ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี
ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี (อิตาลี: Nazionale italiana di calcio) เป็นตัวแทนทีมฟุตบอลจากประเทศอิตาลี อยู่ภายใต้การดูแลของสมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลีนับตั้งแต่ลงแข่งขันครั้งแรกใน ค.ศ. 1910 เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นสมาชิกสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ซึ่งยังเป็นที่ตั้งของสนามฝึกซ้อมหลัก
![]() | |||
ฉายา | Gli Azzurri (The Blues) ทีมมักกะโรนี (ฉายาในภาษาไทย) | ||
---|---|---|---|
สมาคม | สมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (Federazione Italiana Giuoco Calcio – FIGC) | ||
สมาพันธ์ | ยูฟ่า (ยุโรป) | ||
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | ลูเซียโน สปัลเลตติ | ||
กัปตัน | เลโอนาร์โด โบนุชชี | ||
ติดทีมชาติสูงสุด | จันลุยจี บุฟฟอน (176) | ||
ทำประตูสูงสุด | ลุยจี รีวา (35) | ||
รหัสฟีฟ่า | ITA | ||
| |||
อันดับฟีฟ่า | |||
อันดับปัจจุบัน | 8 ![]() | ||
อันดับสูงสุด | 1 (พฤศจิกายน ค.ศ. 1993, กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007, เมษายน–มิถุนายน ค.ศ. 2007, กันยายน ค.ศ. 2007) | ||
อันดับต่ำสุด | 17 (กรกฎาคม ค.ศ. 2015, ตุลาคม ค.ศ. 2015, กันยายน ค.ศ. 2017) | ||
เกมระดับนานาชาติครั้งแรก | |||
![]() ![]() (มิลาน, อิตาลี; 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1910) | |||
ชนะสูงสุด | |||
![]() ![]() (เบรนต์ฟอร์ด, อังกฤษ; 2 สิงหาคม ค.ศ. 1948) | |||
แพ้สูงสุด | |||
![]() ![]() (บูดาเปสต์, ฮังการี; 6 เมษายน ค.ศ. 1924) | |||
ฟุตบอลโลก | |||
เข้าร่วม | 18 (ครั้งแรกใน 1934) | ||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ (1934, 1938, 1982 และ 2006) | ||
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป | |||
เข้าร่วม | 9 (ครั้งแรกใน 1968) | ||
ผลงานดีที่สุด | ชนะเลิศ (1968, 2020) | ||
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ | |||
เข้าร่วม | 2 (ครั้งแรกใน 2009) | ||
ผลงานดีที่สุด | อันดับที่สาม (2013) |
อิตาลีเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการแข่งขันนานาชาติ โดยชนะเลิศฟุตบอลโลก 4 สมัยในปี 1934, 1938, 1982 และ 2006 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของยุโรปเท่ากับเยอรมนี และคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศสองครั้ง (ปี 1970 และ 1994), อันดับสามหนึ่งครั้ง (ปี 1990) และอันดับสี่หนึ่งครั้ง (ปี 1978) พวกเขายังชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2 สมัยในปี 1968 และ 2020 และรองชนะเลิศอีกสองครั้ง (ปี 2000 และ 2012) อิตาลียังคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศในฟินาลิสซิมา 2022 รวมทั้งอันดับสามในฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013 และ ยูฟ่าเนชันส์ลีก 2021
สีประจำทีมคือสีฟ้าอ่อน (และเป็นสีที่ใช้ประจำทีมชาติในหลายกีฬายกเว้นการแข่งขันรถ) ซึ่งในภาษาอิตาลีคือ อัซซูโร (azzurro) และเป็นสีประจำราชวงศ์ของอิตาลีในอดีต และเป็นที่มาของชื่อเล่นของทีมว่า "อัซซูร์รี" (Azzurri) อิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1934 และกลายเป็นชาติแรกที่ป้องกันแชมป์ได้ในปี 1938 และพวกเขาถือเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกต่อเนื่องไปจนถึง ค.ศ. 1950 สืบเนื่องจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงระหว่างการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1934–38 อิตาลียังคว้าเหรียญทองในโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 ภัยพิบัติทางอากาศซูเปอร์กาใน ค.ศ. 1949 นำไปสู่การสูญเสียผู้เล่นคนสำคัญหลายราย ส่งผลให้อิตาลีเข้าสู่ยุคตกต่ำในช่วงทศวรรษ 1950 รวมทั้งไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายในฟุตบอลโลก 1958 ก่อนจะกลับมาประสบความสำเร็จและพวกเขาสามารถเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาอย่างต่อเนื่องก่อนจะยุติลงในฟุตบอลโลก 2018 และ 2022 อิตาลียังครองสถิติในการไม่แพ้ทีมใดในการแข่งขันทางการติดต่อกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวน 37 นัด (ค.ศ. 2018–2021)
อิตาลีเป็นคู่ปรับของเยอรมนี, บราซิล, อาร์เจนตินา, สเปน และฝรั่งเศส และนับตั้งแต่มีการริเริ่มการจัดอันดับโลกฟีฟ่าใน ค.ศ. 1993 พวกเขาเคยครองอันดับหนึ่งของโลกหลายครั้ง โดยอันดับที่แย่ที่สุดคืออันดับ 21 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2018
ประวัติ แก้ไข
ก่อตั้งทีม และแชมป์โลกสองสมัยแรก (1899–1938) แก้ไข
การรวมตัวกันของทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี 1899 ในการพบกับสวิตเซอร์แลนด์ในนัดกระชับมิตร ณ เมืองตูริน ซึ่งอิตาลีแพ้ไป 0–2[2]
การแข่งขันทางการครั้งแรกได้จัดขึ้นที่มิลานเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ปี 1910 อิตาลีเอาชนะฝรั่งเศส 6–2 โดยที่ปิเอโตร ลานา เป็นผู้ทำประตูแรกอย่างเป็นทางการของอิตาลี[3][4] ทีมอิตาลีเล่นด้วยระบบ 2–3–5 ประกอบด้วย: เด ซิโมนี; วาริสโก, กาลี; เตรเร, ฟอสซาติ, คาเปลโล; เดเบอร์นาดี้, ริซซี่, เซเวนีนี่ ที่ 1, ลาน่า, โบย็อกกี้ และมีกัปตันทีมคนแรกคือ ฟรานเชสโก กัลลี[5]
ความสำเร็จแรกของพวกเขาคือการคว้าเหรียญทองแดงในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1928 ณ กรุงอัมส์เตอร์ดัม หลังจากแพ้ให้กับทีมชาติอุรุกวัยในรอบรองชนะเลิศพวกเขาสามารถเอาชนะทีมชาติอียิปต์ได้ถึง 11–3 ต่อมาในการแข่งขันรายการ Central European International Cup ในปี 1930[6] และ1935[7] อิตาลีได้อันดับที่หนึ่งจากคู่แข่งห้าทีมที่ลงแข่งขันคว้าแชมป์ไปได้ทั้งสองสมัย ตามด้วยความสำเร็จในกีฬาโอลิมปิกอีกครั้งจากการคว้าเหรีญทองในปี 1936 โดยเอาชนะออสเตรีย 2–1
ภายหลังจากที่อิตาลีปฏิเสธคำเชิญในการเข้าร่วมฟุตบอลโลก 1930 พวกเขาได้เข้าร่วมการแข่งขันในปี 1934 และ1938 ภายใต้การดูแลของ วิตโตรีโอ ปอซโซ ผู้จัดการทีม และการนำทัพของ จูเซปเป เมอัซซา[8] อิตาลีลงแข่งขันฟุตบอลโลก 1934 และนัดแรกอของพวกเขาคือการถล่มเอาชนะสหรัฐอเมริกา 7–1 ที่กรุงโรม พวกเขาผ่านเข้าชิงชนะเลิศและเอาชนะเชโกสโลวาเกีย 2–1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ จากการทำประตูของ ไรมันโด ออร์ซี และแอนเจโล่ สเกียวีโอ คว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยแรก
ต่อมาในฟุตบอลโลก 1938 พวกเขาป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ โดยเอาชนะฮังการีในรอบชิงชนะเลิศ 4–2 จากการทำประตูของ จีโน่ คอลาอุสซี่ และซิลวิโอ ปิโอลา คนละสองประตู คว้าแชมป์โลกสมัยที่สอง และถือเป็นเป็นชาติแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้ โดยก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น เบนิโต มุสโสลินี นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ส่งโทรเลขอวยพรผู้เล่นทุกคน
ยุคแห่งความตกต่ำ (1946–66) แก้ไข
ในปี 1949 ซึ่งเป็นช่วงที่กีฬาทั่วโลกได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้เล่น 10 คนจาก 11 คนในกลุ่มผู้เล่นยุคก่อตั้งของทีมชาติได้เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก โดยหลายคนเป็นผู้เล่นคนสำคัญจากสโมสรโตริโนซึ่งชนะเลิศการแข่งขันลีกสูงสุด (เซเรียอา) 5 สมัยใน 7 ฤดูกาลหลังสุด (1943–49) ส่งผลให้อิตาลีไม่ผ่านรอบแรกในฟุตบอลโลก 1950 ในช่วงเวลาดังกล่าวนักเตะและทีมงานทุกคนจะเดินทางด้วยเรือแทนการนั่งเครื่องบิน เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเหตุเศร้าสลดขึ้นอีกครั้ง
อิตาลียังต้องพบช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างต่อเนื่อง โดยในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1954 พวกไม่ผ่านรอบแรกตามด้วยการไม่ผ่านรอบคัดเลือกในฟุตบอลโลก 1958 และตกรอบแรกอีกครั้งในฟุตบอลโลก 1962 และพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1960 ตามด้วยการตกรอบแรกในปี 1964 โดยแพ้สหภาพโซเวียต
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1966 ณ ประเทศอังกฤษ พวกเขาตกรอบแรกอีกครั้งโดยแพ้เกาหลีเหนือในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มไปอย่างเหนือความคาดหมาย และไม่ชนะทีมใดเลยตลอดการแข่งขัน แม้ว่าในทีมชุดนั้นจะมีผู้เล่นอย่าง จานนี ริเวรา กองหลังชื่อดังจากสโมสร เอซี มิลาน และจาโกโม บุลกาเรลลี่ กองกลางจากสโมสรโบโลญญา เมื่อกลับถึงประเทศ แฟนบอลอิตาลีที่ไม่พอใจกับผลงานของทีมต่างพากันมารอที่สนามบินและขว้างปาสิ่งของและผลไม้ใส่ผู้เล่น[9] โดยก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นอิตาลีได้รับการคาดหมายว่าจะทำผลงานได้ดีเนื่องจากเป็นช่วงที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้ภายหลังจากโศกนาฎกรรมในปี 1949
แชมป์ยุโรปสมัยแรกและรองแชมป์โลก (1968–74) แก้ไข
อิตาลีเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลยูโรสมัยแรกของพวกเขาในปี 1968 ในฐานะเจ้าภาพและสามารถคว้าแชมป์ได้ทันที โดยถือเป็นแชมป์รายการใหญ่ครั้งแรกในรอบ 30 ปี นับจากฟุตบอลโลก 1938 และถือเป็นการยุติช่วงเวลาอันเลวร้ายร่วม 20 ปีหลังจากเหตุการณ์ในปี 1949 พวกเขาเอาชนะยูโกสลาเวียได้ในรอบชิงชนะเลิศซึ่งแข่งขันกันที่กรุงโรมซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการแข่งขันช่วงต่อเวลาพิเศษหรือการยิงจุดโทษตัดสิน[10] และต้องเล่นนัดที่สองหลังจากเสมอกันในนัดแรก 1–1 ซึ่งอิตาลีเอาชนะได้ 2–0 จากการทำประตูของ ลุยจิ ริวา และปีเอโตร อนาสตาซี
ถัดมาในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1970 ณ ประเทศเม็กซิโก อิตาลีซึ่งประกอบไปด้วยผู้เล่นชื่อดังจากชุดแชมป์ยุโรปในปี 1968 หลายรายประกอบไปด้วย จาชินโต้ ฟัคเค็ตติ, ลุยจิ ริวา, ปีเอโตร อนาสตาซี และโรแบร์โต โบนินเซญา สามารถพาทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ โดยเป็นการเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกในรอบ 32 ปี พวกเขาเอาชนะเยอรมนีในรอบรองชนะเลิศ 4–3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งในนัดดังกล่าวถือเป็นการแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์โดย 5 จาก 7 ประตูได้เกิดขึ้นในช่วงต่อเวลาพิเศษ และได้รับการยกย่องว่าเป็น "การแข่งขันแห่งศตวรรษ" (Game of the century)[11] แต่อิตาลีแพ้ให้กับบราซิลในรอบชิงชนะเลิศ 1–4 ตามด้วยการตกรอบแรกในฟุตบอลโลก 1974 โดยแพ้โปแลนด์
สายเลือดใหม่และแชมป์โลกสมัยที่สาม (1978–86) แก้ไข
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 ณ ประเทศอาร์เจนตินา อิตาลีประกอบไปด้วยผู้เล่นหน้าใหม่รายหลาย ที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ เปาโล รอสซี โดยอิตาลีเป็นทีมเดียวในการแข่งขันที่สามารถเอาชนะอาร์เจนตินาซึ่งเป็นแชมป์ในครั้งนั้นได้ อิตาลีจบการแข่งขันด้วยการคว้าอันดับ 4 โดยแพ้บราซิล 1–2 ในนัดชิงอันดับสาม
อิตาลีลงแข่งขันยูโร 1980 ในฐานะเจ้าภาพ หลังจากเสมอกับสเปนและเบลเยียมตามด้วยการเอาชนะอังกฤษ พวกเขาแพ้ให้กับเชโกสโลวาเกียในนัดชิงอันดับสามจากการดวลจุดโทษ
ต่อมาในฟุตบอลโลก 1982 ณ ประเทศสเปน อิตาลีต้องประสบกับปัญหาในประเทศ เนื่องด้วยผู้เล่นบางคน เช่น เปาโล รอสซี ถูกดำเนินคดีในข้อหาล้มบอล[12] อิตาลีผ่านเข้าสู่รอบที่สองได้และหลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเหตุอื้อฉาวในประเทศ พวกเขาตัดสินใจงดให้สัมภาษณ์กับสื่อ โดยมีเพียงผู้จัดการทีม เอนโซ แบร์ซอต และกัปตันทีม ดีโน ซอฟฟ์ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้พูดกับสื่อมวลชน
ในรอบที่สองซึ่งเป็นการแข่งขันแบบแบ่งกลุ่มอีกครั้ง อิตาลีอยู่ร่วมกลุ่มกับบราซิลและอาร์เจนตินา พวกเขาเริ่มต้นด้วยการเอาชนะอาร์เจนตินา 2–1 และในนัดที่สองหลังจากบราซิลเอาชนะอาร์เจนตินาได้และต้องมาพบกับอิตาลี เกมจบลงด้วยชัยชนะของอิตาลี 3–2 จากการทำแฮตทริกของ เปาโล รอสซี ซึ่งนัดนั้นได้รับการยกย่องให้เป็นการแข่งขันที่สนุกที่สุดครั้งหนึ่งในฟุตบอลโลก[13][14][15] อิตาลีผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศและเอาชนะโปแลนด์ได้ 2–1
ในรอบชิงชนะเลิศ อิตาลีพบกับเยอรมนีตะวันตกซึ่งดวลจุดโทษชนะฝรั่งเศสมา ครึ่งแรกจบลงโดยยังไม่มีประตู และในช่วงครึ่งหลัง เปาโล รอสซี ยิงประตูแรกให้กับอิตาลีได้ และในขณะที่เยอรมนีโหมบุกอย่างหนัก มาร์โก ทาร์เดลลี และอเลสซานโดร อัลโตเบลลี ได้ทำเพิ่มอีกสองประตูจากจังหวะสวนกลับก่อนที่ พอล ไบรท์เนอร์จะทำประตูปลอบใจให้เยอรมนีตะวันตก เกมจบลงด้วยชัยชนะ 3–1 ของอิตาลี คว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่สาม[16] เปาโล รอสซี คว้ารางวัลรองเท้าทองคำโดยทำได้ 6 ประตู รวมทั้งรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งการแข่งขัน และดีโน ซอฟฟ์ ผู้รักษาประตูและกัปตันทีมทำสถิติเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดที่คว้าแชมป์โลกได้ด้วยวัย 40 ปี[17]
อิตาลีไม่ผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 1984 ต่อมาพวกเขาเดินทางไปป้องกันแชมป์ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก แต่แพ้ให้กับฝรั่งเศสในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
รองแชมป์โลกอีกครั้ง (1988–94) แก้ไข
ในปี 1986 อาเซลโย วีชีนี เข้ามาทำหน้าที่แทน แบร์ซอต โดยอิตาลีผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลยูโร 1988 ก่อนจะแพ้สหภาพโซเวียตในรอบรองชนะเลิศ 0–2 อิตาลีเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเป็นครั้งทีสองในฟุตบอลโลก 1990 ซึ่งทีมชุดนั้นได้รับการจับตามองเนื่องจากมีนักเตะชื่อดังอย่าง โรแบร์โต บัจโจ อิตาลีลงแข่งขัน ณ กรุงโรมโดยไม่เสียประตูเลยในการแข่งขัน 5 นัดแรก ก่อนจะแพ้อาร์เจนตินาซึ่งนำโดยดิเอโก มาราโดนาในรอบรองชนะเลิศที่เมืองเนเปิล โดยก่อนเริ่มการแข่งขัน มาราโดนา ซึ่งเป็นผู้เล่นสโมสรนาโปลีในขณะนั้นได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีความเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างชาวอิตาเลียนทางตอนเหนือและทางใต้ของประเทศ[18][19] และเขาได้เรียกร้องให้แฟนบอลในเมืองเนเปิลทุกคนเอาใจช่วยอาร์เจนตินาแทน โดยอิตาลีแพ้การดวลจุดโทษไป 3–4 หลังจากเสมอกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1–1 แต่พวกเขาเอาชนะอังกฤษได้ 3–1 ในนัดชิงอันดับสาม
พวกเขาไม่ผ่านรอบคัดเลือกในฟุตบอลยูโร 1992 ถัดมา ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1993 อิตาลีสามารถขึ้นสู่อันดับ 1 ของโลกได้เป็นครั้งแรกในการจัดอันดับโดยสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศซึ่งเริ่มมีการนำระบบการจัดอันดับโลกมาใช้ครั้งแรกในเดือนธันวาคม 1992
ถัดมา ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 ณ สหรัฐอเมริกา อิตาลีอยู่ร่วมกลุ่มกับไอร์แลนด์ นอร์เวย์ และเม็กซิโกก่อนจะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยผลประตูได้เสีย ก่อนจะเอาชนะไนจีเรีย 2–1 จากสองประตูของบัจโจในช่วงท้ายเกมและช่วงต่อเวลา[20] และบัจโจยังทำประตูได้อีกทั้งสองนัดที่ทีมชนะสเปน[21] และบัลแกเรีย 2–1 ในสองรอบถัดมา[22] พาอิตาลีเข้าชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง ณ เมืองลอสแอนเจลิส และถือเป็นหนึ่งในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกที่ดีที่สุดครั้งหนึ่ง พวกเขาพบกับบราซิลโดยอิตาลีมีเวลาพักน้อยกว่าบราซิลถึง 24 ชั่วโมงเนื่องจากต้องเดินทางข้ามรัฐ โดยในเกมนั้นต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ และอิตาลีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หลังจากบัจโจกองหน้าคนสำคัญยิงจุดโทษข้ามคานไปในลูกสุดท้ายซึ่งบัจโจมีอาการบาดเจ็บรบกวนก่อนแข่ง[23] แต่ได้ฝืนลงแข่งขันโดยให้แพทย์ฉีดยาระงับปวดให้[24][25]
รองแชมป์ยุโรป (1996–00) แก้ไข
อิตาลีตกรอบแรกในฟุตบอลยูโร 1996 และตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลก 1998 โดยแพ้ฝรั่งเศสเจ้าภาพในการดวลจุดโทษ 3–4 โดยในรายการดังกล่าว โรแบร์โต บัจโจ ทำสถิติเป็นผู้เล่นอิตาลีคนแรกที่ทำประตูในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ 3 สมัย[26]
ต่อมาในการแข่งขันยูโร 2000 อิตาลีในชุดนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นชื่อดังมากมาย อาทิ ฟรันเชสโก ตอตตี, ฟีลิปโป อินซากี, อาเลสซันโดร เดล ปิเอโร, เปาโล มัลดินี และอาเลสซันโดร เนสตา พาทีมเข้าชิงชนะเลิศไปพบกับฝรั่งเศสคู่ปรับเก่าอีกครั้ง แต่อิตาลีแพ้ไปในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1–2 จากการทำประตูของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ในช่วงกฎประตูทอง (Golden Goal)
ยุคของ โจวันนี ตราปัตโตนี (2000–04) แก้ไข
โจวันนี ตราปัตโตนี เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในฟุตบอลโลก 2002 โดยอิตาลีทำผลงายยอดเยี่ยมในรอบคัดเลือก ด้วยการไม่แพ้ทีมใดทั้ง 8 นัด แต่ในการแข่งขันรอบสุดท้าย อิตาลีแพ้เจ้าภาพร่วมเกาหลีใต้ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 1–2 โดยเป็นนัดที่ได้รับการวิจารณ์มากที่สุดนัดหนึ่ง[27] เนื่องจากอิตาลีทำประตูได้ในช่วงต่อเวลาแต่ผู้ตัดสินกลับตัดสินว่าเป็นการล้ำหน้า และยังแจกใบแดงไล่ ฟรันเชสโก ตอตตี ออกจากสนามรวมถึงให้จุดโทษแก่เกาหลีใต้อย่างค้านสายตา ไบรอน โมเรโน ผู้ตัดสินได้รับการวิจารณ์ว่ามีเจตนาทุจริตในการช่วยเหลือเกาหลีใต้[28]
อิตาลีมีผลงานที่ย่ำแย่ในการแข่งขันยูโร 2004 โดยตกรอบแบ่งกลุ่ม แม้จะมี 5 คะแนนเท่ากับ เดนมาร์ก และสวีเดน แต่ต้องตกรอบด้วยจำนวนประตูลูกได้เสีย[29]
แชมป์โลกสมัยที่ 4 (2006) แก้ไข
มาร์เชลโล ลิปปี เข้ามาทำหน้าที่ในฟุตบอลโลก 2006 พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายและเอาชนะออสเตรเลียได้ 1–0 ทั้งที่ต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เนื่องจาก มาร์โก มาเตรัซซี่ ถูกไล่ออก โดย ฟรันเชสโก ตอตตี เป็นผู้ทำประตูชัยจากลูกจุดโทษท้ายเกม พวกเขาเอาชนะยูเครน 3–0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และเอาชนะเยอรมนีเจ้าภาพ 2–0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษรอบรองชนะเลิศ
ในรอบชิงชนะเลิศ มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจคือ การปะทะกันระหว่าง มาร์โก มาเตรัซซี และซีเนดีน ซีดาน ทำให้ซีดานได้รับใบแดงในช่วงต่อเวลาพิเศษหลังจากเสมอกัน 1–1 โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มจากการมีปากเสียงระหว่างสองผู้เล่นเนื่องจากซีดานโดนมาเตรัซซีดึงเสื้อ ก่อนที่มาเตรัซซีจะใช้วาจาพาดพิงน้องสาวของซีดาน[30] ทำให้เจ้าตัวคุมอารมณ์ไม่อยู่และใช้ศีรษะโขกมาเตรัซซีจนล้มลง ทำให้ผู้ตัดสินให้ใบแดงแก่ซีดาน อิตาลีเอาชนะฝรั่งเศสไปได้ในการดวลจุดโทษ 5–3[31] ซึ่งคนที่ยิงจุดโทษพลาดของฝรั่งเศสคือ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ผู้ทำประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศยูโร 2000
ในรายการนี้อิตาลีมีผู้ที่ทำประตูได้ถึง 10 คน และ 5 จาก 12 ประตูที่ทำได้มาจากนักเตะตัวสำรอง และ 4 ประตูมาจากการทำประตูของผู้เล่นกองหลัง และอิตาลีมีผู้เล่นที่ติดทีมยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันมากถึง 7 คน[32] จันลุยจี บุฟฟอน ได้รับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน[33] และทีมชุดนี้ได้รับการยกย่องจากแฟนบอลให้เป็นหนึ่งในทีมที่ดีสุดตลอดกาลของอิตาลี[34]
ห่างหายจากความสำเร็จ (2006–18) แก้ไข
มาร์เชลโล ลิปปี ลาออก และโรแบร์โต โดนาโดนี่ เข้ามารับช่วงต่อ ในการแข่งขันยูโร 2008 อิตาลีอยู่ร่วมกลุ่มกับเนเธอร์แลนด์และฝรั่งเศส ก่อนจะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายและแพ้สเปนในการดวลจุดโทษ โดนาโดนีโดนปลด และมาร์เชลโล ลิปปีกลับมาคุมทีมอีกครั้ง[35] อิตาลีเข้าร่วมรายการคอนเฟเดอเรชันคัพเป็นครั้งแรกในปี 2009 แต่ตกรอบแรกโดยแพ้อียิปต์และบราซิลในสองนัดสุดท้าย
ถัดมา พวกเขาตกรอบแรกฟุตบอลโลก 2010 อย่างเหนือความคาดหมาย โดยได้อันดับสุดท้ายของกลุ่มหลังจากเสมอสองนัดกับปารากวัยและนิวซีแลนด์ และปิดท้ายด้วยการแพ้สโลวาเกีย และถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาไม่สามารถคว้าชัยชนะได้เลยในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และเป็นชาติที่ 3 ที่ตกรอบแรกฟุตบอลโลกในฐานะแชมป์เก่า (ต่อจากบราซิลในปี 1966 และฝรั่งเศสในปี 2002)
มาร์เชลโล ลิปปี ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เซซาเร่ ปรันเดลลี่ เข้ามาคุมทีมต่อ และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศยูโร 2012 หลังจากเอาชนะเยอรมนีในรอบรองชนะเลิศ 2–1 จากการทำประตูของ มารีโอ บาโลเตลลี แต่พวกเขาไปแพ้สเปนในรอบชิงชนะเลิศ 0–4[36]
ต่อมา ในคอนเฟเดอเรชันคัพ 2013 อิตาลีแพ้สเปนไปอีกครั้งในการดวลจุดโทษในรอบรองชนะเลิศ[37] ก่อนจะเอาชนะอุรุกวัยในการดวลจุดโทษในนัดชิงอันดับสาม
ในฟุตบอลโลก 2014 อิตาลีประสบความล้มเหลวอีกครั้ง โดยตกรอบแรกเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน แม้พวกเขาจะเปิดสนามด้วยการเอาชนะอังกฤษไปได้ 2–1 แต่พวกเขาแพ้ในสองนัดถัดมาต่อ คอสตาริกา และ อุรุกวัย ส่งผลให้ปรันเดลลี่ ลาออก[38]
อันโตนีโอ กอนเต ได้เข้ามารับช่วงต่อ โดยอิตาลีทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขันรอบคัดเลือกยูโร 2016 โดยสามารถเก็บชัยชนะได้ 7 นัดและเสมอ 3 นัดไม่แพ้ทีมใด และในการแข่งขันรอบสุดท้าย กอนเต ได้ประกาศว่าเขาจะยุติบทบาทหลังจบการแข่งขันเพื่อไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมเชลซีในฤดูกาล 2016–17 อิตาลีผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะแพ้เยอรมนีด้วยการดวลจุดโทษ อย่างไรก็ตาม กอนเต ได้รับเสียงชื่นชมจากการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าอิตาลีในชุดนั้นแทบจะไม่มีผู้เล่นระดับโลกในทีมเมื่อเทียบกับตัวผู้เล่นในช่วงปี 2000–10 ซึ่งเต็มไปด้วยผู้เล่นชั้นนำหลายราย[39][40]
อิตาลีไม่ผ่านรอบคัดเลือกในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 โดยผู้จัดการทีมในขณะนั้นคือ จาน ปิเอโร่ เวนตูร่า พวกเขาจบอันดับสองในรอบคัดเลือก และต้องไปแข่งขันเพลย์ออฟกับสวีเดน ก่อนจะแพ้ไปจากการรวมผลสองนัด 0–1 และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1958 ที่พวกเขาไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย หลังจากจบรอบคัดเลือกผู้เล่นคนสำคัญ เช่น จันลุยจี บุฟฟอน, ดานีเอเล เด รอสซี, และอันเดรีย บาร์ซาญี ได้อำลาทีมชาติ
ยุคของโรแบร์โต มันชินี และแชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 (2018–2023) แก้ไข
ในเดือนพฤษภาคม 2018 โรแบร์โต มันชินี ได้รับการแต่งตั้งคุมทีม และพาทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 รอบคัดเลือกโดยเอาชนะคู่แข่งร่วมกลุ่มได้ 10 นัดรวด และทำได้ถึง 37 ประตู ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน อิตาลีจบการแข่งขันยูฟ่าเนชันส์ลีกด้วยการเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่ม ส่งผลให้พวกเขาผ่านเข้าไปเล่นยูโร 2020 รอบสุดท้ายได้แบบอัตโนมัติ[41]
ในการแข่งขันรอบสุดท้าย อิตาลีอยู่ร่วมกลุ่มกับสวิตเซอร์แลนด์, ตุรกี และ เวลส์ โดยอิตาลีเล่นรอบแบ่งกลุ่มทั้งสามนัดในฐานะเจ้าภาพร่วมที่กรุงโรม พวกเขาจบรอบแบ่งกลุ่มในฐานะทีมอันดับหนึ่งด้วยผลงานชนะรวดสามนัด และทำสถิติเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายโดยไม่เสียประตูในรอบแบ่งกลุ่ม[42] ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย อิตาลีเอาชนะออสเตรียไปได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2–1 ตามด้วยการเอาชนะเบลเยียม 2–1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และทำสถิติคว้าชัยชนะติดด่อกันในฟุตบอลยูโรจำนวน 15 นัด (นับรวมตั้งแต่รอบคัดเลือก)[43] ในรอบรองชนะเลิศ พวกเขาเอาชนะสเปนในการดวลจุดโทษ 4–2 หลังจากเสมอกัน 1–1
ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2021 อิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรได้เป็นสมัยที่สอง โดยเอาชนะอังกฤษในการดวลจุดโทษ 3–2 ในรอบชิงชนะเลิศภายหลังเสมอกัน 1–1 และมันชินียังทำสถิติคุมทีมไม่แพ้ติดต่อกันรวม 34 นัด[44][45]
ในวันที่ 5 กันยายน 2021 อิตาลีสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการไม่แพ้ทีมใดในการแข่งขันนานาชาติติดต่อกันมากที่สุดตลอดกาลจำนวน 36 นัด หลังจากบุกไปเสมอกับสวิตเซอร์แลนด์ 0–0 ในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก แซงหน้าบราซิลและสเปนที่ทำไว้จำนวน 35 นัด ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะหยุดลงที่ 37 นัดในเดือนต่อมา เมื่อพวกเขาแพ้สเปน 1–2 ในรอบรองชนะเลิศยูฟ่าเนชันส์ลีก 2021[46] แต่ยังคว้าอันดับสามได้โดยชนะเบลเยียม 2–1 อิตาลีจบการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในวันที่ 15 พฤศจิกายน ด้วยการบุกไปเสมอไอร์แลนด์เหนือ 0–0 ทำได้เพียงจบอันดับสองของกลุ่มและต้องไปแข่งเพลย์ออฟในปี 2022[47]กับ มาซิโดเนียเหนือ ในวันที่ 24 มีนาคม 2022 ซึ่งผลการแข่งขันทางมาซิโดเนียเหนือเป็นฝ่ายชนะไป 1–0 โดยอิตาลีมาโดนยิงประตูในนาทีสุดท้าย ทำให้ไม่ได้ไปฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน[48]
ในวันที่ 1 มิถุนายน 2022 อิตาลีลงแข่งขันรายการ ฟินาลิสซิมา 2022 โดยแพ้อาร์เจนตินาที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน 0–3[49]
เกียรติประวัติ แก้ไข
รายการแข่งขัน แก้ไข
- อันดับสาม (1): 2013
รายการอื่น ๆ:
- ชนะเลิศ (2): 1927–30, 1933–35
- รองชนะเลิศ (2): 1931–32, 1936–38[nb 1]
รางวัลส่วนตัว แก้ไข
- Laureus World Team of the Year
- ชนะเลิศ: 2007
ตารางสรุปถ้วยรางวัล แก้ไข
รายการแข่งขัน | ทั้งหมด | |||
---|---|---|---|---|
ฟุตบอลโลก | 4 | 2 | 1 | 7 |
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป | 2 | 2 | 0 | 4 |
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ | 0 | 0 | 1 | 1 |
โอลิมปิกฤดูร้อน | 1 | 0 | 2 | 3 |
เนชันส์ลีก | 0 | 0 | 0 | 0 |
ทั้งหมด | 7 | 4 | 4 | 15 |
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน แก้ไข
รายชื่อผู้เล่นที่ถูกเรียกตัวสำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ประกาศเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน[50]
# | ตำแหน่ง | ผู้เล่น | วันเกิด (อายุ) | ลงเล่น | ประตู | สโมสร |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | GK | ซัลวาโตเร ซีรีกู | 12 มกราคม ค.ศ. 1987 (อายุ 34 ปี) | 26 | 0 | โตรีโน |
2 | DF | โจวันนี ดี โลเรนโซ | 4 สิงหาคม ค.ศ. 1993 (อายุ 27 ปี) | 7 | 0 | นาโปลี |
3 | DF | จอร์โจ กีเอลลีนี (กัปตัน) | 14 สิงหาคม ค.ศ. 1984 (อายุ 36 ปี) | 106 | 8 | ยูเวนตุส |
4 | DF | เลโอนาร์โด สปีนัซโซลา | 25 มีนาคม ค.ศ. 1993 (อายุ 28 ปี) | 13 | 0 | โรมา |
5 | MF | มานูเอล โลกาเตลลี | 8 มกราคม ค.ศ. 1998 (อายุ 23 ปี) | 9 | 1 | ซัสซูโอโล |
6 | MF | มาร์โก แวร์รัตตี | 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1992 (อายุ 28 ปี) | 40 | 3 | ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง |
7 | MF | กาเอตาโน กัสโตรวิลลี | 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 2 | 0 | ฟีออเรนตีนา |
8 | MF | ฌอร์ฌิญญู | 20 ธันวาคม ค.ศ. 1991 (อายุ 29 ปี) | 27 | 5 | เชลซี |
9 | FW | อันเดรอา เบลอตตี | 20 ธันวาคม ค.ศ. 1993 (อายุ 27 ปี) | 33 | 12 | โตรีโน |
10 | FW | โลเรนโซ อินซิญเญ | 4 มิถุนายน ค.ศ. 1991 (อายุ 30 ปี) | 40 | 7 | นาโปลี |
11 | FW | โดเมนีโก เบราร์ดี | 1 สิงหาคม ค.ศ. 1994 (อายุ 26 ปี) | 10 | 4 | ซัสซูโอโล |
12 | MF | มัตเตโอ เปสซีนา | 21 เมษายน ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 5 | 2 | อาตาลันตา |
13 | DF | แอแมร์ซง | 3 สิงหาคม ค.ศ. 1994 (อายุ 26 ปี) | 14 | 0 | เชลซี |
14 | MF | เฟเดรีโก กีเอซา | 25 ตุลาคม ค.ศ. 1997 (อายุ 23 ปี) | 24 | 1 | ยูเวนตุส |
15 | DF | ฟรันเชสโก อาแชร์บี | 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1988 (อายุ 33 ปี) | 13 | 1 | ลาซีโอ |
16 | MF | บรายัน กริสตันเต | 3 มีนาคม ค.ศ. 1995 (อายุ 26 ปี) | 10 | 1 | โรมา |
17 | FW | ชีโร อิมโมบีเล | 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1990 (อายุ 31 ปี) | 45 | 12 | ลาซีโอ |
18 | MF | นีโกเลาะ บาเรลลา | 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 22 | 4 | อินแตร์นาซีโอนาเล |
19 | DF | เลโอนาร์โด โบนุชชี | 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 (อายุ 34 ปี) | 101 | 7 | ยูเวนตุส |
20 | MF | เฟเดรีโก แบร์นาร์เดสกี | 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1994 (อายุ 27 ปี) | 30 | 6 | ยูเวนตุส |
21 | GK | จันลุยจี ดอนนารุมมา | 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1999 (อายุ 22 ปี) | 25 | 0 | มิลาน |
22 | FW | จาโกโม รัสปาโดรี | 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2000 (อายุ 21 ปี) | 0 | 0 | ซัสซูโอโล |
23 | DF | อาเลสซันโดร บัสโตนี | 13 เมษายน ค.ศ. 1999 (อายุ 22 ปี) | 5 | 0 | อินแตร์นาซีโอนาเล |
24 | DF | อาเลสซันโดร โฟลเรนซี | 11 มีนาคม ค.ศ. 1991 (อายุ 30 ปี) | 42 | 2 | ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง |
25 | DF | ราฟาแอล โตลอย | 10 ตุลาคม ค.ศ. 1990 (อายุ 30 ปี) | 2 | 0 | อาตาลันตา |
26 | GK | อาเลกซ์ เมเรต | 22 มีนาคม ค.ศ. 1997 (อายุ 24 ปี) | 2 | 0 | นาโปลี |
อดีตผู้เล่นคนสำคัญ แก้ไข
สถิติสำคัญของผู้เล่น แก้ไข
ลงสนามมากที่สุด แก้ไข
สถิติ ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2021[51]
อันดับ | รายชื่อ | จำนวนนัด | จำนวนประตู | ช่วงเวลา |
---|---|---|---|---|
1 | จันลุยจี บุฟฟอน | 176 | 0 | 1997–2018 |
2 | ฟาบีโอ กันนาวาโร | 136 | 2 | 1997–2010 |
3 | เปาโล มัลดีนี | 126 | 7 | 1988–2002 |
4 | ดานีเอเล เด รอสซี | 117 | 21 | 2004–2017 |
5 | อันเดรอา ปีร์โล | 116 | 13 | 2002–2015 |
6 | จอร์โจ กีเอลลีนี | 114 | 8 | 2004–ปัจจุบัน |
7 | เลโอนาร์โด โบนุชชี | 112 | 8 | 2010–ปัจจุบัน |
ดีโน ซอฟฟ์ | 112 | 0 | 1968–1983 | |
9 | จันลูกา ซัมบรอตตา | 98 | 2 | 1999–2010 |
10 | จาชินโต้ ฟัคเค็ตติ | 94 | 3 | 1963–1977 |
- รายชื่อในตัวหนาคือผู้เล่นที่ยังลงเล่นอยู่ในปัจจุบัน
ผู้ทำประตูสูงสุด แก้ไข
สถิติ ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2021[52]
อันดับ | รายชื่อ | จำนวนประตู | จำนวนนัด | ค่าเฉลี่ย | ช่วงเวลา |
---|---|---|---|---|---|
1 | ลุยจิ ริวา | 35 | 42 | 0.83 | 1965–1974 |
2 | จูเซปเป เมอัซซา | 33 | 53 | 0.62 | 1930–1939 |
3 | ซิลวิโอ ปิโอลา | 30 | 34 | 0.88 | 1935–1952 |
4 | โรแบร์โต บัจโจ | 27 | 56 | 0.48 | 1988–2004 |
อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร | 91 | 0.3 | 1995–2008 | ||
6 | อดอลโฟ บาลอนเชียรี | 25 | 47 | 0.53 | 1920–1930 |
ฟีลิปโป อินซากี | 57 | 0.44 | 1997–2007 | ||
อเลสซานโดร อัลโตเบลลี่ | 61 | 0.41 | 1980–1988 | ||
9 | กริสเตียน วีเอรี | 23 | 49 | 0.47 | 1997–2005 |
ฟรันเชสโก กราซีอานี | 64 | 0.36 | 1975–1983 |
ดูเพิ่ม แก้ไข
หมายเหตุ แก้ไข
- ↑ This edition of the tournament was interrupted due to the annexation of Austria to Nazi Germany on 12 March 1938.
อ้างอิง แก้ไข
- ↑ "The FIFA/Coca-Cola World Ranking". FIFA. 22 ธันวาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 22 ธันวาคม 2022.
- ↑ "Switzerland - Non-Official International Matches Representative Teams 1898-1992". www.rsssf.com.
- ↑ "Pietro Lana". www.magliarossonera.it.
- ↑ "Album della stagione". www.magliarossonera.it.
- ↑ https://download.repubblica.it/pdf/motori/supplemento_ottobre06/04.pdf
- ↑ "1st International Cup". www.rsssf.com.
- ↑ "3rd International Cup". www.rsssf.com.
- ↑ "MEAZZA Giuseppe: La favola di Peppin il folbèr". Storie di Calcio (ภาษาอิตาลี). 2016-01-30.
- ↑ https://web.archive.org/web/20060516064056/http://fifaworldcup.yahoo.com/06/en/p/cg/por_prk_1966.html
- ↑ "Euro 1968: Mullery's moment of madness". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- ↑ "Euro 2012: five classic tournament matches between Germany and Italy including the 'Game of the Century'". www.telegraph.co.uk.
- ↑ "The worst scandal of them all" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2006-07-25. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- ↑ "1982: Why Brazil V Italy Was One Of Football's Greatest Ever Matches - Esquire". web.archive.org. 2015-09-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-27. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Italy 3-2 Brazil, 1982: the day naivety, not football itself, died | Jonathan Wilson". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2012-07-25.
- ↑ "Brazil lost that Italy game in 1982 but won a place in history – Falcão". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2014-05-30.
- ↑ "The Glasgow Herald - Google News Archive Search". news.google.com.
- ↑ "CNNSI.com - CNNSI.com's complete coverage of the FIFA World Cup - World Cup Hall of Fame: Dino Zoff - Wednesday May 29, 2002 12:33 AM". web.archive.org. 2005-09-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2005-09-12. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Maradona, Diego (2004). El Diego, pg. 165.
- ↑ https://core.ac.uk/download/pdf/159384045.pdf
- ↑ https://web.archive.org/web/20111216233834/http://www.fifa.com/worldcup/archive/edition%3D84/results/matches/match%3D3091/report.html
- ↑ https://web.archive.org/web/20111219234329/http://www.fifa.com/worldcup/archive/edition%3D84/results/matches/match%3D3097/report.html
- ↑ https://web.archive.org/web/20111219230556/http://www.fifa.com/worldcup/archive/edition%3D84/results/matches/match%3D3100/report.html
- ↑ "Profile: Has so much ever hung on a hamstring?: Roberto Baggio,". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2011-10-23.
- ↑ "Archivio Corriere della Sera". archivio.corriere.it.
- ↑ "Archivio Corriere della Sera". archivio.corriere.it.
- ↑ "Ora Yahoo fa parte del gruppo Verizon Media". consent.yahoo.com.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "ESPNsoccernet.com World Cup 2002: Angry Italy blame 'conspiracy'". web.archive.org. 2006-11-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-11-23. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Fifa investigates Moreno" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2002-09-13. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- ↑ "Italy angry at rivals' draw" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2004-06-23. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- ↑ agencies, Staff and (2007-08-18). "And Materazzi's exact words to Zidane were..." the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Zidane off as Italy win World Cup" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2006-07-09. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- ↑ "FIFA.com - Azzurri prominent in All Star Team". web.archive.org. 2010-06-14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-14. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- ↑ "FIFA.com - Buffon collects Lev Yashin Award". web.archive.org. 2007-10-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-12. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Italian joy at World Cup victory" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2006-07-10. สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- ↑ "Lippi returns to manage Italy - Tribal Football". www.tribalfootball.com.
- ↑ UEFA.com (2012-07-01). "Spain overpower exhausted Italy to win UEFA EURO 2012 final". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Spain 0-0 Italy (Spain win 7-6 on pens)". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- ↑ "Italy boss Prandelli to resign". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-06-27.
- ↑ "Italy - Squad EURO 2016 in Frankreich". worldfootball.net (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "OFFICIAL: Italy squad for Euro 2016 - Football Italia" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
- ↑ www.eurosport.com https://www.eurosport.com/geoblocking.shtml.
{{cite web}}
:|title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help) - ↑ "Perfect Italy are having fun at Euro 2020". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2021-06-20.
- ↑ UEFA.com (2021-07-09). "Italy set new record for longest EURO winning run". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "'34 games unbeaten for Italy' - Which national teams have the longest unbeaten run in football? | Goal.com". www.goal.com.
- ↑ "England lose shootout in Euro 2020 final". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-07-12.
- ↑ UEFA.com (2021-10-06). "Italy 1-2 Spain: Ferran Torres double ends Azzurri run". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ https://www.bbc.com/sport/football/59202147
- ↑ สุดช็อก "อิตาลี" พ่าย "มาซิโดเนียเหนือ" คาบ้าน อดไปบอลโลก สรุปผลเพลย์ออฟรอบรองฯ
- ↑ UEFA.com (2022-06-01). "Italy 0-3 Argentina: South American champions cruise to Finalissima glory". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "26-man squad announcement for the Euros: Giacomo Raspadori makes it". Italian Football Federation. 2 June 2021. สืบค้นเมื่อ 2 June 2021.
- ↑ Roberto Di Maggio; José Luis Pierrend (8 April 2016). "Italy – Record International Players: Appearances for Italy National Team". RSSSF. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2013. สืบค้นเมื่อ 3 May 2016.
- ↑ "Classifica marcatori" [Goalscoring standings]. FIGC.it (ภาษาอิตาลี). FIGC. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 July 2013. สืบค้นเมื่อ 2 May 2016.
แหล่งข้อมูลอื่น แก้ไข
- Official website by FIGC
- Official National football team page by FIGC
- Official Facebook page by FIGC
- Upcoming fixtures เก็บถาวร 2016-07-31 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน by FIGC
- Italy at UEFA
- Italy เก็บถาวร 2018-11-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at FIFA