ชาวเมืองทวายเกรงกลัวทัพหงสาวดีจึงปรึกษากันว่าจะจับมังนราจอสูส่งให้หงสาวดี มังนราจอสูเจ้าเมืองเมาะตะมะพร้อมทั้งมังลักแวเจ้าเมืองทวายจึงตัดสินใจพาครอบครัวหลบหนีเข้ามาที่เมืองตะนาวศรีของสยาม[14] พระยาตะนาวเจ้าเมืองตะนาวศรีมีใบบอกเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงมีพระราชโองการให้พระยาตะนาวส่งตัวเจ้าเมืองเมาะตะมะและเจ้าเมืองทวายมายังกรุงศรีอยุธยา พร้อมทั้งมีราชโองการให้พระยาตะนาวยกทัพไปรักษาเมืองทวายไว้[14] เมืองทวายจึงตกเป็นของกรุงศรีอยุธยาในเวลาสั้นๆ ต่อมาพระมหาธรรมราชาธิบดีกษัตริย์พม่าพระเจ้าอังวะจึงแต่งตั้งเจ้าเมืองทวายคนใหม่ชื่อมังนายหลา เมื่อกรุงอังวะเสียให้แก่มอญในพ.ศ. 2295 เมืองทวายจึงถูกตัดขาดและแยกตัวโดดเดี่ยว เมืองเมาะตะมะและเมืองทวายนั้นเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่หงสาวดี "พงศาวดารทวาย"ระบุว่า ในพ.ศ. 2297 มังนายหลาเจ้าเมืองทวายได้ย้ายเมืองทวายมาตั้งเมืองทวายใหม่ในตำแหน่งปัจจุบัน[28] เจ้าเมืองทวายมีจดหมายถึงอังกฤษขอความช่วยเหลือในการป้องกันเมืองทวายจากชาวมอญ ต่อมาในพ.ศ. 2300 เมื่อพระเจ้าอลองพญาพิชิตเมืองหงสาวดีแล้ว เมืองเมาะตะมะจึงขึ้นแก่พระเจ้าอลองพญาแต่เมืองทวายยังคงเป็นอิสระ ในสนธิสัญญาระหว่างอังกฤษและพระเจ้าอลองพญาในพ.ศ. 2300 มีข้อสัญญาระบุว่าอังกฤษจะงดไม่ให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เจ้าเมืองทวาย แสดงว่าในปีพ.ศ. 2300 นั้น เมืองทวายยังคงเป็นอิสระอยู่
ในพ.ศ. 2292 พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศฯมีพระราชโองการให้พระยาตะนาวเจ้าเมืองตะนาวศรีนำศิลาประกาศห้ามมิชชันนารีสอนศาสนา มาลงหลักปักไว้ที่โบสถ์คริสเตียนฝรั่งเศสที่เมืองมะริด[30] ต่อมาในพ.ศ. 2301 บาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เมืองมะริดชื่อว่าฌัค อันดรีเออ (Jacques Andrieux) ได้ฟ้องร้องต่อทางกรุงศรีอยุธยาว่าเจ้าเมืองตะนาวศรียึดเรือสินค้าฝรั่งเศสที่เมืองมะริดอย่างไม่เป็นธรรม[31] ทางกรุงศรีอยุธยาจึงลงโทษปลดเจ้าเมืองตะนาวศรีจำคุกเฆี่ยน และตั้งให้ชาวจีนผู้หนึ่งเป็นเจ้าเมืองตะนาวศรีคนต่อมา[31]
กบฏมอญต่อพม่า พ.ศ. 2301 แก้
ในปีพ.ศ. 2298 หลังจากที่พระเจ้าอลองพญาทรงสามารถยึดเมืองร่างกุ้งจากมอญได้สำเร็จแล้ว จึงส่งทัพเข้าโจมตีเมืองสีเรียมของมอญ ซึ่งอยู่เพียงตรงข้ามฝั่งแม่น้ำย่างกุ้งจากเมืองร่างกุ้งเท่านั้น ซึ่งมีทั้งชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศสอาศัยอยู่ ชาวอังกฤษที่เมืองสีเรียมแสดงสัมพันธไมตรีต่อพระเจ้าอลองพญาด้วยการแล่นเรือรบของอังกฤษทั้งหมดที่เมืองสิเรียมไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอลองพญาที่เมืองร่างกุ้ง เรือของอังกฤษลำหนึ่งชื่อว่าเรืออาร์โคต (Arcot) มีกัปตันเรือชื่อว่าโรเบิร์ต แจ็คสัน (Robert Jackson) มีความเห็นที่แตกต่างไปจากชาวอังกฤษอื่นๆ กัปตันแจ็คสันไม่ต้องการเข้าฝ่ายพระเจ้าอลองพญา กัปตันแจ็คสันไม่ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอลองพญาด้วยตนเองแต่ส่งผู้แทนชื่อว่าจอห์น ไวท์ฮิล (John Whitehill) ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอลองพญาแทน พระเจ้าอลองพญามีพระราชโองการให้เรือรบอังกฤษส่งมอบอาวุธปืนทั้งหมดให้แก่ฝ่ายพม่าเพื่อใช้ในการรบกับมอญ กัปตันแจ็คสันไม่พอใจและไม่ยินยอมถวายอาวุธให้แก่พระเจ้าอลองพญา ต่อมาพระเจ้าอลองพญาจำต้องเสด็จขึ้นเหนือไปประทับที่เมืองอังวะเพื่อรบกับไทใหญ่และมณีปุระ ฝ่ายมอญและฝรั่งเศสที่เมืองสีเรียมฉวยโอกาสนี้ ยกทัพเรือเข้าโจมตีเมืองร่างกุ้ง ปรากฏว่าเรืออาร์โคตและกัปตันแจ็คสันเข้ากับฝ่ายมอญโจมตีฝ่ายพม่า สุดท้ายแล้วฝ่ายมอญและฝรั่งเศสต้องถอยทัพกลับไป เมื่อพระเจ้าอลองพญาเสด็จกลับมาที่เมืองร่างกุ้ง ทรงทราบว่าเรืออาร์โคตได้ทรยศไปเข้ากับฝ่ายมอญมาโจมตีฝ่ายพม่า ทำให้พระเจ้าอลองพญาทรงพระพิโรธเรืออาร์โคตและนายไวท์ฮิล อันเป็นผู้แทนของกัปตันแจ็คสันที่ส่งไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอลองพญา[32]
พระเจ้าการิบนิวาซแห่งมณีปุระได้สละราชสมบัติให้แก่พระโอรสคือพระเจ้าจิตไซในพ.ศ. 2292 แต่พระเจ้าการิบนิวาซมีพระโอรสอีกองค์หนึ่งคือเจ้าชายศยามไซ ซึ่งเป็นพระโอรสที่โปรดปราน ทำให้พระเจ้าจิตไซกษัตริย์มณีปุระพระองค์ใหม่มีความอิจฉา พระเจ้าจิตไซจึงทรงขับไล่เนรเทศพระเจ้าการิบนิวาซพระบิดาให้ออกไปพ้นจากมณีปุระพร้อมทั้งเจ้าชายศยามไซ พระเจ้าการิบนิวาซและเจ้าชายศยามไซจึงเสด็จลี้ภัยมาอยู่ที่กรุงอังวะ เมื่อเมืองอังวะเสียให้แก่มอญในพ.ศ. 2295 พระเจ้าการิบนิวาซและเจ้าชายศยามไซจึงเสด็จกลับเมืองมณีปุระ ฝ่ายพระเจ้าจิตไซเกรงว่าพระบิดาจะกลับมายึดอำนาจและยกราชสมบัติให้แก่ศยามไซ จึงส่งคนไปทำการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าการิบนิวาซและเจ้าชายศยามไซเสียกลางทาง การที่พระเจ้าจิตไซทำการลอบปลงพระชนม์พระบิดาการิบนิวาซทำให้ชาวมณีปุระไม่พอใจ จนเจ้าชายภารัตไซ (Bharatsai) พระโอรสของพระเจ้าการิบนิวาซอีกองค์ ทำการล้มอำนาจพระเจ้าจิตไซและยึดราชสมบัติในพ.ศ. 2295 เป็นพระเจ้าภารัตไซ แต่ทว่าปีต่อมาพระเจ้าภารัตไซถูกยึดอำนาจ และยกให้เจ้าชายโกริศยาม (Gaurisiam) ซึ่งเป็นโอรสของเจ้าชายศยามไซและเป็นนัดดาของพระเจ้าการิบนิวาซ เป็นกษัตริย์มณีปุระองค์ต่อมา เมื่อพระเจ้าอลองพญาทรงสามารถพิชิตเมืองหงสาวดีได้ในพ.ศ. 2300 พระเจ้าอลองพญาเสด็จกรีฑาทัพเข้ารุกรานมณีปุระในปลายปีพ.ศ. 2301 เพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่พระเจ้าการิบนิวาซ และเพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนาในมณีปุระ อนุชาของพระเจ้าโกริศยาม คือ อุปราชภัคยจันทร์ (Bhagyachandra) ยกทัพมณีปุระออกมาตั้งรับทัพพม่าแต่ถูกพระเจ้าอลองพญาตีแตกพ่ายไป พระเจ้าโกริศยามพร้อมทั้งชาวเมืองมณีปุระ ต่างหลบหนีเข้าป่าไปหมดสิ้น เมื่อพระเจ้าอลองพญาเสด็จเข้าเมืองอิมผาลราชธานีมณีปุระ เมืองนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน[25]
ในระหว่างที่พระเจ้าอลองพญาเสด็จยกทัพไปตีเมืองมณีปุระอยู่นั้น ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2301 ชาวมอญในพม่าตอนล่างเป็นกบฏต่อพม่าขึ้น ชาวมอญสามารถเข้ายึดเมืองหงสาวดีและเมืองร่างกุ้งได้ "เนเมียวนรธา"เจ้าเมืองหงสาวดีที่พระเจ้าอลองพญาทรงแต่งตั้งไว้ ต้องถอยออกจากเมืองหงสาวดี พระเจ้าอลองพญาประทับอยู่ในเมืองอิมผาลของมณีปุระได้เก้าวัน ก็ทรงทราบข่าวว่ามอญเป็นกบฏขึ้น จึงรีบเสด็จกลับยังพม่า แต่ในระหว่างนี้เนเมียวนรธาสามารถรวบรวมกำลังพม่าปราบกบฏมอญลงได้สำเร็จเสียก่อนแล้วสามารถยึดเมืองร่างกุ้งคืนได้ ชาวมอญกบฏหลบหนี้ลี้ภัยมายังเมืองมะริดซึ่งเป็นเมืองท่าของสยาม พระเจ้าอลองพญาจึงเสด็จกลับมาประทับที่เมืองชเวโบรัตนสิงห์ราชธานีในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2302 ในขณะเดียวกันอังกฤษซึ่งตั้งสถานีการค้าอยู่ที่เมืองเนกรายนั้น กำลังทำสงครามเจ็ดปีกับฝรั่งเศส นายจอร์จ ปิโกต (George Pigot) เจ้าเมืองมัทราส หรือเมืองเจนาปัตนัม (Chenapatam) มีคำสั่งให้ถอนกำลังอังกฤษออกจากเมืองเนกรายเกือบทั้งหมดในเดือนเมษายน พ.ศ. 2302 เพื่อโยกย้ายกำลังไปสู้รบกับฝรั่งเศสในอินเดีย
ในเดือนกรกฎาคม ปีพ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญาเสด็จยกทัพพม่าและไทใหญ่จำนวนประมาณ 60,000 คน ลงมาเพื่อบำเพ็ญกุศลสร้างศาลาถวายแด่วัดเจดีย์ชเวดากองที่เมืองร่างกุ้ง ในเวลาเดียวกันนายจอห์น ไวท์ฮิล ล่องเรือมาค้าขายที่เมืองร่างกุ้ง นายไวท์ฮิลไม่ทราบว่าพระเจ้าอลองพญามีความพิโรธแก่ตน จากเหตุการณ์เรืออาร์โคตไปเข้ากับฝ่ายมอญเมื่อพ.ศ. 2298 เมื่อสี่ปีก่อนหน้า นายไวท์ฮิลเดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอลองพญาที่เมืองแปร นายไวท์ฮิลถูกฝ่ายพม่าจับกุมโบยตีและใส่โซ่ตรวน ไวท์ฮิลจำต้องกู้เงินจำนวนมากมาเพื่อไถ่ตนเองให้รอดพ้นจากพระราชอาญาของกษัตริย์พม่า ต่อมานายลาวีนชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นอดีตลูกน้องของนายบริวโนที่ถูกประหารชีวิตไปนั้น ได้เพ็ดทูลต่อพระเจ้าอลองพญาว่าฝ่ายอังกฤษได้ให้ความช่วยเหลือและให้อาวุธแก่กบฏมอญ พระเจ้าอลองพญาจึงตั้งพระทัยที่จะกำจัดอังกฤษออกไปจากพม่าอย่างสิ้นเชิง ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2302 ชาวโปรตุเกสชื่อนายอันโตนิโอ ซึ่งพระเจ้าอลองพญาได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองพะสิม เดินทางมาถึงเมืองเนกราย เพื่อมอบราชสาสน์พม่าให้แก่อังกฤษ นายลาวีนฝรั่งเศสได้เชื้อเชิญนายเซาท์บี (Southby) ชาวอังกฤษเจ้าเมืองเนกราย มารับประทานอาหาร แล้วนายอันโตนิโอมีคำสั่งให้ทหารพม่าปิดประตูห้องอาหารรุมสังหารฆาตกรรมนายเซาท์บีรวมทั้งชาวอังกฤษอีกสิบคน และทหารอินเดียซีปอยอีกร้อยคนไปจนหมดสิ้น เหตุการณ์การสังหารชาวอังกฤษที่เมืองเนกรายในพ.ศ. 2303 ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพม่าและอังกฤษยุติลงไปเป็นเวลาประมาณสี่สิบปี
สาเหตุของสงครามและการเตรียมทัพของพม่า แก้
คติพระจักรพรรดิราช แก้
เมื่อพระเจ้าอลองพญาปราบดาภิเษกประกาศพระองค์เป็นกษัตริย์พม่านั้น ทรงประกาศพระองค์เองเป็นพระโพธิสัตว์ผู้มาช่วยเหลือปลดปล่อยราษฎรให้พ้นจากความทุกข์ และเป็นองค์พุทธศาสนูปถัมภกค้ำชูฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ในขณะที่พระเจ้าอลองพญาทรงกำลังจัดทัพเข้าล้อมเมืองสิเรียมในพ.ศ. 2299 นั้น พระเจ้าอลองพญาทรงประกาศว่าพระองค์ได้รับมอบหมายจากท้าวสักกะเทวราช (Thagya) หรือพระอินทร์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา หรืออาจหมายถึงสากระแมง (Thagyamin, พม่า: သိကြားမင်း) ซึ่งเป็นเทพเจ้านัตสูงสุด ในการปราบยุคเข็ญบำรุงสุขให้แก่ราษฎร ทรงประกาศว่าพระอินทร์ได้มอบหอกวิเศษชื่อว่า"อรินทมะ" (Arindama)[23] ให้แก่พระองค์ พระเจ้าอลองพญาทรงประกาศ"สารจากท้าวสักกะ" (Thagya Shwe Pe Hlwa)[23] ไปยังชาวมอญหงสาวดี ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2299 ใจความว่า เจ้าพม่าพระองค์ใหม่นี้มีบุญญาธิการมาก ตามพุทธทำนาย เจ้าพม่าพระองค์ใหม่นี้จะได้เป็นอธิราชเป็นใหญ่เหนือดินแดนทั้งมวล ได้แก่ จีน ชมพูทวีป ฉาน มอญ และกรุงศรีอยุธยา แสดงว่าพระเจ้าอลองพญาทรงมีคติเกี่ยวกับความเป็นพระจักรพรรดิราช (Chakravartin) และมีความตั้งพระทัยที่อาจจะเข้าพิชิตกรุงศรีอยุธยาในอนาคต และพระเจ้าอลองพญายังทรงประกาศว่าพระองค์นั้นเปรียบเสมือเป็นท้าวสักกะ คือเป็นองค์พุทธศาสนานูปถัมภก ชาวมอญหงสาวดีควรออกมาสวามิภักดิ์เสีย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อของราษฎร ทรงเปรียบพระองค์เองเป็นครุฑและเปรียบกษัตริย์มอญเป็นนาค[23]
ในเอกสารที่ติดต่อกับอังกฤษ พระเจ้าอลองพญาพระยาทรงใช้พระนามว่า พระเจ้าอลองเมงตารา (Alaungmintaya) พระเจ้ากรุงสุนาปรันตะ (Thunaparanta) กรุงตามพะทีป กรุงกัมโพชา และเมืองอื่นๆ เป็นเจ้าบ่อเงินบ่อทองบ่อแก้ว เป็นพระเจ้าช้างเผือกเจ้าพระยาฉัททันต์ ผู้ครอบครองหอกอรินทมะ เป็นสุริยวงศ์ เป็นเจ้าขัณฑสีมากรุงรัตนปุระอังวะและกรุงอยุชฌปุระรัตนสิงห์[23]
พระเจ้าอลองพญาเสด็จเมืองร่างกุ้ง แก้
หลังจากที่พระเจ้าอลองพญาเสด็จกลับจากศึกมณีปุระมาที่กรุงรัตนสิงห์แล้ว พระเจ้าอลองพญาจึงเสด็จลงมาพร้อมทั้งพระมเหสีและพระราชวงศ์ ลงมาบำเพ็ญกุศลสร้างศาลาถวายแด่เจดีย์ชเวดากองเมืองร่างกุ้ง แต่ในการเสด็จลงมาเมืองร่างกุ้งครั้งนี้ พระเจ้าอลองพญาให้จัดทัพขนาดมหึมาลงมาด้วย อาจเป็นเพราะว่าพระเจ้าอลองพญาทรงไม่ไว้วางพระทัยสถานการณ์ในพม่าตอนล่าง[33] เกรงว่าชาวมอญจะขบถขึ้นมาอีกครั้ง หรือพระเจ้าอลองพญาอาจจะทรงตั้งพระทัยยกทัพไปทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น โจมตีกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอลองพญามีพระราชโองการให้พระโอรสองค์คือ เจ้าชายศรีสุธรรมราชา (Thiri Thudamayaza) หรือเจ้าชายมังลอกอุปราช (Maung Hlauk) อายุ 24 ชันษา ให้อยู่รักษาเมืองชเวโบรัตนสิงห์ จากนั้นพระเจ้าอลองพญาจึงทรงเกณฑ์ไพร่พลพม่าจัดทัพยกลงมายังเมืองร่างกุ้ง;[33]
- เจ้าชายศิริธรรมราชา (Thiri Damayaza) หรือเจ้าชายมังระ (Maung Ywa) ราชบุตรองค์รอง อายุ 23 ชันษา คุมทัพหน้าจำนวน 10,000 คน พร้อมเรืออีก 300 ลำ
- พระเจ้าอลองพญาทรงคุมทัพหลวง จำนวน 24,000 คน เรืออีก 600 ลำ พร้อมทั้งพลปืนชาวฝรั่งโปรตุเกส
- มังฆ้องนรธา (Mingaung Nawrata) เป็นปลัดทัพหลวง
- ทัพหลังประกอบด้วย;
- เจ้าชายสะโดมังหลาจอ (Thado Minhla Kyaw) หรือเจ้าชายมังโป (Maung Po) ผู้ครองเมืองอาเมียง โอรสของพระเจ้าอลองพญา อายุ 16 ชันษา คุมทัพจำนวน 5,500 คน เรือ 100 ลำ
- เจ้าชายสะโดเมงสอ (Thado Minsaw) หรือเจ้าชายมังเวง (Maung Waing) ผู้ครองเมืองปดุง โอรสของพระเจ้าอลองพญา อายุ 14 ชันษา ต่อมาคือพระเจ้าปดุง คุมทัพจำนวน 5,500 คน เรือ 100 ลำ
รวมทัพชาวพม่าจำนวนทั้งสิ้น 44,000 คน ประชุมทัพที่เมืองจอกมอง (Kyaukmyaung)[33] ริมแม่น้ำอิระวดีทางตะวันออกของเมืองชเวโบ นอกจากนี้ พระเจ้าอลองพญายังทรงให้เกณฑ์ทัพชาวไทใหญ่จากเมืองแสนหวี เมืองสองสบ (Hsawnghsup หรือ Thaungdut) เมืองกะเล เมืองยาง เมืองก้อง เมืองบ้านหม้อ เมืองมีต เมืองสีป้อ เมืองยองห้วย เมืองนาย เป็นทัพไทใหญ่จำนวนทั้งสิ้น 25,000 คน ยกลงมาทางเมืองตองอูอีกทัพหนึ่ง[33] รวมกับทัพพม่าข้างต้น เป็นจำนวนทั้งสิ้น 69,000 คน
หลังจากที่เสด็จออกจากเมืองรัตนสิงห์แล้วนั้น พระเจ้าอลองพญาพร้อมทั้งพระโอรส พระมเหสี และพระราชวงศ์ เสด็จยกทัพออกจากเมืองจอกมองที่ประชุมทัพเมื่อวันแรมสิบค่ำเดือนแปด[33] (19 กรกฎาคม พ.ศ. 2302) พระเจ้าอลองพญาประทับที่เมืองร่างกุ้ง ทรงสร้างศาลาถวายแด่เจดีย์ชเวดากองและยังทรงปิดทองเจดีย์ใหม่ทั้งหมด ทรงประกอบพิธิบำเพ็ญกุศลที่เจดีย์ชเวดากองอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น พระมเหสีจันทาเทวีมเหสีของพระเจ้าอลองพญายังเสด็จไปนมัสการพระธาตุเจดีย์ชเวมอดอที่เมืองหงสาวดี และเจ้านายพม่าองค์อื่นได้เสด็จไปนมัสการเจดีย์ไจขอก (Kyaikkhauk) ที่เมืองสิเรียมด้วย[33]
อยุธยาช่วยเหลือมอญ แก้
นับตั้งแต่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯทรงประกาศอิสรภาพจากพม่าในพ.ศ. 2127 กรุงศรีอยุธยาได้เป็นที่พึ่งพักพิงหลบภัยให้แก่ชาวมอญจากพม่าตอนล่าง ซึ่งก่อกบฏต่อต้านการปกครองพม่าไม่สำเร็จถูกพม่าลงโทษ ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรฯพระราชทานให้ชาวมอญอพยพ ซึ่งอพยพเข้ามายังสยามในหลายระลอกเป็นจำนวนหลายพันคน ในพ.ศ. 2127 พ.ศ. 2138 และพ.ศ. 2143[34] ให้ตั้งถิ่นฐานที่บริเวณโดยรอบกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยาส่งเสริมและช่วยเหลือให้ชาวมอญกบฏขึ้นต่อพม่า เพื่อลดทอนอำนาจของพม่า ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ เมื่อพม่าเกณฑ์ชาวมอญเมืองเมาะตะมะไปสู้รบกับจีนในพ.ศ. 2204 ชาวมอญไม่พอใจจึงก่อการกบฏขึ้น สมเด็จพระนารายณ์ทรงส่งทัพกรุงศรีอยุธยาไปตีเมืองเมาะตะมะได้ชาวมอญมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่สามโคกปทุมธานี ปากเกร็ด และนนทบุรี[34] ชาวสยามและชาวมอญถึงแม้ว่าจะมีภาษาที่แตกต่างกันแต่มีวัฒนธรรมและศาสนาที่ใกล้เคียงกัน[34] ประกอบกับการแต่งงานกันระว่างชาวสยามและชาวมอญที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับ สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปชาวมอญเหล่านั้นจึงถูกหลอมรวมเข้ากับสังคมสยามในที่สุด ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ชาวมอญเริ่มอพยพเข้ามากรุงศรีอยุธยาครั้งแรกในพ.ศ. 2289 เมื่อสมิงทอกษัตริย์หงสาวดีถูกโค่นล้มอำนาจ ทำให้ขุนนางมอญที่จงรักภักดีต่อสมิงทอได้แก่ พระยาพระราม พระยากลางเมือง พระยาน้อยวันดี อพยพพาชาวมอญในสังกัดเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพระราชทานให้ชาวมอญกลุ่มนี้ตั้งถิ่นฐานที่โพธิ์สามต้นทางเหนือของกรุงศรีอยุธยา[20][34]
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงส่งคณะทูตไปยังกรุงอังวะในพ.ศ. 2287 เพื่อพระราชทานตัวเจ้าเมืองเมาะตะมะและเจ้าเมืองทวายคืนให้แก่กษัตริย์พม่า และอาจเพื่อสังเกตสถานการณ์สงครามระหว่างพม่าและมอญ หลังจากที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงปล่อยตัวสมิงทอออกไปเมืองจีนในพ.ศ. 2290 ไม่ปรากฏว่าราชสำนักกรุงศรีอยุธยายังคงติดตามเหตุการณ์ในพม่าต่อไปหรือไม่ เมื่อกรุงหงสาวดีเสียให้แก่พระเจ้าอลองพญาในพ.ศ. 2300 ไม่ปรากฏว่ากรุงศรีอยุธยาจะมีท่าทีประการใดหรือมีนโยบายต่อการเรืองอำนาจขึ้นของพระเจ้าอลองพญาอย่างไร ในพ.ศ. 2301 ชาวมอญเป็นกบฏขึ้นต่อพระเจ้าอลองพญา ฝ่ายพม่าปราบกบฏมอญลงได้สำเร็จ ทำให้มีชาวมอญจำนวนหนึ่งโดยสารเรือฝรั่งเศสเข้ามาลี้ภัยที่เมืองมะริดเมืองท่าของสยาม[12] เมื่อพระเจ้าอลองพญาเสด็จยกทัพลงมาพม่าตอนล่างเพื่อบำเพ็ญกุศลที่เจดีย์ชเวดากองในช่วงกลางปีพ.ศ. 2302 ซึ่งเป็นการเสด็จหัวเมืองมอญครั้งแรกนับตั้งแต่ที่มีการกบฏของมอญ ทำให้พระเจ้าอลองพญาทรงทราบว่ามีกบฏมอญได้หลบหนีไปยังสยาม พระเจ้าอลองพญาทรงกังวลกับกบฏมอญที่หลั่งไหลเข้าไปสู่ดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอยุธยาอย่างไม่ขาดสาย โดยทรงเชื่อว่าพวกมอญมักจะเตรียมวางแผนก่อกบฏและพยายามชิงเอาพม่าตอนล่างกลับคืนไปเป็นของตน[35] ความกังวลของพระองค์นั้นถูกพิสูจน์แล้วว่าสมเหตุสมผล มอญได้ก่อกบฏขึ้นหลายครั้งในปี พ.ศ. 2301, 2305, 2317, 2326, 2335 และ 2367-69 ซึ่งการกบฏแต่ละครั้งที่ล้มเหลวนั้นจะตามมาด้วยการหลบหนีของมอญเข้าไปยังอาณาจักรของไทย[36]
เมื่อกบฏมอญถูกปราบลงในพ.ศ. 2301 มีชาวมอญบางกลุ่มได้โดยสารเรือสินค้าของฝรั่งเศส เพื่อหลบหนีไปยังเมืองปอนดีเชอร์รีของฝรั่งเศสในอินเดีย แต่คลื่นลมพัดจึงจำต้องมาขึ้นท่าที่เมืองมะริด[12] เมืองท่าของสยาม คำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่า เรือฝรั่งเศสลำนี้ถูกทางการเมืองมะริดจับกุมเนื่องจากทำผิดสัญญาการค้าบางประการ[21] เมืองมะริดมีใบบอกเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชโองการให้ริบสินค้าและจับกุมลูกเรือฝรั่งเศสลำนั้นไว้เนื่องจากทำผิดสัญญาการค้า บรรดาข้าราชการได้ทูลทัดทานว่าไม่สมควรที่จะกุมขังลูกเรือชาวพม่า (ชาวมอญ?) เหล่านั้นไว้ จะเสียทางพระราชไมตรี[21] แต่พระเจ้าเอกทัศน์ยังคงยืนยันตามพระราชโองการ ฝ่ายพระเจ้าอลองพญา ซึ่งกำลังบำเพ็ญกุศลอยู่ที่เมืองร่างกุ้งในกลางปีพ.ศ. 2302 นั้น ได้กิตติศัพท์ว่าฝ่ายเมืองมะริดกรุงศรีอยุธยาได้รับตัวกบฏมอญที่ลงเรือฝรั่งเศสหนีไปไว้ จึงทรงส่งข้าหลวงนำพระราชสาส์นถึงพระเจ้ากรุงทวารวดีศรีอยุธยาทางเมืองมะริด[23]ว่าเรือฝรั่งเศสลำนั้นเป็นเรือหลวงของพระเจ้าอลองพญา ขอให้กรุงศรีอยุธยาส่งเรือและลูกเรือเหล่านั้นกลับคืนให้แก่พระเจ้าอลองพญา มิฉะนั้นจะถือว่าผิดพระราชไมตรีจำต้องมีสงครามเกิดขึ้นแก่กัน พระเจ้าเอกทัศน์กษัตริย์สยามยังคงทรงยืนยันที่จะยึดเรือและคุมตัวลูกเรือเหล่านั้นไว้ ฝ่ายกรมการเมืองมะริดตอบว่าหากพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาไม่มีพระราชานุญาตก็ไม่สามารถส่งกลับคืนให้แก่ทางพม่าได้[23] ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญาทรงทราบข่าวว่ากองกำลังของสยามได้ตามขึ้นมายึดเรือหลวงเรือสินค้าของพระเจ้าอลองพญาถึงเมืองทวาย[33] เป็นเหตุให้พระเจ้าอลองพญาพิโรธและตัดสินพระทัยยกทัพเข้าโจมตีสยามกรุงศรีอยุธยา ท่าทีของกรุงศรีอยุธยาทำให้ฝ่ายพม่าตีความว่าสยามให้ความช่วยเหลือแก่มอญ แต่สยามกรุงศรีอยุธยาไม่เคยให้กองกำลังหรืออาวุธสนับสนุนแก่กบฏมอญในสมัยของพระเจ้าอลองพญา เพียงแต่ต้อนรับชาวมอญอพยพให้เข้ามาลี้ภัยเท่านั้น ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาอาจไม่ทราบและไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าอลองพญาจึงมีพระประสงค์ที่จะนำเรือคืนไป
ขณะที่นักประวัติศาสตร์มีความเห็นโดยทั่วไปว่าการสนับสนุนของอยุธยาต่อกบฏมอญ และการปล้นสะดมข้ามพรมแดนของมอญนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุของสงคราม แต่ยังไม่มีข้อสรุปถึงแรงจูงใจที่ลึกลับกว่านั้น นักประวัติศาสตร์พม่าสมัยอาณานิคมอังกฤษบางคนลงความเห็นว่าสาเหตุที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น และได้เสนอว่าสาเหตุหลักของสงคราม คือ ความปรารถนาของพระเจ้าอลองพญาที่จะฟื้นฟูจักรวรรดิของพระเจ้าบุเรงนองขึ้นอีกครั้ง ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมถึงอาณาจักรอยุธยาด้วย[37][38] เดวิด ไวอัท นักประวัติศาสตร์ไทย ยอมรับว่าพระเจ้าอลองพญาอาจทรงกลัวการสนับสนุนการฟื้นฟูอาณาจักรหงสาวดีของอยุธยา แต่ได้เสริมว่าพระเจ้าอลองพญานั้นชัดเจนว่าออกจะเป็นชาวชนบทดิบซึ่งมีประสบการณ์ทางการทูตน้อยมาก จึงได้เพียงสานต่อสิ่งต่อพระองค์ได้ทรงแสดงออกมาให้เห็นแล้วว่าพระองค์ทำได้ดีที่สุด ซึ่งก็คือการนำกองทัพไปสู่สงคราม[39]
แต่นักประวัติศาสตร์พม่า หม่อง ทินอ่อง กล่าวว่าวิเคราะห์ของพวกเขานั้นบรรยายไม่หมดถึงความกังวลที่แท้จริงของพระเจ้าอลองพญาที่ว่าอำนาจของพระองค์นั้นเพิ่งจะเริ่มสถาปนาขึ้น และพระราชอำนาจในพม่าตอนล่างนั้นยังไม่มั่นคง และพระเจ้าอลองพญาไม่ทรงเคยรุกรานรัฐยะไข่ เนื่องจากชาวยะไข่ไม่เคยแสดงความเป็นปรปักษ์ และเมืองตานด่วยในรัฐยะไข่ตอนใต้ได้เคยถวายเครื่องราชบรรณาการในปี พ.ศ. 2298[10] ถั่น มินอู ยังได้ชี้ให้เห็นว่านโยบายที่มีมาอย่างยาวนานของอยุธยาในการรักษารัฐกันชนกับพม่าศัตรูเก่า ได้กินเวลามาจนถึงสมัยใหม่ซึ่งครอบครัวของชาวพม่าผู้ต่อต้านรัฐบาลได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศไทย และกองทัพต่อต้านรัฐบาลยังสามารถซื้ออาวุธ เครื่องกระสุน และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย[40]
นักประวัติศาสตร์ตะวันตกในสมัยหลังได้ให้มุมมองที่ค่อนข้างเป็นกลางกว่า ดี.จี.อี. ฮอลล์ เขียนว่า การปล้นสะดมเป็นนิจโดยอยุธยาและกบฏมอญนั้นเพียงอย่างเดียวก็พอที่จะเป็นชนวนเหตุของสงครามได้ ถึงแม้เขาจะเสริมว่าสำหรับพระมหากษัตริย์ผู้ทรงไม่สามารถที่จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้[41] สไตน์แบร์กและคณะสรุปว่าชนวนเหตุของสงครามเป็นผลมาจากการกบฏท้องถิ่นในทวาย ซึ่งอยุธยาถูกคาดว่าเข้าไปมีส่วนพัวพัน[9] และล่าสุด เฮเลนส์ เจมส์ เขียนว่า พระเจ้าอลองพญาทรงต้องการที่จะยึดครองการค้าระหว่างคาบสมุทรของอยุธยา ขณะที่ยอมรับว่าเหตุจูงใจรองนั้นเป็นเพื่อหยุดยั้งการโจมตีของอยุธยา และการให้การสนับสนุนพวกมอญของอยุธยา[6]
การเตรียมการฝ่ายพม่า แก้
เมื่อพระเจ้าอลองพญาทรงตัดสินพระทัยที่จะยกทัพเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยานั้น บรรดาข้าราชการและโหรหลวงต่างทูลทัดทานว่า ศึกโจมตีกรุงศรีอยุธยาในครั้งนี้ ฤกษ์ยามไม่เป็นมงคล ศึกครั้งนี้จะต้องปราชัยและอาจทรงพระประชวรในศึกนี้ได้[33] แต่พระเจ้าอลองพญายังทรงยืนกรานที่จะยกทัพเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอลองพญามีพระราชโองการให้พระโอรสสององค์ได้แก่ เจ้าชายอาเมียงและเจ้าชายปดุง ซึ่งคุมทัพหลังอยู่นั้น ให้คุมทัพนำพระมเหสีและพระราชวงศ์เสด็จกลับไปยังเมืองรัตนสิงห์ชเวโบเสียก่อน[33] แล้วฝ่ายพม่าเองจึงได้เตรียมระดมพลกองทัพรุกราน โดยเริ่มจากการเฉลิมฉลองปีใหม่เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2302 โดยรวบรวมทหารจากพม่าตอนบนทั้งหมด รวมทั้งจากรัฐฉานและมณีปุระที่อยู่ทางเหนือซึ่งเพิ่งจะถูกยึดครองไปเมื่อไม่นานมานี้ด้วย จนถึงปลายปี พ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญาทรงสามารถระดมพลได้มากถึง 40 กรมทหาร (ทหารราบ 40,000 นาย และทหารม้า 3,000 นาย) ที่ย่างกุ้ง ซึ่งจากทหารม้าทั้งหมด 3,000 นายนี้ เป็นทหารม้ามณีปุระเสีย 2,000 นาย ซึ่งเพิ่งจะถูกจัดเข้าสู่ราชการของพระเจ้าอลองพญาหลังจากมณีปุระถูกพม่ายึดครองเมื่อปี พ.ศ. 2301[6][42]
พระเจ้าอลองพญาทรงเป็นผู้นำทัพด้วยพระองค์เอง โดยมีพระราชบุตรองค์ที่สอง เจ้าชายมังระ เป็นรองแม่ทัพใหญ่ ส่วนเจ้าชายมังลอก พระราชบุตรองค์โต พระองค์ทรงให้บริหารประเทศต่อไป ส่วนพระราชโอรสที่เหลือนั้นนำทหารราวหนึ่งกองพันทั้งสองพระองค์[43] นอกจากนี้ที่ติดตามกองทัพไปด้วยนั้นยังมีแม่ทัพยอดฝีมือ ซึ่งรวมไปถึงมังฆ้องนรธา ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทางทหารอย่างมาก บางคนในราชสำนักสนับสนุนให้เขาผู้นี้อยู่ข้างหลังและมังระนำปฏิบัติการแทน แต่พระเจ้าอลองพญาทรงปฏิเสธ[44]
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญาซึ่งประทับอยู่ที่เมืองร่างกุ้งนั้น ทรงริเริ่มวางแผนในการยกทัพเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งโจมตีล้านนาเมืองเชียงใหม่และลำพูน โดยให้แม่ทัพมังหลาราชา (Minhla Yaza) ยกทัพกองหน้าจำนวน 1,000 คน และให้ปะกันจี สิธูนรธา (Sithu Nawyatha Pakhan Gyi) และเสือหาญฟ้า (Tho Han Bwa) เจ้าฟ้าไทใหญ่เมืองยอ ยกทัพกองหน้าตามออกไปอีก 1,000 คน[23] ล่วงหน้าจากเมืองร่างกุ้งออกไปเมืองเมาะตะมะก่อนในเดือนพฤศจิกายน ส่วนพระเจ้าอลองพญาจะเสด็จยกทัพหลวงออกไปในเดือนธันวาคม ในระหว่างที่เตรียมทัพเพื่อโจมตีกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น พระเจ้าอลองพญาได้ส่งนายอันโตนิโอชาวโปรตุเกส ผู้เป็นที่พระยาพะสิม ให้นำกองกำลังพม่าไปทำการสังหารหมู่ชาวอังกฤษที่เมืองเนกรายในเดือนตุลาคม ต่อมาในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2302[23] พระเจ้าอลองพญามีประกาศพระราชโองการสอนสั่งให้นายทหารพม่าทั้งมวลใช้ปืนคาบศิลาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ และต่อมาในวันที่ 9 ธันวาคม พระเจ้าอลองพญามีพระราชโองการไปยังท้าวไชยเชษฐ์ (Daw Zweyaset) ขุนนางชาวมอญซึ่งพระเจ้าอลองพญาได้ทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเมาะตะมะ ในตำแหน่งพญาทะละ (Binnya Dala) ตั้งแต่ที่ได้เมืองเมาะตะมะในพ.ศ. 2300 นั้น ให้เตรียมทัพมอญเมืองเมาะตะมะและเก็บสะสมเสบียงไว้เตรียมการสำหรับการศึกกรุงศรีอยุธยา[23] ฝ่ายพม่าได้รวบรวมกองทัพเรือที่มีเรือกว่า 300 ลำ เพื่อขนส่งทหารบางส่วนไปยังชายฝั่งตะนาวศรีโดยตรง[42]
สงคราม แก้
พม่าพิชิตทวายมะริดตะนาวศรี แก้
พระเจ้าอลองพญาพร้อมทั้งเจ้าชายมังระราชบุตร เสด็จยกทัพหลวงออกจากเมืองร่างกุ้ง ในวันขึ้นสามค่ำเดือนสอง[33] (21 ธันวาคม พ.ศ. 2302) พงศาวดารไทยระบุว่า ทัพของพระเจ้าอลองพญาครั้งนี้มีจำนวนประมาณ 30,000 คนเศษ[20] พระเจ้าอลองพญาเสด็จยกพยุหยาตราทัพเรือหลวงออกมาทางปากแม่น้ำย่างกุ้ง เสด็จเข้าทางแม่น้ำสะโตงไปยังเมืองหงสาวดี ขึ้นบกที่เมืองหงสาวดี แล้วเสด็จทางสถลมารคไปยังเมืองเมาะตะมะ ที่เมืองเมาะตะมะ พระเจ้าอลองพญาทรงสงสัยว่าท้าวไชยเชษฐ์หรือพญาทะละเจ้าเมืองเมาะตะมะนั้น ได้วางแผนสมคบคิดกับตาละปั้น อดีตแม่ทัพมอญหงสาวดี ในการลุกฮือเพื่อปลดปล่อยชาวมอญจากการปกครองของพม่า[33] ตาละปั้นแม่ทัพหงสาวดีนั้น หลังจากที่ฝ่าวงล้อมพม่าออกมาจากเมืองหงสาวดีเมื่อพ.ศ. 2300 ได้เดินทางหลบหนีไปยังเมืองเชียงใหม่ จากนั้นตาละปั้นจึงเดินทางกลับมาซ่องสุมผู้คนที่หมู่บ้านคอกุน (Kawgun)[23] ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เรียกว่า "บ้านสันทะกาน" ซึ่งอยู่เหนือเมืองเมาะตะมะไปทางแม่น้ำสาละวิน เขตเมืองพะอันในรัฐกะเหรี่ยงปัจจุบัน พระเจ้าอลองพญาลงพระราชอาญาให้ประหารชีวิตท้าวไชยเชษฐ์เจ้าเมืองเมาะตะมะ แล้วพระเจ้าอลองพญาจึงทรงแต่งตั้งขุนนางชาวมอญอีกคนหนึ่งชื่อว่าท้าวตลุด (Daw Talut) เป็นเจ้าเมืองเมาะตะมะคนใหม่[33]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2303 ทัพหลวงของพม่าประชุมกันอยู่ที่พรมแดนในเมาะตะมะ แทนที่จะใช้เส้นทางปกติจากเมาะตะมะไปยังด่านเจดีย์สามองค์ พม่าเลือกที่จะรุกรานลงไปทางใต้ เนื่องจากพระเจ้าอลองพญาทรงต้องปราบปรามหัวเมืองทวายที่เป็นอิสระอยู่เสียก่อน โดยเจ้าชายมังระทรงนำทัพหน้าไป ซึ่งประกอบด้วยทหาร 6 กรม (ทหาร 5,000 นาย และม้า 500 ตัว) ไปยังทวาย[43] เจ้าชายมังระทรงให้มังหลาราชา สิธูนรธา และเจ้าฟ้าเสือหาญฟ้าเมืองยอ ยกทัพหน้า 2,000 คน เข้าโจมตีเมืองทวาย เมืองทวายซึ่งเป็นนครรัฐอิสระมาตั้งแต่พ.ศ. 2295 เป็นเวลาเจ็ดปี จึงเสียให้แก่พระเจ้าอลองพญาในที่สุด ในปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2302 ทวายถูกยึดครองโดยง่ายดาย และเจ้าเมืองทวายได้ถูกประหารชีวิต[6] มีชาวทวายได้หลบหนีลี้ภัยไปยังเมืองมะริดของสยาม พระเจ้าอลองพญาซึ่งประทับอยู่ที่เมาะตะมะ ทรงทราบว่า ได้เมืองทวายแล้ว ในที่วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2303[23]
พระเจ้าอลองพญามีพระราชโองการให้สร้างถนนทางเสด็จจากเมืองเมาะตะมะไปยังเมืองทวาย แล้วพระเจ้าอลองพญาจึงย้ายมาประทับที่เมืองทวาย มีพระราชโองการให้หยุดประชุมทัพที่เมืองทวาย เพื่อรอกองกำลังเสริมและเสบียงเพิ่มเติมจากร่างกุ้งและเมาะตะมะให้มาถึงอย่างทันท่วงที และมีพระราชโองการแต่งตั้งให้มังหลาราชา พงศาวดารไทยเรียกว่า แมงละราชา ให้เป็นแม่ทัพใหญ่กองหน้าแต่ผู้เดียว[23] และให้เกณฑ์ชาวเมืองทวายเข้าทัพด้วย
ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2303 พระเจ้าอลองพญาทรงส่งข้าหลวงพม่าสองคนได้แก่ สิงหเชษฐ์ (Theinga Set) และ สีหรานเตง (Thiha Yan Tin) เป็นผู้นำราชสาส์นของพระเจ้าอลองพญามามอบให้แก่กรมการเมืองมะริดใจความว่า;[23]
- เมื่อครั้งที่พระเจ้าอลองเมงตาราเสด็จออกทำศึกมณีปุระนั้น พวกตะเลงได้เป็นขบถขึ้นที่เมืองร่างกุ้ง มีฝรั่งฝรังคีบางผู้ได้ขโมยเรือหลวงจากเมืองร่างกุ้งแล้วแล่นมาที่เมืองมะริดตะนาวศรี เมื่อพระเจ้าอลองเมงตาราร้องขอให้กรมการเมืองมะริดคืนเรือนั้นให้แก่พระเจ้าอลองเมงตารา กรมการเมืองมะริดกลับตอบว่าจะต้องมีพระราชานุญาตจากพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเสียก่อน เพราะฉะนั้น ขอให้พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจงอย่ายึดทรัพย์สมบัติของกษัตริย์พระองค์อื่นไว้ จงยินยอมมอบเรือหลวงของพระเจ้าอลองเมงตาราคืนให้โดยทันที
- เมื่อข้าขัณฑสีมาได้หลบหนีไปต่างเมือง เป็นธรรมเนียมว่าพระเจ้ากรุงกษัตริย์แห่งเมืองนั้น จักต้องส่งข้าขัณฑสีมาเหล่านั้นคืนให้แก่เจ้าขัณฑสีมาเดิม หากพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาไม่ทรงคืนชาวพม่าชาวมอญและชาวทวายที่เมืองมะริดตะนาวศรีคืนให้แก่พระเจ้าอลองเมงตาราโดยเร็ว
ฝ่ายสยามกรมการเมืองมะริดนั้นนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีตอบโต้คำร้องขอของพระเจ้าอลองพญาแต่ประการใด พระเจ้าอลองพญามีพระราชสาส์นมาถึงกรมการเมืองมะริดอีกครั้งในวันที่ 19 มกราคม ว่าให้ส่งตัวชาวทวายคืนให้แก่พระเจ้าอลองพญา ทางเมืองมะริดตะนาวศรียังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม ส่วนกรมการเมืองตะนาวศรีมีใบบอกเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา แจ้งว่าเจ้าพม่าชื่อว่า"มังลอง" ยกทัพพม่ามาจำนวนประมาณ 30,000 คน ยกมาตีได้เมืองทวายแล้ว กำลังจะยกลงมาโจมตีเมืองมะริด[20] พระเจ้าเอกทัศน์จึงมีพระราชโองการให้จัดเตรียมทัพเข้าตั้งรับการรุกรานของพม่า;
- กองทัพที่ 1: ขณะนั้นพระยายมราชเป็นโทษจำคุกอยู่จากเหตุการณ์กบฏของกรมหมื่นเทพพิพิธในพ.ศ. 2301 พระเจ้าเอกทัศน์จึงทรงแต่งตั้งให้พระยาอินทราบดีสีหราชรองเมือง ขึ้นเป็นพระยายมราชเสนาบดีนครบาลคนใหม่ ทรงให้พระยายมราชคนใหม่เป็นแม่ทัพ นำทัพจำนวน 3,000 คนเศษ
- พระยาเพชรบุรีเจ้าเมืองเพชรบุรีเป็นโทษจากเหตุการณ์กบฏกรมหมื่นเทพพิพิธ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงให้พระยาเพชรบุรีคนใหม่ คือ พระยาเพชรบุรี (เรือง) เป็นทัพหน้าของพระยายมราช
- พระยาราชบุรีเป็นยกกระบัตรทัพ พระสมุทรสงครามเป็นเกียกกายทัพ พระธนบุรีและพระนนทบุรีเป็นทัพหลัง
- กองทัพที่ 2: พระยารัตนาธิเบศร์ ผู้ว่าที่ธรรมาธิกรณ์กรมวัง เป็นแม่ทัพอีกทัพหนึ่งคุมกำลังพล 2,000 คนเศษ
- พระยาสีหราชเดโช และพระยาราชวังสัน เป็นทัพหน้า
- ท้าวพระยากรมอาสาหกเหล่า เป็นเกียกกายทัพและเป็นทัพหลัง
- ขุนรองปลัดชู กรมการเมืองวิเศษชัยชาญ อาสานำกำลังไพร่ 400 คนเศษ เป็นกองอาตมาท เข้าร่วมกับกองของพระยารัตนาธิเบศร์
กองทัพพม่าหยุดพักเป็นเวลาสามวันเพื่อรอให้ทัพหลวงมาถึงทั้งทางบกและทางทะเล จากนั้นกองทัพพม่าเคลื่อนลงใต้มุ่งหน้าไปยังมะริด และสามารถเอาชนะทหารอยุธยาที่มีน้อยกว่ามาก คือ ทหารราบเพียง 7,000 นาย และทหารม้าเพียง 300 นาย ได้อย่างง่ายดาย หลังจากสงครามเริ่มต้นขึ้นเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น พม่าสามารถยึดครองทั้งมะริดและเมืองทวาย และสามารถควบคุมชายฝั่งตะนาวศรีทั้งหมดได้สำเร็จ[43]
อ่าวไทย แก้
แม้ว่าพระเจ้าอลองพญาจะทรงทราบว่ากองทัพหลักของอยุธยาจะเคลื่อนลงมาทางใต้เพื่อเผชิญกับทัพหลวงพม่า แต่พระองค์ก็รุกต่อไปมิได้หยุดพัก กองทัพพม่าเคลื่อนไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว ข้ามเทือกเขาตะนาวศรี และมาถึงบริเวณที่เป็นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบัน ริ่มฝั่งอ่าวไทย[45] ปีกด้านใต้ได้รับการป้องกันโดยกองทัพอยุธยา ซึ่งประกอบด้วยทหาร 20,000 นาย ทหารม้า 1,000 นาย และช้าง 200 เชือก นอกเหนือไปจากกองทัพอยุธยาอีก 7,000 นายที่ล่าถอยมาจากตะนาวศรี[46] ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากฝ่ายอยุธยาต้านทานบริเวณชายฝั่งเพียงเล็กน้อย กองทัพพม่าที่มีกำลังพล 40,000 นาย ส่วนใหญ่จึงยังสมบูรณ์อยู่ ถึงแม้ว่ากองทัพฝ่ายรุกรานนั้นจะถูกปิดล้อมอยู่ในแนวชายฝั่งแคบ ๆ ริมอ่าว
ทัพป้องกันของอยุธยาปะทะกับกองทัพฝ่ายรุกรานนอกกุยบุรี แต่ถูกบีบให้ถอยทัพ ฝ่ายพม่ายังได้ยึดปราณบุรี แต่การรุกคืบต่อไปยังกรุงศรีอยุธยาถูกถ่วงให้ช้าลงอย่างมากโดยการป้องกันของฝ่ายอยุธยาที่เข้มแข็งขึ้น เป็นเวลาอีกกว่าสองเดือน (กุมภาพันธ์และมีนาคม พ.ศ. 2303) กองทัพพม่าที่เป็นฝ่ายกรำศึกกว่าสามารถเอาชนะการป้องกันอย่างกล้าหาญของอยุธยาได้หลายจุด และสามารถยึดเพชรบุรีและราชบุรีได้อีกด้วย[6][46]
สุพรรณบุรี แก้
โดยการยึดสุพรรณบุรี พม่าได้สู้รบขึ้นไปทางเหนือของคอคอดแคบ ๆ และสามารถมาถึงภาคกลางของอยุธยา เมื่อปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2303 เมื่อกองทัพฝ่ายรุกรานมาถึงกรุงศรีอยุธยา กองทัพอยุธยาได้รับความเสียหายอย่างหนักทั้งในด้านกำลังพล ปืนและเครื่องกระสุน ได้ทำการตั้งรับอีกจุดหนึ่งที่สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่ติดกับอยุธยาทางตะวันตก ฝ่ายป้องกันประกอบด้วยทหาร 33,000 นาย รวมทั้งทหารม้า 3,000 นาย และมีภารกิจเพื่อหยุดยั้งกองทัพพม่ามิให้ข้ามแม่น้ำมาซึ่งจะแบ่งแยกอยุธยาและสุพรรณบุรีออกจากกัน ฝ่ายพม่าแบ่งการโจมตีออกเป็นสามสาย นำโดยเจ้าชายมังระในตอนกลาง ขนาบโดยแม่ทัพมังฆ้องนรธาและมินฮลาทิริ ต่อที่ตั้งของอยุธยาที่ป้องกันอย่างดี ฝ่ายพม่าได้รับความสูญเสียอย่างหนักแต่ก็ได้รับชัยชนะในที่สุด โดยสามารถจับกุมเชลยศึกเป็นแม่ทัพระดับสูงของอยุธยาได้ห้าคน รวมทั้งช้างศึกของแม่ทัพเหล่านี้[6][47]
การล้อมอยุธยา แก้
ถึงแม้ว่าจะได้รับความสูญเสียอย่างหนักที่สุพรรณบุรี กองทัพพม่ายังคงมุ่งหน้าต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ทหารเหล่านี้ไม่สามารถพักผ่อนได้เนื่องจากฤดูมรสุมอยู่ห่างออกไปเพียงเดือนเศษเท่านั้น เนื่องจากอยุธยาล้อมรอบด้วยแม่น้ำหลายสาย การล้อมในฤดูฝนจึงเป็นงานที่น่าหวาดหวั่น ภูมิประเทศโดยรอบจะถูกน้ำท่วมสูงหลายฟุต ทหารพม่าที่ยังเหลือรอดกว่าครึ่งป่วยเป็นโรคบิด และพระเจ้าอลองพญาเองก็เริ่มมีพระพลานามัยไม่ค่อยดีแล้ว[11]
อย่างไรก็ตาม กองทัพพม่าได้มาถึงชานกรุงศรีอยุธยาเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2303 ฝ่ายอยุธยาได้ส่งกองทัพใหม่ที่มีกำลังพล 15,000 นาย ออกมากเผชิญหน้ากับฝ่ายผู้รุกราน แต่กองทัพดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าประกอบด้วยทหารเกณฑ์ที่ไม่มีประสบการณ์ในการรบเลย พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วต่อกองทัพพม่าที่กรำศึก ถึงแม้ว่าจะมีกำลังพลถดถอยลงแล้วก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงการล้อมระยะยาว พระมหากษัตริย์พม่าได้ส่งทูตเข้าไปเจรจาให้พระมหากษัตริย์อยุธยายอมจำนน โดยให้สัญญาว่าพระองค์จะไม่ทรงถูกปลดออกจากบัลลังก์ พระเจ้าเอกทัศทรงส่งทูตของพระองค์เองเพื่อไปเจรจา แต่พบว่าข้อเรียกร้องของพระเจ้าอลองพญานั้นไม่สามารถยอมรับได้ และการเจรจานั้นยุติลงอย่างสมบูรณ์[10] เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน ระหว่างเทศกาลปีใหม่ของพม่าและอยุธยา พม่าเริ่มระดมยิงปืนใหญ่ใส่พระนครซึ่งจะกินเวลานานสามวัน[6]
ตามข้อมูลฝ่ายสยามพระเจ้าอลองพญาทรงเคืองพระทัยที่กองทัพพม่ายึดอยุธยาช้ากว่าที่กำหนดพระองค์จึงทรงนำขบวนไปสังเกตการรบที่แนวหน้าและได้สิ้นพระชนม์จากแรงระเบิดจากปืนใหญ่ซึ่งทรงขึ้นบัญชาการยิงเข้าพระนครด้วยพระองค์เอง[10] หรือจากวัณโรคต่อมน้ำเหลือง[6] แต่พงศาวดารพม่าระบุอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคบิด ไม่มีเหตุอันใดที่พงศาวดารพม่าจะปกปิดความจริง เนื่องจากจะเป็นการสมพระเกียรติของพระมหากษัตริย์มากกว่าที่จะสวรรคตจากบาดแผลในการรบมากกว่าสวรรคตด้วยอาการเจ็บป่วยธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น หากพระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บต่อหน้าทหารทั้งกองทัพ ข้อเท็จจริงนี้ก็จะเป็นที่ที่ทราบไปทั้งกองทัพ และก่อให้เกิดความสับสน[10]
กองหลัง แก้
แม่ทัพระดับสูงของพม่าเก็บความลับที่ว่าพระเจ้าอลองพญาทรงสิ้นพระชนม์เป็นความลับและสั่งให้มีการถอยทัพทั้งหมด พม่าได้ปกปิดข้อเท็จจริงตรงนี้ไว้โดยอ้างเหตุผลว่าพระมหากษัตริย์นั้นทรงพระประชวรสิ้นพระชนม์ พระเจ้าอลองพญาทรงเลือกพระสหายขณะยังทรงพระเยาว์ มังฆ้องนรธา รับเกียรติบังคับบัญชาทหารกองหลัง ทหารเหล่านี้เป็น "ทหารชั้นเลิศของกองทัพ" ประกอบด้วยทหารราบ 6,000 นาย และทหารม้า 500 นาย โดยทุกนายมีปืนคาบศิลาเป็นอาวุธ มังฆ้องนรธาขยายทหารกองหลังออกเป็นแถวยาวแล้วเฝ้าคอย เป็นเวลาสองวันก่อนที่ฝ่ายอยุธยาจะรู้ว่าทัพหลวงพม่าได้ยกกลับไปแล้ว จากนั้นทัพหลวงของอยุธยาได้ยกออกมาจากกรุง ทหารของเขาเฝ้ามองขณะที่ข้าศึกเข้ามาใกล้พวกเขา และกลัวว่าจะถูกตัดขาดจากส่วนที่เหลือของกองทัพ พวกเขาร้องขอแม่ทัพให้ถอยกลับไปเล็กน้อย แต่มังฆ้องนรธากล่าว่า "สหาย ความปลอดภัยของพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในการรักษาของพวกเรา ขอพวกเราอย่าถอย ด้วยเสียงของปืนจะไปรบกวนการบรรทมของพระองค์ท่าน" ภายใต้การนำของเขา กองทัพพม่าจึงล่าถอยได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี และสามารถรวบรวมผู้พลัดหลงกับกองทัพได้ตลอดทาง[10][11]
สงครามยุติ แก้
พระเจ้าอลองพญาสวรรคตเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2303 ใกล้กับกรุงศรีอยุธยา หลังจากถูกเร่งรุดนำพระองค์มาอย่างรวดเร็วโดยทัพหน้า และจากการสวรรคตนี้เองสงครามครั้งนี้จึงสิ้นสุดลง
ผลที่ตามมา แก้
หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าอลองพญา พระมหากษัตริย์พม่าพระองค์ใหม่ พระเจ้ามังลอก ทรงต้องเผชิญกับการกบฏหลายครั้ง รวมทั้งการกบฏของแม่ทัพมังฆ้องนรธาด้วย และสงครามไม่สามารถดำเนินตอ่ไปได้
สงครามครั้งนี้ไม่มีบทสรุปชัดเจน พม่าบรรลุวัตถุประสงค์ดั้งเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อยุธยายังคงเป็นขวากหนามต่อเสถียรภาพต่อภูมิภาคที่อยู่รอบข้างของพม่า อีกหลายปีให้หลังอยุธยายังคงให้การสนับสนุนต่อกบฏมอญทางตอนใต้ ซึ่งก่อการกบฏครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2305 เช่นเดียวกับกบฏในล้านนาทางตอนเหนือ (พ.ศ. 2304-06) ดินแดนที่เหลือซึ่งพม่าได้รับมาจากสงครามนั้นคือชายฝั่งตะนาวศรีตอนบน ซึ่งที่ผ่านมาเคยเพียงแต่อ้างสิทธิ์แต่ในนามเท่านั้น (อยุธยายึดชายฝั่งตอนล่างขึ้นไปถึงมะริดในปี พ.ศ. 2304)[1] ถึงแม้ว่ากองทัพอยุธยาจะไม่ได้บุกรุกพรมแดนอย่างเปิดเผยอีกต่อไป แต่กบฏมอญยังคงปฏิบัติการจากดินแดนของอยุธยา ในปี พ.ศ. 2307 เจ้าเมืองทวายชาวมอญ ผู้ซึ่งได้รับการทรงแต่งตั้งจากพระเจ้าอลองพญาเพียงสี่ปีก่อนหน้านี้เท่านั้น ได้ก่อการกบฏจนกระทั่งถูกปราบปรามในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน ความไม่มีเสถียรภาพในล้านนาเกิดขึ้นอีกครั้งไม่นานหลังจากกองทัพพม่าออกจากพื้นที่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2307 บีบให้กองทัพต้องกลับมาประจำอีกครั้งหนึ่งในเดียวกัน[48] ด้วยบทสรุปที่ไม่แน่ชัดของสงครามจะนำไปสู่สงครามครั้งถัดไปในปี พ.ศ. 2308
การวิเคราะห์ แก้
ความสำเร็จของพม่าในการรุกรานไปจนถึงกรุงศรีอยุธยานั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากยุทธศาสตร์ในการหลีกเลี่ยงการป้องกันของอยุธยาที่ตั้งไว้ตามเส้นทางรุกรานเดิม[41] แต่ยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าอะไรเป็นสาเหตุหลักสำหรับความสำเร็จครั้งนี้ ขณะที่พม่าตัดสินใจถูกในตอนแรกที่โจมตีชายฝั่งตะนาวศรีที่มีการป้องกันเบาบาง (ทหารเพียง 7,000 นาย) แต่เมื่อข้ามมายังฝั่งอ่าวไทย กลับต้องเผชิญกับการต้านทานอันแข็งขันของอยุธยา ซึ่งถึงแม้ว่าในตอนแรกอยุธยาจะรู้สึกประหลาดใจกับเส้นทางการโจมตีของพม่า การณ์กลับกลายเป็นว่าอยุธยาสามารถปรับตัวได้ และย้ายกองทัพลงมาทางใต้ ในความเป็นจริงแล้วการสู้รบตามอ่าวไทยนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย พงศาวดารพม่ารายงานว่าพม่าได้รับความสูญเสียอย่างหนักเพียงแค่ต้องฝ่าออกจากคอคอดแคบ ๆ แห่งนั้น ถึงแม้ว่าจะมีรายงานว่าอยุธยาสูญเสียกำลังพลและเครื่องกระสุนมากกว่า
สำหรับเหตุผลที่เป็นไปได้มากกว่าสำหรับความสำเร็จของพม่านั้น อาจเป็นเพราะว่าพม่าซึ่งรบพุ่งในสงครามสืบราชบัลลังก์นับตั้งแต่ พ.ศ. 2283 จึงมีความกรำศึกกว่ามาก ผู้นำการทหารของพม่า "สร้างทหารขึ้นมาด้วยตัวเอง"[49] ซึ่งทั้งหมดนั้นมีประสบการณ์ทางทหารเพียงพอเรียบร้อยแล้ว ส่วนในอีกด้านหนึ่งไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้นำทางทหารของอยุธยาหรือทหารมีประสบการณ์ทางทหารมากน้อยเพียงใด เนื่องจากอยุธยาสงบมาเป็นเวลานานแล้ว พระมหากษัตริย์อยุธยาถึงกับต้องทรงขอให้พระอนุชาลาผนวชมาบัญชาการรบ การขาดประสบการณ์ทางทหารในหมู่แม่ทัพอยุธยาระดับสูง อาจอธิบายได้ว่าทำไมอยุธยาจึงแพ้ต่อกองทัพพม่าที่มีขนาดเล็กกว่า และมีกำลังพลไม่เต็มที่ที่สุพรรณบุรีและนอกกรุงศรีอยุธยา ในทำนองเดียวกันหากขาดการนำที่ดีการใช้ทหารรับจ้างต่างชาติจะไม่ปรากฏความแตกต่างใด ๆ ในสงครามนี้เลย (พม่าได้เผาเรือที่มีลูกเรือเป็นทหารรับจ้างต่างชาติ)[45] ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าภาวะผู้นำนั้นมีความสำคัญเมื่อทหารส่วนใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเป็นทหารเกณฑ์[50]
เชิงอรรถ แก้
- ↑ 1.0 1.1 1.2 James, SEA encyclopedia, pp. 1318-1319
- ↑ Harvey, p. 334
- ↑ Kyaw Thet, p. 290
- ↑ Letwe Nawrahta, p. 142
- ↑ Harvey, p. 246
- ↑ 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 James, SEA encyclopedia, p. 302 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "hj-302" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ Baker, et al, p. 21
- ↑ James, Fall of Ayutthaya: Reassessment, p. 75
- ↑ 9.0 9.1 Steinberg, p. 102
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 Htin Aung, pp. 169-170
- ↑ 11.0 11.1 11.2 Harvey, p. 242
- ↑ 12.00 12.01 12.02 12.03 12.04 12.05 12.06 12.07 12.08 12.09 12.10 12.11 12.12 12.13 12.14 12.15 12.16 12.17 12.18 12.19 12.20 12.21 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ. พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงศรีอยุทธยา. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนกำแพงเพชรอรรคโยธินทร์ โปรดให้พิมพ์ครั้งแรก ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าจอมมารดาวาดรัชกาลที่ ๕ เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๖๓ พิมพ์ที่โรงพิมพ์ไทย ถนนรองเมือง
- ↑ 13.0 13.1 Memchaton Singha. MARRIAGE DIPLOMACY BETWEEN THE STATES OF MANIPUR AND BURMA, 18TH TO 19TH CENTURIES. Proceedings of the Indian History Congress, Vol. 77 (2016). https://www.jstor.org/stable/26552717
- ↑ 14.00 14.01 14.02 14.03 14.04 14.05 14.06 14.07 14.08 14.09 14.10 14.11 14.12 14.13 14.14 14.15 14.16 14.17 14.18 14.19 14.20 14.21 14.22 14.23 14.24 14.25 ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๑: พงศาวดารมอญพม่า
- ↑ 15.0 15.1 15.2 Raj Kumar Somorjit Sana. The Chronology of Meetei Monarchs From 1666 CE to 1850 CE. Waikhom Ananda Meetei, พ.ศ. 2553.
- ↑ จิตรสิงห์ ปิยะชาติ. (2551). กบฏกรุงศรีอยุธยา. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพ:ยิปซีกรุ๊ป.
- ↑ 17.0 17.1 17.2 นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. พ.ศ. 2550. พิมพ์ครั้งที่ 9, กรุงเทพฯ; มติชน.
- ↑ 18.0 18.1 สายชล สัตยานุรักษ์. พุทธศาสนากับแนวคิดทางการเมืองใน รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ( พ.ศ. 2325-2352). พ.ศ. 2546, กรุงเทพฯ; มติชน.
- ↑ 19.0 19.1 ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๗: เรื่องจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยา ตอนแผ่นดินพระเจ้าเสือแลแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ ภาค ๔. พิมพ์ในงารศพ คุณหญิงผลากรนุรักษ (สงวน เกาไศยนันท์) เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๖๙. พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
- ↑ 20.00 20.01 20.02 20.03 20.04 20.05 20.06 20.07 20.08 20.09 20.10 20.11 พระราชพงศาวดารฉบับพระพนรัตน์วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน มูลนิธิ "ทุนพระพุทธยอดฟ้า"ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในการพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร ป.ธ.๔) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม อดีตพระธานกรรมการมูลนิธิ"ทุนพระพุทธยอดฟ้า"ในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิริรนทราวาส วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558, ห้องสมุดรัฐสภา. Link
- ↑ 21.0 21.1 21.2 21.3 ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยารวม ๓ เรื่อง คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม คำให้การขุนหลวงหาวัด. กรุงเทพ; แสงดาว, พ.ศ. 2553.
- ↑ 22.0 22.1 22.2 22.3 22.4 22.5 22.6 D. G. E. Hall. Burma. Read Books Limited, พ.ศ. 2556.
- ↑ 23.00 23.01 23.02 23.03 23.04 23.05 23.06 23.07 23.08 23.09 23.10 23.11 23.12 23.13 Than Tun. The Royal Orders of Burma A.D. 1598 - 1885; Part Three, A.D. 1751 - 1781. The Center for Southeast Asian Studies, Kyoto University, พ.ศ. 2528.
- ↑ 24.0 24.1 24.2 24.3 Sir Arthur Purves Phayre. History of Burma: From the Earliest Time to the End of the First War with British India. Trübner & Company, พ.ศ. 2426.
- ↑ 25.0 25.1 Rev Dr Koningthung Ngoru Moyon. The Lost Kingdom of Moyon (Bujuur) Iruwng (King) Kuurkam Ngoruw Moyon & The People of Manipur. Shashwat Publication, พ.ศ. 2566.
- ↑ G. E. Harvey. History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824 The Beginning of the English Conquest. Taylor & Francis, พ.ศ. 2562.
- ↑ Francis Mason. Burmah, Its People and Natural Productions. T.S. Ranney, พ.ศ. 2403.
- ↑ 28.0 28.1 Elizabeth Moore. Dawei Buddhist culture: a hybrid borderland. Myanmar Historical Research Journal, พ.ศ. 2554. https://core.ac.uk/download/pdf/2793845.pdf
- ↑ วินัย พงศ์ศรีเพียร. ประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๗: ประมวลจารึกที่พบในประเทศไทยและต่างประเทศ. พ.ศ. 2534.
- ↑ ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๘: เรื่องจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยา ตอนแผ่นดินพระเจ้าบรมโกษฐ
- ↑ 31.0 31.1 ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๙: เรื่อง จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ กับ ครั้งกรุงธนบุรีแลกรุงรัตนโกสินทรตอนต้น
- ↑ Journal Of The Burma Research Society Vol.21. American Baptist Mission Press, พ.ศ. 2474.
- ↑ 33.00 33.01 33.02 33.03 33.04 33.05 33.06 33.07 33.08 33.09 33.10 33.11 Phraison Salarak (Thien Subindu), Luang. Intercourse between Burma and Siam as recorded in Hmannan Yazawindawgyi. Bangkok; February 15, 1916.
- ↑ 34.0 34.1 34.2 34.3 Edward Van Roy. Safe Haven: Mon Refugees at the Capitals of Siam from the 1500s to the 1800s. Journal of Siam Society, Volume 98, พ.ศ. 2553. https://thesiamsociety.org/wp-content/uploads/2010/03/JSS_098_0g_VanRoy_SafeHavenMonRefugeesAtCapitalsOfSiam.pdf
- ↑ Htin Aung, pp. 167-168
- ↑ Lieberman, p. 205
- ↑ Harvey, pp. 241, 250
- ↑ Phayre, pp. 168-169
- ↑ Wyatt, p. 116
- ↑ Myint-U, pp. 287, 299
- ↑ 41.0 41.1 Hall, Chapter X, p. 24
- ↑ 42.0 42.1 Alaungpaya Ayedawbon, pp. 141-142
- ↑ 43.0 43.1 43.2 Alaungpaya Ayedawbon, pp. 143-145
- ↑ Alaungpaya Ayedawbon, p. 229
- ↑ 45.0 45.1 Harvey, p. 241
- ↑ 46.0 46.1 Alaungpaya Ayedawbon, pp. 146-147
- ↑ Alaungpaya Ayedawbon, pp. 147-148
- ↑ Kyaw Thet, p. 300
- ↑ Lieberman, p. 185
- ↑ Lieberman, p. 216
อ้างอิง แก้
- Baker, Chris, Christopher John Baker, Pasuk Phongpaichit (2009). A history of Thailand (2 ed.). Cambridge University Press. ISBN 0521767687, 9780521767682.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่า|isbn=
: ตัวอักษรไม่ถูกต้อง (help) - Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824. London: Frank Cass & Co. Ltd.
- Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma. New York and London: Cambridge University Press.
- James, Helen (2004). "Burma-Siam Wars and Tenasserim". ใน Keat Gin Ooi (บ.ก.). Southeast Asia: a historical encyclopedia, from Angkor Wat to East Timor, Volume 2. ABC-CLIO. ISBN 1576077705.
- James, Helen (2000). "The Fall of Ayutthaya: A Reassessment". Journal of Burma Studies. 5: 75–108.
- Kyaw Thet (1962). History of Union of Burma (ภาษาพม่า). Yangon: Yangon University Press.
- Lieberman, Victor B. (2003). Strange Parallels: Southeast Asia in Global Context, c. 800–1830, volume 1, Integration on the Mainland. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-80496-7.
- Myint-U, Thant (2006). The River of Lost Footsteps--Histories of Burma. Farrar, Straus and Giroux. ISBN 978-0-374-16342-6, 0-374-16342-1.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่า|isbn=
: ตัวอักษรไม่ถูกต้อง (help) - Phayre, Lt. Gen. Sir Arthur P. (1883). History of Burma (1967 ed.). London: Susil Gupta.
- Steinberg, David Joel (1987). David Joel Steinberg (บ.ก.). In Search of South-East Asia. Honolulu: University of Hawaii Press.
- Wyatt, David K. (2003). History of Thailand (2 ed.). Yale University Press. ISBN 0300084757, 9780300084757.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่า|isbn=
: ตัวอักษรไม่ถูกต้อง (help)