อีเอฟแอลคัพ
อิงกลิชฟุตบอลลีกคัพ (อังกฤษ: English Football League Cup) มักเรียกกันว่า ลีกคัพ (อังกฤษ: League Cup) และปัจจุบันรู้จักในชื่อ คาราบาวคัพ (อังกฤษ: Carabao Cup) ด้วยเหตุผลด้านผู้สนับสนุน เป็นการแข่งขันฟุตบอลแบบแพ้คัดออกประจำปีของสโมสรฟุตบอลชายในอังกฤษ การแข่งขันจัดโดย อิงกลิชฟุตบอลลีก (อีเอฟแอล) เปิดให้สโมสรใดก็ตามที่อยู่ในสี่ระดับสูงสุดของระบบลีกฟุตบอลอังกฤษ รวมทั้งหมด 92 สโมสร ประกอบด้วย พรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกสูงสุด และการแข่งขันลีกของอิงกลิชฟุตบอลลีกทั้ง 3 ดิวิชัน (แชมเปียนชิป, ลีกวัน และลีกทู)
![]() โลโก้อีเอฟแอลคัพใช้ตั้งแต่ฤดูกาล 2017–18 | |
ผู้จัด | อิงกลิชฟุตบอลลีก |
---|---|
ก่อตั้ง |
|
ภูมิภาค | ![]() ![]() |
จำนวนทีม | 92 |
ผ่านเข้าไปเล่นใน | ยูฟ่าคอนเฟอเรนซ์ลีก รอบเพลย์ออฟ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (ผ่านการชนะเลิศพรีเมียร์ลีก) |
ทีมชนะเลิศปัจจุบัน | ลิเวอร์พูล (สมัยที่ 10) |
ทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุด | ลิเวอร์พูล (10 สมัย) |
ผู้แพร่ภาพโทรทัศน์ | สกายสปอร์ตส์ ไอทีวีสปอร์ต ไทยรัฐทีวี |
เว็บไซต์ | efl.com/competitions/carabao-cup |
![]() |
การแข่งขันจัดขึ้นครั้งแรกในฤดูกาล 1960–61 ในชื่อ ฟุตบอลลีกคัพ เป็นหนึ่งในสามการแข่งขันฟุตบอลระดับสูงสุดในประเทศของอังกฤษ ร่วมกับ พรีเมียร์ลีก และเอฟเอคัพ การแข่งขันจะสิ้นสุดลงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนการแข่งขันสำคัญอีกสองรายการซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม การแข่งขันได้รับการเสนอโดยลีกเพื่อตอบสนองต่อความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของฟุตบอลยุโรป และเพื่อใช้พลังอำนาจเหนือเอฟเอ นอกจากนั้นยังใช้ประโยชน์จากการติดตั้งไฟสปอตไลท์ ทำให้สามารถจัดการแข่งขันได้เหมือนเกมในช่วงเย็นวันธรรมดา หลังฟุตบอลลีกเปลี่ยนชื่อเป็นอิงกลิชฟุตบอลลีกใน ค.ศ. 2016 การแข่งขันก็เปลี่ยนชื่อเป็น อีเอฟแอลคัพ ตั้งแต่ฤดูกาล 2016–17 เป็นต้นไป
การแข่งขันจะจัดขึ้นทั้งหมด 7 รอบ โดยจะแข่งขันแบบนัดเดียวตลอด ยกเว้นรอบรองชนะเลิศ นัดชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นที่สนามกีฬาเวมบลีย์ ซึ่งเป็นนัดเดียวของการแข่งขันที่จัดขึ้นที่สนามกลางและในช่วงสุดสัปดาห์ (วันอาทิตย์) สองรอบแรกจะถูกแบ่งเป็นโซนเหนือและใต้ และระบบบายตามระดับลีกจะช่วยให้ทีมที่มีอันดับสูงกว่า และทีมที่ยังแข่งขันอยู่ในระดับยุโรปเข้าแข่งขันในรอบถัด ๆ ไป ผู้ชนะเลิศจะได้รับถ้วยรางวัลอีเอฟแอลคัพ[1] ซึ่งมีอยู่สามแบบ โดยแบบปัจจุบันเป็นแบบดั้งเดิม และผ่านเข้าไปแข่งขันในระดับยุโรป ได้แก่ ตั้งแต่ฤดูกาล 1966–67 จนถึง 1971–72 ผู้ชนะเลิศจะได้แข่งขันในอินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ, ตั้งแต่ฤดูกาล 1972–1973 จนถึง 2019–20 ได้แข่งขันในยูฟ่ายูโรปาลีก (อดีต ยูฟ่าคัพ) และตั้งแต่ฤดูกาล 2020–21 ได้แข่งขันในยูฟ่าคอนเฟอเรนซ์ลีก หากผู้ชนะเลิศผ่านเข้าไปแข่งขันในระดับยุโรปผ่านวิธีการอื่นเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล ตำแหน่งจะถูกส่งต่อไปยังทีมที่อยู่ในอันดับสูงสุดของพรีเมียร์ลีกที่ยังไม่ได้ผ่านเข้าไปแข่งขันในระดับยุโรป สโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการแข่งขันคือแชมป์ปัจจุบัน ลิเวอร์พูล โดยชนะเชลซี 1–0 ในนัดชิงชนะเลิศ 2024 เป็นการชนะเลิศลีกคัพสมัยที่สิบของพวกเขา
สถานะ
แก้แม้ว่าลีกคัพจะเป็นหนึ่งในสี่ถ้วยรางวัลภายในประเทศที่ทีมในลีกอังกฤษสามารถคว้าได้ แต่ก็ถือว่ามีเกียรติน้อยกว่าแชมป์ลีกสูงสุดหรือเอฟเอคัพ[2] ผู้ชนะเลิศลีกคัพจะได้รับเงินรางวัล 100,000 ปอนด์ (มอบโดยฟุตบอลลีก) ขณะที่รองชนะเลิศจะได้รับ 50,000 ปอนด์ ถือว่าไม่มีนัยสำคัญเท่าใดนักสำหรับทีมชั้นนำ เมื่อเทียบกับเงินรางวัล 2 ล้านปอนด์ของเอฟเอคัพ ซึ่งถูกบดบังด้วยรายได้จากโทรทัศน์ของพรีเมียร์ลีก (มอบให้ตามตำแหน่งสุดท้ายในลีกเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล) และการมีส่วนร่วมในรายการแชมเปียนส์ลีกที่ตามมา[3][4]
บางสโมสรส่งทีมที่อ่อนแอกว่าลงแข่งขันหลายครั้ง ทำให้โอกาสในการสังหารยักษ์ของสโมสรใหญ่มีมากขึ้น หลายสโมสรในพรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะอาร์เซนอล และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ใช้การแข่งขันเพื่อมอบประสบการณ์อันล้ำค่าให้กับผู้เล่นรุ่นเยาว์ในการแข่งขันเกมใหญ่[5] ด้วยเหตุนี้แฟน ๆ หลายคนจึงเริ่มเรียกการแข่งขันนี้อย่างเสียดสีว่า "ถ้วยมิกกีเมาส์"
อย่างไรก็ตาม อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้อธิบายเมื่อ ค.ศ. 2010 ว่าถ้วยรางวัลดังกล่าวคุ้มค่าที่จะคว้ามาครอง เป็นการตอบโต้ข้ออ้างของ อาร์แซน แวงแกร์ ที่ว่าการคว้าแชมป์ลีกคัพจะไม่ทำให้การรอคอยแชมป์ของเขาสิ้นสุดลง หลังจากช่วงเวลาแห่งความตกต่ำซึ่งอนาคตของการแข่งขันถูกตั้งคำถามอยู่เป็นประจำ ในปีที่ผ่านมามีการฟื้นคืนความเคารพต่อถ้วยรางวัล เนื่องจากสโมสรใหญ่ ๆ ในพรีเมียร์ลีกกลับมาครองการแข่งขันอีกครั้ง และธรรมชาติของการพัฒนาของการแข่งขันก็เริ่มถูกมองว่าเป็นผลดีสำหรับสโมสรที่เกี่ยวข้อง สโมสรใหญ่ในพรีเมียร์ลีก ได้แก่ แมนเชสเตอร์ซิตี (6), แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (5), ลิเวอร์พูล (5) และเชลซี (3) ชนะเลิศการแข่งขันรวมกัน 19 สมัย ตั้งแต่ ค.ศ. 2001 ถึง 2024[6]
ประวัติ
แก้แนวคิดเดิมของลีกคัพมาจาก สแตนลีย์ รูส์ ซึ่งมองว่าการแข่งขันเป็นการปลอบใจสำหรับสโมสรที่ตกรอบเอฟเอคัพ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่รูส์ที่เข้ามาดำเนินการ แต่เป็น แอลัน ฮาร์เดเกอร์ เลขาธิการฟุตบอลลีก ในตอนแรก ฮาร์ดาเกอร์เสนอให้มีการแข่งขันขึ้นเพื่อเป็นวิธีให้สโมสรสามารถชดเชยรายได้ที่สูญเสียไปเนื่องจากจำนวนนัดการแข่งขันที่ลดลง ในขณะที่ลีกจะต้องมีการจัดโครงสร้างใหม่ การปรับโครงสร้างใหม่ของลีกไม่ได้เกิดขึ้นในทันที อย่างไรก็ตาม การแข่งขันชิงถ้วยก็ยังคงดำเนินต่อไป
ถ้วยรางวัลได้รับเงินสนับสนุนเป็นการส่วนตัวจาก โจ ริชาร์ดส์ ประธานฟุตบอลลีก เขารู้สึกภูมิใจกับการแข่งขัน และได้สลักชื่อของเขาเองไว้บนถ้วยรางวัล ริชาร์ดส์กล่าวถึงการก่อตั้งการแข่งขันครั้งนี้ว่าเป็น "ก้าวชั่วคราว" บนเส้นทางสู่การปรับโครงสร้างใหม่ของลีก[7] สิ่งสำคัญอันดับแรกของริชาร์ดส์คือการปรับโครงสร้างลีก "บางทีอาจจะลดจำนวนสโมสรในแต่ละดิวิชันลง ดังที่ได้เสนอไปแล้ว และอาจจะให้การพิจารณาถึงระบบขึ้นสี่และลงสี่มากขึ้นด้วย"
ฮาร์ดาเกอร์รู้สึกว่าฟุตบอลลีกจำเป็นต้องปรับตัวตามยุคสมัย เนื่องจากกีฬาอังกฤษกำลังสูญเสียชื่อเสียง เขาคิดว่าฟุตบอลลีกควรเป็นผู้นำในการฟื้นฟูวงการฟุตบอลในประเทศ: "ทุกคนคงทราบดีว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง และขึ้นอยู่กับฟุตบอลลีกที่จะเป็นผู้นำ ผมหวังว่าสื่อจะไม่สรุปทันทีว่าลีกจะพ่ายแพ้ให้กับเอฟเอหรือใครก็ตาม... ถึงเวลาแล้วที่เสียงของเราจะต้องได้รับการรับฟังในทุกปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเกมระดับมืออาชีพ"[7]
การแข่งขันลีกคัพจัดขึ้นในช่วงที่จำนวนผู้ชมในนัดการแข่งขันลดน้อยลง ลีกสูญเสียผู้ชมไปหนึ่งล้านคนเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน ลีกคัพก่อตั้งขึ้นในช่วงที่ความตึงเครียดระหว่าง ฟุตบอลลีก และสมาคมฟุตบอลนั้นสูง ความขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดคือเรื่องการแบ่งรายได้ระหว่างสโมสร
ช่วงปลายทศวรรษ 1950 สโมสรระดับสูงของอังกฤษส่วนใหญ่ได้ติดตั้งไฟสปอร์ตไลต์ไว้ในสนามของตน เป็นการเปิดโอกาสให้ใช้ประโยชน์จากช่วงเย็นวันธรรมดาตลอดฤดูหนาว ลีกคัพจัดขึ้นครั้งแรกในฤดูกาล 1960–61 เป็นการแข่งขันกลางสัปดาห์ที่ใช้ไฟสปอร์ตไลต์เพื่อแทนที่เซาเทิร์นโปรเฟสชันนัลฟลัดไลต์คัพโดยเฉพาะ[8]
ลีกคัพถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสโมสรที่มีฐานะดีกว่า ผู้สื่อข่าวของ เดอะไทมส์ ในขณะนั้นรู้สึกว่าลีกคัพเป็นการก้าวไปในทิศทางที่ผิด ยูโรเปียนคัพก่อตั้งขึ้นเมื่อห้าปีก่อนที่จะมีการแข่งขันลีกคัพ และผู้สื่อข่าวรู้สึกว่าการก่อตั้งการแข่งขันลีกคัพทำให้ปัญหาที่มีอยู่เดิมเพิ่มมากขึ้น เดอะไทมส์ ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1960: "เมื่อจำเป็นต้องลดขนาดลงอย่างมากเพื่อพยายามยกระดับคุณภาพ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปริมาณและการแพร่กระจายของความธรรมดาออกไปจะเป็นสาเหตุหลัก ในขณะที่ผู้ชายอย่าง เคานต์ เบอร์นาเบว ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล กำลังคิดถึงลีกยุโรปในอนาคต ซึ่งผู้นำของเราน่าจะสามารถร่วมกันนำได้อย่างแน่นอน ฟุตบอลลีกเสนอให้ฤดูกาลหน้าจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกคัพซึ่งไร้ประโยชน์และแข่งขันกันในกลางสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้ผู้เล่น สโมสร และสาธารณชนไม่ได้อะไรเลย"[9]
แอสตันวิลลา เป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันลีกคัพที่จัดขึ้นครั้งแรกในฤดูกาล 1960–61 โดยชนะรอเทอรัมยูไนเต็ด ด้วยผลประตูรวม 3–2 จากนัดชิงชนะเลิศสองนัด ฟุตบอลในอังกฤษถือว่ามีคุณภาพต่ำเมื่อเทียบกับการแข่งขันในทวีปยุโรป เนื่องจากในปีเดียวกัน เบิร์นลีย์ และวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ ซึ่งเป็นสโมสรที่ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก เป็นตัวแทนของอังกฤษในการแข่งขันฟุตบอลยุโรป โดยที่พวกเขาคว้าถ้วยรางวัลสำคัญก่อนสโมสรที่ใหญ่กว่ามากอย่าง อาร์เซนอล และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ริชาร์ดส์อ้างถึงความกระหายในการเล่นฟุตบอลยุโรปว่าเป็น 'ความเร่าร้อนระดับทวีป' เขาต้องการให้ลีกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง 'เราต้องเตรียมพร้อมที่จะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของลีกและเกมมากกว่าสโมสรแต่ละแห่ง'[10] มีสิบหกสโมสรที่คัดค้านการจัดการแข่งขันลีกคัพ แต่มีสามสิบเอ็ดสโมสรที่เห็นชอบ[10] จำนวนผู้ชมการแข่งขันลีกคัพโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10,556 คน สูงกว่ายอดผู้ชมเฉลี่ยในดิวิชัน 3 เล็กน้อย[11] จำนวนผู้ชมการแข่งขันฟุตบอลลีกลดลง 4 ล้านคนจากฤดูกาลก่อน ริชาร์ดส์กล่าวกับฮาร์ดาเกอร์ว่าเขาคาดการณ์ไว้ว่า 'นัดชิงชนะเลิศลีกคัพจะจัดขึ้นที่เวมบลีย์ แต่คงไม่ใช่ในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่' นัดชิงชนะเลิศลีกคัพครั้งแรกที่จัดขึ้นที่เวมบลีย์คือนัดที่ ควีนส์พาร์กเรนเจอส์จากดิวิชัน 3 ชนะเวสต์บรอมมิชอัลเบียนจากดิวิชัน 1 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1967 ริชาร์ดส์เสียชีวิตใน ค.ศ. 1968
แอสตันวิลลา ผู้ชนะเลิศลีกคัพสมัยแรกในฤดูกาล 1960–61 ในขณะนั้นครองสถิติเป็นผู้คว้าถ้วยรางวัลสำคัญ ๆ ในอังกฤษได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ในนัดชิงชนะเลิศอีกสามครั้งถัดมา ถ้วยรางวัลจะถูกมอบให้กับสโมสรที่ไม่เคยชนะเลิศในรายการสำคัญมาก่อน หนึ่งในนั้นคือ นอริชซิตี ซึ่งยังไม่เคยเล่นในดิวิชัน 1 ขณะที่คู่แข่งของพวกเขา รอชเดล เคยเล่นไม่สูงไปกว่าดิวิชัน 3[12]
การนำเสนอลีกคัพทำให้ฟุตบอลลีกมีอำนาจในการต่อรองกับเอฟเอและยูฟ่าเพิ่มมากขึ้น ฮาร์ดาเกอร์ขู่ยูฟ่าว่าจะคว่ำบาตรยูฟ่าคัพ หากยูฟ่าไม่ให้ผู้ชนะลีกคัพได้สิทธิ์ไปเล่นในระดับยุโรป ผลจากวิธีการเจรจาดังกล่าว ยูฟ่าจึงมอบตำแหน่งให้กับผู้ชนะลีกคัพในการแข่งขันระดับยุโรป โดยมีเงื่อนไขว่าทีมจะต้องอยู่ในดิวิชัน 1 แม้ว่าลีดส์ยูไนเต็ดจะชนะเลิศการแข่งขันก่อนทอตนัม แต่ลีดส์ก็ผ่านเข้าไปเล่นในยุโรปได้เพราะตำแหน่งในลีก ผู้ชนะเลิศในฤดูกาล 1966–67 และ 1968–69 คือ ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ และสวินดันทาวน์ ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันระดับยุโรป เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในดิวิชัน 1[13]
ก่อนข้อตกลงกับยูฟ่า การแข่งขันลีกคัพไม่ถือว่าคุ้มค่าต่อการให้ความสนใจของสโมสรใหญ่ ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเสนอตำแหน่งในยุโรป เช่นเดียวกันกับนัดชิงชนะเลิศที่สนามกีฬาเวมบลีย์ สถานะของการแข่งขันก็ดีขึ้นและในฤดูกาล 1968–69 มีเพียงแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเท่านั้นที่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม[14] เอฟเวอร์ตันเลือกที่จะไม่เข้าร่วมการแข่งขันในฤดูกาล 1970–71 เพื่อให้พวกเขาสามารถมุ่งความพยายามไปที่ยูโรเปียนคัพได้ ในปีถัดไป ทีมฟุตบอลลีกทุกทีมต้องเข้าร่วมการแข่งขัน
ลิเวอร์พูล เป็นผู้ชนะเลิศลีกคัพมากที่สุดที่สิบสมัย และชนะเลิศสี่ครั้งติดต่อกันร่วมกับแมนเชสเตอร์ซิตี ลิเวอร์พูลชนะเลิศสามรายการได้สองครั้ง โดยหนึ่งในสามรายการคือลีกคัพในฤดูกาล 1983–84 และ 2000–01[15][16]
สโมสรจากอังกฤษต้องสูญเสียตำแหน่งในการแข่งขันระดับยุโรปไปอย่างไม่มีกำหนดในปี ค.ศ. 1985 เนื่องจากภัยพิบัติเฮย์เซล ซึ่งแฟนบอลลิเวอร์พูลมีส่วนร่วมในการจลาจลนัดชิงชนะเลิศยูโรเปียนคัพ ส่งผลให้มีผู้ชมเสียชีวิต 39 ราย ผู้ชนะเลิศลีกคัพในปีดังกล่าวคือ นอริชซิตี มิฉะนั้นพวกเขาจะได้เล่นในรายการแข่งขันระดับยุโรปเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1985–86 ออกซฟอร์ดยูไนเต็ด, อาร์เซนอล, ลูตันทาวน์ และนอตทิงแฮมฟอเรสต์ พลาดโอกาสลงแข่งขันในยูฟ่าคัพ ในฐานะผู้ชนะเลิศลีกคัพในอีกสี่ปีข้างหน้า แม้ว่าการแบนจะถูกยกเลิกใน ค.ศ. 1990 แต่ผู้ชนะเลิศลีกคัพก็ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันระดับยุโรปอีกเป็นเวลา 2 ปี เมื่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศลีกคัพและผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าคัพได้สำเร็จ เนื่องจากพวกเขาจบอันดับที่สองของลีก ในสองฤดูกาลก่อนหน้านี้ นอตทิงแฮมฟอเรสต์ และเชฟฟีลด์เวนส์เดย์ ทั้งคู่ถูกขัดขวางไม่ให้ลงแข่งขันในรายการยูฟ่าคัพในฐานะผู้ชนะเลิศลีกคัพ เนื่องจากสโมสรจากอังกฤษเริ่มกลับมาเข้าร่วมแข่งขันในระดับยุโรปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การแข่งขันเปลี่ยนชื่อเป็นอีเอฟแอลคัพในฤดูกาล 2016–17 โดยเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแบรนด์ใหม่ของฟุตบอลลีกให้กลายเป็นอิงกลิชฟุตบอลลีก
การเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่
แก้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 หลังจากมีการปรับโครงสร้างฟุตบอลยุโรป โดยเฉพาะการแข่งขันสโมสรระหว่างประเทศ ได้แก่ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่ายูโรปาลีก และยูฟ่าคอนเฟอเรนซ์ลีก มีการพิจารณาที่จะถอดรางวัลการเข้าไปแข่งขันระดับยุโรปออกจากผู้ชนะเลิศลีกคัพ อังกฤษและฝรั่งเศสเป็นสมาชิกยูฟ่าเพียงสองประเทศเท่านั้นที่เสนอสิทธิ์ไปเล่นบอลยุโรปให้กับผู้ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถ้วยรายการที่สองจนถึงปี 2020 เมื่อกุปเดอลาลีกถูกระงับอย่างไม่มีกำหนด หมายความว่าอังกฤษเป็นสมาชิกยูฟ่าเพียงประเทศเดียวที่ได้รับสิทธิ์[17] ทำให้ลีกคัพยังคงได้รับความนิยม โดยเฉพาะกับแฟนบอลของสโมสรที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลถ้วย เพราะเป็นโอกาสเดียวเท่านั้นในการผ่านเข้าไปเล่นในระดับยุโรป[18][19]
การสังหารยักษ์
แก้การสังหารยักษ์ไม่ค่อยถูกจดจำเท่าไหร่ในลีกคัพ เมื่อเทียบกับในเอฟเอคัพ เนื่องจากไม่มีทีมนอกลีกและความจริงที่ว่าสโมสรใหญ่ ๆ มักจะส่งทีมที่ไม่มีประสบการณ์ลงสนามในรอบแรก ๆ อย่างไรก็ตาม มีเหตุการณ์พลิกผันที่จดจำอยู่บ้าง เช่น นัดชิงชนะเลิศของฤดูกาล 1966–67 เมื่อควีนส์พาร์กเรนเจอส์จากดิวิชัน 3 กลับมาชนะเวสต์บรอมมิชอัลเบียนจากลีกสูงสุด 3–2 จากการตามหลัง 2-0 ในครึ่งเวลาแรก และยังเป็นนัดชิงชนะเลิศนัดแรกที่จัดขึ้นที่สนามกีฬาเวมบลีย์ สองปีต่อมาในฤดูกาล 1968–69 สวินดันทาวน์จากดิวิชัน 3 ชนะอาร์เซนอล 3–1 หลังต่อเวลาพิเศษในนัดชิงชนะเลิศ ขณะที่ในฤดูกาล 1974–75 เชสเตอร์จากดิวิชัน 4 ชนะแชมป์เก่าของลีก ลีดส์ยูไนเต็ด 3–0 ในรอบสี่ ก่อนที่พวกเขาจะตกรอบในรอบรองชนะเลิศ
สการ์โบโร อดีตสโมสรจากลีกดิวิชัน 4 และตอนนี้ยุบไปแล้ว ชนะเชลซี ด้วยผลประตูรวม 4–3 เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1989 สการ์โบโรยังชนะคอเวนทรีซิตี (จากลีกสูงสุดในเวลานั้น) ในรอบสองของฤดูกาล 1992–93 ด้วยผลประตูรวม 3–2 ก่อนที่พวกเขาจะตกรอบในรอบสี่ โดยแพ้ให้กับอาร์เซนอล 1–0
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แพ้ในบ้าน 3–0 ให้กับยอร์กซิตีในนัดแรก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลับมาชนะในนัดที่สองด้วยผลประตู 1–3 แต่พวกเขาก็ตกรอบด้วยผลประตูรวม 4–3 ในรอบสองของฤดูกาล 1995–96 (ยอร์กซิตีได้ทำความสำเร็จนี้ซ้ำอีกครั้งเมื่อพบกับเอฟเวอร์ตันในฤดูกาลถัดไป) แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเอฟเอพรีเมียร์ลีก และเอฟเอคัพ และไม่แพ้เกมเหย้าอีกเลยในฤดูกาลนั้น ในขณะที่ยอร์กเลี่ยงการตกชั้นไปยังดิวิชัน 3 (ระดับสี่) ได้อย่างหวุดหวิด
รูปแบบ
แก้ลีกคัพเปิดให้สมาชิกทั้ง 92 สโมสรของพรีเมียร์ลีก และอิงกลิชฟุตบอลลีกเข้าร่วมได้ โดยการแข่งขันแบ่งออกเป็น 7 รอบ เพื่อให้เหลือ 32 สโมสรเมื่อถึงรอบสาม (ยกเว้นฤดูกาล 1961–62)[20] การแข่งขันในทุก ๆ รอบ ยกเว้นนัดชิงชนะเลิศ จะมีการจับฉลากแบบสุ่ม ตั้งแต่ฤดูกาล 1996–97 สโมสรที่เข้าร่วมการแข่งขันระดับยุโรปในระหว่างฤดูกาลได้รับสิทธิ์บายเข้าสู่รอบสาม สโมสรที่เหลือในพรีเมียร์ลีกจะเข้าสู่รอบสอง และสโมสรในฟุตบอลลีกที่เหลือจะเข้าสู่รอบแรก[20] หากจำนวนบายทำให้มีจำนวนสโมสรที่เข้ารอบเป็นเลขคี่ สโมสรอื่นอาจได้รับบาย (โดยปกติจะเป็นสโมสรที่มีอันดับสูงสุดของสโมสรที่ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลก่อน) หรืออาจมีการแข่งขันรอบเบื้องต้นระหว่างสองสโมสรที่เลื่อนชั้นมาจากเนชันนัลลีกในฤดูกาลก่อนหน้า (หรือหากมีเพียงสโมสรเดียวที่ได้รับการเลื่อนชั้น สโมสรนั้นจะต้องแข่งขันกับสโมสรที่อยู่ในอันดับต่ำที่สุดที่ไม่ตกชั้นจากฟุตบอลลีกในฤดูกาลก่อน) มีความจำเป็นที่ต้องมีรอบเบื้องต้นในการแข่งขันฤดูกาล 2002–03 และ 2011–12[20][21] ตั้งแต่ฤดูกาล 1995–96 สโมสรทั้งหมดได้เข้าสู่รอบสอง แม้ว่าบางสโมสรจะได้บายเข้าสู่รอบนั้นก็ตาม[20]
การแข่งขันในทุกรอบจะเป็นแบบนัดเดียว ยกเว้นรอบรองชนะเลิศซึ่งเป็นแบบสองนัดนับตั้งแต่การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น[20] นัดชิงชนะเลิศเป็นแบบสองนัดตั้งแต่ปี 1961 ถึง 1966 และเปลี่ยนเป็นแบบนัดเดียวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[20] รอบแรกแข่งขันแบบสองนัดตั้งแต่ฤดูกาล 1975–76 ถึง 2000–01, และรอบสองแข่งขันแบบสองนัดตั้งแต่ฤดูกาล 1979–80 ถึง 2000–01[20] การแข่งขันแบบนัดเดียวจะมีการแข่งใหม่ตามความจำเป็นจนถึงฤดูกาล 1993–94 เมื่อมีการนำการดวลจุดโทษมาใช้เพื่อตัดสินนัดแข่งใหม่นัดแรก โดยการแข่งขันแบบนัดเดียวสุดท้ายที่ต้องแข่งใหม่เกิดขึ้นในฤดูกาล 1996–97
จนถึงฤดูกาล 1974–75 การแข่งขันแบบสองนัดที่ยังคงเสมอกันหลังจบการต่อเวลาพิเศษในนัดที่สองจะต้องแข่งใหม่ มีสามครั้งที่เสมอจนถึงการแข่งใหม่ในนัดที่สาม[20] ระหว่างฤดูกาล 1975–76 และ 1979–80 หากเสมอกันก็ยังคงต้องแข่งใหม่ แต่จะใช้การดวลจุดโทษเพื่อตัดสินผลเสมอที่ไม่สามารถตัดสินได้หลังจากการแข่งใหม่ การแข่งใหม่หลังจากแข่งขันสองนัดในที่สุดก็ถูกยกเลิกในฤดูกาล 1980–81 โดยนำเอากฎประตูทีมเยือน และการดวลจุดโทษมาใช้แทน[20] รอบรองชนะเลิศเป็นข้อยกเว้น โดยหากเสมอจะแข่งใหม่จนถึงฤดูกาล 1986–87 หลังจากนั้นจึงมีการนำกฎประตูทีมเยือนและการดวลจุดโทษมาใช้[20] รอบรองชนะเลิศจะแข่งขันแบบสองนัด จะใช้กฎประตูทีมเยือนหลังจากการต่อเวลาพิเศษเท่านั้น จนกระทั่งในฤดูกาล 2018–19 การต่อเวลาพิเศษถูกยกเลิกในทุกรอบยกเว้นนัดชิงชนะเลิศ และกฎประตูทีมเยือนถูกยกเลิกสำหรับรอบรองชนะเลิศ โดยผลเสมอกันจะต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ[22][23]
นัดชิงชนะเลิศ
แก้การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลลีกคัพในหกฤดูกาลแรกจะแข่งขันแบบสองนัด โดยแข่งขันในแต่ละสนามเหย้าของผู้เข้าชิงชนะเลิศ ตั้งแต่ปี 1967 นัดชิงชนะเลิศจะแข่งขันแบบนัดเดียวที่สนามกีฬาเวมบลีย์ แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่มิลเลนเนียมสเตเดียมในคาร์ดิฟฟ์ระหว่างปี 2001 ถึง 2007 หลังจากการรื้อถอนสนามกีฬาเวมบลีย์เก่า ระหว่างปี 1967 ถึง 1997 นัดชิงชนะเลิศที่จบลงด้วยผลเสมอหลังการต่อเวลาพิเศษจะแข่งขันใหม่อีกครั้งในสถานที่อื่นจนกว่าจะมีการตัดสินผู้ชนะ[20] สถานที่ที่เคยจัดการแข่งใหม่ ได้แก่ สนามกีฬาฮิลส์โบโรในเชฟฟิลด์, โอลด์แทรฟฟอร์ด และเมนโรดในแมนเชสเตอร์ และวิลลาพาร์กในเบอร์มิงแฮม นัดชิงชนะเลิศที่ต้องแข่งใหม่สองครั้งคือปี 1977 ระหว่างแอสตันวิลลา และเอฟเวอร์ตัน[20]
ตั้งแต่ปี 1998 นัดชิงชนะเลิศที่จบลงด้วยผลเสมอหลังการต่อเวลาพิเศษจะต้องตัดสินด้วยการดวลลูกโทษ[20] นัดชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน จนกระทั่งฤดูกาล 1999–2000 นัดชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคม
ตั้งแต่ฤดูกาล 1989–90 ผู้เล่นยอดเยี่ยมในนัดชิงชนะเลิศลีกคัพจะได้รับรางวัลแอลัน ฮาร์เดเกอร์ ตั้งชื่อตาม แอลัน ฮาร์เดเกอร์ อดีตเลขาธิการฟุตบอลลีกผู้คิดริเริ่มฟุตบอลลีกคัพ จอห์น เทร์รี, เบน ฟอสเตอร์, แว็งซ็อง กงปานี และเฟอร์จิล ฟัน ไดก์ เป็นผู้เล่นเพียงกลุ่มเดียวที่ได้รับรางวัลมากกว่าหนึ่งครั้ง[24]
ถ้วยรางวัล
แก้ผู้ชนะเลิศจะได้รับถ้วยรางวัลอีเอฟแอลคัพ[1] ซึ่งมีอยู่สามแบบ โดยแบบปัจจุบันเป็นแบบดั้งเดิม มีลักษณะเป็นแจกันสไตล์จอร์เจียนที่มีด้ามจับสามข้างพร้อมฐานรองแยกต่างหาก (เพิ่มในภายหลัง) ออกแบบและผลิตโดย แมปปินแอนด์เวบบ์ มีน้ำหนัก 2.976 กิโลกรัม และมีขนาด 27 เซนติเมตร ต่อ 20.5 เซนติเมตร มีมูลค่าประมาณ 20,000 ปอนด์[1] ถ้วยรางวัลถูกนำมาใช้จนถึงฤดูกาล 1980–81 ก่อนจะกลับมาใช้อีกครั้งนับตั้งแต่ฤดูกาล 1990–91[25] เหตุผลที่หยุดใช้คือการแนะนำผู้สนับสนุนการแข่งขันรายแรก ซึ่งก็คือ คณะกรรมการตลาดนม ที่เลือกมอบถ้วยรางวัลของตนเองในช่วงฤดูกาล 1981–82 ถึง 1985–86[26] ผู้สนับสนุนรายต่อไปคือ ลิตเติลวูดส์ เลือกที่จะมอบถ้วยรางวัลของตนเองตั้งแต่ฤดูกาล 1986–87 จนถึง 1989–90[27] ผู้สนับสนุนรายต่อมาก็กลับมาใช้ถ้วยรางวัลแบบดั้งเดิม
ผู้สนับสนุน
แก้ตั้งแต่ ค.ศ. 1981 จนถึงปัจจุบัน (ยกเว้นตั้งแต่ ค.ศ. 1960 ถึง 1981 และฤดูกาล 2016–17) ลีกคัพตั้งชื่อการแข่งขันตามชื่อผู้สนับสนุน โดยให้มีชื่อเรียกต่าง ๆ ดังต่อไปนี้:
ช่วงเวลา | ผู้สนับสนุน | ชื่อการแข่งขัน | ถ้วยรางวัล |
---|---|---|---|
1960–1981 | — | ฟุตบอลลีกคัพ | ดั้งเดิม |
1981–1986 | คณะกรรมการตลาดนม | มิลค์คัพ | ออกแบบโดยผู้สนับสนุน |
1986–1990 | ลิตเติลวูดส์ | ลิตเติลวูดส์ชาเลนจ์คัพ | |
1990–1992 | รัมเบโลวส์ | รัมเบโลวส์คัพ | ดั้งเดิม |
1992–1998 | โคคา-โคล่า[28] | โคคา-โคล่าคัพ | |
1998–2003 | เวอร์ทิงตันส์[29] | เวอร์ทิงตันคัพ | |
2003–2012 | คาร์ลิง[30] | คาร์ลิงคัพ | |
2012–2016 | แคปิตอลวัน[31] | แคปิตอลวันคัพ | |
2016–2017 | — | อีเอฟแอลคัพ | |
2017–2027[32] | คาราบาวแดง[33] | คาราบาวคัพ |
การถ่ายทอดสด
แก้สกายสปอร์ตส์ เป็นผู้ถ่ายทอดสดอีเอฟแอลคัพในสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐไอร์แลนด์จำนวน 15 นัดตลอด ค.ศ. 2024[34] พร้อมไฮไลต์จากหลายนัดทางช่อง ไอทีวีสปอร์ต เริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2022–23[35] การแข่งขันนี้รวมอยู่ในแพ็คเกจออกอากาศอีเอฟแอล ตั้งแต่ฤดูกาล 2024–25 ทุกนัดจะถ่ายทอดสดทางสกายสปอร์ตส์ และไอทีวีจะถ่ายทอดสดรอบรองชนะเลิศหนึ่งนัดและนัดชิงชนะเลิศ
สำหรับประเทศไทย พีพีทีวี เป็นผู้ถ่ายทอดสดอีเอฟแอลคัพตั้งแต่ฤดูกาล 2019–20 จนถึง 2021–22[36][37][38] ทรูไอดีในฤดูกาล 2022–23[39] และไทยรัฐทีวีตั้งแต่ฤดูกาล 2023–24[40]
ผลงานแบ่งตามสโมสร
แก้สโมสร | ชนะเลิศ | รองชนะเลิศ | ฤดูกาลที่ชนะเลิศ | ฤดูกาลที่ได้รองชนะเลิศ |
---|---|---|---|---|
ลิเวอร์พูล | 10 | 4 | 1980–81, 1981–82, 1982–83, 1983–84, 1994–95, 2000–01, 2002–03, 2011–12, 2021–22, 2023–24 | 1977–78, 1986–87, 2004–05, 2015–16 |
แมนเชสเตอร์ซิตี | 8 | 1 | 1969–70, 1975–76, 2013–14, 2015–16, 2017–18, 2018–19, 2019–20, 2020–21 | 1973–74 |
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 6 | 4 | 1991–92, 2005–06, 2008–09, 2009–10, 2016–17, 2022–23 | 1982–83, 1990–91, 1993–94, 2002–03 |
เชลซี | 5 | 5 | 1964–65, 1997–98, 2004–05, 2006–07, 2014–15 | 1971–72, 2007–08, 2018–19, 2021–22, 2023–24 |
แอสตันวิลลา | 5 | 4 | 1960–61, 1974–75, 1976–77, 1993–94, 1995–96 | 1962–63, 1970–71, 2009–10, 2019–20 |
ทอตนัมฮอตสเปอร์ | 4 | 5 | 1970–71, 1972–73, 1998–99, 2007–08 | 1981–82, 2001–02, 2008–09, 2014–15, 2020–21 |
นอตทิงแฮมฟอเรสต์ | 4 | 2 | 1977–78, 1978–79, 1988–89, 1989–90 | 1979–80, 1991–92 |
เลสเตอร์ซิตี | 3 | 2 | 1963–64, 1996–97, 1999–2000 | 1964–65, 1998–99 |
อาร์เซนอล | 2 | 6 | 1986–87, 1992–93 | 1967–68, 1968–69, 1987–88, 2006–07, 2010–11, 2017–18 |
นอริชซิตี | 2 | 2 | 1961–62, 1984–85 | 1972–73, 1974–75 |
เบอร์มิงแฮมซิตี | 2 | 1 | 1962–63, 2010–11 | 2000–01 |
วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | 2 | 0 | 1973–74, 1979–80 | — |
เวสต์บรอมมิชอัลเบียน | 1 | 2 | 1965–66 | 1966–67, 1969–70 |
มิดเดิลส์เบรอ | 1 | 2 | 2003–04 | 1996–97, 1997–98 |
ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ | 1 | 1 | 1966–67 | 1985–86 |
ลีดส์ยูไนเต็ด | 1 | 1 | 1967–68 | 1995–96 |
สโตกซิตี | 1 | 1 | 1971–72 | 1963–64 |
ลูตันทาวน์ | 1 | 1 | 1987–88 | 1988–89 |
เชฟฟีลด์เวนส์เดย์ | 1 | 1 | 1990–91 | 1992–93 |
สวินดอนทาวน์ | 1 | 0 | 1968–69 | — |
ออกซฟอร์ดยูไนเต็ด | 1 | 0 | 1985–86 | — |
แบล็กเบิร์นโรเวอส์ | 1 | 0 | 2001–02 | — |
สวอนซีซิตี | 1 | 0 | 2012–13 | — |
เวสต์แฮมยูไนเต็ด | 0 | 2 | — | 1965–66, 1980–81 |
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | 0 | 2 | — | 1975–76, 2022–23 |
เอฟเวอร์ตัน | 0 | 2 | — | 1976–77, 1983–84 |
เซาแทมป์ตัน | 0 | 2 | — | 1978–79, 2016–17 |
ซันเดอร์แลนด์ | 0 | 2 | — | 1984–85, 2013–14 |
โบลตันวอนเดอเรอส์ | 0 | 2 | — | 1994–95, 2003–04 |
รอเทอรัมยูไนเต็ด | 0 | 1 | — | 1960–61 |
รอชเดล | 0 | 1 | — | 1961–62 |
โอลดัมแอทเลติก | 0 | 1 | — | 1989–90 |
แทรนเมียร์โรเวอส์ | 0 | 1 | — | 1999–2000 |
วีแกนแอทเลติก | 0 | 1 | — | 2005–06 |
คาร์ดิฟฟ์ซิตี | 0 | 1 | — | 2011–12 |
แบรดฟอร์ดซิตี | 0 | 1 | — | 2012–13 |
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 1.2 "The Trophy". capitalonecup.co.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2016. สืบค้นเมื่อ 28 February 2016.
- ↑ DeBruler, Paul (28 October 2015). "Let's Remove the Premier League from the League Cup". SB Nation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 August 2016. สืบค้นเมื่อ 17 July 2016.
- ↑ "Frequently asked questions about the F.A. Premier League, (How are television revenues distributed to Premier League clubs?)". Premier League. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 November 2007. สืบค้นเมื่อ 11 December 2007.
- ↑ Harris, Nick (23 March 2010). "Premier League nets £1.4bn TV rights bonanza". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 March 2010. สืบค้นเมื่อ 12 September 2010.
- ↑ "MU boss vows to field young guns in the League Cup final". The Star. 28 February 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 March 2009. สืบค้นเมื่อ 27 February 2011.
- ↑ "Carling Cup worth winning says Manchester United manager Sir Alex Ferguson". Daily Post. 26 February 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 December 2015. สืบค้นเมื่อ 27 February 2010.
- ↑ 7.0 7.1 Inglis, Simon (1988). Football League and the men who made it. Harper Collins. p. 215. ISBN 978-0002182423.
- ↑ "The Southern Professional Floodlit Cup 1955–1960". Footysphere. 22 September 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2018. สืบค้นเมื่อ 11 November 2012.
- ↑ "Nothing new in League Cup: Football innovation gets us nowhere". The Times. 30 May 1960. สืบค้นเมื่อ 26 October 2013.(ต้องรับบริการ)
- ↑ 10.0 10.1 Inglis, Simon (1988). Football League and the men who made it. Harper Collins. p. 216. ISBN 978-0002182423.
- ↑ Inglis, Simon (1988). Football League and the men who made it. Harper Collins. p. 228. ISBN 978-0002182423.
- ↑ Inglis, Simon (1988). Football League and the men who made it. Harper Collins. p. 205. ISBN 978-0002182423.
- ↑ "Club History". swindontownfc.co.uk. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 May 2017. สืบค้นเมื่อ 2023-11-05.
- ↑ Inglis, Simon (1988). League football and the men who made it. London: Harper Collins. pp. 242. ISBN 978-0002182423.
- ↑ Mannion, Danny (30 May 2014). "Flashback: Liverpool win treble 15 years before Man United". talkSport. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 February 2023. สืบค้นเมื่อ 13 February 2023.
- ↑ Smith, Emma (12 April 2020). "Liverpool's 2001 team was better than the miracle of Istanbul squad – Hamann". Goal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 February 2023. สืบค้นเมื่อ 13 February 2023.
- ↑ "French League Cup suspended from 2020". BBC Sport. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 December 2021. สืบค้นเมื่อ 9 September 2021.
- ↑ "European qualification for UEFA competitions explained". Premier League. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 May 2017. สืบค้นเมื่อ 7 November 2018.
- ↑ "The Competition – EFL". efl.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 November 2018. สืบค้นเมื่อ 7 November 2018.
- ↑ 20.00 20.01 20.02 20.03 20.04 20.05 20.06 20.07 20.08 20.09 20.10 20.11 20.12 "The Football League Cup". soccer.mistral.co.uk. SoccerData. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 October 2018. สืบค้นเมื่อ 29 August 2012.
- ↑ "Carling Cup set for preliminary round". The Football League. 13 June 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 December 2013. สืบค้นเมื่อ 29 August 2012.
- ↑ "Carabao Cup: Extra time scrapped & VAR to be used at Premier League grounds". BBC Sport. 8 June 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2018. สืบค้นเมื่อ 9 June 2018.
- ↑ "2018/19: Carabao Cup rule changes". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 June 2018. สืบค้นเมื่อ 7 November 2018.
- ↑ "Alan Hardaker Trophy". EFL. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2018. สืบค้นเมื่อ 27 July 2018.
- ↑ "Liverpool v Tottenham Hotspur Match Programme cover 1982 final". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2016. สืบค้นเมื่อ 21 April 2009.
- ↑ "Man United v Liverpool programme 1983".[ลิงก์เสีย]
- ↑ "From Luton Town Official website". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2012. สืบค้นเมื่อ 21 April 2009.
- ↑ "Football: Coca-Cola sign Cup deal". The Independent. London. 1 August 1992. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2012. สืบค้นเมื่อ 21 September 2011.
- ↑ Bond, David (3 April 2002). "Worthington to end Cup sponsorship". Evening Standard. London. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 September 2012. สืบค้นเมื่อ 5 September 2011.
- ↑ "Carling Cup sponsorship extended". BBC Sport. 18 December 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2023. สืบค้นเมื่อ 21 September 2011.
- ↑ "Capital One sponsorship agreed". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 August 2012.
- ↑ "Carabao extends its title sponsorship of the Carabao Cup until 2026/27 season". EFL. 17 October 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2023. สืบค้นเมื่อ 17 October 2023.
- ↑ "Carabao 'bring it on' and become new sponsor of EFL Cup". efl.com. English Football League. 4 November 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 January 2017. สืบค้นเมื่อ 4 November 2016.
- ↑ "Sky Sports extends EFL contract until 2024, broadcasting 138 live games per season". Sky Sports. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2023. สืบค้นเมื่อ 8 January 2019.
- ↑ Brown, Graeme; Johnson, Greg (1 September 2018). "What is Quest TV? Everything you need to know". footballlondon. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 August 2023. สืบค้นเมื่อ 8 January 2019.
- ↑ ""พีพีทีวี" คว้าสิทธิ์ยิงสด "คาราบาว คัพ" จนถึงรอบชิงฯ ประเดิมถ่าย หงส์-ผี รอบ 8 ทีมสุดท้าย". mgronline.com. 2019-12-11. สืบค้นเมื่อ 2025-02-17.
- ↑ "ของขวัญกล่องใหญ่! พีพีทีวี ยิงสด ศึกคาราบาว คัพ 2020/21 บิ๊กแมตช์ผีชนเรือ". pptvhd36.com. 2020-12-30. สืบค้นเมื่อ 2025-02-17.
- ↑ "พีพีทีวี ยิงสด "เชลซี" ตัด "ลิเวอร์พูล" เดิมพันแชมป์ คาราบาวคัพ". mgronline.com. 2022-02-24. สืบค้นเมื่อ 2025-02-17.
- ↑ "เริ่ม9ต.ค.นี้! 'ทรูไอดี (TrueID)' ได้สิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอล คาราบาวคัพ-แชมเปี้ยนชิพ 2022-23". www.tnnthailand.com. 2025-01-17. สืบค้นเมื่อ 2025-02-17.
- ↑ ""ไทยรัฐทีวี" ยิงสด "คาราบาว คัพ" ซีซั่น 2023-24 เริ่มคู่แรกพรุ่งนี้ "ลิเวอร์พูล-เลสเตอร์"". www.thairath.co.th. 2023-09-26. สืบค้นเมื่อ 2025-02-17.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- เว็บไซต์ทางการ
- ผลการแข่งขันอีเอฟแอลคัพ ค.ศ. Results 1960–1996. Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation (RSSSF)
- BBC News and RSSSF สำหรับข้อมูลผู้ชม