สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก

สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์กและกรีนแลนด์

สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก[2] (เดนมาร์ก: Margrethe Alexandrine Þórhildur Ingrid; มาร์เกรเธอ อเล็กซานดรีน ธอร์ฮิลดูร์ อิงกริด; พระราชสมภพ: 16 เมษายน ค.ศ. 1940) เป็นอดีตสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์กและกรีนแลนด์ ในฐานะที่เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 แห่งเดนมาร์กกับสมเด็จพระราชินีอิงกริดแห่งเดนมาร์ก พระองค์สืบราชบัลลังก์เดนมาร์กหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระราชบิดาในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1972 จากการสืบราชบัลลังก์ทำให้พระนางทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์กพระองค์แรกนับตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก พระประมุขแห่งสแกนดิเนเวียในช่วงปี ค.ศ. 1375 ถึง ค.ศ. 1412 ในยุคสหภาพคาลมาร์ โดยพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย

สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2
พระบรมฉายาลักษณ์ ฉายเมื่อ ค.ศ. 2012
สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ก
กรีนแลนด์ และหมู่เกาะแฟโร
ครองราชย์14 มกราคม ค.ศ. 1972 – 14 มกราคม ค.ศ. 2024
ก่อนหน้าสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9
ถัดไปสมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดอริกที่ 10
นายกรัฐมนตรี
พระราชสมภพ (1940-04-16) 16 เมษายน ค.ศ. 1940 (83 ปี)
โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
พระราชสวามีเจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก
(ค.ศ. 1967–2018)
พระราชบุตร
รายละเอียด
พระนามเต็ม
มาร์เกรเธอ อเล็กซานดริน ธอร์ฮิลดูร์ อิงกริด
ราชวงศ์กลึคส์บวร์ค[1]
พระราชบิดาสมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9
พระราชมารดาอิงกริดแห่งสวีเดน
ศาสนาคริสตจักรแห่งเดนมาร์ก
ลายพระอภิไธย

สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอเสด็จพระราชสมภพในปี ค.ศ. 1940 แต่พระนางไม่ทรงเป็นทายาทโดยสันนิษฐานจนกระทั่ง ค.ศ. 1953 เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์กได้อนุญาตให้สตรีมีสิทธิสืบทอดราชบัลลังก์ได้ (หลังจากมีความชัดเจนแล้วว่าพระเจ้าเฟรเดอริกไม่ทรงมีรัชทายาทที่เป็นบุรุษ) ในปี ค.ศ. 1967 ทรงอภิเษกสมรสกับอ็องรี เดอ ลาบอร์ด เดอ มงเปอซาและมีพระราชโอรสสองพระองค์คือ เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์กและเจ้าชายโจอาคิมแห่งเดนมาร์ก

สมเด็จพระราชินีนาถทรงโปรดงานด้านโบราณคดี และทรงร่วมการขุดค้นทางโบราณคดีในหลายโอกาส ทั้งในอิตาลี อียิปต์ เดนมาร์ก และอเมริกาใต้[3] พระองค์ทรงมีความสนพระทัยเฉกเช่นเดียวกับพระอัยกาฝ่ายพระราชชนนี คือ สมเด็จพระเจ้ากุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟแห่งสวีเดน ที่ทรงใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการขุดค้นโบราณวัตถุ ใกล้ภูมิภาคอิทรูเรีย ในค.ศ. 1962[4]

ใน ค.ศ. 2022 สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงดำรงพระองค์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ที่ทรงรับพระราชอาคันตุกะที่เสด็จเยือนเดนมาร์กอย่างเป็นทางการ 42 ครั้ง และพระนางเองได้เสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการใน 55 ประเทศ[5][6] พระนางและพระราชวงศ์เดนมาร์กก็ได้เสด็จเยือนต่างประเทศหลายครั้ง[5] แรงสนับสนุนราชาธิปไตยเดนมาร์กและยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 82 เช่นเดียวกับความนิยมในตัวสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 เอง[4][7]

ในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2023 พระนางทรงประกาศระหว่างการพระราชทานพระราชดำรัสวันขึ้นปีใหม่ว่าพระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติให้แก่มกุฎราชกุมารเฟรเดอริก พระราชโอรส ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2024 อันตรงกับวันขึ้นครองราชย์ของพระองค์เองเมื่อ 52 ปีก่อน[8] ทั้งนี้ หลังการสละราชสมบัติพระองค์จะยังดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระราชินีนาถ และจะทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ

ชีวิตในวัยเยาว์ แก้

 
สถานที่เสด็จพระราชสมภาพของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ณ พระราชวังเฟรเดอริกที่ 8 ในหมู่พระราชวังอามาเลียนบอร์ก กรุงโคเปนเฮเกน

เจ้าหญิงมาร์เกรเธอประสูติเมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1940 ณ พระราชวังอามาเลียนบอร์ก กรุงโคเปนเฮเกน เป็นพระราชธิดาพระองค์โตในเจ้าชายเฟรเดอริกและเจ้าหญิงอิงกริด มกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารีแห่งเดนมาร์ก พระราชบิดาของพระนางเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าคริสเตียนที่ 10 แห่งเดนมาร์กกับสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรีน และพระราชมารดาของพระนางเป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวในมกุฎราชกุมารกุสตาฟ อดอล์ฟแห่งสวีเดนกับมกุฎราชกุมารีมาร์กาเร็ต เจ้าหญิงประสูติเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากกองทัพนาซีเยอรมนีได้ทำการยึดครองเดนมาร์กในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1940

พระองค์ทรงเข้ารับบัพติศมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 ณ โบสถ์โฮลเมน กรุงโคเปนเฮเกน เจ้าหญิงมาร์เกรเธอมีพระราชบิดาและพระราชมารดาทูนหัว คือ พระเจ้าคริสเตียนที่ 10 แห่งเดนมาร์ก, เจ้าชายคนุด รัชทายาทแห่งเดนมาร์ก, เจ้าชายแอกเซิลแห่งเดนมาร์ก, พระเจ้ากุสตาฟที่ 5 แห่งสวีเดน, มกุฎราชกุมารกุสตาฟ อดอล์ฟแห่งสวีเดน, แเจ้าชายกุสตาฟ อดอล์ฟ ดยุกแห่งเวสเตร์บอตเติน และ เจ้าชายอาร์เธอร์ ดยุกแห่งคอนน็อตและสตราเธิร์น

เจ้าหญิงทรงได้รับพระนามว่า "มาร์เกรเธอ" ตามพระนามของพระอัยยิกาฝ่ายพระมารดา พระนามว่า "อเล็กซานดรีน" ตามพระนามของพระอัยยิกาฝ่ายพระบิดา และพระนามว่า "อิงกริด" ตามพระนามของพระมารดา ตั้งแต่พระเจ้าคริสเตียนที่ 10 แห่งเดนมาร์ก พระอัยกาทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นกษัตริย์แห่งไอซ์แลนด์ ทำให้เจ้าหญิงทรงดำรงพระอิศริยยศเป็นเจ้าหญิงแห่งไอซ์แลนด์จนกระทั่งปี ค.ศ. 1944 เจ้าหญิงจึงมีพระนามเป็นภาษาไอซ์แลนด์ตามโบราณราชประเพณี คือ ธอร์ฮิลดูร์ (Þórhildur)[9](สะกดตามลักษณะตัวอักษร "thorn" ในภาษาไอซ์แลนด์ ที่เที่ยบเท่ากับ "th")

เมื่อเจ้าหญิงมาร์เกรเธอมีพระชนมายุ 4 ชันษาในปี ค.ศ. 1944 พระขนิษฐาพระองค์แรกประสูติคือ เจ้าหญิงเบเนดิกเทอแห่งเดนมาร์ก ซึ่งต่อมาเจ้าหญิงเบเนดิกเทอทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายริชาร์ดที่ 6 แห่งไซน์-วิตเกนสไตน์-เบอร์เลบูร์กและบางครั้งทรงพำนักที่เยอรมนี พระขนิษฐาองค์สุดท้องคือ เจ้าหญิงแอนน์-มารีแห่งเดนมาร์ก ประสูติในปี ค.ศ. 1946 ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชาธิบดีคอนสแตนตินที่ 2 แห่งกรีซ และปัจจุบันทรงพำนักอยู่ที่ลอนดอน

ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1947 พระเจ้าคริสเตียนที่ 10 เสด็จสวรรคตและพระราชบิดาของเจ้าหญิงมาร์เกรเธอได้ครองราชบัลลังก์สืบต่อในพระนาม "พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 แห่งเดนมาร์ก"

รัชทายาทโดยสันนิษฐาน แก้

 
เจ้าหญิงมาร์เกรเธอแห่งเดนมาร์ก (กลาง)ร่วมกับญะมาล อับดุนนาศิร ประธานาธิบดีแห่งอียิปต์(ขวา)และตาฮียะห์ นาศิร ภริยา(ซ้าย) ขณะเสด็จประพาสไคโร ประเทศอียิปต์ ในปี ค.ศ. 1962

เมื่อครั้งประสูติ พระราชวงศ์ฝ่ายหน้าสามารถสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กได้เท่านั้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของพระราชบัญญัติการสืบราชสันตติวงศ์ที่มีการประกาศใช้ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1850 เมื่อสายราชสกุลกลึคส์บวร์คได้รับเลือกให้สืบราชสันตติวงศ์ต่อจากราชวงศ์อ็อลเดนบวร์ค ในฐานะที่เจ้าหญิงมาร์เกรเธอไม่มีพระเชษฐาหรือพระอนุชา ได้มีการสันนิษฐานว่าพระปิตุลาของเจ้าหญิงคือ เจ้าชายคนุด รัชทายาทแห่งเดนมาร์ก จะได้สืบราชบัลลังก์เดนมาร์กในวันใดวันหนึ่ง

กระบวนการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1947 ไม่นานหลังจากพระราชบิดาทรงครองราชบัลลังก์และกลายเป็นที่เข้าใจว่าสมเด็จพระราชินีอิงกริดไม่มีพระประสูติกาลพระบุตรมากไปกว่านี้อีกแล้ว ด้วยกระแสความนิยมในพระเจ้าเฟรเดอริคและพระราชธิดาทั้งสามพระองค์และบทบาทของสตรีในสังคมเดนมาร์กได้ปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ได้มีการเริ่มต้นกระบวนการที่ซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ข้อเสนอได้มีการผ่านเข้ารัฐสภาทั้งสองและจากนั้นด้วยการลงประชามติ ที่ซึ่งกำหนดขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1953 พระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เดนมาร์กฉบับใหม่ได้อนุญาตให้สตรีสามารถสืบราชบัลลังก์เดนมาร์ก ตามที่สิทธิของบุตรหัวปี ซึ่งสตรีสามารถสืบราชบัลลงก์ได้ถ้าหากไม่มีพระเชษฐาหรือพระอนุชา เจ้าหญิงมาร์เกรเธอในขณะนั้นจึงทรงกลายเป็นทายาทโดยสันนิษฐาน

ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 18 พรรษาของเจ้าหญิง ในวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1958 เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงได้รับตำแหน่งในสภาองคมนตรีเดนมาร์ก เจ้าหญิงทรงเป็นประธานในการประชุมสภาในช่วงที่พระมหากษัตริย์ทรงติดพระราชกิจ

ในช่วงกลางปี ค.ศ. 1960 เจ้าหญิงทรงร่วมกับเหล่าเจ้าหญิงแห่งสวีเดนและนอร์เวย์ เจ้าหญิงเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาที่ซึ่งรวมทั้งเสด็จเยือนลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย และเสด็จไปที่พาราเมาต์พิกเจอส์ ที่ซึ่งทุกพระองค์ทรงพบปะกับเหล่าคนดังจำนวนมากรวมทั้ง ดีน มาร์ติน, เจอร์รี ลิวอิส และเอลวิส เพรสลีย์

การศึกษา แก้

 
เจ้าหญิงมาร์เกรเธอ ในปี ค.ศ. 1966

เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงใช้เวลาหนึ่งปีในการเข้าศึกษาที่โรงเรียนนอร์ทฟอร์แลนด์ล็อดจ์ เป็นโรงเรียนประจำสำหรับเด็กผู้หญิงที่แฮมป์เชอร์, อังกฤษ[10] และจากนั้นทรงศึกษาในวิชาโบราณคดีสาขายุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เกอร์ตันคอลลีจ, แคมบริดจ์ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1960 ถึง ค.ศ. 1961 ทรงศึกษาด้านรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอาร์ฮุสในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1961 และ ค.ศ. 1962 ทรงเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยปารีสในปี ค.ศ. 1963 และทรงเข้าศึกษาที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอนในปี ค.ศ. 1965 เจ้าหญิงทรงเป็นผู้สนับสนุนและเข้าร่วมสมาคมโบราณวัตถุลอนดอน

เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงมีความถนัดในภาษาเดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, สวีเดนและเยอรมัน[11]

อภิเษกสมรส แก้

 
เคานท์อ็องรี เดอ ลาบอร์ด เดอ มงเปอซา (ซ้าย) และเจ้าหญิงมาร์เกรเธอ(ขวา) ในค.ศ. 1966

ในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1967 เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงอภิเษกสมรสกับนักการทูตชาวฝรั่งเศสคือ เคานท์อ็องรี เดอ ลาบอร์ด เดอ มงเปอซาโบสถ์โฮลเมนในโคเปนเฮเกน อ็องรี เดอ ลาบอร์ด เดอ มงเปอซาได้รับพระอิสริยยศว่า "ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก" (His Royal Highness Prince Henrik of Denmark) เนื่องจากฐานะใหม่ของพระองค์คือเป็นพระราชสวามีในเจ้าหญิงรัชทายาทโดยสันนิษฐานแห่งราชบัลลังก์เดนมาร์ก

เจ้าหญิงมาร์เกรเธอมีพระประสูติกาลพระราชโอรสพระองค์แรกในวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1968 ตามโบราณราชประเพณี พระมหากษัตริย์เดนมาร์กต้องทรงผลัดกันเลือกพระนามว่า เฟรเดอริก หรือ คริสเตียน เจ้าหญิงยังทรงคงฐานะนี้ไว้ โดยทรงสมมติว่าพระนามของพระนางคือ คริสเตียน และดังนั้นทรงตั้งพระนามของพระราชโอรสพระองค์โตว่า เจ้าชายเฟรเดอริก พระราชโอรสพระองค์ที่สอง ได้รับการตั้งพระนามว่า เจ้าชายโจอาคิม ซึ่งประสูติในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1969

รัชกาล แก้

สืบราชบัลลังก์ แก้

 
นายกรัฐมนตรีเจนส์ ออตโต คร้าก(ขวา) ประกาศสถาปนาสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 (ซ้าย) เป็นพระประมุขพระองค์ใหม่ต่อหน้าประชาชน ณ พระราชวังคริสเตียนบอร์ก ในวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1972

เพียงระยะเวลาอันสั้น หลังจากพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 มีพระราชดำรัสในวโรกาสวันปีใหม่ของประเทศในช่วงปลายปี ค.ศ. 1971 ถึงต้นปี ค.ศ. 1972 พระองค์ก็ทรงพระประชวร คล้ายไข้หวัด หลังจากเสด็จกลับมาประทับผ่อนคลายอิริยาบถเพียงไม่กี่วัน พระองค์มีพระหทัยวายและทรงถูกนำพระองค์มาที่โรงพยาบาลเทศบาลในวันที่ 3 มกราคม หลังจากการรักษาที่เห็นได้ชัด พระอาการของพระเจ้าเฟรเดอริกทรงทรุดลงในวันที่ 11 มกราคม และพระองค์เสด็จสวรรคตในวันที่ 14 มกราคม

เจ้าหญิงมาร์เกรเธอทรงสืบราชบัลลังก์เดนมาร์กในฐานะ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก และทรงกลายเป็นพระประมุขสตรีพระองค์แรกภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระนางทรงได้รับการประกาศเป็นสมเด็จพระราชินีนาถ ณ มุขเด็จแห่งพระราชวังคริสเตียนบอร์กโดยนายกรัฐมนตรีเจนส์ ออตโต คร้าก ในวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1972 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "พระมหากษัตริย์สวรรคตแล้ว สมเด็จพระราชินีนาถทรงพระเจริญ" (The King is dead, long live the Queen!) สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงสละพระอิสริยยศทุกตำแหน่งของอดีตพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน ๆ ยกเว้นพระอิสริยยศในเดนมาร์ก ดังนั้นทรงขนานพระนามว่า โดยพระคุณของพระเจ้า, สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ก (ภาษาเดนมาร์ก : Margrethe den Anden, af Guds Nåde Danmarks Dronning) สมเด็จพระราชินีนาถทรงเลือกคติพจน์ประจำรัชกาลว่า

พระนางมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนอย่างเป็นทางการครั้งแรก สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 มีพระราชดำรัสว่า

บทบาทตามรัฐธรรมนูญ แก้

 
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กทรงฉลองพระองค์ชาวแฟโร ดวงตราไปรษณียกรรุ่น FR 302 ของบริษัทโพสตา หมู่เกาะแฟโร ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1997

พระราชกรณียกิจหลักของสมเด็จพระราชินีนาถคือ ทรงเป็นตัวแทนของราชอาณาจักรในการเสด็จเยือนต่างประเทศและจะทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนทั้งชาติในประเทศ พระนางมีพระราชกรณียกิจในการเสด็จออกรับเหล่าคณะทูตจากต่างประเทศและทรงรับรางวัลและเหรียญเกียรติยศ สมเด็จพระราชินีนาถทรงดำเนินการต่าง ๆ โดยทรงตอบรับคำเชิญที่จะให้พระองค์เสด็จไปเปิดนิทรรศการ, ทรงเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ, พิธีเปิดสะพานอย่างเป็นทางการ เป็นต้น

ในฐานะที่ทรงเป็นบุคคลสาธารณะที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง สมเด็จพระราชินีไม่ทรงมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองและไม่ทรงแสดงความคิดเห็นทางการเมืองใด ๆ แม้ว่าพระนางจะทรงมีสิทธิในการเลือกตั้ง แต่พระนางไม่ทรงทำเช่นนั้นแม้กระทั่งการแสดงพระองค์เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

หลังจากการเลือกตั้งที่ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้รับเสียงข้างมาก สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงใช้สิทธิในการ "ดรอนนิงเกอรุนด์" (Dronningerunde, Queen's meeting, การเข้าเฝ้าพระราชินี) ที่ซึ่งพระนางจะทรงพบปะกับหัวหน้าของแต่ละพรรคการเมืองเดนมาร์ก[13]

 
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ขณะเสด็จโบสถ์บูดอลฟี เมืองอาร์ลบอร์ก ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010

แต่ละพรรคมีทางเลือกที่จะเข้าสู่กระบวนการพระราชวินิจฉัย ซึ่งจะนำไปสู่การเจรจาต่อรองหรือทางเลือกเดียว โดยให้นายกรัฐมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันได้ดำเนินการรัฐบาลของเขาต่อ ในทางทฤษฎีแต่ละพรรคสามารถเลือกผู้นำของตนเองในพระราชวินิจฉัย พรรคสังคมเสรีนิยมเดนมาร์กได้ทำเช่นนี้ในปี ค.ศ. 2006 แต่มักจะเป็นเพียงหนึ่งในพระราชวินิจฉัยซึ่งได้เลือกนายกรัฐมนตรีรวมก่อนที่จะทำการเลือกตั้ง ผู้นำที่ซึ่งในการประชุมสามารถรักษาเสียงข้างมากในโฟลเกททิงจะได้รับพระบรมราชโองการด้วยการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ (มันไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ซึ่งพรรคใดพรรคหนึ่งสามารถได้รับเสียงข้างมากด้วยตัวเองได้)

เมื่อจัดตั้งรัฐบาลขึ้น จะได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากสมเด็จพระราชินี โดยพิธีการ สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงดำรงเป็นหัวหน้ารัฐบาล และพระนางจะทรงเป็นประธานในการประชุมรัฐสภา ซึ่งกระบวนการทางกฎหมายที่ได้รับการผ่านโดยรัฐสภาจะทำการลงนามในกฎหมาย อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ รัฐสภาเป็นผู้ใช้พระราชอำนาจอย่างเป็นทางการเกือบทั้งหมดของสมเด็จพระราชินีจและพระนางจะทรงมีหน้าที่ทำตามคำแนะนำจากที่ประชุม

นอกเหนือไปจากบทบาทของพระนางในประเทศของพระนางเอง สมเด็จพระราชินียังทรงเป็นพันเอกผู้บัญชาการแห่งกองพันทหารหลวงเจ้าหญิงแห่งเวลส์ เป็นกองพันทหารราบแห่งกองทัพบริติช ตามธรรมเนียมของพระราชวงศ์ของพระนาง

พระราชพิธีครองสิริราชสมบัติครบ 40 ปี แก้

ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2012 สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงจัดพระราชพิธีครองสิริราชสมบัติครบ 40 ปี (Ruby Jubilee)[14] พระราชพิธีนี้ประกอบด้วยขบวนรถม้าและการสัมภาษณ์จากโทรทัศน์จำนวนมาก พระราชอาคันตุกะที่มาร่วมพระราชพิธีนี้รวมทั้ง สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์และสวีเดน อดีตสมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งกรีซ และประธานาธิบดีแห่งฟินแลนด์ เป็นต้น [15]

การสละราชสมบัติ แก้

ในพระราชดำรัสเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2023 สองปีหลังพระราชพิธีกาญจนาภิเษก สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงประกาศสละราชสมบัติในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2024 ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 52 ปีการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ ทั้งนี้ เจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมาร ได้สืบราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดอริกที่ 10 ในวันเดียวกัน

พระชนมชีพส่วนพระองค์และความสนพระราชหฤทัย แก้

 
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กและเจ้าชายเฮนริก พระราชสวามี ในปี ค.ศ. 2010

ที่ประทับอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชินีนาถและพระราชสวามีคือพระราชวังอามาเลียนบอร์กในโคเปนเฮเกน และพระราชวังฟรีเดนส์บอร์ก ที่ประทับในฤดูร้อนของทั้งสองพระองค์คือ พระราชวังกราสเต็นใกล้กับชอนเดนบอร์ก เป็นอดีตที่ประทับของพระราชชนนี สมเด็จพระราชินีอิงกริดซึ่งเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 2000

สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ทรงเป็นจิตรกรที่ประสบความสำเร็จ และทรงจัดแสดงภาพวาดฝีพระหัตถ์มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา[16] ภาพประกอบของพระนางภายใต้นามแฝงว่า "อินกาฮิลด์ กราธเมอร์" เคยนำมาใช้ประกอบในนวนิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ฉบับภาษาเดนมาร์กที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1977 และตีพิมพ์ใหม่ในปี ค.ศ. 2002 ในปี ค.ศ. 2000 พระนางทรงใส่ภาพประกอบลงในหนังสือ Cantabile ซึ่งเป็นหนังสือรวบรวมบทกวีที่พระราชนิพนธ์ขึ้นโดยเจ้าชายเฮนริก พระราชสวามี พระนางยังคงประสบความสำเร็จในฐานะนักแปลและทรงมีส่วนร่วมในการแปลนวนิยายเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ในภาษาเดนมาร์ก[16] ทักษะอื่น ๆ นอกำจากนี้ที่ทรงมีคือการออกแบบเครื่องแต่งกาย ทรงออกแบบเครื่องแต่งกายในคณะบัลเล่ต์หลวงเดนมาร์กในเรื่องA Folk Taleและในปี ค.ศ. 2009 ทรงออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับภาพยนตร์เรื่อง "De vilde svaner" (the Wild Swans; ห่านป่า) ของผู้กำกับปีเตอร์ ฟลินธ์[17]

 
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงโบกพระหัตถ์แก่ประชาชนในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 70 พรรษาในเดือนเมษายน ค.ศ. 2010 จากซ้ายไปขวา: มกุฎราชกุมารี,เจ้าชายเฟลิกซ์,มกุฎราชกุมาร,เจ้าชายคริสเตียน,สมเด็จพระราชินีนาถ,เจ้าชายนิโคไล,พระราชสวามี,เจ้าชายโจอาคิมและเจ้าหญิงอิซาเบลลา

พระนางยังทรงออกแบบฉลองพระองค์ของพระนางเองด้วยและเป็นที่รู้จักสำหรับฉลองพระองค์ของพระนางที่มีสีสันและบางครั้งทรงเลือกฉลองพระองค์แปลก ๆ สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอยังทรงฉลองพระองค์ที่ออกแบบโดยอดีตดีไซนเนอร์ของปิแยร์ บาลเมนคือ อีริค มอร์เทนเซน, จอร์เกน เบนเดอร์, และเบอร์จิเต ทูโลว์[18] พระนางทรงได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งใน 50 คนที่สวมชุดได้ดีที่สุดในช่วงวัย 50 ปีขึ้นไปของนิตยสารการ์เดียนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2013[19]

สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอทรงเป็นผู้สูบบุหรี่จัด และพระนางทรงมีชื่อเสียงจากพฤติกรรมยาสูบของพระนาง[20] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 หนังสือพิมพ์ บี.ที. ของเดนมาร์กได้รายงานว่ามีประกาศจากสำนักพระราชวังที่ระบุว่าในอนาคตสมเด็จพระราชินีจะทรงสูบบุหรี่เฉพาะในเวลาส่วนพระองค์เท่านั้น

สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กทรงได้รับแรงสนับสนุนให้ใส่ภาพประกอบในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1970 พระนางทรงส่งภาพทั้งหมดไปให้เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ผู้ซึ่งตกตะลึงเพราะความคล้ายคลึงกันของภาพวาดของพระนางกับแบบของเขาเอง ภาพของสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 ได้ตีพิมพ์ในฉบับแปลภาษาเดนมาร์ก ซึ่งวาดขึ้นใหม่โดยอีริค ฟราเซอร์ จิตรกรชาวอังกฤษ

พระราชโอรส แก้

สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กกับเจ้าชายเฮนริกมีพระราชโอรสร่วมกัน 2 พระองค์ได้แก่

  พระนาม ประสูติ สิ้นพระชนม์ พระวรชายา/พระชายา และพระโอรส-ธิดา
  สมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดอริกที่ 10 แห่งเดนมาร์ก 196826 พฤษภาคม
ค.ศ. 1968
ยังทรงพระชนม์ อภิเษกสมรส วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 กับ
แมรี เอลิซาเบธ โดนัลด์สัน
มีพระโอรสธิดา 4 พระองค์ ได้แก่
เจ้าชายคริสเตียน มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก
เจ้าหญิงอิซาเบลลาแห่งเดนมาร์ก
เจ้าชายวินเซนต์แห่งเดนมาร์ก
เจ้าหญิงโจเซฟินแห่งเดนมาร์ก
  เจ้าชายโจอาคิมแห่งเดนมาร์ก 19697 มิถุนายน
ค.ศ. 1969
ยังทรงพระชนม์ อภิเษกสมรสครั้งที่ 1 วันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1995 กับ
อเล็กซันดรา คริสตินา มันลีย์
ทรงหย่าในวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2005
มีพระโอรส 2 พระองค์ ได้แก่
เจ้าชายนิโคไลแห่งเดนมาร์ก
เจ้าชายเฟลิกซ์แห่งเดนมาร์ก

อภิเษกสมรสครั้งที่ 2 วันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 กับ
มารี อากัท โอดี กาวาลีเย
มีพระโอรสธิดา 2 พระองค์ ได้แก่
เจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก
เจ้าหญิงอะธีนาแห่งเดนมาร์ก

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แก้

 
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 และเจ้าชายเฮนริก พระราชสวามี ขณะเสด็จพระราชดำเนินเยือนวากูร์ หมู่เกาะแฟโร ในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ. 2005
 
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 และเจ้าชายเฮนริก พระราชสวามี ทรงรับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจอร์จ ดับเบิลยู. บุชและลอรา บุช ภริยา ณ พระราชวังฟรีเดนส์บอร์ก ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2005
ธรรมเนียมพระยศของ
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2
 
ตราประจำพระอิสริยยศ
 
ธงประจำพระอิสริยยศ
 
ตราประจำพระองค์
การทูลHendes Majestæt
(ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท)
การแทนตนข้าพระพุทธเจ้า
การขานรับDeres Majestæt
(พระพุทธเจ้าข้า/เพคะ)
ลำดับโปเจียม3

เครื่องราชอิสริยาภรณ์เดนมาร์ก แก้

  •   เครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้าง
  •   เครื่องราชอิสริยาภรณ์แดนเนอโบร ชั้นมหาปรมาภรณ์
  • เหรียญที่ระลึกครบรอบ 100 ปีพระบรมราชสมภพสมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดอริกที่ 9
  • เหรียญที่ระลึกครบรอบ 100 ปีพระบรมราชสมภพสมเด็จพระราชาธิบดีคริสเตียนที่ 10
  • เหรียญที่ระลึกสมเด็จพระราชินีอิงกริด
  • เหรียญที่ระลึกครบรอบ 50 ปีวาระที่สมเด็จพระราชินีอิงกริดเสด็จถึงเดนมาร์ก
  • Home Guard fortjensttegn
  • Home Guard 25-year mark
  • เครื่องหมายสันนิบาตพลเรือนรุ่งโรจน์
  • เหรียญตราสมาคมกองทุนสำรองเจ้าหน้าที่เดนมาร์ก

เครื่องราชอิสริยาภรณ์กรีนแลนด์ แก้

  •   เหรียญเกียรติคุณที่ควรค่าแห่งกรีนแลนด์ ชั้นที่ 1

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ แก้

พระราชตระกูล แก้

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
16. พระเจ้าคริสเตียนที่ 9 แห่งเดนมาร์ก
 
 
 
 
 
 
 
8. สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 8 แห่งเดนมาร์ก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
17. ลูอีเซอแห่งเฮ็สเซิน-คัสเซิล
 
 
 
 
 
 
 
4. พระเจ้าคริสเตียนที่ 10 แห่งเดนมาร์ก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
18. พระเจ้าคาร์ลที่ 15 แห่งสวีเดน
 
 
 
 
 
 
 
9. ลูอีสแห่งสวีเดน สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
19. ลูอีสแห่งเนเธอร์แลนด์ สมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดนและนอร์เวย์
 
 
 
 
 
 
 
2. สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 แห่งเดนมาร์ก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
20. เฟรเดอริค ฟรานซิสที่ 2 แกรนด์ดยุกแห่งแม็คเลนบูร์ก-ชเวรีน)
 
 
 
 
 
 
 
10. เฟรเดอริค ฟรานซิสที่ 3 แกรนด์ดยุกแห่งแม็คเลนบูร์ก-ชเวรีน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
21. เจ้าหญิงออกุสตา รอสแห่งคอสทริกซ์
 
 
 
 
 
 
 
5. อเล็คซันดรีเนอแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเวรีน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
22. แกรนด์ดยุกไมเคิล นิโคเลวิชแห่งรัสเซีย
 
 
 
 
 
 
 
11. แกรนด์ดัชเชสอนาสตาเซีย มิคาอิลอฟนาแห่งรัสเซีย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
23. เจ้าหญิงเซชิลแห่งบาเด็น
 
 
 
 
 
 
 
1. สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
24. สมเด็จพระเจ้าออสการ์ที่ 2 แห่งสวีเดน
 
 
 
 
 
 
 
12. สมเด็จพระเจ้ากุสตาฟที่ 5 แห่งสวีเดน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
25. เจ้าหญิงโซเฟียแห่งนัสเซา
 
 
 
 
 
 
 
6. สมเด็จพระเจ้ากุสตาฟที่ 6 อดอล์ฟแห่งสวีเดน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
26. ฟรานซิสที่ 1 แหรนด์ดยุกแห่งบาเด็น
 
 
 
 
 
 
 
13. วิกตอเรียแห่งบาเดิน สมเด็จพระราชินีแห่งสวีเดน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
27. เจ้าหญิงลูอีเซอแห่งปรัสเซีย
 
 
 
 
 
 
 
3. อิงกริดแห่งสวีเดน สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
28. เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี
 
 
 
 
 
 
 
14. เจ้าชายอาร์เธอร์ ดยุกแห่งคอนน็อตและสแตรธเอิร์น
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
29. สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร
 
 
 
 
 
 
 
7. เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งคอนน็อต
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
30. เจ้าชายฟรีดิช คาร์ลแห่งปรัสเซีย
 
 
 
 
 
 
 
15. เจ้าหญิงหลุยส์ มาร์กาเร็ตแห่งปรัสเซีย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
31. เจ้าหญิงมาเรีย แอนนาแห่งอัลฮัลท์-เดสเซา
 
 
 
 
 
 

ดูเพิ่ม แก้

อ้างอิง แก้

  1. "150 years of the House of Glücksborg". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-12-08. สืบค้นเมื่อ 25 October 2014.
  2. "ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แด่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-12-31. สืบค้นเมื่อ 2012-04-30.
  3. Scocozza, Benito (1997). Politikens bog om danske monarker (1. udg ed.). København: Politiken. pp. 204–205. ISBN 87-567-5772-7. OCLC 57288915.
  4. 4.0 4.1 Montgomery-Massingberd, Hugh, บ.ก. (1977). Burke's Royal Families of the World. MCMLXXVII. Vol. I. London: Burke's Peerage Limited. pp. 62–63. ISBN 0-85011-023-8. OCLC 18496936.
  5. 5.0 5.1 "Stats- og officielle besøg" [State and official visits]. Kongehuset (ภาษาเดนมาร์ก). 2020-08-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-06-25. สืบค้นเมื่อ 2021-06-23.
  6. "Statsbesøg til Forbundsrepublikken Tyskland" [State visit to the Federal Republic of Germany]. Kongehuset (ภาษาเดนมาร์ก). 2021-09-22. สืบค้นเมื่อ 2021-11-11.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  7. Stjer, Christian (2012-06-02). "Danskerne er vilde med kongehuset | Voxmeter" (ภาษาเดนมาร์ก). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-10-05. สืบค้นเมื่อ 2021-06-23.
  8. "Dronning Margrethe abdicerer: Træder tilbage 14. januar" [สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอสละราชสมบัติ: กำหนด 14 มกราคมนี้]. DR (ภาษาเดนมาร์ก). 31 December 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 December 2023. สืบค้นเมื่อ 31 December 2023.
  9. "Those Apprentice Kings and Queens Who May – One Day – Ascend a Throne," New York Times. 14 November 1971.
  10. The Illustrated London News, vol. 227, Issue 2 (1955), p. 552
  11. 11.0 11.1 "The Danish Monarchy". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-25. สืบค้นเมื่อ 11 May 2010.
  12. "radical royalist: January 2012". 13 January 2012. สืบค้นเมื่อ August 4, 2012.
  13. Bysted A/S. "The Monarchy today – The Danish Monarchy". Kongehuset.dk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-02-15. สืบค้นเมื่อ 2012-02-03.
  14. "Queen Margrethe II of Denmark marks 40 years on the throne". BBC News. Denmark. 12 January 2012.
  15. http://www.theroyalforums.com/34901-queen-margrethes-ruby-jubilee-festivities/
  16. 16.0 16.1 "Margrethe and Henrik Biography". Royalinsight.net. 1940-04-16. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-30. สืบค้นเมื่อ 2012-02-03.
  17. http://www.imdb.com/title/tt1499643/
  18. "The Royal Order of Sartorial Splendor: Flashback Friday: Queen Margrethe's Style". Orderofsplendor.blogspot.com. 2012-01-13. สืบค้นเมื่อ 2012-02-03.
  19. "The 50 best-dressed over 50s". The Guardian.
  20. "BBC News". BBC News. 2001-03-23. สืบค้นเมื่อ 2012-02-03.
  21. Gettyimages
  22. Ruby Jubilee in Sweden
  23. Boletín Oficial del Estado
  24. Boletín Oficial del Estado
  25. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แด่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ ๒ แห่งเดนมาร์ก เจ้าชายเฮนริก แห่งเดนมาร์ก พระราชสวามี และเจ้าชายเฟรเดอริก มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก เก็บถาวร 2014-12-31 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๑๘, ตอน ๒ข ฉบับทะเบียนฐานันดร, ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔, หน้า ๑
  26. "Reply to a parliamentary question about the Decoration of Honour" (pdf) (ภาษาเยอรมัน). p. 168. สืบค้นเมื่อ November 1, 2012.
  27. Photos : Albert II & Margrethe II, Group photo เก็บถาวร 2012-04-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  28. Icelandese Presidency Website เก็บถาวร 2014-12-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , Margrethe
  29. Lithuanian Presidency เก็บถาวร 2014-04-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Lithuanian Orders searching form
  30. Official decree, 13/02/2008
  31. Photo เก็บถาวร 2014-06-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน of the Danish Royal couple with the Slovakian Presidential couple
  32. "Noblesse et Royautes". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2013-10-21.
ก่อนหน้า สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ถัดไป
สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9    
สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเดนมาร์ก
(14 มกราคม ค.ศ. 1972 – 14 มกราคม ค.ศ. 2024)
  สมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดอริกที่ 10