พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
มหาอำมาตย์เอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (21 ตุลาคม พ.ศ. 2417 – 7 สิงหาคม พ.ศ. 2463) พระนามเดิม พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นต้นราชสกุลรพีพัฒน์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตลับ ทรงเป็นผู้วางรากฐานด้านกฎหมายในประเทศไทย จนได้รับพระสมัญญานามว่า พระบิดาแห่งกฎหมายไทย
ทางด้านชีวิตส่วนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเสกสมรสกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพัทธ์ประไพ พระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ แต่ทรงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเพียงไม่นานก็ทรงหย่าขาดจากกัน โดยหลังจากนั้นทรงรับหม่อมอ่อนมาเป็นหม่อมเอก และหลังจากนั้นทรงรับหม่อมมาเพิ่มอีก 2 ท่าน คือ หม่อมแดงและหม่อมราชวงศ์สอางค์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ สิ้นพระชนม์ ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2463 สิริพระชันษา 45 ปี 290 วัน
พระประวัติ
แก้ประสูติ
แก้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ประสูติเมื่อวันพุธ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีจอ จุลศักราช 1236 ตรงกับวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2417[1] มีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระองค์ที่ 2 ในเจ้าจอมมารดาตลับ มีพระเชษฐภคินีคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอัจฉรพรรณีรัชกัญญา เมื่อทรงพระเยาว์ทรงได้รับการอภิบาลจากเจ้าจอมมารดาตลับ หม่อมราชวงศ์ พึ่งบุญ และพระยาเวียงในนฤบาล (หรั่ง เกตุทัต)[2]
การศึกษา
แก้เมื่อเจริญวัยขึ้นพระองค์ทรงเข้าศึกษาวิชาภาษาไทยเบื้องต้นกับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) โดยใช้เก๋งกรงนกภายในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ทรงพระอักษร [3] เมื่อทรงศึกษาจบแล้ว ก็ทรงเข้าศึกษาต่อที่สำนักของบาบู รามซามี โดยใช้โรงเรียนทหารมหาดเล็กเป็นที่ถวายพระอักษรจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2426[3] ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เข้าศึกษาในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
ในการส่งพระราชโอรสไปศึกษายังต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เป็นพระราชโอรสกลุ่มแรกที่ทรงไปศึกษาต่อในทวีปยุโรป เมื่อ พ.ศ. 2428 พร้อมกัน 4 พระองค์ คือ
- พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์
- พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์
- พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม
- พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช
แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้ทรงแยกกันเรียน โดยพระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ เสด็จไปศึกษาที่กรุงเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ โดยให้หมอเกาวัน เป็นผู้จัดการศึกษา[4] ในการนี้เป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้น จึงมีเพียงครูชาวต่างชาติมาถวายพระอักษรที่ตำหนักครึ่งวัน และหม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์ ถวายการสอนภาษาไทยอีกครึ่งวัน
พระองค์ทรงศึกษาวิชาภาษาละติน วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาภาษาฝรั่งเศสอยู่ 2 ปี จึงเสด็จนิวัติประเทศไทย จนถึงปี พ.ศ. 2431 จึงเสด็จไปศึกษาต่อในชั้นมัธยมอยู่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และต่อมาปี พ.ศ. 2434 ทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมายต่อที่วิทยาลัยไครส์ตเชิร์ช ในมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2437 ทรงสามารถสอบไล่ได้ตามหลักสูตรชั้นปริญญาเกียรตินิยม[5] จากนั้นจึงเสด็จกลับประเทศไทย ด้วยพระอัจฉริยภาพที่มีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จึงได้รับพระสมญาว่า เฉลียวฉลาดรพี
พระราชพิธีโสกันต์
แก้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดให้ตั้งพระราชพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 3 พระองค์พร้อมกันคือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช และพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นการสมโภช 3 วัน ตั้งแต่วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2427 ถึงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2427 แล้วจึงประกอบพระราชพิธีโสกันต์ในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2427 [6] โดยโปรดให้ทรงเครื่องต้นทั้ง 4 พระองค์
ผนวช
แก้หลังจากพระราชพิธีโสกันต์ผ่านพ้นไปแล้ว จึงโปรดให้พระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 4 พระองค์ที่จะเสด็จไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ได้ผนวชเป็นสามเณรพร้อมกันตามโบราณราชประเพณี โดยวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2428 เวลาย่ำค่ำ มีการเวียนเทียนสมโภชทั้ง 4 พระองค์ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เช้าวันรุ่งขึ้นแห่พระเจ้าลูกยาเธอทั้ง 4 พระองค์จากพระที่นั่งดุสิตาภิรมย์ไปวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ผนวชเป็นสามเณรโดยมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ในคืนนั้นพระองค์เจ้าสามเณรทั้ง 4 พระองค์ทรงประทับแรมที่พระพุทธปรางค์ปราสาท เช้าวันถัดมาพระองค์เจ้าสามเณรทรงรับบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวัง เวลาย่ำค่ำจึงเสด็จไปอยู่ที่ตำหนักในวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร[7] ถึงวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2428 ทั้ง 4 พระองค์จึงทรงลาผนวช ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร[8]
รับราชการ
แก้พระองค์ทรงเริ่มรับราชการในสำนักราชเลขาธิการ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรี ทรงประกอบพระกรณียกิจ อันเป็นคุณประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อวงการกฎหมายไทยและศาลสถิตยุติธรรม ได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ร.ศ. 115[9] เป็นสภานายกในกองข้าหลวงพิเศษ จัดการปรับปรุงศาลยุติธรรมสู่ระบบใหม่ จัดตั้งศาลมณฑล และศาลจังหวัด ทั่วประเทศ, ทรงเป็นประธานกรรมการตรวจชำระกฎหมายทั้งกฎหมายเก่า (พระไอยการต่าง ๆ) และในการร่างประมวลกฎหมายสมัยใหม่ที่รู้จักกันในนามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2451) ทั้งยังทรงเป็นผู้ดำริให้จัดตั้งโรงเรียนกฎหมาย โดยพระองค์เองยังทรงมีบทบาทรวบรวมและแต่งตำราคำอธิบายกฎหมาย ตลอดจนทรงทำการบรรยายให้เหล่าบรรดานักเรียนด้วยพระองค์เอง, ทรงเป็นกรรมการตรวจตัดสินความฎีกาซึ่งเทียบได้กับศาลฎีกาในปัจจุบัน, เมื่อ พ.ศ. 2443 ทรงตั้งกองพิมพ์ลายมือขึ้น สำหรับตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาในคดีอาญา ตำแหน่งสุดท้ายทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ทรงปรับปรุงกิจการกรมทะเบียนที่ดิน[10]
สิ้นพระชนม์
แก้ในปี พ.ศ. 2462 พระองค์ประชวรด้วยพระโรคที่ต่อมลูกหมากและมีการแทรกซ้อนต่อไปยังพระวักกะ (ไต)[11] จึงทรงขอลาพักราชการในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2462 เพื่อรักษาพระองค์แต่อาการยังไม่ทุเลา ต่อมาจึงเสด็จไปรักษาพระองค์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่พระโรคที่พระวักกะก็ยังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเกินที่แพทย์จะเยียวยาได้ จนกระทั่งถึงวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2463 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จึงสิ้นพระชนม์ สิริพระชันษา 45 ปี 9 เดือน 17 วัน[12]
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เอกอัครราชทูตสยามประจำประเทศฝรั่งเศสจัดการถวายพระเพลิง ณ กรุงปารีส ตามที่กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์รับสั่งไว้[13][14] หลังจากนั้นหม่อมเจ้าไขแสงรพี รพีพัฒน์ เสด็จไปรับและอัญเชิญพระอัฐิของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์มาถึงประเทศไทยในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2463 ในคราวนั้นเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) หวนระลึกถึงรับสั่งของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้ตรัสไว้ก่อนที่เสด็จไปรักษาพระองค์ที่ประเทศฝรั่งเศสว่า
บางทีครูจะไม่ได้เห็นฉันอีก และไม่ได้เห็นอีกจริง ๆ [15]
พระโอรส-ธิดา
แก้ราชสกุลรพีพัฒน์ ต้นราชสกุล คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ หลังเสด็จกลับจากศึกษาที่ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสู่ขอพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพัทธ์ประไพ พระธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ พระราชทานเสกสมรสให้ โดยในครั้งนั้นนับเป็นครั้งแรกที่มีการพระราชทานน้ำสังข์ แต่ทรงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเพียงไม่นานก็ทรงหย่าขาดจากกัน และหลังจากนั้นพระองค์จึงทรงรับหม่อมอ่อนมาเป็นหม่อมเอก โดยนอกจากหม่อมอ่อนแล้วพระองค์ยังมีหม่อมอีก 2 คน คือ หม่อมแดงและหม่อมราชวงศ์สอางค์ ปราโมช
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ มีพระโอรสและพระธิดา ที่ประสูติกับหม่อมอ่อน หม่อมแดง และหม่อมราชวงศ์สอางค์ 13 องค์ ซึ่งทุกองค์ทรงตั้งพระนามคล้องจองกันหมด และมีความหมายเกี่ยวกับ พระอาทิตย์[16]
หม่อมอ่อน รพีพัฒน์ ณ อยุธยา บุตรีของพระยาสุพรรณพิจิตร (โต) กับหม่อมราชวงศ์สำอาง เสนีวงศ์[17] เสด็จในกรมหลวงราชบุรีได้รับหม่อมอ่อนเข้ามาเป็นหม่อมในพระองค์หลังจากที่ทรงหย่ากับพระชายาแล้ว โดยมีพระโอรสพระธิดารวม 11 องค์ ดังนี้
- หม่อมเจ้าพิมพ์รำไพ โสณกุล (18 มกราคม พ.ศ. 2441 - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510) เสกสมรสกับหม่อมเจ้าทองต่อ ทองแถม และหม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล
- หม่อมราชวงศ์นภาจรี ทองแถม สมรสกับเด็ดดวง บุนนาค และสมใจ สิริสิงห
- หม่อมราชวงศ์ปรียา โสณกุล
- หม่อมเจ้าไขแสงรพี รพีพัฒน์ (29 ตุลาคม พ.ศ. 2442 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2521) เสกสมรสกับเริงจิตร์แจรง อาภากร (หย่า) และหม่อมหลวงสุมิตรา สุทัศน์ (หย่า)
- หม่อมราชวงศ์เติมแสงไข รพีพัฒน์ สมรสกับปรีดา กรรณสูต
- หม่อมราชวงศ์ศักดิ์รพี รพีพัฒน์ สมรสกับสุนทรี (สกุลเดิม ศิริจิตต์)
- หม่อมเจ้าสุรีย์ประภา กฤดากร (16 เมษายน พ.ศ. 2444 - 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513) เสกสมรสกับหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรร กฤดากร และหม่อมเจ้าเศรษฐสิริ กฤดากร
- หม่อมราชวงศ์ฤทธิ์สุรีย์ กฤดากร สมรสกับจิ๋ว สุริเวก
- หม่อมราชวงศ์ประภาศิริ กฤดากร สมรสกับฉลอง ชุมพล
- หม่อมเจ้าวิมวาทิตย์ รพีพัฒน์ (25 ธันวาคม พ.ศ. 2445 - 29 ธันวาคม พ.ศ. 2501) เสกสมรสกับหม่อมเจ้าวินิตา รพีพัฒน์ (ราชสกุลเดิม กิติยากร)
- หม่อมราชวงศ์วิภากร รพีพัฒน์ สมรสกับวุฒิวิฑู (ราชสกุลเดิม วุฒิชัย) และเย็นจิตต์ (สกุลเดิม สัมมาพันธ์)
- หม่อมเจ้าชวลิตโอภาศ กิติยากร (11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2447 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2475) ทรงใช้ชีวิตคู่โดยมิได้เสกสมรสกับสมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ภายหลังเสกสมรสกับหม่อมเจ้าอมรสมานลักษณ์ กิติยากร
- หม่อมราชวงศ์กิตินัดดดา กิติยากร
- หม่อมราชวงศ์อมราภินพ กิติยากร สมรสกับแจเน็ท กริมม์
- หม่อมราชวงศ์กิติอัจฉรา กิติยากร สมรสกับสมิทธิ์ ปวนะฤทธิ์
- หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์ (19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2448 - 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2475)
- หม่อมเจ้าเพลิงนภดล รพีพัฒน์ (30 ธันวาคม พ.ศ. 2449 - 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2528) เสกสมรสกับหม่อมเจ้าทรงอัปษร (ราชสกุลเดิม กิติยากร)
- หม่อมราชวงศ์อคิน รพีพัฒน์ สมรสกับจันทรา (สกุลเดิม ปิตรชาติ) และบังเอิญ (สกุลเดิม เกิดอารีย์)
- หม่อมราชวงศ์รพีพงศ์ รพีพัฒน์ สมรสกับหม่อมหลวงศิริมา (ราชสกุลเดิม ศรีธวัช) และจริยา (สกุลเดิม รอดประเสริฐ)
- หม่อมราชวงศ์อัปษร รพีพัฒน์ สมรสกับทวีเกียรติ กฤษณามระ และจอห์น อ.โรก๊อซ
- หม่อมเจ้าถกลไกรวัล รพีพัฒน์ (2 มกราคม พ.ศ. 2452 - 16 กันยายน พ.ศ. 2523) เสกสมรสกับหม่อมตลับ (สกุลเดิม ศรีโรจน์)
- หม่อมราชวงศ์มธุรา รพีพัฒน์ สมรสกับจรูญ ชินาลัย
- หม่อมเจ้ารวิพรรณไพโรจน์ รพีพัฒน์ (5 กันยายน พ.ศ. 2455 - 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531) เสกสมรสกับหม่อมจำเริญ (สกุลเดิม จุลกะ) ฉัตรสุดา วงศ์ทองศรี (ราชสกุลเดิม ฉัตรชัย) และหม่อมเพ็ญศรี รพีพัฒน์ ณ อยุธยา
- หม่อมราชวงศ์พันธุ์รพี รพีพัฒน์ สมรสกับฉวีวรรณ (สกุลเดิม จันโทภาสกร) และปราณี (สกุลเดิม อรรถพันธ์)
- หม่อมราชวงศ์พัฒนฉัตร รพีพัฒน์ สมรสกับทักษพล เจียมวิจิตร (หย่า)
- หม่อมราชวงศ์ดิเรกฤทธิ์ รพีพัฒน์ สมรสกับอรุณวรรณ (สกุลเดิม วงศ์ใหญ่)
- หม่อมราชวงศ์วินิตา รพีพัฒน์ สมรสกับโชค อัศวรักษ์
- หม่อมราชวงศ์นิสากร รพีพัฒน์ สมรสกับวรวิทย์ เหมจุฑา
- หม่อมเจ้าดวงทิพโชติแจ้งหล้า อาภากร (11 ตุลาคม พ.ศ. 2457 - 4 มีนาคม พ.ศ. 2542) เสกสมรสกับพลเรือเอก หม่อมเจ้าครรชิตพล อาภากร
- หม่อมราชวงศ์ชาย (ถึงแก่กรรมในวัยเยาว์)
- หม่อมราชวงศ์ทิพพากร อาภากร สมรสกับหม่อมราชวงศ์วิบูลย์เกียรติ วรวรรณ
- หม่อมราชวงศ์พรระพี อาภากร สมรสกับอุทุมพร (สกุลเดิม ศุภสมุทร; หย่า) และองค์อร อาภากร ณ อยุธยา
- หม่อมเจ้าทิตยาทรงกลด จักรพันธุ์ (21 พฤษภาคม พ.ศ. 2459 - 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553) เสกสมรสกับหม่อมเจ้าคัสตาวัส จักรพันธุ์
- หม่อมราชวงศ์กทลี จักรพันธุ์ สมรสกับพลตำรวจตรีวศิษฐ์ สุนทรสิงคาล
- หม่อมราชวงศ์สดศรี ปันยารชุน สมรสกับอานันท์ ปันยารชุน
- หม่อมราชวงศ์ตราจักร จักรพันธุ์ สมรสกับอรวรรณ (สกุลเดิม ทันตเยาวนารถ)
- หม่อมแดง รพีพัฒน์ ณ อยุธยา
หม่อมแดง รพีพัฒน์ ณ อยุธยา เป็นบุตรีของพ่อค้าชาวจีนเจ้าของร้านเพชรหัวเม็ด ในประมาณปี พ.ศ. 2458 เสด็จในกรมหลวงราชบุรีทรงรับหม่อมแดงเข้ามาเป็นหม่อมในพระองค์ โดยมีพระธิดา 1 องค์ คือ
- คันธรสรังษี แสงมณี (5 มีนาคม พ.ศ. 2459 - 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) เสกสมรสกับหม่อมเจ้าทรงวุฒิไชย วุฒิชัย ต่อมาทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์เพื่อสมรสกับหลวงชำนาญนิติเกษตร (อุทัย แสงมณี)
- หม่อมราชวงศ์วุฒิรสรังษี วุฒิชัย
- หม่อมราชวงศ์อัจฉรีเพราพรรณ วุฒิชัย สมรสกับสากล วรรณพฤกษ์
- หม่อมราชวงศ์สอางค์ ปราโมช
หม่อมราชวงศ์สอางค์ ปราโมช ท.จ. พระธิดาในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมนุ่ม โดยมีพระธิดา 1 องค์ คือ
- รำไพศรีสอางค์ สนิทวงศ์ (17 กันยายน พ.ศ. 2462 - 4 เมษายน พ.ศ. 2543) ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์เพื่อสมรสกับหม่อมหลวงซัง สนิทวงศ์
- สอางศรี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา สมรสกับจิรายนต์ สังฆสุวรรณ
- อรินทร์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา สมรสกับเวณิก จงเจริญ และสุณีย์ ลีรเศรษฐกร
- แซม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา สมรสกับพอใจ ตัณสถิตย์
พระกรณียกิจ
แก้ด้านกฎหมาย
แก้เมื่อพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม พระองค์ทรงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูปการศาล ซึ่งปัญหาสำคัญสำหรับศาลไทยในเวลานั้น คือ เรื่องของศาลกงสุลต่างชาติ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในยุคนั้น เป็นที่รู้กันว่าชาวต่างชาติเหล่านี้มีอำนาจอิทธิพลมาก เมื่อเกิดคดีความหรือข้อโต้แย้ง ชาวไทยมักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะชาวต่างชาติมักจะอ้างว่ากฎหมายยังล้าหลังไม่ทันสมัยเพื่อเป็นข้ออ้างเอาเปรียบชาวไทยซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาลของไทยยังไม่พร้อมที่จะรับข้อกฎหมายใหม่ ๆ ในเวลานั้น พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยการจ้างชาวต่างชาติมาเป็นผู้พิพากษาเป็นเหตุให้ผู้พิพากษาศาลไทยเกิดความกระตือรือร้นเร่งศึกษากฎหมายไทยและต่างประเทศทำให้ศาลไทยมีความเชื่อถือมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ ถึงกับยกเลิกศาลกงสุลยอมให้คนชาติตัวเองมาขึ้นศาลไทยนอกจากนั้น ยังทรงปฏิรูปการศาลในด้านอื่นอีกมากมาย อาทิ
- ขอพระราชทานพระบรมราชาอนุญาตให้ศาลในสังกัดกระทรวงยุติธรรมสามารถกำหนดโทษเองได้ เนื่องจากในสมัยนั้นเมื่อศาลกำหนดโทษจำคุกผู้ต้องหาแล้ว ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดเวลาให้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุของความล่าช้าในวงการศาล
- ทรงปรับปรุงเงินเดือนผู้พิพากษาให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่
- ออกประกาศ ออกประกาศยกเลิก หรือแก้ไขพระราชบัญญัติ กฎเสนาบดีกว่า 60 ฉบับ เพื่อแก้ไขจุดที่บกพร่อง เพิ่มสิทธิของคู่ความให้เท่าเทียมกัน หรือแก้ไขบทลงโทษที่ล้าหลัง ที่สำคัญได้แก่
ที่ทรงออกใหม่ | ที่ทรงแก้ไข |
---|---|
พระราชบัญญัติเพิ่มเติมวิธีพิจารณาความอาญา | พระราชบัญญัติกระบวนวิธีพิจารณาความแพ่ง ร.ศ. 115 |
พระราชบัญญัติอุทธรณ์ ร.ศ. 123 | พระราชบัญญัติกฎหมายพยาน มาตรา 6 |
พระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลยุติธรรม | |
พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง ร.ศ. 127 | |
กฎเสนาบดีเรื่องการดำเนินคดีอย่างคนอนาถา | |
กฎเสนาบดีเรื่องอัตราธรรมเนียมค่าทนายความ | |
ห้ามนำคดีที่ศาลโปริสภาตัดสินแล้วฟ้องต่อศาลแพ่งและศาลอาญา | |
การเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยในคดีอาญาข้อหาลักทรัพย์ |
- ให้อำนาจศาลเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร
ฯลฯ
พระราชกรณียกิจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือในปี พ.ศ. 2440 ได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้น โดยมีเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ (โรลังยัคมินส์) เป็นที่ปรึกษา และพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเข้าสอนเป็นประจำ ต่อมาได้จัดให้มีการสอบไล่ขึ้นด้วย ในปีแรกที่มีการสอบปรากฏว่ามีผู้สอบผ่านเพียง 9 คนจากจำนวนกว่าร้อยคน และแม้ใน 14 ปีแรกมีผู้สอบผ่านเพียง 129 คนเท่านั้น แต่ก็ถือเป็นการผลิตนักกฎหมายที่มีคุณภาพให้สังคมเป็นอย่างมาก ต่อมายังทรงเป็นประธานกรรมการตรวจชำระกฎหมาย, กรรมการตรวจตัดสินความฎีกา และกรรมการตรวจร่างกฎหมายลักษณะอาญาอีกด้วย
พระเกียรติยศ
แก้ธรรมเนียมพระยศของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ | |
---|---|
ธงประจำพระอิสริยยศ | |
ตราประจำพระองค์ | |
การทูล | ใต้ฝ่าพระบาท |
การแทนตน | ข้าพระพุทธเจ้า |
การขานรับ | พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ |
พระอิสริยยศ
แก้- พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ (พ.ศ. 2419 - 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442)
- พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442 - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453)[18]
- พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455)[19]
- พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 - 7 สิงหาคม พ.ศ. 2463)[20]
ภายหลังสิ้นพระชนม์
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478)[21]
พระยศ
แก้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ | |
---|---|
รับใช้ | กระทรวงยุติธรรม กระทรวงเกษตราธิการ กองเสือป่า |
ชั้นยศ | มหาอำมาตย์เอก มหาเสวกเอก นายกองตรี |
พระยศพลเรือน
แก้- 7 สิงหาคม พ.ศ. 2454: มหาอำมาตย์เอก[22]
- มหาเสวกเอก
พระยศเสือป่า
แก้- 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460: นายกองตรี[23]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
แก้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังต่อไปนี้[13]
- พ.ศ. 2440 – เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) (ฝ่ายหน้า)[24]
- พ.ศ. 2455 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.) (ฝ่ายหน้า)[25]
- พ.ศ. 2443 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ (ป.จ.ว.)[26]
- พ.ศ. 2442 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)[27]
- พ.ศ. 2441 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)[28]
- พ.ศ. 2439 – เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา (ร.ด.ม.(ศ))[29]
- พ.ศ. ไม่ปรากฎ – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 2 (จ.ป.ร.2)
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 2 (ว.ป.ร.2)
- พ.ศ. 2441 – เหรียญราชินี (ส.ผ.)[30]
พระสมัญญา
แก้- พระบิดาแห่งกฎหมายไทย[31]
สถานที่อันเนื่องด้วยพระนาม
แก้- สถาบันวิจัยรพีพัฒนศักดิ์ สำนักงานศาลยุติธรรม
- อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
รถยนต์พระที่นั่ง
แก้พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เสด็จไปทอดพระเนตรโรงงานผลิตรถยนต์ของบริษัท Diamler - Motorin - Gesellschaft ในปี พ.ศ. 2447 และทรงว่าจ้างให้บริษัทดังกล่าวประกอบรถยนต์ขึ้นจำนวน 1 คัน โดยเป็นรถเมอร์ซิเดส - เดมเลอร์สีเหลืองหลังคาเปิดประทุนซึ่งต่อมาพระองค์จึงทรงถวายรถคันนี้แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงราชบุรีฯ สั่งซื้อรถเมอร์ซิเดส - เดมเลอร์สีแดงเข้ามาอีก 1 คัน แต่ปรากฏว่าไอน้ำมันระเหยขึ้นติดตะเกียงไฟลุกไหม้ประตูรถเสียหายไป 1 บาน หลังจากที่ซ่อมแซมเสร็จแล้วจึงนำขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงพระราชทานนามรถพระที่นั่งคันนี้ว่า "แก้วจักรพรรดิ์"
การระลึก
แก้วันรพี
แก้นักกฎหมายได้ถือเอาวันสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ คือวันที่ 7 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันรพีเพื่อเป็นวันรำลึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ที่มีต่อวงการกฎหมายไทย โดยจะมีการจัดกิจกรรมวันรพีที่อนุสาวรีย์พระรูปพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ หน้าสำนักงานศาลยุติธรรม โดยมีการจัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507[32]
อนุสาวรีย์พระรูปหน้าสำนักงานศาลยุติธรรม
แก้เมื่อ พ.ศ. 2498 คณะกรรมการเนติบัณฑิตยสภาได้มีมติจัดสร้างอนุสาวรีย์พระรูปพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ขึ้น โดยได้จัดการเรี่ยไรเงินจำนวน 500,000 บาท ต่อมาวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2507 ได้รับเงินบริจาครวมทั้งหมดเป็นจำนวน 296,546.75 บาท ซึ่งก็ยังไม่ครบตามจำนวนที่ตั้งไว้ แต่แม้จำนวนเงินบริจาคนั้นจะยังไม่ครบ แต่ในส่วนของตัวอนุสาวรีย์นั้นได้มีการปั้นเสร็จในปี พ.ศ. 2506 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอนุสาวรีย์พระรูปพระองค์เจ้ารพีพัฒน์ศักดิ์ในวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2507
พงศาวลี
แก้พงศาวลีของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
หมายเหตุ
แก้- ↑ เอกสาร ข่าวสิ้นพระชนม์ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา และเว็บไซต์ทางการต่าง ๆ มีการระบุว่าสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษา 47 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่นับเรียงปี คือนับรวมปีที่ประสูติและปีที่สิ้นพระชนม์เข้าไปด้วย จึงเป็นตัวเลขที่ผิด พระชันษาที่ถูกต้องคือ 45 ปี
อ้างอิง
แก้- เชิงอรรถ
- ↑ บรรเจิด อินทุจันทร์ยง. ราชสกุลพระบรมราชวงศ์จักรี -- กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, พ.ศ. 2539. หน้า 587 (ISBN 9740056508)
- ↑ สัมภาษณ์ หม่อมราชวงศ์นภาจรี ทองแถม วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2546
- ↑ 3.0 3.1 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ : พระบิดาแห่งกฎหมายไทย, หน้า 43
- ↑ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สมุดพิเศษเล่ม 16. หน้า 99-100
- ↑ บรรเจิด อินทุจันทร์ยง. ราชสกุลพระบรมราชวงศ์จักรี -- กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, พ.ศ. 2539. หน้า 589 (ISBN 9740056508)
- ↑ พระราชพิธีโสกันต์
- ↑ "ข่าวราชการและพระเจ้าลูกเธอทรงผนวช" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 1 (21): 178–180. 29 มิถุนายน จ.ศ. 1247. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ↑ "พระเจ้าลูกเธอลาผนวช" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 1 (24): 214. 15 กรกฎาคม จ.ศ. 1247. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ↑ "พระบรมราชโองการ ประกาศเปลี่ยนตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 13 (48): 576. 8 มีนาคม ร.ศ. 115. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ↑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ : พระบิดาแห่งกฎหมายไทย, หน้า 411
- ↑ สัมภาษณ์หม่อมราชวงศ์อคิน รพีพัฒน์ วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2546
- ↑ บันทึกการสิ้นพระชนม์
- ↑ 13.0 13.1 ราชกิจจานุเบกษา, ข่าวสิ้นพระชนม์, เล่ม 37, 15 สิงหาคม พ.ศ. 2463, หน้า 1480
- ↑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ : พระบิดาแห่งกฎหมายไทย, หน้า 439
- ↑ ประวัติเจ้าพระยายมราช พระนิพนธ์ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หน้า 47
- ↑ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, จุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ พระนามพระราชโอรส พระราชธิดา และพระราชนัดดา, สำนักพิมพ์บรรณกิจ, พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2548, 136 หน้า, ISBN 974-221-746-7
- ↑ กิติวัฒนา (ไชยันต์) ปกมนตรี, หม่อมราชวงศ์. สายพระโลหิตในพระพุทธเจ้าหลวง. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มดี, พ.ศ. 2551. 290 หน้า. ISBN 978-974-312-022-0
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศในการพระราชทานพระสุพรรณบัตร, เล่ม 16, ตอน 34, 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442, หน้า 482-483
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ คำนำพระนามพระบรมวงษานุวงษ์, เล่ม 27, ตอน ก, 30 ตุลาคม พ.ศ. 2453, หน้า 1
- ↑ "พระบรมราชโองการ ประกาศ เลื่อนและตั้งกรมพระองค์เจ้า และเจ้าพระยา" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 29 (ก): 246–247. 13 พฤศจิกายน ร.ศ. 131. สืบค้นเมื่อ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศคำนำพระนามพระบรมวงศานุวงศ์, เล่ม 52, ตอน 0 ง, 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2478, หน้า 1179
- ↑ "พระบรมราชโองการ ประกาศพระราชทานยศ แก่ ข้าราชการ กระทรวงยุติธรรม (ประกาศ ณ วันที่ 7 สิงหาคม 130" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 28: 929. 13 สิงหาคม 2454. สืบค้นเมื่อ 4 มีนาคม 2564.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "พระราชทานยศเสือป่า" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 34: 1276. 29 กรกฎาคม 2460. สืบค้นเมื่อ 4 มีนาคม 2564.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม 14, ตอน 41, 9 มกราคม ร.ศ. 116, หน้า 701
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม 29, ตอน 0 ง, 24 พฤศจิกายน ร.ศ. 131, หน้า 1902
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เล่ม 17, ตอน 35, 25 พฤศจิกายน ร.ศ. 119, หน้า 501
- ↑ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
- ↑ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, เครื่องยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่พระราชทาน, เล่ม 13, ตอน 1, หน้า 24
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญราชินี, เล่ม 15, ตอน 26, 21 กันยายน ร.ศ. 117, หน้า 283
- ↑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ : พระบิดาแห่งกฎหมายไทย, หน้า 454
- ↑ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
- บรรณานุกรม
- นิกร ทัสสโร. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ : พระบิดาแห่งกฎหมายไทย -- กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, 2549. หน้า 83 (ISBN 9740056508)
- สมชาย ปรีชาศิลปกุล (2546). ความยอกย้อนในประวัติศาสตร์ของบิดาแห่งกฎหมายไทย (PDF). กรุงเทพฯ: วิญญูชน. ISBN 9749645065.
- สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. ราชสกุลวงศ์. พิมพ์ครั้งที่ 14, กรุงเทพฯ : สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2554. 296 หน้า. หน้า 84. ISBN 978-974-417-594-6
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- สมชาย ปรีชาศิลปกุล. "ความยอกย้อนในประวัติศาสตร์ของบิดาแห่งกฎหมายไทย." ศิลปวัฒนธรรม 23, 9 (ก.ค. 2545): 70-86; 23, 10 (ส.ค. 2545): 82-89.
ก่อนหน้า | พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร (พ.ศ. 2437 – 2439) |
เสนาบดีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พ.ศ. 2440 – 2453) |
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร (พ.ศ. 2453 – 2455) | ||
เจ้าพระยาพลเทพ (พุ่ม ศรีไชยยันต์) | เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ (พ.ศ. 2455 – 2463) |
เจ้าพระยาพลเทพ (เฉลิม โกมารกุล ณ นคร) (พ.ศ. 2463 – 2473) |