ผู้ใช้:บุญพฤทธิ์ ทวนทัย/กระบะทราย
หน้าหลัก User | คุยกับผม Talk | กระบะทราย Sandbox |
โต๊ะทำงาน Desk |
คลังภาพและสื่อโดยผู้ใช้ User's Photo Archive |
บทความที่เขียน Wikipedia article |
พูดคุย |
นี่คือหน้าทดลองเขียนของ บุญพฤทธิ์ ทวนทัย หน้าทดลองเขียนเป็นหน้าย่อยของหน้าผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้มีไว้ทดลองเขียนหรือไว้พัฒนาหน้าต่าง ๆ แต่นี่ไม่ใช่หน้าบทความสารานุกรม ทดลองเขียนได้ที่นี่ หน้าทดลองเขียนอื่น ๆ: หน้าทดลองเขียนหลัก |
เฮคเลอร์แอนด์คอช ยูเอสพี (en:Heckler & Koch USP)
แก้เฮคเลอร์แอนด์คอช ยูเอสพี | |
---|---|
ชนิด | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ |
แหล่งกำเนิด | เยอรมนี |
บทบาท | |
ประจำการ | พ.ศ. 2536-ปัจจุบัน |
ประวัติการผลิต | |
ผู้ออกแบบ | เฮลมัท วิดเดิล |
ช่วงการออกแบบ | พ.ศ. 2529-พ.ศ. 2536 |
บริษัทผู้ผลิต | เฮคเลอร์แอนด์คอช • อีเอเอส[1] |
ช่วงการผลิต | พ.ศ. 2536-ปัจจุบัน |
แบบอื่น |
|
ข้อมูลจำเพาะ | |
มวล |
|
ความยาว |
|
กระสุน | |
อัตราการยิง | กึ่งอัตโนมัติ |
ระยะหวังผล | 50 เมตร |
พิสัยไกลสุด | 100 เมตร |
ระบบป้อนกระสุน |
|
เฮคเลอร์แอนด์คอช ยูเอสพี (เยอรมัน: Universelle Selbstladepistole, อังกฤษ: universal self-loading pistol เป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติของประเทศเยอรมนี ออกแบบ ผลิต และจัดจำหน่ายโดยบริษัทเฮคเลอร์แอนด์คอช โดยออกแบบในปี พ.ศ. 2529-พ.ศ. 2536 จากนั้นก็ผลิตและจัดจำหน่ายในปี พ.ศ. 2536 จนถึงปัจจุบัน ปืนรุ่นนี้พัฒนามาจากเฮคเลอร์แอนด์คอช พี 7
ประวัติ
แก้ปืนพกรุ่นนี้ได้ออกแบบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 โดยวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประจำการในกองทัพและตำรวจในสหรัฐ โดยปืนชนิดนี้ได้ออกแบบ และทดลองอย่างมีคุณภาาพ โดยใช้ระบบการผลิตยุทโธปกรณ์ OHWS ที่มาจากความต้องการของหน่วยรบบัญชาการพิเศษของสหรัฐอเมริกา โดยจะนำมาใช้แทนปืนพก เอ็มเค 23 มอต 0[3] ยูเอสพีเริ่มทดลองผลิตในปี พ.ศ. 2535 โดยระบบการผลิตแบบ OHWS และการออกแบบได้เสร็จสิ้นในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน จากนั้นจึงเริ่มผลิตอย่างจริงจังตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536[3] และยังผลิตอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยปืนรุ่นแรกของชนิดนี้คือ ยูเอสพี .40 ตามมาด้วย ยูเอสพี 9 และ ยูเอสพี .45 ลักษณะปืนชนิดนี้เป็นการรวมกันของ พี 7, พี 9 เอส และ วีพี 702 ส่วนการทำงานมันจะคล้ายกับบราวนิง ไฮ-พาวเวอร์ แต่ปืนชนิดนี้ผลิตด้วยโพลิเมอร์[3][4][5]
รุ่นปืน
แก้ปืนพกชนิดนี้มีด้วยกัน 9 รุ่น ดังนี้
- ยูเอสพี
- ยูเอสพี คอมแพค
- ยูเอสพี คอมแพค ไททิเคิล
- ยูเอสพี ไททิเคิล
- ยูเอสพี เอ็กซ์เปอร์ท
- ยูเอสพี แมทซ์
- ยูเอสพี เอลเท
- ยูเอสพี คอมแบค คอมแพซิชั่น
- ปืนพก พี 8
ประเทศผู้ใช้งาน
แก้- ออสเตรเลีย
- เดนมาร์ก
- อียิปต์
- เอสโตเนีย
- ฝรั่งเศส
- เยอรมนี
- จอร์เจีย
- กรีซ
- ไอร์แลนด์
- ญี่ปุ่น
- ลิเบีย
- ลิทัวเนีย
- ลักเซมเบิร์ก
- มาเลเซีย
- มอริเชียส
- ปากีสถาน
- โปแลนด์
- โปรตุเกส
- ไต้หวัน
- เซอร์เบีย
- สิงคโปร์
- แอฟริกาใต้
- สเปน
- ไทย
- สหรัฐอเมริกา
อ้างอิง
แก้- ↑ "eas.gr". eas.gr.
- ↑ "Heckler & Koch :: Product Overview - USP Elite". heckler-koch.com.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 "Heckler & Koch USP (Universal Self-Loading Pistol) Semi-Automatic Pistol (1993)". Military Factory. June 22, 2014. สืบค้นเมื่อ 2014-12-23.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อhkusa_usp
- ↑ Heckler & Koch Global. "USP: Specifications". สืบค้นเมื่อ 2008-08-03.
ปืนสั้นมาคารอฟ (en:Makarov pistol)
แก้ปืนสั้นมาคารอฟ | |
---|---|
ชนิด | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ |
แหล่งกำเนิด | สหภาพโซเวียต |
บทบาท | |
ประจำการ | 1951-ปัจจุบัน |
สงคราม | สงครามอินโดจีน สงครามเวียดนาม ความยุ่งยากนิการากัว สงครามกลางเมืองเลบานอน สงครามกลางเมืองแองโกลา สงครามกลางเมืองบุรุนดี สงครามอัฟกานิสถาน[1] สงครามรัสเซีย-จอร์เจีย[2] สงครามกลางเมืองลิเบีย สงครามกลางเมืองซีเรีย |
ประวัติการผลิต | |
ผู้ออกแบบ | นิโคไล ฟยูโดโรวิช มาคารอฟ |
ช่วงการออกแบบ | 1948 |
บริษัทผู้ผลิต | แหล่งผลิตยุทโธปกรณ์อิสอีวาก (โซเวียต/รัสเซีย), ซิมป์สัน (เยอรมนี), อาร์เซนอล เอดี (บัลแกเรีย), โนรินโค (จีน), โรงงาน 626 (จีน) |
ช่วงการผลิต | 1949-ปัจจุบัน |
ข้อมูลจำเพาะ | |
มวล | 730 g (26 oz) |
ความยาว | 161.5 mm (6.36 in) |
ความยาวลำกล้อง | 93.5 mm (3.68 in) |
ความกว้าง | 29.4 mm (1.16 in) |
กระสุน |
|
ความเร็วปากกระบอก | 315 m/s (1,030 ft/s) |
ระยะหวังผล | 50 m (160 ft) |
ระบบป้อนกระสุน | 8 นัด |
มาคารอฟ (รัสเซีย: Пистолет Макарова, Pistolet Makarova, literally Makarov's Pistol) เป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติชนิดหนึ่งของสหภาพโซเวียต และใช้มาจนถึงยุคของประเทศรัสเซีย ถูกออกแบบโดยนิโคไล ฟยูโดโรวิช มาคารอฟ เมื่อปี ค.ศ. 1948 และเริ่มประจำการเป็นอาวุธประจำกายหลักของกองทัพสหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ. 1951[3]
การใช้งานและรุ่น
แก้ปืนสั้นมาคารอฟนั้น ผลิตเพื่อใช้ประจำการในประเทศคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น และปืนสั้นมาคารอฟ ยังมีประเทศที่ผลิตปืนชนิดนี้อีกด้วย เช่น เยอรมนีตะวันตก บัลแกเรีย และจีน
รุ่นที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด และแพร่หลายมากที่สุด คือรุ่น พีเอ็มเอ็ม (PMM) (Pistolet Makarova Modernizirovannyy or Modernised Makarov pistol) ผลิตจากปืนรุ่นเดิมในปี ค.ศ. 1990 โโยทีมงานที่ผลิตปืนชนิดนี้ชุดเดิมจากปืนรุ่นต้นฉบับ ปืนสั้นมาคารอฟรุ่นต้นฉบับนั้นบรรจุกระสุนได้ 8 นัด ส่วน PMM บรรจุกระสุนได้ 12 นัด พีเอ็มเอ็มนั้นใช้กระสุน 9.2x18 มิลลิเมตร[4]
อีกรุ่นคือรุ่น ไบกัน ออกแบบในปี ค.ศ. 1962 หลังจากปืนมาคารอฟรุ่นเดิมใช้การได้ผล จึงผลิตปืนชนิดนี้ออกมาเป็นรุ่นดังกล่าว และปืนรุ่นนี้ที่เป็นรุ่นสำหรับที่ใช้ในกีฬายิงปืนคือ Bikan-442[5] โดยไบกันนั้นใช้กระสุน .380 เอซีพี
ประเทศผู้ใช้งาน
แก้- อัฟกานิสถาน[6]
- แอลเบเนีย[7]
- แอลจีเรีย[8]
- แองโกลา[6]
- อาร์มีเนีย[6]
- อาเซอร์ไบจาน[6]
- บัลแกเรีย[6]
- บุรุนดี[9]
- เบลารุส[6]
- จีน[10]
- คิวบา[6]
- เยอรมนีตะวันออก[11]
- เอริเทรีย[6]
- เอสโตเนีย[6]
- เอธิโอเปีย[6]
- กรีเนดา[12]
- จอร์เจีย[6]
- อินโดนีเซีย[ต้องการอ้างอิง]
- อิรัก[6]
- คาซัคสถาน[6]
- คีร์กีซสถาน[6]
- ลาว[6]
- ลัตเวีย[6]
- ลิเบีย
- ลิทัวเนีย[6]
- มาซิโดเนียเหนือ[6]
- มาลี[13]
- มอลตา[6]
- มอลโดวา[6]
- มองโกเลีย[6]
- โมซัมบิก[6]
- นิการากัว[6]
- เกาหลีเหนือ[14]
- เซียร์ราลีโอน[15]
- สโลวีเนีย [16]
- สหภาพโซเวียต[17]
- โรมาเนีย
- รัสเซีย[17]
- ซีเรีย: [6]
- ทาจิกิสถาน[6]
- เติร์กเมนิสถาน[6]
- ยูเครน[6]
- อุซเบกิสถาน[6]
- เวียดนาม[18][19]
- ซิมบับเว[ต้องการอ้างอิง]
อ้างอิง
แก้- ↑ Small Arms Survey (2012). "Surveying the Battlefield: Illicit Arms In Afghanistan, Iraq, and Somalia" (PDF). Small Arms Survey 2012: Moving Targets. Cambridge University Press. p. 332. ISBN 978-0-521-19714-4.
- ↑ Galeotti 2017, p. 22.
- ↑ Makarov.com, Makarov Basics, สืบค้นเมื่อ 2008-01-27
- ↑ Cutshaw, Charles Q. (28 February 2011). Tactical Small Arms of the 21st Century: A Complete Guide to Small Arms From Around the World. Iola, Wisconsin: Gun Digest Books. p. 105. ISBN 978-1-4402-2709-7. สืบค้นเมื่อ 10 July 2013.
- ↑ ' "BAIKAL-442" Sporting Pistol (for export)' เก็บถาวร 2009-08-31 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 6.13 6.14 6.15 6.16 6.17 6.18 6.19 6.20 6.21 6.22 6.23 6.24 6.25 6.26 6.27 Jones, Richard D. Jane's Infantry Weapons 2009/2010. Jane's Information Group; 35 edition (January 27, 2009). ISBN 978-0-7106-2869-5.
- ↑ Albania: Special Operations and Counterterrorist Forces เก็บถาวร 2013-08-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at specialoperations.com (a non-official, personal website). Retrieved 8 September 2012.
- ↑ "World Infantry Weapons: Algeria". 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 November 2016.
- ↑ Small Arms Survey (2007). "Armed Violence in Burundi: Conflict and Post-Conflict Bujumbura" (PDF). The Small Arms Survey 2007: Guns and the City. Cambridge University Press. p. 204. ISBN 978-0-521-88039-8.
- ↑ Kokalis, Peter. Weapons Tests And Evaluations: The Best Of Soldier Of Fortune. Paladin Press. 2001. pp99–102.
- ↑ Hogg, Ian (2002). Jane's Guns Recognition Guide. Jane's Information Group. ISBN 0-00-712760-X.
- ↑ "Urgent Fury 1983: WWII weapons encountered". wordpress.com. 18 October 2015. สืบค้นเมื่อ 22 March 2018.
- ↑ Small Arms Survey (2005). "Sourcing the Tools of War: Small Arms Supplies to Conflict Zones" (PDF). Small Arms Survey 2005: Weapons at War. Oxford University Press. p. 166. ISBN 978-0-19-928085-8.
- ↑ US Department of Defense: North Korea Country Handbook (1997) page xii, at Federation of American Scientists. Retrieved 8 September 2012.
- ↑ "World Infantry Weapons: Sierra Leone". 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 November 2016.[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
- ↑ http://www.mo.gov.si/fileadmin/mo.gov.si/pageuploads/pdf/javne_objave/2015/orozje_2015/Sklopi1_8_za_objavo.pdf
- ↑ 17.0 17.1 Marchington, James (2004). The Encyclopedia of Handheld Weapons. Lewis International, Inc. ISBN 1-930983-14-X.
- ↑ VCCorp.vnwebsite=soha.vn. "Quân đội Nhân dân Việt Nam được trang bị những loại súng ngắn nào". สืบค้นเมื่อ 22 March 2018.
- ↑ "[Indo Defense 2018] Vietnamese Small Arms Part Two: Grenade Launcher's, Galil ACE's, and OSV-96's -". 2018-11-30.
พัก โช-อา (en:Park Cho-a)
แก้พัก โช-อา | |
---|---|
박초아 | |
เกิด | พัก โช-อา 6 มีนาคม ค.ศ. 1990 อินช็อน, เกาหลีใต้ |
สัญชาติ | เกาหลีใต้ |
อาชีพ | นักร้อง • นักแสดง |
อาชีพทางดนตรี | |
แนวเพลง | เคป็อป |
เครื่องดนตรี | เสียงร้อง |
ช่วงปี | 2012–2017 |
ค่ายเพลง | เอฟเอ็นซีเอ็นเทอร์เทนเมนท์ |
พัก โช-อา (เกาหลี: 박초아, อังกฤษ: Park Cho-a) (เกิด 6 มีนาคม ค.ศ. 1990) เป็นไอดอลสาวชาวเกาหลีใต้ อดีตสมาชิกวงเอโอเอ ซึ่งเธอผ่านการเดบิวต์ในปี ค.ศ. 2012 ภายใต้สังกัดเอฟเอ็นซีเอนเทอร์เทนเมนท์
ประวัติ
แก้เธอเกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1990 ที่อินช็อน ประเทศเกาหลีใต้[1] เธอเคยมีความฝันอยากเป็นนักร้องประจำมหาวิทยาลัย แต่บิดาของเธอคัดค้านไว้ อยากให้เธอประกอบธุรกิจมากกว่า เธอจบการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอินฮา
เธอเคยประกวดเข้าเป็นศิลปินสังกัดเอสเอ็มเอนเตอร์เทนเมนต์ แต่ตกรอบ[2] ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 เธอได้พบกับจูเนียล นักแต่งเพลงชื่อดัง จูเนียลจึงชักชวนเธอเข้าสู่วงการ โดยเธอได้เป็นศิลปินสังกัดเอฟเอ็นซีเอนเทอร์เทนเมนท์ และเป็นสมาชิกวงเอโอเอ[3] ต่อมาปี ค.ศ. 2017 เธอก็ออกจากวงการเนื่องจากเป็นโรคซึมเศร้า[4]
ผลงานด้านดนตรี
แก้ซิงเกิล
แก้ปี | ชื่อ | เหตุผล | ยอดจำหน่าย | อัลบั้ม |
---|---|---|---|---|
KOR Gaon [5] | ||||
2015 | "2015 แดทเมย์บีโซ" (บรรเลงเปียโนโดย ยู ฮี-ย็อน) | 26 |
|
Two Yoo Project - Sugar Man Part.3 |
"เฟลม" | 25 |
|
Flame (Digital Single) | |
2017 | "ซิงฟอร์ยู" (ร่วมกับ คิม แท-วู) | – |
|
Sing For You - The Eighth Story |
"ไอดอนด์แฮฟเดอะเวิล์ด" | – |
|
Sing For You - The Last Story |
ผลงานด้านการแสดง
แก้เรียลลิตีโชว์
แก้ปี | ชื่อ | บทบาท | ช่อง | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|
2013 | ช็องดัม-ด็อง 111 | ตัวเธอเอง | tvN | [6] |
2015 | โอเพนอัพ เอโอเอ | ตัวเธอเอง | ไม่ทราบ | |
วันฟายเดย์ | ตัวเธอเอง | MBC Music | [7] | |
2016 | ชาแนล เอโอเอ | ตัวเธอเอง | ออนสไตล์ |
วาไรตีโชว์
แก้ปี | ชื่อเรื่อง | บทบาท | ช่อง | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|
2015 | วีก็อตมารีเอด | MC | MBC | |
คิงออฟมาคซิงเกอร์ | คอนสแตติน | [8] | ||
2016 | เกิร์ลฮูลีพาร์ตชารต์ | Regular MC | KBS Joy | [9] |
ซิงฟอยู | Regular MC | JTBC |
อ้างอิง
แก้- ↑ "AOA Profile on FNC Official Website".
- ↑ "AOA's Choa Reveals She Failed SM Entertainment's Audition 15 Times". Soompi. 2015-05-20. สืบค้นเมื่อ 2017-03-15.
- ↑ "Juniel Talks About How She Helped AOA's Choa Make Her Debut on "A Song for You"". Soompi. 2015-10-18. สืบค้นเมื่อ 2016-03-31.
- ↑ [1]
- ↑ "Gaon Chart Search" (ภาษาคานูรี). Gaon Chart.
- ↑ "FT Island and CN Blue to Appear in a FNC Reality Drama". MWAVE. 2013-11-12. สืบค้นเมื่อ 2014-04-21.
- ↑ AOA plan getaway to Hainan for their first travel reality appearance on 'One Fine Day'!
- ↑ (เกาหลี) '복면가왕' 단풍, 정체는 無언급 AOA 초아 '충격'
- ↑ (เกาหลี) AOA 초아, 이상민 '아재 탈출' 프로젝트 실시 (차트를달리는소녀)
มุกดาวัน สันติพอน
แก้มุกดาวัน สันติพอน | |
---|---|
เกิด | 6 มิถุนายน พ.ศ. 2540 |
ที่เกิด | ประเทศลาว |
แนวเพลง | หมอลำ |
อาชีพ | นักร้อง |
เครื่องดนตรี | เสียงร้อง |
ช่วงปี | พ.ศ. 2547 - ปัจจุบัน |
มุกดาวัน สันติพอน (ลาว: ມຸກດາວັນ ສັນຕິພອນ) เป็นนักร้องหญิงชาวลาว มีชื่อเสียงจากผลงานเพลง เอิ้นอ้ายใส่หม้อนึ่ง[1] และ มนต์ฮักบ่าวเมืองวัง
ประวัติ
แก้เธอเกิดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2540 ที่บ้านธาตุอิงฮัง เมืองไกสอน พมวิหาน แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว[2] ในครอบครัวที่ทำอาชีพเกษตรกรรม แต่เมื่อยามบิดามารดาของเธอว่างจากการทำนา ก็จะตระเวนรับจ้างร้องเพลงโดยที่บิดาของเธอมีวงดนตรีอยู่วงหนึ่ง โดยบิดาของเธอมมีรายได้จากการตระเวนร้องเพลงคืนละ 5 แสนกีบ
วงการบันเทิง
แก้เธอเริ่มร้องเพลงจากการสอนของบิดา และเรียนการลำกลอนจากดอกเพ็ด แดนจำพอน เธอเริ่มเดินสายประกวดร้องเพลงตั้งแต่อายุได้ 5 ปี ในระหว่างที่เธอร้องเพลงประกวดนี้ ได้รับรางวัลบ้าง ไม่ได้รับรางวัลบ้าง และเธอยังเป็นสมาชิกของคณะศิลป์สโมสรวัฒนธรรมบรรดาเผ่าแขวงสะหวันนะเขต ตำแหน่งน้กร้อง-หมอลำ เธอเคยเดินทางไปแสดงในนามแขวงสะหวันเขต ทั้งในและต่างประเทศ
ขณะที่มุกดาวันศึกษาอยู่ที่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เธอได้ออกอัลบั้มเพลง ไหว้บ่พ่อ สังกัดค่ายเพลง ลาวเด้อมิวสิก ซึ่งได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง ต่อมาเมื่อเธอกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เธอได้ออกอัลบั้ม บ่าวท่าแขก-สาวสะหวัน มีเพลงดังจากอัลบั้มนี้เช่น ถามข่าวบ่าวมัธยม และ เพิ่นมิมักข่อย หลังจากนั้นเธอจึงตัดสินใจทำเพลงเองในนามค่าย "กล้วยสุกเขียว" ซึ่งมาจากชื่อวงดนตรีของบิดา[2]
อ้างอิง
แก้แหล่งข้อมูลอื่น
แก้หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล
แก้หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล | |
---|---|
เกิด | 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 กรุงเทพมหานคร, ไทย |
สัญชาติ | ไทย |
ชื่ออื่น | เชฟป้อม • หม่อมป้อม • หม่อมป้า |
การศึกษา | ปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย |
อาชีพ | นักออกแบบอาหาร • นักโภชนาการ |
ปีปฏิบัติงาน | พ.ศ. 2548 - ปัจจุบัน |
มีชื่อเสียงจาก | กรรมการรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ |
บุตร | 3 คน |
บิดามารดา |
|
หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล เป็นนักโภชนาการ และเชพที่มีชื่อเสียงชาวไทย จากการเป็นกรรมการรายการแข่งขันทำอาหารมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซึ่งออกอากาศทางช่อง 7 เอชดี เจ้าของคำพูด เตือนแล้วนะ หรือ แล้วมันจะทันมั้ย[1]
ประวัติ
แก้เป็นธิดาคนสุดท้องของหม่อมราชวงศ์เทพยพงศ์ และนางประเทือง เทวกุล เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 มีพี่น้องด้วยกัน 4 คน[2] ท่านจบการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนจิตรดา ระดับมัธยาศึกษาจากโรงเรียนราชินี และระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย[2]
หลังท่านสำเร็จการศึกษา ท่านได้ทำงานที่บริษัท Loxely ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับด้านอาหารแต่อย่างใด[2] ต่อมาท่านสมรสกับสามีชาวอเมริกัน มีบุตรด้วยกัน 3 คน[3] ต่อมาเมื่อท่านอายุ 44 ปี ท่านได้หย่ากับสามีและเริ่มประกอบอาชีพเป็นเชฟเต็มตัว[2][4]
ท่านเคยประกอบกิจการร้านอาหารมาก่อน แต่ได้ปิดตัวลงเนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง ปัจจุบันท่านเป็นนักออกแบบอาหาร[5] และเชฟ ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับร้านอาหารทั้งในและต่างประเทศ และเป็นเจ้าของคอลัมน์ "สำรับ" ซึ่งเกี่ยวกับตำราอาหารไทยที่เขียนลงในนิตยาสารพลอยแกม โดยเขียนเกี่ยวกับตำรับอาหารไทยมาแล้ว 250 สูตร[2]
ท่านมีชื่อเสียงจากการเป็นคณะกรรมการจากรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ จากการวิจารณ์อาหารและควบคุมการทำอาหารของผู้เข้าแข่งขันด้วยอารมณ์ที่โผงผาง และจริงจัง
ผลงาน
แก้คณะกรรมการ
แก้- มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซันที่ 1
- มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซันที่ 2
- มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซันที่ 3
- มาสเตอร์เชฟจูเนียร์ไทยแลนด์ ซีซันที่ 1
คอลัมน์นิสต์
แก้- "สำรับ"
อ้างอิง
แก้- ↑ เชฟป้อม ม.ล.ขวัญทิพย์ “เถียง ไม่เหมือนอธิบาย ดุ ไม่ใช่ด่า” อาหารกับมารยาทเกี่ยวกันอย่างไร
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 เปิดประวัติ “หม่อมป้อม” กรรมการหน้าดุจาก “มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์” ตัวตนจริงๆ ของเธอเป็นอย่างไรกันนะ?
- ↑ เปิดตัว 3 หนุ่มผู้กุมหัวใจของมาสเตอร์เชฟหญิงสายบู๊ ‘เชฟป้อม-ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล’
- ↑ เปิด 10 ความลับ!! กว่าจะมาเป็น “เชฟป้อม” กรรมการสุดโหด ของรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์
- ↑ ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล หญิงแกร่ง+หลากมิติ
สุริยุปราคาเต็มดวง 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 (en:Solar eclipse of October 24, 1995)
แก้สุริยุปราคา 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 | |
---|---|
ภาพสุริยุปราคาในประเทศอินเดีย ถ่ายโดยเฟรดซ์ เอ็กซ์เปอร์นาด | |
ประเภท | |
แกมมา | 0.3518 |
ความส่องสว่าง | 1.0213 |
บดบังมากที่สุด | |
ระยะเวลา | 2 นาที 10 วินาที |
พิกัด | 8°25'0"N, 113°11'18"E |
ความกว้างของเงามืด | 78 กิโลเมตร |
เวลา (UTC) | |
บดบังมากที่สุด | 4:33:30 |
แหล่งอ้างอิง | |
แซรอส | 143 |
บัญชี # (SE5000) | 9498 |
สุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 เป็นการที่ดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเงามืดของดวงจันทร์บนพื้นโลก สุริยุปราคานี้สามารถมองได้ที่ประเทศอิหร่าน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย บังกลาเทศ เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย
การสังเกตการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงเกิดขึ้นในประเทศอินเดีย[1] เมื่อเครื่องบินมิก 25 จากกองทัพอากาศอินเดีย และสามารถถ่ายภาพสุริยุปราคาซึ่งไกลได้ถึง 25 กิโลเมตร[2]
ในประเทศไทย
แก้สุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 ยังสามารถมองเห็นได้ในประเทศไทย ซึ่งในประเทศไทยสามารถมองเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา[3] (ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2476[4]) และเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งล่าสุดที่สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทย โดยจังหวัดที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้ชัดเจนในไทยมี 11 จังหวัด[3] ได้แก่ จังหวัดตาก จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดพิจิตร จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดลพบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสระแก้ว ซึ่งเห็นเต็มดวงนาน 1 นาที 52 วินาที ส่วนจังหวัดอื่นๆ จะเป็นสุริยุปราคาบางส่วน
นอกจากนี้ ยังเกิดปรากฎการณ์ "ลูกปัดเบลลี่" และแสงสว่างคล้ายหัวแหวนซึ่งเรียกว่าปรากฎการณ์ "ไดอมอนด์ริง"[5] ซึ่งเกิดขึ้น 2-3 นาทีก่อนจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงนอกจากนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ณ จังหวัดนครราชสีมา อีกด้วย[3]
กราฟิกการเกิดสุริยุปราคา
แก้วัฒนธรรมสมัยนิยม
แก้ฟิลล์ วิกเทเกอร์ ได้ประพันธ์หนังสือ Eclipse of the Sun และตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2540
อ้างอิง
แก้- ↑ The MIGnificient Flying Machines - MiG-25R Bharat Rakshak.com 22 August 2017
- ↑ Bhatnagar, A; Livingston, William Charles (2005). Fundamentals of Solar Astronomy. World Scientific. p. 157. ISBN 9812382445.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 24 ต.ค.2538 ตะลึง! สุริยุปราคาเต็มดวงในไทย!!
- ↑ ย้อนรอย ! ปรากฏการณ์ ‘สุริยุปราคา’ ในรอบ 100 ปี ที่เคยพาดผ่านประเทศไทยมาแล้วมากกว่า 10 ครั้ง
- ↑ สุริยุปราคาเต็มดวง 24 ต.ค.2538
ซิก ซาวเออร์ พี 226 (en:SIG Sauer P226)
แก้ซิก ซาวเออร์ พี 226 | |
---|---|
ชนิด | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ |
แหล่งกำเนิด | เยอรมนี |
ประวัติการผลิต | |
ช่วงการออกแบบ | 1980-1983 |
บริษัทผู้ผลิต | ซิก ซาวเออร์ |
ช่วงการผลิต | 1983-ปัจจุบัน |
ข้อมูลจำเพาะ | |
ความยาว | 196 mm (7.7 in)[1] |
ความยาวลำกล้อง | 112 mm (4.4 in) |
ความกว้าง | 38.1 mm (1.50 in) |
ความสูง | 140 mm (5.5 in) |
กระสุน | |
ระบบป้อนกระสุน | 10-, 12-, 13-, และ 15-นัด (.357/.40) • 10-, 15-, 17-, 18-, และ 20-นัด (9×19 มม.) |
ซิก ซาวเออร์ พี 226 (อังกฤษ: SIG Sauer P226) เป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติที่ผลิตโดยบริษัท ซิกซาวเออร์ สามารถบรรจุกระสุนได้หลายชนิด ทั้ง .22 9×19 มิลลิเมตร .40 สมิทธ์แอนด์เวสสัน และ .357 ซิกซาวเออร์ มันพัฒนามาจากซิก ซาวเออร์ พี 220 แต่ซิก ซาวเออร์ พี 220 นั้นมีการใช้กระสุนที่จำกัด จึงผลิตปืนรุ่นนี้ออกมา และยังมีรุ่นย่อยคือ พี 227 และ พี 229 ซิก ซาวเออร์ พี 226 เป็นปืนอีกรุ่นหนึ่งที่ได้รับความนิยม และนำไปใช้ในกองทัพหลายประเทศ[2]
การผลิต
แก้ปืนนี้มีบริษัทผลิตอยู่ที่ประเทศเยอรมนี และยังมีผลิตที่สหรัฐอเมริกา อีกด้วย และยังมีบริษัทอีกมากมายที่ผลิตปืนรุ่นชนิดนี้ออกมา[3] นอกจากนี้ยังมีหลายประเทศนำแบบปืนรุ่นนี้ไปใช้ผลิตในประเทศตน เช่น ประเทศจีน ซึ่งใช้ชื่อรุ่นว่า เอ็นพี 226 ประเทศอิหร่าน ใช้ชื่อรุ่นว่า ซีโอเอเอฟ และประเทศพม่า ใช้ชื่อรุ่นว่า เอ็มเอ 5 หรือ เอ็มเค 3[4]
รุ่น
แก้ปืนชนิดนี้มี 4 รุ่น ได้แก่ พี 226 เนวี, พี 226 อี 2, พี 228 และพี 229
ประเทศผู้ใช้งาน
แก้- บังกลาเทศ
- แคนาดา
- จีน
- โคลอมเบีย
- เอลซัลวาดอร์
- ฟินแลนด์
- ฝรั่งเศส
- จอร์เจีย
- เยอรมนี
- กรีซ
- อินเดีย
- อินโดนีเซีย
- อิหร่าน
- ไอร์แลนด์
- อิสราเอล
- ญี่ปุ่น
- เกาหลีใต้
- มาเลเซีย
- พม่า
- เนเธอร์แลนด์
- นิวซีแลนด์
- ปากีสถาน
- ฟิลิปปินส์
- โปแลนด์
- โปรตุเกส
- สิงคโปร์
- สโลวีเนีย
- สเปน
- สวีเดน
- ไทย : ใช้ใน กองทัพบกไทย แต่สามารถพบเห็นได้น้อย[5]
- ตุรกี
- สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- สหราชอาณาจักร
- สหรัฐอเมริกา
อ้างอิง
แก้- ↑ "P226", Guns.ru, web: Modern Firearms article on P226
- ↑ Valpolini, Paolo (June 2009). "There are Two Types of Men in this World..." (PDF). Armada International. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-02-14. สืบค้นเมื่อ 2010-02-13.
- ↑ "Sensation: Lüke Group takes over majority shares at GSG". All 4 Shooters.com. สืบค้นเมื่อ 13 January 2018.
- ↑ "MA5 MK II: The Burmese Tatmadaw's Production Glock Handgun". thefirearmblog.com. 2018-07-23. สืบค้นเมื่อ 2018-07-29.
- ↑ "อาวุธประจำกาย และอาวุธธประจำกายทหารราบ" [Body armor and weapons for the infantry]. Thai Army. สืบค้นเมื่อ 2019-03-24.
เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์ (en:Order of the Netherlands Lion)
แก้เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์ | |
---|---|
ประเภท | เครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝ่ายพลเรือนสามชั้น |
วันสถาปนา | 29 กันยายน ค.ศ. 1815 |
ประเทศ | เนเธอร์แลนด์ |
จำนวนสำรับ | ไม่จำกัดจำนวน |
ผู้สมควรได้รับ | ผู้กระทำคุณประโยชน์และคุณความดีอย่างยิ่งยวดต่อประเทศเนเธอร์แลนด์ |
สถานะ | ยังมีการมอบ |
ผู้สถาปนา | พระเจ้าวิลเลิมที่ 1 แห่งเนเธอร์แลนด์ |
ประธาน | พระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์ |
ลำดับเกียรติ | |
รองมา | เครื่องราชอิสริยาภรณ์ออเรนจ์-นัสเซา |
เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์ (ดัตช์: De Orde van de Nederlandse Leeuw) เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ สถาปนาเมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1815 โดยจะมอบให้กับผู้กระทำคุณประโยชน์อันยิ่งยวดต่อสังคมในประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้มีศักดิ์รองมาจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์กิตติคุณฝ่ายทหาร ซึ่งพระราชทานเฉพาะฝ่ายทหารเท่านั้น ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้สำหรับพระราชทานให้ฝ่ายพลเรือน เช่นเดียวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ออเรนจ์-นัสเซา
สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเนเธอร์แลนด์ทรงเป็นประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ เมื่อเริ่มสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ขึ้นมามีเพียง 3 ชั้นเท่านั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 ได้เพิ่มชั้น "Brothers" ซึ่งเป็นชั้นสมาชิก ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ต่อมาในปี ค.ศ. 1994 ชั้นสมาชิกได้ถูกยกเลิกไป
ระดับชั้น
แก้แพรแถบ | |||
---|---|---|---|
ประถมาภรณ์ | ตริตาภรณ์ | เบญจมาภรณ์ | ชั้นสมาชิก |
ลักษณะ
แก้ดวงตราและดาราทุกระดับชั้น จะมีลักษณะเป็นกางเขนมอลตาสีขาว และมีตัว W ซึ่งมาจากพระนามของพระเจ้าวิลเลิมที่ 1 แห่งเนเธอร์แลนด์ คั่นอยู่ระหว่างกางเขน ส่วนแพรแถบเป็นสีน้ำเงิน มีสีเหลืองคั่นอยู่สองข้าง[1]
อ้างอิง
แก้- ↑ "Decorations of the Order of the Netherlands Lion - Royal Honours". Lintjes.nl. สืบค้นเมื่อ 2012-03-25.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Order of the Netherlands Lion - Official website (Dutch)
- Law instituting the Order of the Netherlands Lion - wetten.overheid.nl (Dutch)
- Regulations of the Order of the Netherlands Lion and the Order of Orange-Nassau - wetten.overheid.nl (Dutch)
บทความนี้อาจขยายความได้โดยการแปลบทความที่ตรงกันในภาษาอังกฤษ คลิกที่ [ขยาย] เพื่อศึกษาแนวทางการแปล
|
ส่าหรี่ (มราฐี: शाटी, อังกฤษ: Sari)[1] เป็นเครื่องแต่ากายของสตรีชาวเอเชียใต้ เช่น อินเดีย, เนปาล, ศรีลังกา, บังคลาเทศ มีลักษณะเป็นผ้าคลุมตัว มีความยาว 5-9 หลา[2] และกว้าง 2-4 ฟุต[3] การแต่งกายจะพาดรอบเอว และคลุมไหล่อีกด้านเพื่อไม่ให้ร่างการชื้นจนเกินไป ชุดส่าหรี่นั้นมีหลายประเภท แต่ประเภทที่นิยมใส่มักจะเป็นแบบนีวิ (อังกฤษ: Nivi style ชุดส่าหรี่นั้นมักจะแต่งกายคู่กับเสื้อครึ่งตัวที่เรียกว่า "โชลี" (อังกฤษ: Choli) ชุดส่าหรี่นั้นเป็นเครื่องแต่งกายชนิดหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมแห่งภูมิภาคเอเชียใต้
ชุดส่าหรี่นั้นเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เนื่องจากมักนิยมสวมใส่ในเหตุการณ์หรืองานสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะนักแสดงฮอลีวูดชาวอินเดีย เป็นต้นว่า ไอศวรรยา ราย[4][5] ได้สวมชุดส่าหรี่ในงานแสดงวัฒนธรรมอินเดีย ในปี ค.ศ. 2010 หรือทีปิกา ปาทุโกณ[6][7] มักจะสวมใส่ในงานแสดงวัฒนธรรมอินเดีย หรือในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และมีนักแสดงชาวอินเดียจำนวนมากที่สวมใส่ชุดส่าหรี่ที่ออกแบบโดยชาวอินเดียเอง[8]
ภาพการแต่งกายชุดส่าหรี่
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ Lynton, Linda (1995). The Sari. New York: Harry N. Abrams, Incorporated. ISBN 978-0-8109-4461-9.
- ↑ Boulanger, Chantal (1997). Saris: An Illustrated Guide to the Indian Art of Draping. New York: Shakti Press International. ISBN 978-0-9661496-1-6.
- ↑ Boulanger, Chantal (1997). Saris: An Illustrated Guide to the Indian Art of Draping. New York: Shakti Press International. p. 6.
- ↑ ""Ravan's star-studded premiere in London," The Indian Express". The Indian Express. India. 17 June 2010. สืบค้นเมื่อ 13 November 2011.
- ↑ "Indian threads: When Bollywood celebrities went ethnic at Cannes". Th Indian Express. สืบค้นเมื่อ 4 June 2016.
- ↑ ""Deepika walks Cannes red carpet in saree," The Hindu". The Hindu. India. Press Trust of India. 14 May 2010. สืบค้นเมื่อ 13 November 2011.
- ↑ "Deepika always wanted to wear saree at international do". Movies.ndtv.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 พฤษภาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2011.
- ↑ "Saree – Re-emerging as the Fashion Icon of Indian Youth!". forimmediaterelease.net. สืบค้นเมื่อ 7 February 2015.
{{cite web}}
: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน:|website=
(help)
อนุษกา ศรรมา (en:Anushka Sharma)
แก้บทความนี้อาจขยายความได้โดยการแปลบทความที่ตรงกันในภาษาอังกฤษ คลิกที่ [ขยาย] เพื่อศึกษาแนวทางการแปล
|
อนุษกา ศรรมา | |
---|---|
สารนิเทศภูมิหลัง | |
เกิด | 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 อโยธยา, รัฐอุตตรประเทศ, อินเดีย |
คู่สมรส | วิรัด โกฮีร์ |
อาชีพ | นักแสดง • ผู้กำกับภาพยนตร์ • นักออกแบบเสื้อผ้า |
ปีที่แสดง | พ.ศ. 2550-ปัจจุบัน |
อนุษกา ศรรมา (อังกฤษ: Anushka Sharma) เป็นนักแสดงหญิงและผู้กำกับภาพยนตร์หญิงชาวอินเดียในวงการหนังบอลลีวูด เธอเป็นนักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงอย่างมากติดอันดับหนึ่งในอินเดีย และคล้ารางวัลต่างๆ เป็นจำนวนมาก เช่น รางวัลฟิมแฟร์อวอร์ดส์ และยังอยู่ในรายชื่อเกียรติยศ ฟอร์บส์ 30 อันเดอร์ 30 อีกด้วย
เธอเกิดที่เมืองอโยธยา, รัฐอุตตรประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2531[1][2] บิดารับราชการทหาร มารดาเป็นแม่บ้าน[3] เธอมีพี่ชาย 1 คนซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ชีวิตในวัยเด็ก เธออาศัยที่เมืองบังคาลอร์, รัฐกรณาฏกะ และเธอจบการศึกษาจากวิทยาลัยเมาท์คาร์เมลล์[4][5] สาขาศิลปะการแสดง เริ่มแรกเธอทำงานด้านสื่อมวลชนและไม่เคยคิดจะเป็นนักแสดง จนกระทั่งเธอเริ่มเข้าสู่วงการจากการเป็นนางแบบแฟชั่นของเวนเดล รอร์ดริค[6] หลังจากที่เธอย้ายมาอยู่เมืองมุมไบ เธอก็ใช้เวลากับการเป็นนางแบบอย่างเต็มที่ จนกระทั่งเธอได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในปี พ.ศ. 2550 คือเรื่อง Rab Ne Bana Di Jodi ซึ่งเธอได้รับรางวัลฟิล์มแฟร์อวอร์ดส์ สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องแรกดังกว่าว หลังจากนั้นก็มีผลงานแสดงภาพยนตร์ที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงอีกสองเรื่อง คือ Band Baaja Baaraat ในปี พ.ศ. 2553 และ Jab Tak Hai Jaan ในปี พ.ศ. 2555 หลังจากนั้นเธอก็หันมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เอง และได้รับรางวัลฟิล์มแฟร์อวอร์ด สาขานักแสดงประกอบยอดเยี่ยมหลายครั้ง
ผลงานเด่น
แก้ปี | ชื่อเรื่อง | บทบาท | ผู้กำกับ | อ้างอิง |
---|---|---|---|---|
2551 | Rab Ne Bana Di Jodi | Taani Sahni | Aditya Chopra | Nominated—Filmfare Award for Best Actress Nominated—Filmfare Award for Best Female Debut |
2553 | Badmaash Company | Bulbul Singh | Parmeet Sethi | |
2553 | Band Baaja Baaraat | Shruti Kakkar | Maneesh Sharma | Nominated—Filmfare Award for Best Actress |
2553 | Patiala House | Simran Chaggal | Nikhil Advani | |
2554 | Ladies vs Ricky Bahl | Ishika Desai | Maneesh Sharma | |
2554 | Jab Tak Hai Jaan | Akira Rai | Yash Chopra | Filmfare Award for Best Supporting Actress |
2556 | Matru Ki Bijlee Ka Mandola | Bijlee Mandola | Vishal Bhardwaj | |
2557 | PK | Jagat "Jaggu" Janini | Rajkumar Hirani | |
2558 | NH10 | Meera | Navdeep Singh | Also producer Nominated—Filmfare Award for Best Actress |
2558 | Bombay Velvet | Rosie Noronha | Anurag Kashyap | |
2558 | Dil Dhadakne Do | Farah Ali | Zoya Akhtar | Nominated—Filmfare Award for Best Supporting Actress |
2558 | Sultan | Aarfa Hussain | Ali Abbas Zafar | |
2558 | Ae Dil Hai Mushkil | Alizeh Khan | Karan Johar | Nominated—Filmfare Award for Best Actress |
2560 | Phillauri | Shashi Kumari | Anshai Lal | Also producer and playback singer for song "Naughty Billo"[7][8] |
2560 | Jab Harry Met Sejal | Sejal Zaveri | Imtiaz Ali | |
2561 | Pari | Rukhsana | Prosit Roy | Also producer |
2561 | Sanju | Winnie Diaz | Rajkumar Hirani | |
2561 | Sui Dhaaga | Mamta | Sharat Katariya | Nominated—Filmfare Critics Award for Best Actress |
2561 | Zero | Aafia Yusufzai Bhinder | Aanand L. Rai |
อ้างอิง
แก้- ↑ "Anushka Sharma celebrates 25th birthday in Goa". Hindustan Times. 1 May 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2013. สืบค้นเมื่อ 10 March 2014.
- ↑ Gupta, Priya (18 December 2012). "There is no system in the film industry: Anushka". The Times of India. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 December 2012. สืบค้นเมื่อ 10 March 2014.
- ↑ Joshi, Sonali (8 April 2012). "Anushka Sharma buys three flats worth Rs.10 crore in Mumbai's posh area". India Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 March 2014. สืบค้นเมื่อ 10 March 2014.
- ↑ "Anushka Sharma: Lesser known facts". The Times of India. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 June 2015. สืบค้นเมื่อ 2 June 2015.
- ↑ "Just how educated are bollywood heroines". Rediff.com. 18 January 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 August 2013. สืบค้นเมื่อ 2 June 2015.
- ↑ "10 facts about Anushka Sharma you didn't know". The Express Tribune. 11 March 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 May 2015. สืบค้นเมื่อ 6 June 2015.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อphillauri
- ↑ "Phillauri song Naughty Billo: Anushka Sharma raps in Diljit Dosanjh song". The indian Express. 4 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2017. สืบค้นเมื่อ 5 March 2017.
ปืนพกโตกาเรฟ (en:TT pistol)
แก้บทความนี้อาจขยายความได้โดยการแปลบทความที่ตรงกันในภาษาอังกฤษ คลิกที่ [ขยาย] เพื่อศึกษาแนวทางการแปล
|
ปืนพกโตกาเรฟ | |
---|---|
ชนิด | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ |
แหล่งกำเนิด | สหภาพโซเวียต |
บทบาท | |
ประจำการ | 1930-ปัจจุบัน |
ประวัติการผลิต | |
ผู้ออกแบบ | เฟดอร์ โตกาเรฟ |
ช่วงการออกแบบ | 1930 |
ช่วงการผลิต | 1930-1955 |
ข้อมูลจำเพาะ | |
ความยาว | 194 mm (7.6 in) |
ความสูง | 134 mm (5.3 in) |
กระสุน |
|
ความเร็วปากกระบอก | 450 m/s (1,500 ft/s) |
ระบบป้อนกระสุน | 8 นัด |
โตกาเรฟ หรือ ที-ที เป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติของสหภาพโซเวียต ออกแบบโดยเฟดอร์ โตกาเรฟ ในปี ค.ศ. 1930 เพื่อใช้เป็นปืนพกประจำการของกองทัพแดง และใช้งานแทนปืนลูกโม่ชนิดเอ็ม 1895 [1] ปืนชนิดนี้เข้าประจำการจนถึงปี ค.ศ. 1952 ก็ถูกแทนที่ด้วยปืนพกมาคารอฟ[2] แต่ก็ยังคงใช้ในกองทัพแดงจนกระทั่งปี ค.ศ. 1960 และยังถูกใช้ประจำการของหน่วยตำรวจโซเวียตอีกด้วย
ปืนชนิดนี้มีหลายรุ่น แต่รุ่นที่นิยมใช้กันก็คือ ทีที-33 (อังกฤษ: TT-33) และเป็นปืนที่ประจำการในประเทศกลุ่มตะวันออกในช่วงสงครามเย็น และยังถูกนำไปผลิตใหม่ในหลายประเทศ เช่น จีน ผลิตปืนในรูปแบบนี้โดยใช้ชื่อรุ่นว่า ปืนพกชนิด 54 (อังกฤษ: Type 54) ผลิตโดยบริษัทโนรินโค นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่นๆ อีกมากที่ผลิตปืนลักษณะนี้เช่น โปแลนด์ โรมาเนีย ยูโกสโลวาเกีย ฯลฯ
ความเป็นมา
แก้"โตกาเรฟ" ถูกออกแบบโดยเฟดอร์ โตกาเรฟ (Fedor Tokarev) ในปื ค.ศ. 1930 ระหว่างนี้ก็ยังถูกทางการโซเวียตติเตียนตักเตือนในเรื่องความไม่สมบูรณ์หลายครั้ง[3] จึงออกแบบใหม่หลายครั้งจนกระทั่งได้รุ่นที่สมบูรณ์ที่สุดคือ ทีที-33[2] ซึ่งเป็นรุ่นที่นิยมใช้กันมากที่สุด ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1950 สหภาพโซเวียตได้ให้กรรมสิทธิ์การผลิตปืนชนิดนี้ของประเทศในกลุ่มวอร์ซอแพ็ค(Warsaw pact) โดยใช้กระสุนแบบ 7.62x25 มม หลังจากนั้นปืนชนิดนี้ก็ถูกนำไปผลิตในลักษณะเดียวกันอีกหลายประเทศ[4]
ประเทศผู้ใช้งาน
แก้- อัฟกานิสถาน[5]
- แอลเบเนีย:[5]
- แอลจีเรีย[5]
- แองโกลา[5]
- อาร์มีเนีย[5]
- อาเซอร์ไบจาน[5]
- บังกลาเทศ[6]
- เบลารุส[5]
- เบนิน[5]
- บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา[5]
- บัลแกเรีย[5]
- บุรุนดี[7]
- กัมพูชา[5]
- ชาด[5]
- จีน[8]
- โครเอเชีย[5]
- เยอรมนีตะวันออก[5] Issued in small numbers to Volkspolizei (Peoples Police) in the early 1950s, replaced by Makarov PM in late 50s.
- อียิปต์[9]
- อิเควทอเรียลกินี[5]
- ฟินแลนด์[10] [10]
- จอร์เจีย[5]
- กินี[5]
- กินี-บิสเซา[5]
- ฮังการี[11]
- อิรัก[5]
- โกตดิวัวร์[12]
- คาซัคสถาน[13]
- คีร์กีซสถาน[5]
- ลาว[5]
- ลิเบีย[5]
- ลิทัวเนีย[5][14]
- มาดากัสการ์[5]
- มาลี[15]
- มอลตา[5]
- มอริเตเนีย[5]
- มอลโดวา[5]
- มองโกเลีย[5]
- มอนเตเนโกร[5]
- โมร็อกโก[16]
- โมซัมบิก[5]
- ไรช์เยอรมัน[17]
- เกาหลีเหนือ[11][18]
- โปแลนด์
- โรมาเนีย [5][11]
- รัสเซีย[5]
- เซอร์เบีย[5]
- เซียร์ราลีโอน[5]
- โซมาเลีย[5]
- สหภาพโซเวียต[8]
- ศรีลังกา[19]
- ซีเรีย[5]
- ยูกันดา[5]
- เวียดนาม[5]
- ยูโกสลาเวีย[8][11]
- แซมเบีย[5]
- ซิมบับเว[5][20]
อ้างอิง
แก้- ↑ World.guns.ru. "Tokarev TT pistol (USSR/Russia)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-05. สืบค้นเมื่อ 2008-01-29.
- ↑ 2.0 2.1 Cruffler.com (March 2001). "Polish M48 (Tokarev TT-33) Pistols". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-01-31. สืบค้นเมื่อ 2008-01-29.
- ↑ Tokarev, Vladimir (2000). "Fedor V. Tokarev". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-01-31. สืบค้นเมื่อ 2008-01-29.
- ↑ “โตกาเรฟ“ ทูตมรณะดับ “เอ็กซ์ จักรกฤษณ์“
- ↑ 5.00 5.01 5.02 5.03 5.04 5.05 5.06 5.07 5.08 5.09 5.10 5.11 5.12 5.13 5.14 5.15 5.16 5.17 5.18 5.19 5.20 5.21 5.22 5.23 5.24 5.25 5.26 5.27 5.28 5.29 5.30 5.31 5.32 5.33 5.34 5.35 5.36 5.37 5.38 5.39 Jones, Richard D. Jane's Infantry Weapons 2009/2010. Jane's Information Group; 35 edition (January 27, 2009). ISBN 978-0-7106-2869-5.
- ↑ "Bangladesh Military Forces - BDMilitary.com". Bangladesh Military Forces - BDMilitary.com. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
- ↑ Small Arms Survey (2007). "Armed Violence in Burundi: Conflict and Post-Conflict Bujumbura" (PDF). The Small Arms Survey 2007: Guns and the City. Cambridge University Press. p. 204. ISBN 978-0-521-88039-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-08-27. สืบค้นเมื่อ 2018-08-29.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 Marchington, James (2004). The Encyclopedia of Handheld Weapons. Lewis International, Inc. ISBN 1-930983-14-X.
- ↑ Hogg, Ian (2002). Jane's Guns Recognition Guide. Jane's Information Group. ISBN 0-00-712760-X.
- ↑ 10.0 10.1 "FINNISH ARMY 1918 - 1945: REVOLVERS & PISTOLS PART 2". www.jaegerplatoon.net. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 April 2018. สืบค้นเมื่อ 1 April 2018.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 "Modern Firearms". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2014. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
- ↑ Anders, Holger (June 2014). Identifier les sources d’approvisionnement: Les munitions de petit calibre en Côte d’Ivoire (PDF) (ภาษาฝรั่งเศส). Small Arms Survey and United Nations Operation in Côte d'Ivoire. p. 15. ISBN 978-2-940-548-05-7. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-10-09. สืบค้นเมื่อ 2018-09-05.
- ↑ Small Arms Survey (2012). "Blue Skies and Dark Clouds: Kazakhstan and Small Arms" (PDF). Small Arms Survey 2012: Moving Targets. Cambridge University Press. p. 131. ISBN 978-0-521-19714-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-08-31. สืบค้นเมื่อ 2018-08-30.
- ↑ "Lietuvos kariuomenė :: Ginkluotė ir karinė technika » Pistoletai". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 November 2014. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
- ↑ Small Arms Survey (2005). "Sourcing the Tools of War: Small Arms Supplies to Conflict Zones" (PDF). Small Arms Survey 2005: Weapons at War. Oxford University Press. p. 166. ISBN 978-0-19-928085-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-08-30. สืบค้นเมื่อ 2018-08-29.
- ↑ "Weapon". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 December 2014. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อESAA
- ↑ "Archived copy" (PDF). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-04.
{{cite web}}
: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์) - ↑ Smith, Chris (October 2003). In the Shadow of a Cease-fire: The Impacts of Small Arms Availability and Misuse in Sri Lanka (PDF). Small Arms Survey. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-07-05. สืบค้นเมื่อ 2017-11-07.
- ↑ Peter Abbott (1986). Modern African Wars (1) 1965-80. p. 10. ISBN 0850457289.