อาณาจักรมเยาะอู้
อาณาจักรมเยาะอู้ เป็นอาณาจักรที่มีเมืองหลวงที่เมืองมเยาะอู้ ใกล้กับชายฝั่งตะวันออกของอ่าวเบงกอล ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบังกลาเทศและรัฐยะไข่ในประเทศพม่า ปกครองตนเองเป็นอิสระระหว่าง พ.ศ. 2072–2328 ก่อนจะถูกราชวงศ์โก้นบองของพม่ายึดครอง[1]
อาณาจักรมเยาะอู้ | |||||
(ค.ศ. 1429–1433) | |||||
| |||||
เมืองหลวง | ล่องแจะ (ค.ศ. 1429–1430) มเยาะอู้ (ค.ศ. 1430–1785) | ||||
ภาษา | ภาษายะไข่ | ||||
ศาสนา | พุทธศาสนาเถรวาท | ||||
รัฐบาล | ราชาธิปไตย | ||||
พระมหากษัตริย์ | |||||
- | ค.ศ. 1429–1433 | พระเจ้านรเมขลา | |||
- | ค.ศ. 1531–1554 | มิน บิน | |||
ประวัติศาสตร์ | |||||
- | ก่อตั้งราชวงศ์ | 18 เมษายน ค.ศ. 1429 | |||
- | ล่มสลาย | 2 มกราคม ค.ศ. 1785 |
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ชุดบทความประวัติศาสตร์พม่า |
---|
![]() |
ประวัติศาสตร์พม่ายุคต้น |
นครรัฐปยู (ประมาณ พ.ศ. 443 – ประมาณ พ.ศ. 1383) |
อาณาจักรมอญ (พศว. 14 – 16, พศว. 18 – 21, พศว. 23) |
อาณาจักรพุกาม (พ.ศ. 1392 – 1830, อาณาจักรยุคที่ 1) |
อาณาจักรอังวะ (พ.ศ. 1907 – 2098) |
อาณาจักรมเยาะอู (พ.ศ. 1977 – 2327) |
ราชวงศ์ตองอู (พ.ศ. 2029 – 2295, อาณาจักรยุคที่ 2) |
ราชวงศ์คองบอง (พ.ศ. 2295 – 2428, อาณาจักรยุคที่ 3) |
สงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่หนึ่ง (พ.ศ. 2367 – 2369) |
สงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่สอง ( พ.ศ. 2395) |
สงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่สาม (พ.ศ. 2428) |
พม่าของอังกฤษ (พ.ศ. 2367 – พ.ศ. 2485, พ.ศ. 2485 – 2491) |
อาระกันของอังกฤษ (พ.ศ. 2367 – 2395) |
ตะนาวศรีของอังกฤษ (พ.ศ. 2367 – 2395) |
พม่าตอนล่างของอังกฤษ (พ.ศ. 2395 – 2429) |
พม่าตอนบนของอังกฤษ (พ.ศ. 2428 – 2429) |
การยึดครองพม่าของญี่ปุ่น (พ.ศ. 2485 – 2488) |
ขบวนการชาตินิยมในพม่า (หลัง พ.ศ. 2429) |
บามอว์ |
ออง ซาน |
ยุคประชาธิปไตย (พ.ศ. 2491 - 2505) |
อู นุ และอู ถั่น |
รัฐบาลทหารครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2505 – 2532) |
เน วิน |
การก่อการปฎิวัติ 8888 (พ.ศ. 2531) |
ออง ซาน ซูจี |
รัฐบาลทหารครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2532 – 2554) |
การปฏิวัติผ้ากาสาวพัสตร์ (พ.ศ. 2550) |
พายุหมุนนาร์กิส (พ.ศ. 2551) |
ความขัดแย้งภายในพม่า |
เหตุจลาจลในรัฐยะไข่ พ.ศ. 2555 |
[แก้ไขแม่แบบนี้] |
ประวัติศาสตร์แก้ไข
มเยาะอู้เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรยะไข่เมื่อ พ.ศ. 1974 เมื่อเมืองเติบโตขึ้นมีการสร้างวัดและเจดีย์ต่าง ๆ มากมาย และยังคงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน ในราวพุทธศตวรรษที่ 20–23 ที่เมืองมเยาะอู้เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรยะไข่นั้น มีพ่อค้าชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายมากมาย รวมทั้งชาวโปรตุเกสและชาวดัตช์[2]
ในสมัยพระเจ้านรเมขลาหรือมี่นซอมูน (พ.ศ. 1947–1977) เป็นกษัตริย์ของราชอาณาจักรมเยาะอู้ พระองค์ได้ลี้ภัยไปยังเบงกอลนานถึง 24 ปี กลับมาครองราชสมบัติในยะไข่เมื่อ พ.ศ. 1973 โดยได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสุลต่านแห่งเบงกอล ชาวเบงกอลส่วนหนึ่งเดินทางเข้ามาในยะไข่พร้อมกับพระองค์และกลายเป็นชาวโรฮีนจาในบริเวณนี้[3][ต้องการอ้างอิง] พระเจ้านรเมขลายกดินแดนบางส่วนให้สุลต่านแห่งเบงกอล และพระองค์ปกครองดินแดนในฐานะรัฐบรรณาการของเบงกอล และได้รับพระนามแบบอิสลามด้วยแม้จะเป็นชาวพุทธ เหรียญทองดีนาร์ของเบงกอลสามารถใช้ได้ภายในราชอาณาจักร เหรียญที่สร้างในสมัยพระเจ้านรเมขลาด้านหนึ่งเป็นแบบพม่า อีกด้านเป็นแบบเปอร์เซีย[2]
หลังจากได้รับเอกราชจากสุลต่านแห่งเบงกอล กษัตรย์ยะไข่ยังคงใช้พระนามแบบมุสลิมอยู่[4] กษัตริย์ถือว่าตนเป็นสุลต่านและทำตามแบบจักรวรรดิโมกุลแม้ว่าตนเป็นชาวพุทธ มีการจ้างมุสลิมเข้ารับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ[5] ระหว่าง พ.ศ. 2074–2172 มีชาวโปรตุเกสมาค้าทาสชาวเบงกอลตามบริเวณแนวชายฝั่งของยะไข่ ประชากรมุสลิมเบงกอลเพิ่มขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 และมีการจ้างงานที่หลากหลายในยะไข่ ส่วนหนึ่งเป็นล่ามภาษาอาหรับ ภาษาเบงกอล และภาษาเปอร์เซียในศาล แม้ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ แต่ก็ดำเนินการตามแบบของรัฐสุลต่านแห่งเบงกอลอยู่มาก[6] ยะไข่สูญเสียการควบคุมเบงกอลตะวันออกเฉียงใต้เมื่อราชวงศ์โมกุลรุกรานเข้ามาในจิตตะกอง
เมืองมเยาะอู้ที่สร้างโดยพระเจ้านรเมขลาเป็นราชธานีอยู่นาน 355 ปี เมืองนี้เป็นที่รู้จักในยุโรปเมื่อฟรีอาร์ เซบาสเตียน มันริก เดินทางมาถึงเมื่อ พ.ศ. 2178 ในสมัยพระเจ้าสิริสุธรรมมา (Thiri Thudhamma) พระมหามุนี พระพุทธรูปที่ปัจจุบันอยู่ในมัณฑะเลย์เดิมอยู่มเยาะอู้ ภายในเมืองมเยาะอู้มีคลองมากมายใช้ในการคมนาคม และมีวัดเป็นจำนวนมาก[7]
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Maung Maung Tin, Vol. 2, p. 25
- ↑ 2.0 2.1 Richard, Arthus (2002). History of Rakhine. Boston, MD: Lexington Books. p. 23. ISBN 0-7391-0356-3. สืบค้นเมื่อ 8 July 2012.
- ↑ Yegar, Moshe (2002). Between integration and secession: The Muslim communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma / Myanmar. Lanham, MD: Lexington Books. p. 23. ISBN 0739103563. สืบค้นเมื่อ 8 July 2012.
- ↑ Yegar, Moshe (2002). Between integration and secession: The Muslim communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma / Myanmar. Lanham, MD: Lexington Books. pp. 23–4. ISBN 0739103563. สืบค้นเมื่อ 8 July 2012.
- ↑ Yegar, Moshe (2002). Between integration and secession: The Muslim communities of the Southern Philippines, Southern Thailand, and Western Burma / Myanmar. Lanham, MD: Lexington Books. p. 24. ISBN 0739103563. สืบค้นเมื่อ 8 July 2012.
- ↑ (Aye Chan 2005, p. 398)
- ↑ William, Cornwell (2004). June 2013 History of Mrauk U Check
|url=
value (help). Amherst, MD: Lexington Books. p. 232. ISBN 0-7391-0356-3.
- Charney, Michael W. (1993). 'Arakan, Min Yazagyi, and the Portuguese: The Relationship Between the Growth of Arakanese Imperial Power and Portuguese Mercenaries on the Fringe of Mainland Southeast Asia 1517-1617.' Masters dissertation, Ohio University.
- Hall, D.G.E. (1960). Burma (3rd ed.). Hutchinson University Library. ISBN 978-1-4067-3503-1.
- Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824. London: Frank Cass & Co. Ltd.
- Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma. New York and London: Columbia University Press.
- Maung Maung Tin (1905). Konbaung Hset Maha Yazawin (in Burmese). 2 (2004 ed.). Yangon: Department of Universities History Research, University of Yangon.
- Myat Soe, ed. (1964). Myanma Swezon Kyan (in Burmese). 9 (1 ed.). Yangon: Sarpay Beikman.
- Myint-U, Thant (2006). The River of Lost Footsteps--Histories of Burma. Farrar, Straus and Giroux. ISBN 978-0-374-16342-6. ISBN 0-374-16342-1.
- Phayre, Lt. Gen. Sir Arthur P. (1883). History of Burma (1967 ed.). London: Susil Gupta.
- Encyclopædia Britannica. 1984 Edition. Vol. VII, p. 76