ฟุตบอลทีมชาติสเปน

ฟุตบอลทีมชาติสเปน (สเปน: Selección Española de Fútbol) เป็นทีมฟุตบอลประจำประเทศสเปน อยู่ภายใต้การควบคุมและเป็นตัวแทนของราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนในการแข่งขันระหว่างประเทศนัดต่าง ๆ ซึ่งจัดขึ้นโดยสหพันธ์สมาคมฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า)

สเปน
Shirt badge/Association crest
ฉายาLa Roja ("สีแดง")
La Furia Roja ("แดงเดือด")[1]
กระทิงดุ (ฉายาในประเทศไทย)
สมาคมราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน (เอร์เรเฟฟ)
สมาพันธ์ยูฟ่า (ยุโรป)
หัวหน้าผู้ฝึกสอนLuis de la Fuente
กัปตันจอร์ดี้ อัลบา
ติดทีมชาติสูงสุดเซร์ฆิโอ ราโมส (180)[2]
ทำประตูสูงสุดดาบิด บิยา (59)
สนามเหย้าหลายแห่ง
รหัสฟีฟ่าESP
อันดับฟีฟ่า
อันดับปัจจุบัน 10 ลดลง 3 (22 ธันวาคม 2022)[3]
อันดับสูงสุด1 (กรกฎาคม ค.ศ. 2008 – มิถุนายน ค.ศ. 2009, ตุลาคม ค.ศ. 2009 – มีนาคม ค.ศ. 2010, กรกฎาคม ค.ศ. 2010 – กรกฎาคม ค.ศ. 2011, ตุลาคม ค.ศ. 2011 – กรกฎาคม ค.ศ. 2014)
อันดับต่ำสุด25 (มีนาคม ค.ศ. 1998)
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก
ธงชาติสเปน สเปน 1–0 เดนมาร์ก ธงชาติเดนมาร์ก
(บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม; 28 สิงหาคม ค.ศ. 1920)
ชนะสูงสุด
ธงชาติสเปน สเปน 13–0 บัลแกเรีย ธงชาติบัลแกเรีย
(มาดริด ประเทศสเปน; 22 สิงหาคม ค.ศ. 1933)
แพ้สูงสุด
ธงชาติสเปน สเปน 1–7 อิตาลี ธงชาติอิตาลี
(อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์; 4 มิถุนายน ค.ศ. 1928)
ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ 7–1 สเปน ธงชาติสเปน
(ลอนดอน ประเทศอังกฤษ; 9 ธันวาคม ค.ศ. 1931)
ฟุตบอลโลก
เข้าร่วม16 (ครั้งแรกใน 1934)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ (2010)
ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
เข้าร่วม11 (ครั้งแรกใน 1964)
ผลงานดีที่สุดชนะเลิศ (1964, 2008, 2012)
เนชันส์ลีกรอบสุดท้าย
เข้าร่วม1 (ครั้งแรกใน 2021)
ผลงานดีที่สุดรองชนะเลิศ (2021)
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ
เข้าร่วม2 (ครั้งแรกใน 2009)
ผลงานดีที่สุดรองชนะเลิศ (2013)

ทีมชาติสเปนเป็นที่รู้จักกันในฉายา "La Furia Española"[4] และฉายาซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าคือ "La Furia Roja" มาจากคำที่ชาวอิตาลีเป็นผู้คิดขึ้นและนำมาใช้เรียกทีมชาตินี้ในภาษาของตนว่า "Furia Rossa"[5] คำว่า "ฟูเรีย" (ความดุเดือด, ความโมโหร้าย) มาจากรูปแบบการเล่นที่ค่อนข้างรุนแรงของนักฟุตบอลสเปนในการแข่งขันนัดต่าง ๆ ที่ทีมชาติสเปนเข้าร่วมเป็นครั้งแรกที่เมืองแอนต์เวิร์ป (ประเทศเบลเยียม) และต่อมาก็ถูกนำมาใช้เรียกเหตุการณ์การปล้นเมืองแอนต์เวิร์ปของสเปนในสงครามแปดสิบปี (ค.ศ. 1576) ซึ่งเป็นตำนานมืดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์การทหารของสเปนด้วย ส่วน "รอสซา" (สีแดง) มาจากสีของเสื้อทีม สำหรับในประเทศไทยนั้นทีมนี้มีฉายาว่า "กระทิงดุ"

สเปนได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 12 ครั้ง และเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในฟุตบอลโลก ปี 1982 ผลงานที่ดีที่สุดที่ทีมชาติสเปนเคยทำได้นั้นคือชนะเลิศในปี2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้

ทีมชาติสเปนยังได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ฟุตบอลยูโร) 8 ครั้ง ครั้งสำคัญคือฟุตบอลยูโร ปี 1964 ซึ่งถือเป็นแชมป์ในบ้านตัวเองหลังจากเอาชนะสหภาพโซเวียตไป 2-1 แต่ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร ปี 1984 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส สเปนทำได้เพียงรองแชมป์เพราะแพ้ให้กับเจ้าบ้านด้วยคะแนน 2-0 และไม่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศอีกเลยจนกระทั่งในการแข่งขันฟุตบอลยูโร ปี 2008 สเปนก็ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จโดยพบกับเยอรมนีและคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด

ความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดในกีฬาโอลิมปิกของฟุตบอลทีมชาติสเปนได้แก่ การแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน ค.ศ. 1992 ที่เมืองบาร์เซโลนา สเปนคว้าเหรียญทองได้สำเร็จหลังจากเอาชนะโปแลนด์ 3-2 ในรอบชิงชนะเลิศที่สนามกัมนอว์ (Camp Nou) ส่วนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ค.ศ. 2000 สเปนได้เหรียญเงินโดยแพ้แคเมอรูนหลังจากการดวลจุดโทษในรอบชิงชนะเลิศ[6] นอกจากนี้ สเปนยังเคยได้เหรียญเงินในกีฬาโอลิมปิกที่เมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ค.ศ. 1920 อีกด้วย

นอกจากนี้ สเปนยังเป็นหนึ่งในสองชาติ ที่ชนะเลิศทั้งประเภทชายและประเภทหญิงชนะคู่ 1 ครั้ง โดยประเภทชายชนะเลิศในปี 2010 ส่วนประเภทหญิงชนะเลิศในปี 2023

ประวัติการแข่งขัน แก้ไข

การแข่งขันครั้งแรก แก้ไข

ฟุตบอลทีมชาติสเปนได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1920 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นตัวแทนประเทศสเปนไปแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 7 ที่เมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ทีมชาติสเปนลงสนามอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1920 โดยพบกับทีมชาติเดนมาร์กที่สนามกีฬาในกรุงบรัสเซลส์ และสามารถเอาชนะเดนมาร์ก 1-0 ด้วยการยิงประตูจากปาตรีเซียว ทีมชาติสเปนได้เหรียญเงินเป็นครั้งแรกจากการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนั้น

การแข่งขันใหญ่ระหว่างปี ค.ศ. 1950-2004 แก้ไข

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 แก้ไข

แม้จะทำผลงานครั้งแรก ๆ ได้ไม่ดีนักเมื่อเริ่มต้นแข่งขันรอบคัดเลือกตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 แต่สเปนก็สามารถผ่านเข้ามาในรอบแบ่งกลุ่มของการแข่งขันฟุตบอลยูโรที่ออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ได้สำเร็จ ในช่วงนี้เองเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้จัดการทีมลุยส์ อาราโกเนสกับสื่อมวลชนสเปน ครั้งแรกในเรื่องผลการแข่งขันที่ผ่านมาซึ่งย่ำแย่ และครั้งที่ 2 ในเรื่อง "ข่าว" ความขัดแย้งกับอดีตกัปตันทีมชาติราอุล กอนซาเลซ[8]

ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มสเปนอยู่ในกลุ่ม D ร่วมกับสวีเดน กรีซ และรัสเซีย ในนัดแรกที่พบกับรัสเซียนั้นผลออกมาคือสเปนชนะไป 4-1 โดยได้ 3 ประตูจากดาบิด บียา และอีก 1 ประตูจากเซสก์ ฟาเบรกัส ส่วนในนัดที่ 2 ที่พบกับสวีเดน สเปนก็ยังเอาชนะได้ด้วยคะแนน 2-1 จากการยิงของเฟร์นันโด ตอร์เรสและบียา และในนัดสุดท้ายที่พบกับแชมป์เก่ากรีซ สเปนสามารถเอาชนะได้เช่นกันด้วยคะแนน 1-2 โดยได้ประตูจากรูเบน เด ลา เรด และดานี กวีซา

ด้วยชัยชนะทั้งสามครั้งรวดทำให้สเปนอยู่ในอันดับที่ 1 ของกลุ่ม และต้องไปพบกับอิตาลีในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งสเปนสามารถยิงจุดโทษเอาชนะไปได้ 4-2 หลังจากต่อเวลาพิเศษแล้วยังเสมอกัน 0-0 ในนัดนี้อีเกร์ กาซียัส ผู้รักษาประตูฝ่ายสเปนสามารถหยุดลูกยิงจากฝ่ายตรงข้ามไว้ได้ 2 ลูก ส่วนผู้ทำประตูให้กับสเปนในนัดนี้ได้แก่ บียา, กาซอร์ลา, เซนนา และฟาเบรกัส

สเปนลงแข่งในรอบรองชนะเลิศกับรัสเซียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน และเอาชนะไปได้ด้วยคะแนน 3-0 ซึ่งเป็นประตูที่ยิงได้ในครึ่งหลังทั้งหมดจากชาบี อาร์นันดัส, ดานี กวีซา และดาบิด ซิลบา ทำให้สเปนผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี อย่างไรก็ตาม สเปนก็ต้องขาดบียากองหน้าคนสำคัญไปเพราะได้รับบาดเจ็บที่ต้นขาจากการเตะลูกฟรีคิกในนัดที่แข่งกับรัสเซีย

ในวันที่ 29 มิถุนายน สเปนพบกับเยอรมนีซึ่งชนะตุรกีมาได้ด้วยคะแนน 3-2 ในนัดนี้ เฟร์นันโด ตอร์เรสทำประตูให้สเปนขึ้นนำเยอรมนีได้ในนาทีที่ 33 โดยไม่มีฝ่ายใดทำประตูเพิ่มอีกในครึ่งหลัง เกมจึงสิ้นสุดลงด้วยคะแนน 1-0 ทำให้ทีมชาติสเปนได้ครองแชมป์การแข่งขันใหญ่อีกครั้งหลังจากว่างเว้นไปถึง 44 ปี

ฟุตบอลโลก 2010 แก้ไข

ในฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ก่อนการแข่งขันสเปนถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์ได้ แต่เมื่อได้แข่งนัดแรกแล้ว สเปนกลับเป็นฝ่ายพลิกล็อกแพ้สวิตเซอร์แลนด์ไป 0-1 แต่หลังจากนั้นสเปนก็ทำผลงานกระเตื้องขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ[9]

ในรอบชิงชนะเลิศ สเปนเป็นฝ่ายเอาชนะเนเธอร์แลนด์ ที่ชนะมาทุกรอบได้ ไป 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หลังจากเสมอมาในเวลาปกติ 0-0 จากการยิงประตูของอันเดรส อีเนียสตา ในนาทีที่ 116 ทำให้สเปนได้ครองแชมป์โลกเป็นครั้งแรก และเป็นทีมจากทวีปยุโรปทีมแรกที่คว้าแชมป์โลกได้นอกทวีปของตนเอง และเป็นทีมแรกที่แพ้ก่อนในนัดแรกแต่พลิกกลับๅ/มาเป็นแชมป์ได้ในที่สุด[10][11]

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 แก้ไข

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ที่โปแลนด์และยูเครนเป็นเจ้าภาพ สเปนในฐานะแชมป์เก่าสามารถป้องกันแชมป์เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันได้สำเร็จ โดยในรอบชิงชนะเลิศสามารถระเบิดฟอร์มถล่มอิตาลีไปอยางขาดลอยถึง 4-0[12]

ฟุตบอลโลก 2014 แก้ไข

ในฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ สเปนในฐานะแชมป์เก่าอยู่กลุ่ม B ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกันกับ เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นคู่ชิงชนะเลิศเมื่อคราวที่แล้ว, ชิลี และออสเตรเลีย ในนัดแรก สเปนเป็นฝ่ายแพ้เนเธอร์แลนด์ไปมากถึง 1-5 ซึ่งนับเป็นผลการแข่งขันที่สเปนแพ้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ทีมชาติอีกด้วย[13] และในนัดถัดมา สเปนก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อ ชิลี 0-2 ทำให้ตกรอบแรกไปทันที โดยไม่ต้องรอผลการแข่งขันนัดที่ 3 กับออสเตรเลีย อีกทั้งถือว่า สเปนเป็นทีมแชมป์เก่าที่ตกรอบแรกฟุตบอลโลกเป็นทีมที่ 4 ต่อจาก อิตาลี ในฟุตบอลโลก 1950, บราซิล ในฟุตบอลโลก 1966 และ ฝรั่งเศส ในฟุตบอลโลก 2002[14]

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 แก้ไข

สเปนในฐานะแชมป์เก่า และแชมป์ 2 สมัยติดต่อกัน ได้ลงเล่นในกลุ่ม D ร่วมกับโครเอเชีย, สาธารณรัฐเช็ก และตุรกี โดยก่อนการแข่งขันถูกยกให้เป็นทีมเต็ง 3 ที่จะได้แชมป์ในคราวนี้[15] ผลปรากฏว่าในรอบแรก สเปนได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายหรือรอบที่ 2 ด้วยการเป็นที่ 2 ของกลุ่ม เนื่องจากนัดสุดท้ายแพ้ต่อ โครเอเชียไป 1-2[16] แต่ต้องตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อเป็นฝ่ายแพ้ต่อ อิตาลี ซึ่งเป็นคู่ชิงชนะเลิศเมื่อ 4 ปีก่อน ไป 2-0[17] ทำให้ บีเซนเต เดล โบสเก หัวหน้าผู้ฝึกสอนประกาศลาออกจากตำแหน่ง[18] ซึ่งราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนได้ประกาศแต่งตั้งยูเลน โลเปเตกี ที่เคยพาทีมชาติสเปนรุ่นอายุไม่เกิน 19 และ 21 ปีคว้าแชมป์ยุโรปเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่[19]

ผู้เล่น แก้ไข

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน แก้ไข

รายชื่อผู้เล่น 26 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022[20]

ข้อมูลการลงเล่นและการทำประตูนับถึงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2565 หลังจากการพบกับโปรตุเกส

0#0 ตำแหน่ง ผู้เล่น วันเกิด (อายุ) ลงเล่น ประตู สโมสร
1 1GK โรเบร์ต ซันเชซ (1997-11-18) 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1997 (25 ปี) 1 0   ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน
13 1GK ดาบิด รายา (1995-09-15) 15 กันยายน ค.ศ. 1995 (28 ปี) 1 0   เบรนต์ฟอร์ด
23 1GK อูไน ซิมอน (1997-06-11) 11 มิถุนายน ค.ศ. 1997 (26 ปี) 27 0   อัตเลติกบิลบาโอ

2 2DF เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา (1989-08-28) 28 สิงหาคม ค.ศ. 1989 (34 ปี) 41 1   เชลซี
3 2DF เอริก การ์ซิอา (2001-01-09) 9 มกราคม ค.ศ. 2001 (22 ปี) 18 0   บาร์เซโลนา
4 2DF เปา ตอร์เรส (1997-01-16) 16 มกราคม ค.ศ. 1997 (26 ปี) 21 1   บิยาร์เรอัล
14 2DF โฆเซ กายา (1995-05-25) 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1995 (28 ปี) 18 3   บาเลนเซีย
15 2DF อูโก กิยามอน (2000-01-31) 31 มกราคม ค.ศ. 2000 (23 ปี) 3 1   บาเลนเซีย
18 2DF ฌอร์ดี อัลบา (รองกัปตัน) (1989-03-21) 21 มีนาคม ค.ศ. 1989 (34 ปี) 86 9   บาร์เซโลนา
20 2DF ดานิ การ์บาฆัล (1992-01-11) 11 มกราคม ค.ศ. 1992 (31 ปี) 30 0   เรอัลมาดริด
24 2DF แอมริก ลาปอร์ต (1994-05-27) 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1994 (29 ปี) 15 1   แมนเชสเตอร์ซิตี

5 3MF เซร์ฆิโอ บุสเกตส์ (กัปตัน) (1988-07-16) 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1988 (35 ปี) 139 2   บาร์เซโลนา
6 3MF มาร์โกส โยเรนเต (1995-01-30) 30 มกราคม ค.ศ. 1995 (28 ปี) 17 0   อัตเลติโกเดมาดริด
8 3MF โกเก (1992-01-08) 8 มกราคม ค.ศ. 1992 (31 ปี) 67 0   อัตเลติโกเดมาดริด
9 3MF กาบิ (2004-08-05) 5 สิงหาคม ค.ศ. 2004 (19 ปี) 12 1   บาร์เซโลนา
16 3MF โรดริ (1996-06-22) 22 มิถุนายน ค.ศ. 1996 (27 ปี) 34 1   แมนเชสเตอร์ซิตี
19 3MF การ์โลส โซเลร์ (1997-01-02) 2 มกราคม ค.ศ. 1997 (26 ปี) 11 3   ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง
26 3MF เปดริ (2002-11-25) 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 (20 ปี) 14 0   บาร์เซโลนา

7 4FW อัลบาโร โมราตา (1992-10-23) 23 ตุลาคม ค.ศ. 1992 (30 ปี) 57 27   อัตเลติโกเดมาดริด
10 4FW มาร์โก อาเซนซิโอ (1996-01-21) 21 มกราคม ค.ศ. 1996 (27 ปี) 29 1   เรอัลมาดริด
11 4FW เฟร์รัน ตอร์เรส (2000-02-29) 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 (23 ปี) 30 13   บาร์เซโลนา
12 4FW นีโก วิลเลียมส์ (2002-07-12) 12 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 (21 ปี) 2 0   อัตเลติกบิลบาโอ
17 4FW เยเรมิ ปิโน (2002-10-20) 20 ตุลาคม ค.ศ. 2002 (20 ปี) 6 1   บิยาร์เรอัล
21 4FW ดานิ โอลโม (1998-05-07) 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1998 (25 ปี) 24 4   แอร์เบ ไลพ์ซิช
22 4FW ปาโบล ซาราเบีย (1992-05-11) 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1992 (31 ปี) 24 9   ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง
25 4FW อันซู ฟาตี (2002-10-31) 31 ตุลาคม ค.ศ. 2002 (20 ปี) 4 1   บาร์เซโลนา

ผู้เล่นที่ลงเล่นมากที่สุด แก้ไข

ข้อมูลเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2016

# ชื่อ ปี ลงเล่น ประตู
1 อีเกร์ กาซียัส 2000-2016 167 0
2 เซร์คีโอ ราโมส 2005- 136 10
3 ชาบี อาร์นันดัส 2000-2014 133 12
4 อันโดนี ซูบีซาร์เรตา 1985-1998 126 44
5 ชาบี อาลอนโซ 2003-2014 114 16
6 อันเดรส อีเนียสตา 2006- 113 13
7 เซสก์ ฟาเบรกัส 2006- 110 15
เฟร์นันโด ตอร์เรส 2003- 110 38
9 ดาบิด ซิลบา 2006- 103 24
10 ราอุล กอนซาเลซ 1996-2006 102 44

ผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุด แก้ไข

ข้อมูลเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015

# ชื่อ ปี ประตู (ลงเล่น) เฉลี่ย/เกม
1 ดาบิด บียา 2005-2014 59 (97) 0.61
2 ราอุล 1996-2006 44 (102) 0.43
3 เฟร์นันโด ตอร์เรส 2003- 38 (110) 0.35
4 เฟร์นันโด เอียร์โร 1989-2002 29 (89) 0.33
5 เฟร์นันโด โมเรียนเตส 1998-2007 27 (47) 0.57
6 เอมีเลียว บูตราเกโญ 1984-1992 26 (69) 0.38
7 อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน 1957-1961 23 (31) 0.74
8 ดาบิด ซิลบา 2003- 23 (94) 0.24
9 คูเลียว ซาลีนัส 1986-1996 22 (56) 0.39
10 มีเชล 1985-1992 21 (66) 0.32

สถิติโลกใหม่ ชนะรวด 15 นัด ทำลายสถิติโลกมากที่สุด แก้ไข

เป็นสถิติชนะมากกว่าสถิติเดิมที่บราซิล ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย ทำไว้ คือ ชนะติดต่อกัน 14 นัด ซึ่งเป็นสถิติที่ฟีฟ่า (FIFA) บันทึกไว้

  • นัดที่ 1 วันที่ 26 มิถุนายน 2551 สเปน ชนะ รัสเซีย 3-0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบรองชนะเลิศ
  • นัดที่ 2 วันที่ 29 มิถุนายน 2551 สเปน ชนะ เยอรมนี 1-0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบชิงชนะเลิศ
  • นัดที่ 3 วันที่ 20 สิงหาคม 2551 สเปน ชนะ เดนมาร์ก 3-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
  • นัดที่ 4 วันที่ 6 กันยายน 2551 สเปน ชนะ บอสเนีย 1-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 5 วันที่ 10 กันยายน 2551 สเปน ชนะ อาร์มีเนีย 4-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 6 วันที่ 11 ตุลาคม 2551 สเปน ชนะ เอสโตเนีย 3-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 7 วันที่ 15 ตุลาคม 2551 สเปน ชนะ เบลเยียม 2-1 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 8 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 สเปน ชนะ ชิลี 3-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
  • นัดที่ 9 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 สเปน ชนะ อังกฤษ 2-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
  • นัดที่ 10 วันที่ 28 มีนาคม 2552 สเปน ชนะ ตุรกี 1-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 11 วันที่ 1 เมษายน 2552 สเปน ชนะ ตุรกี 2-1 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
  • นัดที่ 12 วันที่ 9 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ อาเซอร์ไบจาน 6-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
  • นัดที่ 13 วันที่ 14 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ นิวซีแลนด์ 5-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
  • นัดที่ 14 วันที่ 17 มิถุนายน 2552สเปน ชนะ อิรัก 1-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
  • นัดที่ 15 วันที่ 20 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ แอฟริกาใต้ 2-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้

สถิติโลกใหม่ เทียบเท่าทีมชาติบราซิล ไม่แพ้ทีมใด 35 นัดติดต่อกัน แก้ไข

  • นัดที่ 1 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550 (2007) อังกฤษ ชนะ สเปน 0 - 1 กระชับมิตร
  • นัดที่ 2 วันที่ 24 มีนาคม 2550 (2007) สเปน ชนะ เดนมาร์ก 2-1 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 3 วันที่ 28 มีนาคม 2550 (2007) สเปน ชนะ ไอซ์แลนด์ 1 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 4 วันที่ 2 มิถุนายน 2550 (2007) ลิทัวเนีย แพ้ สเปน 0-2 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 5 วันที่ 6 มิถุนายน 2550 (2007) ลิกเตนสไตน์ แพ้ สเปน 0 - 2 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 6 วันที่ 22 สิงหาคม 2550 (2007) กรีซ แพ้ สเปน 2 - 3 กระชับมิตร
  • นัดที่ 7 วันที่ 8 กันยายน 2550 (2007) ไอซ์แลนด์ เสมอ สเปน 1 - 1 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 8 วันที่ 12 กันยายน 2550 (2007) สเปน ชนะ ลัตเวีย 2 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 9 วันที่ 13 ตุลาคม 2550 (2007) เดนมาร์ก แพ้ สเปน 1 - 3 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 10 วันที่ 17 ตุลาคม 2550 (2007) ฟินแลนด์ เสมอ สเปน 0 - 0 กระชับมิตร
  • นัดที่ 11 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2550 (2007) สเปน ชนะ สวีเดน 3 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 12 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2550 (2007) สเปน ชนะ ไอร์แลนด์เหนือ 1 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 13 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 (2008) สเปน ชนะ ฝรั่งเศส 1 - 0 กระชับมิตร
  • นัดที่ 14 วันที่ 26 มีนาคม 2551 (2008) สเปน ชนะ อิตาลี 1 - 0 กระชับมิตร
  • นัดที่ 15 วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 (2008) สเปน ชนะ เปรู 2 - 1 กระชับมิตร
  • นัดที่ 16 วันที่ 4 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ สหรัฐอเมริกา 1 - 0 กระชับมิตร
  • นัดที่ 17 วันที่ 10 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ รัสเซีย 4 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
  • นัดที่ 18 วันที่ 14 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ สวีเดน 2 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
  • นัดที่ 19 วันที่ 18 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ กรีซ 2 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
  • นัดที่ 20 วันที่ 22 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน เสมอ อิตาลี 0 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
  • นัดที่ 21 วันที่ 26 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ รัสเซีย 3 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
  • นัดที่ 22 วันที่ 29 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ เยอรมนี 1 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์ ชิงชนะเลิศ
  • นัดที่ 23 วันที่ 20 สิงหาคม 2551 (2008) เดนมาร์ก แพ้ สเปน 0 - 3 กระชับมิตร
  • นัดที่ 24 วันที่ 6 กันยายน 2551 (2008) สเปน ชนะ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 1 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 25 วันที่ 10 กันยายน 2551 (2008) สเปน ชนะ อาร์มีเนีย 4 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 26 วันที่ 11 ตุลาคม 2551 (2008) เอสโตเนีย แพ้ สเปน 3 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 27 วันที่ 15 ตุลาคม 2551 (2008) เบลเยียม แพ้ สเปน 1 - 2 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 28 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 (2008) สเปน ชนะ ชิลี 3 - 0 กระชับมิตร
  • นัดที่ 29 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 (2009) สเปน ชนะ อังกฤษ 2 - 0 ฟุตบอลกระชับมิตร
  • นัดที่ 30 วันที่ 28 มีนาคม 2552 (2009) สเปน ชนะ ตุรกี 1 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 31 วันที่ 1 เมษายน 2552 (2009) ตุรกี แพ้ สเปน 1 - 2 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
  • นัดที่ 32 วันที่ 9 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ อาเซอร์ไบจาน 6 - 0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
  • นัดที่ 33 วันที่ 14 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ นิวซีแลนด์ 5 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
  • นัดที่ 34 วันที่ 17 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ อิรัก 1 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
  • นัดที่ 35 วันที่ 20 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ แอฟริกาใต้ 2 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้

อดีตผู้เล่นคนสำคัญ แก้ไข

อ้างอิง แก้ไข

  1. ""La Roja"". 17 June 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2019. สืบค้นเมื่อ 30 June 2010.
  2. "Statistics – Most-capped players". European football database. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2019. สืบค้นเมื่อ 9 January 2016.
  3. "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 22 ธันวาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ธันวาคม 2022.
  4. El Mundo. "El inspirador de la "furia española" fue un vasco" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2008.. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  5. "Nace la Furia Roja" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2008.. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  6. Terra Networks. "2-2. España pierde el oro en los penaltis" (ภาษาสเปน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-21. สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2008.. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  7. Diario de Córdoba. "España jugará ante Inglaterra su partido número 500" (ภาษาสเปน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-27. สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2008.. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  8. El Mundo. "Aragonés pierde los nervios por Raúl" (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2008.. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  9. "ล็อกถล่ม สเปนแพ้ สวิสฯ 0-1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-20. สืบค้นเมื่อ 2010-07-11.
  10. รายงานผล
  11. น ซิวแชมป์โลกสมัยแรก 'อิเนียสตา' ซัดประตูชัย 1-0 น.116จากไทยรัฐ
  12. "บันทึกที่สุดยูโร 2012 กระทิงดุ สเปน ที่สุดของที่สุด". สยามสปอร์ต. July 3, 2012. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.
  13. "กระทิงจุก!แพ้ยับสุดในบอลโลกเป็นอันดับ2ของชาติ". สยามสปอร์ต. 14 June 2014. สืบค้นเมื่อ 19 June 2014.
  14. "ย้อนรอย!4แชมป์เก่าจอดป้ายรอบแรก". สยามสปอร์ต. 19 June 2014. สืบค้นเมื่อ 19 June 2014.
  15. "จัดอันดับทีมเต็งแชมป์ยูโร 2016". fun78. May 24, 2016. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.[ลิงก์เสีย]
  16. "สเปน แชมป์เก่าพลาดท่าแพ้ โครเอเชีย 2-1 ผ่านเข้ารอบเป็นอันดับ 2 บอลยูโร". ช่อง 7. June 22, 2016. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.[ลิงก์เสีย]
  17. "อิตาลีโชว์เหนือ! ชนะสเปน แชมป์เก่า 2-0 ลิ่ว 8 ทีมสุดท้าย ยูโร2016". เนชั่นทีวี. June 28, 2016. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.
  18. "พอแล้ว!เดลบอสเก้ขอลาออกกุนซือกระทิง". สยามกีฬารายวัน. 1 กรกฎาคม 2559. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-07-09. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  19. "สเปนตั้งโลเปเตกีกุมบังเหียนต่อเดลบอสเก้". สยามกีฬารายวัน. 21 กรกฎาคม 2559. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  20. "OFICIAL | Lista de convocados para la Copa Mundial de Fútbol de la FIFA Catar 2022". sefutbol (ภาษาสเปน). 11 November 2022.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้ไข