การแข่งขันระหว่างสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลกับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

แม้ว่าอาร์เซนอลจะพบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดหลายครั้งในลีกระดับเดียวกันในฟุตบอลอังกฤษตั้งแต่ ค.ศ. 1919 การเป็นคู่ปรับของสองสโมสรมีช่วงที่ดุเดือดในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้นทศวรรษ 2000 เมื่อทั้งสองทีมแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ นอกจากนี้ ยังมีความเป็นปรปักษ์กันระหว่างอาร์แซน แวงแกร์ ผู้จัดการทีมอาร์เซนอล (คุมทีม ค.ศ. 1996–2018) กับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมยูไนเต็ด (คุมทีม ค.ศ. 1986–2013) และปาทริก วีเยรากับรอย คีน กัปตันทีมของทั้งสองสโมสร[1][2][3] มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในการแข่งขันระหว่างสองทีม โดยมีใบแดงเกิดขึ้นถึง 7 ใบในนัดการแข่งขันระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005[4] การแข่งขันในลีกเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2003 หรือรู้จักกันในชื่อ "ศึกแห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด" ถูกกล่าวขานในเชิงลบจากการที่ผู้เล่นอาร์เซนอลรู้สึกว่ากองหน้าของยูไนเต็ดอย่างรืด ฟัน นิสเติลโรย ใช้เล่ห์เหลี่ยมจนทำให้วีเยราถูกไล่ออกจากสนาม ฤดูกาลถัดมา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดหยุดสถิติไร้พ่ายของอาร์เซนอลโดยเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นในอุโมงค์

อาร์เซนอล พบ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ผู้เล่นของยูไนเต็ดและอาร์เซนอลในจังหวะลูกเตะมุมในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016
ทีม
พบกันครั้งแรก
พบกันครั้งล่าสุด
สนาม
สถิติ
การพบกันทั้งหมด238
ชนะสูงสุดแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (99 ครั้ง)
ลงเล่นสูงสุดไรอัน กิกส์ (50 นัด)
ยิงประตูสูงสุดเวย์น รูนีย์ (12 ประตู)
สถิติรวม
  • อาร์เซนอล: 87
  • เสมอ: 53
  • แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด: 99
ชัยชนะครั้งใหญ่
  • แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 8–2 อาร์เซนอล
  • (28 สิงหาคม 2011)

การเป็นคู่ปรับระหว่างเฟอร์กูสันและแวงแกร์สิ้นสุดลงในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2005 และใน ค.ศ. 2008 อดีตผู้เล่นอาร์เซนอล ลี ดีซอง กล่าวว่าการเป็นคู่ปรับของทั้งคู่นั้นไม่มีแล้ว[5] เฟอร์กูสันยังกล่าวถึงการพบกันของทั้งสองทีมในช่วงหลังว่าผ่อนคลายลงจากการพบกันที่ "ดุเดือด" ในช่วงก่อนหน้า[6] ปัจจัยอื่นที่ทำให้การเป็นคู่ปรับของทั้งคู่มีความสำคัญน้อยลงในช่วงทศวรรษ 2010 คือการพัฒนาขึ้นของสโมสรอื่น ซึ่งรวมถึงคู่ปรับร่วมเมืองของทั้งคู่ (เชลซี, ทอตนัมฮอตสเปอร์ และแมนเชสเตอร์ซิตี)[7]

อาร์เซนอลพบกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเกมการแข่งขันครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1894 ณ เดือนเมษายน ค.ศ. 2022 ทั้งสองสโมสรพบกันทั้งหมด 237 ครั้ง ยูไนเต็ดเอาชนะได้ 98 ครั้ง อาร์เซนอลเอาชนะได้ 86 ครั้ง และเสมอกัน 53 ครั้ง เวย์น รูนีย์เป็นผู้ทำประตูสูงสุดในการพบกันของทั้งคู่ที่ 12 ประตู ในขณะที่ไรอัน กิกส์เป็นผู้ที่ลงเล่นมากที่สุดในการพบกันของทั้งคู่ที่ 50 นัด มีผู้เล่นหลายคนที่เคยลงเล่นให้กับทั้งสองสโมสร ได้แก่ ไบรอัน คิดด์, แอนดี โคล, เดวิด เพลตต์ , โรบิน ฟัน แปร์ซี, แดนนี เวลเบก และอดีตผู้จัดการทีมอย่างจอร์จ เกรแฮม[8]

อ้างอิง แก้

ทั่วไป

  • Crick, Michael (2003). The Boss: The Many Sides of Alex Ferguson. London: Simon and Schuster. ISBN 0-7434-2991-5.
  • Gray, Andy (2005). Gray Matters. London: Pan Macmillan. ISBN 0-330-43199-4.
  • Ferguson, Alex (2011). Managing My Life: My Autobiography. London: Hodder & Stoughton. ISBN 1-444-70910-0.
  • Manson, David (2005). Quotations from the Public Comments of Arsene Wenger: Manager, Arsenal. London: Virgin Books. ISBN 0-7535-1056-1.
  • Neville, Gary (2011). Red: My Autobiography. London: Random House. ISBN 0-5930-6559-X.

เฉพาะทาง

  1. Leach, Jimmy; Rice, Simon (29 April 2009). "The bitter rivalry between Arsenal and Manchester United". The Independent. London. สืบค้นเมื่อ 9 August 2009.
  2. "Ferguson and Wenger 'are friends'". BBC Sport. 23 October 2004. สืบค้นเมื่อ 9 August 2009.
  3. Palmer, Myles (24 October 2004). "Fergie owes knighthood to Wenger the 'flat-track bully'". The Observer. London. สืบค้นเมื่อ 28 August 2017.
  4. "Quiz: Manchester United v Arsenal: 14 red cards in the Wenger era – how many can you recall?". Eurosport. 17 November 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-31. สืบค้นเมื่อ 30 August 2017.
  5. A Davies, Gareth (15 February 2008). "Arsenal heroes relish rivalry with Man Utd". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 15 August 2009.
  6. "Old foes, new rivalry". Manchester United. 29 April 2009. สืบค้นเมื่อ 29 January 2011.
  7. "9 reasons the Arsenal vs Manchester United rivalry has died a death in recent years". Daily Mirror. 30 November 2017. สืบค้นเมื่อ 26 December 2017.
  8. "12 players who featured for both Arsenal and Manchester United – and where they performed best". The Telegraph. สืบค้นเมื่อ 7 November 2017.

หนังสืออ่านเพิ่มเติม แก้

แหล่งข้อมูลอื่น แก้