สงครามเชียงแสน
สงครามเชียงแสน ใน พ.ศ. 2347 เป็นสงครามระหว่างสยามอาณาจักรรัตนโกสินทร์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พร้อมทั้งอาณาจักรล้านนาในสมัยของพระเจ้ากาวิละ ทำสงครามกับเมืองเชียงแสนซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าในรัชสมัยพระเจ้าปดุงแห่งราชวงศ์โก้นบอง หลังจากที่สยามและล้านนาสามารถต้านทานการรุกรานเมืองเชียงใหม่ของพม่าไปได้ในพ.ศ. 2345 ทำให้สยามและล้านนามีโอกาสยกทัพเข้าโจมตีเมืองเชียงแสนในพ.ศ. 2347 ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของพม่าในหัวเมืองล้านนา สยามและล้านนายึดเมืองเชียงแสนได้สำเร็จทำให้พม่าสูญสิ้นอิทธิพลและอำนาจไปจากล้านนาอย่างถาวร[1]
สงครามเชียงแสน | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามพม่า–สยาม | |||||||||
สงครามเชียงแสนในล้านนา; ค.ศ. 1797-98, 1802-3 และ 1804 การรุกรานเชียงตุง (1802) และเชียงรุ่งของสยาม (1805) สีเขียวแสดงเส้นทางของพม่า สีแดงแสดงเส้นทางของสยาม | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
ราชวงศ์โก้นบอง (พม่า) นครรัฐเชียงแสน (รัฐบริวารพม่า) |
อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สยาม) นครเชียงใหม่ (รัฐบริวารสยาม) นครลำปาง (รัฐบริวารสยาม) นครน่าน (รัฐบริวารสยาม) อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ (รัฐบริวารสยาม) | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
พระเจ้าปดุง Einshe Wun Nemyo Kyawdin Thihathu โป่มะยุง่วน † เจ้าฟ้านาขวา (เชลย) |
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ พระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ เจ้าอนุวงศ์ พระเจ้ากาวิละ พระยาอุปราชน้อยธรรม |
เหตุการณ์นำ
แก้เชียงแสนภายใต้การปกครองของพม่า
แก้นับตั้งแต่ที่เมืองเชียงใหม่ถูกยึดครองโดยพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่าราชวงศ์ตองอูใน พ.ศ. 2101[2] อาณาจักรล้านนาหรือภาคเหนือของประเทศไทยในปัจจุบันจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าเป็นเวลาประมาณ 200 ปี[3] ใน พ.ศ. 2173 พระเจ้าตาลูน (Thalun Min သာလွန်မင်း) หรือที่ล้านนาเรียก พระเจ้าสุทโธธัมมราชา แห่งพม่าราชวงศ์ตองอู ทรงแต่งตั้งให้แสนหลวงเรือดอนเป็นเจ้าฟ้าหลวงทิพเนตรเจ้าฟ้าเมืองเชียงแสน[4] จากนั้นวงศ์ของเจ้าฟ้าหลวงทิพเนตร (แสนหลวงเรือดอน) จึงปกครองเมืองเชียงแสนไปเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปี ใน พ.ศ. 2244 พระเจ้าสเน่ห์ (Sanay စနေမင်း) แห่งพม่าราชวงศ์ตองอูมีพระราชโองการให้แบ่งแยกเมืองเชียงแสนออกจากเชียงใหม่ ให้พม่าเข้าปกครองโดยตรง[5][6] พม่าแต่งตั้งเมียวหวุ่น (Myo Wun မြို့ဝန်) หรือข้าหลวงชาวพม่าเข้าปกครองเมืองเชียงแสนร่วมกับเจ้าฟ้าเมืองเชียงแสนฝ่ายล้านนา พม่าจึงเข้าปกครองเชียงแสนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
เปลี่ยนผ่านจากพม่าเข้าสู่สยาม
แก้พญาจ่าบ้าน (บุญมา) แห่งเชียงเชียงใหม่ เกิดความขัดแย้งกับสะโตมังถาง (Thado Mindin သတိုးမင်းထင်)[7] หรือโป่มะยุง่วน (Po Myo Wun ဗိုလ်မြို့ဝန်) เจ้าเมืองเชียงใหม่ชาวพม่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรีทรงยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2317 พญาจ่าบ้านเชียงใหม่และนายกาวิละแห่งลำปางเข้าสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายสยาม[2][8] นำทางให้เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) สามารถเข้ายึดเมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จ นับจากนั้นหัวเมืองล้านนาได้แก่เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน จึงแยกตัวจากพม่ามาอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม ในขณะที่หัวเมืองล้านนาฝ่ายเหนือได้แก่เชียงแสน เชียงราย ฝาง พะเยา ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าอยู่ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงแต่งตั้งพญาจ่าบ้านขึ้นเป็นพระยาวิเชียรปราการเจ้าเมืองเชียงใหม่ และทรงแต่งตั้งนายกาวิละขึ้นเป็นพระยากาวิละเจ้าเมืองลำปาง เมืองเชียงแสนจึงกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของพม่าในดินแดนล้านนา พระยาวิเชียรปราการ (บุญมา) และพระยากาวิละยกทัพขึ้นมาตีเมืองเชียงแสนอีกหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
ในสงครามเก้าทัพ พ.ศ. 2328 พระเจ้าปดุงทรงส่งเจ้าชายสะโดสิริมหาอุจนาพระอนุชายกทัพจำนวน 30,000 คน มาที่เมืองเชียงแสน เจ้าชายสะโดสิริมหาอุจนาและธาปะระกามะนี (Abaya-Kamani အဘယကာမဏိ) (พื้นเมืองเชียงแสนเรียก พะแพหวุ่น) ยกทัพขึ้นโจมตีเมืองลำปางของพระยากาวิละ นำไปสู่การล้อมเมืองลำปาง และส่งทัพไปโจมตีเมืองแพร่จับพระยาแพร่มังไชยเจ้าเมืองแพร่มาไว้ที่เชียงแสน ฝ่ายกรุงเทพฯ ส่งทัพขึ้นมาช่วยเหลือแก้เมืองลำปางออกจากการล้อมของพม่าได้ กองทัพพม่าถอยทัพกลับไป แต่ตั้งให้ธาปะระกามะนีเป็นเจ้าเมืองเชียงแสน ใน พ.ศ. 2330 พระเจ้าปดุงส่งทัพมาปราบเมืองฝางได้ และตั้งทัพที่เมืองฝางเตรียมเข้ารุกรานลำปางต่อไป ธาปะระกามะนีนำกองทัพเข้ามาสมทบก่อนกลับเมืองเชียงแสน พระยาแพร่มังไชยร่วมมือกับเจ้ากอง เจ้าฟ้าเมืองยอง (Mong Yawng) ก่อการกบฏต่อพม่า พระยาแพร่มังไชยและเจ้าเมืองยองยกทัพเข้าโจมตียึดเมืองเชียงแสนได้ ธาปะระกามะนีหลบหนีไปเมืองเชียงราย พระยาเพชรเม็ง (น้อยจิตตะ) เจ้าฟ้าเมืองเชียงรายจับตัวธาปะระกามะนีส่งให้แก่พระยากาวิละ[6] พระยากาวิละจึงส่งตัวธาปะระกามะนีไปกรุงเทพ[9][10] พม่ายกทัพมายึดเมืองเชียงแสนคืนได้และยกไปตีเมืองลำปางต่อ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จยกทัพมาขับไล่พม่าออกไปจากลำปางได้สำเร็จ พระยากาวิละแห่งลำปางเข้าครองเมืองเชียงใหม่ในพ.ศ. 2339
พม่าตีเชียงใหม่ พ.ศ. 2340 และพ.ศ. 2345
แก้พระเจ้าปดุงแห่งพม่าราชวงศ์โก้นบองยังทรงมีความพยายามที่จะยึดล้านนากลับไปเป็นของพม่าดังเดิม พระเจ้าปดุงส่งทัพมาโจมตีเมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2340 นำไปสู่สงครามพม่าตีเชียงใหม่ พ.ศ. 2340 กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พร้อมทั้งพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ เสด็จยกทัพขึ้นมาขับทัพพม่าที่ล้อมเมืองเชียงใหม่ออกไปได้ ต่อมาใน พ.ศ. 2345 พระเจ้าปดุงยกราชาจอมหงส์ (ใหม่พละ) เจ้าเมืองสาด (Mong Hsat) ขึ้นเป็นใหญ่เหนือล้านนา พระยากาวิละมอบหมายให้พระยาอุปราชน้อยธรรมยกทัพเชียงใหม่ไปตียึดเมืองสาดได้ และยกทัพต่อไปตีและยึดเมืองเชียงตุง เมืองเชียงตุงถูกทำลายว่างร้างลง[11] เจ้าฟ้าศิริไชยเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงหลบหนีไป พระยาอุปราชน้อยธรรมกวาดต้อนชาวไทเขินจากเชียงตุงและเมืองสาดมาที่เชียงใหม่[12]
พระเจ้าปดุงพิโรธที่พระยากาวิละส่งทัพไปตีเมืองสาดและเชียงตุงจึงส่งทัพเข้ามาล้อมเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง นำไปสู่สงครามพม่าตีเชียงใหม่ พ.ศ. 2345 กองทัพฝ่ายพระราชวังบวรฯเสด็จนำโดยกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และกองทัพฝ่ายพระราชวังหลวงเสด็จนำโดยกรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราช (บุญมา) ยกทัพขึ้นมาช่วยเหลือพระยากาวิละแห่งเชียงใหม่ เมื่อเสด็จยกทัพไปถึงเมืองเถิน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงพระประชวร[12]เป็นเหตุให้ไม่สามารถเสด็จยกทัพต่อไปได้ จึงมีพระราชบัณฑูรให้กรมขุนสุนทรภูเบศร์และพระยากลาโหมราชเสนา (ทองอิน) ยกทัพฝ่ายวังหน้า และกรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราชยกทัพฝ่ายวังหลวง ขึ้นไปทางเมืองลี้ไปเมืองลำพูนก่อน ด้วยเหตุบางประการทำให้ทัพฝ่ายวังหลวงของกรมหลวงเทพหริรักษ์ล่าช้า[13]และถอยหลังไปตามหลังทัพฝ่ายวังหน้า[12] เมื่อทัพฝ่ายไทยเข้าตีพม่าที่เชียงใหม่แตกพ่ายไปแล้วนั้น กรมพระราชวังบวรฯพิโรธ[13]ทัพฝ่ายพระราชวังหลวง กรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราช ว่ายกทัพช้าตามหลังทัพของวังหน้า และพิโรธเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ซึ่งยกทัพมาถึงช้าไม่ทันการรบมาถึงเมื่อพม่าพ่ายแพ้ไปแล้วเจ็ดวัน จึงมีพระราชบัณฑูรปรับโทษให้กรมหลวงเทพหริรักษ์ พระยายมราช และเจ้าอนุวงศ์ยกทัพเข้าโจมตียึดเมืองเชียงแสนให้ได้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสิ้นพระชนม์เมื่อพ.ศ. 2346[12]
สงครามตีเมืองเชียงแสน
แก้ตีเมืองเชียงแสนครั้งแรก
แก้กรมหลวงเทพหริรักษ์ พร้อมทั้งพระยายมราช (บุญมา) และเจ้าอนุวงศ์ ประทับอยู่ที่เมืองล้านนาเพื่อทรงเตรียมทัพเข้าตีเมืองเชียงแสน ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2346 กรมหลวงเทพหริรักษ์ พระเจ้ากาวิละ พระยายมราช เจ้าอนุวงศ์ และเจ้าอัตถวรปัญโญเจ้าเมืองน่าน ยกทัพฝ่ายไทยและล้านนาจำนวนทั้งสิ้น 20,000 คน[14] ไปโจมตีเมืองเชียงแสน นำไปสู่การโจมตีเมืองเชียงแสนครั้งแรกในเดือนมีนาคม เจ้าฟ้านาขวาเจ้าเมืองเชียงแสนนำทัพพม่าออกมาต่อรบกับฝ่ายไทยและล้านนาเป็นสามารถ ทัพฝ่ายไทยและล้านนาเข้ายึดเมืองเชียงแสนไม่ได้จึงตั้งล้อมเมืองไว้ ไทยและล้านนาล้อมเมืองเชียงแสนอยู่เป็นเวลาสองเดือนจนเลิกทัพถอยกลับมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2346
การจัดเตรียมทัพ
แก้หลังจากที่ตีเมืองเชียงแสนไม่สำเร็จในพ.ศ. 2346 กรมหลวงเทพหริรักษ์ทรงปรึกษากับเจ้าอนุวงศ์และพระเจ้ากาวิละว่า ถึงฤดูฝนทัพอ่อนกำลังแรงลง ควรปล่อยให้ไพร่พลไปทำนาเก็บเสบียงกันเสียก่อน[12] พอถึงฤดูแล้งจึงยกขึ้นไปเชียงแสนอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายไทยและล้านนาจึงเตรียมการรวมรวบกำลังพล เพื่อยกไปตีเมืองเชียงแสนอีกครั้งในปีถัดมาพ.ศ. 2347 มีการจัดทัพของฝ่ายไทยและล้านนาเพื่อเข้าตีเมืองเชียงแสนดังนี้;[6][14]
- ทัพฝ่ายกรุงเทพ เสด็จนำโดยสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พร้อมทั้งพระยายมราช (บุญมา)
- ทัพเมืองเชียงใหม่ นำโดยพระยาอุปราชน้อยธรรม จำนวน 1,000 คน
- ทัพเมืองเวียงจันทน์ นำโดย เจ้าอนุวงศ์
- ทัพเมืองนครลำปาง นำโดยพระยาดวงทิพย์ เจ้าเมืองนครลำปาง จำนวน 1,000 คน
- ทัพเมืองน่าน นำโดย เจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าเมืองน่าน จำนวน 1,000 คน
ฝ่ายพม่าเมืองเชียงแสน มีโป่มะยุง่วนเป็นเมียวหวุ่นเมืองเชียงแสน กับเจ้าใหม่หน่อคำหรือเจ้าฟ้านาขวาเจ้าเมืองเชียงแสน ซึ่งเป็นวงศ์ของเจ้าฟ้าหลวงทิพเนตร (แสนหลวงเรือดอน) นอกจากนี้ยังมีเจ้าเมืองบริวารของเมืองเชียงแสน นำกำลังไทยวนไทเขินและไทลื้อมาช่วยป้องกันเมืองเชียงแสน
- เจ้าเมืองเชียงราย
- เจ้าเมืองยอง (Mong Yawng)
- เจ้าเมืองเชียงแข็ง (Kengcheng)
- เจ้าเมืองเทิง
- เจ้าเมืองไร
ตีเมืองเชียงแสนครั้งที่สอง
แก้พระยาอุปราชน้อยธรรมยกทัพเมืองเชียงใหม่ออกไปเมืองเชียงแสนในเดือนเมษายนพ.ศ. 2347 ทัพฝ่ายไทยล้านนาและลาวเวียงจันทน์ต่างเดินทางออกจากเมืองเชียงใหม่ ลำปาง และน่าน ถึงเมืองเชียงแสนพร้อมกันในเดือนพฤษภาคม ฝ่ายเชียงแสนยกทัพเรือออกไปรับที่หาดหลวงแต่ถูกตีกลับเนื่องจากฝั่งไทยและล้านนามีปืนใหญ่มากกว่า[4] พระยาอุปราชน้อยธรรมยกทัพเชียงใหม่เข้าตีเมืองเชียงแสนทางท่าข้าวเปลือกทางด้านตะวันตกของเชียงแสน[6] เจ้าอัตถวรปัญโญยกทัพเมืองน่านเข้าโจมที่ทางประตูดินขอ[14] เมียวหวุ่นเมืองเชียงแสนและพญานาขวา รวมทั้งเจ้าเมืองยองเจ้าเมืองเชียงแข็ง ยกทัพออกมาสู้กับฝ่ายไทยและล้านนาอย่างเข้มแข็ง ทัพฝ่ายไทยและล้านนาเข้ายึดเมืองเชียงแสนไม่ได้ จึงตั้งล้อมเมืองไว้ดังเช่นครั้งก่อน หลังจากล้อมเมืองเชียงแสนได้หนึ่งเดือน ขณะนั้นเป็นฤดูฝนฝนตกอากาศร้อนกองทัพฝ่ายกรุงเทพล้มป่วยเป็นจำนวนมาก ขาดแคลนเสบียงอาหารและได้ข่าวว่าเมืองอังวะกำลังยกทัพมาช่วยเมืองเชียงแสน กรมหลวงเทพหริรักษ์จึงมีพระบัญชาให้ถอยทัพกรุงเทพกลับออกมาจากเชียงแสน[12] เหลือเพียงทัพล้านนาและลาวเวียงจันทน์ล้อมเมืองเชียงแสนไว้
ในขณะนั้นชาวเมืองเชียงแสนถูกทัพไทยและล้านนาล้อมเมืองไว้เกิดความอดอยากอาหารขาดแคลน สังหารโคกระบือและช้างมากินจนหมดสิ้น[12] ชาวเมืองเชียงแสนจึงพากันออกมาจากเมืองมาสวามิภักดิ์ต่อพระยาอุปราชน้อยธรรมจำนวนมาก เจ้าเมืองเชียงรายยกทัพออกมาสู้กับพระยาอุปราชน้อยธรรมและเจ้าอนุวงศ์ที่ประตูท่าม่าน เจ้าเมืองยองตั้งรับทางแม่น้ำโขง เจ้าเมืองเชียงแข็งยึดปืนใหญ่ของเชียงใหม่มาได้ แต่ต่อมาเจ้าเมืองเชียงแข็งถูกปืนเสียชีวิต เจ้าเมืองเชียงรายถูกยิงเสียชีวิตขณะรับประทานอาหาร[4] เจ้าเมืองเทิงและเจ้าเมืองไรเสียชีวิตในที่รบ พระยาอุปราชน้อยธรรมจึงยกทัพเข้ายึดเมืองเชียงแสนได้สำเร็จในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2347 โป่มะยุง่วนเมียวหวุ่นเมืองเชียงแสนถูกปืนเสียชีวิตในที่รบ[12] เจ้าฟ้านาขวาพร้อมครอบครัวหลบหนีข้ามแม่น้ำโขงไปทางเหนือไปทางเมืองเกิงไปอยู่ที่ดอยจอมเผ้าจอมแซว[6] ชาวเมืองเชียงแสนแตกตื่นหลบหนีไปทางเหนือ พระยาอุปราชน้อยธรรมส่งกองกำลังไปติดตามตัวเจ้าฟ้านาขวา จับตัวเจ้าฟ้านาขวาได้ที่ดอยจอมเผ้าจอมแซวนำกลับมาที่เชียงใหม่
สงครามในครั้งนี้ชาวเมืองเชียงแสนได้รับความทุกขเวทนา “ข้าพลัดเจ้า ลูกเต้าพลัดพ่อพลัดแม่ ผัวพลัดเมีย ค็พลัดพรากจากกันเป็นทุกขเวทนามากนัก”[15] เมืองเชียงแสนถูกเผาทำลายลงกำแพงเมืองถูกรื้อลง เพื่อไม่ให้เป็นที่มั่นสำหรับพม่าอีกต่อไป ชาวเมืองเชียงแสนทั้งหมดจำนวน 23,000 คน[12] ถูกกวาดต้อนโดยแบ่งประชากรออกเป็นห้าส่วน ให้แก่ทางกรุงเทพหนึ่งส่วน ให้เชียงใหม่หนึ่งส่วน ให้เวียงจันทน์หนึ่งส่วน ให้ลำปางหนึ่งส่วน และให้เมืองน่านอีกหนึ่งส่วน
กรมหลวงเทพหริรักษ์พร้อมทั้งพระยายมราช (บุญมา) เสด็จยกทัพกลับคืนพระนครนำชาวเมืองเชียงแสนที่กวาดต้อนลงมานั้น ไปอยู่ที่เมืองสระบุรีและเมืองราชบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงขัดเคือง[12]กรมหลวงเทพหริรักษ์ด้วยเหตุว่าทัพกรุงฯนั้นกลับลงมาจากเชียงแสนนั้น กลับมาเปล่าไม่ได้ราชการสิ่งใด “ไม่รู้เท่าลาว”[12] จึงมีพระราชโองการให้จำกรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราชไว้ที่ทิมดาบชั้นนอกไว้สี่วัน เมื่อคลายพระพิโรธแล้วจึงทรงปล่อยกรมหลวงเทพหริรักษ์และพระยายมราชให้พ้นโทษออกมา
เจ้าฟ้านาขวาเป็นเจ้าฟ้าองค์สุดท้ายที่ปกครองเชียงแสน วงศ์ของเจ้าฟ้าหลวงทิพเนตร (แสนหลวงเรือดอน) ซึ่งปกครองเมืองเชียงแสนมาเป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปีจึงยุติลง พระยาอุปราชน้อยธรรมนำตัวเจ้าฟ้านาขวาพร้อมทั้งเจ้าฟ้าศิริไชยแห่งเชียงตุงเดินทางลงไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกที่กรุงเทพ[15] เจ้าฟ้านาขวาแห่งเชียงแสนล้มป่วยถึงแก่อสัญกรรมที่กรุงเทพ กรมหลวงเทพหริรักษ์ประชวรสิ้นพระชนม์เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2348[12]
บทสรุปและเหตุการณ์สืบเนื่อง
แก้สงครามสยามและล้านนาตีเมืองเชียงแสนมาจากพม่าได้สำเร็จในพ.ศ. 2347 นั้น ทำให้หัวเมืองล้านนาฝ่ายเหนือที่ยังอยู่ขึ้นแก่พม่าได้แก่ เชียงราย ฝาง พะเยา แยกตัวจากพม่ามาขึ้นกับสยาม ทำให้พม่าสูญสิ้นอำนาจและอิทธิพลไปจากล้านนาอย่างถาวร
สงครามตีเมืองเชียงรุ่ง
แก้เมื่อสยามและล้านนายึดเมืองเชียงแสนกำจัดอิทธิพลของพม่าในล้านนาไปแล้ว เปิดโอกาสให้สยามและล้านนาขยายอำนาจขึ้นสู่หัวเมืองทางเหนือของล้านนา ได้แก่ ชาวไทเขินกลุ่มเมืองเชียงตุง และชาวไทลื้อกลุ่มเมืองเชียงรุ้งสิบสองปันนา ทั้งไทยวนล้านนา ไทเขินเชียงตุง และไทลื้อเชียงรุ้งสิบสองปันนา ต่างเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาในสมัยราชวงศ์มังราย มีวัฒนธรรมร่วมกัน[11] ใช้อักษรธรรมล้านนาเหมือนกัน ต่อมาเมืองเชียงตุงตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ส่วนเมืองเชียงรุ้งนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของทั้งพม่าและจักรวรรดิจีน เมื่อพระยาอุปราชน้อยธรรมแห่งเชียงใหม่ยึดเมืองเชียงตุงในพ.ศ. 2345 เมืองเชียงตุงถูกทำลายและร้างลง
ในช่วงสงครามกับพม่าตลอดเวลาประมาณสี่สิบปีที่ผ่านมา ทำให้หัวเมืองล้านนาต่างๆขาดแคลนกำลังคน เจ้าเมืองล้านนาทั้งหลายจึงดำเนินนโยบาย”เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” ยกทัพออกไปโจมตีเมืองต่างๆเพื่อกวาดต้อนกำลังพลเข้ามา ในเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2347 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชโองการให้เจ้าเมืองเชียงใหม่ ลำปาง แพร่ น่าน หลวงพระบาง และเวียงจันทน์ ยกทัพขึ้นไปตีกลุ่มหัวเมืองไทเขินและไทลื้อทางเหนือ เรียกรวมกันว่า "ลื้อเขิน" พระเจ้ากาวิละมอบหมายให้พระยาอุปราชน้อยธรรมยกทัพเมืองเชียงใหม่ขึ้นไปตีเมืองยอง (Mong Yawng) ในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2348 เจ้าเมืองยองไม่สู้รบ ยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี พระยาอุปราชกวาดต้อนชาวเมืองยองจำนวน 10,000 คน[12] ลงมาไว้ที่ลำพูน
เจ้าอัตถวรปัญโญเจ้าเมืองน่านยกทัพเมืองน่านขึ้นไปโจมตีหัวเมืองไทลื้อสิบสองปันนาในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2348 ยกขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือไปทางเมืองเวียงภูคา (Vieng Phouka) และเมืองหลวงน้ำทา (Luang Namtha) เจ้าเมืองเวียงภูคายอมจำนนแต่เจ้าเมืองหลวงน้ำทาหลบหนีไปอยู่ที่เมืองพง (Mengpeng) เจ้าอัตถวรปัญโญจึงทัพต่อไปที่เมืองพง เจ้าเมืองพงหนีไปอยู่เมืองนูน (Menglun) เมื่อทัพเมืองน่านยกล้ำขึ้นไปเรื่อยๆ เจ้าเมืองพง เจ้าเมืองรำ เจ้าเมืองนูน ต่างหลบหนีเข้าไปอยู่เมืองเชียงรุ่ง เจ้าอัตถวรปัญโญยกทัพเข้าตีเมืองเชียงรุ่ง ในเวลานั้น เจ้าหม่อมมหาน้อยเจ้าเมืองเชียงรุ่งอายุเพียงสองชันษา เจ้าหม่อมมหาวังผู้เป็นอาว์สำเร็จราชการแทน เมืองเชียงรุ่งยอมจำนนต่อกองทัพเมืองน่านแต่โดยดีไม่สู้รบ เจ้าเมืองเชียงแข็ง (Kengcheng ปัจจุบันคือเมืองสิงห์) ยอมสวามิภักดิ์ต่อน่านเช่นกัน เจ้าอัตถวรปัญโญกวาดต้อนชาวไทลื้อจากหัวเมืองต่างๆในสิบสองปันนาลงมาเป็นจำนวนถึง 40,000 ถึง 50,000 คน[12] ลงมาอยู่ที่เมืองน่าน
บรรดาเจ้าไทลื้อทั้งหลาย เจ้าหม่อมมหาวังเมืองเชียงรุ่ง เจ้าเมืองเชียงแข็ง พญาพาบเจ้าเมืองพง พญาคำลือเจ้าเมืองนูน ต่างเดินทางลงมากรุงเทพในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2348 เพื่อถวายเครื่องบรรณาการต้นไม้เงินต้นไม้ทอง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงมีพระวินิจฉัยว่า เจ้าเมืองไทลื้อเหล่านี้มิได้กระทำความผิด หัวเมืองไทลื้อนั้นสยามรักษาไว้ได้ยากเนื่องจากอยู่ห่างไกลและอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่าและจีน[12] จึงพระราชทานให้เจ้าเมืองไทลื้อเหล่านั้นเดินทางกลับคืนไปยังบ้านเมืองของตน
อ้างอิง
แก้- ↑ Baker, Chris (20 Apr 2005). A History of Thailand. Cambridge University Press.
- ↑ 2.0 2.1 Wyatt, David K. (2003). Thailand: A Short History. Silkworm Books.
- ↑ Ricklefs, M.C. (2010). A New History of Southeast Asia. Macmillan International Higher Education.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 พื้นเมืองเชียงแสน
- ↑ Kirigaya, Ken (2014). "Some Annotations to The Chiang Mai Chronicle: The Era of Burmese Rule in Lan Na". Journal of Siam Society.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 ประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค), พระยา. พงศาวดารโยนก. โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, พ.ศ. 2478.
- ↑ Phraison Salarak (Thien Subindu), Luang. Intercourse between Burma and Siam as recorded in Hmannan Yazawindawgyi. Bangkok; July 25, 1919.
- ↑ Chiu, Angela S. (31 March 2017). The Buddha in Lanna: Art, Lineage, Power, and Place in Northern Thailand. University of Hawaii Press.
- ↑ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑๔.พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เถ้าแก่ทองดี ปาณิกบุตร์ จ.จ.เมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๗๒.
- ↑ สุเนตร ชุตินธรานนท์. พม่ารบไทย ว่าด้วยการสงครามระหว่างไทยกับพม่า . พิมพ์ครั้งที่ 15. กรุงเทพฯ : มติชน, 2562
- ↑ 11.0 11.1 Grabowsky, Volker. Forced Resettlement Campaigns in Northern Thailand during the Early Bangkok Period. Journal of Siamese Society, 1999.
- ↑ 12.00 12.01 12.02 12.03 12.04 12.05 12.06 12.07 12.08 12.09 12.10 12.11 12.12 12.13 12.14 ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๖.
- ↑ 13.0 13.1 ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงธน ฯ แลกรุงเทพ ฯ.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๖๑. ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๑๐: เรื่อง ราชวงษปกรณ์ พงษาวดารเมืองน่าน. ในงานปลงศพพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร.
- ↑ 15.0 15.1 ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับ เชียงใหม่ ๗๐๐ ปี. ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่, พ.ศ. 2538.