นครน่าน เป็นนครรัฐบนที่ราบลุ่มแม่น้ำน่าน โดยแยกตัวออกมาจากการปกครองของเมืองเชียงใหม่ในสมัยพระเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2269 - พ.ศ. 2294) และต่อมาเป็นประเทศราชของอาณาจักรพม่าแห่งราชวงศ์อลองพญาและอาณาจักรธนบุรีตามลำดับ ในปี พ.ศ. 2331 สมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 57 และองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2329 - พ.ศ. 2353) ได้เสด็จลงมากรุงเทพฯ เพื่อขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นข้าขอบขัณฑสีมาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี นครน่านจึงมีสถานะเป็นประเทศราชของอาณาจักรสยาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นครน่าน

พ.ศ. 2270–พ.ศ. 2442
  อาณาเขตนครน่าน (สีม่วงด้านบน)
สถานะนครรัฐเอกราชโดยพฤตินัย
(พ.ศ. 2270 - พ.ศ. 2300)
ประเทศราชของราชวงศ์อลองพญา
(พ.ศ. 2300 - พ.ศ. 2317)
 เมืองเทิง (พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2329)
ประเทศราชของอาณาจักรธนบุรี
(พ.ศ. 2318 - พ.ศ. 2323)
ประเทศราชของอาณาจักรรัตนโกสินทร์
(พ.ศ. 2326 - พ.ศ. 2442)
เมืองหลวงนครน่าน
(พ.ศ. 2270 - พ.ศ. 2318)
เมืองท่าปลา
(พ.ศ. 2318 - พ.ศ. 2320)
เมืองอวน
(พ.ศ. 2320 - พ.ศ. 2321)
เมืองงั่ว
(พ.ศ. 2321 - พ.ศ. 2323)
เมืองเทิง
(พ.ศ. 2325 - พ.ศ. 2329)
เมืองท่าปลา
(พ.ศ. 2326 - พ.ศ. 2331)
เมืองงั่ว
(พ.ศ. 2331 - พ.ศ. 2337)
เมืองพ้อ
(พ.ศ. 2337 - พ.ศ. 2344)
นครน่าน (เวียงใต้)
(พ.ศ. 2344 - พ.ศ. 2362)
นครน่าน (เวียงเหนือ)
(พ.ศ. 2362 - พ.ศ. 2400)
นครน่าน (เวียงใต้)
(พ.ศ. 2400 - พ.ศ. 2442)
ภาษาทั่วไปคำเมือง , ไทลื้อ
ศาสนา
พุทธ (เถรวาท)
การปกครองราชาธิปไตย ภายใต้อาณาจักรหลักคำ
(กฎหมายเมืองน่าน)
เจ้าผู้ครองนคร 
• พ.ศ. 2269 - พ.ศ. 2294
พระเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ (องค์แรก)
• พ.ศ. 2329 - พ.ศ. 2353
เจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ
• พ.ศ. 2395 - พ.ศ. 2435
พระเจ้าอนันตวรฤทธิเดช
• พ.ศ. 2436 - พ.ศ. 2461
พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช
• พ.ศ. 2462 - พ.ศ. 2474
เจ้ามหาพรหมสุรธาดา (องค์สุดท้าย)
ประวัติศาสตร์ 
• พม่าสิ้นอิทธิพลจากดินแดนล้านนาตอนล่าง
พ.ศ. 2270
• สวามิภักดิ์ต่อกรุงธนบุรี
พ.ศ. 2318
• สวามิภักดิ์ต่อกรุงรัตนโกสินทร์
พ.ศ. 2331
• สยามรับรองสถานะประเทศราช
พ.ศ. 2343
• ย้ายเมืองน่านไปอยู่บริเวณดงพระเนตรช้าง
พ.ศ. 2362
• ตั้งอาณาจักรหลักคำ (กฎหมายเมืองน่าน)[note 1]
พ.ศ. 2396
• ย้ายเมืองน่านจากเวียงเหนือ (บริเวณดงพระเนตรช้าง) กลับไปยังเวียงใต้
พ.ศ. 2400
พ.ศ. 2442
พื้นที่
พ.ศ.2446[1]36,972 ตารางกิโลเมตร (14,275 ตารางไมล์)
ประชากร
• ประมาณ
397,326 คน (พ.ศ. 2460)[2]
สกุลเงินเงินทอกน่าน[3], เงินเจียงน่าน
ก่อนหน้า
ถัดไป
2270:
หัวเมืองเชียงใหม่
2347:
นครรัฐเชียงแสน
2436:
อาณาจักร
หลวงพระบาง
2442:
มณฑลลาวเฉียง
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ

ประวัติศาสตร์

แก้

การก่อตัวของรัฐ

แก้

ในปี พ.ศ. 2270 กบฏตนบุญเทพสิงห์ โค่นล้มผู้ปกครองพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ทำให้เกิดสภาวะสุญญากาศทางการเมืองในดินแดนล้านนาตอนล่าง แม้ว่าพม่าพยายามที่จะย้ายศูนย์กลางการปกครองไปยังเมืองเชียงแสน[4] แต่หัวเมืองล้านนาตอนล่างต่างแยกตัวเป็นอิสระจากพม่า ได้แก่ นครเชียงใหม่ นครน่าน นครลำปาง นครลำพูน นครแพร่ หัวเมืองล้านนาเหล่านี้แตกแยกออกเป็นเมืองต่างๆ ปกครองตนเองเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน ในลักษณะเดียวกับชุมนุมต่างๆ หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 พระเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ ผู้ซึ่งถูกสถาปนาแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์พม่าแห่งราชวงศ์ตองอู ให้เป็นเจ้าผู้ครองนครน่านได้ไม่นาน ได้สั่งสมฐานอำนาจในนครน่าน ทำให้สามารถปกครองเมืองน่านได้อย่างยาวนานโดยไม่ถูกอำนาจพม่าแทรกแซงและสามารถสืบทอดอำนาจการปกครองในนครน่านต่อไปได้ภายใต้ราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์[5]

ต่อมาราชวงศ์อลองพญา สามารถรวบรวมอาณาจักรพม่าให้เป็นปึกแผ่น ได้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2300 และทำให้นครต่างๆ ในดินแดนล้านนาต่างส่งบรรณาการมาสวามิภักดิ์[6] ในปี พ.ศ. 2306 กองทัพพม่าเข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ที่ยังคงตั้งตัวเป็นอิสระอยู่ พร้อมทั้งปราบปรามหัวเมืองอื่นๆ ในดินแดนล้านนา แต่ผู้ปกครองพม่าไม่สามารถควบคุมเมืองต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์[5] นครน่าน ร่วมกับเมืองต่างๆ ก่อกบฏต่อพม่า จนกระทั่งนครน่านถูกตีแตกในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311[7]

นครน่านระหว่างสงครามพม่า-สยาม

แก้

หลังจากนครน่านถูกตีแตก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311 ราชสำนักพม่าได้เข้ามาควบคุมการแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่านลำดับถัดมา คือ เจ้านายอ้าย เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 53 และองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ และเจ้ามโน เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 54 และองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ หลังจากกรุงธนบุรีได้เมืองเชียงใหม่ เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ได้เกลี้ยกล่อมเจ้าฟ้าเมืองน่านให้เข้าสวามิภักดิ์ต่อกรุงธนบุรี และฝ่ายกรุงธนบุรีได้ตั้งเจ้าวิธูรขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครน่านในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2318 โดยเจ้ามโนราชา ทรงยินยอมสละอำนาจและเดินทางออกจากนครน่านไป ฝ่ายพม่าที่เมืองเชียงแสนเมื่อทราบว่าเมืองน่านหันไปขึ้นกับอาณาจักรธนบุรีแล้ว จึงยกทัพเข้าโจมตีเมืองน่านในเดือนเมษายนทำให้เจ้าวิธูรต้องอพยพเชื้อพระวงศ์และชาวเมืองน่านหนีออกจากเมือง ต่อมาพระยากาวิละ เจ้าผู้ครองนครลำปาง ได้กล่าวหาว่าเจ้าวิธูร เป็นกบฏต่อกรุงธนบุรีและจับกุมเจ้าวิธูรลงไปยังกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2321 ในปีเดียวกัน เจ้ามโน นำผู้คนเข้ามาตั้งที่เมืองงั่ว กระทั่งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2323 กองทัพพม่าและเมืองยอง ยกมากวาดต้อนชาวเมืองน่านและเจ้ามโนไปยังเมืองเชียงแสน[7] เมืองน่านจึงกลายเป็นเมืองร้าง

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2325 พม่าให้เจ้ามโนนำชาวเมืองน่านมาตั้งอยู่ที่เมืองเทิง ปีถัดมาสยามสนับสนุนพระยามงคลวรยศเป็นเจ้าเมืองน่าน โดยตั้งอยู่ที่เมืองท่าปลา เจ้ามโนถึงแก่พิราลัยในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2327 ฝ่ายพม่าจึงสนับสนุนเจ้าอัตถวรปัญโญเป็นเจ้าเมืองน่านที่เมืองเทิง ภายหลังเมื่อ พ.ศ. 2329 เจ้าอัตถวรปัญโญได้ลงมาจากเมืองเทิง และปรึกษากับพระยามงคลวรยศที่เมืองท่าปลา ว่าจะขอเข้าสวามิภักดิ์กับฝ่ายสยาม พระยามงคลวรยศจึงยกราชสมบัติให้เจ้าอัตถวรปัญโญ[8]

การฟื้นฟูนครน่านและการขยายอำนาจ

แก้

ครั้งล่วงมาในปี พ.ศ. 2331 เจ้าอัตถวรปัญโญได้ลงมาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเพื่อขอเป็นข้าขอบขันฑสีมา หลังจากเจ้าอัตถวรปัญโญขึ้นครองเมืองน่าน ก็ยังมิได้เข้าไปอยู่เมืองน่านเสียทีเดียว เนื่องจากเมืองน่านยังรกร้างอยู่ เจ้าอัตถวรปัญโญได้ย้ายไปอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ คือ เมืองงั่วและเมืองพ้อ หลังจากเจ้าอัตถวรปัญโญได้บูรณะซ่อมแซมเมืองน่านแล้ว จึงได้ขอพระบรมราชานุญาตกลับเข้ามาอยู่ในเมืองน่านในปี พ.ศ. 2344

หลังจากได้รับสถานะประเทศราชของสยาม นครน่านร่วมมือกับนครเชียงใหม่ นครลำปาง และนครแพร่ขยายอำนาจสู่ดินแดนของเชียงแสนซึ่งยังคงถูกปกครองโดยพม่า[4] จนในที่สุดก็สามารถทำลายเมืองเชียงแสนได้ในปี พ.ศ. 2347 ทำให้พม่าสูญสิ้นอิทธิพลไปจากล้านนาอย่างถาวร รัชกาลที่ 1 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าฟ้าหลวงเมืองน่าน มีพระนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้าหลวงอัตถวรปัญโญ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเจ้าสมณะ ผู้เป็นพระมาตุลา (น้าชาย) ในสมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญขึ้นเป็น พระยาอุปราช เมืองน่าน หรือที่ราชสำนักนครน่านเรียกว่า พระยามหาอุปราชา เจ้าหอหน้า ดินแดนของเชียงแสนถูกตัดแบ่งให้กับนครเชียงใหม่และนครน่าน โดยนครน่านได้รับเมืองแก่นท้าว เมืองเทิง เมืองเชียงคำ และเมืองเชียงของ ซึ่งเปิดเส้นทางสู่กลุ่มนครรัฐไทลื้อในดินแดนสิบสองปันนาให้แก่นครน่าน[5]

พ.ศ. 2348 เจ้าอัตถวรปัญโญยกทัพขึ้นไปโจมตีกลุ่มนครรัฐไทลื้อ ทำให้นครน่านได้เมืองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาไว้ในอำนาจ เช่น เมืองภูคา รัฐเชียงแขง รวมถึงทำให้เมืองเชียงรุ่งยอมสวามิภักดิ์ต่อสยาม[9] อย่างไรก็ตาม นครน่านและนครเชียงใหม่ไม่สามารถรักษาอิทธิพลเหนือเชียงรุ่งไว้ได้ แม้ว่าจะพยายามเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในเชียงรุ่งหลายครั้ง จนกระทั่งเลิกล้มความพยายามไปหลังจากสยามตีเชียงตุงไม่สำเร็จในปี พ.ศ. 2397[5]

นครน่านถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรสยาม

แก้

ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 สยามเริ่มได้รับผลกระทบจากการขยายอำนาจของชาติตะวันตก ในปี พ.ศ. 2434 รัฐเชียงแขงอาศัยปัญหาอำนาจในการปกครองที่ไม่ชัดเจนขอแยกตัวออกจากนครน่านและขึ้นตรงต่อสยาม[5] ต่อมากรณีพิพาทในปี พ.ศ. 2436 ทำให้สยามต้องยอมสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส ซึ่งมีอาณาเขตบางส่วนของนครน่านรวมอยู่ด้วย สยามจึงเร่งผนวกประเทศราชต่างๆเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ในปี พ.ศ. 2442 สยามประกาศจัดตั้งมณฑลลาวเฉียง ทำให้สถานะประเทศราชของนครน่านสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม เจ้าผู้ครองนครน่านยังคงมีตำแหน่งเจ้าและมีอำนาจในการปกครองบางส่วน[5] จนกระทั่งสยามเริ่มมีนโยบายไม่แต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครในปี พ.ศ. 2469[10] ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครน่านจึงสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2474

 
อาณาเขตของนครน่านก่อนและหลังสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 112 โดยเฮอร์เบิร์ต วาริงตัน สมิธ เจ้ากรมราชโลหกิจและภูมิวิทยาของสยาม ระหว่าง พ.ศ. 2438-2439[11]

ความสัมพันธ์กับสยาม

แก้

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2331 เป็นต้นมา นครน่าน มีสถานะเป็นประเทศราชของอาณาจักรสยาม พระมหากษัตริย์สยามเป็นผู้มีอำนาจในการสถาปนาแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่าน (เจ้าหลวง) ให้ดำรงพระยศเป็น "พระเจ้าประเทศราช", "เจ้าประเทศราช", "พระยาประเทศราช" และเจ้าผู้ครองนครน่านมีพระสถานะเป็นกษัตริย์ประเทศราช ในยุคนี้พระมหากษัตริย์สยามทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาตั้งเจ้าผู้ครองนครน่านทุกพระองค์สืบมาจนถึง เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 (พ.ศ. 2461 - พ.ศ. 2474) ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้ายแห่งนครน่าน

ถึงแม้นครน่านมีสถานะเป็นประเทศราชเป็นข้าขอบขัณฑสีมาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่เจ้าผู้ครองนครน่าน ทรงมีอำนาจสิทธิขาดในการปกครองอาณาเขตและพลเมืองของตน ถึงแม้ว่าการขึ้นครองนครจะต้องได้รับความเห็นชอบจากราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์ก็ตาม แต่โดยทางปฏิบัติแล้ว พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงให้อำนาจเจ้านายบุตรหลานและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักนครน่าน เลือกเจ้านายผู้มีอาวุโสขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครกันเอง โดยมิได้ทรงยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายใน

เจ้าผู้ครองนครน่าน ในชั้นหลังทุกพระองค์ ต่างปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความเที่ยงธรรม มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ได้ช่วยราชการบ้านเมืองสำคัญๆ หลายครั้งหลายคราวด้วยกัน เช่น ช่วยราชการสงครามเชียงแสนในรัชกาลที่ 1 ปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ในรัชกาลที่ 3 ช่วยราชการสงครามเมืองเชียงตุง ในรัชกาลที่ 4 เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ ทำนุบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาในเมืองน่าน ซ่อมแซมวัดวาอารามต่างๆ อยู่เป็นนิจ ทำให้เมืองน่านกลับคืนสู่สันติสุข ร่มเย็น ต่างจากระยะแรกๆ ที่ผ่านมา

การปกครอง

แก้

ระเบียบบริหารการปกครองภายในนครน่าน แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่

  1. เจ้าห้าขัน หรือ เจ้าขันห้าใบ (ฝ่ายเจ้านายบุตรหลานเชื้อพระวงศ์)
  2. เค้าสนามหลวง หรือ สภาขุนนาง (ฝ่ายขุนนางเสนาอำมาตย์)
  3. สำนักเจ้าผู้ครองนคร (ฝ่ายขุนนางในราชสำนัก)

เจ้าห้าขัน หรือ เจ้าขันห้าใบ

แก้

ในปี พ.ศ. 2435 เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ภายหลังเสร็จงานถวายพระเพลิงพระศพแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระบรมราชโองการให้ เจ้าราชวงษ์ (สุริยะ) ว่าที่เจ้าอุปราชนครน่าน ลงไปเฝ้าที่กรุงเทพฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนยศฐานันดรศักดิ์ เจ้าราชวงษ์ (สุริยะ) ว่าที่เจ้าอุปราชนครน่าน ขึ้นเป็น เจ้านครเมืองน่าน สืบต่อจากพระบิดา และได้รับการเฉลิมพระนามว่า "เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุร มหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน"

และเนื่องจากได้มีการแก้ไขการปกครองแผ่นดินขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2435 โดยแบ่งการปกครองหัวเมืองออกเป็นมณฑลเทศาภิบาล แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งข้าราชการผู้ใหญ่จากกรุงเทพฯ เป็นผู้แทนพระองค์ต่างพระเนตรพระกรรณ มากำกับดูแลการบริหารบ้านเมืองของเจ้าผู้ครองนคร และทรงแต่งตั้งเจ้านายบุตรหลานของเจ้าผู้ครองนคร ให้เป็นเจ้าศักดินาชั้นสัญญาบัตรลดหลั่นกันลงไปเป็นกรมการพิเศษ ช่วยเหลือการบริหารบ้านเมืองของเจ้าผู้ครองนคร

เจ้าขันห้าใบแห่งนครน่าน

แก้

ประกอบด้วย 5 ตำแหน่ง ดังนี้

  1. เจ้าผู้ครองนคร/พระเจ้าผู้ครองนคร (เจ้าหลวง หรือ กษัตริย์ประเทศราช)
  2. เจ้าอุปราช (เจ้าหอหน้า) รัชทายาทโดยตำแหน่ง
  3. เจ้าราชวงศ์
  4. เจ้าบุรีรัตน์
  5. เจ้าราชบุตร

เจ้าตำแหน่งรองและเจ้าตำแหน่งพิเศษแห่งนครน่าน

แก้

เจ้าตำแหน่งรองแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายระดับรองลงมาจากเจ้าขันห้าใบ ประกอบด้วย 10 ตำแหน่ง ดังนี้

  1. เจ้าสุริยวงษ์
  2. เจ้าราชสัมพันธวงษ์
  3. เจ้าราชภาคินัย
  4. เจ้าราชภาติกวงษ์
  5. เจ้าอุตรการโกศล
  6. เจ้าไชยสงคราม
  7. เจ้าราชดนัย
  8. เจ้าประพันธ์พงษ์
  9. เจ้าราชญาติ
  10. เจ้าวรญาติ

เจ้าตำแหน่งพิเศษแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงพระยศเป็น "พระ" ประกอบด้วย 8 ตำแหน่ง ดังนี้

  1. พระยาวังขวา (เฉพาะนครน่าน)
  2. พระยาวังซ้าย (เฉพาะนครน่าน)
  3. พระวิไชยราชา
  4. พระเมืองราชา
  5. พระเมืองไชย
  6. พระเมืองแก่น
  7. พระเมืองแก้ว
  8. พระเมืองน้อย

เค้าสนาม (สภาขุนนาง)

แก้

ระเบียบการปกครองฝ่ายธุรการนั้น ได้จัดเป็น “เค้าสนาม” เป็นที่ว่าการบ้านเมือง ซึ่งจะมีขุนนางพญาแสนท้าวกลุ่มหนึ่งเป็นผู้บริหารงานราชการส่วนกลาง การงานได้ดำเนินสำเร็จไปด้วยการประชุมปรึกษาเป็นประมาณ การงานที่ปฏิบัติในสนามนี้อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การงานที่ต้องนำขึ้นทูลเจ้าผู้ครองนครเพื่อทรงวินิจฉัยและบัญชาการอย่างหนึ่ง และการงานที่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนอันไม่มีสารสำคัญสามัญสามารถที่จะกระทำเสร็จไปได้ที่สนาม โดยไม่ต้องนำขึ้นทูลเจ้าผู้ครองนครอีกอย่างหนึ่ง

“ขุนนางเสนาเค้าสนามหลวง” ของนครน่าน มีทั้งหมดจำนวน 32 ตำแหน่ง โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ “พญาปี๊นทั้ง ๔” (หรือ “พ่อเมืองทั้ง ๔”) คือ พญาผู้เป็นใหญ่ในเค้าสนามทั้ง 4 ท่าน มียศศักดิ์เป็น “พญาหลวง ปฐมอรรคมหาเสนาธิบดี” เป็นขุนนางชั้นสูงสุดมี 1 ตำแหน่ง และ “พญาหลวง อรรคมหาเสนาธิบดี” รองลงมาอีก 3 ตำแหน่ง กับ “ขุนเมืองทั้ง ๘” เป็นขุนนางชั้นรองหัวหน้าและผู้ช่วยกรมการต่างๆ มียศศักดิ์เป็น “พญา, แสน, หลวง, ท้าว” ซึ่งเจ้าผู้ครองนครน่าน ได้ทรงแต่งตั้งให้มียศศักดิ์จัดไว้เป็นทำเนียบ ในรัชสมัย พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน มีรายนามดังต่อไปนี้

ขุนนางเสนาเค้าสนามหลวงนครน่าน

แก้

พญาปี๊น หรือ (พ่อเมืองทั้ง ๔)

ลำดับ ตำแหน่ง หน้าที่
1 พญาหลวงจ่าแสนราชาไชยอภัยนันทวรปัญญาศรีวิสุทธิมงคล
ปฐมอรรคมหาเสนาธิบดี
ผู้สำเร็จราชการบ้านเมืองทั่วไป
(ผู้แทนองค์เจ้าผู้ครองนคร)
ประธานแห่งขุนนางเสนาอำมาตย์
ในเค้าสนามหลวงทั้งปวง (มุขมนตรี)
2 พญาหลวงราชอามาตย์ อรรคมหาเสนาธิบดี รองผู้สำเร็จราชการบ้านเมือง
3 พญาหลวงราชธรรมดุลย์ อรรคมหาเสนาธิบดี หัวหน้าฝ่ายตุลาการ
4 พญาหลวงราชมนตรี อรรคมหาเสนาธิบดี หัวหน้าฝ่ายสุรัสวดีและนายทะเบียน
สักเลข (ทหาร)

พญาชั้นรอง (หัวหน้ากรม)

กรม หัวหน้ากรม ผู้ช่วย
กรมว่าการทั่วไป พญาหลวงนัตติยราชวงศา พญาราชเสนา
พญาไชยสงคราม
พญาทิพเนตร
พญาไชยราช
กรมว่าการฝ่ายโหรหลวงประจำราชสำนัก พญาหลวงราชบัณฑิต พญาสิทธิมงคล
กรมว่าการฝ่ายอักษร พญาหลวงศุภอักษร พญาพรหมอักษร
พญามีรินทอักษร
กรมว่าการฝ่ายพระคลัง (เงิน) พญาหลวงคำลือ พญาสิทธิธนสมบัติ
พญาราชสมบัติ
พญาธนสมบัติ
พญาราชสาร
กรมว่าการฝ่ายรักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง พญาหลวงราชภักดี พญาราชโกฏ
พญาราชรองเมือง
พญาอินต๊ะรักษา
พญานาหลัง
พญาแขก
กรมว่าการฝ่ายตุลาการ พญาแสนหลวงราชธรรมดุลย์ พญาสิทธิเดช
พญานราสาร
พญาไชยพิพิธ
กรมว่าการฝ่ายโยธา พญาหลวงไชยปัญญา พญานันต๊ะปัญญา
กรมว่าการธรรมการ พญาหลวงธรรมราช -
กรมว่าการฝ่ายเหมืองฝาย พญาหลวงเมฆสาคร -

ราชสำนักเจ้าผู้ครองนคร

แก้

โดยพระสถานะของเจ้าผู้ครองนคร (เดิม) ทรงเป็นประมุขหรือพระเจ้าแผ่นดินน้อยๆ เป็นเอกเทศอยู่ส่วนหนึ่งที่สำคัญของเจ้าผู้ครองนครซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินน้อยๆ จึงไม่ผิดกับพระเจ้าแผ่นดินที่ครองราชย์ในอาณาจักรใหญ่ๆ แต่อย่างใด กล่าวคือ ด้วยความเป็นใหญ่เป็นประธานในเหล่าพสกนิกร ผู้เป็นประมุขจักต้องบริหารการปกครองให้เจริญมั่นคง ดำรงแว่นแคว้นให้เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ทั่วไป เป็นผู้นำแบบความดีงามทั้งหลายทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนา นอกจากนี้ เพื่อจะยังให้พระเกียรติยศและความร่มเย็นเป็นสุขของราษฎรมีผลอันไพบูลย์ เจ้าผู้ครองนครทรงเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ย่อมจะบำเพ็ญกรณีตามคติธรรมของผู้เป็นประมุขเนื่องในทางศาสนาสืบมาแต่โบราณอันเรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" ประกอบอีกส่วนหนึ่งด้วย

ส่วนอิสริยยศประจำตัวเจ้าผู้ครองนครนั้น ก็ย่อมเป็นไปตามฐานะของบ้านเมือง ถ้าบ้านเมืองใหญ่ก็มีอิสริยยศประดับมาก บ้านเมืองน้อยก็ลดหลั่นกันลงมาตามกำลังแต่อย่างไรก็ดีทาง ราชสำนักเจ้าผู้ครองนครน่าน ก็ได้มีคติประเพณีทางฝ่ายขัตติยสืบกันมาช้านาน กล่าวคือ เมื่อมีเจ้าขึ้นครองนคร ก็จะประกอบพิธีอุสาราชาภิเษก แม้ในชั้นหลังการตั้งเจ้าผู้ครองนครจะได้เป็นโดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง ณ กรุงเทพฯ ก็ดี ก็มิได้ละประเพณีเสียที่มีมาแต่เดิม จึงมีการประกอบพิธีอุสาราชาภิเษกเจ้าผู้ครองนคร ณ ราชสำนักคุ้มหลวงนครน่าน อีกครั้งหนึ่ง “มหาขัติยราชวงษาเสนาอามาตย์ทั้งหลาย ก็อาราธนาอัญเชิญพระเป็นเจ้าขึ้นสถิตย์สำราญในราชนิเวศน์ หอคำราชโรงหลวง (คุ้มหลวง)” ซึ่งตรงกับคำว่า “การเฉลิมพระราชมณเฑียร” มีการออกพญาแสนท้าว (ขุนนาง) ต้อนรับแขกเมืองด้วยพิธี มีการออกประพาสเมืองโดยอิสสริยศด้วยกระบวนข้าราชบริพารเป็นอาทิ

นอกจากพญาแสนท้าวอันเป็นขุนนางที่เจ้าผู้ครองนครได้แต่งตั้งขึ้นไว้ เพื่อบริหารกิจการบ้านเมืองยังเค้าสนามหลวง ซึ่งเป็นการภายนอกส่วนหนึ่งแล้ว ยังอีกการภายใน อันเป็นกิจการของราชสำนักของเจ้าผู้ครองนครโดยตรง ก็จะทรงแต่งตั้ง “ขุนใน” ขึ้นไว้รับใช้การงานและประดับพระเกียรติยศของเจ้าผู้ครองนครอีกส่วนหนึ่งด้วย ทำนองข้าราชการฝ่ายราชสำนัก ซึ่งมีความมุ่งหมายเป็นส่วนใหญ่ที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้

กิจการภายในราชสำนักเจ้าผู้ครองนครน่าน แบ่งออกเป็น 5 แผนก คือ

  1. แผนกวัง
  2. แผนกเสมียนตรา
  3. แผนกมณเฑียรและอาสนะ
  4. แผนกการกุศล
  5. แผนกรับใช้

แผนกวัง

แก้

มีหน้าที่ควบคุมตรวจตรากิจการภายในคุ้มหลวงทุกอย่าง รักษาความสงบเรียบร้อยภายในคุ้มหลวง พิทักษ์องค์เจ้าผู้ครองนครด้วยกำลังคน “เจ้าใช้การใน” ที่มีประจำอยู่ จัดพิธีออกพญาแสนท้าวในคราวที่ประกอบเป็นพระเกียรติยศ พิธีออกแขกเมือง – ต้อนรับแขกเมือง จัดกองเกียรติยศเมื่อเจ้าผู้ครองนครเสด็จออกประพาส

ขุนในแผนกวัง ประกอบด้วย

  1. พญาหลวงสิทธิวังราช: หัวหน้าแผนกวัง
  2. พญาราชวัง: ผู้ช่วยแผนกวัง
  3. ท้าวอาสา: หัวหน้าคนเจ้าใช้การใน มีหน้าที่จับกุมบุคคลที่ขัดอาชญาตามบัญชาของเจ้าผู้ครองนครและมีหน้าที่ถือมัดหวายนำหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร
  4. ท้าววังหน้า: หัวหน้าคนเจ้าใช้การใน มีหน้าที่ออกหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร ในอันที่จะประกาศมิให้ผู้คนจอแจข้างหน้าทางหรือตัดหน้าฉาน กับมีคนใช้การในสำหรับที่จะเรียกใช้กระทำกิจการภายในคุ้ม 1,000 คน ในเวลาปกติมีคนเจ้าใช้การในมาเข้าเวรยาม 15 คน พวกเหล่านี้ผลัดเปลี่ยนกันมาเข้าเวรครั้งละ 2 วัน 3 คืน หมุนเวียนกันไป

แผนกเสมียนตรา

แก้

มีหน้าที่ทำหนังสือของเจ้าผู้ครองนครที่จะมีไปในที่ต่างๆ และรับคำสั่งอาชญาที่จะแจ้งไปให้เค้าสนามหลวงทราบกับมีหน้าที่เก็บสรรพหนังสือภายในหอคำ

ขุนในแผนกเสมียนตรา ประกอบด้วย

  1. พญาหลวงสิทธิอักษร: หัวหน้าแผนกเสมียนตรา

แผนกมณเฑียรและอาสนะ

แก้

มีหน้าที่พิทักษ์ดูแลหอคำหลวงและราชนิเวศน์หอคำของเจ้าผู้ครองนครและบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อชำรุด กับมีหน้าที่แต่งตั้งอาสนะเมื่อเจ้าผู้ครองนครเสด็จออกประพาสไปประทับ ณ ที่ใดที่หนึ่ง

ขุนในแผนกมณเฑียรและอาสนะ ประกอบด้วย

  1. พญาหลวงราชมณเฑียร: หัวหน้าแผนกมณเฑียร
  2. แสนหลวงราชนิเวศน์: ผู้ช่วยแผนกมณเฑียร
  3. พญาหลวงอาสนมณเฑียร: หัวหน้าแผนกอาสนะ

แผนกการกุศล

แก้

มีหน้าที่ประกอบการพระกุศลของเจ้าผู้ครองนครต่างๆ กระทำพิธีบูชาพระเคราะห์ตามคราวและมีหน้าที่บันทึกเรื่องรายงานการกุศล

ขุนในแผนกการกุศล ประกอบด้วย

  1. แสนหลวงสมภาร: หัวหน้าแผนกการกุศล
  2. แสนหลวงกุศล: ผู้ช่วยแผนกการกุศล
  3. แสนหลวงขันคำ: ผู้ช่วยแผนกการกุศล มีหน้าที่เป็นผู้ถือพานทองนำหน้าเจ้าผู้ครองนครในคราวบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ

แผนกรับใช้

แก้

มีหน้าที่รับใช้เจ้าผู้ครองนครในกิจการต่าง ๆ

ขุนในแผนกรับใข้ ประกอบด้วย

  1. แสนหลวงใน: ผู้รับใช้จับจ่ายอาหารเลี้ยงดูผู้คนในหอคำหลวง
  2. แสนหลวงต่างใจ: ผู้รับใช้กิจการต่าง ๆ

หัวเมืองขึ้นของนครน่าน

แก้

หัวเมืองขึ้นของนครน่าน พ.ศ. 2326 - พ.ศ. 2347

แก้

จากจารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีหัวเมืองขึ้นอยู่ 474 หัวเมือง จารึกดังกล่าวปรากฏอยู่บนคอสองเฉลียงระเบียงล้อมพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งได้จารึกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ระบุถึงเจ้าผู้ครองนครน่าน และหัวเมืองที่ขึ้นกับนครน่าน ดังนี้

จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ทิศเหนือ ...เมืองเชียงของ ๑ เมืองโปง ๑ เมืองเงิน ๑ เมืองสราว ๑ เมืองปัว ๑ อยู่ทางหนเหนือขึ้นกับเมืองน่าน เมืองหิน ๑ เมืองงั่ว ๑ อยู่ทางหนใต้ ขึ้นกับเมืองน่าน รวมเป็น 7 เมือง ผู้ครองเมืองน่าน มีนามว่า พระยามงคลยศประเทศราช เจ้าเมืองน่าน [12]

หัวเมืองขึ้นของนครน่าน พ.ศ. 2400 - พ.ศ. 2445

แก้

นครน่าน เป็นหัวเมืองที่มีอาณาเขตกว้างขวาง จากรายงานทางราชการของนครน่านที่มีไปถึงกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2444 - พ.ศ. 2445 ในรัชสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้าผู้ครองนครน่าน ปกครองมีหัวเมืองขึ้น 47 เมือง[13] ประกอบด้วย

การตั้งเมืองน่านในปัจจุบัน[8]

แก้

พญาผากอง กษัตริย์น่าน องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ภูคา (พ.ศ. 1904 - พ.ศ. 1929) ได้สร้างเมืองขึ้นใหม่ ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำน่านทางด้านทิศตะวันตก (ฝั่งขวา) ของแม่น้ำน่าน บริเวณบ้านห้วยไค้ (ที่ตั้งของจังหวัดน่านในปัจจุบัน) เมื่อ "ปีรวายซง้า จุลศักราชได้ ๗๓๐ ตัวเดือน ๑๒ ขึ้น ๖ ค่ำ วันอังคารยามแถหั้นแล" หรือตรงกับวันศุกร์ ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 1911 (ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 12 เหนือ) ในสมัยต่อมานครน่านมีตัวเมือง 2 แห่ง คือ "เวียงน่านเก่า" หรือเรียกว่า “เวียงใต้” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านแห่งหนึ่ง กับ "เวียงน่านใหม่" หรือเรียกว่า “เวียงเหนือ” ตั้งอยู่บนดอนข้างหลังเวียงเก่าถัดขึ้นไปอีกแห่งหนึ่ง เหตุที่มีตัวเมืองสองแห่งนั้น กล่าวคือ เริ่มตั้งแต่พญาผากองได้ย้ายมาตั้งเมืองที่ริมแม่น้ำน่านทางด้านทิศตะวันตก (ฝั่งขวา) มีกษัตริย์น่านและเจ้าผู้ครองนครน่านได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปกครองเมืองสืบวงศ์ต่อๆ กันมาหลายชั่วหลายวงศ์ จนมาถึงปี พ.ศ. 2360 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นครน่าน ได้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ กระแสน้ำได้พัดกำแพงเมืองและวัดวาอารามบ้านเรือนในเวียงน่านเก่าเสียหายเป็นจำนวนมาก

พระยาสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 58 และองค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2354 - พ.ศ. 2368) ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครในขณะนั้น จึงโปรดให้ย้ายเมืองขึ้นไปตั้งอยู่ที่บริเวณดงพระเนตรช้าง (ปัจจุบันอยู่ในเขตบ้านมหาโพธิ และบ้านเวียงเหนือ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองน่าน) อยู่ห่างจากตัวเวียงน่านเก่าขึ้นไปทางทิศเหนือ ประมาณ 2 กิโลเมตร ตัวเมืองทอดไปตามลำแม่น้ำน่าน ห่างจากแม่น้ำประมาณ 800 เมตร มีเหตุมณฑลแห่งคูเมือง คือ ด้านเหนือจดบ้านน้ำล้อม ด้านตะวันออกยาวไปตามถนนสุมนเทวราชเดี๋ยวนี้ ด้านใต้จดทุ่งนาริน ด้านตะวันตกยาวไปตามแนวของขอบสนามบินด้านนอก และใช้เวลาสร้างอยู่ 6 เดือนจึงแล้วเสร็จ (พงศาวดารเมืองน่านได้ระบุว่า) “คูเมือง ด้านตะวันออกยาว ๙๔๐ ต่า ด้านตะวันตกยาว ๗๒๘ ต่า ด้านใต้ยาว ๓๙๓ ต่า ด้านเหนือยาว ๖๗๗ ต่า ปากคูกว้าง ๕ ศอก ท้องคูกว้าง ๔ ศอก ลึก ๙ ศอก“ และได้ย้ายขึ้นไปอยู่เมืองใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2362 ปัจจุบันยังพบร่องรอยคูน้ำคันดินอยู่ เจ้าผู้ครองนครน่านประทับอยู่ที่ราชวังหอคำหลวงเวียงเหนือสืบกันมาได้ 4 พระองค์ เป็นระยะเวลา 36 ปี

ต่อมาในปี พ.ศ. 2397 ในรัชสมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 และองค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2395 - พ.ศ. 2435) ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครในขณะนั้น จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตย้ายเมืองกลับมาตั้งอยู่ที่เวียงน่านเก่าดังเดิม โปรดให้ซ่อมกำแพงเมืองให้มั่นคง โดยสร้างเป็นกำแพงอิฐ สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2400 ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าออกสู่แม่น้ำน่าน ตัวกำแพงก่ออิฐถือปูนประดับใบเสมา ตั้งอยู่บนเชิงเทิน ซุ้มประตูและป้อมเป็นทรงเรือนยอด กำแพงสูงประมาณ 6 เมตร เชิงเทินกว้าง 2.20 เมตร ใบเสมากว้าง 1 เมตร ยาว 0.90 เมตร สูง 1.20 เมตร ความสูงจากเชิงเทินถึงใบเสมาประมาณ 2 เมตร ตรงมุมกำแพงก่อป้อมไว้ทั้ง 4 แห่ง มีปืนใหญ่ประจำป้อมๆ ละ 5 กระบอก

  • กำแพงด้านทิศเหนือยาว ยาวประมาณ 900 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
    • ประตูริม - เป็นประตูเมืองที่เดินทางสู่เมืองขึ้นของนครน่านทางทิศเหนือ เช่น เมืองเชียงคำ เมืองเทิง และเมืองเชียงของ เป็นต้น
    • ประตูอมร - เป็นประตูที่เจาะขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2450
  • กำแพงด้านทิศตะวันออก ยาวประมาณ 650 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
    • ประตูชัย - เป็นประตูที่เจ้าผู้ครองนครและเจ้านายชั้นสูงใช้ในการเดินทางชลมาร์คไปกรุงเทพฯ
    • ประตูน้ำเข้ม - ใช้สำหรับติดต่อค้าขายทางน้ำ และเป็นประตูเข้าออกสู่แม่น้ำน่านของประชาชนทั่วไป
  • กำแพงด้านทิศใต้ ยาวประมาณ 1,400 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
    • ประตูเชียงใหม่ - เป็นประตูเมืองที่เดินทางไปสู่ต่างเมือง เช่น นครเชียงใหม่
    • ประตูท่าลี่ - เป็นประตูที่นำศพออกไปเผานอกเมือง ณ สุสานดอนไชย
  • กำแพงด้านทิศตะวันตก ยาวประมาณ 950 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
    • ประตูปล่องน้ำ - ใช้ในการระบายน้ำจากตัวเมืองออกสู่ด้านนอก
    • ประตูหนองห้า - เป็นประตูสำหรับคนในเมืองออกไปทำไร่ทำนา และใช้ขนผลผลิตเข้ามาในเมือง

 ลักษณะของประตูเมือง ทำเป็นซุ้ม บานประตูเป็นไม้ หลังคาประตูเป็นทรงเรือนยอดสี่เหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น มีป้อมอยู่เพียงสามป้อมอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านตะวันตกเฉียงใต้ เป็นป้อมแปดเหลี่ยม หลังคาทรงเรือนยอดซ้อนกันสองชั้น หลังคาชั้นแรกเป็นทรงแปดเหลี่ยม ชั้นที่สองเป็นทรงสี่เหลี่ยม

สภาพสังคมของเมืองน่าน ใน พ.ศ. 2400[8]

แก้

กำแพงเมือง

แก้
 
กำแพงเมืองเก่า นครน่าน

ตัวเมืองน่านหันหน้าเมืองออกสู่แม่น้ำน่านซึ่งเป็นเบื้องตะวันออก มีกำแพง 4 ด้าน ด้านยาวทอดไปตามลำน้ำน่านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวกำแพงสูงจากพื้นดินประมาณ 2 วา มีเชิงเทินกว้าง 3 ศอก ประกอบด้วยในเสมาตรงมุมกำแพงก่อป้อมไว้ทั้ง 4 แห่ง มีปืนใหญ่ประจำป้อมๆละ 4 กระบอก มีประตู 7 ประตู ที่ประตูก่อเป็นซุ้ม ประกอบด้วยใบทวารแข็งแรง กำแพงด้านตะวันออกมีประตูชัย, ประตูน้ำเข้ม ด้านตะวันตกมีประตูท่อน้ำ, ประตูหนองห่าน ด้านใต้มีประตูเชียงใหม่, ประตูท่าลี่ มีคูล้อม 3 ด้าน เว้นด้านตะวันออกซึ่งเป็นลำแม่น้ำน่านเดิมกั้นอยู่ การก่อสร้างกำแพงเมืองเมื่อครั้งแรกมาตั้งเมืองนี้ มีเรื่องเล่ากันสืบมาเป็นทำนองเทพนิยายว่า ครั้งนั้นตกอยู่ในวัสสันตฤดู มีโคอศุภราชตัวหนึ่งวิ่งข้ามแม่น้ำน่านมาจากทางทิศตะวันออก ครั้นมาถึงที่บ้านห้วยไค้ก็ถ่ายมูลและเหยียบพื้นดินทิ้งรอยไว้ เริ่มแต่ประตูชัยบ่ายหน้าไปทิศเหนือแล้ววกไปทางทิศตะวันตกเป็นวงกลมสี่เหลี่ยมมาบรรจบรอยเดิมที่ประตูชัย แล้วก็นิราศอันตรธานไป ลำดับกาลนั้น พระยาผากองดำริที่จะสร้างนครขึ้นใหม่ ครั้นได้ประสบรอยโคอันหากกระทำไว้เป็นอัศจรรย์ พิเคราะห์ดูก็ทราบแล้วว่าสถานที่บริเวณรอบโคนั้นเป็นชัยภูมิดี สมควรที่จะตั้งนครได้ จึงได้ย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านห้วยไค้นั้น และก่อกำแพงฝังรากลงตรงแนวทางที่โคเดินถ่ายมูลไว้มิได้ทิ้งรอยแนวกำแพงจึง มิสู้จะตรงนัก เพราะเป็นกำแพงโดยโคจร เรื่องนี้จะมีความจริงหรือไม่เพียงไรก็ตามเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติของเมืองนี้ ซึ่งชาวเมืองก็ยังนิยมเชื่อถือว่าเป็นความจริง และนำเอาคติที่เชื่อว่าโคเป็นผู้บันดาลเมืองมาทำรูปโคติดไว้ตามจั่วบ้านเรือนเพื่อเป็นศิริมงคลอยู่ทั่วไป จึงนำมากล่าวไว้ด้วย

ประตูเมืองเป็นด่านสำคัญชั้นในของเมือง ในเวลาที่บ้านเมืองไม่ใคร่จะปกติราบคาบจึงต้องมีการรักษากันแข็งแรง ประตูเมืองทั้ง 7 นี้ มีนายประตูเป็นผู้รักษา มีหน้าที่ในการปิดเปิดประตูตามกำหนดเวลา คือ ปิดเวลาประมาณ 22.00 น. และเปิดในเวลาประมาณ 05.00 น. ถ้าเป็นเวลาที่ประตูปิดตามกำหนดเวลาแล้ว จะเปิดให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าออกไม่ได้ และทั้งมีอาชญาของเจ้าผู้ครองบังคับเอาโทษแก่ผู้ที่ปีนข้ามกำแพงไว้ด้วย นายประตูเป็นผู้ที่เจ้าผู้ครองได้แต่งตั้งไว้ได้รับศักดิ์เป็นแสนบ้าง ท้าวบ้าง มีบ้านเรือนประจำอยู่ใกล้ๆ ประตูนั่นเอง ให้มีผลประโยชน์คือในฤดูเดือนยี่หรือเดือนสาม ซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวข้าว เจ้านายท้าวพญาและราษฎรภายในกำแพงเมืองทั้งปวง เมื่อขนข้าวจากนาเข้ามาในเมืองทางประตูใด ก็ให้นายประตูนั้นมีสิทธิเก็บกักข้าวจากผู้นำเข้ามาได้หาบละ 1 แคลง (ประมาณ 1 ทะนาน) นอกจากนี้ นายประตูยังได้สิ่งของโดยมากเป็นอาหารจากผู้ที่ผ่านเข้าออกประตูเป็นประจำวันโดยนำตะกร้าหรือกระบุงไปแขวนไว้ที่หน้าประตูอันสุดแล้วแต่ใครจะให้อีกด้วย

อาชญาของเมืองที่ต้องมีนายประตูดังกล่าวแล้วนี้ ได้เลิกไปเมื่อสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เป็นเจ้าเมืองน่าน

คุ้มหลวง - หอคำ

แก้
 
หอคำหลวงนครน่าน สร้างในสมัยพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช

ตรงใจกลางเมืองเป็นที่อยู่ของเจ้าผู้ครองนคร เรียกว่าคุ้มหลวงและหอคำ “คุ้ม” ตรงกับภาษาไทยใต้เรียกว่า “วัง” คุ้มหลวง ก็คือวังใหญ่นั่นเอง และ “หอคำ” นั้นตรงกับภาษาไทยใต้เรียกว่า “ตำหนักทอง” อันสร้างขึ้นไว้ในบริเวณคุ้มหลวงเป็นเครื่องประดับเกียรติยศ

บรรดาเมืองประเทศราชในลานนาไทยทั้งปวง ย่อมมีบริเวณที่คุ้มหลวงสำหรับเมือง ใครได้เป็นเจ้าเมืองจะเป็นโดยได้สืบทายาทหรือไม่ก็ตาม ย่อมย้ายจากบ้านเดิมไปอยู่ในคุ้มหลวงทุกคน แต่ส่วนเหย้าเรือนในคุ้มหลวงนั้นแต่ก่อนสร้างเป็นเครื่องไม้ ถ้าเจ้าเมืองคนใหม่ไม่พอใจจะอยู่ร่วมเรือนกับเจ้าเมืองคนเก่าก็ย่อมจะให้รื้อถอนเอาไปปลูกถวายวัด (ยังปรากฏเป็นกุฏิวิหารของวัดที่เมืองน่านบางแห่ง) แล้วสั่งกะเกณฑ์ให้สร้างเรือนขึ้นอยู่ตามชอบใจของตน ส่วนหอคำนั้น มิได้มีทุกเมืองประเทศราช เพราะหอคำเป็นเครื่องประดับเกียรติพิเศษสำหรับตัวเจ้าผู้ครอง ต่อเจ้าผู้ครองเมืองคนใดได้รับเกียรติเศษสูงกว่าเจ้าผู้ครองเมืองโดยสามัญ ก็สร้างหอคำขึ้งเป็นที่อยู่เฉลิมเกียรติยศ

หอคำเมืองน่าน เพิ่งมีขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2400 มีเรื่องปรากฏในพงศาวดารเมืองน่านว่าเมื่อพระยาอนันตยศย้ายกลับมาตั้งอยู่ที่เมืองเก่าแล้ว ต่อมาอีกปีหนึ่ง พ.ศ. 2399 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระยาอนันตยศเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่าน มีเกียรติยศสูงกว่าเจ้าเมืองน่านคนก่อนๆ ซึ่งเคยมียศเป็นแต่พระยา ฉะนั้นในปี พ.ศ. 2400 เจ้าอนันตวรฤทธิเดชจึงสร้างหอคำขึ้นและให้เปลี่ยนชื่อคุ้มหลวงว่า “คุ้มแก้ว” เพื่อให้วิเศษเป็นตามลักษณะของหอคำ

หอคำที่สร้างขึ้นในครั้งนั้น ตัวเรือนเป็นเครื่องไม้ เป็นตัวเรือนรวมอยู่ในคุ้มแก้ว 7 หลัง โดยเฉพาะตัวเรือนที่เป็นหอคำมีห้องโถงใหญ่ นับว่าเป็นทำนองท้องพระโรงสำหรับเป็นที่ว่าราชการ

เมื่อเจ้าอนันวรฤทธิเดชถึงแก่พิราลัยแล้ว เจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช ได้เป็นเจ้าผู้ครองนครเมื่อ พ.ศ. 2436 ก็เข้าไปอยู่ในคุ้มแก้ว แต่ให้กลับเรียกว่า “คุ้มหลวง” เป็นไปตามเดิม ครั้นล่วงเวลามาอีก 10 ปี ถึง พ.ศ. 2446 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช จึงรื้อหอคำเก่าไปถวายวัดและสร้างหอคำเป็นตึกขึ้นแทน ยังถาวรอยู่มาจนทุกวันนี้ ซึ่งขณะนี้ทางราชการได้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจังหวัดน่าน

ภายในบริเวณคุ้มแก้ว มีโรงม้า โรงแต๊ก โรงแต๊กนั้นถือเป็นที่เก็บเครื่องอาวุธ หอดาบ ง้าวปืนและกระสุนดินดำ อันมีไว้สำหรับบ้านเมืองในอันที่จะใช้ในการทัพศึก

ณ ลานหน้าคุ้มแก้วเป็นที่ตั้งโรงช้าง ซึ่งเป็นพาหนะที่สำคัญของบ้านเมืองในสมัยนั้น บ้านเมืองที่เป็นเมืองชั้นราชธานี ย่อมจะรวบรวมสะสมช้างไว้มากทุกเมือง ยิ่งเป็นท้องที่ในภาคพายัพนี้แล้วช้างเป็นสิ่งจำเป็นในการลำเลียงและการทัพศึก ในสมัยนั้นเป็นอันมาก

สนาม

แก้

ณ เบื้องขวาของคุ้ม ตรงข้ามวัดพรหมมินทร์และที่โรงเรียนจุมปีวนิดาตั้งอยู่เดี๋ยวนี้เป็นที่ตั้งศาลาว่าการบ้านเมือง เรียกว่า “สนาม” ถัดไปเป็นศาลาสุรอัยการ ๒ หลัง (สุรเพ็ชฌฆาต, อัยการ – คนใช้, คนเวร) คือเป็นที่สำนักของพวกเพ็ชฌฆาต และเป็นที่เก็บสรรพเอกสารของบ้านเมือง ซึ่งมีคนเวรอยู่ประจำ ถัดไปเป็นคอก (เรือนจำ) จะได้กล่าวต่อไปในเรื่องการปกครอง

ฉาง

แก้

ณ ศาลากลางจังหวัด เดิมเป็นที่ตั้งฉางของบ้านเมือง มีอยู่ 2 โรงด้วยกัน สำหรับเป็นที่เก็บเสบียงและพัสดุสิ่งของที่ใช้ในกิจการบ้านเมือง เป็นต้นว่าจำพวกเสบียงก็มี ข้าว เกลือ มะพร้าว พริก หอม กระเทียม ตลอดจนหมู เป็ด ไก่ ที่เป็นๆ สะสมไว้เป็นบางคราว และจำพวกเครื่องก็มี ขัน น้ำมันยาง ขี้ผึ้ง ดินประสิว กระดาษ เป็นต้น สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญของบ้านเมือง โดยเฉพาะเสบียงเป็นกำลังของรี้พลสำหรับป้องกันบ้านเมือง ซึ่งจะต้องมีให้พรักพร้อมอยู่เสมอ ทางบ้านเมืองได้กะเกณฑ์เอาสิ่งของเหล่านี้แก่พลเมือง เอามาขึ้นฉางไว้ทุกปี เรียกว่า “หล่อฉาง”

บ้านเรือน

แก้

ในยุคนั้นได้ความว่าเมืองน่านมีภูมิฐานบ้านเรือนเป็นปึกแผ่นคับคั่งแล้ว แต่ภายนอกกำแพงนั้นเป็นป่ารกอยู่โดยมาก มีบ้านเรือนเบาบางไม่อุ่นหนาฝาครั่งเหมือนภายในกำแพงเมืองแต่บ้านเรือนนั้นไม่ใคร่จะเป็นที่เจริญนัก เพราะเครื่องมือที่จะตัดฟันไม้ไม่มีมากเหมือนเดี๋ยวนี้ จะทำอะไรก็ไม่ใคร่สะดวก เป็นต้นว่ากระดานก็ต้องถากเอาด้วยมีดและขวานเป็นพื้น ไม่มีเลื่อยจะใช้ ราษฎรไม่มีกำลังพอที่จะทำบ้านเรือนด้วยเครื่องไม้จริงได้ จึงต้องทำด้วยไม้ไผ่ เว้นแต่เจ้านายท้าวพญาผู้ซึ่งมีอำนาจใช้กะเกณฑ์ผู้คนได้ จึงจะปลูกบ้านได้งามๆ นอกจากนี้ยังมีกฎเกณฑ์ห้ามไว้ว่าบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ภายในกำแพงเมืองก็ดี ภายนอกก็ดี จะมุงหลังคาด้วยกระเบื้องไม้ไม่ได้ด้วยถือว่าเป็นการกระทำเทียบเคียงหรือตีเสมอกับเจ้านาย มีอาชญาไว้ว่าเป็นความผิด ฉะนั้นบ้านเรือนจึงมุงหลังคาด้วยใบพลวงหรือแฝกเป็นพื้น

วัด

แก้
 
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ในปัจจุบัน

วัดวาอารามภายในกำแพงเมืองครั้งนั้นคงมีจำนวนเท่ากับปัจจุบันนี้ แต่ส่วนมากเศร้าหมองไม่รุ่งเรือง มีวัดที่สำคัญอยู่ 2 วัด คือ วัดช้างค้ำกับวัดภูมินทร์ แท้จริงกิจการฝ่ายพระศาสนานี้อาจกล่าวได้ว่า ได้ย่างขึ้นสู่ความเจริญนับแต่ พ.ศ. 2400 เป็นต้นมา ปรากฏตามพงศาวดารเมืองน่านว่า เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน เป็นผู้มากด้วยศรัทธาแก่กล้าด้วยการบริจาคในอันที่จะเชิดชูพระศาสนาให้รุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง ในชั้วชนมายุกาลของท่านจึงเต็มไปด้วยเรื่องการสร้างบูรณะปฏิสังขรณ์โบสถ์ วิหาร เจดียสถาน ตามวัดทั้งในเมืองและนอกเมือง และสร้างคัมภีร์พระสูตรพระธรรมขึ้นไว้เกือบตลอดสมัย ความเจริญในฝ่ายพระศาสนาที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ย่อมเป็นผลนับเนื่องในเนื้อนาบุญของท่านที่ได้ปลูกฝังไว้ด้วยดีแล้วส่วนหนึ่ง

ตลาด

แก้

การค้าขายแลกเปลี่ยนคงกระทำกันแต่ที่กาดมั่ว (ตลาด) แห่งเดียวแท้จริง ที่เรียกว่าตลาดนี้ ยังไม่ถูกต้องดี เพราะตลาดในครั้งนั้นยังไม่มีตัวเรือนโรง เพียงแต่มีข้าวของอะไรก็นำมาวางขายกันตามสองฟากข้างถนนเท่านั้น ตำบลที่นัดตลาดอยู่ในกำแพงเมืองที่ถนนผากองเดี๋ยวนี้ตรงหน้าคุ้มข้างวัดช้างค้ำ นัดซื้อขายกันแต่เวลาเช้าเวลาเดียว สิ่งของที่นำมาขายกันเป็นจำพวกกับข้าวโดยมาก ส่วนร้านขายสิ่งของนั้นปรากฏว่ายังไม่มีเลย

ถนน

แก้

ถนนหนทางในครั้งนั้น เท่าที่มีควรจะเรียกว่าเป็นตรอกทางเดินมากกวา เพราะมีส่วนกว้าง อย่างดีก็แต่เพียง 4 - 5 ศอก ถนนชนิดนี้แต่ภายในกำแพงเมืองซึ่งตัดจากประตูหนึ่งไปยังอีกประตูหนึ่ง นอกจากนี้ก็มีแต่ทางเดินธรรมดา

ลักษณะการจัดการบ้านเมือง[8]

แก้

ลักษณะการจัดการบ้านเมือง ในด้านต่างๆ ของนครเมืองน่าน มีดังนี้

  1. การทัพ
  2. ผลประโยชน์ของบ้านเมือง
  3. ทาส
  4. ตุลาการ

การทัพ

แก้

หลักการปกครองของบ้านเมืองมีข้อสำคัญอยู่ 2 ข้อ คือ อาชญาของเจ้าผู้ครองนครข้อหนึ่ง กับการที่บังคับให้บรรดาชายฉกรรจ์ให้มาช่วยกันป้องกันบ้านเมืองในเวลามีศึกสงครามข้อหนึ่ง อาชญานั้นมีความหมายตามที่คติปกครองแบบนี้ว่า เป็นคำสั่งคำบังคับบัญชาของผู้เป็นประมุขที่จะใช้ในการปกครองบ้านเมืองได้โดยใช้สิทธิขาด อย่างที่เรียกว่า “อาชญาสิทธิ์” ผู้ใดฝ่าฝืนย่อมได้รับโทษถึง 2 ประการ คือ โทษอันผิดต่อกฎหมายของบ้านเมืองประการหนึ่ง และโทษอันผิดต่ออาชญาของเจ้าผู้ครองนครอันมีลักษณะคล้ายพระบรมราชโองการของพระเจ้าแผ่นดิน อีกประการหนึ่ง เหตุที่เจ้าผู้ครองนครทรงไว้ซึ่งอาชญาและหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาบ้านเมืองเช่นนี้ หน้าที่ของพลเมืองจึงต้องเจริญรอยโดยบริหารของผู้เป็นประมุขทุกประการ ส่วนที่สำคัญยิ่งก็คือหน้าที่ในการป้องกันบ้านเมือง ซึ่งจะหลีกเลี่ยงเสียมิได้

ฝ่ายชายฉกรรจ์มีอายุได้ 20 ปีบริบูรณ์ต้องขึ้นทะเบียนเป็น “ลูกจุ๊” เข้าสังกัดอยู่ในเจ้านายท้าวพญาคนใดคนหนึ่งจะลอยตัวอยู่ไม่ได้ มีหน้าที่รับใช้สอยกิจการในสังกัดมูลนายของตนไปจนกว่าอายุได้ 60 ปี จึงปลด หรือมิฉะนั้นก็ต่อเมื่อมีบุตรมารับใช้การงานได้ 3 คนแล้ว เมื่อชายฉกรรจ์เข้าสังกัดเป็นลูกจุ๊ของผู้นั้นอยู่ตลอดไป จะย้ายมูลนายผู้ต้นสังกัดได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากสนาม

บรรดาผู้ที่จะรับเป็นลูกจุ๊เอามาเข้าสังกัดในตนได้ โดยเฉพาะต้องเป็นเจ้านายหรือท้าวพญาในสนามเท่านั้น ในเวลาปกติลูกจุ๊ก็อยู่ตามถิ่นฐานบ้านช่องของตนไม่ต้องเข้ามาประจำทำงานในเมืองมีกำหนดเวลาเป็นแน่นอน นอกจากบางคราวจะถูกมูลนายเรียกมาใช้กิจการเป็นครั้งคราว การที่มูลนายจะใช้ลูกจุ๊ให้ทำกิจการนั้นไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นกิจการฝ่ายบ้านเมืองแต่อย่างเดียว ย่อมใช้ได้ตลอดถึงการส่วนตัวทุกสิ่งทุกอย่างด้วย เช่น ในการทำนา ปลูกสร้างบ้านเรือน เป็นต้น อีกประการหนึ่งควรกล่าวได้ว่า พวกลูกจุ๊ที่เป็นผลประโยชน์ของผู้เป็นมูลนายอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้อาศัยแรงงานของผู้ลูกจุ๊ก็ได้รับผลแต่เพียงได้รับความคุ้มครองของมูลนายในคราวเมื่อมีทุกข์ร้อน เช่น ถูกพวกอื่นรบกวนเบียดเบียนโดยไม่เป็นธรรม หรือในคราวที่มีคดีความเกิดขึ้น เป็นต้น ฉะนั้นผู้ที่เป็นมูลนายต้องตั้งบุคคลอีกพวกหนึ่งเรียกว่า “หัวหมวด” ไว้ตามละแวกถิ่นฐานที่ลูกจ๊ะตั้งบ้านเรือน สำหรับเรียกลูกจุ๊ในเมื่อต้องการตัวได้โดยสะดวกและพรักพร้อม

ในเวลามีการทัพศึกเกิดขึ้น เมื่อต้องการกำลังกองทัพเป็นจำนวนคนเท่าใด เจ้าผู้ครองนครก็เกณฑ์คนเอาแก่มูลนายที่มีลูกจุ๊เฉลี่ยเอาตามส่วน ส่วนผู้ที่จะคุมกองทัพนั้น ถ้าเป็นการสำคัญเจ้าผู้ครองนครก็เป็นผู้ไปเอง หรือถ้าไม่สำคัญก็ให้เจ้านายในวงศ์สกุลหรือท้าวพญาผู้ใดผู้หนึ่งควบคุมไป ตามแต่จะเห็นสมควร

เรื่องของลูกจุ๊นี้ สำหรับเจ้าผู้ครองนครไม่จำเป็นต้องมีไว้ เพราะมีอาชญาเกณฑ์เอาได้ เวลาปกติเจ้าผู้ครองนครจึงมีคนอีกจำพวกหนึ่งสำหรับใช้สอยและอยู่เวรยามรักษาคุ้มโดยเฉพาะเรียกว่าคน “เจ้าใช้การใน”

ผลประโยชน์ของบ้าน

แก้

การทำมาหากินของราษฎรในเมืองน่านที่กระทำกันมากและเป็นอาชีพ ส่วนใหญ่ก็คือการทำนา แต่ทางบ้านเมืองมิได้เก็บอากรค่านา ฉะนั้นราษฎรในเขตเมืองชั้นใน เมื่อทำนาได้ข้าวจึงต้องแบ่งข้าวส่งมาขึ้นฉางหลวง เรียกว่า “หล่อฉาง” เพื่อเก็บไว้เป็นเบียงสำหรับบ้านเมืองสำรองไว้ในคราวเกิดทัพศึกและต้อนรับแขกเมือง หรือให้พลเมืองยืมในปีที่ทำนาไม่ได้ข้าว การเก็บข้าวเพื่อหล่อฉางนี้ เก็บแต่ผู้ที่มีครอบครัวแล้ว เป็นข้าวครอบครัวละ 3 หมื่น (สัด) ส่วนราษฎรในเขตเมืองชั้นนอกอันอยู่ไกลจะส่งข้าวมาหล่อฉางเป็นความลำบากมาก แต่เพราะว่าเมืองเหล่านั้นเป็นที่เกิดหรือมีสิ่งของบางอย่างที่บ้านเมืองต้องการใช้ เช่น มูลค้างคาว ชัน น้ำมันยาง กระดาษ เกลือ ฯลฯ จึงเกณฑ์เอาสิ่งของเหล่านี้แก่ราษฎรในท้องที่นั้นๆ ตามสมควร ส่งมาแทนข้าว เรียกว่า “ส่วยหล่อฉาง” หรือ “ส่วยบำรุงเมือง” เมืองน่านมีส่วนเกลือมาจากเมืองบ่อปีละ 7 ล้าน 7 แสน 7 หมื่น (น้ำหนัก 310 2/5 หาบ) ส่วนดินประสิวจากเหมืองยอดเมืองสะเกินปีละ 20 หาบ เมืองมิน บ้านหัวเมือง (ท้องที่อำเภอนาน้อย) ปีละ 30 หาบ ส่วนเหล็กจากเมืองอวน ปีละ 30 หาบ บ้านวัวแดง (ท้องที่อำเภอสา) ปีละ 20 บาท (การตีเหล็กเป็นอาวุธหอกและดาบและซ่อมแซมอาวุธเป็นหน้าที่ของราษฎรในบ้านก้นฝาย (ฝายมูล) ท้องที่อำเภอท่าวังผาและบ้านห้วยลับมืนท้องที่อำเภอสา นอกจากนี้ยังมีส่วยขี้ผึ้งจากเมืองขึ้นทางฟากแม่น้ำโขงอีกปีละ 12 หาบ กับคน 300 คน สำหรับทำฝายทุกเมือง

ทาส

แก้

ลักษณะการเป็นทาสมีคติสืบเนื่องมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์อันโบราณราชกษัตริย์ได้ทรงบัญญัติไว้เรียกว่านำธงชัยไปรบศึก แล้วได้มาเป็นทาสเชลยหนึ่ง ทาสซึ่งไถ่มาด้วยทรัพย์หนึ่ง ลักษณะทาสที่มีอยู่ในพื้นเมืองน่านก็เป็นอยู่ดังกล่าวมาแล้ว ดังจะนำมากล่าวพอเป็นเค้า คือ

  • ทาสเชลย เป็นคนซึ่งแต่ก่อนมาเจ้านายและกรมการเมืองได้ไปรบตีเมืองสิบสองปันนา เมืองเวียงจันทน์ได้ แล้วกวาดต้อนครอบครัวมาแบ่งปันเป็นความชอบของแม่ทัพนายกองเรียกว่า “ค่าปลายหอกงาช้าง” มีบุตรหลานสืบต่อมาเรียกกันว่า “ค่าหอคนโรง” อันชื่อว่าทาสได้มาแต่ครั้งปู่และบิดาสืบมา ค่าหอคนโรงเหล่านี้มีอายุ 10 ขวบขึ้นไปมีค่าตัวชาย 62 รูเปีย หญิง 62 รูเปีย ถ้าอายุต่ำกว่า 10 ขวบ คิดคนหนึ่งขวบละ 5 รูเปีย ตามจำนวนอายุผู้เป็นนายถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์เด็ดขาดมีอำนาจที่จะขายทาสเหล่านี้ได้ทั้งสิ้น บรรดาทาสเชลยจะมีบุตรหลานสืบทอดออกไปอีกเท่าใดก็ดีก็คงเป็นทาสเชลยทั้งสิ้น และผู้เป็นนายก็รับมรดกกันสืบมา ผู้ที่เป็นมูลนายจะยกทาสเชลยให้แก่ผู้ใดก็ได้เมื่อทาสเชลยได้นำเงินมาไถ่ค่าตัวตามราคาจึงจะพ้นความเป็นทาส
  • ทาสสินไถ่ คือทาสที่นายเงินได้ออกมาไถ่ ถ้าทาสไม่มีเงินมาให้แก่นายเงินครบค่าแล้ว ก็ไม่มีเวลาที่จะพ้นยากจากทุกข์เป็นไทยได้ ฝ่ายลูกทาสที่ซึ่งเกิดแต่ทาสสินไถ่นั้น ถ้าเกิดในเรือนเบี้ยพอเกิดมาในเรือนทาสมีค่าตัวอยู่เรื่อยไป

ทาสทั้งสองจำพวกนี้ ได้มีวิธีการลดหย่อนผ่อนผันให้เสื่อมคลายลง นับแต่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชบัญญัติทาสในมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ ร.ศ. 119 ในรัชกาลที่ 5 และต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตราพระราชบัญญัติทาส ร.ศ. 124 ขึ้นอีกเป็นคำรบสอง และการที่เป็นทาสได้เลิกเด็ดขาดไปเมื่อหลังแต่ได้ประกาศพระราชบัญญัตินี้ในมณฑลพายัพในรัชกาลที่ 6 ร.ศ. 131 แล้วเป็นลำดับมา ทั้งนี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ประชาชนชาวไทยเป็นล้นเกล้าฯ

การตุลาการ

แก้

กฎหมายที่บัญญัติขึ้นไว้ใช้สำหรับภายในบ้านเมืองเรียกว่า “อาณาจักรหลักคำ” แต่เดิมมาได้ทราบว่าเคยใช้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์และราชศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักกฎหมายในอินเดียเหมือนกัน อาณาจักรหลักคำเพิ่งจะมาตั้งขึ้นในชั้นหลังโดยถือหลักจากกฎหมายที่กล่าวแล้วบ้าง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพบ้านเมืองบ้าง แต่แปลกที่มีบทบัญญัติบทลงโทษและคำสั่งสอนรวมคละปะปนไปด้วยกัน แต่อย่างไรก็ดี กฎหมายนี้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะแม้แต่ความผิดเล็กน้อยอาจถูกประหารชีวิตได้ ปรากฏว่าเมืองน่านในยุคนั้นสงบเรียบร้อยเป็นอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าได้เป็นนิสัยปัจจัยสืบต่อมาจนกระทั่งบัดนี้

วิธีพิจารณาในประเภทความอาชญาอุกฉกรรจ์คงดำเนินอย่างวิธีที่จะแคะไค้เอาความจริงด้วยการทรมานให้สารภาพตามลักษณะที่เรียกว่า “จารีตนครบาล” เหมือนอย่างเมทั้งปวงในสมัยเดียวกัน เมื่อคดีตกถึงสนาม ขุนสนาม 32 นาย พิจารณาเป็นรูปเรื่องเห็นว่าใครผิดใครถูกแพ้ชนะกันอย่างไรแล้ว ก็พร้อมกันลงความเห็นในการที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามผลที่ได้พิจารณาตามบทบัญญัติในอาณาจักรหลักคำลงในพับดำ (สมุดดำ) หรือแผ่นกระดาษดำ แล้วนำขึ้นไปอ่านถวายเจ้าผู้ครองนครอันพร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาหอคำ เมื่อเจ้าผู้ครองนครและคณะได้พิจารณาเห็นว่าจะควรชี้โดยสถานใดแล้ว เจ้าผู้ครองนครก็ชี้ขาดบัญชาให้บังคับเป็นไปตามด้วยสถานนั้นๆ

ส่วนความแพ่งนั้น วิธีพิจารณาคงดำเนินไปในทางอันเดียวกัน เว้นแต่การไต่สวนไม่ใช่เคี่ยวเข็ญเอาตามจารีตนครบาล แต่ถ้าเป็นความที่กำกวมหรือคลุมเครือซึ่งคณะตุลาการไม่สามารถชี้ผิดชี้ถูกด้วยกฎหมายได้แล้ว ก็มีวิธีตัดสินด้วยการให้คู่ความทนต่อการสาบานหรือการพิสูจน์อย่างใดอย่างหนึ่งในการพิสูจน์นั้นอาจเป็นด้วยการให้เอานิ้วมือจิ้มตะกั่วที่ละลาย หรือเสี่ยงเทียน หรือวิธีที่จะยังความครั่นคร้ามให้แก่ผู้ทุจริตอื่นใดก็ได้ ซึ่งหวังในความศักดิ์สิทธิ์บันดาลของพระและเทพเจ้าเป็นใหญ่ สุดแล้วแต่ผู้พิพากษาจะเห็นสมควร เมื่อผู้ใดชนะการพิสูจน์ก็ตัดสินให้เป็นผู้ชนะคดี

มีเกร็ดของเรื่องนี้อยู่เรื่องหนึ่งกล่าวกันว่า มีผู้พิพาทกันด้วยเรื่องตู่กรรมสิทธิ์กระบือกันขึ้นเรื่องหนึ่ง ผลของการพิจารณาตุลาการไม่สามารถที่จะชี้ให้ได้ว่ากระบือตัวนั้นเป็นของผู้ใดเพราะน้ำหนักคำให้การของคู่ความรับกันในเรื่องลักษณะของกระบือเท่าๆ กัน ผลที่สุด จึงให้โจทก์จำเลยกระทำพิธีสาบาน และพิสูจน์ด้วยการเสี่ยงเทียนกันต่อหน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ข้อตกลงมีว่า ถ้าเทียนของ ผู้ใดดับก่อนผู้นั้นก็แพ้แก่ความสัตย์จริง และจะตัดสินให้อีกฝ่ายเป็นผู้ชนะ เทียนนั้นได้ควั่นขึ้นจากขี้ผึ้งมีน้ำหนักเท่ากัน เส้นด้ายไส้เทียนก็นับมีจำนวนเท่ากัน การพิสูจน์ปรากฏว่าโจทก์ชนะเพราะเทียนจำเลยดับก่อน ตุลาการจึงจะพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้น จำเลยไม่ยอมกลับพูดว่า “พระองค์น้อยเกิดเมื่อวามาเมื่อซืนจะไปฮู้ฮีตบ้านกองเมืองหยัง” เพื่อจะบังคับคดีให้เป็นไปโดยละม่อมและให้จำเลยจำนนแก่การพิสูน์จริงๆ ตุลาการก็ยอม จึงให้คู่ความไปทำการพิสูจน์กันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เลือกกระทำกันต่อหน้าพระพุทธรูปองค์หนึ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ในเมืองทีเดียว ผลการพิสูจน์ครั้งนี้ปรากฏว่าจำเลยชนะ โจทก์กลับมีเสียงขึ้นบ้างว่า “สี่สิบลืมหน้า ห้าสิบลืมหลังเฒ่าชะแร แก่ออกล้ำ เยียใดจักจำได้” ในที่สุดกระบือตัวนั้นเลยตัดสินให้ตกเป็นกระบือของหลวง

รายพระนามเจ้าผู้ครองนครน่าน

แก้

รายพระนามเจ้าผู้ครองนครน่าน 14 พระองค์ แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2269 - พ.ศ. 2474) มีรายพระนามตามลำดับ ดังนี้

ลำดับ พระรูป รายพระนาม ครองราชย์
เริ่มรัชกาล สิ้นสุดรัชกาล รวมเวลา
1
 
พระเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์
(พระเจ้าเมืองน่าน)
11 พฤษภาคม พ.ศ. 2269 16 มิถุนายน พ.ศ. 2294 25 ปี
2
 
เจ้าอริยวงษ์
(เจ้าเมืองน่าน)
30 กันยายน พ.ศ. 2297 4 ตุลาคม พ.ศ. 2311 14 ปี
3
 
เจ้านายอ้าย
(เจ้าเมืองน่าน)
4 ตุลาคม พ.ศ. 2311 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2312 1 ปี
4
 
เจ้ามโนราชา
(เจ้าเมืองน่าน)
10 กันยายน พ.ศ. 2312 25 มีนาคม พ.ศ. 2317 5 ปี
5
 
เจ้าวิธูร
(เจ้าเมืองน่าน)
25 มีนาคม พ.ศ. 2317 31 มีนาคม พ.ศ. 2321 4 ปี
6
 
เจ้ามงคลวรยศ
(เจ้าเมืองน่าน)
2 เมษายน พ.ศ. 2326 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2329 3 ปี
7
 
เจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ
(เจ้าฟ้าเมืองน่าน)
2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2329 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2353 24 ปี
8
 
เจ้าสุมนเทวราช
(พระยานครน่าน)
13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2354 26 มิถุนายน พ.ศ. 2368 14 ปี
9
 
เจ้ามหายศ
(พระยานครน่าน)
6 กันยายน พ.ศ. 2368 30 มกราคม พ.ศ. 2378 10 ปี
10
 
เจ้าอชิตวงษ์
(พระยานครน่าน)
28 มกราคม พ.ศ. 2380 11 ตุลาคม พ.ศ. 2380 8 เดือน
11
 
เจ้ามหาวงษ์
(พระยานครน่าน)
23 เมษายน พ.ศ. 2381 23 ตุลาคม พ.ศ. 2394 13 ปี
12
 
พระเจ้าอนันตวรฤทธิเดช
(เจ้านครเมืองน่าน)
14 พฤษภาคม พ.ศ. 2395 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 40 ปี
13
 
พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช
(พระเจ้านครเมืองน่าน)
21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 5 เมษายน พ.ศ. 2461 25 ปี
14
 
เจ้ามหาพรหมสุรธาดา
(เจ้านครน่าน)
11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 17 สิงหาคม พ.ศ. 2474 12 ปี

ดูเพิ่ม

แก้

หมายเหตุ

แก้
  1. อาณาจักรหลักคำ (กฎหมายเมืองน่าน) ยกเลิกใช้ในปี พ.ศ. 2451

อ้างอิง

แก้
  1. "ทริปภาคเหนือ แพร่ น่าน ลำปาง ตอนที่ 5". โฟโต้ออนทัวร์. 2011-07-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-01-12. สืบค้นเมื่อ 2020-01-14.
  2. กระทรวงมหาดไทย (1917), ยอดทะเบียนสำมโนครัวมณฑลต่าง ๆ ในพระราชอาณาเขตร์ พุทธศักราช 2460, กระทรวงมหาดไทย, สืบค้นเมื่อ 2024-10-25
  3. "เงินตราสมัยล้านนา". ธนาคารแห่งประเทศไทย. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-01-15. สืบค้นเมื่อ 2020-01-15.
  4. 4.0 4.1 อ๋องสกุล, สรัสวดี (2003). เอียวศรีวงศ์, นิธิ (บ.ก.). พื้นเมืองเชียงแสน. กรุงเทพฯ: อมรินทร์. pp. 170, 246. ISBN 9742726612.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 อินปาต๊ะ, บริพัตร (2017). การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329-2442 (วิทยานิพนธ์). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. pp. 27, 30, 50–56, 62, 67, 202. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-04-19. สืบค้นเมื่อ 2024-04-11.
  6. Harvey, Godfrey Eric (1925). History of Burma: from the Earliest Times to 10 March, 1824: The Beginning of the English Conquest. United Kingdom: Longmans, Green and Company. p. 241. สืบค้นเมื่อ 2024-04-10.
  7. 7.0 7.1 โบราณคดีสโมสร, บ.ก. (1919), "ราชวงศปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่าน" [Ratchawongsapakon Phongsawadan Mueang Nan], ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๑๐ [Collection of Historical Archives] (PDF), กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, สืบค้นเมื่อ 2024-05-11
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 "ประวัติศาสตร์จังหวัดน่าน" (PDF). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-08-19. สืบค้นเมื่อ 2024-10-25.
  9. ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา (1901), ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวง (บ.ก.), พระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ [Royal Chronicle of the Kingdom of Rattanakosin: First Reign] (PDF), กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, pp. 240–242, สืบค้นเมื่อ 2024-05-11
  10. ขรัวทองเขียว, เนื้ออ่อน; จุฬารัตน์, จุฬิศพงศ์ (2014). "รัฐสยามกับล้านนา พ.ศ. 2417-2476" [THE SIAMESE STATE AND LANNA, 1874-1933]. วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. 6: 75. สืบค้นเมื่อ 2024-05-12.
  11. สมิธ, เฮอร์เบิร์ต วาริงตัน (2019) [1898], ห้าปีในสยาม [Five Years in Siam] (PDF), vol. 1, แปลโดย กีชานนท์, เสาวลักษณ์ (2nd ed.), กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, สืบค้นเมื่อ 2024-05-11
  12. "จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ทิศเหนือ (เมืองเชียงของ เมืองโปง เมืองเงิน เมืองสราว เมืองปัว เมืองน่าน เมืองหิน เมืองงั่ว)". ฐานข้อมูลจารึกแห่งประเทศไทย. 12 March 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-10-03. สืบค้นเมื่อ 2024-04-14.
  13. แสนสา, ภูเดช. "ประวัติศาสตร์เมืองน่าน" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-03-29. สืบค้นเมื่อ 2024-10-25.