สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล

สโมสรฟุตบอลอาชีพในอังกฤษ

สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล (อังกฤษ: Arsenal Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพซึ่งเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ตั้งอยู่ในเขตอิสลิงทันในกรุงลอนดอน เป็นสโมสรที่ชนะเลิศถ้วยรางวัลมากที่สุดเป็นอันดับสามของฟุตบอลอังกฤษ โดยชนะเลิศลีกสูงสุด 13 สมัย (รวมแชมป์ไร้พ่าย 1 สมัย), เอฟเอคัพ 14 สมัย (สถิติสูงสุด), ลีกคัพ 2 สมัย, เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 17 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย และ อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ 1 สมัย อาร์เซนอลเป็นสโมสรที่เล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษติดต่อกันยาวนานที่สุดตั้งแต่ ค.ศ. 1920 ถึงปัจจุบัน และยังเป็นสโมสรที่มีค่าเฉลี่ยอันดับในลีกสูงสุดของอังกฤษดีที่สุดในศตวรรษที่ 20 สนามเหย้าปัจจุบันคือเอมิเรตส์สเตเดียม ความจุ 60,000 ที่นั่ง

อาร์เซนอล
ชื่อเต็มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล
ฉายาThe Gunners
ไอ้ปืนใหญ่, ปืนใหญ่
ก่อตั้งตุลาคม 1886; 138 ปีที่แล้ว (1886-10) ในชื่อ ไดอัลสแควร์[1]
สนามเอมิเรตส์สเตเดียม
ความจุ60,260[2]
เจ้าของโครเอนเกสปอตส์แอนด์เอนเตอร์เทนเมนต์[3]
Co-chairmenสแตนและจอช คร็องกี
หัวหน้าผู้ฝึกสอนมิเกล อาร์เตตา
ลีกพรีเมียร์ลีก
2023–24อันดับที่ 2 จาก 20
เว็บไซต์เว็บไซต์สโมสร
สีชุดทีมเยือน
สีชุดที่สาม
ฤดูกาลปัจจุบัน

ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1886 โดยคนงานในเขตวูลิช ในชื่อ สโมสรฟุตบอลไดอัล สแควร์ และใน ค.ศ. 1893 พวกเขาเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนใต้ที่ได้ร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีก ต่อมาใน ค.ศ. 1913 สโมสรได้ย้ายมายังลอนดอนเหนือ และย้ายสนามมายังอาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบรีก่อนจะเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น อาร์เซนอล ในฤดูกาล 1914–15[4] ต่อมา ในช่วงทศวรรษ 1930 สโมสรชนะเลิศฟุตบอลดิวิชันหนึ่ง 5 สมัย และเอฟเอคัพ 2 สมัย และภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาชนะเลิศดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย และเอฟเอคัพอีก 1 สมัย ก่อนจะชนะเลิศฟุตบอลลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาลเดียวกันเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1970–71 และในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1989–2005 อาร์เซนอลชนะเลิศลีกสูงสุด 5 สมัย และเอฟเอคัพอีก 5 สมัย อาร์เซนอลผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ 19 ฤดูกาลติตต่อกันตั้งแต่ ค.ศ. 1998–2017[5] ซึ่งเป็นสถิติของสโมสรอังกฤษ ก่อนจะยุติลงเมื่อสโมสรจบอันดับห้าในฤดูกาลต่อมาโดยมีคะแนนน้อยกว่าอันดับสี่อย่างลิเวอร์พูลหนึ่งคะแนน

เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้จัดการทีมที่นำความสำเร็จมาสู่สโมสรในยุคแรก[6] โดยพาทีมชนะเลิศการแข่งขันหลายรายการในทศวรรษ 1930 และเป็นผู้ปรับปรุงระบบต่าง ๆ ภายในสนาม เช่น ระบบไฟ รวมทั้งคิดค้นแผนการเล่นแบบดับเบิลยูเอ็มให้แก่วงการฟุตบอล[a] เขายังออกแบบชุดแข่งขันของทีมด้วยการปรับแขนเสื้อให้เป็นสีขาว และยังปรับโทนสีแดงบนตัวเสื้อให้ดูสว่างยิ่งขึ้น[7] และเป็นผู้กำหนดหมายเสื้อให้แก่ผู้เล่นในทีม[8] อาร์แซน แวงแกร์ เป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความเร็จมากที่สุดและคุมทีมยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร (ค.ศ. 1996–2018)[9][10] โดยชนะเลิศถ้วยรางวัล 17 รายการ และเป็นผู้จัดการทีมที่ชนะเลิศเอฟเอคัพมากที่สุด 7 สมัย[11] รวมทั้งพาทีมชนะเลิศพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–04 ซึ่งพวกเขาไม่แพ้ทีมใดเลยตลอด 38 นัด โดยถือเป็นทีมที่สองที่จบการแข่งขันฤดูกาลในลีกสูงสุดของอังกฤษโดยไม่แพ้ทีมใด และเป็นทีมเดียวที่ทำได้ในยุคพรีเมียร์ลีก[12] ในช่วงเวลานั้น สโมสรยังทำสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกันนานที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษจำนวน 49 นัด[13][14] และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกใน ค.ศ. 2006 ซึ่งถือเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนที่ทำได้ ภายหลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในยุคไร้พ่าย สโมสรห่างหายจากความสำเร็จหลายฤดูกาล ก่อนจะกลับมาคว้าแชมป์ฟุตบอลเอฟเอคัพได้อีก 4 ครั้งในทศวรรษ 2010

อาร์เซนอลมีสโมสรคู่ปรับที่ตั้งอยู่ในย่านเดียวกันคือ ทอตนัมฮอตสเปอร์ โดยการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมเรียกว่า ดาร์บีลอนดอนเหนือ อาร์เซนอลเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าทีมมากเป็นอันดับ 10 ของโลกใน ค.ศ. 2022 ด้วยมูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์[15] อาร์เซนอลเป็นหนึ่งในสโมสรที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอังกฤษ และหนึ่งในสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก[16] สโมสรมีคำขวัญคือ "Victory Through Harmony" ซึ่งแปลว่า "ชัยชนะจากความเป็นหนึ่งเดียว"[17]

ประวัติ

ยุคแรก (ค.ศ. 1886–1919)

 
ผู้เล่นของสโมสรใน ค.ศ. 1888

สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มคนงานของโรงงานผลิตอาวุธรอยัลอาร์เซนอลในแขวงวูลิช กรุงลอนดอน ก่อตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมาเมื่อปลาย ค.ศ. 1886 ในชื่อ ไดอัล สแควร์ การแข่งขันแรกของทีมคือเกมที่ชนะอีสเทิร์น วันเดอเรอร์ส 6–0 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1886 หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนชื่อเป็น รอยัลอาร์เซนอล และยังคงแข่งขันรายการท้องถิ่นต่อไป ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพและเปลี่ยนชื่อเป็น วูลิชอาร์เซนอล ใน ค.ศ. 1891

อาร์เซนอลได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกครั้งแรกใน ค.ศ. 1893 ในดิวิชันสอง จากนั้นใน ค.ศ. 1904 ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ดิวิชันหนึ่งเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม สโมสรตั้งอยู่ในพื้นที่ ๆ คับแคบ ส่งผลให้มีจำนวนผู้ชมน้อยจนทีมประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างหนัก นำไปสู่การประกาศขายทีมใน ค.ศ. 1910 โดยมี เฮนรี นอร์ริส นักธุรกิจเข้ามาเทคโอเวอร์[18] โดยในช่วงแรก นอร์ริสมีความคิดที่จะนำอาร์เซนอลรวบทีมกับสโมสรฟูลัม ซึ่งเขาเป็นเจ้าของทีมอยู่เช่นกัน แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ทำให้นอร์ริสต้องหาที่ตั้งใหม่ให้กับอาร์เซนอล กระทั่งใน ค.ศ. 1913 หลังจากที่ตกชั้นลงสู่ดิวิชันสองนั้น อาร์เซนอลก็ได้ย้ายที่ตั้งไปอยู่ในย่านไฮบิวรี่บริเวณลอนดอนเหนือ และเปิดใช้สนามอาร์เซนอลสเตเดียมอย่างเป็นทางการ ในปีต่อมา สโมสรได้ตัดคำว่า "วูลิช" ออกจากชื่อสโมสรจนเหลือเพียง อาร์เซนอล มาจนถึงปัจจุบัน[19] หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และฟุตบอลลีกได้กลับมาแข่งขันอีกครั้ง ลีกสูงสุดอย่างดิวิชันหนึ่งก็เพิ่มจำนวนทีมเป็น 22 ทีม อาร์เซนอลซึ่งได้อันดับ 5 ของดิวิชันสองในฤดูกาล 1914–15 ได้รับการโหวตเลือกโดยสมาคมให้กลับขึ้นสู่ดิวิชันหนึ่งอีกครั้งในฤดูกาล 1919–20 แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความโปร่งใสของสมาคมในเหตุการณ์ดังกล่าว[b] และอาร์เซนอลไม่เคยตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกเลย

เริ่มประสบความสำเร็จ (ค.ศ. 1925–1966)

 
รูปปั้นของเฮอร์เบิร์ต แชปแมน ตำนานผู้จัดการทีมของสโมสร

ต่อมาใน ค.ศ. 1925 อาร์เซนอลได้แต่งตั้งให้ เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งเขาเคยพาฮัดเดอร์สฟิลด์ทาวน์คว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 2 สมัย ในฤดูกาล 1923–24 และ 1924–25 และแชปแมนถือเป็นคนแรกที่พาอาร์เซนอลก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในยุคแรก[20][21] เขาจัดการเปลี่ยนระบบการซ้อมและนำแทคติคใหม่มาใช้ รวมถึงซื้อนักเตะชื่อดังมาร่วมทีม เช่น อเล็กซ์ เจมส์ และ คลิฟฟ์ บานติน และยังเป็นผู้ริเริ่มการปรับปรุงระบบไฟในสนามไฮบิวรี่ ทำให้อาร์เซนอลกลายเป็นมหาอำนาจในวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้เป็นครั้งแรก เริ่มจากแชมป์เอฟเอคัพสมัยแรกในฤดูกาล 1929–30 และคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้ 2 สมัยในฤดูกาล 1930–31 และ 1932–33 นอกจากนี้ แชปแมนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ตินที่อยู่ในย่านนั้นคือ Gillespie Road เป็นสถานี "อาร์เซนอล" ซึ่งถือเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวในสหราชอาณาจักรที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอล[22]

แชปแมนเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคปอดบวมในช่วงต้น ค.ศ. 1934[23] แต่หลังจากนั้น โจ ชอว์ และ จอร์จ อัลลิสัน ที่เข้ามารับตำแหน่งต่อก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน พวกเขาพาอาร์เซนอลคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้อีก 3 สมัย และเอฟเอคัพ 1 สมัย อย่างไรก็ตาม อาร์เซนอลก็เริ่มถดถอยลงเรื่อย ๆ ในช่วงปลายทศวรรษเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุกรายการในอังกฤษต้องยุติลงส่งผลให้สโมสรกลับไปประสบปัญหาการเงินอีกครั้ง

หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ทอม วิทเทคเกอร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งของอัลลิสันได้เข้ามาคุมทีม อาร์เซนอลจึงกลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้งโดยได้แชมป์ดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย ในฤดูกาล 1947 และ 1948 และแชมป์เอฟเอคัพอีก 1 สมัย ในฤดูกาล 1949–50 แต่หลังจากนั้น โชคก็เหมือนจะไม่เข้าข้างอาร์เซนอลเท่าไรนัก สโมสรไม่สามารถดึงดูดนักเตะชื่อดังเข้ามาร่วมทีมเหมือนที่เคยทำได้ในช่วงทศวรรษ 1930 โดยในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 อาร์เซนอลกลายเป็นเพียงทีมกลางตารางและไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรเพิ่มได้เลย แม้แต่บิลลี ไรท์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีมก็ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้เลยในช่วง ค.ศ. 1962–66

การเปลี่ยนแปลง (ค.ศ. 1966–1986)

อาร์เซนอลเริ่มกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งหลังจากแต่งตั้ง เบอร์ตี มี นักกายภาพบำบัดให้มาคุมทีมใน ค.ศ. 1966 โดยพาทีมเข้าชิงชนะเลิศลีกคัพ 2 สมัยแต่ก็พลาดแชมป์ทั้งสองครั้ง แต่ก็ยังคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ (ปัจจุบันยกเลิกการแข่งขันไปแล้ว) ได้ในฤดูกาล 1969–70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกของสโมสร ตามด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรก นั่นคือแชมป์ลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาล 1970–71 แต่ในทศวรรษต่อมานั้น อาร์เซนอลทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์เป็นส่วนมาก โดยได้รองแชมป์ดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1972–73 ,รองแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 1971–72, 1977–78 และ 1979–80 และยังแพ้จุดโทษบาเลนเซียในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพรอบชิงชนะเลิศอีกด้วย สโมสรประสบความสำเร็จเพียงถ้วยเดียวในช่วงนี้ก็คือแชมป์เอฟเอคัพฤดูกาล 1978–79 ในยุคของ เทอร์รี นีล ซึ่งพวกเขาเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 3–2 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน และได้รับการกล่าวขวัญกันมากในเรื่องของความคลาสสิกและความตื่นเต้นของเกมนี้[24][25]

ยุคของ จอร์จ แกรแฮม (ค.ศ. 1986–1995)

 
รูปปั้นของโทนี แอดัมส์ ตำนานผู้เล่นสโมสรบริเวณหน้าสนามเอมิเรตส์ สเตเดียม

การกลับเข้ามาสู่วงการฟุตบอลอีกครั้งของ จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะของสโมสรซึ่งเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1986 ส่งผลให้สโมสรคว้าแชมป์ได้หลายรายการในยุคที่มี โทนี แอดัมส์ ตำนานกัปตันทีมเป็นผู้เล่นตัวหลัก เริ่มจากแชมป์ลีกคัพในฤดูกาล 1986–87 ตามด้วยแชมป์ดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1988–89 จากประตูในนาทีสุดท้ายในนัดที่พบกับลิเวอร์พูล และได้แชมป์อีกครั้งในฤดูกาล 1990–91 โดยแพ้ไปเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล และยังคว้าแชมป์ดับเบิลแชมป์ด้วยการเป็นแชมป์เอฟเอคัพพร้อมกับลีกคัพได้ในฤดูกาล 1992–93 และคว้าแชมป์ยุโรปใบที่ 2 ได้ในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพฤดูกาล 1993–94 ด้วยการชนะปาร์มา 1–0 อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของแกรแฮมก็เสื่อมเสียเมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาได้รับเงินสินบนจาก รูน ฮาวก์ เอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัวผู้เล่น[26] ส่งผลให้เขาถูกไล่ออกใน ค.ศ. 1995 และบรูซ ริออช เข้ามารับตำแหน่งแทนแต่คุมทีมได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ลาออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร[27]

ยุคของ อาร์แซน แวงแกร์ (ค.ศ. 1996–2018)

 
ถ้วยพรีเมียร์ลีกสีทอง ซึ่งถูกจัดทำขึ้นในโอกาสพิเศษที่อาร์เซนอลคว้าแชมป์ได้โดยไม่แพ้ทีมใดตลอดฤดูกาล 2003–04

อาร์แซน แวงแกร์ เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 1996–97 และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นตำนานผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร โดยอาร์เซนอลจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งแชมป์และรองแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 8 จาก 10 ฤดูกาลแรกที่แวงแกร์เข้ามาคุมทีม เขาเป็นผู้นำแทคติคใหม่ ๆ มาใช้[28] เปลี่ยนวิธีการซ้อมใหม่ และยังเข้มงวดเรื่องโภชนาการกับนักเตะ[29][30][31] รวมถึงมีนโยบายการสร้างทีมด้วยงบประมาณจำกัด อาร์เซนอลจึงคว้าดับเบิลแชมป์ (แชมป์ลีกและแชมป์เอฟเอคัพ) ได้อีกสองครั้ง ในฤดูกาล 1997–98 และ 2001–02 และยังเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพฤดูกาล 1999–00 แต่แพ้จุดโทษกาลาตาซาราย รวมทั้งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2003–04 โดยไม่แพ้ทีมใดเลยทั้งฤดูกาลจนได้รับฉายาว่า "ผู้ไร้เทียมทาน" (The Invincibles)[32] และทำสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกันครบ 49 นัดได้ในฤดูกาลต่อมาซึ่งเป็นสถิติตลอดกาลของประเทศ และยังได้แชมป์เอฟเอคัพเพิ่มใน ค.ศ. 2003 และ 2005 รวมทั้งแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์หลายสมัย โดยทีมชุดนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นชั้นนำ เช่น ตีแยรี อ็องรี, ปาทริก วีเยรา, แด็นนิส แบร์คกัมป์, แอชลีย์ โคล และ รอแบร์ ปีแร็ส

แวงเกอร์พาสโมสรเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 2006 โดยถือเป็นทีมแรกจากกรุงลอนดอนที่เข้าชิงชนะเลิศได้นับตั้งแต่มีการแข่งขันรายการนี้มา 50 ปี แต่พวกเขาแพ้บาร์เซโลนาด้วยผลประตู 1–2[33] จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 อาร์เซนอลก็ได้ยุติประวัติศาสตร์ 93 ปีที่ไฮบิวรีลง โดยการย้ายสนามเหย้ามาเป็นเอมิเรตส์สเตเดียม[34] และยังเข้าชิงลีกคัพได้สองครั้งใน ค.ศ. 2007 และ 2011 แต่แพ้เชลซี และเบอร์มิงแฮมด้วยผลประตู 1–2 ทั้งสองครั้ง และเมื่อสิ้นสุดพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 20 ปีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก ได้มีการโหวตจากแฟน ๆ ฟุตบอลปรากฏว่าทีมอาร์เซนอลในฤดูกาล 2002–03 ที่ไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาลได้รับเลือกให้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 20 ปีของฟุตบอลอังกฤษ

อาร์เซนอลยุติช่วงเวลาเลวร้ายที่ไม่สามารถชนะเลิศถ้วยรางวัลใดนับตั้งแต่ชนะเลิศเอฟเอคัพฤดูกาล 2004–05 ด้วยการเซ็นสัญญากับผู้เล่นคนสำคัญอย่างเมซุท เออซิล และ อาเลกซิส ซันเชซ ทำให้อาร์เซนอลคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้สองสมัยติดต่อกัน โดยในฤดูกาล 2013–14 พวกเขาชนะฮัลล์ซิตีด้วยผลประตู 3–2 แม้จะตามหลังไปก่อน 0–2 และป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาลถัดมาด้วยการชนะแอสตันวิลลา 4–0 ก่อนจะทำสถิติได้แชมป์รายการนี้มากที่สุดจำนวน 13 ครั้งในฤดูกาล 2016–17 ด้วยการชนะเชลซี 2–1 เวนแกร์ยังถือเป็นผู้จัดการทีมที่ได้แชมป์เอฟเอคัพมากที่สุด 7 สมัย แต่พวกเขาหลุดจากการจบสี่อันดับแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่แวงแกร์เข้ามาคุมทีมใน ค.ศ. 1996 แวงแกร์ประกาศอำลาสโมสรเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2017–18 โดยอาร์เซนอลจบอันดับหกและคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2017 แวงแกร์ถือเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด (คว้าแชมป์ 17 รายการ) และคุมทีมยาวนานที่สุด (22 ปี) ของสโมสร[35][36]

มิเกล อาร์เตตา (ค.ศ. 2020–ปัจจุบัน)

อูไน เอเมรี เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 2018–19 และถือเป็นผู้ฝึกสอนคนที่สองในประวัติศาสตร์สโมสรที่ไม่ได้มาจากสหราชอาณาจักร[37][38] โดยพาทีมจบอันดับ 5 และได้รองแชมป์ยูโรปาลีกโดยแพ้เชลซี 1–4[39] เอเมรีถูกปลดในฤดูกาล 2019–20[40] และ เฟรียดริก ยุงแบร์ยอดีตผู้เล่นของทีมเข้ามารักษาการแทน จากนั้น มิเกล อาร์เตตา เข้ามาคุมทีมในฐานะหัวหน้าผู้ฝึกสอนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020[41] เขายังคงยึดแนวทางการสร้างทีมด้วยผู้เล่นอายุน้อยหลายราย เช่น บูกาโย ซากา, เอมีล สมิท ราว, แอรอน แรมส์เดล และ เอ็ดดี เอ็นเคเตียห์ ในฤดูกาลแรก อาร์เตตาพาทีมจบอันดับ 8 ซึ่งย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 1995 แต่ยังคว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 14 โดยเอาชนะเชลซี 2–1 ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2020–21 รอบแบ่งกลุ่ม[42] ภายหลังจบฤดูกาล อาร์เตตายังได้เลื่อนตำแหน่งจากหัวหน้าผู้ฝึกสอนเป็นผู้จัดการทีม[43]

แม้จะคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2020 แต่ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020–21 ทีมยังคงทำผลงานย่ำแย่ต่อเนื่อง และจบอันดับ 8 เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน ไม่ได้ไปแข่งขันฟุตบอลยุโรปในฤดูกาล 2021–22 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีที่สโมสรไม่ได้ไปเล่นรายการยุโรป[44] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 อาร์เซนอลประกาศจุดยืนในการเป็นผู้ร่วมก่อตั้งการแข่งขันเดอะซูเปอร์ลีก โดยมีเป้าหมายที่จะแข่งกับการแข่งขันของยูฟ่า แต่ได้ล้มเลิกในอีกสองวันถัดมาเนื่องจากการต่อต้านของผู้สนับสนุน อาร์เซนอลจบอันดับ 5 ในฤดูกาล 2021–22 ซึ่งในฤดูกาลนี้ทีมของอาร์เตตาได้กลายเป็นทีมที่มีค่าเฉลี่ยอายุผู้เล่นน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกด้วยอายุเฉลี่ย 24 ปี และ 308 วัน[45] แต่อาร์เตตาก็พาทีมทำผลงานดีขึ้นมากในฤดูกาล 2022–23 โดยขึ้นเป็นทีมนำในตารางเกือบทั้งฤดูกาล ก่อนจะพลาดในช่วงท้ายและคว้าอันดับ 2 ด้วยคะแนน 84 คะแนน ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดในรอบ 7 ฤดูกาล ได้กลับไปแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ในฤดูกาลนี้พวกเขายังสร้างสถิติใหม่ในพรีเมียร์ลีก ด้วยการเป็นสโมสรที่ขึ้นเป็นทีมนำในตารางด้วยระยะเวลารวมมากที่สุดแต่ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้[46]

เข้าสู่ฤดูกาล 2023–24 อาร์เซนอลลงทุนในตลาดซื้อขายด้วยการเซ็นสัญญากับ เดคลัน ไรซ์ จากเวสต์แฮมยูไนเต็ดในราคาสูงถึง 100 ล้านปอนด์ ถือเป็นนักเตะที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร[47] และยังเป็นนักเตะอังกฤษที่มีค่าตัวสูงที่สุดเท่ากับแจ็ก กรีลิช[48] รวมถึงการเซ็นสัญญากับ ไค ฮาเวิทซ์ จากเชลซีในราคา 65 ล้านปอนด์ และ ยือร์รีเยิน ติมเบอร์จากอาเอฟเซ อายักซ์ สโมสรคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2023 จากการชนะจุดโทษแมนเชสเตอร์ซิตี[49] แม้ว่าอาร์เซนอลจะทำผลงานในพรีเมียร์ลีกได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้งฤดูกาล โดยขึ้นเป็นทีมนำจนถึงท้ายฤดูกาล และมีลุ้นแชมป์ถึงนัดสุดท้ายโดยทำไปถึง 89 คะแนน ทว่าพวกเขาต้องพลาดแชมป์อีกครั้ง ด้วยการมีคะแนนตามหลังแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ซิตีสองคะแนน

สัญลักษณ์

สีประจำสโมสร

 
เมซุท เออซิล ในชุดเหย้าฤดูกาล 2013–14 อาร์เซนอลใช้สีแดงและสีขาวเป็นสีประจำสโมสร

ในหน้าประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของสโมสรอาร์เซนอล พวกเขาใช้เสื้อสีแดงสด แขนเสื้อสีขาว และกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นชุดทีมเหย้า สีแดงเป็นการให้เกียรติสโมสรนอตทิงแฮมฟอเรสต์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการบริจาคอุปกรณ์ให้แก่สโมสรหลังการก่อตั้งใน ค.ศ. 1886 โดยมีที่มาจาก เฟร็ด เบียร์ดสลีย์ และมอร์ริส เบตส์ สมาชิกผู้ก่อตั้งของสโมสร ไดอัล สแควร์ ซึ่งเป็นอดีตผู้เล่นของฟอเรสต์ที่ย้ายมาทำงานในย่านวูลวิช ในขณะที่พวกเขารวบรวมผู้เล่นทีมชุดใหญ่ในพื้นที่แต่ยังหาชุดแข่งไม่ได้ ทั้งคู่จึงเขียนจดหมายไปถึงสโมสรเก่าเพื่อขอความช่วยเหลือและได้รับชุดแข่งขัน และลูกฟุตบอล โดยมีเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีแดงเข้ม และสวมกางเกงขาสั้นสีขาว และถุงเท้าที่มีห่วงสีน้ำเงินและสีขาว[50]

ใน ค.ศ. 1933 เฮอร์เบิร์ต แชปแมน ต้องการให้ผู้เล่นแต่งกายให้โดดเด่นยิ่งขึ้น มีการปรับปรุงชุดแข่งโดยปรับแขนเสื้อเป็นสีขาว และเปลี่ยนสีเสื้อให้มีโทนแดงที่สว่างและสดขึ้น โดยที่มาของแขนเสื้อสีขาวนั้นมีการสันนิษฐานอยู่สองประการ คาดว่าแชปแมนสังเกตเห็นแฟนบอลคนหนึ่งสวมเสื้อสเวตเตอร์แขนกุดสีแดงทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและดูสวยงาม เหมาะจะเป็นสีสโมสร อีกประการหนึ่งคือเขาอาจได้แรงบันดาลใจจากการแต่งกายที่คล้ายคลึงกันของนักเขียนการ์ตูน ทอม เว็บสเตอร์ ซึ่งแชปแมนมีความสนิทสนม และมักเล่นกอล์ฟด้วยกัน และแม้จะไม่แน่ชัดว่าข้อสันนิษฐานใดเป็นจริง แต่เสื้อแดงพร้อมแขนเสื้อสีขาวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอาร์เซนอลมาตั้งแต่นั้น และทีมได้สวมชุดนี้มาตลอด ยกเว้นสองฤดูกาล ครั้งแรกคือฤดูกาล 1966–67 เมื่อสโมสรสวมเสื้อสีแดงล้วนโดยไม่มีสีขาวที่แขนเสื้อ แต่ไม่เป็นที่นิยม แขนเสื้อสีขาวจึงถูกนำกลับมาใช้ในฤดูกาลถัดไป และในครั้งที่สองคือฤดูกาล 2005–06 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่อาร์เซนอลเล่นที่สนามอาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบรี เมื่อทีมสวมเสื้อสีแดงเรดเคอแรนท์โดยไม่มีสีที่แขนเสื้อเช่นกัน เพื่อระลึกถึงสีเสื้อที่สโมสรสวมใน ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกในสนามแห่งนี้ และสโมสรกลับไปสวมชุดปกติโดยเป็นเสื้อสีแดงเข้มและแขนเสื้อสีขาวในฤดูกาลถัดไป และในฤดูกาล 2008–09 อาร์เซนอลได้เปลี่ยนจากแขนเสื้อสีขาวล้วนแบบดั้งเดิมด้วยการเพิ่มแถบสีแดงลงบนแขนเสื้อด้วย[51]

สีประจำสโมสรอาร์เซนอลเป็นต้นแบบให้แก่สีประจำสโมสรอื่น ๆ อย่างน้อยสามสโมสร ใน ค.ศ. 1909 สปาร์ตา ปราก ในเชกเกีย ได้เปิดตัวชุดสีแดงเข้มซึ่งคล้ายสีที่อาร์เซนอลใช้ในสมัยนั้น ต่อมาใน ค.ศ. 1920 สโมสรกีฬาบรากา ได้เปลี่ยนสีชุดแข่งทีมเหย้าจากสีเขียวทองมาเป็นสีแดงพร้อมแขนเสื้อสีขาว ภายหลังจากผู้จัดการทีมสโมสรได้กลับมาจากการชมเกมที่สนามอาร์เซนอลสเตเดียม นำไปสู่การเรียกชื่อเล่นของบรากาว่า Os Arsenalistas[52] ต่อมา ใน ค.ศ. 1938 สโมสรฮิเบอร์เนียน ในเมืองเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ นำการออกแบบแขนเสื้อของอาร์เซนอลมาใช้กับแถบสีเขียวและสีขาวบนเสื้อสโมสร[53] และทั้งสามสโมสรยังคงใช้ชุดเหล่านี้มาถึงปัจจุบัน

 
โรบิน ฟัน แปร์ซี และ ตีแยรี อ็องรี ในเสื้อทีมเยือนสีเหลืองฤดูกาล 2005–06

เป็นเวลาหลายปีที่เสื้อทีมเยือนของสโมสรเป็นสีขาวหรือสีกรมท่า อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1968 สมาคมฟุตบอลอังกฤษได้สั่งห้ามทุกสโมสรสวมชุดแข่งโทนสีกรมท่า เนื่องจากคล้ายกับสีดำของชุดผู้ตัดสิน อาร์เซนอลจึงได้เปิดตัวชุดทีมเยือนแบบใหม่ในฤดูกาล 1969–70 ด้วยเสื้อสีเหลืองและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน และชุดนี้ถูกใช้ครั้งแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ค.ศ. 1971 ซึ่งอาร์เซนอลเอาชนะลิเวอร์พูล 2–1 และเป็นการชนะเลิศฟุตบอลลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาลเดียวกันเป็นครั้งแรก (ดับเบิลแชมป์) ซึ่งในเวลาต่อมาเสื้อทีมเยือนสีเหลืองและกางเกงสีน้ำเงินนี้ได้รับความนิยมแทบจะเท่ากับชุดแข่งทีมเหย้าสีแดงขาว อาร์เซนอลเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้งในฤดูกาลต่อมา ครั้งนี้พวกเขาสวมชุดทีมเหย้าตามปกติ และแพ้ลีดส์ยูไนเต็ด 0–1 อาร์เซนอลจึงกลับไปใช้ชุดทีมเยือนสีเหลืองในอีกสามครั้งต่อมาที่พวกเขาเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ตั้งแต่ ค.ศ. 1978–80 สโมสรยังใช้สีเหลืองและน้ำเงินเป็นชุดเยือนหลักกระทั่ง ค.ศ. 1982 ได้มีการเปิดตัวชุดทีมเยือนใหม่เป็นสีเขียวและสีกรมท่า แต่ไม่เป็นที่พอใจของแฟนบอล จึงกลับไปใช้สีเหลืองและน้ำเงินแต่มีการปรับโทนสีน้ำเงินให้เข้มขึ้น

เมื่อไนกี้รับช่วงต่อจากอาดิดาสในฐานะผู้ผลิตชุดแข่งของอาร์เซนอลใน ค.ศ. 1994 อาร์เซนอลได้ใช้เสื้อและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเป็นชุดทีมเยือน และมีการเปลี่ยนสีชุดทีมเยือนหลายครั้งนับตั้งแต่นั้น รวมถึงในช่วงหลังที่สโมสรฟุตบอลทั่วโลกทำการขยายตลาดโดยการออกแบบชุดแข่งที่สาม โดยตลอดทศวรรษ 2000 อาร์เซนอลมีทั้งการใช้สีน้ำเงินล้วน, สีเหลืองและน้ำเงิน, สีกรมท่า สีทอง และสีขาวเป็นชุดทีมเยือน รวมถึงใช้แถบสีแดงมะรูนร่วมกับเสื้อสีเหลืองในช่วง ค.ศ. 2010–13 และนับตั้งแต่ ค.ศ. 2014 เป็นต้นมา ชุดทีมเยือนและชุดแข่งที่สามของสโมสรมีการเปลี่ยนแปลงทุกฤดูกาล ปัจจุบันผู้ผลิตชุดแข่งของสโมสรคืออาดิดาส[54]

สนามแข่งขัน

 
อาร์เซนอลสเตเดียม ในย่านไฮบรีสนามเหย้าของสโมสรอาร์เซนอลตั้งแต่ ค.ศ. 1913–2006

ในช่วงแรก อาร์เซนอลลงเล่นที่สนามย่านวูลิช บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน แต่เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ทำเลที่คับแคบ ไม่สะดวกต่อการเดินทางและจุผู้ชมได้น้อย เฮนรี่ นอร์ริส ผู้บริหารคนใหม่จึงนำทีมย้ายมาสู่ลอนดอนเหนือ และพวกเขาได้เปิดใช้สนาม อาร์เซนอลสเตเดียม ในย่านไฮบิวรี่ เป็นสนามเหย้าอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1913 จนถึง 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 โดยมักจะเป็นที่รู้จักในชื่อ ไฮบิวรี่ เนื่องจากตั้งอยู่ในย่านไฮบิวรี่ และแฟน ๆ มักจะเรียกสนามแห่งนี้ด้วยฉายาน่ารัก ๆ ว่า "บ้านของฟุตบอล"[55][56]

อาร์เซนอลสเตเดียมเริ่มสร้างใน ค.ศ. 1913 บนสนามพักผ่อนของวิทยาลัยท้องถิ่นแห่งหนึ่ง และมีการปรับปรุงใหม่ครั้งสำคัญ ๆ สองครั้ง[57] ครั้งแรกในราวทศวรรษที่ 1930 คือการปรับปรุงอัฒจันทน์ด้านตะวันออกและตะวันตก และครั้งที่สองตอนปลายทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษที่ 1990 โดยมีการยกเลิกพื้นที่สำหรับการยืนชมเกมทั้งสองข้างสนามออกและทำเป็นที่นั่งทั้งหมดบนอัฒจันทน์ทั้งสี่ด้าน ทำให้สนามจุผู้ชมได้น้อยลงส่งผลให้มีรายได้จากการจำหน่ายตั๋วไม่มากพอ อาร์เซนอลจึงย้ายสนามเหย้าไปอยู่ที่เอมิเรตส์สเตเดียมใน ค.ศ. 2006 ในปัจจุบัน ไฮบิวรี่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นศูนย์รวมอพาร์ทเมนต์และคอนโดมิเนียม[58] ไฮบิวรี่ยังเคยเป็นสนามที่ใช้แข่งขันของทีมชาติอังกฤษและเอฟเอคัพนัดสำคัญ รวมไปถึงกีฬาชกมวย, เบสบอลและคริกเกต นอกจากนี้ สนามยังมีรถไฟใต้ดินผ่านจากสถานี Gillespie Road โดยใน ค.ศ. 1932 สถานีได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สถานีรถไฟใต้ดินอาร์เซนอล" ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวของอังกฤษที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอล[59][60][61]

สนามเหย้าในปัจจุบันของสโมสรคือ เอมิเรตส์สเตเดียม (Emirates Stadium) หรือ สนามกีฬาเอมิเรตส์ ตั้งอยู่ที่แอชเบอร์ตันโกรฟในฮอลโลเวย์ (Holloway) ลอนดอนเหนือ เปิดใช้งานเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2006 ความจุ 60,355 ที่นั่ง ถือเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกเป็นรองเพียงโอลด์แทรฟฟอร์ด และเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในลอนดอนรองจากเวมบลีย์และทวิกเคนแฮม เดิมทีสนามนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ แอชเบอร์ตันโกรฟ ก่อนที่จะมีการใช้ชื่อตามข้อตกลงของสายการบินเอมิเรตส์ ผู้สนับสนุนหลักของสโมสร[62] มูลค่าการก่อสร้างของสนามอยู่ที่ 390 ล้านปอนด์[63]

สนามแห่งนี้มีอัฒจันทน์ที่มีหลังคารายล้อมทั้ง 4 ทิศ แต่ไม่มีหลังคาบริเวณพื้นสนาม ออกแบบโดยสถาปนิกจาก HOK Sport ตรวจสอบโครงสร้างทางวิศวกรรมโดยบริษัท Buro Happold ผู้ควบคุมการสร้างคือ เซอร์ โรเบิร์ต แมคอัลไพน์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเขตอุตสาหกรรมแอชเบอร์ตันโกรฟเดิม ห่างจากไฮบิวรี สนามเดิมเพียงไม่กี่ร้อยเมตร นอกจากนี้ เอมิเรตส์สเตเดียมยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุดและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่สุดในบรรดาทีมกีฬาทุกประเภทของสหราชอาณาจักร[64][65][66]

บรรยากาศในสนามเอมิเรตส์สเตเดียม

แฟนคลับและความนิยม

 
แฟนฟุตบอลของสโมสรอาร์เซนอล

แฟนฟุตบอลของสโมสรมีชื่อเรียกว่า "Gooners" ซึ่งมาจากฉายา "Gunners" ของสโมสร ในฤดูกาล 2007–08 สโมสรมียอดผู้เข้าชมในสนามเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในอังกฤษ โดยมียอดเฉลี่ย 60,000 คนต่อเกม (คิดเป็น 95.5% ของความจุทั้งหมด) และยังมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในฤดูกาล 2015 นอกจากนี้อาร์เซนอลยังมียอดผู้เข้าชมในสนามมากที่สุดเป็นอันดับ 7 ในทวีปยุโรป และเนื่องด้วยสภาพที่ตั้งของสโมสรซึ่งตั่งอยู่แถบลอนดอนเหนือติดกับย่าน Canonbury และ Barnsbury ซึ่งเป็นย่านของคนมีฐานะ และยังใกล้เคียงกับย่านของชนชั้นกลางอย่าง Islington, Holloway, Highbury และ London Borough of Camden รวมทั้งพื้นที่ชนชั้นแรงงานส่วนใหญ่เช่น Finsbury Park และ Stoke Newington ส่งผลให้แฟนฟุตบอลของสโมสรมาจากชนชั้นทางสังคมที่หลากหลาย[67][68][69]

ใน ค.ศ. 2015 มีการสำรวจความนิยมจากแฟนฟุตบอลทั่วทั้งโลก ผ่านโปรแกรมทวิตเตอร์พบว่า อาร์เซนอลเป็นสโมสรที่มีฐานผู้นิยมมากที่สุด โดยกระจายไปในหลายทวีปทั้งยุโรป, อเมริกาเหนือ และ แอฟริกาเหนือ และยังเป็นสโมสรแห่งแรกของอังกฤษที่มีผู้ติดตามทางทวิตเตอร์มากถึง 5 ล้านคน[70]

สโมสรคู่อริ

 
ดาร์บีลอนดอนเหนือใน ค.ศ. 2010
 
โรบิน ฟัน แปร์ซี กองหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังจะยิงลูกจุดโทษในนัดที่พบกับอาร์เซนอล สโมสรเก่า

อาร์เซนอลถือเป็นคู่ปรับสำคัญของทอตนัมฮอตสเปอร์ เนื่องด้วยทั้งสองสโมสรตั้งอยู่ในลอนดอนเหนือ การพบกันของทั้งสองทีมเรียกว่า “ศึกแห่งลอนดอนเหนือ(North London Derby)[71][72] โดยที่มาของการเป็นอริกันนั้นมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1910[73] สโมสรอาร์เซนอลในขณะนั้นยังใช้ชื่อเดิมว่า “วูลวิช อาร์เซน่อล (Woolwich Arsenal)” เป็นทีมในลีกดิวิชันหนึ่ง มีสนามเหย้าอยู่ในย่านวูลวิชทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน ในเวลานั้นสโมสรกำลังประสบปัญหาทางด้านการเงินครั้งใหญ่จนเกือบจะล้มละลาย เจ้าของสโมสรเดิมต้องประกาศขายทีมเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งผู้ที่ได้เข้าเป็นเจ้าของทีมคนใหม่ ได้แก่ “เฮนรี นอร์ริสนักธุรกิจแห่งกรุงลอนดอน[74]

ความตั้งใจแรกของนอร์ริสในการแก้ปัญหาทีมคือการควบรวมทีมวูลวิช อาร์เซนอล เข้ากับสโมสรฟูลัม ซึ่งเป็นอีกทีมในเมืองลอนดอนที่เฮนรีเป็นเจ้าของอยู่เช่นกัน เพื่อเพิ่มฐานแฟนบอลและรายได้แก่สโมสร แต่เรื่องนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ นอร์ริสจึงต้องย้ายที่ตั้งทีมไปยังย่านที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่นกว่าเขตวูลวิช ซึ่งนอร์ริสได้เลือกย่าน “ไฮบรี” ทางตอนเหนือของลอนดอน และทำเรื่องย้ายสโมสรไปยังลอนดอนเหนือใน ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นอริระหว่างสองสโมสร เดิมทีนั้น สเปอร์เป็นเพียงสโมสรเดียวที่ตั้งอยู่ในย่านลอนดอนเหนือ พวกเขาเปรียบเสมือน “เจ้าถิ่น” และเป็นความภาคภูมิใจของคนในย่านนั้น การย้ายมาของ วูลวิช อาร์เซนอล จึงเหมือนการรุกล้ำเขตแดนของพวกเขา และเริ่มสร้างความไม่พอใจแก่แฟนบอลสเปอร์ที่โดนแย่งฐานแฟนคลับไป

และเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ถือเป็นสาเหตุหลักแห่งความเกลียดชังของทั้งสองทีมนั้นเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919[75][76] หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฟุตบอลลีกได้กลับมาแข่งขันอีกครั้งหลังจากหยุดพักไปตั้งแต่ ค.ศ. 1915 สมาคมฟุตบอลอังกฤษมีมติเพิ่มจำนวนทีมในดิวิชันหนึ่งจาก 20 ทีมเป็น 22 ทีม ในฤดูกาล 1919–20[77] โดยได้ตัดสินใจให้ทีมอันดับ 1 และ 2 ของดิวิชั่นสอง (ดาร์บีเคาน์ตี และ เพรสตันนอร์ทเอนด์) ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาในลีกสูงสุดอย่างดิวิชันหนึ่งโดยอัตโนมัติ[78] และในโควตาสุดท้ายอีกหนึ่งทีมนั้น สมาชิกได้ร่วมกันโหวตเลือกให้อาร์เซนอลซึ่งจบเพียงอันดับ 5 ในดิวิชันสองเลื่อนชั้นขึ้นมาแทน โดยตัดสิทธิ์ทีมอันดับ 20 ของดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1914–15 อย่างสเปอร์[79] ส่งผลให้พวกเขาต้องตกชั้น ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้มีการกล่าวหาว่า เฮนรี นอร์ริส ได้ใช้วิธีวิ่งเต้นและให้ผลประโยชน์กับสมาคมเพื่อให้ทีมได้เลื่อนชั้น แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน และทำให้ทั้งสองสโมสรเป็นอริกันมานับแต่นั้น โดยการพบกันของทั้งคู่ถือเป็นหนึ่งในนัดที่ดุเดือดที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลของยุโรป[80]

สโมสรอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของอาร์เซนอลได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซี[81] และ ลิเวอร์พูล[82] เนื่องจากเป็นสโมสรใหญ่ที่แย่งชิงความสำเร็จกันมายาวนาน โดยเฉพาะการเป็นอริกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 และต้นทศวรรษที่ 2000 ถือว่ามีความดุเดือดมาก[83][84][85] เนื่องจากอาร์เซนอลที่คุมทีมโดยอาร์แซน แวงแกร์ แย่งชิงการเป็นสโมสรอันดับหนึ่งของอังกฤษกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่คุมทีมโดยอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยผลัดกันแพ้-ชนะ หลายครั้งในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ[86][87] แต่บรรยากาศความเป็นอริของทั้งคู่ได้ลดลงพอสมควรภายหลังจาก ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา เนื่องจากมีเชลซี ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ซิตีก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และในปัจจุบันทั้งแวงแกร์และเฟอร์กูสันต่างก็อำลาทีมไปแล้ว

ผู้ผลิตเสื้อและผู้สนับสนุน

ฤดูกาล ผู้ผลิตเสื้อ ผู้สนับสนุนเสื้อ
1930s–1970 บัคตา ไม่มี
1971–1980 อัมโบร
1981–1986 เจวีซี
1986–1994 อาดิดาส
1994–1999 ไนกี้
1999–2002 ดรีมแคสต์ / เซก้า1
2002–2006 โอทู
2006–2014 เอมิเรตส์แอร์ไลน์
2014– พูม่า

ผู้เล่น

ผู้เล่นทีมชุดแรก

ณ วันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2024[88]

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
2 DF   วีลียาม ซาลีบา
3 DF   เคียแรน เทียร์นีย์
4 DF   เบน ไวต์
5 MF   ทอมัส พาร์ทีย์
6 DF   กาบรีแยล มากัลไยส์
7 MF   บูกาโย ซากา
8 MF   มาร์ติน เออเดอโกร์ (กัปตันทีม)[89]
9 FW   กาบรีแยล เฌซุส
10 FW   ราฮีม สเตอร์ลิง (ยืมตัวจาก เชลซี)[90]
11 FW   กาบรีแยล มาร์ชีแนลี
12 DF   ยือร์รีเยิน ติมเบอร์
เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
15 DF   ยากุป กีวียอร์
17 DF   ออแลกซันดร์ ซินแชนกอ
18 DF   ทาเกฮิโระ โทมิยาซุ
19 MF   เลอันโดร โตรสซาร์ด
20 MF   ฌอร์ฌีญู
22 GK   ดาบิด รายา
23 MF   มิเกล เมริโน
29 MF   ไค ฮาเวิทซ์
32 GK   แนตู (ยืมตัวจาก บอร์นมัท)[91]
33 DF   ริกการ์โด กาลาฟีโอรี
41 MF   เดคลัน ไรซ์

ผู้เล่นที่ถูกปล่อยยืม

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
21 MF   ฟาบียู วีไยรา (ไป โปร์ตู จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2025)[92]
24 FW   รีสส์ เนลสัน (ไป ฟูลัม จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2025)[93]
27 FW   มาร์กิญญุส (ไป ฟลูมิเนนเซ จนถึงวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2025)[94]
เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
31 GK   คาร์ล เฮน (ไป เรอัลบายาโดลิด จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2025)[95]
DF   นูโน ทาวาเรส (ไป ลัตซีโย จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2025)[96]
23 MF   อัลแบร์ ซัมบี โลกงกา (ไป เซบิยา จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2025)[97]

บุคลากร

ข้อมูล ณ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2024
 
มิเกล อาร์เตตา อดีตกัปตันทีมของสโมสร ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019[98]
 
อาร์แซน แวงแกร์ ผู้จัดการทีมซึ่งคุมทีมยาวนานที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดของสโมสร[99]
ตำแหน่ง รายชื่อ
ผู้จัดการทีม   มิเกล อาร์เตตา[100]
ผู้ช่วยผู้จัดการทีม   อัลเบิร์ต สตอยเฟนเบิร์ก[101]
  การ์โลส กูร์เอสตา[102]
  นีกอลา โจเวอร์[103]
  มิเกล โมลินา[102]
ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู   กานา ปาร์วอน[101]
ผู้ดูแลทีมเยาวชน   แพร์ แมร์เทิสอัคเคอร์[104]
ผู้จัดการทีมรุ่นต่ำกว่า 23 ปี   เควิน เบสซี[105]
หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ   ชัด ฟอร์ซิธ[106]
หัวหน้าทีมแพทย์   แกรี โอดริสโคลล์ [107]
ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค   เอดู[108]

อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง

เรียงตามปีที่เริ่มเล่นในทีมอาร์เซนอลชุดใหญ่เป็นครั้งแรก (ในวงเล็บคือปี ค.ศ.) :

สถิติสำคัญ

 
ตีแยรี อ็องรี เจ้าของสถิติทำประตูมากที่สุดของสโมสร
  • อาร์เซนอลเป็น 1 ใน 4 สโมสรของอังกฤษที่ได้แชมป์ลีกสูงสุดติดต่อกัน 3 ครั้ง (ฤดูกาล 1932–33, 1933–34 และ 1934–35)
  • เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 อาร์เซนอลได้รับการจัดลำดับจากสำนักข่าวบีบีซีให้เป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 100 ปี โดยพิจารณาจากสถิติ และปัจจัยต่าง ๆ โดยมีลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน เป็นอันดับสองและอันดับสามตามลำดับ[109]
  • ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001–02 อาร์เซนอลสามารถทำประตูได้ในทุกนัด เป็นสถิติสูงสุดของลีก
  • ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–04 อาร์เซนอลไม่แพ้ใครตลอดฤดูกาล 38 นัด (ชนะ 26 และ เสมอ 12) เป็นครั้งแรกของพรีเมียร์ลีก และครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษต่อจาก เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ในฤดูกาล 1888–89 ซึ่งขณะนั้นมีการแข่งขันเพียง 22 นัดต่อฤดูกาล[110]
  • อาร์เซนอลทำสถิติไม่แพ้ทีมใดในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 49 นัด ระหว่างฤดูกาล 2002–03, 2003–04, 2004–05 ซึ่งเป็นสถิติการไม่แพ้ติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษ[111]
  • ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–04 ทีมอาร์เซนอลชุดที่ไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งฤดูกาล ได้รับการโหวตจากแฟนฟุตบอลให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 20 ปี โดยมีแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1998–99 ที่ได้ทริปเปิลแชมป์ หรือสามแชมป์ในฤดูกาลเดียวกัน เป็นอันดับสอง[112]
  • ผู้จัดการทีมที่คุมทีมยาวนานที่สุด: อาร์แซน แวงแกร์, 21 ปี 224 วัน (1 ตุลาคม ค.ศ. 1996 –13 พฤษภาคม 2018)
  • ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด: อาร์แซน แวงแกร์, ชนะเลิศถ้วยรางวัล 17 รายการ (ค.ศ. 1996–2018)[113]
  • ผู้เล่นที่ลงสนามรวมทุกรายการมากที่สุด: เดวิด โอเลียรี (722 นัด ค.ศ. 1975–1993)
  • ผู้เล่นที่ทำประตูรวมทุกรายการมากที่สุด: ตีแยรี อ็องรี (228 ประตู ค.ศ. 1999–2007 และ 2012)[114]
  • การซื้อตัวผู้เล่นที่แพงที่สุด: นีกอลา เปเป (72 ล้านปอนด์ ย้ายจากล็อสก์ลีล ค.ศ. 2019)[115]
  • การขายผู้เล่นที่แพงที่สุด: อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน (40 ล้านปอนด์ ย้ายไปลิเวอร์พูล ค.ศ. 2017)
  • ชนะด้วยผลประตูมากที่สุด: ชนะ Loughborough 12–0 ในฟุตบอลดิวิชั่น 2 ค.ศ. 1900[116]
  • แพ้ด้วยผลประตูมากที่สุด: แพ้ Loughborough 0–8 ในฟุตบอลดิวิชั่น 2 ค.ศ. 1896[117]

ในวัฒนธรรมร่วมสมัย

อาร์เซนอล ถูกอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายครั้ง เช่น เป็นคู่ชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ เรอัลมาดริด ของสเปน ในภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษเรื่อง Goal II: Living the Dream ในปี 2007 โดยมีนักฟุตบอลตัวจริงของทั้งสองสโมสรร่วมแสดงหลายคน เช่น ตีแยรี อ็องรี, เดวิด เบคแคม, ซีเนดีน ซีดาน[118] และมีการอ้างถึงในซีรีส์เกาหลีเรื่อง Because This Is My First Life ในปี 2017 โดยกำหนดให้นางเอกของเรื่องเป็นแฟนอาร์เซนอลและได้ดูการแข่งขันของอาร์เซลนอลกับเชลซีคู่กับพระเอก[119]

เกียรติประวัติ

อาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมากเป็นอันดับ 3 ในอังกฤษจำนวน 13 สมัย (นับรวมฟุตบอลดิวิชันหนึ่งและพรีเมียร์ลีก)[120] และครองสถิติคว้าแชมป์เอฟเอคัพมากที่สุด 14 สมัย[121] และยังเป็นหนึ่งในสองสโมสรร่วมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่คว้าดับเบิลแชมป์ได้ 3 ครั้ง (แชมป์ลีกและเอฟเอคัพในปีเดียวกัน) คือ ค.ศ. 1971, 1998 และ 2002[122] อาร์เซนอลยังเป็นทีมแรกของกรุงลอนดอนที่สามารถเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ (ปี 2006)[123]

อาร์เซนอลเคยจบฤดูกาลในลีกด้วยอันดับที่ต่ำกว่าอันดับ 14 เพียงแค่ 7 ครั้งเท่านั้น และยังเป็นทีมที่มีอันดับในลีกเฉลี่ยดีที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 20 (ช่วง ค.ศ. 1900–1999) อีกด้วย โดยอันดับเฉลี่ยคือ 8.5[124] นอกจากนี้ อาร์เซนอลยังเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่คว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ 2 สมัยติดต่อกัน (ฤดูกาล 2002–03 และ 2014–15)

  ระดับประเทศ

  • ดิวิชันสอง[remark 2]
    • รองชนะเลิศ (1): 1903–04

  ระดับทวีปยุโรป

รายการอื่น ๆ

กราฟแสดงอันดับในการแข่งขันฟุตบอลลีกของสโมสรอาร์เซนอล เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1893

ทีมฟุตบอลหญิง

 
ทีมฟุตบอลหญิงของอาร์เซนอลในฤดูกาล 2018–19

ทีมฟุตบอลหญิงของอาร์เซนอลก่อตั้งโดย วิค เอเคอรส์ อดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษใน ค.ศ. 1987 ในชื่อ Arsenal Ladies F.C และลงเล่นในฐานะสโมสรกึ่งอาชีพใน ค.ศ. 2002 และเอเคอร์ยังดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรอีกด้วย ต่อมาใน ค.ศ. 2017 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 30 ปีการก่อตั้งสโมสร ได้มีการเปลี่ยนชื่อทีมเป็น Arsenal Women F.C[125][126] และโดยทั่วไปพวกเธอจะเรียกแทนตัวเองสั้น ๆ ว่า อาร์เซนอล (Arsenal) ยกเว้นในบางโอกาสที่อาจจะสับสนกับชื่ออาร์เซนอลของทีมชาย สโมสรจึงจะเลี่ยงไปใช้ชื่อเต็ม

สโมสรหญิงของอาร์เซนอลเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาทีมฟุตบอลหญิงของอังกฤษ[127] พวกเธอชนะเลิศถ้วยรางวัลรวม 58 รายการและในฤดูกาล 2008–09 สโมสรทำสถิติชนะเลิศการแข่งขันสามรายการหลักในฤดูกาลเดียวกัน (FA Women's National League, Women's FA Cup และ FA Women's National League Cup) และเป็นสโมสรหญิงทีมแรกของอังกฤษที่รับรางวัลยูฟ่าวีเมนส์คัพ หรือ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยชนะเลิศในฤดูกาล 2006–07 ปัจจุบันสโมสรเล่นในสนามเหย้าที่ Meadow Park และมีผู้จัดการทีมคือ โยนัส ไอเดวอลล์

เชิงอรรถ

  1. ตั้งชื่อตามการยืนตำแหน่งของผู้เล่นในสนาม ถูกคิดค้นในช่วงกลางทศวรรษ 1920 โดย เฮอร์เบิร์ต แชปแมน โดยจะลดจำนวนผู้เล่นในเกมรุกลง และใช้กองหลังตัวกลางหยุดกองหน้าฝ่ายตรงข้าม แผนการเล่นนี้อาจเป็นการยืนแบบ 3–2–5 หรือ 3–4–3 ก็ได้
  2. มีการกล่าวหาว่าการเลื่อนชั้นของอาร์เซนอลนั้นเกิดจากการกระทำลับ ๆ ของเซอร์ เฮนรี นอร์ริส ประธานสโมสรในขณะนั้น มีการกล่าวหากันตั้งแต่เรื่องการใช้วิธีการทางการเมืองและการรับสินบน แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานที่แน่ชัด อ่านข้อเท็จจริงได้ใน Soar & Tyler (2005). The Official Illustrated History of Arsenal. pp. p.40.CS1 maint: extra text (link) รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถค้นคว้าได้ที่ Spurling, Jon (2004). Rebels for the Cause: The Alternative History of Arsenal Football Club. Mainstream. pp. pp.38–41. ISBN 0-575-40015-3.CS1 maint: extra text (link)
  1. นับตั้งแต่ ค.ศ. 1992 พรีเมียร์ลีกกลายเป็นลีกระดับสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ส่วนฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชันและเซคันด์ดิวิชันกลายเป็นลีกระดับสองและสามแทน และนับตั้งแต่ ค.ศ. 2004 เฟิสต์ดิวิชันกลายเป็นแชมเปียนชิปและเซคันด์ดิวิชันกลายเป็นลีกวัน
  2. นับตั้งแต่ ค.ศ. 1992 พรีเมียร์ลีกกลายเป็นลีกระดับสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ส่วนฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชันและเซคันด์ดิวิชันกลายเป็นลีกระดับสองและสามแทน และนับตั้งแต่ ค.ศ. 2004 เฟิสต์ดิวิชันกลายเป็นแชมเปียนชิปและเซคันด์ดิวิชันกลายเป็นลีกวัน
  3. ชาริตีชิลด์เปลี่ยนชื่อเป็นคอมมิวนิตีชิลด์ในปี 2002

อ้างอิง

  1. "10/05/2017 -'Royal Arsenal' formed in Woolwich". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2 November 2018.
  2. "Premier League Handbook 2018–19". Premier League. 30 July 2018. สืบค้นเมื่อ 3 January 2019.
  3. "Kroenke completes Arsenal takeover as fans forced to sell shares". สืบค้นเมื่อ 29 September 2018.
  4. "How Arsenal's Name Changed – Arsenal | The Arsenal History". web.archive.org. 2015-08-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-08-06. สืบค้นเมื่อ 2021-12-04.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  5. UEFA.com (2017-05-21). "Most consecutive UEFA Champions League campaigns". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  6. "Herbert Chapman Hall Of Fame profile" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  7. "Arsenal - Historical Football Kits". historicalkits.co.uk.
  8. https://www.nationalfootballmuseum.com/halloffame/herbert-chapman/
  9. 161385360554578 (2011-06-10). "Arsenal's greatest ever manager: Herbert Chapman, Arsene Wenger or George Graham?". talkSPORT (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).{{cite web}}: CS1 maint: numeric names: authors list (ลิงก์)
  10. Williams, Adam. "Arsenal's Five Most Successful Managers | FTBL CULT" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  11. "Arsenal's Arsene Wenger becomes most successful manager in FA Cup history | Goal.com". www.goal.com.
  12. "Arsenal Invincibles: How Wenger's 2003-04 Gunners went a season without defeat | Goal.com". www.goal.com.
  13. "Remember this day in 2003 when Arsenal began their 49-match unbeaten run?" (ภาษาอังกฤษ). ISSN 0140-0460. สืบค้นเมื่อ 2021-08-14.
  14. "Rooney ends Arsenal run". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
  15. "Arsenal". Forbes. 18 April 2012. สืบค้นเมื่อ 22 April 2012.
  16. "Top 10: Europe's Most Popular Football Clubs on Instagram, Facebook, Twitter and TikTok". www.ispo.com (ภาษาอังกฤษ).
  17. Andy Kelly (2014-09-20). "Victoria Concordia Crescit – The Origin of Arsenal's Famous Motto". The Arsenal History (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  18. Soar, Phil & Tyler, Martin (2005). The Official Illustrated History of Arsenal. Hamlyn. pp. 32–33. ISBN 0-600-61344-5.{{cite book}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  19. Soar & Tyler (2005). The Official Illustrated History of Arsenal. p. 40.
  20. "Herbert Chapman - The great innovator". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  21. "HERBERT CHAPMAN". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  22. "London Underground and Arsenal present The Final Salute to Highbury". Transport for London. 2006-01-12. สืบค้นเมื่อ 2007-04-08.
  23. https://web.archive.org/web/20160701111225/https://afchistory.wordpress.com/2013/01/06/the-death-of-herbert-chapman-of-arsenal-on-this-day-6th-january-1934/
  24. โพลล์สำรวจแฟนบอลอังกฤษ 2005 โหวตให้เกมเอฟเอคัพปี 1979 เป็นหนึ่งใน 15 แมตช์คลาสสิกตลอดกาล. Reference: Winter, Henry (2005-04-19). "Classic final? More like a classic five minutes". Daily Telegraph. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-21. สืบค้นเมื่อ 2007-01-30.
  25. "Archive: Arsenal survive Cup scare". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-08-15.
  26. แกรแฮมโดนสมาคมฟุตบอลอังกฤษลงโทษด้วยการแบนเป็นเวลา 1 ปีสำหรับการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวนี้ หลังจากที่เขายอมรับว่าเขารับ"ของขวัญที่ไม่ได้ขอ"จาก Hauge อ้างอิงจาก: Collins, Roy (2000-03-18). "Rune Hauge, international man of mystery". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2006-12-08. กรณีนี้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน Bower, Tom (2003). Broken Dreams. Simon & Schuster. ISBN 0-7434-4033-1.
  27. "Arsenal - summary of the 1995/96 season". Arseweb. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2007-01-30.
  28. tactics, R. D. F. (2021-02-22). "Arsene Wenger's 2003-04 Invincibles Football Manager 2021 Tactic". RDF tactics (ภาษาอังกฤษ).
  29. "Wenger introduced Arsenal players to 'vitamin injections', says Wright". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2020-04-12.
  30. "Arsene Wenger: The man who was once invincible". CNN.
  31. Rees, Jasper (2003-08-19). "Jasper Rees: Training Arsenal the Wenger way". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
  32. Hughes, Ian (2004-05-15). "Arsenal the Invincibles". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2006-12-08.
  33. "Barcelona 2-1 Arsenal" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2006-05-17. สืบค้นเมื่อ 2021-08-31.
  34. "Remembering Arsenal's First Game At the Emirates Stadium". 90min.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  35. Bhattacharyya, Bishwaraj. "Longest Serving Arsenal Managers Of All-Time As Of 2019" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  36. "Arsenal boss Arsene Wenger becomes longest-serving Premier League manager". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
  37. "Welcome Unai". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  38. "Unai Emery announced as new Arsenal head coach". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
  39. UEFA.com (2019-05-29). "Chelsea win the 2019 UEFA Europa League". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  40. "Unai Emery leaves club". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  41. "Mikel Arteta joining as our new head coach". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  42. "Aubameyang double wins FA Cup for Arsenal". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-08-13.
  43. "Arsenal change Arteta role as part of restructure". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2020-09-10.
  44. Spencer, Jonathan (2021-05-07). "How did Arsenal fare the last time they weren't in Europe?". Mail Online.
  45. Verri, Malik Ouzia, Matt (2022-05-22). "Arsenal vs Everton: Premier League - LIVE!". Evening Standard (ภาษาอังกฤษ).
  46. "Mikel Arteta: Arsenal 'must heal' after painful collapse in Premier League title race". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2023-05-20. สืบค้นเมื่อ 2024-05-27.
  47. "How Declan Rice's move to Arsenal compares with other big-money transfers". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2023-07-15.
  48. "Rice joins soccer's all-time most expensive XI with Arsenal transfer". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2023-07-15.
  49. "Arsenal beat Man City in penalty shootout to win Community Shield". Al Jazeera (ภาษาอังกฤษ).
  50. Soar, Phil; Tyler, Martin (3 October 2011). Arsenal 125 Years in the Making: The Official Illustrated History 1886–2011. Hamlyn.
  51. "Arsenal - Historical Football Kits". www.historicalkits.co.uk.
  52. "The official website for European football – UEFA.com". web.archive.org. 2020-03-11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-11. สืบค้นเมื่อ 2021-12-07.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  53. "Hibernian - Historical Football Kits". www.historicalkits.co.uk.
  54. "adidas and Arsenal launch new home kit". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  55. "สนามฟุตบอลของอาร์เซน่อล - Arsenal F.C." sites.google.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-08-13. สืบค้นเมื่อ 2021-08-13.
  56. Schreef, Richard Ohalloran. "Highbury (Arsenal Stadium) - London - The Stadium Guide" (ภาษาดัตช์).
  57. "FirstPort Development at Highbury Stadium". FirstPort (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-01-02.
  58. "Highbury". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  59. Matters, Transport for London | Every Journey. "Arsenal Underground Station". Transport for London (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  60. Andy Kelly (2015-10-31). "Arsenal underground station renamed earlier than believed". The Arsenal History (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  61. "Arsenal | Hidden London" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  62. "อาร์เซนอล เอฟซี | การให้การสนับสนุนฟุตบอล | ผู้ให้การสนับสนุน | เอมิเรตส์ประเทศไทย". ไทย.
  63. "Emirates Stadium (Ashburton Grove) – StadiumDB.com". stadiumdb.com.
  64. "Emirates Stadium". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  65. "Emirates Stadium Arsenal FC, Info & Map | Premier League". www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
  66. "Emirates Stadium - Europe's most successful Football Stadium". Populous (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  67. "Arsenal Supporters Club – The Home of Gunflash" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-04-22. สืบค้นเมื่อ 2021-08-14.
  68. "Arsenal Supporters Clubs". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  69. Smith, George (2021-05-21). "Arsenal Supporters' Trust call for another fans' protest ahead of Brighton clash". Football.London (ภาษาอังกฤษ).
  70. "เท่! ปืนเจ๋งยอดคนตามทวิตเตอร์ทะลุ 5 ล้านทีมแรกพรีเมียร์ฯ". fourfourtwo. 24 December 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-11-01. สืบค้นเมื่อ 27 August 2016.
  71. "North London Derby History Tottenham Hotspur vs. Arsenal Historical Head-to-Head". FBref.com (ภาษาอังกฤษ).
  72. "Arsenal vs Tottenham: Everything you need to know about the north London derby | Goal.com". www.goal.com.
  73. "ประวัติศาสตร์ความเกลียดชังแห่ง "ศึกลอนดอนเหนือ" บนเวที พรีเมียร์ลีก เกาะอังกฤษ | TunGame". www.tungame.co. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-08-14. สืบค้นเมื่อ 2021-08-14.
  74. Newman, Dylan (2015-02-15). "A Brief History of The North London Derby: Arsenal and Tottenham". Soccer Politics / The Politics of Football (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  75. Report, Arsenal. "Arsenal Report - Laughing at Spurs, since 1886". Arsenal Report.
  76. "How Arsenal were voted into the top flight over Tottenham in 1919". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).
  77. "ประวัติศาสตร์ความเกลียดชังแห่ง "ศึกลอนดอนเหนือ" บนเวที พรีเมียร์ลีก เกาะอังกฤษ | TunGame". www.tungame.co. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-08-14. สืบค้นเมื่อ 2021-08-14.
  78. Mark Andrews (2015-01-07). "Arsenal Elected to the First Division – 10 March 1919". The Arsenal History (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  79. "Arsenal's Election To The First Division In 1919 | The History of Arsenal". blog.woolwicharsenal.co.uk (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2013-01-19.
  80. Video, B/R. "The Story of the North London Derby". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
  81. "A brief history of the Arsenal-Chelsea rivalry and why it matters". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2015-04-22.
  82. "A brief guide to ... the still-compelling Arsenal-Liverpool rivalry". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2017-12-20.
  83. Dubas-Fisher, David; Kemble, Jamie (2020-10-30). "Arsenal's financial gap to Man United exposes the collapse of the old rivalry". Football.London (ภาษาอังกฤษ).
  84. "Arteta explains why Arsenal vs Manchester United rivalry has 'calmed down' | Goal.com". www.goal.com.
  85. "Top eight moments of Arsenal and Manchester United's rivalry" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2021-01-28.
  86. LTD, Digital Sports Group. "Sir Alex Ferguson vs Arsene Wenger: Complete head-to-head record". Football.co.uk (ภาษาอังกฤษ).
  87. "Sir Alex Ferguson vs Arsene Wenger: Complete head-to-head record". 90min.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  88. "Squad: First team". Arsenal F.C. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 January 2023. สืบค้นเมื่อ 31 August 2024.
  89. "Martin Odegaard named captain". Arsenal F.C. 30 July 2022. สืบค้นเมื่อ 8 September 2023.
  90. "Raheem Sterling signs for Arsenal on loan". Arsenal F.C. 31 August 2024. สืบค้นเมื่อ 31 August 2024.
  91. "Neto signs for Arsenal on season-long loan". Arsenal F.C. 30 August 2024. สืบค้นเมื่อ 31 August 2024.
  92. "Fabio Vieira joins Porto on season-long loan". Arsenal F.C. 28 August 2024. สืบค้นเมื่อ 31 August 2024.
  93. "Reiss Nelson joins Fulham on loan". Arsenal F.C. 30 August 2024. สืบค้นเมื่อ 31 August 2024.
  94. "Marquinhos joins Fluminense on loan". Arsenal F.C. 15 February 2024. สืบค้นเมื่อ 15 February 2024.
  95. "Karl Hein joins Real Valladolid on loan". Arsenal F.C. 13 August 2024. สืบค้นเมื่อ 13 August 2024.
  96. "Nuno Tavares completes loan move to Lazio". Arsenal F.C. 15 July 2024. สืบค้นเมื่อ 15 July 2024.
  97. "Sambi Lokonga joins Sevilla on season-long loan". Arsenal F.C. 15 July 2024. สืบค้นเมื่อ 15 July 2024.
  98. Ames, Nick (21 December 2019). "Mikel Arteta will not tolerate dissenters as he seeks to revive 'lost' Arsenal". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 July 2020. สืบค้นเมื่อ 16 December 2023.
  99. "Arsenal Manager History". Soccerbase. Centurycomm. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 December 2023. สืบค้นเมื่อ 16 December 2023.
  100. "Arteta pre-Bournemouth: every single word". Arsenal F.C. 23 December 2019. สืบค้นเมื่อ 23 December 2019.
  101. 101.0 101.1 "Coaching team named". Arsenal F.C. 24 December 2019. สืบค้นเมื่อ 24 December 2019.
  102. 102.0 102.1 "Coaching and backroom team". Arsenal F.C. 28 August 2020. สืบค้นเมื่อ 28 August 2020.
  103. "Arsenal hire former Man City coach Nicolas Jover as Andreas Georgson leaves for Malmo". Evening Standard. 5 July 2021. สืบค้นเมื่อ 20 July 2021.
  104. "Per Mertesacker to lead Arsenal academy". Arsenal F.C. 7 July 2017. สืบค้นเมื่อ 20 December 2019.
  105. "Kevin Betsy joins as our new under-23 head coach". Arsenal F.C. 3 August 2021. สืบค้นเมื่อ 3 August 2021.
  106. "Shad Forsythe to snub AC Milan interest with Darren Burgess set to leave Arsenal". Football.London. 12 June 2019. สืบค้นเมื่อ 20 December 2019.
  107. "Arsenal FC Key Personnel & Club Information". Premier League. 20 December 2019. สืบค้นเมื่อ 20 December 2019.
  108. "Edu named as our technical director". Edu named as our technical director (ภาษาอังกฤษ).
  109. "Football: How consistency and caution made Arsenal England's greatest team of the 20th century". independent.co.uk. 17 December 1999. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
  110. "2003/04 Season Review: Invincible Arsenal". www.premierleague.com (ภาษาอังกฤษ).
  111. "49 Unbeaten". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  112. "คอบอลโหวตปืนไร้พ่ายสุดยอดตลอดกาล-ทริปเปิ้ลแชมป์ผีปี 99 ตามมาติดๆ". arsenal.in.th. 20 April 2015. สืบค้นเมื่อ 18 July 2015.[ลิงก์เสีย]
  113. Turner, Mikhail. "Ranking the 5 Best Managers in Arsenal FC History". Bleacher Report (ภาษาอังกฤษ).
  114. Davies, Matt (2020-05-28). "Why Henry became Arsenal's all-time top scorer... and it's not talent". www.standard.co.uk (ภาษาอังกฤษ).
  115. Flood, George (2019-08-01). "First pictures: Nicolas Pepe poses in Arsenal kits after £72m switch". www.standard.co.uk (ภาษาอังกฤษ).
  116. "Scorelines". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  117. "Scorelines". www.arsenal.com (ภาษาอังกฤษ).
  118. "Goal II: Living the Dream (2007)". IMDb. สืบค้นเมื่อ 27 July 2015.
  119. "ซีรีส์เกาหลี :: Because This Is My First Life ซับไทย". ArsenalInThailand. 2017-10-11. สืบค้นเมื่อ 2017-10-12.
  120. "England - List of Champions". RSSSF. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
  121. ""อาร์เซนอล"ถล่ม"วิลลา"คว้าแชมป์เอฟเอคัพ12สมัย". นาว 26. สืบค้นเมื่อ 2015-05-31.[ลิงก์เสีย]
  122. "Doing the Double: Countrywise Records". RSSSF. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
  123. "Arsenal Football Club". PremierLeague.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-13. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
  124. Hodgson, Guy (January 2000). "Arsenal: Team of the Century 1900–1999". The Independent. Archive copy available at: "Arsenal: Team of the Century 1900–1999". Arseweb. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-12. สืบค้นเมื่อ 2008-08-11.
  125. https://www.arsenal.com/women/women-history
  126. https://www.arsenal.com/women/staff/clare-wheatley
  127. https://www.arsenal.com/women/honours

หนังสืออ่านเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ