ฟลอเรนซ์
ฟลอเรนซ์ (อังกฤษ: Florence) หรือ ฟีเรนเซ (อิตาลี: Firenze) เป็นเมืองในภาคกลางของประเทศอิตาลี เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของแคว้นตอสคานา และยังเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในแคว้นด้วยจำนวน 362,353 คน และประชากรรวมในมหานครทั้งหมดกว่า 989,460 คน ณ ค.ศ. 2025[4]
ฟลอเรนซ์ | |
---|---|
เทศบาลฟลอเรนซ์ - Comune di Firenze | |
![]() หอศิลป์อุฟฟีซี (บนซ้าย) ตามด้วยวังปิตตี, ทัศนียภาพยามเย็น และน้ำพุเนปจูน | |
พิกัด: 43°47′N 11°15′E / 43.783°N 11.250°E | |
ประเทศ | อิตาลี |
แคว้น | ![]() |
มหานคร | ฟลอเรนซ์ (FI) |
การปกครอง | |
• นายกเทศมนตรี | Sara Funaro (กลางซ้าย) |
พื้นที่[1] | |
• ทั้งหมด | 102.41 ตร.กม. (39.54 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 50 เมตร (160 ฟุต) |
ประชากร (30 มิ.ย. 2016)[3] | |
• ทั้งหมด | 383,083 คน |
• ความหนาแน่น | 3,700 คน/ตร.กม. (9,700 คน/ตร.ไมล์) |
เดมะนิม | Fiorentino |
เขตเวลา | UTC+1 (CET) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+2 (CEST) |
รหัสไปรษณีย์ | 50121–50145 |
รหัสเขตโทรศัพท์ | 055 |
รหัส ISTAT | 048017 |
นักบุญองค์อุปถัมภ์ | ยอห์นผู้ให้บัพติศมา |
วันสมโภชนักบุญ | 24 มิถุนายน |
เว็บไซต์ | เว็บไซต์ทางการ |
ฟลอเรนซ์เป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินของยุคกลางและถือเป็นหนึ่งในนครที่ร่ำรวยที่สุดในยุคนั้น[5] นักวิชาการจำนวนมากถือว่าฟลอเรนซ์เป็นถิ่นกำเนิดของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ฟลอเรนซ์ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางศิลปะ วัฒนธรรม การค้า การเมือง เศรษฐกิจ และการเงินที่สำคัญในยุคนั้น ในช่วงเวลานี้ฟลอเรนซ์มีอิทธิพลอย่างมหาศาลในอิตาลี ยุโรป และไกลออกไป[6] ในยุคแรก ฟลอนเรนซ์ต้องเผชิญกับประวัติศาสตร์การเมืองที่วุ่นวาย ตั้งแต่ยุคที่ถูกปกครองโดยตระกูลเมดีชีและนักบวช ไปจนถึงยุคแห่งการปฏิวัติเป็นสาธารณรัฐ[7] ช่วงระหว่าง ค.ศ. 1865 ถึง 1871 ฟลอเรนซ์มีฐานะเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลี (สถาปนาขึ้นในปี 1861) ภาษาถิ่นฟลอเรนซ์กลายเป็นรากฐานของภาษาอิตาลีมาตรฐานซึ่งกลายเป็นภาษาที่แพร่หลายทั่วทั้งอิตาลี[8] ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้แก่บุคคลอย่างดันเต อาลีกีเอรี, เปตราก, โจวันนี บอกกัชโช และนิกโกเลาะ มาเกียเวลลี
ฟลอเรนซ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนในแต่ละปี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกใน ค.ศ. 1982 นครฟลอเรนซ์มีวัฒนธรรม, อนุสาวรีย์, สถาปัตยกรรมเรอแนซ็องส์ และงานศิลป์ที่ลือเลื่อง[9] ภายในเมืองมีห้องจัดแสดงงานศิลปะและพิพิธภัณฑ์อยู่มากมาย อาทิ หอศิลป์อุฟฟีซีและวังปิตตี ฟลอเรนซ์ยังเป็นเมืองสำคัญของอุตสาหกรรมแฟชั่นอิตาลี[10] มีศักดิ์เป็นเมืองหลวงแฟชั่นอันดับ 15 ของโลก นิตยสารฟอบส์ เคยจัดอันดับฟลอเรนซ์เป็นหนึ่งในเมืองที่งดงามที่สุดของโลก[11] นอกจากนี้ ยังมีบทบาทนำในฐานะหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวที่สำคัญ
ประวัติศาสตร์
แก้ยุคแรก
แก้ฟลอเรนซ์มีต้นกำเนิดมาจากโรมัน และต่อมากลายเป็นเมืองสำคัญในยุคกลางที่รุ่งเรืองในด้านการค้าและการธนาคาร เมืองนี้จึงกลายเป็นแหล่งกำเนิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลี และเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดในยุโรปและในโลกตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 จนถึงศตวรรษที่ 16 โดยเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม[12] ภาษาที่ถูกใช้ในเมืองในช่วงศตวรรษที่ 14 ได้รับการยอมรับให้เป็นต้นแบบของภาษาอิตาลีในเวลาต่อมา และสำเนียงภาษาที่ใช้ในฟลอเรนซ์ยังถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานของภาษาวรรณกรรมประจำชาติ[13][14]
เริ่มตั้งแต่ปลายของยุคกลาง เงินของเมืองฟลอเรนซ์ในรูปแบบของฟลอรินทองคำ เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมทั่วทั้งยุโรป ตั้งแต่สหราชอาณาจักรไปจนถึงเมืองบรูช, ลียงและฮังการี และธนาคารของฟลอเรนซ์ถือเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญให้แก่กษัตริย์อังกฤษในช่วงสงครามร้อยปี รวมทั้งเป็นแหล่งจัดหาเงินทุนให้กับตำแหน่งพระสันตปาปาในลักษณะเดียวกัน และการก่อสร้างเมืองหลวงชั่วคราวของอาวีญงปาปาซี และหลังจากที่พวกเขากลับไปโรมแล้ว ก็ยังมีการบูรณะและตกแต่งกรุงโรมให้สวยงามขึ้นอีกด้วย
ฟลอเรนซ์เป็นบ้านเกิดของตระกูลเมดิชี ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป โลเรนโซ เด เมดีชี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้วางแผนทางการเมืองและวัฒนธรรมของอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 สมาชิกในครอบครัวจำนวนสองราย ได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 10 และ สมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 ได้รับการสถาปนาเป็นพระสันตะปาปาในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ต่อมา กาเตรีนา เด เมดีชี ทรงเสกสมรสกับพระเจ้าอ็องรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส และหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1559 ก็ได้ครองราชย์เป็นผู้สำเร็จราชการในฝรั่งเศส ในขณะที่ มารีอา เด เมดีชี ซึ่งเสกสมรสกับพระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ต่อมาได้ให้กำเนิดพระราชโอรสคือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส ตระกูลเมดิชีครองราชย์เป็นแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานี โดยเริ่มตั้งแต่โคซิโมที่ 1 เด เมดิชีใน ค.ศ. 1569 และสิ้นสุดลงด้วยการสิ้นพระชนม์ของจาน กาสโตเน เด เมดิชีใน ค.ศ. 1737
ราชอาณาจักรอิตาลี ซึ่งได้มีการสถาปนาขึ้นใน ค.ศ. 1861 ย้ายเมืองหลวงจากตูรินมายังฟลอเรนซ์ในปี 1865 ก่อนจะย้ายไปยังโรมในอีกหกปีต่อมา ชาวโรมันก่อตั้งเมืองฟลอเรนซ์ขึ้นในปี 59 ก่อนคริสตกาล เพื่อเป็นอาณานิคมสำหรับทหารผ่านศึก และสร้างขึ้นในรูปแบบของแคมป์สไตล์ทหาร[15] ตั้งอยู่ริมถนน Via Cassia ซึ่งเป็นเส้นทางหลักระหว่างกรุงโรมและภาคเหนือของประเทศ และอยู่ในหุบเขาอันอุดมสมบูรณ์บริเวณแม่น้ำอาร์โน นิคมแห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญอย่างรวดเร็ว และใน ค.ศ. 285 ก็ได้กลายเป็นเมืองหลวงของภูมิภาคตอสคานา ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความแตกแยกอันวุุ่นวาย ภายใต้การปกครองของชาวออสโตรกอท และ จักรวรรดิไบแซนไทน์ การต่อสู้แย่งชิงในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้จำนวนประชากรลดลงเหลือเพียงประมาณ 1,000 คน ก่อนที่ความสงบสุขจะกลับคืนสู่เมืองในยุคของลอมบาร์ดในศตวรรษที่ 6 และฟลอเรนซ์ก็ถูกพิชิตโดยชาร์เลอมาญในปี 774 และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทัพแห่งทัสคานีซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองลุกกา ประชากรเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้งและการค้าขายก็เจริญรุ่งเรือง
สหัสวรรษที่ 2
แก้ฮิวจ์ มาร์เกรฟแห่งทัสคานี ทรงเลือกเมืองฟลอเรนซ์เป็นที่อยู่อาศัยแทนเมืองลุกกาในราว ค.ศ. 1000 ยุคทองของศิลปะเมืองฟลอเรนซ์เริ่มขึ้นในช่วงเวลานี้ ต่อมาใน ค.ศ. 1100 ฟลอเรนซ์เป็น "คอมมูน" ซึ่งหมายถึงชุมชน ทรัพยากรหลักของเมืองคือแม่น้ำอาร์โนซึ่งเป้นแหล่งกำเนิดพลังงานและช่องทางการเข้าถึงสำหรับอุตสาหกรรม (ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอ) และเป็นช่องทางเข้าถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสำหรับการค้าระหว่างประเทศ ช่วยให้ชุมชนพ่อค้าที่แข็งขันเติบโตต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ ความเชี่ยวชาญทางการค้าของชาวเมืองได้รับการยอมรับไปทั่วยุโรป หลังจากที่พวกเขาได้นำนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ อย่าง ตั๋วแลกเงิน และระบบบัญชีคู่มาเผยแพร่ในนิทรรศการ ช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงเสื่อมถอยของเมืองคู่แข่งอย่างปิซา อย่างไรก็ตาม อำนาจที่เพิ่มขึ้นของชนชั้นสูงสิ้นสุดลงจากการลุกฮือต่อต้านชนชั้นสูง ซึ่งนำโดยจิอาโน เดลลา เบลลา ส่งผลให้เกิดพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยความยุติธรรม[16] ซึ่งจำกัดอำนาจของชนชั้นสูงไว้จนกระทั่งสาธารณรัฐสิ้นสุดลง
ยุคกลาง, สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุครุ่งเรืองของตระกูลเมดิชี
แก้เมื่อประชากรขยายตัวสูงสุดในราว ค.ศ. 1325 ประชากรในเขตเมืองอาจมีมากถึง 120,000 คน และประชากรในเขตชนบทรอบเมืองอาจมีมากถึงเกือบ 300,000 คน[17] ก่อนที่กาฬมรณะจะคร่าชีวิตประชากรไปประมาณกึ่งหนึ่ง[18][19] กล่าวกันว่ามีผู้คนประมาณ 25,000 คนที่ได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมขนสัตว์ของเมือง: ใน ค.ศ. 1345 เมืองฟลอเรนซ์เกิดเหตุประท้วงเพื่อพยายามหยุดงานของช่างหวีขนสัตว์ (ciompi) ซึ่งใน ค.ศ. 1378 ได้ลุกขึ้นก่อกบฏต่อต้านการปกครองโดยกลุ่มผู้มีอภิสิทธิ์ชนในช่วงสั้น ๆ ในการก่อกบฏของ Ciompi หลังจากการปราบปราม ฟลอเรนซ์ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครอง (ค.ศ. 1382–1434) ของตระกูลอัลบิซซีซึ่งกลายมาเป็นอริสำคัญของตระกูลเมดิชี
ฟลอนเรนซ์กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป โดยมีประชากร 60,000 คน และถือเป็นเมืองที่มั่งคั่งและประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ[20] โกซีโม เด เมดีชี ถือเป็นสมาชิกคนแรกของตระกูลเมดิชีที่มีอำนาจในการควบคุมเมืองอยู่เบื้องหลัง แม้ว่าตามหลักแล้ว เมืองนี้จะเป็นประชาธิปไตย หากแต่พลังอำนาจของเขามาจากเครือข่ายผู้อุปถัมภ์ที่กว้างขวางร่วมกับพันธมิตรจากกลุ่มผู้อพยพใหม่ที่เรียกว่า gente nuova ความจริงที่ว่าตระกูลเมดิชีทำหน้าที่เปรียบเหมือนนายธนาคารให้แก่พระสันตปาปาก็มีส่วนทำให้ตระกูลนี้มีอำนาจมากขึ้นเช่นกัน โคซิโมสืบทอดตำแหน่งต่อจากปิเอโร บุตรชายของเขา ซึ่งต่อมาไม่นาน ลอเรนโซ หลานชายของโคซิโมก็สืบทอดตำแหน่งต่อจากปิเอโรใน ค.ศ. 1469 ลอเรนโซเป็นผู้อุปถัมภ์งานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ โดยมอบหมายงานให้กับ มีเกลันเจโล, เลโอนาร์โด ดา วินชี และซันโดร บอตตีเชลลี ลอเรนโซถือเป็นกวีและนักดนตรีที่มากด้วยความสามารถ และเป็นผู้นำนักประพันธ์เพลงรวมถึงนักร้องมายังฟลอเรนซ์ รวมถึง อเล็คซานเดอร์ อากรีโกลา, โยฮันเนส กีเซแล็ง และ ไฮน์ริช ไอแซก ชาวเมืองฟลอเรนซ์ในยุคปัจจุบัน (และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา) ให้สมฐานามเขาว่า "ลอเรนโซผู้ยิ่งใหญ่" (Lorenzo il Magnifico)
หลังจากการเสียชีวิตของลอเรนโซ เด เมดิชี ีใน ค.ศ. 1492 ปีเอโร ดี โลเรนโซ เด เมดีชี บุตรชายของเขาจึงสืบทอดตำแหน่งต่อ ผู้มีบทบาทในการต่อต้านการรุกรานตอนเหนือของอิตาลีโดยฝรั่งซึ่งนำโดยพระเจ้าชาร์ลที่ 8 แต่จำต้องยอมแพ้ให้แก่เงื่อนไขของฝรั่งเศสเนื่องจากขนาดกองทัพอันมหึมาของฝรั่งเศสบริเวณประตูเมืองปิซา สร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวเมืองและเป็นชนวนเหตุให้พระองค์ถูกเนรเทศใน ค.ศ. 1494 ช่วงเวลาแรกของการปกครองของราชวงศ์เมดิชีก็สิ้นสุดลงพร้อมกับการฟื้นฟูการปกครองแบบสาธารณรัฐ
ซาโวนาโรลา, มาเกียเวลลี และสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 10
แก้ในช่วงเวลานี้ คณะดอมินิกัน โดยจีโรลาโม ซาโวนาโรลา ได้เป็นบาทหลวงของอารามซานมาร์โกใน ค.ศ. 1490 เขาโด่งดังจากการเทศนาในเรื่องความสำนึกผิด โดยตำหนิสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นความผิดศีลธรรมและการยึดติดกับความร่ำรวยทางวัตถุ เขายกย่องการเนรเทศของตระกูลเมดิชีว่าเป็นผลงานของพระเจ้า โดยลงโทษพวกเขาสำหรับความเสื่อมทรามที่ได้ก่อ เขาใช้โอกาสนี้ในการดำเนินการปฏิรูปการเมืองเพื่อนำไปสู่การปกครองที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่เมื่อซาโวนาโรลากล่าวหาสมเด็จพระสันตปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 ว่ามีการทุจริตต่อหน้าสาธารณชน พระองค์ก็ถูกห้ามพูดในที่สาธารณะ ก่อนจะถูกขับออกจากคริสตจักรจากการฝ่าฝืนคำสั่ง กอปรกับความเบื่อหน่ายในคำสอนของเขาชาวเมืองฟลอเรนซ์จึงหันมาต่อต้านและจับกุมเขา ซาโวนาโรลาถูกตัดสินว่าเป็นคนนอกรีต เขาถูกแขวนคอและเผาบริเวณจัตุรัสเดลลาซิญอเรีย (Piazza della Signoria) ในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1498 เถ้ากระดูกของเขาถูกโปรยลงในแม่น้ำอาร์โน[21]
นิกโกเลาะ มาเกียเวลลี เป็นอีกหนึ่งชาวฟลอเรนซ์ในยุคนี้ที่ออกคำสั่งให้ฟื้นฟูฟลอเรนซ์ภายใต้การนำกฎหมายที่เข้มแข็ง มาเกียเวลลีเป็นนักคิดทางการเมืองที่มีชื่อเสียงจากหนังสือคู่มือการเมืองเรื่อง The Prince ซึ่งกล่าวถึงการปกครองและการใช้พลังอำนาจ นอกจากนี้ มาเกียเวลลียังได้รับมอบหมายจากตระกูลเมดิชีให้เขียนหนังสือ Florentine Histories ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของเมืองอีกด้วย
ใน ค.ศ. 1512 ตระกูลเมดิชีได้ยึดครองฟลอเรนซ์คืนมาผ่านความช่วยเหลือของกองทหารสเปนและพระสันตปาปา[22] ด้วยการนำของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 10 และสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 ซึ่งต่อมาทั้งสองพระองค์ได้ดำรงตำแหน่งพระสันตปาปาแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก ทั้งคู่ยังเป็นผู้อุปถัมภ์งานศิลปะรวมถึงหอสมุดของมีเกลันเจโล และโบสถ์ Sagrestia Nuova อย่างไรก็ตาม รัชสมัยของพวกเขาตรงกับช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอิตาลี ดังนั้นใน ค.ศ. 1527 ชาวเมืองฟลอเรนซ์จึงขับไล่ตระกูลเมดิชีออกไปเป็นครั้งที่สอง และสถาปนาสาธารณรัฐเทวธิปไตยขึ้นใหม่ในวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1527 (พระเยซูคริสต์ได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์แห่งฟลอเรนซ์)[23] แต่ในเวลาต่อมา ตระกูลเมดิชีกลับมามีอำนาจอีกครั้งในเมืองฟลอเรนซ์ใน ค.ศ. 1530 พร้อมกับกองทัพของจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และได้รับพรจากสมเด็จพระสันตปาปาเคลเมนต์ที่ 7 (จูลิโอ เดอ เมดิชี) เมืองฟลอเรนซ์ได้กลายเป็นรัฐที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1531 เมื่อจักรพรรดิชาร์ลส์และพระสันตปาปาเคลเมนต์ทรงสถาปนาอเลสซานโดร เดอ เมดิชีเป็นดยุกแห่งสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ การปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ของตระกูลเมดิชีคงอยู่ได้นานกว่าสองศตวรรษ และผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างโกซีโมที่ 1 เด เมดีชี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแกรนด์ดยุคแห่งทัสคานีในปี ค.ศ. 1569 ในดินแดนทั้งหมดของแคว้นตอาคานาทั้งหมด มีเพียงสาธารณรัฐลุกกา (ต่อมาเป็นดัชชี) และอาณาเขตปิออมบิโนเท่านั้นที่เป็นอิสระจากฟลอเรนซ์
ศตวรรษที่ 18 และ 19
แก้การล่มสลายของราชวงศ์เมดิชีและการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระสวามีของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา ใน ค.ศ. 1737 ส่งผลให้ทัสคานีถูกผนวกกลายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของของราชวงศ์ออสเตรียเป็นการชั่วคราว โดยกลายเป็นราชบัลลังก์ลำดับที่สองของราชวงศ์ลอแรน ซึ่งถูกปลดออกจากราชบัลลังก์โดยราชวงศ์บูร์บง-ปาร์มาใน ค.ศ. 1801 ระหว่าง ค.ศ. 1801 ถึง 1807 ฟลอเรนซ์เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิทรูเรียซึ่งเป็นรัฐบริวารของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ราชวงศ์บูร์บง-ปาร์มาถูกปลดออกจากราชบัลลังก์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1807 เมื่อทัสคานีถูกผนวกเข้ากับฝรั่งเศส ฟลอเรนซ์เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดอาร์โนของฝรั่งเศสตั้งแต่ ค.ศ. 1808 จนกระทั่งนโปเลียนพ่ายแพ้ใน ค.ศ. 1814 ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก-ลอร์แรนได้รับการฟื้นคืนราชบัลลังก์ทัสคานีในการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา แต่ในที่สุดก็ถูกปลดออกจากราชบัลลังก์ใน ค.ศ. 1859 ทัสคานีกลายเป็นภูมิภาคของราชอาณาจักรอิตาลีใน ค.ศ. 1861
ฟลอเรนซ์เป็นเมืองหลวงของอิตาลีแทนตูรินใน ค.ศ. 1865 ตามมาด้วยการบูรณะเมืองให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ตลาดเก่าใน Piazza del Mercato Vecchio และบ้านสมัยยุคกลางหลายหลังจึงถูกรื้อถอน และแทนที่ด้วยถนนและบ้านเรือนที่มีความทันสมัย จัตุรัส (เดิมเปลี่ยนชื่อเป็น Piazza Vittorio Emanuele II และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Piazza della Repubblica ซึ่งเป็นชื่อปัจจุบัน) ได้รับการขยายให้กว้างขึ้นอย่างมาก และมีการสร้างประตูชัยขนาดใหญ่ที่ปลายด้านตะวันตก ปัจจุบันมีพิพิธภัณฑ์ที่บันทึกเหตุการณ์การทำลายล้างดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้ ๆ เมืองหลวงแห่งที่สองของประเทศถูกแทนที่โดยกรุงโรมในอีกหกปีต่อมา หลังจากที่กองทหารฝรั่งเศสถอนทัพและสามารถยึดกรุงโรมได้
ศตวรรษที่ 20
แก้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมืองนี้ถูกเยอรมนียึดครองเป็นเวลาหนึ่งปี (ค.ศ. 1943–1944) โดยเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลี นาซีเยอรมนีดำเนินการเปิดค่ายเชลยศึก Stalag 337 ในเมือง[24] ฮิตเลอร์ประกาศให้เมืองนี้เป็นเมืองเปิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 ขณะที่กองทหารของกองทัพที่ 8 ของอังกฤษทำการปิดล้อม[25] ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ทหารเยอรมนีที่กำลังล่าถอยได้ตัดสินใจรื้อสะพานทั้งหมดริมแม่น้ำอาร์โนที่เชื่อมระหว่างเขตโอลทราร์โนกับส่วนอื่น ๆ ของเมือง ทำให้กองกำลังของกองทัพที่ 8 ข้ามเมืองได้ลำบากขึ้น
ฟลอเรนซ์ได้รับการปลดแอกโดยกองทหารนิวซีแลนด์, แอฟริกาใต้ และอังกฤษ เข้าปลดปล่อยฟลอเรนซ์ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1944 ร่วมกับกองกำลังจากคณะกรรมการปลดปล่อยแห่งชาติทัสคานี (CTLN) ร่างของทหารฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองที่เสียชีวิตจากการร่วมขับไล่กองกำลังเยอรมนีถูกฝังไว้ในสุสานนอกเมือง (ร่างของทหารอเมริกันอยู่ห่างจากเมืองไปทางใต้ประมาณ 9 กิโลเมตรหรือ 5+1⁄2 ไมล์ ทหารอังกฤษและเครือจักรภพอยู่ห่างจากใจกลางเมืองไปทางตะวันออกไม่กี่กิโลเมตรบนฝั่งขวาของแม่น้ำอาร์โน) เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ในเดือนพฤษภาคม 1945 กองสารสนเทศและการศึกษาของกองทัพสหรัฐได้รับคำสั่งให้จัดตั้งวิทยาเขตมหาวิทยาลัยในต่างประเทศสำหรับทหารชายและหญิงอเมริกันที่ปลดประจำการในฟลอเรนซ์ มหาวิทยาลัยแห่งแรกของสหรัฐอเมริกาสำหรับบุคลากรทางทหารก่อตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1945 และได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนการบิน
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1966 แม่น้ำอาร์โนได้ท่วมพื้นที่บางส่วนของใจกลางเมือง ส่งผลให้สมบัติทางศิลปะหลายชิ้นได้รับความเสียหาย มีป้ายเล็ก ๆ ติดอยู่ตามกำแพงทั่วเมืองเพื่อระบุว่าน้ำท่วมถึงจุดสูงสุดที่ระดับใด
ภูมิศาสตร์
แก้อากาศ
แก้ลอเรนซ์มีภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นกึ่งภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน[26] ฤดูร้อนมีอากาศร้อนจัด ฤดูฝนมีฝนน้อยถึงปานกลาง ฤดูหนาวมีอากาศเย็นชุ่มชื้น
ข้อมูลภูมิอากาศของนครฟลอเรนซ์ | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 21.6 (70.9) |
23.4 (74.1) |
28.5 (83.3) |
28.7 (83.7) |
33.8 (92.8) |
40.0 (104) |
42.6 (108.7) |
39.5 (103.1) |
36.4 (97.5) |
30.8 (87.4) |
25.2 (77.4) |
20.4 (68.7) |
42.6 (108.7) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 10.9 (51.6) |
12.5 (54.5) |
15.7 (60.3) |
18.5 (65.3) |
23.7 (74.7) |
27.7 (81.9) |
31.4 (88.5) |
31.5 (88.7) |
26.7 (80.1) |
20.9 (69.6) |
14.7 (58.5) |
11.1 (52) |
20.44 (68.8) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 6.5 (43.7) |
7.5 (45.5) |
10.3 (50.5) |
13.0 (55.4) |
17.7 (63.9) |
21.4 (70.5) |
24.6 (76.3) |
24.6 (76.3) |
20.5 (68.9) |
15.5 (59.9) |
9.9 (49.8) |
6.8 (44.2) |
14.86 (58.75) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 2.0 (35.6) |
2.5 (36.5) |
4.9 (40.8) |
7.5 (45.5) |
11.6 (52.9) |
15.0 (59) |
17.7 (63.9) |
17.7 (63.9) |
14.4 (57.9) |
10.1 (50.2) |
5.1 (41.2) |
2.6 (36.7) |
9.26 (48.67) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | -23.2 (-9.8) |
-9.9 (14.2) |
-8.0 (17.6) |
-2.2 (28) |
3.6 (38.5) |
5.6 (42.1) |
10.2 (50.4) |
9.6 (49.3) |
3.6 (38.5) |
-1.4 (29.5) |
-6.0 (21.2) |
-8.6 (16.5) |
−23.2 (−9.8) |
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) | 60.5 (2.382) |
63.7 (2.508) |
63.5 (2.5) |
86.4 (3.402) |
70.0 (2.756) |
57.1 (2.248) |
36.7 (1.445) |
56.0 (2.205) |
79.6 (3.134) |
104.2 (4.102) |
113.6 (4.472) |
81.3 (3.201) |
872.6 (34.354) |
วันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย (≥ 1.0 mm) | 8.3 | 7.1 | 7.5 | 9.7 | 8.4 | 6.3 | 3.5 | 5.4 | 6.2 | 8.5 | 9.0 | 8.3 | 88.2 |
แหล่งที่มา 1: Servizio Meteorologico [27] | |||||||||||||
แหล่งที่มา 2: World Meteorological Organization (United Nations) [28] Weather Atlas [29] |
ประชากร
แก้ข้อมูลใน ค.ศ. 1200 เมืองนี้มีประชากรอาศัยอยู่ 50,000 คน[30] เมื่อถึง ค.ศ. 1300 ประชากรในเมืองมีจำนวน 120,000 คน ระหว่าง ค.ศ. 1500 ถึง 1650 ประชากรมีอยู่ประมาณ 70,000 คน[31][32] ณ วันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ประชากรในเมืองมีจำนวน 370,702 คน ในขณะที่ Eurostat ประมาณการว่ามีประชากร 696,767 คนอาศัยอยู่ในเขตเมืองของฟลอเรนซ์
เขตมหานครฟลอเรนซ์ ปราโต และปิสตอยา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2000 มีพื้นที่ประมาณ 4,800 ตารางกิโลเมตร (1,850 ตารางไมล์) มีประชากร 1.5 ล้านคน ในเขตเมืองฟลอเรนซ์เอง ประชากร 46.8% เป็นชายในปี 2007 และ 53.2% เป็นหญิง ผู้เยาว์ (เด็กอายุ 18 ปีหรือต่ำกว่า) มีทั้งหมด 14.10% ของประชากรเมื่อเทียบกับผู้รับบำนาญซึ่งมีอยู่ 25.95% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศอิตาลีที่ 18.06% (ผู้เยาว์) และ 19.94% (ผู้รับบำนาญ) อายุเฉลี่ยของผู้อยู่อาศัยในฟลอเรนซ์คือ 49 ปีเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอิตาลีที่ 42 ปี ในช่วงเวลาห้าปีระหว่างปี 2002 และ 2007 ประชากรของฟลอเรนซ์เพิ่มขึ้น 3.22% ในขณะที่อิตาลีโดยรวมเพิ่มขึ้น 3.56%[33] อัตราการเกิดของเมืองฟลอเรนซ์อยู่ที่ 7.66 คนต่อประชากร 1,000 คน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของชาวอิตาลีที่ 9.45 คน
ในปี 2009 ประชากร 87.46% เป็นชาวอิตาลี คาดว่ามีชาวจีนอาศัยอยู่ในเมืองนี้ประมาณ 6,000 คน[34] กลุ่มผู้อพยพที่ใหญ่ที่สุดมาจากประเทศในยุโรปอื่นๆ (ส่วนใหญ่เป็นชาวโรมาเนียและแอลเบเนีย): 3.52%, เอเชียตะวันออก (ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและฟิลิปปินส์): 2.17%, ทวีปอเมริกา: 1.41% และแอฟริกาเหนือ (ส่วนใหญ่เป็นชาวโมร็อกโก): 0.9%[35] ประชากรส่วนใหญ่ในเมืองฟลอเรนซ์นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเช่นเดียวกับประชากรจากส่วนอื่น ๆ ในอิตาลี โดยมากกว่าร้อยละ 90 ของประชากรเป็นสมาชิกของอัครสังฆมณฑลฟลอเรนซ์[36][37] เมื่อ ค.ศ. 2016 คาดว่ามีผู้คนประมาณ 30,000 คน หรือร้อยละ 8 ของประชากรที่ระบุว่าตนเป็นมุสลิม[38]
ประชากรเมืองฟลอเรนซ์ที่เกิดในต่างประเทศ (31 ธันวาคม 2019):
ลำดับ | ประเทศ | จำนวน |
---|---|---|
1 | โรมาเนีย | 8,461 |
2 | จีน | 6,409 |
3 | เปรู | 5,910 |
4 | แอลแบเนีย | 5,108 |
5 | ฟิลิปปินส์ | 4,939 |
6 | ศรีลังกา | 2,541 |
7 | โมร็อกโก | 1,942 |
8 | บังคลาเทศ | 1,801 |
9 | ยูเครน | 1,418 |
10 | อินเดีย | 1,175 |
11 | อียิปต์ | 1,137 |
12 | เซเนกัล | 1,037 |
13 | บราซิล | 965 |
เศรษฐกิจ
แก้การท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุด และเศรษฐกิจของเมืองฟลอเรนซ์ส่วนใหญ่ก็ต้องพึ่งพาเงินจากผู้มาเยือนต่างชาติและนักเรียนที่มาศึกษาในเมืองนี้ การท่องเที่ยวเชิงมูลค่าของเมืองมีมูลค่ารวมประมาณ 2.5 พันล้านยูโรใน ค.ศ. 2015 และจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 จากปีก่อนหน้า[39] ในปี 2013 ฟลอเรนซ์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองของโลกโดย Condé Nast Traveler[40] การผลิตและการพาณิชย์ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ฟลอเรนซ์เป็นเมืองที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 17 ของอิตาลีในแง่ของรายได้เฉลี่ยของคนงาน โดยมีรายได้อยู่ที่ 23,265 ยูโร (รายได้รวมของเมืองอยู่ที่ 6,531,204,473 ยูโร) อยู่รองจากมันโตวา แต่แซงหน้าโบลซาโน[41]
อุตสาหกรรม, พาณิชยกรรม และการบริการ
แก้ฟลอเรนซ์เป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าที่สำคัญในอิตาลี ซึ่งอุตสาหกรรมในเขตชานเมืองของฟลอเรนซ์ผลิตสินค้าทุกประเภท ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ สินค้าที่ทำจากยาง สารเคมี และอาหาร ผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิมและท้องถิ่น เช่น ของเก่า หัตถกรรม เครื่องแก้ว งานเครื่องหนัง ผลงานศิลปะจำลอง เครื่องประดับ ของที่ระลึก โลหะและงานเหล็กที่ประณีต รองเท้า เครื่องประดับ และเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นสูง ยังครองส่วนแบ่งทางการตลาดของเศรษฐกิจเมืองฟลอเรนซ์อีกด้วย รายได้ของเมืองนั้นมาจากการบริการและผลประโยชน์ทางการค้าและวัฒนธรรม เช่น งานประจำปี การแสดงละครและบทกวี นิทรรศการศิลปะ เทศกาล และการแสดงแฟชั่น เช่น Calcio Fiorentino
อุตสาหกรรมหนักและเครื่องจักรก็มีส่วนในการสร้างรายได้เช่นกัน ในนูโอโว ปิญโญเน ยังคงมีโรงงานจำนวนมาก และธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดเล็กถึงขนาดกลางก็ครองส่วนแบ่งตลาด เขตอุตสาหกรรมและพื้นที่ฟลอเรนซ์-ปราโต-ปิสตอยาเป็นที่รู้จักในชื่อ "อิตาลีที่สาม" ในช่วงทศวรรษ 1990 เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าคุณภาพสูงและรถยนต์ (โดยเฉพาะเวสปา) และความเจริญรุ่งเรืองและผลผลิตของผู้ประกอบการในฟลอเรนซ์ อุตสาหกรรมบางส่วนเหล่านี้เทียบได้กับเขตอุตสาหกรรมดั้งเดิมในเอมีเลีย-โรมัญญาและเวเนโต เนื่องจากมีกำไรและผลผลิตสูง ในไตรมาสที่สี่ของ ค.ศ. 2015 การผลิตเพิ่มขึ้น 2.4% และการส่งออกเพิ่มขึ้น 7.2% โดยภาคส่วนชั้นนำ ได้แก่ วิศวกรรมเครื่องกล แฟชั่น ยา อาหารและไวน์ ในปี 2015 สัญญาจ้างงานถาวรเพิ่มขึ้น 48.8% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการลดหย่อนภาษีทั่วประเทศ
การท่องเที่ยว
แก้การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดในใจกลางเมืองฟลอเรนซ์ ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม นักท่องเที่ยวมีจำนวนมากกว่าประชากรในท้องถิ่น ตั๋วเข้าชมหอศิลป์อุฟฟิซิและอักคาเดเมียขายหมดเป็นประจำ ในปี 2010 ผู้อ่านนิตยสาร Travel + Leisure จัดอันดับเมืองนี้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่พวกเขาชื่นชอบเป็นอันดับสาม[42] และได้รับการโหวตจากผู้ติดตามนิตยสาร Condé Nast Travel ให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดในยุโรปใน ค.ศ. 2015[43] ผลการศึกษาวิจัยของ Euromonitor International สรุปได้ว่าการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ก่อให้เกิดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั่วทั้งยุโรป เชื่อกันว่าฟลอเรนซ์มีความเข้มข้นของงานศิลปะมากที่สุด (เมื่อพิจารณาตามขนาด) ในโลก[44] ด้วยเหตุนี้ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ โดยพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น อุฟฟิซิ สามารถขายตั๋วได้กว่า 1.93 ล้านใบในปี 2014[45] สิ่งอำนวยความสะดวกของศูนย์การประชุมของเมืองได้รับการปรับโครงสร้างใหม่ในช่วงทศวรรษ 1990 และเป็นสถานที่จัดนิทรรศการ การประชุม คอนเสิร์ต และกิจกรรมอื่น ๆ
ในปี 2016 เมืองฟลอเรนซ์มีห้องพักในโรงแรม 20,588 ห้อง ในสถานที่ 570 แห่ง นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้ห้องพัก 75% และ 18% มาจากสหรัฐอเมริกา ในปี 2014 เมืองนี้มีผู้เข้าพักค้างคืน 8.5 ล้านคน[46] รายงานของ Euromonitor ระบุว่าใน ค.ศ. 2015 เมืองนี้ติดอันดับที่ 36 ของโลกในแง่ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุด โดยมีผู้มาเยือนมากกว่า 4.95 ล้านคนในปีนั้น[47] อย่างไรก็ดี แม้การท่องเที่ยวจะสร้างรายได้มหาศาลให้แก่เมือง หากก็นำมาซึ่งปัญหาบางประการเช่นกัน สถานที่สำคัญอย่าง The Ponte Vecchio, ตลาดกลางเมอร์คาโต และ Santa Maria Novella ชุกชุมไปด้วยโจรล้วงกระเป๋า[48]
ฟลอเรนซ์มีนักท่องเที่ยวประมาณ 13 ล้านคนต่อปี และในช่วงฤดูท่องเที่ยวสูงสุด สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอาจมีผู้คนหนาแน่นเกินกว่านั้นมาก[49] ใน ค.ศ. 2015 นายกเทศมนตรี ดาริโอ นาร์เดลลา แสดงความกังวลเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยรถบัส และใช้เวลาอยู่ในเมืองเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยใช้เงินไม่มากแต่ทำให้เมืองมีความแออัดมาก "ไม่มีการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ แค่ถ่ายรูปจากจัตุรัส นั่งรถบัสกลับ แล้วไปเวนิสต่อ ... เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวแบบนั้น" เขากล่าว[50]
นาร์เดลลาเล่าว่านักท่องเที่ยวบางคนไม่เคารพมรดกทางวัฒนธรรมของเมือง ในเดือนมิถุนายน 2017 เขาได้ริเริ่มโครงการฉีดน้ำบนบันไดโบสถ์เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดปิกนิก แม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับประโยชน์ของการท่องเที่ยว แต่เขาอ้างว่ามี "ผู้คนที่นั่งบนบันไดโบสถ์ ทานอาหาร และทิ้งขยะเกลื่อนกลาดเพิ่มมากขึ้น" [51] เพื่อกระตุ้นยอดขายอาหารแบบดั้งเดิม นายกเทศมนตรีได้เสนอร่างกฎหมาย (ประกาศใช้ในปี 2016) ที่กำหนดให้ร้านอาหารต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทั่ว ๆ ไปของทัสคานี และปฏิเสธคำขอของแมคโดนัลด์ในการเปิดสาขาใน Piazza del Duomo[52]
ใน ค.ศ. 2022 คณะกรรมาธิการยุโรป ได้ยกย่องเมืองฟลอเรนซ์ร่วมกับบอร์โด, โคเปนเฮเกน, ดับลิน, ลูบลิยานา, ปัลมา (มาจอร์กา) และบาเลนเซีย[53]
อาหารและอุตสาหกรรมไวน์
แก้อาหารและไวน์เป็นสินค้าหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจมายาวนาน ภูมิภาคเคียนตีอยู่ทางใต้ของเมือง และองุ่นซานจิโอเวเซเป็นส่วนประกอบสำคัญไม่เพียงแต่ในไวน์เคียนติคลาสสิกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไวน์ซูเปอร์ทัสคานีที่พัฒนาขึ้นใหม่หลายตัวอีกด้วย ห่างไปทางตะวันตก 32 กม. (20 ไมล์) คือเขตคาร์มิญญาโน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์แดงจากซานจิโอเวเซที่มีรสชาติดี เขตเคียนติรูฟินาอันโด่งดังซึ่งแยกจากภูมิภาคเคียนติหลักทั้งทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์นั้นยังอยู่ห่างจากฟลอเรนซ์ไปทางตะวันออกเพียงไม่กี่กิโลเมตร เมื่อไม่นานมานี้ ภูมิภาคโบลเกรี (ห่างไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของฟลอเรนซ์ประมาณ 150 กม. หรือ 93 ไมล์) มีชื่อเสียงในด้านไวน์แดง "ซูเปอร์ทัสคานี" เช่น ซัสซิกายาและออร์เนลลายา
การคมนาคม
แก้ใจกลางเมืองฟลอเรนซ์ปิดไม่ให้รถสัญจรผ่าน แต่รถโดยสารประจำทาง รถแท็กซี่ และผู้อยู่อาศัยที่มีใบอนุญาตสามารถเข้าไปได้ พื้นที่นี้มักเรียกกันว่า ZTL (Zona Traffico Limitato) ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายส่วนย่อย[54] ดังนั้น ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่หนึ่งจึงสามารถขับรถได้เฉพาะในเขตของตนและบางทีอาจรวมถึงพื้นที่โดยรอบด้วย รถยนต์ที่ไม่มีใบอนุญาตสามารถเข้าได้หลัง 19.30 น. หรือไม่เกิน 07.30 น. กฎระเบียบจะเปลี่ยนแปลงไปในช่วงฤดูร้อนที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเพิ่มข้อจำกัดเกี่ยวกับสถานที่เข้าออก[55]
ATAF&Li-nea เป็นบริษัทขนส่งผู้โดยสารที่ดำเนินการระบบขนส่งสาธารณะหลักในเมือง เป็นหนึ่งในบริษัทในกลุ่ม ONE Scarl เพื่อบรรลุสัญญากับ Regione Toscana สำหรับการขนส่งสาธารณะในช่วงปี 2018–2019 จะต้องซื้อตั๋วรายบุคคลหรือบัตรผ่านที่เรียกว่า Carta Agile สำหรับการเดินทางหลายครั้งล่วงหน้า และต้องผ่านการตรวจสอบเมื่อขึ้นรถแล้ว ตั๋วเหล่านี้สามารถใช้กับรถบัส ATAF&Li-nea, Tramvia และรถไฟท้องถิ่นชั้นสองภายในสถานีรถไฟในเมืองเท่านั้น รถบัสประกอบด้วยรถบัสในเมือง 446 คัน รถบัสชานเมือง 5 คัน รถบัสระหว่างเมือง 20 คัน และรถบัสท่องเที่ยว 15 คัน
เพื่อลดมลภาวะทางอากาศและการจราจรทางรถยนต์ในเมือง จึงได้มีการสร้างเครือข่ายรถรางหลายสายที่เรียกว่า Tramvia เส้นทางแรกเริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2010 และเชื่อมต่อสถานีรถไฟระหว่างเมืองหลักของฟลอเรนซ์ (ซานตามาเรียโนเวลลา) กับชานเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของสกันดิชชี เส้นทางนี้มีความยาว 7.4 กม. (4+5⁄8 ไมล์) และมี 14 จุดจอด การก่อสร้างเส้นทางที่สองเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2011 แต่ก็ต้องหยุดลงเนื่องจากผู้รับเหมาประสบปัญหา และเริ่มดำเนินการใหม่อีกครั้งในปี 2014 โดยเส้นทางใหม่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2019 เส้นทางที่สองนี้เชื่อมต่อสนามบินฟลอเรนซ์กับใจกลางเมือง นอกจากนี้ เส้นทางที่สาม (จาก Santa Maria Novella ไปยังย่าน Careggi ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลที่สำคัญที่สุดของเมืองฟลอเรนซ์) ก็อยู่ระหว่างการก่อสร้างเช่นกัน[56]
เวลาเฉลี่ยที่ผู้คนใช้เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในฟลอเรนซ์ เช่น ไปและกลับจากที่ทำงานในวันธรรมดาคือ 59 นาที ผู้โดยสารระบบขนส่งสาธารณะ 13% ใช้บริการนานกว่า 2 ชั่วโมงทุกวัน เวลาเฉลี่ยที่ผู้คนต้องรอที่ป้ายหรือสถานีสำหรับระบบขนส่งสาธารณะคือประมาณ 14 นาที ในขณะที่ผู้โดยสาร 22% รอเฉลี่ยมากกว่า 20 นาทีทุกวัน ระยะทางเฉลี่ยที่ผู้คนมักใช้ในการเดินทางครั้งเดียวด้วยระบบขนส่งสาธารณะคือ 4.1 กม. (2.5 ไมล์) ในขณะที่ผู้โดยสาร 3% เดินทางไกลกว่า 12 กม. (7.5 ไมล์) ในเส้นทางเดียว[57] ท่าอากาศยานฟลอเรนซ์หรือเปเรโตลาเป็นหนึ่งในสนามบินนานาชาติหลักสองแห่งในภูมิภาคทัสคานี ท่าอากาศยานนานาชาติอีกแห่งในภูมิภาคทัสคานีคือท่าอากาศยานนานาชาติกาลิเลโอ กาลิเลอีในเมืองปิซา
Firenze Santa Maria Novella หรือ Stazione di Santa Maria Novella เป็นสถานีรถไฟหลักในเมืองฟลอเรนซ์ อาคารซึ่งได้รับการออกแบบโดย โจวันนี มีเคลุชชีถูกสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเหตุผลนิยมของอิตาลี และเป็นหนึ่งในอาคารสไตล์เหตุผลนิยมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี ตั๋วรถไฟจะต้องผ่านการตรวจสอบก่อนขึ้นรถ สถานีขนส่งหลักอยู่ติดกับสถานีรถไฟ Santa Maria Novella บริษัท Trenitalia ให้บริการรถไฟระหว่างสถานีรถไฟต่าง ๆ ในเมืองและไปยังจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ทั่วอิตาลีและยุโรป สถานีรถไฟกลาง Santa Maria Novella อยู่ห่างจาก Piazza del Duomo ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 500 ม. (1,600 ฟุต) สถานีรถไฟความเร็วสูงแห่งใหม่ในฟลอเรนซ์ ซึ่งเดิมมีกำหนดเปิดในปี 2015 ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน ค.ศ. 2028[58][59] สถานีนี้ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Firenze Belfiore หรือ Firenze Foster ได้รับการออกแบบเพื่อรองรับรถไฟความเร็วสูงและลดความแออัดที่สถานี Santa Maria Novella โดยมีแผนที่จะเชื่อมต่อกับใจกลางเมือง Santa Maria Novella และท่าอากาศยาน Vespucci ของฟลอเรนซ์ด้วยรถรางสาย 2
วัฒนธรรม
แก้ศิลปะ
แก้ฟลอเรนซ์เป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางศิลปะที่สำคัญของโลกมาหลายศตวรรษ เป็นแหล่งกำเนิดศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1500 ถึง ค.ศ. 1527 ศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเน้นย้ำถึงธรรมชาตินิยมและอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มากขึ้น ศิลปะสมัยกลางมักเป็นสูตรสำเร็จและสัญลักษณ์ ผลงานที่ยังหลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่เป็นงานเกี่ยวกับศาสนา ในทางตรงกันข้าม ศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามีแนวคิดเชิงเหตุผล เชิงคณิตศาสตร์ และเน้นความเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้น และสร้างสรรค์โดยศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น โดนาเตลโล มีเกลันเจโล และราฟาเอล ซึ่งเริ่มเซ็นชื่อบนผลงานของพวกเขา ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาถือเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นคืนคุณค่าแบบคลาสสิกในงานศิลปะและสังคม เนื่องจากผู้คนศึกษาปรมาจารย์ในสมัยโบราณของโลกกรีก-โรมัน ศิลปะเริ่มเน้นที่ความสมจริงแทนที่จะเป็นอุดมคติ[60]
ชีมาบูเอ และ จอตโต ดี บอนโดเน บิดาแห่งจิตรกรรมอิตาลีอาศัยอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์ เช่นเดียวกับอาร์โนลโฟ ดิ คัมบิโอ และอันเดรีย ปิซาโน ผู้ฟื้นฟูสถาปัตยกรรมและประติมากรรมฟีลิปโป บรูเนลเลสกี, โดนาเตลโล และมาซัคซิโอ บรรพบุรุษแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา รวมถึงโลเรนโซ กีแบร์ตี, ฟีลิปโป ลิปปี และฟราอันเจลีโก[61] ผลงานของพวกเขา รวมถึงผลงานของศิลปินรุ่นอื่น ๆ มากมาย ได้รับการรวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในเมือง ไม่ว่าจะเป็น หอศิลป์อุฟฟีซี, Galleria Palatina พร้อมภาพวาดของ "ยุคทอง", บาร์เจลโลพร้อมประติมากรรมในยุคเรอเนซองส์, พิพิธภัณฑ์ซานมาร์โกพร้อมผลงานของฟราอันเจลิโก, Galleria dell'Accademia, โบสถ์เมดิซี, พิพิธภัณฑ์ออร์ซานมิเคเล, คาซา บูโอนาร์โรติ พร้อมประติมากรรมโดยมีเกอัเจโล, พิพิธภัณฑ์บาร์ดินี, พิพิธภัณฑ์ฮอร์น, พิพิธภัณฑ์สติบเบิร์ต และ ปาลาซโซคอร์ซินี[62] มีอนุสรณ์สถานหลายแห่งตั้งอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์:หอศีลจุ่มซันโจวันนี บัพติสเทอเรสต์พร้อมโมเสก มหาวิหารพร้อมประติมากรรม โบสถ์ยุคกลางพร้อมภาพจิตรกรรมฝาผนัง พระราชวังทั้งของรัฐและเอกชน อาทิ ปาลาซโซ เวคคิโอ, ปาลาซโซเมดิชี หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปาลาซโซเมดิซี ริกคาร์ดี และ ปาลาซโซ ดาวานซาตี
สถาปนิกชาวฟลอเรนซ์ เช่น ฟิลิปโป บรูเนลเลสกี (ค.ศ. 1377–1466) และเลออน บัตติสตา อัลเบอร์ติ (ค.ศ. 1404–1472) ถือเป็นบิดาแห่งสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์[63] มหาวิหารซึ่งมีโดมของบรูเนลเลสกีอยู่ด้านบนโดดเด่นเหนือเส้นขอบฟ้าของฟลอเรนซ์ ชาวฟลอเรนซ์ตัดสินใจเริ่มสร้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 โดยไม่ได้ออกแบบโดมไว้ โครงการที่บรูเนลเลสกีเสนอในศตวรรษที่ 14 ถือเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมาในสมัยนั้น และเป็นโดมหลักแห่งแรกในยุโรปนับตั้งแต่โดมใหญ่สองแห่งในสมัยโรมัน: วิหารแพนธีอัน และ ฮาเกียโซเฟีย โดมของซานตามาเรียเดลฟิโอเรยังคงเป็นโครงสร้างอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก[64] ด้านหน้าเป็นห้องบัพติสมาในยุคกลาง อาคารทั้งสองหลังตกแต่งแบบย้อนยุคจากยุคกลางสู่ยุคเรอเนซองส์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา งานศิลปะสำคัญ ๆ ส่วนใหญ่จากอาคารทั้งสองหลัง รวมถึงหอระฆังของจอตโตที่อยู่ใกล้เคียง ถูกนำออกไปและแทนที่ด้วยงานลอกเลียนแบบ ผลงานต้นฉบับถูกเก็บรักษาไว้ที่หอระฆังจอตโต ทางทิศตะวันออกของอาสนวิหาร
ฟลอเรนซ์มีโบสถ์ที่เต็มไปด้วยงานศิลปะจำนวนมาก เช่น บาซิลิกาซานมินิอาโตอัลมอนเต, มหาวิหารซันโลเรนโซ ฟลอเรนซ์, มหาวิหารซันตามาเรียโนเวลลา, ซันตาตรีนีตา, ซันโตสปีรีโต ฟลอเรนซ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ภาษา
แก้ภาษาฟลอเรนซ์ (fiorentino) พูดโดยชาวเมืองฟลอเรนซ์และบริเวณโดยรอบ เป็นภาษาถิ่นดั้งเดิมจองทัสคานี และเป็นภาษาแม่โดยตรงของภาษาอิตาลีสมัยใหม่ แม้ว่าคำศัพท์และการออกเสียงจะเหมือนกับภาษาอิตาลีมาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ Vocabolario del fiorentino contemporaneo (พจนานุกรมภาษาฟลอเรนซ์สมัยใหม่) เผยให้เห็นความแตกต่างของคำศัพท์จากทุกสาขาอาชีพ ดันเต เปตราช และโบกคัชโชเป็นผู้บุกเบิกการใช้ภาษาพื้นเมือง แทนภาษาละตินที่ใช้ในงานวรรณกรรมส่วนใหญ่ในขณะนั้น
วรรณกรรม
แก้แม้ว่าภาษาละตินจะเป็นภาษาหลักของศาลและคริสตจักรในยุคกลาง นักเขียนเช่น ดันเต อาลีกีเอรี และอีกหลาย ๆ คนก็ใช้ภาษาของตนเอง ภาษาพื้นเมืองฟลอเรนซ์สืบเชื้อสายมาจากภาษาละตินในการประพันธ์ผลงานชิ้นสำคัญที่สุดของพวกเขา วรรณกรรมเก่าแก่ที่สุดที่เขียนในฟลอเรนซ์มีประวัติสืบย้อนไปถึงศตวรรษที่ 13 วรรณกรรมของฟลอเรนซ์เจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่ในศตวรรษที่ 14 เมื่อไม่เพียงแต่ดันเตกับผลงาน Divine Comedy (1306–1321) และ Petrarch เท่านั้น แต่ยังมีกวีเช่น กีโด คาวัลกานติ และ ลาโป เกียนนี ที่ประพันธ์ผลงานที่สำคัญที่สุดของพวกเขาด้วย
ในศตวรรษที่ 16 ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ฟลอเรนซ์เป็นบ้านเกิดของนักเขียนและนักปรัชญาการเมือง นิคโกโล มาเกียเวลลี ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับวิธีที่ผู้ปกครองควรปกครองดินแดน ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในหนังสือ The Prince แพร่กระจายไปทั่วราชสำนักของยุโรปและได้รับความนิยมมายาวนานหลายศตวรรษ หลักการเหล่านี้เป็นที่รู้จักในชื่อ Machiavellianism
อาหาร
แก้อาหารฟลอเรนซ์มีต้นกำเนิดมาจากอาหารพื้นบ้านมากกว่าอาหารชั้นสูงที่หาได้ยาก อาหารส่วนใหญ่มีส่วนประกอบหลักเป็นเนื้อสัตว์ โดยจะรับประทานสัตว์ทั้งตัวตามประเพณี ทริปปา (trippa) เคยมีอยู่ในเมนูของร้านอาหารเป็นประจำ และยังคงขายตามรถเข็นขายอาหารทั่วเมือง อาหารเรียกน้ำย่อยได้แก่ ครอสตินี ทอสกานี ขนมปังแผ่นบางราดด้วยพาเตตับไก่ และเนื้อสัตว์หั่นบาง (ส่วนใหญ่เป็นพรอชุตโตและซาลาเม ซึ่งมักเสิร์ฟพร้อมเมลอนเมื่อถึงฤดูกาล) ขนมปังทัสคานีแบบไม่มีเกลือซึ่งทำจากสารทำให้ขึ้นฟูมักพบในอาหารฟลอเรนซ์ โดยเฉพาะในซุป ริโบลลิตา และปาปปาอัลโปโมโดโร หรือในสลัดขนมปังและผักสดที่เรียกว่าปันซาเนลลาที่เสิร์ฟในฤดูร้อน บิสเท็กกาอัลลาฟิออเรนตินาเป็นชิ้นใหญ่ (ขนาดปกติควรมีน้ำหนักประมาณ 1.2 ถึง 1.5 กิโลกรัมหรือ 2 ปอนด์ 10 ออนซ์ถึง 3 ปอนด์ 5 ออนซ์) – สเต็กทีโบนที่ทำจากเนื้อ Chianina ปรุงบนถ่านร้อนและเสิร์ฟแบบแรร์ที่หั่นบาง ๆ เสิร์ฟบนผักร็อกเก็ต โดยมักจะวางชีสพาร์เมซานไว้ด้านบน อาหารประเภทนี้ส่วนใหญ่มักเสิร์ฟพร้อมน้ำมันมะกอกในท้องถิ่นซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นดีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
กีฬา
แก้เช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่น ๆ ในอิตาลี ฟลอเรนซ์มีความผูกพันและวัฒนธรรมความคลั่งไคล้ฟุตบอลอย่างลึกซึ้ง สโมสรฟุตบอลฟีออเรนตีนา เป็นตัวแทนของเมือง ปัจจุบันเล่นในลีกสูงสุดของฟุตบอลอิตาลีอย่างเซเรียอา มีเอกลักษณ์ประจำทีมคือสีม่วงอันโดดเด่น จึงเป็นที่มาของฉายา วีโอลา (Viola) อันเป็นสีประจำเมืองฟลอเรนซ์ สนามเหย้าคือสนามกีฬาอาร์เตมีโอ ฟรังกี เมืองนี้เป็นที่ตั้งของ Centro Tecnico Federale di Coverciano ใน Coverciano เมืองฟลอเรนซ์ซึ่งเป็นสนามฝึกซ้อมหลักของทีมชาติอิตาลี และยังเป็นที่ตั้งฝ่ายเทคนิคของสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีอีกด้วย เมืองนี้ยังเป็นเจ้าภาพการแข่งขันจักรยานอย่าง จีโรดีตาเลีย ครั้งล่าสุดใน ค.ศ. 2017
RN Florentia เป็นสโมสรโปโลน้ำของอิตาลีจากฟลอเรนซ์ มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จระดับทวีป ทั้งทีมชายและหญิงต่างก็คว้าแชมป์รายการอิตาลีมาแล้วหลายครั้ง และทีมหญิงยังมีแชมป์รายการยุโรปในปาล์มาเรสอีกด้วย
อ้างอิง
แก้- ↑ "Superficie di Comuni Province e Regioni italiane al 9 ottobre 2011". สืบค้นเมื่อ 16 มีนาคม 2019.
- ↑ "Popolazione Residente al 1° Gennaio 2018". สืบค้นเมื่อ 16 มีนาคม 2019.
- ↑ "Bilancio demografico anno 2015 e popolazione residente al 31 dicembre; Comune: Firenze". ISTAT. Select: Italia Centrale/Toscana/Firenze/Firenze. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-02-13. สืบค้นเมื่อ 2020-02-25.
- ↑ "Monthly Demographic Balance". demo.istat.it. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Economy of Renaissance Florence, Richard A. Goldthwaite, Book - Barnes & Noble". search.barnesandnoble.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-04-04. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Florence | History, Geography, & Culture". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 3 November 2021.
- ↑ Brucker, Gene A. (1969). Renaissance Florence. New York: Wiley. p. 23. ISBN 978-0520046955.
- ↑ "storia della lingua in 'Enciclopedia dell'Italiano'". Treccani.it. สืบค้นเมื่อ 28 October 2017.
- ↑ "Florence (Italy)". Britannica.com. สืบค้นเมื่อ 22 January 2010.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|encyclopedia=
ถูกละเว้น (help) - ↑ "FASHION: Italy's Renaissance". TIME. 4 February 1952. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-08-27. สืบค้นเมื่อ 9 October 2013.
- ↑ Tim Kiladze (22 January 2010). "World's Most Beautiful Cities". Forbes. สืบค้นเมื่อ 12 April 2011.
- ↑ "Florence | Italy, History, Geography, & Culture | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). 2025-06-11. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "History of the Italian language: the literary language". Scuole d'italiano per stranieri Società Dante Alighieri. (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2018-10-09. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-06-19. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ johndeike (2021-03-03). "The Architects and Origins Behind the Italian Language". Italian Sons and Daughters of America (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Florence - Renaissance, Italy, Art | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). 2025-06-11. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Caferro, William (2020). "Dante and Dirittura: Reframing the Florentine Economy". Dante Studies. 138 (1): 203–218. doi:10.1353/das.2020.0010. ISSN 2470-427X.
- ↑ Day, W.R. (2002-06). "The population of Florence before the Black Death: survey and synthesis". Journal of Medieval History (ภาษาอังกฤษ). 28 (2): 93–129. doi:10.1016/S0304-4181(02)00002-7. ISSN 0304-4181.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "Decameron Web | Plague". www.brown.edu. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Eimerl, Sarel; Time-Life Books (1967). The world of Giotto, c. 1267-1337. Internet Archive. New York : Time, inc.
- ↑ Giuseppe Pallanti (2006). Mona Lisa Revealed. Internet Archive. Skira. ISBN 978-88-7624-659-3.
- ↑ "SAVONAROLA, Girolamo - Enciclopedia". Treccani (ภาษาอิตาลี). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Florence - Renaissance, Italy, Art | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). 2025-06-11. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Ryan, George (2020-08-19). "The Time When Jesus Was The King Of Florence". uCatholic (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Megargee, Geoffrey P.; United States Holocaust Memorial Museum; Project Muse, บ.ก. (2022). The United States Holocaust Memorial Museum Encyclopedia of Camps and Ghettos, 1933-1945, Volume IV: Camps and Other Detention Facilities Under the German Armed Forces. Bloomington Indianapolis: Indiana University Press. ISBN 978-0-253-06089-1.
- ↑ "FLORENCE DECLARED AN OPEN CITY". Canberra Times. 3 ก.ค. 1944. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "World map of Köppen – Geiger Climate Classification". koeppen-geiger.vu-wien.ac.at. April 2006. สืบค้นเมื่อ 28 September 2010.
- ↑ "FIRENZE/PERETOLA" (PDF). Servizio Meteorologico. สืบค้นเมื่อ 13 October 2012.
- ↑ "World Weather Information Service - Florence". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-03-28. สืบค้นเมื่อ 2010-04-14.
- ↑ "Florence, Italy - Monthly weather forecast and Climate data". Weather Atlas. สืบค้นเมื่อ 26 January 2019.
- ↑ Spruyt, Hendrik (1994). The Sovereign State and Its Competitors: An Analysis of Systems Change (ภาษาอังกฤษ). Princeton University Press. ISBN 978-0-691-02910-8.
- ↑ Chant, Colin; Goodman, David (2005-11-08). Pre-Industrial Cities and Technology (ภาษาอังกฤษ). Routledge. ISBN 978-1-134-63620-4.
- ↑ Tellier, Luc-Normand (2009). Urban World History: An Economic and Geographical Perspective (ภาษาอังกฤษ). PUQ. ISBN 978-2-7605-2209-1.
- ↑ "Wayback Machine". demo.istat.it. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-26. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Chinese immigrants to Italy build no ordinary Chinatown -- chicagotribune.com". www.chicagotribune.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Wayback Machine". demo.istat.it. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-08-14. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Firenze {Florence} (Archdiocese) [Catholic-Hierarchy]". www.catholic-hierarchy.org. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Archdiocese of Florence, Italy 🇮🇹". GCatholic. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Florence plans 'mega-mosque' for Muslim worshippers". The Local Italy (ภาษาอังกฤษ). 2016-04-07. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Staff, Editorial (2016-05-27). "Economy of Florence twice the national average". The Florentine (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Cha, Frances (2013-10-16). "The world's best city is …". CNN (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "La classifica dei redditi nei comuni capoluogo di provincia: - Il Sole 24 ORE". www.ilsole24ore.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-12. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Travel + Leisure World's Best Awards". Travel + Leisure (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Swallow, Nicky (2016-07-01). "19 Best Things to Do in Florence". Condé Nast Traveler (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Study Abroad in Florence Italy - Florentine artisan courses for school groups". www.florenceart.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-12. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Florence's Uffizi leading the pack in terms of visitors' numbers, after the Colosseum and Pompeii". Florence’s Uffizi leading the pack in terms of visitors’ numbers, after the Colosseum and Pompeii (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-29. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Bill.Alen@tourism-review.com, Bill Alen. "Florence: A Record Year for the Tourism Industry | .TR". www.tourism-review.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Insights". Euromonitor (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Where in Europe are you most likely to be a victim of pickpocketing?". www.yourcoffeebreak.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Italian hotspots struggling with 'too many tourists'". The Local Italy (ภาษาอังกฤษ). 2016-07-18. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Kirchgaessner, Stephanie (2015-12-06). "Florence seeks a better class of tourist to share its besieged medieval treasures". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Giuffrida, Angela (2017-05-31). "Florence mayor aims to keep picnicking tourists at bay with hosepipes". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Florence is hosing down monuments to deter tourists". The Independent (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-03-17. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Cities 2022 - European Commission". smart-tourism-capital.ec.europa.eu (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Perfect, Italy (2015-06-16). "The ZTL - Avoid Restricted Traffic Zones & Fines in Italy - Italy Perfect Travel Blog". Italy Perfect (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Florence Driving Map, the ZTL explained". Florence-On-Line (ภาษาอังกฤษ). 2025-04-15. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Tramvia". www.comune.firenze.it (ภาษาอิตาลี). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-02. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Moovit Public Transit Index". moovitapp.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ Farrell, Helen (2023-07-27). "Work begins on Florence's ground-breaking future high-speed station". The Florentine (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Ferrovie.it - I festeggiamenti per i 10 anni del Museo Ferroviario di Suno". Ferrovie.it (ภาษาอิตาลี). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Portland State University Single Sign-On - Stale Request". sso.pdx.edu. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Renaissance -- Focus on Florence". www.learner.org (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-10-25. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Palace of Bargello (Bargello's Palace) - Florence, Italy". ItalyGuides.it (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ "Free Essay: Why Was Florence Considered Important for Culture and Arts? | Studymode". www.studymode.com. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
- ↑ www.brunelleschisdome.com https://www.brunelleschisdome.com/. สืบค้นเมื่อ 2025-06-13.
{{cite web}}
:|title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)