เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ร.ว. ป.จ. ป.ช. ป.ม. ว.ม.ล. นามเดิม สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา (1 มกราคม พ.ศ. 2419 – 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486) นามปากกา ครูเทพ เป็นขุนนางชาวไทย เคยเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ และเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรก ผู้วางรากฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา ทั้งได้ร่วมดำริให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงเรียนช่างก่อสร้างแห่งแรกของประเทศไทย คือ โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย และยังเป็นผู้แปลกติกาฟุตบอลมาเผยแพร่ในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเป็นนักประพันธ์ งานประพันธ์เลื่องชื่อ คือ เพลงกราวกีฬา และเพลงชาติไทยฉบับก่อนปัจจุบัน
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) | |
---|---|
ประธานรัฐสภาไทย และ ประธานสภาผู้แทนราษฎร | |
ดำรงตำแหน่ง 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 – 1 กันยายน พ.ศ. 2475 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง |
ถัดไป | เจ้าพระยาพิชัยญาติ |
ดำรงตำแหน่ง 15 ธันวาคม พ.ศ. 2476 – 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ก่อนหน้า | เจ้าพระยาพิชัยญาติ |
ถัดไป | พระยาศรยุทธเสนี |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ | |
ดำรงตำแหน่ง 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476 | |
นายกรัฐมนตรี | พระยามโนปกรณนิติธาดา พระยาพหลพลพยุหเสนา |
ก่อนหน้า | ตนเอง (ในฐานะเสนาบดี) |
ถัดไป | พระยาพหลพลพยุหเสนา |
เสนาบดีกระทรวงธรรมการ | |
ดำรงตำแหน่ง 19 เมษายน พ.ศ. 2459 – 3 สิงหาคม พ.ศ. 2469 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ก่อนหน้า | เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) |
ถัดไป | พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต |
ดำรงตำแหน่ง 1 กันยายน พ.ศ. 2475 – 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ก่อนหน้า | พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต |
ถัดไป | ตนเอง (ในฐานะรัฐมนตรี) |
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบประเภทที่ 2 [a] | |
ดำรงตำแหน่ง 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476 [1] – 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2477 | |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | สนั่น 1 มกราคม พ.ศ. 2419 จังหวัดพระนคร ประเทศสยาม |
เสียชีวิต | 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 (67 ปี) จังหวัดพระนคร ประเทศไทย |
ศาสนา | พุทธ |
คู่สมรส | ถวิล สาลักษณ |
บุตร | 18 คน รวมถึงปรียา ฉิมโฉม |
บุพการี |
|
ปฐมวัยและการศึกษา
แก้เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เกิดที่บ้านหลังศาลเจ้าหัวเม็ด ตำบลสะพานหัน จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2419 (นับแบบปัจจุบันคือปี 2420)[ต้องการอ้างอิง] ตรงกับวันจันทร์ เดือนยี่ แรม 2 ค่ำ ปีชวดเป็นบุตรคนที่ 18 จากบุตร-ธิดา 32 คนของพระยาไชยสุรินทร์ (หม่อมหลวงเจียม เทพหัสดิน) กับคุณหญิงอยู่ เทพหัสดิน ณ อยุธยา โดยพระยาไชยสุรินทร์ (หม่อมหลวงเจียม เทพหัสดิน) สืบสายตระกูลจากพระยาราชภักดี (หม่อมราชวงศ์ช้าง เทพหัสดิน) โอรสหม่อมเจ้าฉิม ในสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์
เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ท่านบิดาก็ถึงแก่อนิจกรรม ชีวิตของท่านจึงผกผันจากการเป็นครอบครัวคนชั้นสูง จากการเป็นบุตรขุนนางชั้นผู้ใหญ่ (พระยาไชยสุรินทร์ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพระคลังข้างที่ในต้นรัชกาลที่ 5) ต้องมาช่วยมารดาทำสวน ค้าขายและรับจ้างเย็บรังดุมตั้งแต่ยังเด็ก ความยากลำบากทำให้ท่านมีความอดทนไม่ท้อถอยและมีอุปนิสัยอ่อนโยน มัธยัสถ์ ซึ่งเป็นสิ่งเกื้อหนุนให้ท่านมีความเจริญรุ่งเรืองในการศึกษาและการทำงาน
การศึกษา
แก้เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนวัดบพิตรพิมุข พระตำหนักสวนกุหลาบ และโรงเรียนสุนันทาลัย แล้วเข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ระหว่างปี พ.ศ. 2435 - 2437 ได้รับประกาศนียบัตรครู และสอบไล่ได้เป็นที่ 1 ของผู้สำเร็จวิชาครูชุดแรกและทำหน้าที่สอนประมาณ 2 ปี
- พ.ศ. 2431 เมื่ออายุ 12 ปี เข้าเรียนประโยคหนึ่งที่โรงเรียนบพิตรพิมุข มีพระมหาหนอหรือขุนอนุกิจวิธูร (น้อย จุลลิธูร) เป็นครูคนแรก
- พ.ศ. 2432 จบประโยคสอง โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบเมื่ออายุ 12 ปี
- พ.ศ. 2435 จบประโยคมัธยมศึกษาชั้น 5 ภาษาอังกฤษหลักสูตรหลวงโรงเรียนตัวอย่างสุนันทาลัยเข้าแล้วศึกษาในโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้ตั้ง โดยเป็นนักเรียนรุ่นแรกเพียง 3 คน สอบประกาศนียบัตรครูรุ่นแรกของกรมศึกษาธิการได้อันดับที่ 1 เมื่ออายุ 16 ปี แล้วทำหน้าที่เป็นนักเรียนสอนในกรมศึกษาธิการ
- พ.ศ. 2437 เป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์
- พ.ศ. 2439 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม จึงได้เป็นนักเรียนทุนหลวงกระทรวงธรรมการไปศึกษาวิชาครูต่อที่ประเทศอังกฤษ ณ วิทยาลัยฝึกหัดครูเบอโรโรด (Borough Road College) ณ เมืองไอส์ลเวิซท์ (Isleworth) ทางใต้ของกรุงลอนดอน ภายใต้การดูแลของเซอร์ โรเบิร์ต มอแรน จบแล้วได้เดินทางไปดูงานด้านการศึกษาที่ประเทศอินเดียและพม่าเป็นเวลา 3 เดือน
ชีวิตการทำงานและผลงาน
แก้- พ.ศ. 2441 จบการศึกษาและการดูงานกลับมาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา 1 พรรษา โดยมีโดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้เป็นนาคหลวง อุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร มีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นอุปัชฌาย์
- พ.ศ. 2442 กลับเข้ารับราชการกระทรวงธรรมการเมื่อวันที่ 9 มกราคม โดยเป็นครูสอนวิชาครูและคำนวณวิธีในโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ ก่อนเป็นพนักงานแต่งแบบเรียนประจำศาลาว่าการกรมศึกษาธิการ
- 9 กันยายน พ.ศ. 2442 (พ.ศ. 2443 ในปัจจุบัน) ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงไพศาลศิลปศาสตร์" ถือศักดินา 800 [2] รับหน้าที่เป็นเป็นผู้ช่วยหัวหน้ากองตรวจกรมศึกษาธิการและทำหน้าที่สอนในขณะเดียวกัน
- พ.ศ. 2444 จัดให้มีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างโรงเรียนประเภทอายุไม่เกิน 20 ปีเป็นครั้งแรกที่สนามหลวง โรงเรียนชนะเลิศจะได้รับโล่ไว้ครอบครองเป็นเวลาหนึ่งปี และการจารึกชื่อบนโล่เป็นเกียรติประวัติ เรียกว่า "การแข่งขันฟุตบอลชิงโล่ของกระทรวงธรรมการ"
- พ.ศ. 2445 เดินทางไปดูงานการศึกษา ณ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีผู้ร่วมเดินทางในครั้งนั้นคือ ขุนอนุกิจวิทูร (สันทัด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) และพระชำนิบรรณาคม (อ่อน สาริบุตร) โดยใช้เวลาดูงาน 72 วัน และในโอกาสนี้ ได้คอยเฝ้ารับเสด็จนิวัติประเทศสยามของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษแล้ว
- พ.ศ. 2453 ร. 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม (ร.ศ. 129) เพื่อรับกระแสพระราชดำริเรื่องการวางแนวทางการจัดการศึกษาของชาติโดยมีพระราชดำริว่า
- “ความเจริญแห่งประเทศบ้านเมืองในสมัยต่อไปนี้ที่จะเป็น ปึกแผ่นแน่นหนาได้แท้จริง ก็ด้วยอาศรัยศิลปวิทยาเป็นที่ตั้งหรือเปนรากเหง้าเค้ามูลจึงมีพระราชประสงค์จะทรงทำนุบำรุงการศึกษาของชาติบ้านเมืองให้รุ่งเรืองทันเขาอื่น”
- การจัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงแล้วเสร็จเปิดสอนเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม
- 4 มิถุนายน พ.ศ. 2454 รั้งตำแหน่งปลัดทูลฉลอง กระทรวงธรรมการ[3]และเป็น “พระยาธรรมศักดิ์มนตรี”
- พ.ศ. 2457 รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม อีกตำแหน่งหนึ่ง
- เขียนบทความแสดงความคิดเห็นใน "หนังสือพิมพ์ล้อมรั้ว พ.ศ. 2457" เสนอให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยโดยใช้ที่ดินระหว่างสนามม้ากับถนนพญาไทและถนนพญาไทถึงคลองสวนหลวง ส่วนหนึ่งของบทความ
- "มหาวิทยาลัยเป็นอาภรณ์สำหรับมหานครที่รุ่งเรืองแล้ว มหานครใดมีมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อเสียงสมจะอวดได้ ก็ย่อมเป็นเครื่องเชิดชูเกียรติคุณของมหานครนั้น ก็ย่อมได้ชื่อเสียงปรากฏความรุ่งเรืองแผ่ไพศาลไปในทิศทั้งปวงด้วย"
- พ.ศ. 2459 ได้เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ได้รับพระราชทานยศเป็น “จางวางโท” และ “จางวางเอก” ในปีเดียวกัน
- ในปีเดียวกันนี้ ได้มีพระราชหัตถ์เลขาพระราชทานเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีว่า
- "ถึงพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ได้รับหนังสือลงวันที่ 21 เดือนนี้ หาฤๅเรื่องจะรวมโรงเรียนข้าราชการพลเรือนกับโรงเรียนแพทยาลัย ขึ้นเปนมหาวิทยาลัย และบรรจุตำแหน่งน่าที่ทางกระทรวงธรรมการนั้นทราบแล้ว ตามความเห็นที่ชี้แจงมานั้น เห็นชอบด้วยแล้วให้จัดการไปตามนี้”
- พ.ศ. 2464 รับพระบรมราชโองการทำจดหมายถึงมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ ให้มาช่วยปรับปรุงการศึกษาแพทย์ โดยมูลนิธิฯ ส่งนายแพทย์ ริชาร์ด เอม เพียร์ส ประธานกรรมการฝ่ายแพทยศาสตร์ศึกษาเข้ามาดูกิจการของการศึกษาแพทย์ในประเทศสยามและได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงรับเป็นผู้แทนฝ่ายไทย
- ในปีเดียวกันนี้ ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาฉบับแรกของประเทศ
- พ.ศ. 2468 แต่งเพลงกราวกีฬา
- พ.ศ. 2469 ลาออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญมาช่วยสอนในโรงเรียนสตรีจุลนาคซึ่งคุณไฉไล เทพหัสดิน ณ อยุธยา บุตรีลาออกจากครูโรงเรียนราชินีและโรงเรียนวชิราวุธมาจัดตั้งขึ้นที่บ้านหลานหลวง
- พ.ศ. 2475 เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกในระบอบประชาธิปไตยระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 1 กันยายน และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการระหว่างวันที่ 1 กันยายน - 27 ธันวาคม
- พ.ศ. 2476 รัฐสภามีมติเลือกกลับไปเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม และขอลาออกเมื่อวันที่ 6 เดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากเห็นว่าเหตุการณ์ในระยะนั้นไม่อาจรักษาความเป็นประชาธิปไตยตามครรลองที่ท่านคิดว่าควรเป็นไว้ได้ จึงลาออกมาพักผ่อนอยู่กับบ้านจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
- พ.ศ. 2477 ก่อตั้งโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย และโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแม่โจ้ เชียงใหม่ (ดำเนินการในระหว่างเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2476)
งานด้านการศึกษา
แก้เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้ประกอบกิจการทางการศึกษาอันเป็นคุณูปการไว้แก่ประเทศไว้มากมาย โดยเฉพาะในการวางรากฐานอย่างสมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่การเป็นครู ผู้ตรวจการศึกษา เป็นเจ้ากรมราชบัณฑิต เจ้ากรมตรวจ ปลัดทูลฉลองจนถึงเสนาบดี โดยเริ่มนำเอาความรู้แผนใหม่เข้ามาในวงการครู เริ่มพัฒนาด้านพุทธิศึกษาอย่างจริงจัง เขียนตำรา เริ่มตั้งแต่ด้านสุขาภิบาลและสุขศึกษาสำหรับครอบครัว รวมทั้งเน้นด้านปลูกฝังธรรมจรรยาอย่างแท้จริง อบรมสั่งสอนให้คนมีคุณธรรมและจรรยามรรยาท จัดทำแบบสอน-อ่าน-เขียนด้านธรรมจริยาขึ้นใช้ในโรงเรียนทั่วประเทศ นำพลศึกษาและการกีฬาเข้ามาในโรงเรียนเพื่อสร้างลักษณะนิสัยให้เยาวชนรู้จักรู้แพ้ รู้ชนะ รู้จักอภัยซึ่งกันและกัน
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้จัดให้มีการศึกษาภาคบังคับ เพื่อให้ประชาชนได้รับการศึกษาทั่วถึงกันโดยท่านเชื่อว่า เมื่อให้มวลชนได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางแล้ว บุคคลที่มีความสามารถก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นเอง ได้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นทั่วประเทศรวมทั้งโรงเรียนประชาบาลเพื่อรองรับการจัดการศึกษาภาคบังคับ มีการเริ่มงานด้านหัตถศึกษา คือ นำเอาวิชาอาชีพต่าง ๆ เข้ามาสอนในโรงเรียน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทั้งด้านวิชาความรู้เพื่อไปรับราชการ และทางด้านวิชาชีพสำหรับผู้ที่ต้องการนำไปประกอบอาชีพทั่วไป ผลงานของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี อาจสรุปเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
- นำวิธีการจัดการศึกษาของต่างประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชียบางประเทศมาใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาของประเทศไทย
- เป็นกรรมการโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เป็นผู้บัญชาการโรงเรียนจนกระทั่งได้รับการสถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- เป็นกรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
- เป็นผู้ตรวจการลูกเสือมณฑลกรุงเทพฯ คนแรก
- เป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. โรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2461
- เป็นผู้ดำเนินการเพื่อห้ได้มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ประถมศึกษา พ.ศ. 2464
- ริเริ่มให้มีการฝึกหัดเล่นฟุตบอลในโรงเรียนและให้มีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างโรงเรียน
- ตั้งสามัคยาจารย์สมาคม เป็นผู้บรรยายวิชาครูและวิธีสอนที่สมาคมและที่โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์และเริ่มออกหนังสือ “วิทยาจารย์”
- ริเริ่มส่งเสริมวิชาช่างและหัตถกรรมเพื่อส่งเสริมให้เห็นความสำคัญของการช่างสาขาต่าง ๆ และจัดตั้งโรงเรียนเพาะช่างขึ้นเพื่อรองรับและเพาะขยายศิลปะและการช่าง ซึ่งต่อมาได้แตกออกไปเป็นโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวายและคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในภายหลัง
- ริเริ่มการศึกษาด้านเกษตรกรรมโดยการจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมแห่งแรก ขึ้นที่บริเวณหอวังหรือบ้านสวนหลวง สระปทุมเมื่อ พ.ศ. 2460 ได้จัดส่งนักเรียนทุนไปศึกษาเกษตรกรรมต่างประเทศและได้กลับมาเป็น “สามเสือเกษตร" เป็นฉายาที่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ใช้เรียกแทน บุคคลทั้ง 3 คือหลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ หลวงอิงคศรีกสิการ และพระช่วงเกษตรศิลปการ ภายหลังท่านเหล่านี้ล้วนมีคุณูปการต่อวงการเกษตร
- ด้านการค้าได้ริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนพาณิชยการขึ้นที่วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร
ด้านการประพันธ์
แก้นอกจากปราชญ์ด้านการศึกษาแล้ว เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้รับการยกย่องเป็นนักประพันธ์คนสำคัญท่านหนึ่งของประเทศไทย ท่านได้แต่งตำราและหนังสือเป็นจำนวนมากซึ่งมีทั้งความเรียงร้อยแก้ว และบทร้อยกรอง ซึ่งอาจแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้
- 1. แบบเรียน มีตั้งแต่แบบเรียนอนุบาล แบบเรียนวิชาครู ตรรกวิทยา เรขาคณิต พีชคณิต แบบสอนอ่านธรรมจริยา สุขาภิบาลสำหรับครอบครัว สมบัติผู้ดี และอื่น ๆ อีกมาก
- 3. บทความ ว่าด้วยการศึกษา จรรยา การสมาคม เศรษฐกิจและการเมือง และปรัชญา โดยใช้นามปากกาว่า “ครูเทพ” บ้าง “เขียวหวาน” บ้าง
- 4. ละครพูด แต่งขึ้นรวม 4 เรื่อง ได้แก่ บ๋อยใหม่ แม่ศรีครัว หมั้นไว้ และตาเงาะ
ด้านดนตรี
แก้ได้เป็นผู้ประพันธ์ “เพลงกราวกีฬา” ในนาม “ครูเทพ” เพื่อจูงใจให้นักกีฬารู้จักการแพ้ชนะและรู้จักการให้อภัย ทั้งนี้สืบเนื่องจากการการรณรงค์ให้มีการออกกำลังกายและการแข่งขันกีฬาในโรงเรียนทั่วประเทศ รวมทั้งการริเริ่มให้มีการแข่งขันฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาที่รุนแรง ซึ่งในเวลาต่อมาที่มักเกิดการวิวาทกันอยู่เนือง ๆ
- หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้เป็นผู้แต่งเนื้อร้องเพลงชาติโดยใช้ทำนองเพลงมหาฤกษ์มหาชัยเพื่อใช้เป็นเพลงประจำชาติชื่อ “เพลงชาติมหาชัย” อยู่ระยะหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนใหม่โดยมีเนื้อร้องดังนี้
“สยามอยู่คู่ฟ้าอย่าสงสัย เพราะชาติไทยเป็นไทยไปทุกเมื่อ
ชาวสยามนำสยามเหมือนนำเรือ ผ่านแก่งเกาะเพราะเพื่อชาติพ้นภัย
เราร่วมใจร่วมรักสมัครหนุน วางธรรมนูญสถาปนาพาราใหม่
ยกสยามยิ่งยงธำรงชัย ให้คงไทยตราบสิ้นดินฟ้า”
ชีวิตครอบครัวและชีวิตในบั้นปลาย
แก้เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีมีพี่น้องร่วมและต่างมารดาที่ได้ทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองหลายท่านและหลายด้าน มีที่ทำคุณประโยชน์ด้านการศึกษาสองท่านคือ มหาอำมาตย์ตรี พระยาอนุกิจวิธูร (สันทัด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) และพระยาวิทยาปรีชามาตย์ (ศิริ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) รวมทั้งผู้มีศักดิ์เป็นหลานแต่อ่อนอายุกว่าเพียงปีเดียว ที่ทำคุณประโยชน์ด้านการทหารคือ พลเอก พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) หัวหน้าคณะทูตทหารไทยที่เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1
ท่านได้สมรสกับท่านผู้หญิงถวิล ธิดาของมหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) กับคุณหญิงพึ่ง ศรีภูริปรีชา และมีภริยาอีก 4 คน มีบุตร-ธิดารวม 20 คน ได้อบรมสั่งสอนให้บุตร-ธิดาทุกคนให้มีความอดทนและมัธยัสถ์ สนับสนุนให้ทุกคนเรียนถึงชั้นสูงสุดเท่าที่มีความสามารถ และด้วยการมีส่วนผลักดันการศึกษาด้านการช่างและได้สนับสนุนให้มีการเปิดสอนวิชาสถาปัตยกรรมขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านจึงแนะนำให้บุตรี 2 คน สอบเข้าเรียนเป็นนิสิตรุ่นแรกในคณะนี้เป็นรุ่นแรกเพื่อแสดงให้เห็นว่าสตรีก็สามารถเป็นช่างได้
หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้ถวายบังคมลาออกจากราชการเมื่อ พ.ศ. 2469 มาอยู่ที่บ้านพักตำบลนางเลิ้ง หลานหลวง ถนนนครสวรรค์ กรุงเทพมหานคร และช่วยบุตรีคือ คุณไฉไลเปิดโรงเรียนสตรีจุลนาค และได้ช่วยสอนโดยวิธีใหม่ที่ท่านพยายามเผยแพร่ด้วย ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเขียนบทความ หนังสือและบทประพันธ์ต่าง ๆ รวมทั้งบทเพลงดังที่กล่าวมาแล้ว บ้านพักของท่านที่ถนนนครสวรรค์สร้างขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับพระที่นั่งอนันตสมาคม แม้จะมีขนาดเล็กและเรียบง่ายแต่ก็มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น
บุตร-ธิดา
แก้- ไฉไล เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตครูใหญ่โรงเรียนสตรีจุลนาคและผู้อุปถัมภ์มูลนิธิเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2538
- ธารี เทพหัสดิน ณ อยุธยา
- ยาหยี สาวนายน สมรสกับ เล็ก สาวนายน โดยมีบุตรคือ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
- กำธร เทพหัสดิน ณ อยุธยา สมรสกับ สายสวาสดิ์ ธรรมสโรช มีบุตรีคือ ผกาวดี เทพหัสดิน ณ อยุธยา (ภายหลังเปลี่ยนเป็นอุตตโมทย์) เป็นผู้ประพันธ์ “ครูไหวใจร้าย” และผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ผีเสื้อ
แม้น เทพหัสดิน ณ อยุธยา
แก้- ปรียา ฉิมโฉม สมรสกับ สนิท ฉิมโฉม
อสัญกรรม
แก้เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจวายเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 ที่บ้านพัก ณ ถนนนครสวรรค์ จังหวัดพระนคร[ต้องการอ้างอิง]
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเขียนไว้ใน สาส์นสมเด็จ ว่า สาเหตุที่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีหัวใจวาย คือ กิน "ยาฝรั่ง" มากเกินไป[4]
บรรดาศักดิ์
แก้- 21 กันยายน พ.ศ. 2446 ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระไพศาลศิลปศาสตร์ ถือศักดินา 800[5]
- 6 มกราคม พ.ศ. 2452 ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระยาไพศาลศิลปศาสตร ถือศักดินา 1000[6]
- 4 มิถุนายน พ.ศ. 2454 ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระยาธรรมศักดิ์มนตรี สรรพศึกษาวิธียุโรปการ
- 31 ธันวาคม พ.ศ. 2460 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ตามที่จารึกในหิรัญบัตร ว่า เจ้าพระยาธรรมศักดิมนตรี ศรีสาสนวโรปกร สุนทรธรรมจริยานุวาท พิศาสศิลปศาสตร์ศึกษาธิการโกศล พิมลพงศ์เทพหัสดิน บรมนรินทรรามาธิราชสวามิภักดิ์ เสมาธรรมจักรมุรธาธร ราชกิจจานุสรสุทธสมาจาร ไตรรัตนสรณาลังการเมตตาชวาธยศรัย อภัยพิริยบรากรมพาหุ ศักดินา 10000 [7] เมื่ออายุได้เพียง 41 ปี
ยศ
แก้ยศกรมมหาดเล็ก
แก้- จางวางเอก[8]
ยศกองเสือป่า
แก้เครื่องราชอิสริยาภรณ์
แก้ธรรมเนียมยศของ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี | |
---|---|
การเรียน | ใต้เท้ากรุณา |
การแทนตน | เกล้ากระหม่อม/ดิฉัน |
การขานรับ | ขอรับกระผม/เจ้าค่ะ |
- พ.ศ. 2459 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ (ร.ว.) (ฝ่ายหน้า)[11]
- พ.ศ. 2460 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) (ฝ่ายหน้า)[12]
- พ.ศ. 2459 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)[13]
- พ.ศ. 2455 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์วชิรมาลา (ว.ม.ล.)[14]
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)
- พ.ศ. ไม่ปรากฎ – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 3 (จ.ป.ร.3)
- พ.ศ. 2461 – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 2 (ว.ป.ร.2)[15]
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ – เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7 ชั้นที่ 2 (ป.ป.ร.2)
ลำดับสาแหรก
แก้ลำดับสาแหรกของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
เชิงอรรถ
แก้- ↑ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดชั่วคราว ตั้งแต่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 – 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476
อ้างอิง
แก้- ↑ ประกาศการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรขุนนาง (หน้า 352)
- ↑ พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งตำแหน่งรองเสนาบดีและผู้รั้งปลัดทูลฉลองกระทรวงธรรมการ (หน้า 102)
- ↑ กรมศิลปากร (ผู้รวบรวม). (2503). สาสน์สมเด็จ ลายพระหัตถ์สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ภาคที่ 55). พระนคร: โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม. (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพคุณแม่เต็ม ชวลิตธำรง ณ ฌาปนสถานวัดหัวลำโพง 28 เมษายน 2503). หน้า 29.
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรขุนนาง
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรขุนนาง (หน้า 2312)
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศตั้งเจ้าพระยา, 3 มกราคม 2460, หน้า 511-7
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานยศ, เล่ม ๓๓ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๓๔, ๒๙ ตุลาคม ๒๔๕๙
- ↑ เลื่อนและตั้งยศนายกองนายหมู่เสือป่า
- ↑ พระราชทานยศเสือป่า (หน้า 3328)
- ↑ "พระราชทานตรารัตนวราภรณ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 33: 1929. 29 ตุลาคม 2459. สืบค้นเมื่อ 24 มกราคม 2564.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "พระราชทานตราจุลจอมเกล้า" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 34: 3173. 27 มกราคม 2460. สืบค้นเมื่อ 24 มกราคม 2564.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 33: 1837. 22 ตุลาคม 2459. สืบค้นเมื่อ 24 มกราคม 2564.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ พระราชทานตราวชิรมาลา
- ↑ "พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 25: 3015. 2 กุมภาพันธ์ 2461. สืบค้นเมื่อ 24 มกราคม 2564.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)