ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (อังกฤษ: UEFA Champions League) เป็นการแข่งขันฟุตบอลสโมสรประจำปีจัดโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) โดยแข่งขันระหว่างสโมสรฟุตบอลจากลีกสูงสุดในยุโรป ตัดสินผู้ชนะเลิศจากการแข่งขันผ่านรอบแบ่งกลุ่มแบบพบกันหมด ผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกแบบพบกันเหย้าเยือนสองนัดและรอบชิงชนะเลิศนัดเดียว ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกและเป็นการแข่งขันระดับสโมสรที่มีชื่อเสียงที่สุดในฟุตบอลยุโรป ซึ่งแข่งขันโดยแชมป์ลีกระดับประเทศ (และรองชนะเลิศอย่างน้อยหรือมากกว่าหนึ่งสโมสรสำหรับบางประเทศ) ของสมาคมระดับชาติของพวกเขา
![]() | |
ผู้จัด | ยูฟ่า |
---|---|
ก่อตั้ง | ค.ศ. 1955 (เปลี่ยนชื่อในปี ค.ศ. 1992) |
ภูมิภาค | ยุโรป |
จำนวนทีม | 32 (รอบแบ่งกลุ่ม) 80 (ทั้งหมด) |
ผ่านเข้าไปเล่นใน | ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ |
การแข่งขันที่เกี่ยวข้อง | ยูฟ่ายูโรปาลีก (ระดับที่ 2) ยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก (ระดับที่ 3) |
ทีมชนะเลิศปัจจุบัน | ![]() |
ทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุด | ![]() |
ผู้แพร่ภาพโทรทัศน์ | รายชื่อผู้ถ่ายทอดสด |
เว็บไซต์ | เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ |
![]() |
การแข่งขันเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1955 ในชื่อ Coupe des Clubs Champions Européens (ภาษาฝรั่งเศสของยูโรเปียนแชมเปียนคลับส์คัพ) และเรียกกันทั่วไปว่า ยูโรเปียนคัพ โดยเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออกระหว่างสโมสรที่เป็นแชมป์ลีกในประเทศของยุโรป โดยทีมที่ชนะเลิศถือเป็นแชมป์สโมสรยุโรป UFA การแข่งขันเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อปี ค.ศ. 1992 เพิ่มการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มแบบพบกันหมดเมื่อปี ค.ศ. 1991 และอนุญาตให้มีหลายสโมสรจากบางประเทศเข้าแข่งขันตั้งแต่ฤดูกาล 1997–1998[1] นับตั้งแต่นั้นมาก็มีการขยายให้มีหลายสโมสรเข้ามาแข่งขันมากขึ้น และในขณะที่ลีกระดับชาติของยุโรปส่วนใหญ่ยังสามารถเข้าผ่านตำแหน่งแชมป์ได้เท่านั้น แต่ลีกที่แข็งแกร่งที่สุดตอนนี้สามารถเข้าแข่งขันได้ถึงสี่ทีม[2][3] สโมสรที่จบอันดับรองลงมาจากลีกระดับชาติของพวกเขาและไม่ได้ผ่านเข้าไปแข่งขันในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มีสิทธิ์เข้าแข่งขันใน ยูฟ่ายูโรปาลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลยุโรประดับที่สอง และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021 สโมสรที่ไม่ได้ผ่านเข้าไปแข่งขันในยูฟ่ายูโรปาลีก จะมีสิทธิ์เข้าแข่งขันใน ยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลยุโรประดับที่สาม[4]
การแข่งขันรายการนี้จะเป็นการนำทีมที่มีคะแนนสะสมมากที่สุดของแต่ละลีกสูงสุดของแต่ละประเทศในทวีปยุโรปมาแข่งขันกัน โดยพิจารณาออกมาเป็นโควตาของแต่ละลีก พรีเมียร์ลีกจากอังกฤษ ลาลิกาจากสเปน เซเรียอาจากอิตาลี และ บุนเดิสลีกาจากเยอรมนี มีโควตาสี่ทีม ส่วน ลีกเอิงจากฝรั่งเศส มีโควตาสามทีมเป็นต้น ทั้งนี้ สโมสรที่ชนะเลิศมากที่สุด คือ เรอัลมาดริด (สเปน, 14 ครั้ง) อันดับสอง คือ เอซี มิลาน (อิตาลี, 7 ครั้ง) อันดับสาม คือ ลิเวอร์พูล (อังกฤษ, 6 ครั้ง) ไบเอิร์นมิวนิก (เยอรมนี, 6 ครั้ง) อันดับสี่ คือ บาร์เซโลนา (สเปน, 5 ครั้ง)
โดยสโมสรที่ชนะเลิศ 3 สมัยติดต่อกันหรือชนะเลิศครบ 5 สมัย จะได้รับถ้วยรางวัลไปเป็นกรรมสิทธิ์ของสโมสร เช่นเดียวกับถ้วยรางวัลอื่น ๆ ของยูฟ่า โดยที่ เรอัลมาดริด ได้ไปเมื่อ (ค.ศ. 1958), อายักซ์ (ค.ศ. 1973), ไบเอิร์นมิวนิก (ค.ศ. 1976), เอซี มิลาน (ค.ศ. 1994), ลิเวอร์พูล (ค.ศ. 2005), บาร์เซโลนา (ค.ศ. 2015)
ในฤดูกาลล่าสุด (2021-22) สโมสรที่ชนะเลิศ คือ เรอัลมาดริดและเป็นแชมป์สโมสรยุโรปสมัยที่ 14 ในรายการนี้ โดยเอาชนะ ลิเวอร์พูล ไป 1-0 ในเวลา 90 นาทีของนัดชิงชนะเลิศ
ประวัติ แก้ไข
การแข่งขันรายการนี้ ใช้ชื่อว่า ยูโรเปียนแชมเปียนคลับส์คัพ (European Champion Club's Cup) หรือชื่อย่อว่า ยูโรเปียนคัพ (European Cup) [5] เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1955 จากคำแนะนำของกาเบรียล อาโน ผู้สื่อข่าวกีฬาชาวฝรั่งเศส และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เลกิป (ฝรั่งเศส: L'Équipe) โดยการแข่งขันเริ่มต้นขึ้นใน ฤดูกาล 1955-56 โดยจัดการแข่งขันแบบเหย้าและเยือน ซึ่งกำหนดให้ทีมชนะเลิศในลีกสูงสุดของแต่ละประเทศในทวีปยุโรป จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้ จนกระทั่งใน ค.ศ. 1992 ยูฟ่าประกาศเปลี่ยนชื่อรายการยูโรเปียนคัพมาเป็น ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (UEFA Champions League) พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขัน ให้ทีมอันดับรองลงไปของแต่ละลีกสามารถเข้าแข่งขันได้ ซึ่งโควตาของแต่ละลีกจะมากน้อยอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับค่าสัมประสิทธิ์ของประเทศนั้น ๆ ในการแข่งขันฟุตบอลสโมสรยุโรป [6]
การจัดการแข่งขัน (ฤดูกาล 2018–19 ถึง 2020–21) แก้ไข
ในการจัดการแข่งขัน สโมสรที่ชนะยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจะได้สิทธิ์ลงเล่นในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 โดยอัตโนมัติ รวมถึง 7 สโมสรที่เป็นแชมป์ของลีกที่อยู่ในอันดับที่ 1-7 ก็จะได้สิทธิ์ลงเล่นในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 โดยอัตโนมัติด้วยเช่นกัน แต่ถ้าสโมสรที่ชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นแชมป์ของลีกที่อยู่ในอันดับที่ 1-7 จะให้สโมสรที่เป็นแชมป์ของลีกที่อยู่ในอันดับที่ 8 มาเล่นในรอบแบ่งกลุ่มและได้อยู่โถ 1 โดยอัตโนมัติแทน
สโมสรที่เข้ารอบนี้ | สโมสรจากรอบก่อนหน้า | ||
---|---|---|---|
รอบคัดเลือกก่อนรอบแรก (4 สโมสร) |
|
||
รอบคัดเลือกรอบแรก (34 สโมสร) |
|
| |
รอบคัดเลือกรอบสอง | ตัวแทนที่ชนะเลิศจากลีก (20 สโมสร) |
|
|
ตัวแทนจากลีก (6 สโมสร) |
|
||
รอบคัดเลือกรอบสาม | ตัวแทนที่ชนะเลิศจากลีก (12 สโมสร) |
|
|
ตัวแทนจากลีก (8 สโมสร) |
|
| |
รอบเพลย์ออฟ | ตัวแทนที่ชนะเลิศจากลีก (8 สโมสร) |
|
|
ตัวแทนจากลีก (4 สโมสร) |
| ||
รอบแบ่งกลุ่ม (32 สโมสร) |
|
| |
รอบแพ้คัดออก (16 สโมสร) |
|
รางวัล แก้ไข
ถ้วยและเหรียญ แก้ไข
การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ แก้ไข
ทำเนียบผู้ชนะเลิศ แก้ไข
ชนะเลิศ (จำแนกตามสโมสร) แก้ไข
สโมสร | ชนะเลิศ | รองชนะเลิศ | ปีที่ชนะเลิศ | ปีที่ได้รองชนะเลิศ |
---|---|---|---|---|
เรอัลมาดริด | 14 | 3 | 1956, 1957, 1958, 1959, 1960, 1966, 1998, 2000, 2002, 2014, 2016, 2017, 2018, 2022 | 1962, 1964, 1981 |
มิลาน | 7 | 4 | 1963, 1969, 1989, 1990, 1994, 2003, 2007 | 1958, 1993, 1995, 2005 |
ไบเอิร์นมิวนิก | 6 | 5 | 1974, 1975, 1976, 2001, 2013, 2020 | 1982, 1987, 1999, 2010, 2012 |
ลิเวอร์พูล | 6 | 4 | 1977, 1978, 1981, 1984, 2005, 2019 | 1985, 2007, 2018, 2022 |
บาร์เซโลนา | 5 | 3 | 1992, 2006, 2009, 2011, 2015 | 1961, 1986, 1994 |
อายักซ์ | 4 | 3 | 1971, 1972, 1973, 1995 | 1969, 1996 |
อินเตอร์ | 3 | 3 | 1964, 1965, 2010 | 1967, 1972, 2023 |
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 3 | 2 | 1968, 1999, 2008 | 2009, 2011 |
ยูเวนตุส | 2 | 7 | 1985, 1996 | 1973, 1983, 1997, 1998, 2003, 2015, 2017 |
ไบฟีกา | 2 | 5 | 1961, 1962 | 1963, 1965, 1968, 1988, 1990 |
เชลซี | 2 | 1 | 2012, 2021 | 2008 |
นอตทิงแฮมฟอเรสต์ | 2 | 0 | 1979, 1980 | — |
โปร์ตู | 2 | 0 | 1987, 2004 | — |
เซลติก | 1 | 1 | 1967 | 1970 |
ฮัมบวร์ค | 1 | 1 | 1983 | 1980 |
สเตอัวบูคูเรสตี | 1 | 1 | 1986 | 1989 |
มาร์แซย์ | 1 | 1 | 1993 | 1991 |
โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ | 1 | 1 | 1997 | 2013 |
แมนเชสเตอร์ซิตี | 1 | 1 | 2023 | 2021 |
ไฟเยอโนร์ด | 1 | 0 | 1970 | — |
แอสตันวิลลา | 1 | 0 | 1982 | — |
เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน | 1 | 0 | 1988 | — |
เรดสตาร์เบลเกรด | 1 | 0 | 1991 | — |
อัตเลติโกเดมาดริด | 0 | 3 | — | 1974, 2014, 2016 |
แร็งส์ | 0 | 2 | — | 1956, 1959 |
บาเลนเซีย | 0 | 2 | — | 2000, 2001 |
ฟีออเรนตีนา | 0 | 1 | — | 1957 |
ไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟูร์ท | 0 | 1 | — | 1960 |
ปาร์ติซาน | 0 | 1 | — | 1966 |
ปานาซีไนโกส | 0 | 1 | — | 1971 |
ลีดส์ยูไนเต็ด | 0 | 1 | — | 1975 |
แซ็งเตเตียน | 0 | 1 | — | 1976 |
โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค | 0 | 1 | — | 1977 |
กลึบบรึคเคอ | 0 | 1 | — | 1978 |
มัลเมอ | 0 | 1 | — | 1979 |
โรมา | 0 | 1 | — | 1984 |
ซัมป์โดเรีย | 0 | 1 | — | 1992 |
ไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซิน | 0 | 1 | — | 2002 |
มอนาโก | 0 | 1 | — | 2004 |
อาร์เซนอล | 0 | 1 | — | 2006 |
ทอตนัมฮอตสเปอร์ | 0 | 1 | — | 2019 |
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง | 0 | 1 | — | 2020 |
ชนะเลิศ (จำแนกตามชาติ) แก้ไข
ทำประตูสูงสุด แก้ไข
- ณ วันที่ 07 กรกฎาคม ค.ศ. 2023
ผู้เล่น | ประเทศ | ประตู | ลงเล่น | อัตราส่วน | ปี | สโมสร | |
---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | คริสเตียโน โรนัลโด | โปรตุเกส | 140 | 183 | 0.77 | 2003–2022 | Manchester United, Real Madrid, Juventus |
2 | ลิโอเนล เมสซิ | อาร์เจนตินา | 129 | 163 | 0.79 | 2005–2023 | Barcelona, Paris Saint-Germain |
3 | รอแบร์ต แลวันดอฟสกี | โปแลนด์ | 91 | 111 | 0.82 | 2011- | Borussia Dortmund, Bayern Munich, Barcelona |
4 | การีม แบนเซมา | ฝรั่งเศส | 90 | 152 | 0.59 | 2005-2023 | Lyon, Real Madrid |
5 | ราอุล กอนซาเลซ | สเปน | 71 | 142 | 0.5 | 2006–2023 | Real Madrid, Schalke 04 |
6 | รืด ฟัน นิสเติลโรย | เนเธอร์แลนด์ | 56 | 73 | 0.77 | 1998–2009 | PSV, Manchester United, Real Madrid |
7 | ตีแยรี อ็องรี | ฝรั่งเศส | 50 | 112 | 0.45 | 1997–2010 | Monaco, Arsenal, Barcelona |
8 | อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน | อาร์เจนตินา | 49 | 58 | 0.84 | 1955–64 | Real Madrid |
9 | อันดรีย์ เชฟเชนโค | ยูเครน | 48 | 100 | 0.48 | 1994–2012 | Dynamo Kyiv, Milan, Chelsea |
ซลาตัน อีบราฮีมอวิช | สวีเดน | 48 | 120 | 0.4 | 2001– | Ajax, Juventus, Internazionale, Barcelona, Milan, Paris Saint-Germain, Manchester United |
ตัวหนา หมายถึง นักเตะที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ลงเล่นสูงสุด แก้ไข
- ณ วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2020
ผู้เล่น | ประเทศ | ลงเล่น | ปี | สโมสร | |
---|---|---|---|---|---|
1 | คริสเตียโน โรนัลโด | โปรตุเกส | 178 | 2003–2022 | Manchester United, Real Madrid, Juventus |
2 | อีเกร์ กาซียัส | สเปน | 177 | 1999–2019 | Real Madrid, Porto |
3 | ชาบี อาร์นันดัส | สเปน | 151 | 1998–2015 | Barcelona |
4 | ลิโอเนล เมสซิ | อาร์เจนตินา | 143 | 2005–2023 | Barcelona,Paris Saint-Germain |
5 | ราอุล กอนซาเลซ | สเปน | 142 | 1995–2011 | Real Madrid, Schalke 04 |
6 | ไรอัน กิกส์ | เวลส์ | 141 | 1993–2014 | Manchester United |
7 | อันเดรส อินิเอสตา | สเปน | 130 | 2002–2018 | Barcelona |
8 | คลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ | เนเธอร์แลนด์ | 125 | 1994–2012 | Ajax, Real Madrid, Internazionale, Milan |
9 | พอล สโกลส์ | อังกฤษ | 124 | 1994–2013 | Manchester United |
เซร์ฆิโอ ราโมส | สเปน | 2005– | Real Madrid,Paris Saint-Germain |
ตัวหนา หมายถึง นักเตะที่ยังเล่นฟุตบอลอยู่ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ดูเพิ่ม แก้ไข
อ้างอิง แก้ไข
- ↑ "Football's premier club competition". UEFA. 31 January 2010. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
- ↑ "Clubs". UEFA. 12 May 2020. สืบค้นเมื่อ 12 May 2020.
- ↑ "UEFA Europa League further strengthened for 2015–18 cycle" (Press release). UEFA. 24 May 2013. สืบค้นเมื่อ 2 August 2013.
- ↑ "UEFA Executive Committee approves new club competition" (Press release). UEFA. 2 December 2018. สืบค้นเมื่อ 2 December 2018.
- ↑ García, Javier; Kutschera, Ambrosius; Schöggl, Hans; Stokkermans, Karel (2009). "Austria/Habsburg Monarchy – Challenge Cup 1897–1911". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. สืบค้นเมื่อ 5 September 2011.
- ↑ Ceulemans, Bart; Michiel, Zandbelt (2009). "Coupe des Nations 1930". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. สืบค้นเมื่อ 5 September 2011.