แมนเชสเตอร์
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
แมนเชสเตอร์ (อังกฤษ: Manchester, /ˈmæntʃɪstə(r), -tʃɛs-/ )[1][2] เป็นนครและโบโรมหานคร ในเทศมณฑลเกรเทอร์แมนเชสเตอร์ ตอนเหนือของประเทศอังกฤษ มีประชากรโดยประมาณ 563,000 คนในปี ค.ศ 2022[3] เมืองนี้ตั้งอยู่ในเขตมหานครเกรเทอร์แมนเชสเตอร์ซึ่งมีประชากรรวมราว 2.9 ล้านคน[4] ถือเป็นเขตเมืองที่มีประชากรมากเป็นที่สุดอันดับสองของสหราชอาณาจักร[5] แมนเชสเตอร์ติดต่อกับที่ราบเชชเชอร์ทางทิศใต้ ติดต่อกับเทือกเขาเพนไนน์ทางทิศเหนือและทิศตะวันออก ตัวเมืองของแมนเชสเตอร์นั้นมีแนวโน้มขยายตัวเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยมีสภานครแมนเชสเตอร์ เป็นหน่วยงานการปกครองส่วนท้องถิ่น
แมนเชสเตอร์ Manchester | |
---|---|
นคร และโบโรมหานคร | |
![]() ตามเข็มนาฬิกาจากด้านบน: เมืองจากระยะไกล, บีดัมทาวเวอร์, ศาลแพ่งแมนเชสเตอร์, โรงแรมมิดแลนด์, วันแอนเจิลสแควร์, ศาลาว่าการเมืองแมนเชสเตอร์ | |
สมญา: "คอตโตนอโพลิส", "แวร์เฮาส์ ซิตี", แมดเชสเตอร์, "เดอะ เรนนี ซิตี" | |
คำขวัญ: "Concilio Et Labore" "ด้วยปัญญาและอุตสาหะ" | |
![]() แผนที่แสดงตำแหน่งของแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ | |
ประเทศ | สหราชอาณาจักร |
แคว้น | อังกฤษ |
ภาค | นอร์ทเวสต์อิงแลนด์ |
เทศมณฑลทางพิธีการ | เกรตเตอร์แมนเชสเตอร์ |
ก่อตั้ง | คริสต์ศตวรรษที่ 1 |
ได้สถานะเมือง | ค.ศ. 1301 |
ได้สถานะนคร | 29 มีนาคม ค.ศ. 1853 |
การปกครอง | |
• สภาปกครอง | สภานครแมนเชสเตอร์ |
พื้นที่ | |
• นคร | 44.7 ตร.กม. (17.3 ตร.ไมล์) |
• เขตเมือง | 243.4 ตร.กม. (94.0 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 38 เมตร (125 ฟุต) |
ประชากร (กลางปี ค.ศ. 2016) | |
• นคร | 541,300 คน |
• ความหนาแน่น | 12,000 คน/ตร.กม. (31,000 คน/ตร.ไมล์) |
• เขตเมือง | 2,553,379 คน |
• รวมปริมณฑล | 2,794,000 คน |
• เชื้อชาติ |
|
เดมะนิม | แมนคูเนียน (Mancunian) |
เขตเวลา | เวลามาตรฐานกรีนิช |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+1 (เวลาฤดูร้อนบริเตน) |
เขตรหัสไปรษณีย์ | M, WA (บางส่วน) |
เขตรหัสโทรศัพท์ | 0161 |
รหัส ISO 3166 | GB-MAN |
เว็บไซต์ | manchester.gov.uk |
บันทึกประวัติศาสตร์ของแมนเชสเตอร์เริ่มต้นจากการตั้งถิ่นฐานและการก่อสร้างป้อมปราการในยุคโรมัน ชื่อว่า มามูคิอุม หรือ แมนคูเนียม ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 79 ปีหลังคริสตกาล บริเวณเนินเขาใกล้จุดบรรจบของแม่น้ำเมดล็อกกับแม่น้ำเออร์เวลล์ ซึ่งอยู่ในเทศมณฑลแลงคาเชอร์ในขณะนั้น ซึ่งต่อมาพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำเมอร์ซีย์ได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นเชสเชียร์ในช่วงศตวรรษที่ 20[6] ตลอดเวลาในยุคกลาง แมนเชสเตอร์ยังคงเป็นเมืองแมนเนอร์เล็ก ๆ แต่เริ่มขยายตัวขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เมื่อราวย่างเข้าศตวรรษที่ 19 ความเจริญรุ่งเรืองจากการผลิตสิ่งทอในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้มีการพัฒนาของเมืองอย่างรวดเร็ว[7] และส่งผลให้แมนเชสเตอร์กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลก[8]
แมนเชสเตอร์ได้รับฐานะนครเมื่อปี ค.ศ. 1853 ซึ่งเป็นนครของอังกฤษแห่งในรอบสามร้อยปี คลองเดินเรือสมุทรแมนเชสเตอร์ ซึ่งเป็นคลองเดินเรือที่ยาวที่สุดในโลกในขณะนั้น เปิดใช้ในปี ค.ศ. 1894 ทำให้มีท่าเรือแมนเชสเตอร์ เชื่อมต่อเมืองไปยังทะเลเป็นระยะทาง 36 ไมล์ (58 กิโลเมตร) ไปทางทิศตะวันตก ความเจริญมั่งคั่งได้ซบเซาลงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องมาจากการเลิกสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิต (en:deindustrialisation) แต่การลงทุนได้กลับมาเริ่มต้นจากเหตุระเบิดในแมนเชสเตอร์ ค.ศ. 1996 ซึ่งนำไปสู่การฟื้นฟูเมืองครั้งใหญ่
ในปี ค.ศ. 2014 เครือข่ายวิจัยโลกาภิวัฒน์และนครโลก (en:Globalization and World Cities Research Network) ได้จัดแมนเชสเตอร์เป็นนครโลกระดับบีตา และทำให้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ หากไม่นับลอนดอน[9] แมนเชสเตอร์เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเยือนมากที่สุดอันดับสามในสหราชอาณาจักร รองจากลอนดอน และเอดินบะระ[10] และได้การยอมรับจากหลายฝ่ายว่าเป็นเมืองรองของสหราชอาณาจักร[11][12] แมนเชสเตอร์เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงจากการกีฬา ขนส่ง ดนตรี ธุรกิจขนาดใหญ่ ผลผลิตทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม วัฒนธรรม ศิลปะ สถาปัตยกรรม สื่อ และอุตสาหกรรม มีสถานีรถไฟแมนเชสเตอร์ลิเวอร์พูลโรดเป็นสถานีรถไฟขนส่งผู้โดยสารระหว่างเมืองแห่งแรกของโลก และมีนักวิทยาศาสตร์ในเมืองที่แยกอะตอมได้เป็นครั้งแรก และพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบเก็บโปรแกรมได้ (en:Manchester Small-Scale Experimental Machine) เครื่องแรกของโลก
ชื่อเมือง
แก้ชื่อแมนเชสเตอร์มาจากชื่อในภาษาละติน คือ Mamucium หรือ Mancunium ซึ่งยังคงเป็นคำที่ใช้เรียกชาวเมืองแมนเชสเตอร์อยู่ คือ แมนคูเนียน (Mancunians, /mæŋkˈjuːnɪənz/) มีการสันนิษฐานว่าเป็นการถอดคำเดิมในภาษาไบรโตนิกเป็นอักษรละติน ซึ่งอาจมาจากคำว่า mamm- ("เต้านม" หมายถึง "เนินรูปเต้านม") หรืออาจมาจากคำว่า mamma ("แม่" หมายถึง เทพธิดาแห่งแม่น้ำเมดล็อก) โดยความหมายทั้งสองปรากฏในภาษาที่สืบทอดมาจากภาษาไบรโตนิก นั่นคือ คำว่า mam หมายถึง "เต้านม" ในภาษาไอริช และหมายถึง "แม่" ในภาษาเวลส์[13] และมีการเติมคำปัจจัย -chester ซึ่งมาจากคำในภาษาอังกฤษเก่า คือ ceaster ("ป้อมปราการ; เมืองที่มีกำแพงป้องกัน")[14]
ประวัติศาสตร์
แก้ประวัติศาสตร์ยุคเริ่มต้น
แก้แมนเชสเตอร์ไม่มีหลักฐานการอยู่อาศัยของยุคก่อนประวัติศาสตร์มากนัก มีเพียงการค้นพบชุมชนกสิกรรมขนาดใหญ่ระหว่างการก่อสร้างลานวิ่งที่สองของท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์[15]
มีการตั้งรกรากในแมนเชสเตอร์แล้วในยุคโรมันเป็นอย่างช้า[16] นายพลโรมัน ไนอุส ยูลิอุส อากริโคลา (Gnaeus Julius Agricola) ได้ก่อสร้างป้อมที่มีชื่อว่า มามูคิอุม ราว 70 ปีหลังคริสตกาล ที่บริเวณเนินเขา ซึ่งแม่น้ำเมดลอกและแม่น้ำเออร์เวลล์ มาบรรจบกัน ฐานของป้อมรุ่นสุดท้ายยังคงปรากฏอยู่ที่คาสเซิลฟิลด์ ชาวโรมันถอนตัวออกในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 และการตั้งถิ่นฐานได้ย้ายไปยังจุดที่แม่น้ำเออร์เวลล์และแม่น้ำเอิร์กบรรจบกันตั้งแต่ก่อนชัยชนะของชาวนอร์แมนที่อังกฤษในปีพ.ศ. 1609[17]
โทมัส เดอลาแวร์ เจ้าคฤหาสน์ ได้ก่อตั้งโบสถ์ของวิทยาลัยขึ้นสำหรับตำบลในปีพ.ศ. 1964 โดยปัจจุบันเป็นมหาวิหารแมนเชสเตอร์ และสถานที่วิทยาลัยได้เป็นที่ตั้งของห้องสมุดเชแทมและโรงเรียนดนตรีเชเทม[15][17]
ราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 แมนเชสเตอร์มีช่างทอผ้าชาวฟลามส์ไหลบ่ามาจำนวนมาก โดยมักถือว่าเป็นรากฐานของอุตสาหกรรมสิ่งทอในภูมิภาค[18] แมนเชสเตอร์กลายมาเป็นศูนย์กลางสำคัญของการผลิตและค้าขายขนแกะและลินิน
เริ่มมีการใช้ฝ้ายปริมาณมากในช่วงเริ่มต้นศตวรรษที่ 17 โดยเริ่มต้นที่ผ้าฝ้ายผสมลินินเนื้อหยาบ แต่เมื่อประมาณกลางศตวรรษที่ 18 ผ้าฝ้ายบริสุทธิ์ก็เริ่มมีการผลิตและก็ได้เป็นวัสดุสำคัญแทนที่ขนสัตว์[17] แม่น้ำเออร์เวลล์และเมอร์ซีย์สามารถแล่นเรือผ่านได้ในปี พ.ศ. 2279 เปิดเส้นทางจากแมนเชสเตอร์ไปยังท่าเรือนฝั่งเมอร์ซีย์ คลองบริดจ์วอเทอร์ (Bridgewater canal) เปิดใช้ในปี พ.ศ. 2304 นำถ่านหินจากเหมืองที่เวอร์สลีย์มายังใจกลางแมนเชสเตอร์ คลองนี้ขยายต่อไปยังเมอร์ซีย์ในปีพ.ศ. 2319 การแข่งขันและประสิทธิภาพที่พัฒนาขึ้นทำให้ต้นทุนถ่านหินและค่าขนส่งฝ้ายดิบลดลงถึงครึ่งหนึ่ง[17][15] แมนเชสเตอร์กลายมาเป็นตลาดสำคัญของสิ่งทอจากเมืองรอบๆ[17] ตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า เปิดขึ้นในปีพ.ศ. 2272[19] และคลังสินค้าจำนวนมาก ช่วยพัฒนาการพานิชย์ของเมือง ในปีพ.ศ. 2323 ริชาร์ด อาร์กไรท์ (Richard Arkwright) เริ่มก่อสร้างโรงฝ้ายแห่งแรกของแมนเชสเตอร์[15][19]
การปฏิวัติอุตสาหกรรม
แก้การปั่นฝ้ายส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่แลงคาเชอร์ใต้และเชสเชอร์เหนือ เขตรอบนอกของแมนเชสเตอร์ และในช่วงหนึ่งแมนเชสเตอร์ได้เป็นศูนย์กลางการผลิตฝ้ายที่มีการผลิตมากที่สุด[20] และในเวลาต่อมา เป็นตลาดสินค้าฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก[17][21] แมนเชสเตอร์มีฉายาว่า "คอตตอโนโพลิส" และ "แวร์เฮาส์ซิตี" ในยุควิกตอเรีย[20]
แมนเชสเตอร์พัฒนาอุตสาหกรรมในหลากหลายสาขา ทำให้ได้รับยกย่องว่า ในปี พ.ศ. 2378 "แมนเชสเตอร์เป็นเมืองอุตสาหกรรมแรกและที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างไม่มีข้อสงสัย"[21] ธุรกิจทางวิศวกรรมเริ่มแรกเกี่ยวข้องกับการค้าฝ้าย แต่ภายหลังขยายไปยังการผลิตทั่วไป อุตสาหกรรมเคมีก็เริ่มต้นจากการผลิตน้ำยาฟอกสีและย้อมสี และจึงขยายไปยังสาขาอื่น การค้าขายได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจการเงิน เช่น การธนาคารและการประกันภัย การค้าขายและประชากรที่เพิ่มขึ้นจำเป็นต้องมีระบบขนส่งและจัดจำหน่าย ทำให้มีการขยายระบบคลอง และแมนเชสเตอร์กลายมาเป็นเมืองปลายทางหนึ่งในทางรถไฟโดยสารระหว่างเมืองสายแรกของโลก นั่นคือทางรถไฟลิเวอร์พูล-แมนเชสเตอร์ การแข่งขันระหว่างการขนส่งหลากหลายรูปแบบทำให้ต้นทุนการขนส่งต่ำ[17] ในปีพ.ศ. 2421 จีพีโอ หรือสำนักงานไปรษณีย์ ให้บริการโทรศัพท์ครั้งแรกกับบริษัทในแมนเชสเตอร์[22]
มีการขุดคลอง แมนเชสเตอร์ ชิป เคอนาล (Manchester Ship Canal) ช่วยให้เรือจากมหาสมุทรตรงเข้าสู่ท่าเรือแมนเชสเตอร์ได้ โดยนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลกเกิดขึ้นบนชายฝั่งคลองนี้ที่แทรฟฟอร์ดพาร์ก[17] ในฐานะศูนย์กลางของระบอบทุนนิยม ก็ได้มีการจลาจลจากกลุ่มชนชั้นแรงงาน แมนเชสเตอร์เป็นหัวข้อศึกษาในเรื่อง ความเป็นอยู่ของชนชั้นแรงงานในอังกฤษ (Die Lage derarbeitenden Klasse in England) ของฟรีดริช เองเงิลส์ โดยเองเงิลส์ได้ใช้เวลาพอสมควรในและรอบๆแมนเชสเตอร์[23] จำนวนโรงปั่นฝ้ายในแมนเชสเตอร์ขึ้นถึงจุดสูงสุด 108 แห่งในปีพ.ศ. 2396[20] ในปีพ.ศ. 2456 ร้อยละ 65 ของฝ้ายในโลกผลิตขึ้นในบริเวณนี้ แต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งลดโอกาสการส่งออกในเวลาต่อมา[17]
สงครามโลกครั้งที่สอง
แก้บริเวณแมนเชสเตอร์มีการระดมกำลังอย่างหนัก เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆของสหราชอาณาจักรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แมนเชสเตอร์เป็นเป้าหมายหลักแห่งหนึ่งของกองทัพอากาศเยอรมนี และการโจมตีทางอากาศได้ขยายไปยังเป้าหมายพลเรือนด้วย พื้นที่ส่วนใหญ่ของศูนย์กลางเมืองถูกทำลาย มีผู้เสียชีวิต 376 คนและบ้านถึง 30,000 หลัง[24] มหาวิหารแมนเชสเตอร์เป็นที่หนึ่งที่โดนโจมตีอย่างหนัก โดยต้องใช้เวลาฟื้นฟูถึง 20 ปี[25]
หลังจากสงครามสงบลง อุตสาหกรรมและการค้าฝ้ายยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และตลาดแลกเปลี่ยนได้ปิดตัวลงในพ.ศ. 2511[17] ในปีพ.ศ. 2506 ท่าเรือแมนเชสเตอร์เป็นท่าเรืออันดับสามของประเทศ[26] มีการจ้างงานกว่า 3,000 คน แต่คลองไม่สามารถรองรับเรือบรรทุกขนาดใหญ่ได้ การจราจรจึงลดลง และท่าเรือต้องปิดในปีพ.ศ. 2525[27] อุตสาหกรรมหนักซบเซาลงตั้งแต่ช่วงหลังปีพ.ศ. 2500 และลดจำนวนลงอย่างมากหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจในรัฐบาลของมาร์กาเรต แทตเชอร์ (ตั้งแต่พ.ศ. 2522) แมนเชสเตอร์มีงานน้อยลงถึง 150,000 งานระหว่างปีพ.ศ. 2504 และ 2526[17]
การฟื้นฟูเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2530 โดยมีสิ่งใหม่ๆเช่น เมโทรลิงก์ บริดจ์วอเทอร์คอนเสิร์ตฮอลล์ และแมนเชสเตอร์อีฟนิงนิวส์อารีนา การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเพิ่มชื่อเสียงในต่างประเทศ[28]
เหตุการณ์ระเบิด
แก้วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2540 กลุ่มกองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (ไออาร์เอ หรือพีไออาร์เอ) วางระเบิดขนาดใหญ่ใกล้ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 200 คน สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่อาคารโดยรอบ มีการจ่ายเงินประกันภัยสูงถึงกว่าสี่ร้อยล้านปอนด์[29]
จากการลงทุนหลังเหตุระเบิดและคอมมอนเวลท์เกมส์ครั้งที่ 17 ศูนย์กลางของเมืองแมนเชสเตอร์ได้มีการปฏิรูปหลายสิ่ง[28] มีหลายแห่งที่สร้างขึ้นหรือปรับปรุงใหม่ และได้กลายมาเป็นแหล่งชอปปิ้งและบันเทิงยอดนิยม แมนเชสเตอร์แอมเดลเป็นศูนย์การค้ากลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร[30]
การปกครอง
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ภูมิศาสตร์
แก้แผนภูมิแสดงสภาพภูมิอากาศของ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แมนเชสเตอร์ (วิธีอ่าน) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
แมนเชสเตอร์ตั้งอยู่ที่พิกัด 53°28′0″N 2°14′0″W / 53.46667°N 2.23333°W ห่างจากกรุงลอนดอนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือระยะทาง 160 ไมล์ (260 กิโลเมตร) ตั้งอยู่ในพื้นที่แอ่งกระทะติดต่อกับเทือกเขาเพนไนน์ทางทิศเหนือและทิศตะวันออก เป็นเทือกเขาที่พาดตัวไปตามนอร์ทเทิร์นอิงแลนด์ และติตด่อกับที่ราบเชสเชอร์ทางทิศใต้ แมนเชสเตอร์อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของลิเวอร์พูล 35.0 ไมล์ (56.3 กิโลเมตร) และอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเชฟฟีลด์ 35.0 ไมล์ (56.3 กิโลเมตร) ทำให้นครแห่งนี้อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองนคร ใจกลางเมืองแมนเชสเตอร์อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแมน้ำเออร์เวลล์ ใกล้จุดบรรจบกับแม่น้ำเมดล็อกและแม่น้ำเอิร์ก และอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างต่ำ คือ อยู่ระหว่าง 35 เมตร ถึง 42 เมตร (115 ฟุต ถึง 138 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล[31] แม่น้ำเมอร์ซีย์ไหลผ่านทางใต้ของแมนเชสเตอร์ ส่วนมากของเมืองชั้นใน โดยเฉพาะทางใต้ที่เป็นที่ราบ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเชิงเขาและทุ่งโล่งของเทือกเขาเพนไนนส์จากตึกสูงหลายที่ในเมือง ซึ่งมักจะปกคลุมด้วยหิมะในฤดูหนาว ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของแมนเชสเตอร์มีอิทธิพลอย่างมากในการพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลก ซึ่งก็คือสภาพอากาศ ความใกล้ชิดกับท่าเรือทะเลของลิเวอร์พูล การใช้พลังงานจากแม่น้ำ และแหล่งสำรองถ่านหินที่อยูใกล้เคียง[32]
ข้อมูลภูมิอากาศของท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์ ค่าระดับ: 69 m หรือ 226 ft (1981-2010) extremes (1958-2004) | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 14.3 (57.7) |
16.5 (61.7) |
21.7 (71.1) |
25.1 (77.2) |
26.7 (80.1) |
31.3 (88.3) |
32.2 (90) |
33.7 (92.7) |
28.4 (83.1) |
25.6 (78.1) |
17.7 (63.9) |
15.1 (59.2) |
33.7 (92.7) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 7.3 (45.1) |
7.6 (45.7) |
10.0 (50) |
12.6 (54.7) |
16.1 (61) |
18.6 (65.5) |
20.6 (69.1) |
20.3 (68.5) |
17.6 (63.7) |
13.9 (57) |
10.0 (50) |
7.4 (45.3) |
13.5 (56.3) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 4.5 (40.1) |
4.6 (40.3) |
6.7 (44.1) |
8.8 (47.8) |
11.9 (53.4) |
14.6 (58.3) |
16.6 (61.9) |
16.4 (61.5) |
14.0 (57.2) |
10.7 (51.3) |
7.1 (44.8) |
4.6 (40.3) |
10.0 (50) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 1.7 (35.1) |
1.6 (34.9) |
3.3 (37.9) |
4.9 (40.8) |
7.7 (45.9) |
10.5 (50.9) |
12.6 (54.7) |
12.4 (54.3) |
10.3 (50.5) |
7.4 (45.3) |
4.2 (39.6) |
1.8 (35.2) |
6.6 (43.9) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | -12.0 (10.4) |
-13.1 (8.4) |
-9.7 (14.5) |
-4.9 (23.2) |
-1.7 (28.9) |
0.8 (33.4) |
5.4 (41.7) |
3.6 (38.5) |
0.8 (33.4) |
-4.7 (23.5) |
-7.5 (18.5) |
-13.5 (7.7) |
−13.5 (7.7) |
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) | 72.3 (2.846) |
51.4 (2.024) |
61.2 (2.409) |
54.0 (2.126) |
56.8 (2.236) |
66.1 (2.602) |
63.9 (2.516) |
77.0 (3.031) |
71.5 (2.815) |
92.5 (3.642) |
81.5 (3.209) |
80.7 (3.177) |
828.8 (32.63) |
ความชื้นร้อยละ | 87 | 86 | 85 | 85 | 85 | 87 | 88 | 89 | 89 | 89 | 88 | 87 | 88 |
วันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย (≥ 1.0 mm) | 13.1 | 9.7 | 12.3 | 11.2 | 10.4 | 11.1 | 10.9 | 12.0 | 11.1 | 13.6 | 14.1 | 13.5 | 142.9 |
วันที่มีหิมะตกโดยเฉลี่ย | 6 | 5 | 3 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 3 | 20 |
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด | 52.5 | 73.9 | 99.0 | 146.9 | 188.3 | 172.5 | 179.7 | 166.3 | 131.2 | 99.3 | 59.5 | 47.1 | 1,416.2 |
แหล่งที่มา 1: Met Office[33] NOAA (relative humidity and snow days 1961-1990)[34] | |||||||||||||
แหล่งที่มา 2: KNMI[35] |
ประชากรศาสตร์
แก้เปรียบเทียบข้อมูลประชากร[36][37] | |||
---|---|---|---|
สำมะโนประชากร 2544 | แมนเชสเตอร์ | มหานครแมนเชสเตอร์ (Greater Manchester) |
อังกฤษ |
ประชากรทั้งหมด | 441,200 | 2,547,700 | 49,138,831 |
เกิดในต่างประเทศ | 15.0% | 7.2% | 9.2% |
ผิวขาว | 81.0% | 91.0% | 91.0% |
เอเชีย | 9.1% | 5.7% | 4.6% |
ผิวดำ | 4.5% | 1.2% | 2.3% |
อายุ 75 ปีขึ้นไป | 6.4% | 7.0% | 7.5% |
คริสต์ | 62.4% | 74% | 72% |
มุสลิม | 9.1% | 5.0% | 3.1% |
จากการสำรวจจำนวนประชากรในปีพ.ศ. 2544 แมนเชสเตอร์มีประชากร 392,819 คน ลดลงจากปีพ.ศ. 2534 9.2 เปอร์เซนต์ ในจำนวนนี้ ประมาณ 8.3 หมื่นคนอายุต่ำกว่า 16 ปี 2.85 แสนคนอายุระหว่าง 16-74 ปี และ 2.5 หมื่นคนอายุ 75 ปีขึ้นไป[38]
75.9 เปอร์เซนต์ของประชากรแมนเชสเตอร์ระบุว่าตนเกิดในสหราชอาณาจักร แมนเชสเตอร์มีอัตราการจ้างงานต่อประชากรต่ำเป็นลำดับสองของสหราชอาณาจักร โดยให้เหตุผลว่า มีประชากรที่เป็นนักศึกษาจำนวนมาก[38] จากการประมาณการกลางปี พ.ศ. 2549 แมนเชสเตอร์มีประชากรประมาณ 4.52 แสนคน เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในอังกฤษตะวันตกเฉียงเหนือ[39] ในประวัติศาสตร์ ประชากรของแมนเชสเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงยุควิกตอเรีย โดยพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 766,311 ในปีพ.ศ. 2474 ก่อนที่จะลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น[40]
เศรษฐกิจ
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สถานที่สำคัญ
แก้ตึกและอาคารของแมนเชสเตอร์มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่รูปแบบวิกตอเรีย ไปจนถึงรูปแบบร่วมสมัย การใช้อิฐแดงอย่างแพร่หลายทำให้เกิดลักษณะเฉพาะของเมือง ซึ่งสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เกิดจากสมัยที่แมนเชสเตอร์เป็นศูนย์กลางการค้าฝ้ายที่สำคัญของโลก[15]
บริเวณนอกใจกลางเมืองแมนเชสเตอร์ มีอดีตโรงงานผลิตฝ้ายจำนวนมากซึ่งบางแห่งถูกทิ้งร้างนับตั้งแต่ปิดตัวลง ในขณะที่หลายแห่งได้รับการปรับปรุงใหม่กลายเป็นอพาร์ตเมนต์และสำนักงาน
ศาลาว่าการแมนเชสเตอร์ในจัตุรัสอัลเบิร์ตถูกสร้างขึ้นในสถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิก และถูกมองว่าเป็นอาคารรูปแบบวิกตอเรียที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ[41]
แมนเชสเตอร์มีตึกระฟ้าจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1960 และ ค.ศ. 1970 ซึ่งตึกที่สูงที่สุดในปัจจุบัน คือ Deansgate Square South Tower มีความสูง 201 เมตร
การขนส่ง
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วัฒนธรรม
แก้แมนเชสเตอร์มีชื่อเสียงมากในเรื่องชีวิตกลางคืน วัฒนธรรมคลับดีเจสมัยใหม่เริ่มขึ้นที่เมืองนี้ และคลับที่นี่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ การเริ่มต้นของดนตรีเฮาส์ แมดเชสเตอร์ซาวนด์ (Madchester sound) และดนตรีแนว Ibiza
ในเมืองมีโรงละคร ศูนย์แสดงงานศิลปะ และพิพิธภัณฑ์จำนวนมาก
ยกเว้นลอนดอนแล้ว แมนเชสเตอร์มีประชากรเกย์และเลสเบี้ยนมากที่สุดในประเทศ
ดนตรี
แก้วงดนตรีที่มีชื่อเสียงจากฉากดนตรีของแมนเชสเตอร์ ได้แก่ แวนเดอร์กราฟเจเนอเรเตอร์, โอเอซิส, เดอะสมิทส์, จอยดิวิชัน และวงสืบต่ออย่าง นิวออร์เดอร์, บัซค็อกส์, เดอะสโตนโรสเซส, เดอะฟอลล์, เดอะดูรุตตีคอลัมน์, เท็นซีซี, ก็อดลีย์แอนด์ครีม, เดอะเวิร์ฟ, เอลโบว์, โดฟส์, เดอะชาร์ลาทันส์, เอ็มพีเพิล, เดอะไนน์ทีนเซเวนตีไฟฟ์, ซิมพลีเรด, บลอสซัมส์, เทกแดต, ดัตช์อังเคิล, เอฟรีทิงเอฟรีทิง, คอร์ตทีนเนอส์, เพลเวฟส์ และ ดิเอาต์ฟีลด์ แมนเชสเตอร์ได้รับการยกย่องว่าเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังวงการดนตรีอินดีของอังกฤษในคริสต์ทศวรรษ 1980 นำโดยวงเดอะสมิทส์ และต่อมาได้แก่ เดอะสโตนโรสเซส, แฮปปีมันเดส์, อินสไปรัลคาร์เพตส์ และเจมส์ กลุ่มหลังเหล่านี้มีจุดกำเนิดจากฉากดนตรีที่เรียกว่า "แมดเชสเตอร์" ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ไนต์คลับเดอะฮาเซียนดา ที่ก่อตั้งโดยโทนี วิลสัน แห่งค่ายเพลงแฟกทอรีเรเคิดส์ วงเดอะเคมิคอลบราเทอส์ แม้ว่าจะเป็นชาวอังกฤษตอนใต้ แต่ก็ได้ก่อตั้งวงที่แมนเชสเตอร์[42] อดีตฟรอนต์แมนของเดอะสมิทส์ อย่างมอร์ริสซีย์ ซึ่งแต่งเพลงอ้างอิงถึงสถานที่และวัฒนธรรมของแมนเชสเตอร์อยู่บ่อยครั้ง ก็ประสบความสำเร็จระดับนานาชาติในฐานะศิลปินเดี่ยว สำหรับยุคก่อนหน้านั้น วงดนตรีจากแมนเชสเตอร์ที่โดดเด่นในคริสต์ทศวรรษ 1960 ได้แก่ เดอะโฮลลีส์, เฮอร์แมนส์เฮอร์มิตส์ และเดวี โจนส์ แห่งวงเดอะมังกีส์ (ที่โด่งดังจากอัลบั้มและรายการโทรทัศน์ในอเมริกาช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1960) รวมทั้งวงบีจีส์รุ่นแรกที่เติบโตในย่านชอลตัน[43] ศิลปินแร็ปชื่อดังจากแมนเชสเตอร์ในยุคหลัง ได้แก่ บักซีมาโลน และเอตช์
สถานที่จัดแสดงดนตรีป็อปหลักของเมืองคือ แมนเชสเตอร์อารีนา ซึ่งได้รับรางวัล "สถานที่จัดงานระดับนานาชาติแห่งปี" ใน ค.ศ. 2007[44] ด้วยความจุกว่า 21,000 ที่นั่ง ทำให้อารีนาแห่งนี้เป็นอารีนาในร่มที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป[44] ในแง่จำนวนผู้ชมคอนเสิร์ต แมนเชสเตอร์อารีนาถือเป็นอารีนาในร่มที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก เหนือกว่าเมดิสันสแควร์การ์เดนในนครนิวยอร์ก และดิโอทูอารีนาในลอนดอน ซึ่งตามมาเป็นอันดับสองและสาม[45] สถานที่จัดแสดงอื่น ๆ ในเมืองได้แก่ แมนเชสเตอร์อะพอลโล, อัลเบิร์ตฮอลล์, วิกทอเรียแวร์เฮาส์ และแมนเชสเตอร์อะแคเดมี ส่วนสถานที่ขนาดเล็ก ได้แก่ แบนด์ออนเดอะวอลล์, ไนต์แอนด์เดย์คาเฟ (Night and Day Café),[46] รูบีเลานจ์ (Ruby Lounge),[47] และเดอะเดฟอินสทิทิวต์ (The Deaf Institute)[48] แมนเชสเตอร์ยังจัดอีเวนต์ดนตรีอินดีและร็อกมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งนอกลอนดอน[49]
แมนเชสเตอร์มีวงออร์เคสตราซิมโฟนีสองวง คือ The Hallé และ BBC Philharmonic และวงดนตรีแชมเบอร์ Manchester Camerata ในคริสต์ทศวรรษ 1950 เมืองนี้เคยเป็นศูนย์กลางของกลุ่มนักแต่งเพลงคลาสสิกที่เรียกว่า "Manchester School" ซึ่งประกอบด้วย Harrison Birtwistle, Peter Maxwell Davies, David Ellis และ Alexander Goehr แมนเชสเตอร์ยังเป็นศูนย์กลางของการศึกษาด้านดนตรี โดยมี Royal Northern College of Music (RNCM) และ Chetham's School of Music เป็นสถาบันหลัก[50] สถาบันต้นแบบของ RNCM ได้แก่ Northern School of Music (ก่อตั้งใน ค.ศ. 1920) และ Royal Manchester College of Music (ก่อตั้งใน ค.ศ. 1893) ซึ่งได้ควบรวมกันใน ค.ศ. 1973 หนึ่งในผู้สอนและนักเปียโน/วาทยกรคลาสสิกรุ่นแรกของ RNCM คือ Arthur Friedheim (ค.ศ. 1859–1932) ชาวรัสเซีย ซึ่งต่อมาห้องสมุดดนตรีของเขาที่สถาบัน Peabody Institute ในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ ก็ได้รับการตั้งชื่อตามเขา สถานที่จัดแสดงดนตรีคลาสสิกหลักของเมืองคือ Free Trade Hall บนถนนปีเตอร์สตรีต (Peter Street) จนกระทั่งมีการเปิด Bridgewater Hall ซึ่งมีความจุ 2,500 ที่นั่งใน ค.ศ. 1996[51]
ดนตรีวงโยธวาทิต (brass band) ซึ่งเป็นประเพณีทางดนตรีของภาคเหนืออังกฤษ ถือเป็นส่วนสำคัญของมรดกดนตรีแมนเชสเตอร์[52] วงดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ เช่น CWS Manchester Band และ Fairey Band ล้วนมีถิ่นกำเนิดในแมนเชสเตอร์และพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมีการจัดแข่งขันวงโยธวาทิต Whit Friday เป็นประจำทุกปีในเขตใกล้เคียงอย่าง Saddleworth และ Tameside
การศึกษา
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
กีฬา
แก้แมนเชสเตอร์ เป็นเมืองที่เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองกีฬา มีสโมสรพรีเมียร์ลีก 2 สโมสรที่ใช้ชื่อเมืองในชื่อของสโมสร คือ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี และ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยแมนเชสเตอร์ซิตีมีสนามเหย้าคือ สนามกีฬาซิตีออฟแมนเชสเตอร์ จุคนได้เกือบ 48,000 คน ส่วนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีสนามเหย้าคือ โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร จุคนได้ 74,140 คน ถือเป็นสนามกีฬาในอังกฤษแห่งเดียวที่เคยได้จัดการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศในปี ค.ศ. 2003 และยังเป็นสนามที่จัดซูเปอร์ลีกแกรนด์ไฟนอลของรักบี้ลีก สโมสรคริกเกตแลนคาเชียร์เคาน์ตี ก็ใช้สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดเป็นกีฬาเหย้าเช่นกัน[53]
สื่อ
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ดูเพิ่ม
แก้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แก้- อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 2007)
- ไอดึน ประเทศตุรกี
- บิลวี ประเทศนิการากัว
- เค็มนิทซ์ ประเทศเยอรมนี (ค.ศ. 1983)[54]
- กอร์โดบา ประเทศสเปน
- ไฟซาลาบาด ประเทศปากีสถาน (ค.ศ. 1997)
- ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา (ค.ศ. 2009)
- เรโควอต ประเทศอิสราเอล
- เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ประเทศรัสเซีย (ค.ศ. 1962)[55]
- อู่ฮั่น ประเทศจีน (ค.ศ. 1986)
- เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
แมนเชสเตอร์เป็นที่ตั้งของสถานกงสุลที่มากที่สุดในสหราชอาณาจักรนอกกรุงลอนดอน การขยายตัวของการเชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมนำไปสู่การเปิดสถานกงสุลแห่งแรกในทศวรรษที่ 1820 และตั้งแต่นั้นมามีกงสุลมากกว่า 800 คนจากทั่วทุกมุมโลกได้ประจำอยู่ในแมนเชสเตอร์ โดยแมนเชสเตอร์เป็นเมืองที่ให้บริการกงสุลในพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของอังกฤษ[56]
อ้างอิง
แก้- ↑ Wells, John C. (2008), Longman Pronunciation Dictionary (3rd ed.), Longman, ISBN 9781405881180
- ↑ Roach, Peter (2011), Cambridge English Pronouncing Dictionary (18th ed.), Cambridge: Cambridge University Press, ISBN 9780521152532
- ↑ "Population and migration statistics transformation, Manchester case study - Office for National Statistics". www.ons.gov.uk. สืบค้นเมื่อ 2025-04-09.
- ↑ "Greater Manchester population by district 2023 | Statista". Statista (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-12-20. สืบค้นเมื่อ 2025-04-09.
- ↑ "2011 Census - Nomis - Official Census and Labour Market Statistics". www.nomisweb.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2025-04-09.
- ↑ The first to be included, Wythenshawe, was added to the city in 1931.
- ↑ Aspin, Chris (1981). The Cotton Industry. Shire Publications Ltd. p. 3. ISBN 0-85263-545-1.
- ↑ Kidd, Alan (2006). Manchester: A History. Lancaster: Carnegie Publishing. ISBN 1-85936-128-5.
• Frangopulo, Nicholas (1977). Tradition in Action. The historical evolution of the Greater Manchester County. Wakefield: EP Publishing. ISBN 0-7158-1203-3.
• "Manchester – the first industrial city". Entry on Sciencemuseum website. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-09. สืบค้นเมื่อ 17 March 2012. - ↑ "The World According to GaWC 2012". Globalization and World Cities Research Network. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-20. สืบค้นเมื่อ 25 March 2014.
- ↑ "BBC NEWS – London visited by 50% of UK's tourists". British Broadcasting Corporation. สืบค้นเมื่อ 21 May 2013.
- ↑ "Manchester 'England's second city'", BBC, 12 กันยายน ค.ศ. 2002, เรียกดู 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2006.
- ↑ "Manchester 'close to second city'", BBC, 29 กันยายน ค.ศ. 2005, เรียกดู 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2006.
- ↑ The Antiquaries Journal (ISSN 0003-5815) 2004, vol. 84, pp. 353–357
- ↑ Mills, A.D. (2003). A Dictionary of British Place-Names. Oxford: Oxford University Press. ISBN 0-19-852758-6. สืบค้นเมื่อ 7 November 2013.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 Hartwell, Clare (2001). Pevsner Architectural Guides: Manchester. London: Penguin Books. pp. 11–17, 155, 256, 267–268. ISBN 0-14-071131-7.
- ↑ Rogers, Nicholas (2003). Halloween: from Pagan Ritual to Party Night. Oxford University Press. p. 18. ISBN 0195168968.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 17.00 17.01 17.02 17.03 17.04 17.05 17.06 17.07 17.08 17.09 17.10 Kidd, Alan (2006). Manchester: A History. Lancaster, Lancashire: Carnegie Publishing Ltd. pp. 12, 15–24, 224. ISBN 1859361285. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-27. สืบค้นเมื่อ 2007-12-02.
- ↑ Pevsner, Nikolaus (1969). Lancashire, The Industrial and Commercial South. London, England: Penguin Books Ltd. p. 265. ISBN 0-14-071036-1.
- ↑ 19.0 19.1 Hylton, Stuart (2003). A History of Manchester. Phillimore & Co Ltd. pp. 1–10, 22, 25, 42, 63–67, 69. ISBN 1860772404. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-12. สืบค้นเมื่อ 2007-12-03.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 McNeil, R. & Nevell, M (2000). A Guide to the Industrial Archaeology of Greater Manchester. Association for Industrial Archaeology. ISBN 0-9528930-3-7.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 21.0 21.1 Hall, Peter (1998). "The first industrial city: Manchester 1760-1830". Cities in Civilization. London: Weidenfeld & Nicolson. ISBN 0-297-84219-6.
- ↑ "Events in Telecommunications History". BT Archives. 1878. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-15. สืบค้นเมื่อ 2007-07-30.
- ↑ "Marx-Engels Internet Archive – Biography of Engels" (ภาษาอังกฤษ). Marx/Engels Biography Archive. 1893. สืบค้นเมื่อ 2007-12-21.
- ↑ Hardy, Clive (2005). "The blitz". Manchester at War (ภาษาอังกฤษ) ((2nd edition) ed.). First Edition. pp. 75–99. ISBN 1-84547-096-6.
- ↑ "Manchester Cathedral – Historical Timeline" (ภาษาอังกฤษ). Manchester Cathedral Online. 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-02-06. สืบค้นเมื่อ 2007-12-21.
- ↑
• Pevsner, Nikolaus (1969). Lancashire, The Industrial and Commercial South (ภาษาอังกฤษ). London, England: Penguin Books Ltd. p. 267. ISBN 0140710361. Parkinson-Bailey, John J (2000). Manchester: an Architectural History (ภาษาอังกฤษ). Manchester: Manchester University Press. p. 127. ISBN 0719056063. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-27. สืบค้นเมื่อ 2007-12-21. - ↑ "Manchester Ship Canal and The Docks" (ภาษาอังกฤษ). Salford City Council. 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-03-30. สืบค้นเมื่อ 2007-07-06.
- ↑ 28.0 28.1 Hartwell, Clare (2001). Pevsner Architectural Guides: Manchester. London: Penguin Books. ISBN 0-14-071131-7.
Parkinson-Bailey, John J (2000). Manchester: an Architectural History. Manchester: Manchester University Press. ISBN 0-7190-5606-3.
Hartwell, Clare; Hyde, Matthew; Pevsner, Nikolaus (2004). Lancashire: Manchester and the South-East. New Haven & London: Yale University Press. ISBN 0-300-10583-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 January 2012. สืบค้นเมื่อ 7 November 2013. - ↑ "Panorama – The cost of terrorism" (ภาษาอังกฤษ). BBC. 2004. สืบค้นเมื่อ 2007-07-09.
- ↑ "Manchester Arndale – UK's largest in-town shopping centre" (ภาษาอังกฤษ). Prudential plc. 2007. สืบค้นเมื่อ 2007-09-06.
- ↑ Kidd, Alan (2006). Manchester: A History. Lancaster: Carnegie Publishing. p. 11. ISBN 1-85936-128-5.
- ↑ "The Manchester Coalfields" (PDF). Museum of Science and Industry in Manchester. 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 27 March 2009. สืบค้นเมื่อ 5 May 2009.
- ↑ "Manchester 1981-2010 Averages". Met Office. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-16. สืบค้นเมื่อ 30 January 2016.
- ↑ "Manchester Ringway 1961-1990". NOAA. สืบค้นเมื่อ 30 January 2016.
- ↑ "Manchester ringway extreme values". KNMI. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-02-02. สืบค้นเมื่อ 30 January 2016.
- ↑ United Kingdom Census 2001 (2007-01-17). "2001 Census; Key facts sheets". manchester.gov.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-07-21. สืบค้นเมื่อ 2007-07-10.
- ↑ United Kingdom Census 2001 (2001). "Manchester (Local Authority)". neighbourhood.statistics.gov.uk. สืบค้นเมื่อ 2007-07-10.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 38.0 38.1 "Manchester profile of 2001 census". Office for National Statistics. 2003. สืบค้นเมื่อ 2006-10-25.
- ↑ "Mid-year estimates for 2006". Office of National Statistics. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (XLS)เมื่อ 2011-08-17. สืบค้นเมื่อ 2007-09-13.
- ↑ Shapely, Peter (March 2002). "The press and the system built developments of inner-city Manchester" (PDF). Manchester Region History Review. Manchester: Manchester Centre for Regional History. 16: 30–39. ISSN 0952-4320. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2007-02-21. สืบค้นเมื่อ 2007-11-22.
- ↑ Robinson, John Martin (1986). The Architecture of Northern England. Macmillan. p. 153. ISBN 9780333373965.
- ↑ "The Chemical Brothers – Alumni". University of Manchester. 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 January 2009. สืบค้นเมื่อ 12 November 2007.
- ↑ "Bee Gees go back to their roots". BBC News. 12 May 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 June 2004. สืบค้นเมื่อ 12 November 2007.
- ↑ 44.0 44.1 "Pollstar Concert Industry Awards Winners Archives". Pollstar Online. 2001. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 January 2013. สืบค้นเมื่อ 24 June 2007.
Brown, Rachel (10 August 2007). "M.E.N Arena's world's top venue". Manchester Evening News. M.E.N. Media. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 October 2013. สืบค้นเมื่อ 12 August 2007.The M.E.N. Arena is the top-selling venue in the world
- ↑ "M.E.N Named Most Popular Entertainment Venue on Planet". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 December 2008. สืบค้นเมื่อ 8 May 2008.
- ↑ "Night & Day Café". nightnday.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2011. สืบค้นเมื่อ 15 July 2011.
- ↑ "The Ruby Lounge: History". therubylounge.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 March 2012. สืบค้นเมื่อ 15 July 2011.
- ↑ "Trof presents the Deaf Institute: café, bar and music hall". thedeafinstitute.co.uk. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 July 2011. สืบค้นเมื่อ 15 July 2011.
- ↑ "Manchester: the UK's rock and indie music capital". tickx.co.uk. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 November 2018. สืบค้นเมื่อ 6 November 2018.
- ↑ Redhead, Brian (1993). Manchester: a Celebration. London: Andre Deutsch. pp. 60–61. ISBN 0-233-98816-5.
- ↑ "Good Venue Guide; 28 – Bridgewater Hall, Manchester". Independent on Sunday. 12 April 1998.
- ↑ "Procession – Jeremy Deller". Manchester International Festival. July 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 November 2010. สืบค้นเมื่อ 24 July 2009.
- ↑ "Football fever". Visit Manchester web pages. Visit Manchester. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-27. สืบค้นเมื่อ 6 October 2008.
• "Sporting heritage". Visit Manchester web pages. Visit Manchester. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-17. สืบค้นเมื่อ 6 October 2008. - ↑ ในสมัยที่มีการตกลงเป็นเมืองแฝด เมืองนี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีตะวันออกและใช้ชื่อว่าคาร์ลมาร์กซ์สตัดท์ (Karl-Marx-Stadt)
- ↑ ในสมัยที่มีการตกลงเป็นเมืองแฝด เมืองนี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตและใช้ชื่อว่าเลนินกราด (Leningrad)
- ↑ Fox, David (2007). Manchester Consuls. Lancaster: Carnegie Publishing. pp. vii–ix. ISBN 978-1-85936-155-9.
"Manchester Consular Association". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 January 2019.
"List of Consulates, Consulate Generals and High Commissioners". MCA (subsidiary of Sheffield University). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 December 2013. สืบค้นเมื่อ 5 January 2007.