พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
บทความนี้ต้องการข้อความอธิบายความสำคัญที่กระชับ และสรุปเนื้อหาไว้ย่อหน้าแรกของบทความ |
พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ป.จ. ม.ป.ช. ต.ม. ป.ป.ร. ๔ อ.ป.ร. ๑ นามเดิม พจน์ พหลโยธิน (29 มีนาคม พ.ศ. 2430 – 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490) เป็นผู้นำทางทหารและนักการเมืองชาวไทย อดีตนายกรัฐมนตรีสยามคนที่ 2 ตั้งแต่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476 หลังการรัฐประหารและต่อมาได้วางมือจากการเมือง ตั้งแต่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481
พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
พระยาพหลพลพยุหเสนาในเครื่องแบบทหาร | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรีสยาม คนที่ 2 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 (5 ปี 178 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | พระยามโนปกรณ์นิติธาดา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | หลวงพิบูลสงคราม | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผู้บัญชาการทหารบก | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 – 4 มกราคม พ.ศ. 2481 (5 ปี 182 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | พลเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | พลเอก หลวงพิบูลสงคราม | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 25 สิงหาคม พ.ศ. 2487 – 29 มีนาคม พ.ศ. 2489 (1 ปี 216 วัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | พลโท หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | พลเอก อดุล อดุลเดชจรัส | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เกิด | พจน์ 29 มีนาคม พ.ศ. 2430 เมืองพระนคร ประเทศสยาม (ปัจจุบัน กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เสียชีวิต | 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 (59 ปี) วังปารุสกวัน จังหวัดพระนคร ประเทศสยาม (ปัจจุบัน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย)[1] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พรรคการเมือง | คณะราษฎร | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คู่สมรส |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บุตร |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บุพการี |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ลายมือชื่อ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รับใช้ | ปรัสเซีย สยาม ไทย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สังกัด | กองทัพปรัสเซีย กองทัพบกไทย กองทัพไทย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ประจำการ | 2453–2455 (ปรัสเซีย)[ต้องการอ้างอิง] 2454–2490 (ไทย) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ยศ | พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บังคับบัญชา | กองทัพบกไทย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผ่านศึก | สงครามโลกครั้งที่ 2[2] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระยาพหลพลพยุหเสนาขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีชีวิตเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับตำแหน่ง เขาเป็นนายกรัฐมนตรีสามสมัย และลาออกจากตำแหน่งเมื่อรัฐบาลแพ้เสียงในสภา เป็นผู้นำคณะราษฎรที่เป็นที่ยอมรับของทุกสายช่วยประสานงานระหว่างฝ่ายพลเรือนและทหาร และมือสะอาด แม้มีโอกาสมากมายที่สามารถแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวแต่ก็ไม่เคยฉกฉวยโอกาสเหล่านั้น ยามที่เขาถึงแก่อสัญกรรมพบว่าครอบครัวเขาไม่มีเงินพอจัดพิธีศพ และได้รับสมญานามว่า เชษฐบุรุษประชาธิปไตย[3]
ปฐมวัย
แก้พจน์ พหลโยธิน เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2430 ภูมิลำเนา ณ จังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือกรุงเทพมหานคร) เป็นบุตรพระยาพหลพลพยุหเสนา (กิ่ม พหลโยธิน)[4] ชาวไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว [5] [6] มหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มารดาเป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ ชื่อว่านางจับ ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ห้าของนายกิ่ม ภายหลังบิดาถึงแก่อนิจกรรม ท่านก็อยู่ภายใต้การอุปการะของพี่ชายต่างมารดาที่ชื่อนพ (ต่อมาได้บรรดาศักดิ์เป็นพระยาพหลโยธินรามนิทราภักดี)
เมื่ออายุราวแปดขวบ บิดาพาไปฝากเรียนกับขุนอนุกิจวัตร ครูใหญ่โรงเรียนวัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร และย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสุขุมาลลัย (ปัจจุบันคือโรงเรียนวัดพิชัยญาติ) ต่อมาในพ.ศ. 2444 พี่ชายที่เป็นทหารได้ฝากเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก[7][3] พจน์สอบได้อันดับหนึ่งในชั้นห้า จึงได้รับเลือกศึกษาวิชาทหารที่จักรวรรดิเยอรมันในปี พ.ศ. 2447 พจน์เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมนายร้อยในเมืองพ็อทซ์ดัมเป็นเวลาหนึ่งปี และเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยปรัสเซียในกรุงเบอร์ลินอีกสองปี[8] ซึ่งที่นี่ พจน์และนักเรียนไทยหลายคนได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับแฮร์มัน เกอริง
ราชการทหาร
แก้เมื่อจบการศึกษาใน พ.ศ. 2453 พจน์เข้ารับราชการทหารนายสิบในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ของกองทัพเยอรมัน
ระหว่างนี้ได้รับยศร้อยตรีของสยามในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2454 และต่อมาในปีพ.ศ. 2455 พจน์เดินทางจากเยอรมนีไปศึกษาวิชาช่างแสงทหาร ณ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก แต่กลับถูกเรียกตัวกลับก่อนเรียนจบ เนื่องจากนักเรียนทหารในเดนมาร์กเรียกร้องขึ้นเบี้ยหวัดจากกระทรวงกลาโหมสยาม กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถทรงกริ้วและเรียกตัวนักเรียนทั้งหมดกลับ[7]
เมื่อกลับมาถึงสยามในกลางปี พ.ศ. 2457 พจน์ได้เลื่อนเป็นร้อยโทและเข้าประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 จังหวัดราชบุรี ราวปี พ.ศ. 2459 ได้เป็นผู้บังคับการกองร้อยที่ 2 กรมทหารปืนใหญ่บางซื่อ ในปีถัดมาได้เป็นผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 9 จังหวัดฉะเชิงเทรา[9] (ยศร้อยเอก) ปีถัดมาได้บรรดาศักดิ์เป็น หลวงสรายุทธ์สรสิทธิ์ ตำแหน่งผู้บังคับการทหารบกปืนใหญ่ที่ 2 จังหวัดพระนคร[10] และในปีพ.ศ. 2462 ได้สังกัดกรมทหารปืนใหญ่ทหารบก กระทรวงกลาโหม และได้รับมอบหมายให้เดินทางไปตรวจรับปืนใหญ่และดูกิจการทหารในจักรวรรดิญี่ปุ่น ปรากฏว่าพจน์ปฏิบัติงานได้ดีเยี่ยมจนได้รับพระราชทานตราตั้งจากจักรพรรดิไทโชเป็นเกียรติยศสำหรับตนเองและประเทศชาติ เมื่อกลับมาสยามได้เลื่อนเป็นพันตรี และเจริญก้าวหน้าทางตำแหน่งขึ้นตามลำดับ
พ.ศ. 2473 เขาเป็นตำแหน่งจเรทหารปืนใหญ่ในยศพันเอก มีหน้าที่ตรวจการและให้ความรู้แก่เหล่าทหารปืนใหญ่ในกรมกอง ในช่วงนี้เขาเห็นว่าบรรดาเสนาบดีและทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้านั้นต่างยึดความคิดตนเองเป็นใหญ่ ไม่คิดจะฟังความคิดเห็นของทหารสามัญชน[11] เขาได้คัดค้านการซื้อปืนสโตร๊กบันของฝรั่งเศสเพราะเห็นว่าเป็นปืนเก่าล้าสมัย แต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้ากลับดีเห็นงามกับการซื้อปืนชนิดนี้[11]
การปฏิวัติสยาม
แก้พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นหนึ่งในสี่ทหารเสือร่วมกับพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน), พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) และพระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนของการวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น พระยาพหลฯ รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้ฉลาดที่สุดในกลุ่ม จึงให้พระยาทรงสุรเดชเป็นผู้อำนวยการฝ่ายทหาร รับผิดชอบวางแผนก่อการทั้งหมด ส่วนตัวเขาจะขอเป็นเพียงผู้นำไปปฏิบัติ
ก่อนก่อการ พระยาพหลพลพยุหเสนาได้กล่าวกับภรรยาไว้ว่า "...การที่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ ก็มิได้แน่ใจว่าจะทำสำเร็จดอก มองเห็นข้างศีรษะจะหลุดจากบ่านั้นมากกว่า แต่ที่เห็นแน่ตระหนักในใจก็คือ ถ้าไม่เร่งรัดจัดเปลี่ยนระบอบการปกครองเสียในเวลานี้แล้ว ต่อไปภายหน้าบ้านเมืองก็คงจะประสบแต่ความหายนะถึงล่มจมลงไปเป็นแน่..."[11] แล้วจึงออกจากบ้านไปพร้อมกับพระประศาสน์พิทยายุทธที่ขับรถมารับ มุ่งหน้าไปยังตำบลนัดพบ คือ บริเวณทางรถไฟสายเหนือตัดกับถนนประดิพัทธ์ ในเวลา 05.00 น. เพื่อสมทบกับกลุ่มของพระยาทรงสุรเดช พร้อมกับเหน็บปืนพกโคลต์รีวอลเวอร์ที่เอวเป็นอาวุธข้างกาย ก่อนที่จะเดินทางไปที่กรมทหารม้าที่ 1 เกียกกาย เพื่อลวงเอากำลังทหารและยุทโธปกรณ์มาใช้ในการปฏิวัติตามแผนของพระยาทรงสุรเดช ซึ่งที่คลังแสงภายในกรมทหารแห่งนี้ พระยาพหลฯ เป็นผู้ใช้คีมตัดเหล็กทำการตัดโซ่ที่คล้องประตูคลังแสง เพื่อขนกระสุนและปืนออกมา[12] ระหว่างนี้ พระประศาสน์ฯ ตรงไปเอารถเกราะออกจากโรงรถทหารอย่างเร่งรีบ[13]
เมื่อทหารทุกหน่วยมาพร้อมที่ลานพระบรมรูปแล้ว เวลาเจ็ดนาฬิกาเศษ พระยาพหลฯ เชิญนายทหารสัญญาบัตรมารายล้อม ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีข้อความภาษาเยอรมัน แต่อ่านออกมาเป็นภาษาไทยด้วยน้ำเสียงแตกพร่าว่า[14] "บัดนี้คณะราษฎรอันประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน ได้พร้อมใจกันเข้ายึดอำนาจการปกครองไว้แล้วโดยเด็ดขาด เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเยี่ยงนานาอารยประเทศทั้งหลาย..."[13] จากนั้นจึงนำกำลังเข้ายึดพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นกองบัญชาการ การปฏิวัติสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยในเวลาราวเที่ยงวัน
บทบาททางการเมือง
แก้เมื่อท่านต้องรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ 2 ของประเทศ แทนที่พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) ที่ถูกรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 การทำหน้าที่ของท่านไม่ราบรื่น เนื่องด้วยประสบกับปัญหาหลายด้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง รวมทั้งการสงคราม ที่กำลังจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ขึ้น ทำให้ท่านต้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันถึง 3 สมัย จากนั้นก็ลงจากตำแหน่ง แล้วเข้ามาเป็นรัฐมนตรีอีก 3 กระทรวง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในปี พ.ศ. 2477 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปี พ.ศ. 2478 จากนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ผันผวนทางการเมือง ท่านก็กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสมัยที่ 4 โดยนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ หลังจากนั้น ก่อนจะเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 5 วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2480 และลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 และยุติบทบาททางการเมืองไป ซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อมาก็คือหลวงพิบูลสงคราม นายทหารรุ่นน้องที่ท่านไว้ใจนั่นเอง
พระยาพหลพลพยุหเสนาได้รับพระราชทานวังปารุสกวัน จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นที่พำนัก แม้ถึงตอนที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ซึ่งท่านได้ใช้ที่นี่เป็นที่พำนักพักอาศัยตราบจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต[1]
พระยาพหลพลพยุหเสนา มีคติประจำใจว่า "ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชาย ต้องไว้ชื่อ" ชีวิตของท่านไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากมายเลยแม้จะผ่านตำแหน่งสำคัญ ๆ มามากก็ตาม[1] ใน พ.ศ. 2487 ระหว่างปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ในรัฐบาลพันตรีควง อภัยวงศ์ ที่ขึ้นมาแทนที่รัฐบาลของจอมพลแปลก ที่ได้ลาออกไปก่อนหน้านั้น เมื่อรัฐบาลมีมติปลด จอมพลแปลก ออกจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ (ปัจจุบันคือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด) ก็ได้ขอให้ท่านรับตำแหน่งนี้เอาไว้ ทั้งที่ท่านประกาศไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกแล้ว ประกอบกับร่างกายที่เป็นอัมพาตจากอาการเส้นโลหิตในสมองแตก แต่ท่านก็รับไว้ในที่สุด แม้จะปรารภว่าจะให้เป็นท่านเป็นแม่ทัพกล้วยปิ้งหรืออย่างไร อีกทั้งระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพันตรีควง ในช่วงนี้ เป็นที่หวาดวิตกว่า อาจมีรัฐประหาร ด้วยกำลังทหารจากจังหวัดลพบุรี ที่ยังให้การสนับสนุนจอมพลแปลกอยู่ เพื่อยุติภาวะอันนี้ พันตรีควง จึงตัดสินใจเดินทางไปพบจอมพลแปลกด้วยตัวเองถึงที่บ้านพักส่วนตัว ภายในศูนย์การทหารปืนใหญ่ จังหวัดลพบุรี หลังจากเจรจากันแล้ว จอมพลแปลกได้ยืนยันว่า ไม่มีความคิดเช่นนั้นเลย อีกทั้งยังมีความรักใคร่ พันตรีควง เสมือนเป็นน้องชายตนเอง ในการครั้งนี้ ด้วยความเป็นห่วงพันตรีควง พระยาพหลพลพยุหเสนาได้โทรศัพท์ไปสอบถามถึงบ้านพักของพันตรีควงถึง 2 ครั้ง เมื่อไม่ได้ความ ก็เดินทางออกจากวังปารุสกวันไปที่หลักสี่เพื่อรอคอยการกลับมาของพันตรีควงด้วยตนเอง ทั้งที่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย [2]
พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ล้มป่วยลงด้วยโรคอัมพาตเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2488 เนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก แต่ด้วยความสามารถของนายแพทย์และด้วยกำลังใจอันเข้มแข็ง ช่วงที่พระยาพหลฯ ล้มป่วย ท่านได้เคยสั่งไว้กับปรีดี พนมยงค์ และ หลวงอดุลเดชจรัส ซึ่งเปรียบเสมือนพินัยกรรมการเมืองไว้ว่า
“ประชาธิปไตย ซึ่งคณะผู้ก่อการ 24 มิถุนายน 75 ได้ปฏิบัติมาก็เพื่อให้แก่ คนไทยทุกคน ไม่ใช่ให้แก่หมู่คณะใด ฉะนั้น เมื่อสิ้นบุญไปแล้ว ก็ขอให้คนไทยทุกคนจงรักษาไว้ อย่ายอมให้หมู่คณะใดมายื้อแย่งไปใช้อย่างผิด ๆ”[15]
ท่านได้ต่อสู้โรคร้ายมาตลอดราว 2 ปีเศษ จนเมื่อเวลา 21.40 น. ของคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2490 ได้เกิดอาการหายใจลึกและสะท้อน ชีพจรอ่อน พูดไม่ได้ มีเสมหะในลำคอมาก ม่านตาไม่ขยาย อาการทรุดลงตามลำดับ จนถึงเวลา 3.05 น. ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 ก็ได้ถึงแก่อสัญกรรม ด้วยวัย 59 ปี 322 วัน นายแพทย์พร้อมกันลงความเห็นว่าเส้นโลหิตในสมองได้แตกอีกเป็นครั้งที่ 2 จึงเป็นเหตุให้ถึงแก่อสัญกรรม[16] ซึ่งงานศพของท่านทางครอบครัวไม่มีเงินเพียงพอที่จะจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ จนทางรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ต้องเข้ามารับอุปถัมภ์ จัดการงานพระราชทานเพลิงให้ท่านแทน[1] ศพของพระยาพหลฯ ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วังปารุสกวันและพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นวัดที่ท่านอยู่จำศีลภาวนาเมื่อคราวอุปสมบท
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เหตุการณ์สำคัญขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แก้- 11 - 25 ตุลาคม พ.ศ. 2476 - การพยายามกระทำรัฐประหารโดยคณะกู้บ้านกู้เมือง
- 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (ปัจจุบัน พ.ศ. 2478) - รัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ
- 3 สิงหาคม พ.ศ. 2478 - การจับกุมตัวคณะนายสิบ ข้อหากบฏในพระราชอาณาจักร
- 9 สิงหาคม 2480 - กระทู้ถามเรื่องที่ดินพระคลังข้างที่ ของ นายเลียง ไชยกาล
อนุสรณ์
แก้ภายหลังการอสัญกรรม ได้มีการเปลี่ยนชื่อถนนตามนามสกุลของท่าน คือ ถนนพหลโยธิน และมีการสร้างโรงพยาบาลและใช้ชื่อเป็นการระลึกถึงท่าน คือ โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา ที่จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งท่านถือว่าจังหวัดกาญจนบุรีเป็นภูมิลำเนาแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีสะพานพหลพลพยุหเสนา ในเทศบาลเมืองกาญจนบุรีและปัจจุบัน มีการสร้างพิพิธภัณฑ์พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา อยู่ภายในศูนย์การทหารปืนใหญ่ ค่ายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หมู่ที่ 7 ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเคยเป็นที่พำนักของท่านมาก่อนในขณะเป็นผู้บังคับบัญชา ภายในรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ รูปปั้น ชุดเครื่องแบบ ตลอดจนรูปถ่าย จดหมายลายมือของท่าน และบัตรประจำตัว เพื่อเป็นแหล่งศึกษาชีวประวัติและเชิดชูเกียรติของท่าน ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัด อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2563 ราชกิจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเปลี่ยนชื่อค่ายทหาร จากชื่อ "ค่ายพหลโยธิน " มีที่ตั้ง ณ ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ว่า "ค่ายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร " และพระราชทานนามย่อว่า "ค่ายภูมิพล"[17]
ครอบครัว
แก้พระยาพหลพลพยุหเสนา สมรสครั้งแรกกับ คุณหญิงพิศ แต่ไม่มีบุตร-ธิดาด้วยกัน ต่อมาได้สมรสครั้งที่สองกับบุญหลง ธนะโสภณ มีบุตร-ธิดา รวม 7 คน คือ
- นางสาวภาพร พหลพลพยุหเสนา
- นางพรจันทร์ ศรีพจนารถ
- พลตรี ชัยจุมพล พหลพลพยุหเสนา
- พันตรี พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา
- นางพจี พหลโยธิน สุทธินาค
- นางพวงแก้ว สาตรปรุง
- พันตำรวจโท พรหมธรมหัชชัย พหลพลพยุหเสนา
เกียรติยศ
แก้ยศทหาร
แก้- 23 มกราคม พ.ศ. 2454: นายร้อยตรี[18]
- 11 สิงหาคม พ.ศ. 2457: นายร้อยโท[19]
- 2 กันยายน 2457 – โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมส่งสัญญาบัตรไปพระราชทาน[20]
- 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2459: นายร้อยเอก[21]
- 29 สิงหาคม 2460 – โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมส่งสัญญาบัตรยศทหารบกไปพระราชทาน[22]
- 21 เมษายน พ.ศ. 2462: นายพันตรี[23]
- 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2466: นายพันโท[24]
- 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2471: นายพันเอก[25]
- 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2480: นาวาเอก นาวาอากาศเอก[26]
- 1 เมษายน พ.ศ. 2482: พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี
- 19 มิถุนายน พ.ศ. 2484: พลโท[27]
- 21 ธันวาคม พ.ศ. 2485: พลเอก[28]
- 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486: พลเรือเอก พลอากาศเอก[29]
บรรดาศักดิ์
แก้- 20 เมษายน พ.ศ. 2461: หลวงสรายุทธ์สรสิทธิ์[30]
- 6 สิงหาคม 2462 – โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมส่งสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ไปพระราชทาน[31]
- 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2467: พระสรายุทธ์สรสิทธิ์[32]
- 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474: พระยาพหลพลพยุหเสนา[33]
- 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2485: ประกาศยกเลิกบรรดาศักดิ์[34]
- 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488: คืนบรรดาศักดิ์ พระยาพหลพลพยุหเสนา
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
แก้พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
แก้- พ.ศ. 2486 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) (ฝ่ายหน้า)[35]
- พ.ศ. 2480 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[36]
- พ.ศ. 2472 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)[37]
- พ.ศ. 2484 – เหรียญชัยสมรภูมิ สงครามอินโดจีน (ช.ส.)[38]
- พ.ศ. 2477 – เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (พ.ร.ธ.)[39]
- พ.ศ. 2477 – เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน (ร.ด.ม.(ผ))[40]
- พ.ศ. 2486 – เหรียญช่วยราชการเขตภายใน การรบสงครามมหาเอเชียบูรพา (ช.ร.)[41]
- พ.ศ. 2470 – เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)[42]
- พ.ศ. 2472 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 4 (ป.ป.ร.4)[43]
- พ.ศ. 2481 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 8 ชั้นที่ 1 (อ.ป.ร.1)[44]
- พ.ศ. 2454 – เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 6 (ร.ร.ศ.6)
- พ.ศ. 2468 – เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 7 (ร.ร.ศ.7)
- พ.ศ. 2475 – เหรียญเฉลิมพระนคร 150 ปี (ร.ฉ.พ.)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
แก้- ญี่ปุ่น :
- พ.ศ. 2465 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงคลรัตน์ ชั้นที่ 4[45]
- พ.ศ. 2485 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นสูงสุดประดับดอกคิริ[46]
- เนเธอร์แลนด์ :
- พ.ศ. 2473 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์ออเรนจ์-นัสเซา ชั้นที่ 3[47]
- ไรช์เยอรมัน :
- พ.ศ. 2482 – เครื่องอิสริยาภรณ์อินทรีเยอรมัน ชั้นที่ 1[48]
ตำแหน่งทางวิชาการ
แก้ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 ส.พลายน้อย. พระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรีผู้ซื่อสัตย์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2555. 137 หน้า. ISBN 9740208754
- ↑ 2.0 2.1 จรี เปรมศรีรัตน์. กำเนิดพรรคประชาธิปัตย์ 6 เมษายน พ.ศ. 2489 : 61 ปีประชาธิปัตย์ยังอยู่ยั้งยืนยง. นนทบุรี : ใจกาย, 2552. 323 หน้า. ISBN 9789747046724
- ↑ 3.0 3.1 “เชษฐบุรุษ” พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) พ.ศ. 2430-90 ศิลปวัฒนธรรม. 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
- ↑ เวปไซด์ทำเนียบรัฐบาลระบุว่าชื่อ "ถิ่น พหลโยธิน" [1]
- ↑ "ผมเชื่อว่ายังมีทหารแบบคุณพ่อ" พันตรีพุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา ลูกชายผู้นำคณะราษฎร".
- ↑ "ประวัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-14. สืบค้นเมื่อ 2008-01-29.
- ↑ 7.0 7.1 นเรศ นโรปกรณ์, 100 ปี พระยาพหลฯกรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2531), 17.
- ↑ ย้อนราก “3 ทหารเสือ” คณะราษฎร ผลผลิตจากโรงเรียนนายร้อยเยอรมนี ศิลปะวัฒนธรรม. 25 มีนาคม พ.ศ. 2563
- ↑ แจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่อง เลื่อนย้ายนายทหารรับราชการกับออกจากประจำการ (หน้า ๑๓๐๐) ราชกิจจานุเบกษา
- ↑ แจ้งความกระทรวงกลาโหม เรื่อง ย้ายนายทหารรับราชการ (หน้า ๓๖๓๘) ราชกิจจานุเบกษา
- ↑ 11.0 11.1 11.2 กุหลาบ สายประดิษฐ์, เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์บูรพาแดง, 2518)
- ↑ 24 มิถุนายน (6) จากเดลินิวส์ โดย นรนิติ เศรษฐบุตร รศ.
- ↑ 13.0 13.1 หลอกทหารมาปฏิวัติ 2475 แผนการลวงของพระยาทรงสุรเดช ศิลปวัฒนธรรม. 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563
- ↑ นายหนหวย. ทหารเรือปฏิวัติ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, พฤศจิกายน 2555 (พิมพ์ครั้งที่ 3). 124 หน้า. ISBN 9789740210252
- ↑ นริศ จรัสจรรยาวงศ์. (มิถุนายน, 2564). นระ 2475 ลาเวที ทิ้งชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ดวงหน้าสุดท้ายและอนุสาวรีย์ของ 3 ผู้นำคณะราษฎร. ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 42 : ฉบับที่ 8.
- ↑ หนังสือ 111ปี ฯพณฯ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เชษฐบุรุษ พิมพ์ครั้งที่1 กันยายน 2552 หน้าที่ 90-91
- ↑ "โปรดเกล้าฯ เปลี่ยนนาม "ค่ายพหลโยธิน", "ค่ายพิบูลสงคราม" ตั้งแต่ 29 ธ.ค. 2562". BBC News ไทย. สืบค้นเมื่อ 2024-03-29.
- ↑ พระราชทานยศทหารบก ราชกิจจานุเบกษา
- ↑ ตั้งตำแหน่งยศทหารบก ราชกิจจานุเบกษา
- ↑ รายวันส่งสัญญาบัตรยศนายทหารบกไปพระราชทาน
- ↑ พระราชทานยศนายทหารบก ราชกิจจานุเบกษา. 4 มิถุนายน 2459
- ↑ ส่งสัญญาบัตรยศทหารบกไปพระราชทาน
- ↑ พระราชทานยศทหารบก ราชกิจจานุเบกษา. 27 เมษายน 2462
- ↑ พระราชทานยศทหารและข้าราชการในกระทรวงกลาโหม ราชกิจจานุเบกษา. 20 พฤษภาคม 2466
- ↑ พระราชทานยศ
- ↑ ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่อง พระราชทานยศทหาร
- ↑ พระราชทานยศทหาร เก็บถาวร 2018-07-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ราชกิจจานุเบกษา. 1 มกราคม 2486
- ↑ พระราชทานยศทหาร เก็บถาวร 2018-07-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ราชกิจจานุเบกษา. 23 พฤศจิกายน 2486
- ↑ "พระราชทานตั้งเลื่อนบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 35: 208. 28 เมษายน 2461. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-07-03. สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2563.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ส่งสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ไปพระราชทาน
- ↑ "พระราชทานบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 41 (ง): 1244. 20 กรกฎาคม 2467. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-09-27. สืบค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2559.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 48 (ง): 3011. 15 พฤศจิกายน 2474. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-06-30. สืบค้นเมื่อ 21 ตุลาคม 2559.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "พระบรมราชโองการ ประกาศเรื่อง การยกเลิกบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 48 (33ก): 1089. 15 พฤษภาคม 2485. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-08-13. สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2563.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๖๐ ตอนที่ ๔๙ ง หน้า ๓๐๓๐, ๑๘ กันยายน ๒๔๘๖
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๒๑๒, ๑๓ ธันวาคม ๒๔๘๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญ, เล่ม ๔๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๒๒, ๑ ธันวาคม ๒๔๗๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญชัยสมรภูมิและเครื่องหมายเปลวระเบิด สำหรับผู้กระทำความชอบได้รับบาดเจ็บ, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๘๑๐, ๑๕ เมษายน ๒๔๘๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ เรื่อง พระราชทานเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ, เล่ม ๕๑ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๐๗๙, ๓๐ กันยายน ๒๔๗๗
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน, เล่ม ๕๑ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๑๕๖, ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๗๗
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญช่วยราชการเขตภายใน, เล่ม ๖๐ ตอนที่ ๔๓ ง หน้า ๒๕๙๐, ๑๗ สิงหาคม ๒๔๘๖
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ส่งเหรียญจักรมาลาไปพระราชทาน, เล่ม ๔๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๑๐๕, ๒๕ ธันวาคม ๒๔๗๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๓๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๒๗๗, ๒ มีนาคม ๒๔๗๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๕๙, ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๓๙ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๖๕๓, ๒๔ ธันวาคม ๒๔๖๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๙ ตอนที่ ๔๑ ง หน้า ๑๖๒๖, ๒๓ มิถุนายน ๒๔๘๕
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๔๗ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๓๓๙, ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๗๓
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๖๓๐, ๑๘ มีนาคม ๒๔๘๒
- ↑ "ตำแหน่งทางวิชาการ ศาสตราจารย์ธรรมศาสตร์" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-08-04. สืบค้นเมื่อ 2018-08-04.