โรบิน ฟัน แปร์ซี

โรบิน ฟัน แปร์ซี (ดัตช์: Robin van Persie, ออกเสียง: [ˈrɔbɪɱ vɑm ˈpɛrsi] ( ฟังเสียง); เกิดวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1983) เป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์ที่เคยเล่นในตำแหน่งกองหน้า นอกจากนั้นยังเคยเล่นเป็นปีกซ้ายได้อีกด้วย ปัจจุบันได้เลิกเล่นฟุตบอลแล้วโดยเขาได้เล่นให้กับไฟเยอโนร์ดเป็นสโมสรสุดท้าย[4]

โรบิน ฟัน แปร์ซี
Loco-Fener (10).jpg
ฟัน แปร์ซีขณะเล่นให้กับเฟแนร์บาห์เชใน ค.ศ. 2016
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม โรบิน ฟัน แปร์ซี[1]
วันเกิด (1983-08-06) 6 สิงหาคม ค.ศ. 1983 (39 ปี)[2]
สถานที่เกิด รอตเทอร์ดาม ประเทศเนเธอร์แลนด์
ส่วนสูง 1.83 เมตร (6 ฟุต 0 นิ้ว)[3]
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรเยาวชน
1988–1999 เอกแซ็ลซียอร์
1999–2001 ไฟเยอโนร์ด
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2001–2004 ไฟเยอโนร์ด 61 (14)
2004–2012 อาร์เซนอล 194 (96)
2012–2015 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 86 (48)
2015–2018 เฟแนร์บาห์เช 57 (25)
2018–2019 ไฟเยอโนร์ด 37 (21)
รวม 435 (204)
ทีมชาติ
2000 เนเธอร์แลนด์ อายุไม่เกิน 17 ปี 6 (0)
2001 เนเธอร์แลนด์ อายุไม่เกิน 19 ปี 6 (0)
2002–2005 เนเธอร์แลนด์ อายุไม่เกิน 21 ปี 12 (1)
2005–2017 เนเธอร์แลนด์ 102 (50)
จัดการทีม
2020– ไฟเยอโนร์ด (โค้ชกองหน้า)
เกียรติประวัติ
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

ฟัน แปร์ซีเป็นบุตรของคู่สามีภรรยาศิลปิน จึงได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักให้เป็นศิลปินตามรอยเท้าของผู้ให้กำเนิด แต่ฟัน แปร์ซีกลับเลือกที่จะเล่นฟุตบอลและได้เริ่มเล่นฟุตบอลกับเอส.เบ.เฟ. เอกแซ็ลซียอร์ (S.B.V. Excelsior) สโมสรดัตช์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งโดยเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสรเมื่อปี ค.ศ. 2001 จากนั้นก็ได้เซ็นสัญญากับสโมสรฟุตบอลไฟเยอโนร์ด สโมสรดังประจำบ้านเกิดเมืองนอนของเขาเมื่อปี ค.ศ. 2002 ทำให้ฟัน แปร์ซีมีโอกาสได้สัมผัสด้วยแชมป์ยูฟ่าคัพ 2002 อีกด้วย ฟัน แปร์ซีเริ่มมีชื่อเสียงเนื่องจากเป็นนักเตะอายุน้อยที่มีพรสวรรค์ แต่กลับมีปัญหาเรื่องระเบียบวินัยกับไฟเยอโนร์ดแห่งนี้ จนแบร์ต ฟัน มาร์ไวก์ ผู้จัดการทีมที่เริ่มทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของเขาต้องการให้เขาย้ายสโมสร จนในที่สุดก็เป็นอาร์เซนอล (ภายใต้การคุมทีมของอาร์แซน แวงแกร์) ที่ยังเล็งเห็นถึงความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวฟัน แปร์ซีอยู่ และได้ทำสัญญากับเขาเมื่อปี ค.ศ. 2004 ด้วยค่าตัว 2.75 ล้านปอนด์ นับจากนั้นมา ฟัน แปร์ซีก็ช่วยให้อาร์เซนอลคว้าแชมป์คอมมิวนิตีชิลด์และเอฟเอคัพตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่มาค้าแข้งอยู่ที่ลอนดอน จากนั้นก็ได้รับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมประจำปีแห่งเมืองโรตเตอร์ดัมเมื่อปี ค.ศ. 2006 อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 4 ปีแรกที่อยู่กับอาร์เซนอลนั้น เขาก็ไม่ได้มีโอกาสได้ลงสนามมากเท่าที่ควรเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ แต่ยามใดที่พร้อมลงสนามก็มักจะได้รับโอกาสลงเป็นตัวจริงเสมอ

ฟัน แปร์ซีขึ้นชื่อเรื่องการมีเท้าซ้ายที่หนักหน่วงและเคยเป็นนักฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ โดยได้ลงเล่นประเดิมทีมชาติชุดใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 2005 และได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ยูโร 2008 และรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 รวมถึงอันดับสามฟุตบอลโลก 2014 ในฐานะกัปตันทีมอีกด้วย

ชีวิตวัยเด็กแก้ไข

โรบิน ฟัน แปร์ซี เติบโตในย่านกราลิงเงินแห่งโรตเตอร์ดัมตะวันออก มารดาคือ โคเซ รัส เป็นจิตรกร ส่วนบิดาคือ บ็อบ เป็นประติมากร[5] แปร์ซียังมีน้องสาวอีก 2 คนคือ ลีลี (Lily) และกีกี (Kiki)[6] บิดาและมารดาสนับสนุนให้แปร์ซีเป็นศิลปินเช่นเดียวกับพวกเขา แต่สุดท้ายแปร์ซีกลับเลือกที่จะเล่นฟุตบอลแทน

เส้นทางอาชีพแก้ไข

ไฟเยอโนร์ดแก้ไข

ฟัน แปร์ซี เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนของเอส.เบ.เฟ. เอกแซ็ลซียอร์ เมื่อปี ค.ศ. 2001 แต่ก็ต้องย้ายออกไปเนื่องจากมีเรื่องไม่ลงรอยกันกับสตาฟโค้ช จนได้มาเซ็นสัญญากับไฟเยอโนร์ด[7] และสามารถก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ได้เนื่องจากนักเตะรุ่นพี่ในทีมหลายคนได้รับบาดเจ็บ และได้ลงประเดิมสนามให้กับสโมสรด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปี และในฤดูกาลแรกนี้ เขาได้ลงสนามเป็นตัวจริงถึง 15 ครั้ง จนได้รับรางวัลนักฟุตบอลดัตช์ดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2001-02 หลังจากจบฤดูกาลอีกด้วย

จากนั้น ฟัน แปร์ซีก็เซ็นสัญญาอาชีพกับไฟเยอโนร์ดเป็นระยะเวลา 3 ปีครึ่งตั้งแต่ต้นฤดูกาลใหม่ และยังเป็นผู้ยิงได้ 5 ประตูในเกมที่เอาชนะ AGOVV มา 6-1 ในอัมสเทลคัพเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003.[8] แต่เนื่องจากความบาดหมางกับแบร์ต ฟัน มาร์ไวก์ ผู้จัดการทีมทำให้แปร์ซีต้องหล่นไปเล่นในทีมสำรองแทน จนฟัน มาร์ไวก์ได้บอกกับสื่อว่า "พฤติกรรมของเขานี้ทำให้เขาคงจะอยู่กับทีมไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นเขาจะต้องเล่นในทีมสำรองไปตลอด"[9] และในเกมที่ไฟเยอโนร์ดทีมสำรองพบกับอายักซ์ทีมสำรองนั้น เขาเป็นหนึ่งในนักเตะไฟเยอโนร์ดหลายคนที่โดนแฟนบอลอันธพาลวิ่งเข้าสู่สนามเพื่อลงมาทำร้ายร่างกายอีกด้วย[7]

ความบาดหมางระหว่างฟัน แปร์ซี กับฟัน มาร์ไวก์ ยังคงมีอยู่ต่อไป เนื่องจากฟัน มาร์ไวก์ สั่งเขากลับบ้านในวันก่อนเกมที่จะพบกับเรอัลมาดริดในยูฟ่าซูเปอร์คัพเมื่อปี ค.ศ. 2003 โดยมีรายงานว่าผู้ฝึกสอนคนนี้ไม่พอใจกิริยาของฟัน แปร์ซี ที่มีต่อเขาเมื่อได้รับคำสั่งให้อบอุ่นร่างกายเพื่อเตรียมลงแข่งเกมลีกเมื่อไม่นานมานี้[5] จากนั้น ฟัน แปร์ซีก็สามารถแทรกขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ได้เป็นครั้งแรก ลงสนามไปทั้งหมด 28 ครั้ง ยิงได้ 8 ประตู และยังพาทีมได้รองแชมป์บอลถ้วยของเนเธอร์แลนด์อีกด้วย

หลังจากจบฤดูกาลนั้น ไฟเยอโนร์ดก็ไม่สามารถต่อสัญญากับฟัน แปร์ซีได้ในช่วงปิดฤดูกาล จนกระทั่งความเป็นอริต่อกันของฟัน มาร์ไวก์ กับฟัน แปร์ซี ทำให้เขาต้องนั่งเป็นตัวสำรองเสียเป็นส่วนใหญ่ในฤดูกาล 2003-04 นี้ ได้ลงเล่นเพียงแค่ 28 เกม แต่ก็ยังยิงได้น้อยกว่าฤดูกาลที่แล้ว 2 ประตู เมื่อจบฤดูกาล ไฟเยอโนร์ดจึงประกาศขายนักเตะคนนี้ออกไปทันทีเนื่องจากทนไม่ไหวกับระเบียบวินัยอันย่ำแย่ของนักเตะคนนี้แล้ว และก็กลายเป็นอาร์เซนอลที่เริ่มเปิดเจรจาซื้อตัวนักเตะรายนี้ในช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคมเปิดทำการ โดยในช่วงนั้นอาร์เซนอลกำลังมองหาตัวแทนของแด็นนิส แบร์คกัมป์ อยู่พอดีด้วย แต่ทั้งสองฝ่ายกลับไม่สามารถเจรจากันได้อย่างราบรื่นจนไม่ได้ข้อสรุปในที่สุด อย่างไรก็ตาม 5 เดือนต่อมาการซื้อขายนักเตะรายนี้ก็ประสบผลสำเร็จ โดยอาร์เซนอลคว้าตัวดาวยิงรายนี้ไปด้วยราคา 2.75 ล้านปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าที่ไฟเยอโนร์ดตั้งไว้คือ 5 ล้านปอนด์ถึงเกือบครึ่ง[7][10]

อาร์เซนอลแก้ไข

2004–05แก้ไข

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 ฟัน แปร์ซีได้เซ็นสัญญาฉบับแรกกับอาร์เซนอล มีระยะเวลาของสัญญา 4 ปี[11] อาร์แซน แวงแกร์ ผู้จัดการทีมตั้งใจว่าจะโยกแปร์ซีจากตำแหน่งปีกซ้ายมาเล่นศูนย์หน้า ซึ่งฟัน แปร์ซีก็ทำหน้าที่นี้เคียงข้างตีแยรี อ็องรี ได้เป็นอย่างดี[12] แวงแกร์อธิบายการตัดสินใจครั้งนี้ว่า"เขาสามารถเล่นเป็นปีกซ้ายได้ และยังเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวหลังหรือกองหน้าตัวเป้าได้เนื่องจากเป็นนักเตะที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง"[13] อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เขาจะได้เล่นศูนย์หน้าก็ถูกจำกัดลงเนื่องจากอาร์เซนอลได้เซ็นสัญญากับโคเซ อันโตนีโอ เรเยส กองหน้าทีมชาติสเปนมาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคม[14] ซึ่งเขาต้องแย่งตำแหน่งตัวจริงกับเรเยสตลอดเวลา ฟัน แปร์ซีได้ประเดิมสนามครั้งแรกด้วยการถูกส่งลงมาจากม้านั่งสำรองในเกมคอมมิวนิตีชิลด์ที่ชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3-1 และคว้าแชมป์รายการนี้ไปครองเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2004[15] หลังจากนั้น ฟัน แปร์ซีก็นั่งบนม้านั่งสำรองเสียส่วนใหญ่ในฤดูกาล 2004-2005 และในวันที่ 27 ตุลาคมปีเดียวกันนี้ เขาก็ยิงประตูแรกในสีเสื้อของอาร์เซนอล โดยการยิงเบิกร่องในเกมลีกคัพที่พบกับแมนเชสเตอร์ซิตี และสามารถเอาชนะไปได้ 2-1

2005-06แก้ไข

เมื่อเริ่มต้นพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2005-2006 รูปแบบการเล่นของฟัน แปร์ซี ก็เริ่มดีขึ้น ทำให้เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดีเด่นประจำเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 ด้วยการยิงประตูไปถึง 8 ประตู ใน 8 เกม และเขาก็ได้ตอบแทนให้สโมสรด้วยการเซ็นสัญญาเป็นเวลา 5 ปี ไปจนถึงวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2011 และต่อมาสองวันจากการเซ็นสัญญาของฟัน แปร์ซี เขาได้รับอาการบาดเจ็บอีกครั้งในนัดแข่งเอฟเอคัพกับสโมสรฟุตบอลคาร์ดิฟฟ์ซิตี

2006-07แก้ไข

เมื่อพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2006-2007 เปิดตัวขึ้น ฟัน แปร์ซี ได้โชว์ฟอร์มอย่างดี โดยได้ซัดลูกวอลเลย์กลางอากาศในนัดที่เจอกับชาร์ลตันแอทเลติก ที่แวงแกร์เรียกว่า "ประตูของชีวิต" ภายหลัง บีบีซีสปอร์ตได้บันทึกลงเป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายน และต่อมา ฟัน แปร์ซีได้รับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมประจำปีแห่งเมืองโรตเตอร์ดัม

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแก้ไข

2012-2013แก้ไข

โรบิน ฟัน แปร์ซี เป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา จึงได้ย้ายไปร่วมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก[16]

2014-2015แก้ไข

ในฤดูกาลนี้ ฟัน แปร์ซี มีอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดประกอบกับอายุมากที่ขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพการเล่นถดถอยลง และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลจึงได้ย้ายไปเฟแนร์บาห์เช เช่นเดียวกับ นานี เพื่อนร่วมสโมสรที่ได้ย้ายไปก่อนหน้านั้น[17]

เฟแนร์บาห์เชแก้ไข

โรบิน ฟัน แปร์ซี ได้ย้ายมาเฟแนร์บาห์เชด้วยค่าตัวประมาณ 4.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 235 ล้านบาท) และสัญญาเป็นระยะเวลา 3 ปี[17]

นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแก้ไข

ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ฟัน แปร์ซีสามารถเล่นได้อย่างโดดเด่นในฐานะกัปตันทีมและศูนย์หน้า สามารถยิงประตูได้มากที่สุดในลีก คือ 30 ประตู จนเป็นดาวซัลโว ทำให้ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษไปครอง[18] [19]

สถิติอาชีพแก้ไข

สโมสรแก้ไข

การลงเล่นและได้ประตูต่อสโมสร ฤดูกาล และการแข่งขัน[20]
สโมสร ฤดูกาล ลีก เนชันเนลคัพ ลีกคัพ ยุโรป อื่น ๆ รวม
ดิวิชัน ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
ไฟเยอโนร์ด 2001–02 เอเรอดีวีซี 10 0 0 0 7[a] 0 17 0
2002–03 เอเรอดีวีซี 23 8 3 7 2[b] 0 28 15
2003–04 เอเรอดีวีซี 28 6 2 0 3[c] 0 33 6
รวม 61 14 5 7 12 0 78 21
อาร์เซนอล 2004–05 พรีเมียร์ลีก 26 5 5 3 3 1 6[b] 1 1[d] 0 41 10
2005–06 พรีเมียร์ลีก 24 5 2 0 4 4 7[b] 2 1[d] 0 38 11
2006–07 พรีเมียร์ลีก 22 11 1 0 0 0 8[b] 2 31 13
2007–08 พรีเมียร์ลีก 15 7 0 0 1 0 7[b] 2 23 9
2008–09 พรีเมียร์ลีก 28 11 6 4 0 0 10[b] 5 44 20
2009–10 พรีเมียร์ลีก 16 9 0 0 0 0 4[b] 1 20 10
2010–11 พรีเมียร์ลีก 25 18 2 1 3 1 3[b] 2 33 22
2011–12 พรีเมียร์ลีก 38 30 2 2 0 0 8[b] 5 48 37
รวม 194 96 18 10 11 6 53 20 2 0 278 132
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[21] 2012–13 พรีเมียร์ลีก 38 26 4 1 0 0 6[b] 3 48 30
2013–14 พรีเมียร์ลีก 21 12 0 0 0 0 6[b] 4 1[d] 2 28 18
2014–15 พรีเมียร์ลีก 27 10 2 0 0 0 29 10
รวม 86 48 6 1 0 0 12 7 1 2 105 58
เฟแนร์บาห์แช 2015–16 ซือเปร์ลีก 31 16 5 5 12[e] 1 48 22
2016–17 ซือเปร์ลีก 24 9 4 4 7[f] 1 35 14
2017–18 ซือเปร์ลีก 2 0 0 0 2[f] 0 4 0
รวม 57 25 9 9 0 0 21 2 87 36
ไฟเยอโนร์ด 2017–18 เอเรอดีวีซี 12 5 2 2 14 7
2018–19 เอเรอดีวีซี 25 16 4 2 1[f] 0 1[g] 0 31 18
รวม 37 21 6 4 1 0 1 0 45 25
รวมอาชีพ 435 204 44 31 11 6 99 29 4 2 593 272
  1. ลงแข่งทั้งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกและยูฟ่ายูโรปาลีก
  2. 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 ลงแข่งในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
  3. ลงแข่งในยูฟ่ายูโรปาลีก
  4. 4.0 4.1 4.2 ลงแข่งในเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์
  5. ลงแข่งครั้งเดียวในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลงแข่งสิบเอ็ดครั้งในและได้ประตูเดียวในยูฟ่ายูโรปาลีก
  6. 6.0 6.1 6.2 ลงแข่งในยูฟ่ายูโรปาลีก
  7. ลงแข่งในJohan Cruyff Shield

นานาชาติแก้ไข

 
ฟัน แปร์ซีขณะฝึกซ้อมร่วมกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์
การลงเล่นและได้ประตูในทีมชาติต่อปี[22]
ทีมชาติ ปี ลงแข่ง ประตู
เนเธอร์แลนด์ 2005 7 1
2006 12 6
2007 4 0
2008 10 5
2009 8 2
2010 11 5
2011 9 6
2012 10 6
2013 10 10
2014 15 8
2015 5 1
2016 0 0
2017 1 0
รวม 102 50

เกียรติประวัติแก้ไข

สโมสรแก้ไข

ไฟเยอโนร์ด
อาร์เซนอล
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ทีมชาติแก้ไข

เนเธอร์แลนด์
  • ฟุตบอลโลก 2010 รองชนะเลิศ อันดับ 1
  • ฟุตบอลโลก 2014 รองชนะเลิศ อันดับ 2

รางวัลส่วนตัวแก้ไข

  • KNVB Best Young Talent Award (1): 2000–01
  • Dutch Football Talent of the Year (1): 2001–02
  • Premier League Player of the Month (5): November 2005, October 2009, October 2011, December 2012, April 2013
  • Rotterdam Sportsman of the Year (1): 2006
  • BBC Goal of the Month (5): September 2006, December 2008, December 2011, August 2012, April 2013
  • Arsenal Top Goalscorer (4): 2006–07, 2008–09, 2010–11, 2011–12
  • Arsenal Player of the Year (2): 2008–09, 2011–12
  • Arsenal Goal of the Season (2): February 2011 vs Barcelona, December 2011 vs Everton
  • UEFA Euro 2008 Bronze Boot
  • Premier League Golden Boot Landmark Award (3): 2011–12 (10 goals),[130] 2011–12 (20 goals),[131] 2011–12 (30 goals)
  • Premier League Golden Boot (2): 2011–12, 2012–13
  • PFA Players' Player of the Year (1): 2011–12
  • PFA Fans' Player of the Year (1): 2011–12
  • Premier League PFA Team of the Year (2): 2011–12, 2012–13
  • FWA Footballer of the Year (1): 2011–12
  • ESM Team of the Year (1): 2011–12
  • Sir Matt Busby Player of the Year (1): 2012–13
  • Manchester United Goal of the Season (1): April 2013 vs Aston Villa

อ้างอิงแก้ไข

  1. "Robin van Persie". Turkish Football Federation. สืบค้นเมื่อ 22 January 2020.
  2. "2014 FIFA World Cup Brazil: List of Players: Netherlands" (PDF). FIFA. 14 July 2014. p. 25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 3 February 2020.
  3. "Robin van Persie". www.feyenoord.com.
  4. ปิดตำนานฟลายอิ้งดัตช์แมน! “อาร์วีพี” แขวนสตั๊ดที่ เฟเยนูร์ด ในวัย 35
  5. 5.0 5.1 Young Gunner, timesonline.co.uk. Retrieved 19 September 2008.
  6. Robin Van Persie Bio เก็บถาวร 2009-03-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, tv.com. Retrieved 16 November 2007.
  7. 7.0 7.1 7.2 "Young man's game". Sunday Times.
  8. FEYENOORD DRINK FROM CUP OF CHEER เก็บถาวร 2008-12-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - feyenoord.com, 2 June 2003. Retrieved on 11 September 2008.
  9. Take care with Persie เก็บถาวร 2009-02-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - The Sun Sport, 29 April 2004. Retrieved on 9 September 2008.
  10. Feyenoord slap £5m price tag on Van Persie เก็บถาวร 2009-02-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - The Telegraph, 20 January 2004. Retrieved on 11 September 2008.
  11. Arsenal win the race to capture £3m Van Persie[ลิงก์เสีย], Independent Online Edition, 29 April 2004. Retrieved on 1 December 2007.
  12. Van Persie hits spot for Wenger - The Guardian, 3 December 2005. Retrieved on 9 November 2008.
  13. Robin van Persie - History เก็บถาวร 2009-05-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, soccernet.espn.go.com, accessed 29 September 2007.
  14. CBBC Newsround, Arsenal sign Reyes for record fee, 27 January 2004. Retrieved on 30 November 2007.
  15. BBC Sport, Arsenal 3-1 Man Utd, 8 August 2004. Retrieved on 30 November 2007.
  16. "เสร็จผีแล้ว! 'อาร์วีพี' รับเป็นเกียรติ เซ็นร่วมทัพแมนฯยู". ไทยรัฐ. 17 August 2012. สืบค้นเมื่อ 13 July 2015.
  17. 17.0 17.1 "แฟนแห่รับนับหมื่น! เพอร์ซี ถึงตุรกี จ่อเปิดตัวเฟเนร์ฯ". ผู้จัดการออนไลน์. 13 July 2015. สืบค้นเมื่อ 13 July 2015.[ลิงก์เสีย]
  18. [https://web.archive.org/web/20120427050903/http://www.manager.co.th/sport/ViewNews.aspx?NewsID=9550000050109 เก็บถาวร 2012-04-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ไม่พลิก "อาร์วีพี" ซิวแข้งยอดเยี่ยมผู้ดี จากผู้จัดการออนไลน์]
  19. "ซิวอีก "RVP" แข้งยอดเยี่ยม ส.นักข่าว จากผู้จัดการออนไลน์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-26. สืบค้นเมื่อ 2012-04-24.
  20. "R. van Persie: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 2 September 2018.
  21. "Robin Van Persie". StretfordEnd.co.uk. สืบค้นเมื่อ 23 February 2014.
  22. "Football player: Robin van Persie". EU-football.info. สืบค้นเมื่อ 2 September 2018.
  23. "Robin van Persie - Soccerway". us.soccerway.com.
  24. "PSV vs. Feyenoord - 4 August 2018 - Soccerway". us.soccerway.com.

แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข

ก่อนหน้า โรบิน ฟัน แปร์ซี ถัดไป
สก็อต พาร์กเกอร์   นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ
(พ.ศ. 2554-2555)
  แกเร็ธ เบล
แกเร็ธ เบล   นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ
(พ.ศ. 2553-2554)
  แกเร็ธ เบล