สงครามพระเจ้าอลองพญา
สงครามพระเจ้าอลองพญา เป็นชื่อเรียกความขัดแย้งทางทหารครั้งแรกระหว่างอาณาจักรโก้นบองแห่งพม่า กับอาณาจักรอยุธยาสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง สงครามครั้งนี้เป็นการจุดชนวนการสงครามนานหลายศตวรรษระหว่างทั้งสองรัฐขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะกินเวลานานไปอีกหนึ่งศตวรรษข้างหน้า ฝ่ายพม่านั้นอยู่ที่ "ขอบแห่งชัยชนะ" แล้วเมื่อจำต้องถอนกำลังจากการล้อมอยุธยา เนื่องจากพระเจ้าอลองพญาถูกระเบิดปืนใหญ่สิ้นพระชนม์[6] พระองค์สวรรคตและทำให้สงครามครั้งนี้ยุติลง
สงครามพระเจ้าอลองพญา | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
![]() | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
![]() |
![]() | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
![]() ![]() ![]() |
![]() ![]() | ||||||||
กำลัง | |||||||||
กำลังรุกราน: |
ตะนาวศรีและอ่าวไทย: |
ความต้องการครอบครองชายฝั่งตะนาวศรีและการค้าขายในแถบนี้เป็นชนวนเหตุของสงคราม[7][8] และการให้การสนับสนุนของอยุธยาต่อกบฏมอญแห่งอดีตราชอาณาจักรหงสาวดีฟื้นฟู[6][9] ราชวงศ์โก้นบองที่เพิ่งจะสถาปนาขึ้นใหม่นั้นต้องการจะแผ่ขยายอำนาจเข้าควบคุมชายฝั่งตะนาวศรีตอนบนอีกครั้ง (ปัจจุบันคือ รัฐมอญ) ซึ่งอยุธยาได้ให้การสนับสนุนแก่กบฏชาวมอญและจัดวางกำลังพลไว้ ฝ่ายอยุธยาปฏิเสธข้อเรียกร้องของพม่าที่จะส่งตัวผู้นำกบฏมอญหรือระงับการบุกรุกดินแดนซึ่งพม่ามองว่าเป็นดินแดนของตน[10]
สงครามครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2302 เมื่อทหารพม่า 40,000 นาย ภายใต้การนำของพระเจ้าอลองพญา และพระราชบุตร เจ้าชายมังระ ยกพลรุกรานลงมาตามชายฝั่งตะนาวศรีจากเมาะตะมะ แผนยุทธการของพระองค์คือ เคลื่อนทัพหลบตำแหน่งที่มีการป้องกันอย่างแข็งแรงของอยุธยา ตามเส้นทางการรุกรานที่สั้นและเข้าถึงโดยตรงมากกว่า กองทัพรุกรานพิชิตการป้องกันของอยุธยาที่ค่อนข้างเบาบางตามแนวชายฝั่ง ข้ามเทือกเขาตะนาวศรีไปจนถึงอ่าวไทย จากนั้นวกขึ้นเหนือไปยังกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายอยุธยารู้สึกประหลาดใจกับการรุกรานดังกล่าว โดยรีบจัดทัพมาเผชิญกับพม่าทางใต้ของกรุง และจัดตั้งการป้องกันอย่างกล้าหาญระหว่างทางสู่กรุงศรีอยุธยา แต่กองทัพพม่าซึ่งกรำศึกกลับเอาชนะกองทัพฝ่ายป้องกันของอยุธยาซึ่งมีจำนวนเหนือกว่าได้ และเคลื่อนมาถึงชานกรุงเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2303 แต่เพียงห้าวันหลังจากการล้อมเริ่มต้นขึ้น พระมหากษัตริย์พม่ากลับทรงพระประชวรและมีการตัดสินใจยกทัพกลับ[6] ปฏิบัติการของทหารกองหลังอันมีประสิทธิภาพ ภายใต้การนำของแม่ทัพมังฆ้องนรธาทำให้การถอนกำลังเป็นไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย[11]
สงครามดังกล่าวไม่มีบทสรุปแน่ชัด ขณะที่พม่าสามารถแผ่อำนาจควบคุมเหนือชายฝั่งตะนาวศรีตอนบนไปจนถึงทวาย แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดภัยคุกคามจากดินแดนรอบข้างได้ ซึ่งถือว่าไม่ค่อยสำคัญเท่าใดนัก ฝ่ายพม่าถูกบีบให้ตกลงกับกบฏชนกลุ่มน้อยที่ได้รับการสนับสนุนจากอยุธยา เช่นเดียวกับในล้านนา ในอีกสี่ปีต่อมา พม่าจะยกทัพมารุกรานอาณาจักรอยุธยาอีกครั้ง และนำไปสู่การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2310 ยุติประวัติศาสตร์นานสี่ศตวรรษของอยุธยา
ภูมิหลัง แก้
ตะนาวศรีจนถึง พ.ศ. 2283 แก้
การควบคุมชายฝั่งตะนาวศรี (ปัจจุบันคือ รัฐมอญและเขตตะนาวศรีในประเทศพม่า) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถูกแบ่งเป็นสองส่วนระหว่างพม่าและอยุธยา โดยพม่าควบคุมลงไปจนถึงทวาย และอยุธยาควบคุมส่วนที่เหลือ ตลอดช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ ราชอาณาจักรทั้งสองต่างก็อ้างสิทธิ์เหนือชายฝั่งทั้งหมด (อยุธยาอ้างเหนือขึ้นไปถึงเมาะตะมะ ฝ่ายพม่าอ้างใต้ลงมาถึงแหลมจังซีลอน คือ จังหวัดภูเก็ต ในปัจจุบัน) และการควบคุมเหนือดินแดนดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนมือกันหลายครั้ง ราชวงศ์พุกามของพม่าสามารถควบคุมตลอดแนวชายฝั่งได้จนถึง พ.ศ. 1830
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 14 และ 16 ราชอาณาจักรของคนไทย (ได้แก่ อาณาจักรสุโขทัย และต่อมาคือ อาณาจักรอยุธยา) สามารถควบคุมแนวชายฝั่งส่วนใหญ่ได้จนถึงตอนใต้ของเมาะลำเลิงในปัจจุบัน ราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 พม่าภายใต้พระมหากษัตริย์ราชวงศ์ตองอู พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้และพระเจ้าบุเรงนองทรงพยายามที่จะแผ่อำนาจเข้าควบคุมชายฝั่งอีกครั้ง ครั้งแรกล้มเหลวในปี พ.ศ. 2091 ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในปี พ.ศ. 2107 เมื่อเสียกรุงครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2127 อยุธยาประกาศแยกตัวเป็นเอกราชในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และอยุธยาแผ่อำนาจกลับเข้าควบคุมชายฝั่งตอนล่างอีกครั้งในปี พ.ศ. 2136 และสามารถยึดแนวชายฝั่งทั้งหมดได้ในปี พ.ศ. 2142 พม่าสามารถยึดชายฝั่งตอนเหนือลงไปจนถึงทวายได้ในปี พ.ศ. 2158 แต่ส่วนที่เหลือยังคงเป็นของอยุธยาอยู่[1]
สถานการณ์เป็นเช่นนี้จนกระทั่ง พ.ศ. 2283 ถึงแม้ว่าฝ่ายอยุธยาพยายามแย่งชิงชายฝั่งตอนบนคืน แต่ไม่สำเร็จ ในระหว่างสมัยนี้ มะริดบนฝั่งทะเลอันดามันเป็นเมืองท่าหลักของอยุธยา ซึ่งเป็นแหล่งการค้ากับอินเดียและชาติตะวันตกที่สำคัญ[1]
สงครามกลางเมืองพม่า (พ.ศ. 2283-2300) แก้
ในปี พ.ศ. 2283 ชาวมอญที่อยู่ทางตอนล่างของพม่าก่อกบฏต่อราชวงศ์ตองอูและสถาปนาราชอาณาจักรหงสาวดีฟื้นฟู โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่หงสาวดี เจ้าเมืองเมาะตะมะและทวายแห่งพม่าหนีเข้ามาในอยุธยาที่ซึ่งทั้งสองได้รับการคุ้มครองจากราชสำนักอยุธยา ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1740 กองทัพหงสาวดีสามารถรบชนะกองทัพพม่าตอนเหนือซึ่งมีเมืองหลวงอยู่ที่ตองอู ฝ่ายอยุธยารู้สึกกังวลว่ามอญอาจผงาดขึ้นมาเป็นผู้ครองอำนาจใหม่ในพม่า เนื่องจากในประวัติศาสตร์ พม่าที่มีกำลังกล้าแข็งหมายถึงการรุกรานอยุธยาในอนาคต ในปี พ.ศ. 2288 อยุธยาได้ส่งราชทูตไปยังอังวะเพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมืองที่นั่น และได้รับการต้อนรับจากพระเจ้ามหาธรรมราชาธิบดี ทูตนั้นพบว่าราชสำนักอังวะนั้นสามารถล่มสลายได้ทุกเมื่อ[12] จนถึง พ.ศ. 2291 กองทัพหงสาวดีนั้นรุกคืบเข้าใกล้อังวะ ฝ่ายอยุธยายิ่งรู้สึกกังวลยิ่งขึ้นถึงการถือกำเนิดใหม่ของราชวงศ์อันแข็งแกร่งที่มีเมืองหลวงอยู่ที่หงสาวดี ท้ายที่สุดแล้ว ราชวงศ์ตองอูในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จึงต้องหันมาพึ่งอยุธยาจากการที่พม่าตอนบนถูกยึดครองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ฝ่ายอยุธยาตัดสินใจย้ายด่านหน้าไปยังตะนาวศรีตอนบนในปี พ.ศ. 2294 ซึ่งอาจเป็นมาตรการป้องกันไว้ก่อน[13][14] (หรืออาจเป็นไปได้ว่าเป็นการฉวยโอกาสเอาดินแดนขณะที่กองทัพหงสาวดียังทำการรบพุ่งในพม่าตอนบน) ขณะที่ยังไม่แน่ชัดว่าอยุธยาเจตนาหรือไม่ (หรือมีศักยภาพทางทหารเพียงพอ) ที่จะส่งกองทัพล้ำเข้าไปจากชายฝั่งไปจนถึงพม่าตอนล่าง อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในหงสาวดี ผู้นำหงสาวดีซึ่งเป็นกังวลอย่างมาก ตัดสินใจถอนทหารสองในสามกลับมายังพม่าตอนล่าง ทันทีที่พระเจ้ามหาธรรมราชาธิบดี พระมหากษัตริย์ราชวงศ์ตองอูพระองค์สุดท้าย ถูกปลดออกจากราชบัลลังก์ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2295[15]
การเคลื่อนย้ายกำลังของกองทัพหงสาวดีดังกล่าวเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในประวัติศาสตร์พม่า เนื่องจากเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มต่อต้านในพม่าตอนเหนือมีโอกาสตั้งตัวติด แม่ทัพระดับสูงของหงสาวดีเหลือทหารน้อยกว่า 10,000 นาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในแถบพม่าตอนบน[15] นักประวัติศาสตร์เรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่า การเคลื่อนย้ายกำลังก่อนกำเนิด โดยชี้ว่าภัยคุกคามจากอยุธยาไม่ร้ายแรงเท่ากับการตอบโต้ใด ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นมาจากพม่าตอนเหนือ ซึ่งเป็นถิ่นเดิมของอำนาจการเมืองในพม่า อาศัยความได้เปรียบจากทหารหงสาวดีที่มีอยู่อย่างเบาบาง กลุ่มต่อต้านกลุ่มหนึ่ง ราชวงศ์โก้นบอง ภายใต้การนำของพระเจ้าอลองพญา ได้ขับไล่ทหารหงสาวดีออกไปจากพม่าตอนบนในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2297 กองทัพโก้นบองรุกรานพม่าตอนล่างในปี พ.ศ. 2298 และยึดหงสาวดีได้ในปี พ.ศ. 2300 ยุติอาณาจักรมอญที่มีอายุเพียง 17 ปี[16][17]
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของอยุธยาและการสนับสนุนการต่อต้านของมอญ แก้
สำหรับอยุธยา สถานการณ์ที่เคยเกรงกลัวกันว่าจะเกิดอำนาจใหม่อันแข็งกล้าในพม่ากลายเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นราชวงศ์โก้นบองที่มีฐานอยู่ทางพม่าตอนเหนือก็ตาม ไม่ใช่หงสาวดีที่เคยเกรงกัน อยุธยาเองก็มีส่วนรับผิดชอบต่อความสำเร็จในช่วงแรกของราชวงศ์โก้นบอง เนื่องจากการยึดครองตอนเหนือของตะนาวศรีของอยุธยา ช่วยทำให้กองทัพหลักของหงสาวดีถูกแบ่งลงมาทางใต้ อยุธยาได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันต่อกลุ่มต่อต้านของมอญที่ยังคงสู้รบอยู่ทางตอนเหนือของตะนาวศรีที่ซึ่งการควบคุมของพม่ายังคงมีเพียงแต่ในนามเท่านั้น
หลังจากราชวงศ์โก้นบองยึดหงสาวดีได้ในปี พ.ศ. 2300 เจ้าเมืองเมาะตะมะและทวายได้ถวายเครื่องราชบรรณาการแด่พระเจ้าอลองพญาเพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมเดียวกัน[18] เจ้าเมืองทวายถูกจับได้ว่าถวายเครื่องราชบรรณาการสองฝ่าย และถูกประหารชีวิตในภายหลัง ขณะที่พม่าอ้างสิทธิ์เหนือตะนาวศรีตอนบนลงไปจนถึงทวาย การปกครองพม่าตอนล่างยังคงไม่แข็งแรงนักและโดยเฉพาะอย่างยิ่งชายฝั่งตะนาวศรีตอนใต้สุดนั้นส่วนใหญ่คงเป็นเพียงในนามเท่านั้น และอันที่จริงแล้ว เมื่อกองทัพโก้นบองยกกลับขึ้นไปทางเหนือในปี พ.ศ. 2301 ในสงครามกับมณีปุระและรัฐฉานทางตอนเหนือ ชาวมอญในพม่าตอนล่างก็ได้ก่อกบฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง[19]
การกบฏประสบความสำเร็จในช่วงแรก ๆ โดยสามารถขับเจ้าเมืองพม่าออกจากหงสาวดีได้ แต่ได้ถูกปราบปรามโดยกองทหารรักษาการของราชวงศ์โก้นบอง ผู้นำกลุ่มต่อต้านชาวมอญและผู้ติดตามได้หลบหนีมายังชายฝั่งตะนาวศรีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตะนาวศรี และยังคงปฏิบัติการต่อจากที่นั่น พรมแดนระหว่างพม่ากับอยุธยากลายมาเป็นสถานที่ปล้นสะดมของทั้งฝ่ายมอญและพม่าอยู่เป็นนิจ[19][20]
ชนวนเหตุ แก้
พระเจ้าอลองพญาทรงกังวลกับกบฏมอญที่หลั่งไหลเข้าไปสู่ดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอยุธยาอย่างไม่ขาดสาย โดยทรงเชื่อว่าพวกมอญมักจะเตรียมวางแผนก่อกบฏและพยายามชิงเอาพม่าตอนล่างกลับคืนไปเป็นของตน[19] ความกังวลของพระองค์นั้นถูกพิสูจน์แล้วว่าสมเหตุสมผล มอญได้ก่อกบฏขึ้นหลายครั้งในปี พ.ศ. 2301, 2305, 2317, 2326, 2335 และ 2367-69 ซึ่งการกบฏแต่ละครั้งที่ล้มเหลวนั้นจะตามมาด้วยการหลบหนีของมอญเข้าไปยังอาณาจักรของไทย[21] พระเจ้าอลองพญาทรงเรียกร้องให้อยุธยาหยุดให้การสนับสนุนต่อกบฏมอญ ยอมส่งตัวผู้นำมอญ และยุติการส่งกำลังรุกล้ำเข้าไปทางตอนเหนือของตะนาวศรี ซึ่งพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นดินแดนของพม่า พระมหากษัตริย์อยุธยา พระเจ้าเอกทัศ ปฏิเสธข้อเรียกร้องของพม่า และเตรียมพร้อมทำสงคราม[10]
ขณะที่นักประวัติศาสตร์มีความเห็นโดยทั่วไปว่าการสนับสนุนของอยุธยาต่อกบฏมอญ และการปล้นสะดมข้ามพรมแดนของมอญนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุของสงคราม แต่ยังไม่มีข้อสรุปถึงแรงจูงใจที่ลึกลับกว่านั้น นักประวัติศาสตร์พม่าสมัยอาณานิคมอังกฤษบางคนลงความเห็นว่าสาเหตุที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น และได้เสนอว่าสาเหตุหลักของสงคราม คือ ความปรารถนาของพระเจ้าอลองพญาที่จะฟื้นฟูจักรวรรดิของพระเจ้าบุเรงนองขึ้นอีกครั้ง ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมถึงอาณาจักรอยุธยาด้วย[22][23] เดวิด ไวอัท นักประวัติศาสตร์ไทย ยอมรับว่าพระเจ้าอลองพญาอาจทรงกลัวการสนับสนุนการฟื้นฟูอาณาจักรหงสาวดีของอยุธยา แต่ได้เสริมว่าพระเจ้าอลองพญานั้นชัดเจนว่าออกจะเป็นชาวชนบทดิบซึ่งมีประสบการณ์ทางการทูตน้อยมาก จึงได้เพียงสานต่อสิ่งต่อพระองค์ได้ทรงแสดงออกมาให้เห็นแล้วว่าพระองค์ทำได้ดีที่สุด ซึ่งก็คือการนำกองทัพไปสู่สงคราม[24]
แต่นักประวัติศาสตร์พม่า หม่อง ทินอ่อง กล่าวว่าวิเคราะห์ของพวกเขานั้นบรรยายไม่หมดถึงความกังวลที่แท้จริงของพระเจ้าอลองพญาที่ว่าอำนาจของพระองค์นั้นเพิ่งจะเริ่มสถาปนาขึ้น และพระราชอำนาจในพม่าตอนล่างนั้นยังไม่มั่นคง และพระเจ้าอลองพญาไม่ทรงเคยรุกรานรัฐยะไข่ เนื่องจากชาวยะไข่ไม่เคยแสดงความเป็นปรปักษ์ และเมืองตานด่วยในรัฐยะไข่ตอนใต้ได้เคยถวายเครื่องราชบรรณาการในปี พ.ศ. 2298[10] ถั่น มินอู ยังได้ชี้ให้เห็นว่านโยบายที่มีมาอย่างยาวนานของอยุธยาในการรักษารัฐกันชนกับพม่าศัตรูเก่า ได้กินเวลามาจนถึงสมัยใหม่ซึ่งครอบครัวของชาวพม่าผู้ต่อต้านรัฐบาลได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศไทย และกองทัพต่อต้านรัฐบาลยังสามารถซื้ออาวุธ เครื่องกระสุน และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย[25]
นักประวัติศาสตร์ตะวันตกในสมัยหลังได้ให้มุมมองที่ค่อนข้างเป็นกลางกว่า ดี.จี.อี. ฮอลล์ เขียนว่า การปล้นสะดมเป็นนิจโดยอยุธยาและกบฏมอญนั้นเพียงอย่างเดียวก็พอที่จะเป็นชนวนเหตุของสงครามได้ ถึงแม้เขาจะเสริมว่าสำหรับพระมหากษัตริย์ผู้ทรงไม่สามารถที่จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้[20] สไตน์แบร์กและคณะสรุปว่าชนวนเหตุของสงครามเป็นผลมาจากการกบฏท้องถิ่นในทวาย ซึ่งอยุธยาถูกคาดว่าเข้าไปมีส่วนพัวพัน[9] และล่าสุด เฮเลนส์ เจมส์ เขียนว่า พระเจ้าอลองพญาทรงต้องการที่จะยึดครองการค้าระหว่างคาบสมุทรของอยุธยา ขณะที่ยอมรับว่าเหตุจูงใจรองนั้นเป็นเพื่อหยุดยั้งการโจมตีของอยุธยา และการให้การสนับสนุนพวกมอญของอยุธยา[6]
การเตรียมการ แก้
แผนการรบฝ่ายอยุธยา แก้
ในปี พ.ศ. 2301 ด้วยการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กรุงศรีอยุธยาเป็นนครที่มั่งคั่งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ หลังจากมีการแย่งชิงราชสมบัติกันระยะหนึ่ง พระราชโอรสองค์โตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจ้าฟ้าเอกทัศ ได้สืบราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์หลังจากพระอนุชา เจ้าฟ้าอุทุมพร สละราชสมบัติและทรงลาผนวช พระองค์ทรงเผชิญกับสถานการณ์ที่ก่อตัวขึ้นทางตะวันตก ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยพระบิดาของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิเสธข้อเรียกร้องของพระเจ้าอลองพญา และเตรียมการทำสงคราม
ฝ่ายอยุธยาเตรียมแผนการรบแบบตั้งรับ พระเจ้าเอกทัศทรงปรับปรุงการป้องกันพระนครและทรงเริ่มจัดเตรียมการป้องกันตามที่มั่นต่าง ๆ ตามรายทางซึ่งกองทัพพม่าเคยยกเข้ามาในอดีต กองทัพหลักของอยุธยากระจุกตัวอยู่ทางตะวันตกของกรุง[20] การป้องกันดังกล่าวรวมไปถึงเรือรบที่มีชาวดัตช์ประจำการอยู่ด้วย เช่นเดียวกับเรือรบบรรทุกปืนใหญ่หลายลำ ซึ่งมีลูกเรือเป็นชาวต่างประเทศ[26] ในอดีต การรุกรานของพม่าใช้เส้นทางผ่านด่านเจดีย์สามองค์ทางตะวันตกอยู่เสมอ และในบางครั้งยกมาจากเชียงใหม่ทางเหนือด้วย เพื่อเฝ้าแนวชายฝั่งและปีกด้านอ่าวไทย พระองค์ยังได้จัดวางกำลังพลขนาดเล็กกว่า ซึ่งมีทั้งหมด 20 กรมทหาร (ทหาร 27,000 นาย, ทหารม้า 1,300 นาย และช้าง 500 เชือก) ทำให้มีทหารเพียง 7,000 นาย และทหารม้า 300 นายเท่านั้นที่ถูกจัดวางตามชายฝั่งตะนาวศรี[6]
ในการนี้ พระเจ้าเอกทัศยังได้ทรงขอให้เจ้าฟ้าอุทุมพรลาผนวช และทรงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่
แผนการรบฝ่ายพม่า แก้
ฝ่ายพม่าเองก็ได้เตรียมระดมพลกองทัพรุกราน โดยเริ่มจากการเฉลิมฉลองปีใหม่เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2302 โดยรวบรวมทหารจากพม่าตอนบนทั้งหมด รวมทั้งจากรัฐฉานและมณีปุระที่อยู่ทางเหนือซึ่งเพิ่งจะถูกยึดครองไปเมื่อไม่นานมานี้ด้วย จนถึงปลายปี พ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญาทรงสามารถระดมพลได้มากถึง 40 กรมทหาร (ทหารราบ 40,000 นาย และทหารม้า 3,000 นาย) ที่ย่างกุ้ง ซึ่งจากทหารม้าทั้งหมด 3,000 นายนี้ เป็นทหารม้ามณีปุระเสีย 2,000 นาย ซึ่งเพิ่งจะถูกจัดเข้าสู่ราชการของพระเจ้าอลองพญาหลังจากมณีปุระถูกพม่ายึดครองเมื่อปี พ.ศ. 2301[6][27]
แผนการรบฝ่ายพม่าคือ การเลี่ยงตำแหน่งที่มีการป้องกันแข็งแรงของฝ่ายอยุธยาตามฉนวนด่านเจดีย์สามองค์-อยุธยา โดยทรงเลือกเส้นทางที่ยาวกว่าแต่มีการป้องกันเบาบางกว่า โดยมุ่งลงใต้ตามตะนาวศรี ข้ามเทือกเขาตะนาวศรีไปยังอ่าวไทย แล้วจึงวกกลับขึ้นเหนือไปยังอยุธยา[18] เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นี้ ฝ่ายพม่าได้รวบรวมกองทัพเรือที่มีเรือกว่า 300 ลำ เพื่อขนส่งทหารบางส่วนไปยังชายฝั่งตะนาวศรีโดยตรง[27]
พระเจ้าอลองพญาทรงเป็นผู้นำทัพด้วยพระองค์เอง โดยมีพระราชบุตรองค์ที่สอง เจ้าชายมังระ เป็นรองแม่ทัพใหญ่ ส่วนเจ้าชายมังลอก พระราชบุตรองค์โต พระองค์ทรงให้บริหารประเทศต่อไป ส่วนพระราชโอรสที่เหลือนั้นนำทหารราวหนึ่งกองพันทั้งสองพระองค์[28] นอกจากนี้ที่ติดตามกองทัพไปด้วยนั้นยังมีแม่ทัพยอดฝีมือ ซึ่งรวมไปถึงมังฆ้องนรธา ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทางทหารอย่างมาก บางคนในราชสำนักสนับสนุนให้เขาผู้นี้อยู่ข้างหลังและมังระนำปฏิบัติการแทน แต่พระเจ้าอลองพญาทรงปฏิเสธ[29]
สงคราม แก้
การปะทะครั้งแรก แก้
ตามพงศาวดารพม่า การปะทะกันครั้งแรกในสงครามเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูมรสุมในพรมแดนทวาย ราวเดือนกันยายนหรือตุลาคม พ.ศ. 2302 พระเจ้าอลองพญาทรงได้รับแจ้งว่ามีการโจมตีการขนส่งทางเรือของพม่าโดยอยุธยารอบ ๆ ทวาย และการรุกล้ำเข้าไปยังพรมแดนทวายของอยุธยายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง[29] เพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัด ซึ่งอาจเป็นข้ออ้างโดยชอบธรรมในการทำสงครามของฝ่ายพม่าได้เป็นอย่างดี แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่ากองทัพอยุธยาได้เตรียมแนวป้องกันด่านหน้าไปแล้วในตอนนั้น
ชายฝั่งตะนาวศรี แก้
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2303 ทัพหลวงของพม่าประชุมกันอยู่ที่พรมแดนในเมาะตะมะ แทนที่จะใช้เส้นทางปกติจากเมาะตะมะไปยังด่านเจดีย์สามองค์ พม่าเลือกที่จะรุกรานลงไปทางใต้ โดยเจ้าชายมังระทรงนำทัพหน้าไป ซึ่งประกอบด้วยทหาร 6 กรม (ทหาร 5,000 นาย และม้า 500 ตัว) ไปยังทวาย[28] ทวายถูกยึดครองโดยง่ายดาย และเจ้าเมืองเคราะห์ร้าย ผู้ซึ่งอยู่ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองและถวายเครื่องราชบรรณาการคู่ ถูกประหารชีวิต[6] กองทัพพม่าหยุดพักเป็นเวลาสามวันเพื่อรอให้ทัพหลวงมาถึงทั้งทางบกและทางทะเล จากนั้นกองทัพพม่าเคลื่อนลงใต้มุ่งหน้าไปยังมะริด และสามารถเอาชนะทหารอยุธยาที่มีน้อยกว่ามาก คือ ทหารราบเพียง 7,000 นาย และทหารม้าเพียง 300 นาย ได้อย่างง่ายดาย หลังจากสงครามเริ่มต้นขึ้นเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น พม่าสามารถยึดครองทั้งมะริดและเมืองทวาย และสามารถควบคุมชายฝั่งตะนาวศรีทั้งหมดได้สำเร็จ[28]
อ่าวไทย แก้
แม้ว่าพระเจ้าอลองพญาจะทรงทราบว่ากองทัพหลักของอยุธยาจะเคลื่อนลงมาทางใต้เพื่อเผชิญกับทัพหลวงพม่า แต่พระองค์ก็รุกต่อไปมิได้หยุดพัก กองทัพพม่าเคลื่อนไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว ข้ามเทือกเขาตะนาวศรี และมาถึงบริเวณที่เป็นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบัน ริ่มฝั่งอ่าวไทย[18] ปีกด้านใต้ได้รับการป้องกันโดยกองทัพอยุธยา ซึ่งประกอบด้วยทหาร 20,000 นาย ทหารม้า 1,000 นาย และช้าง 200 เชือก นอกเหนือไปจากกองทัพอยุธยาอีก 7,000 นายที่ล่าถอยมาจากตะนาวศรี[30] ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากฝ่ายอยุธยาต้านทานบริเวณชายฝั่งเพียงเล็กน้อย กองทัพพม่าที่มีกำลังพล 40,000 นาย ส่วนใหญ่จึงยังสมบูรณ์อยู่ ถึงแม้ว่ากองทัพฝ่ายรุกรานนั้นจะถูกปิดล้อมอยู่ในแนวชายฝั่งแคบ ๆ ริมอ่าว
ทัพป้องกันของอยุธยาปะทะกับกองทัพฝ่ายรุกรานนอกกุยบุรี แต่ถูกบีบให้ถอยทัพ ฝ่ายพม่ายังได้ยึดปราณบุรี แต่การรุกคืบต่อไปยังกรุงศรีอยุธยาถูกถ่วงให้ช้าลงอย่างมากโดยการป้องกันของฝ่ายอยุธยาที่เข้มแข็งขึ้น เป็นเวลาอีกกว่าสองเดือน (กุมภาพันธ์และมีนาคม พ.ศ. 2303) กองทัพพม่าที่เป็นฝ่ายกรำศึกกว่าสามารถเอาชนะการป้องกันอย่างกล้าหาญของอยุธยาได้หลายจุด และสามารถยึดเพชรบุรีและราชบุรีได้อีกด้วย[6][30]
สุพรรณบุรี แก้
โดยการยึดสุพรรณบุรี พม่าได้สู้รบขึ้นไปทางเหนือของคอคอดแคบ ๆ และสามารถมาถึงภาคกลางของอยุธยา เมื่อปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2303 เมื่อกองทัพฝ่ายรุกรานมาถึงกรุงศรีอยุธยา กองทัพอยุธยาได้รับความเสียหายอย่างหนักทั้งในด้านกำลังพล ปืนและเครื่องกระสุน ได้ทำการตั้งรับอีกจุดหนึ่งที่สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่ติดกับอยุธยาทางตะวันตก ฝ่ายป้องกันประกอบด้วยทหาร 33,000 นาย รวมทั้งทหารม้า 3,000 นาย และมีภารกิจเพื่อหยุดยั้งกองทัพพม่ามิให้ข้ามแม่น้ำมาซึ่งจะแบ่งแยกอยุธยาและสุพรรณบุรีออกจากกัน ฝ่ายพม่าแบ่งการโจมตีออกเป็นสามสาย นำโดยเจ้าชายมังระในตอนกลาง ขนาบโดยแม่ทัพมังฆ้องนรธาและมินฮลาทิริ ต่อที่ตั้งของอยุธยาที่ป้องกันอย่างดี ฝ่ายพม่าได้รับความสูญเสียอย่างหนักแต่ก็ได้รับชัยชนะในที่สุด โดยสามารถจับกุมเชลยศึกเป็นแม่ทัพระดับสูงของอยุธยาได้ห้าคน รวมทั้งช้างศึกของแม่ทัพเหล่านี้[6][31]
การล้อมอยุธยา แก้
ถึงแม้ว่าจะได้รับความสูญเสียอย่างหนักที่สุพรรณบุรี กองทัพพม่ายังคงมุ่งหน้าต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ทหารเหล่านี้ไม่สามารถพักผ่อนได้เนื่องจากฤดูมรสุมอยู่ห่างออกไปเพียงเดือนเศษเท่านั้น เนื่องจากอยุธยาล้อมรอบด้วยแม่น้ำหลายสาย การล้อมในฤดูฝนจึงเป็นงานที่น่าหวาดหวั่น ภูมิประเทศโดยรอบจะถูกน้ำท่วมสูงหลายฟุต ทหารพม่าที่ยังเหลือรอดกว่าครึ่งป่วยเป็นโรคบิด และพระเจ้าอลองพญาเองก็เริ่มมีพระพลานามัยไม่ค่อยดีแล้ว[11]
อย่างไรก็ตาม กองทัพพม่าได้มาถึงชานกรุงศรีอยุธยาเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2303 ฝ่ายอยุธยาได้ส่งกองทัพใหม่ที่มีกำลังพล 15,000 นาย ออกมากเผชิญหน้ากับฝ่ายผู้รุกราน แต่กองทัพดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าประกอบด้วยทหารเกณฑ์ที่ไม่มีประสบการณ์ในการรบเลย พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วต่อกองทัพพม่าที่กรำศึก ถึงแม้ว่าจะมีกำลังพลถดถอยลงแล้วก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงการล้อมระยะยาว พระมหากษัตริย์พม่าได้ส่งทูตเข้าไปเจรจาให้พระมหากษัตริย์อยุธยายอมจำนน โดยให้สัญญาว่าพระองค์จะไม่ทรงถูกปลดออกจากบัลลังก์ พระเจ้าเอกทัศทรงส่งทูตของพระองค์เองเพื่อไปเจรจา แต่พบว่าข้อเรียกร้องของพระเจ้าอลองพญานั้นไม่สามารถยอมรับได้ และการเจรจานั้นยุติลงอย่างสมบูรณ์[10] เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน ระหว่างเทศกาลปีใหม่ของพม่าและอยุธยา พม่าเริ่มระดมยิงปืนใหญ่ใส่พระนครซึ่งจะกินเวลานานสามวัน[6]
ตามข้อมูลฝ่ายสยามพระเจ้าอลองพญาทรงเคืองพระทัยที่กองทัพพม่ายึดอยุธยาช้ากว่าที่กำหนดพระองค์จึงทรงนำขบวนไปสังเกตการรบที่แนวหน้าและได้สิ้นพระชนม์จากแรงระเบิดจากปืนใหญ่ซึ่งทรงขึ้นบัญชาการยิงเข้าพระนครด้วยพระองค์เอง[10] หรือจากวัณโรคต่อมน้ำเหลือง[6] แต่พงศาวดารพม่าระบุอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคบิด ไม่มีเหตุอันใดที่พงศาวดารพม่าจะปกปิดความจริง เนื่องจากจะเป็นการสมพระเกียรติของพระมหากษัตริย์มากกว่าที่จะสวรรคตจากบาดแผลในการรบมากกว่าสวรรคตด้วยอาการเจ็บป่วยธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น หากพระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บต่อหน้าทหารทั้งกองทัพ ข้อเท็จจริงนี้ก็จะเป็นที่ที่ทราบไปทั้งกองทัพ และก่อให้เกิดความสับสน[10]
กองหลัง แก้
แม่ทัพระดับสูงของพม่าเก็บความลับที่ว่าพระเจ้าอลองพญาทรงสิ้นพระชนม์เป็นความลับและสั่งให้มีการถอยทัพทั้งหมด พม่าได้ปกปิดข้อเท็จจริงตรงนี้ไว้โดยอ้างเหตุผลว่าพระมหากษัตริย์นั้นทรงพระประชวรสิ้นพระชนม์ พระเจ้าอลองพญาทรงเลือกพระสหายขณะยังทรงพระเยาว์ มังฆ้องนรธา รับเกียรติบังคับบัญชาทหารกองหลัง ทหารเหล่านี้เป็น "ทหารชั้นเลิศของกองทัพ" ประกอบด้วยทหารราบ 6,000 นาย และทหารม้า 500 นาย โดยทุกนายมีปืนคาบศิลาเป็นอาวุธ มังฆ้องนรธาขยายทหารกองหลังออกเป็นแถวยาวแล้วเฝ้าคอย เป็นเวลาสองวันก่อนที่ฝ่ายอยุธยาจะรู้ว่าทัพหลวงพม่าได้ยกกลับไปแล้ว จากนั้นทัพหลวงของอยุธยาได้ยกออกมาจากกรุง ทหารของเขาเฝ้ามองขณะที่ข้าศึกเข้ามาใกล้พวกเขา และกลัวว่าจะถูกตัดขาดจากส่วนที่เหลือของกองทัพ พวกเขาร้องขอแม่ทัพให้ถอยกลับไปเล็กน้อย แต่มังฆ้องนรธากล่าว่า "สหาย ความปลอดภัยของพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในการรักษาของพวกเรา ขอพวกเราอย่าถอย ด้วยเสียงของปืนจะไปรบกวนการบรรทมของพระองค์ท่าน" ภายใต้การนำของเขา กองทัพพม่าจึงล่าถอยได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี และสามารถรวบรวมผู้พลัดหลงกับกองทัพได้ตลอดทาง[10][11]
สงครามยุติ แก้
พระเจ้าอลองพญาสวรรคตเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2303 ใกล้กับกรุงศรีอยุธยา หลังจากถูกเร่งรุดนำพระองค์มาอย่างรวดเร็วโดยทัพหน้า และจากการสวรรคตนี้เองสงครามครั้งนี้จึงสิ้นสุดลง
ผลที่ตามมา แก้
หลังจากการสวรรคตของพระเจ้าอลองพญา พระมหากษัตริย์พม่าพระองค์ใหม่ พระเจ้ามังลอก ทรงต้องเผชิญกับการกบฏหลายครั้ง รวมทั้งการกบฏของแม่ทัพมังฆ้องนรธาด้วย และสงครามไม่สามารถดำเนินตอ่ไปได้
สงครามครั้งนี้ไม่มีบทสรุปชัดเจน พม่าบรรลุวัตถุประสงค์ดั้งเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อยุธยายังคงเป็นขวากหนามต่อเสถียรภาพต่อภูมิภาคที่อยู่รอบข้างของพม่า อีกหลายปีให้หลังอยุธยายังคงให้การสนับสนุนต่อกบฏมอญทางตอนใต้ ซึ่งก่อการกบฏครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2305 เช่นเดียวกับกบฏในล้านนาทางตอนเหนือ (พ.ศ. 2304-06) ดินแดนที่เหลือซึ่งพม่าได้รับมาจากสงครามนั้นคือชายฝั่งตะนาวศรีตอนบน ซึ่งที่ผ่านมาเคยเพียงแต่อ้างสิทธิ์แต่ในนามเท่านั้น (อยุธยายึดชายฝั่งตอนล่างขึ้นไปถึงมะริดในปี พ.ศ. 2304)[1] ถึงแม้ว่ากองทัพอยุธยาจะไม่ได้บุกรุกพรมแดนอย่างเปิดเผยอีกต่อไป แต่กบฏมอญยังคงปฏิบัติการจากดินแดนของอยุธยา ในปี พ.ศ. 2307 เจ้าเมืองทวายชาวมอญ ผู้ซึ่งได้รับการทรงแต่งตั้งจากพระเจ้าอลองพญาเพียงสี่ปีก่อนหน้านี้เท่านั้น ได้ก่อการกบฏจนกระทั่งถูกปราบปรามในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน ความไม่มีเสถียรภาพในล้านนาเกิดขึ้นอีกครั้งไม่นานหลังจากกองทัพพม่าออกจากพื้นที่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2307 บีบให้กองทัพต้องกลับมาประจำอีกครั้งหนึ่งในเดียวกัน[32] ด้วยบทสรุปที่ไม่แน่ชัดของสงครามจะนำไปสู่สงครามครั้งถัดไปในปี พ.ศ. 2308
การวิเคราะห์ แก้
ความสำเร็จของพม่าในการรุกรานไปจนถึงกรุงศรีอยุธยานั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากยุทธศาสตร์ในการหลีกเลี่ยงการป้องกันของอยุธยาที่ตั้งไว้ตามเส้นทางรุกรานเดิม[20] แต่ยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าอะไรเป็นสาเหตุหลักสำหรับความสำเร็จครั้งนี้ ขณะที่พม่าตัดสินใจถูกในตอนแรกที่โจมตีชายฝั่งตะนาวศรีที่มีการป้องกันเบาบาง (ทหารเพียง 7,000 นาย) แต่เมื่อข้ามมายังฝั่งอ่าวไทย กลับต้องเผชิญกับการต้านทานอันแข็งขันของอยุธยา ซึ่งถึงแม้ว่าในตอนแรกอยุธยาจะรู้สึกประหลาดใจกับเส้นทางการโจมตีของพม่า การณ์กลับกลายเป็นว่าอยุธยาสามารถปรับตัวได้ และย้ายกองทัพลงมาทางใต้ ในความเป็นจริงแล้วการสู้รบตามอ่าวไทยนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย พงศาวดารพม่ารายงานว่าพม่าได้รับความสูญเสียอย่างหนักเพียงแค่ต้องฝ่าออกจากคอคอดแคบ ๆ แห่งนั้น ถึงแม้ว่าจะมีรายงานว่าอยุธยาสูญเสียกำลังพลและเครื่องกระสุนมากกว่า
สำหรับเหตุผลที่เป็นไปได้มากกว่าสำหรับความสำเร็จของพม่านั้น อาจเป็นเพราะว่าพม่าซึ่งรบพุ่งในสงครามสืบราชบัลลังก์นับตั้งแต่ พ.ศ. 2283 จึงมีความกรำศึกกว่ามาก ผู้นำการทหารของพม่า "สร้างทหารขึ้นมาด้วยตัวเอง"[33] ซึ่งทั้งหมดนั้นมีประสบการณ์ทางทหารเพียงพอเรียบร้อยแล้ว ส่วนในอีกด้านหนึ่งไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผู้นำทางทหารของอยุธยาหรือทหารมีประสบการณ์ทางทหารมากน้อยเพียงใด เนื่องจากอยุธยาสงบมาเป็นเวลานานแล้ว พระมหากษัตริย์อยุธยาถึงกับต้องทรงขอให้พระอนุชาลาผนวชมาบัญชาการรบ การขาดประสบการณ์ทางทหารในหมู่แม่ทัพอยุธยาระดับสูง อาจอธิบายได้ว่าทำไมอยุธยาจึงแพ้ต่อกองทัพพม่าที่มีขนาดเล็กกว่า และมีกำลังพลไม่เต็มที่ที่สุพรรณบุรีและนอกกรุงศรีอยุธยา ในทำนองเดียวกันหากขาดการนำที่ดีการใช้ทหารรับจ้างต่างชาติจะไม่ปรากฏความแตกต่างใด ๆ ในสงครามนี้เลย (พม่าได้เผาเรือที่มีลูกเรือเป็นทหารรับจ้างต่างชาติ)[18] ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าภาวะผู้นำนั้นมีความสำคัญเมื่อทหารส่วนใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเป็นทหารเกณฑ์[34]
เชิงอรรถ แก้
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 James, SEA encyclopedia, pp. 1318-1319
- ↑ Harvey, p. 334
- ↑ Kyaw Thet, p. 290
- ↑ Letwe Nawrahta, p. 142
- ↑ Harvey, p. 246
- ↑ 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 James, SEA encyclopedia, p. 302 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "hj-302" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ Baker, et al, p. 21
- ↑ James, Fall of Ayutthaya: Reassessment, p. 75
- ↑ 9.0 9.1 Steinberg, p. 102
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 10.6 Htin Aung, pp. 169-170
- ↑ 11.0 11.1 11.2 Harvey, p. 242
- ↑ Wyatt, p. 113
- ↑ Ba Pe (1952). Abridged History of Burma (ภาษาพม่า) (9th (1963) ed.). Sarpay Beikman. pp. 145–146.
- ↑ Hall, Chapter IX: Mon Revolt, p. 15
- ↑ 15.0 15.1 Phayre, pp. 150–151
- ↑ Harvey, pp. 219-243
- ↑ Hall, Chapter X: Alaungpaya, pp. 16-24
- ↑ 18.0 18.1 18.2 18.3 Harvey, p. 241
- ↑ 19.0 19.1 19.2 Htin Aung, pp. 167-168
- ↑ 20.0 20.1 20.2 20.3 Hall, Chapter X, p. 24
- ↑ Lieberman, p. 205
- ↑ Harvey, pp. 241, 250
- ↑ Phayre, pp. 168-169
- ↑ Wyatt, p. 116
- ↑ Myint-U, pp. 287, 299
- ↑ Harvey, pp. 241, 246
- ↑ 27.0 27.1 Alaungpaya Ayedawbon, pp. 141-142
- ↑ 28.0 28.1 28.2 Alaungpaya Ayedawbon, pp. 143-145
- ↑ 29.0 29.1 Alaungpaya Ayedawbon, p. 229
- ↑ 30.0 30.1 Alaungpaya Ayedawbon, pp. 146-147
- ↑ Alaungpaya Ayedawbon, pp. 147-148
- ↑ Kyaw Thet, p. 300
- ↑ Lieberman, p. 185
- ↑ Lieberman, p. 216
อ้างอิง แก้
- Baker, Chris, Christopher John Baker, Pasuk Phongpaichit (2009). A history of Thailand (2 ed.). Cambridge University Press. ISBN 0521767687, 9780521767682.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่า|isbn=
: ตัวอักษรไม่ถูกต้อง (help) - Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824. London: Frank Cass & Co. Ltd.
- Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma. New York and London: Cambridge University Press.
- James, Helen (2004). "Burma-Siam Wars and Tenasserim". ใน Keat Gin Ooi (บ.ก.). Southeast Asia: a historical encyclopedia, from Angkor Wat to East Timor, Volume 2. ABC-CLIO. ISBN 1576077705.
- James, Helen (2000). "The Fall of Ayutthaya: A Reassessment". Journal of Burma Studies. 5: 75–108.
- Kyaw Thet (1962). History of Union of Burma (ภาษาพม่า). Yangon: Yangon University Press.
- Lieberman, Victor B. (2003). Strange Parallels: Southeast Asia in Global Context, c. 800–1830, volume 1, Integration on the Mainland. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-80496-7.
- Myint-U, Thant (2006). The River of Lost Footsteps--Histories of Burma. Farrar, Straus and Giroux. ISBN 978-0-374-16342-6, 0-374-16342-1.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่า|isbn=
: ตัวอักษรไม่ถูกต้อง (help) - Phayre, Lt. Gen. Sir Arthur P. (1883). History of Burma (1967 ed.). London: Susil Gupta.
- Steinberg, David Joel (1987). David Joel Steinberg (บ.ก.). In Search of South-East Asia. Honolulu: University of Hawaii Press.
- Wyatt, David K. (2003). History of Thailand (2 ed.). Yale University Press. ISBN 0300084757, 9780300084757.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่า|isbn=
: ตัวอักษรไม่ถูกต้อง (help)