ทำเนียบรัฐบาลไทย
การแก้ไขบทความนี้ของผู้ใช้ใหม่หรือผู้ใช้ไม่ลงทะเบียนถูกปิดใช้งาน ดูนโยบายการป้องกันและปูมการป้องกันสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม หากคุณไม่สามารถแก้ไขบทความนี้และคุณประสงค์เปลี่ยนแปลง คุณสามารถส่งคำขอแก้ไข อภิปรายการเปลี่ยนแปลงทางหน้าคุย ขอเลิกป้องกัน ล็อกอิน หรือสร้างบัญชี |
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
ทำเนียบรัฐบาล เป็นสถานที่ราชการสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เนื่องจากเป็นสถานที่ทำงานของรัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตลอดจนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี, สถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี, สถานที่ต้อนรับบุคคลสำคัญระดับผู้นำต่างประเทศที่เดินทางเยือนประเทศไทย และเป็นสถานที่จัดรัฐพิธี เช่น งานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ เป็นต้น ตั้งอยู่เลขที่ 1 ถนนพิษณุโลก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 2 ไร่ 3 งาน 44 ตารางวา
ทำเนียบรัฐบาล | |
---|---|
ตึกไทยคู่ฟ้า | |
ชื่อเดิม | บ้านรสิงห์ |
ข้อมูลทั่วไป | |
ประเภท | สถานที่ราชการ |
สถาปัตยกรรม | นีโอกอทิกแบบเวนิส |
เมือง | แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร |
ประเทศ | ไทย |
พิกัด | 13°45′47″N 100°30′43″E / 13.763036°N 100.512076°E |
เริ่มสร้าง | พ.ศ. 2460 |
ผู้สร้าง | พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว |
เจ้าของ | สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี |
เว็บไซต์ | |
www |
ประวัติ
ทำเนียบรัฐบาล เดิมชื่อ "บ้านนรสิงห์" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแก่เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กและผู้บัญชาการกรมมหรสพ ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถวายงานใกล้ชิด โปรดให้เป็นหัวหน้าห้องพระบรรทม นั่งร่วมโต๊ะเสวยทั้งมื้อกลางวันและกลางคืนตลอดรัชกาล และตามเสด็จโดยลำพัง เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย
ชื่อบ้านนรสิงห์ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นชื่อพระราชทานหรือเจ้าของบ้านตั้งขึ้นเอง คาดว่าเนื่องจากเจ้าพระยารามราฆพเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกรมมหรสพ ซึ่งมีตราเป็นรูปนรสิงห์ อันเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์อวตารลงมาปราบยักษ์หิรัณยกศิปุ แต่เดิมเคยมีรูปปั้นนรสิงห์เต็มตัวตั้งอยู่กลางสนามหญ้าหน้าตึกไกรสร (ตึกไทยคู่ฟ้า) ปัจจุบันไม่ปรากฏว่าเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ใด
ต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2484 เจ้าพระยารามราฆพ เจ้าของบ้าน ได้มีหนังสือถึงปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอขายบ้านแก่รัฐบาลไทยในราคา 2,000,000 บาท เพราะเห็นว่าใหญ่โตเกินฐานะและเสียค่าบำรุงรักษาสูง แต่กระทรวงการคลังปฏิเสธ
ต่อมาในเดือนกันยายนปีเดียวกัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เห็นควรให้รัฐบาลไทยซื้อบ้านนรสิงห์ไว้เพื่อเป็นสถานที่รับรองแขกเมือง ในที่สุด ได้ตกลงซื้อขายกันในราคา 1,000,000 บาท โดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม พิชเยนทรโยธิน)) ได้อนุมัติภายใต้พระบรมราชานุญาตให้กระทรวงการคลังจ่ายเงินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แก่เจ้าพระยารามราฆพ แล้วมอบกรรมสิทธิ์บ้านนรสิงห์เป็นของสำนักนายกรัฐมนตรี
หลังจากนั้น จอมพล ป. จึงนำรัฐบาลย้ายทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาที่บ้าน 24 มิถุนา (ปัจจุบันคือพื้นที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2485 ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ทำเนียบสามัคคีชัย" และ "ทำเนียบรัฐบาล" ตามลำดับ ต่อมาในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ซื้อทำเนียบรัฐบาลจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยทำสัญญาซื้อขายกันในราคา 17,780,802.36 บาท[note 1] และได้รับโอนกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2512
ก่อนหน้านั้น คณะกรรมการราษฎร (ซึ่งมีสถานะเทียบเท่าคณะรัฐมนตรี) ได้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นสถานที่ปฏิบัติราชการร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร แม้ต่อมาคณะกรรมการราษฎรจะแปรสภาพเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 แล้ว แต่ยังคงใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นสถานที่ปฏิบัติราชการต่อไป จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีคำสั่งให้ย้ายสถานที่ปฏิบัติราชการมาที่วังปารุสกวัน เนื่องจากเป็นสถานที่หนึ่งที่คณะราษฎรเข้ายึดไว้เมื่อคราวเกิดการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และเป็นสถานที่พักของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นด้วย โดยใช้ชื่อว่า "สำนักนายกรัฐมนตรี วังปารุสกวัน" ต่อมา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 สำนักนายกรัฐมนตรีจึงย้ายสถานที่ปฏิบัติราชการมายังวังสวนกุหลาบที่อยู่ใกล้เคียงกับวังปารุสกวัน ซึ่งเป็นสถานที่หลังสุด ก่อนจะย้ายมายังทำเนียบรัฐบาลจนถึงปัจจุบัน
อาคารภายในทำเนียบรัฐบาล
ตึกไทยคู่ฟ้า
ชื่อไทยคู่ฟ้านี้ ตั้งขึ้นใหม่ในสมัยที่แปลกเป็นนายกรัฐมนตรี เดิมชื่อ ตึกไกรสร ตั้งมาจากพระนามเดิมของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ ต้นราชสกุลพึ่งบุญ ตึกนี้เป็นอาคารสูงสองชั้น สถาปัตยกรรมเป็นแบบฟื้นฟูกอทิกแบบเวเนเชียน (Neo Venetain Gothic) ที่มีศิลปะของไบเซนไทน์ผสม ผนังนกเจาะช่องโค้งปลายแหลมทรงสูง ประดับลวดลายปูนปั้น บางส่วนเขียนสีแบบปูนแห้ง (Fresco Secco) มีบันไดขึ้นด้านหน้า สู่ห้องโถงกลาง โดยบนระเบียงด้านหน้าหลังคา ชั้นดาดฟ้าตึก ซึ่งเป็นจุดเด่น หากมองจากหน้าตึก เป็นแท่นประดิษฐานรูปปั้นพระพรหม 4 พระพักตร์ 4 พระกร หน้าตักกว้าง 24 นิ้ว มีกำแพงคลาสสิกบังฐานด้านหน้า อัญเชิญขึ้นประดิษฐานเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2507
ภายในมีห้องต่าง ๆ ที่สวยงาม อีกทั้งตั้งชื่อไว้อย่างไพเราะ ประกอบด้วย
- ห้องโดมทอง - ตั้งอยู่ชั้นล่างของหอคอยทางทิศใต้ เป็นห้องพักแขกของนายกรัฐมนตรี
- ห้องสีงาช้าง - ตั้งอยู่ชั้นล่างด้านหน้าทางขวามือของห้องโดมทอง เป็นห้องรับรองแขกของนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ
- ห้องสีม่วง - ตั้งอยู่ชั้นล่างทางขวามือของตึก เป็นห้องรับรองแขกของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- ห้องสีเขียว - ตั้งอยู่ชั้นล่างถัดจากห้องสีม่วงทางทิศตะวันตก เป็นห้องประชุมคณะกรรมการต่าง ๆ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ชั้นบนประกอบด้วยห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ห้องทำงานข้าราชการการเมือง และห้องที่เคยใช้สำหรับประชุมคณะรัฐมนตรีแต่เดิม ทั้งนี้ เมื่อเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ปรับปรุงห้องทำงานบางส่วนเป็นห้องนอนและห้องน้ำสำหรับนายกรัฐมนตรีด้วย[1] อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่งของเขา ไม่มีการพักค้างคืนในทำเนียบรัฐบาลแต่อย่างใด[2]
ตึกนารีสโมสร
ชื่อนารีสโมสรนี้ ตั้งขึ้นใหม่ในสมัยที่แปลเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภริยานายกรัฐมนตรีใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรม เดิมชื่อตึกพระขรรค์ มีที่มาจากเจ้าพระยารามราฆพ เป็นมหาดเล็กผู้เชิญพระแสงขรรค์ชัยศรี หนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 6 ต่อมาในสมัยสฤษดิ์และถนอม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ตึกบริหาร นอกจากนี้ รัฐบาลยังใช้เป็นสถานที่แถลงข่าวในหลายโอกาส ปัจจุบันเป็นที่ทำการสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล
ตึกสันติไมตรี
เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมสองหลังคู่กัน ล้อมรอบสนามหญ้าและสระน้ำพุ ตรงกลางอาคารเปิดโล่ง มีระเบียงรอบ สามารถเดินถึงกันได้ โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมและการตกแต่งทั้งภายนอกภายในอาคารเช่นเดียวกับตึกไทยคู่ฟ้า
- ตึกสันติไมตรีหลังนอก - สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2497 ในสมัยที่แปลกเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงและรับรองแขกจำนวนมาก รวมทั้งประชุมสัมมนาของหน่วยราชการ ประกอบด้วยห้องรับรองใหญ่ ห้องรับรองเล็ก ห้องพักรอของนักแสดง/นักดนตรี และห้องควบคุมแสงเสียงหลังเวที อาคารหลังนี้ออกแบบโดยหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล
- ตึกสันติไมตรีหลังใน - สร้างขึ้นสมัยถนอมเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้ในกิจการเช่นเดียวกับหลังนอก เนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการจัดงานใหญ่ ประกอบด้วย ห้องโถงใหญ่ และห้องสีฟ้า ซึ่งเป็นห้องพักรับรองแขกของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อาคารหลังนี้ออกแบบโดยจิระ ศิลปกนก
ตึกบัญชาการหลังเก่า
เดิมเป็นที่ตั้งของ เรือนพลอยนพเก้า และ เรือนพราน ซึ่งใช้เป็นที่พักอาศัยสำหรับแขกของเจ้าพระยารามราฆพ โดยชื่อเรือนพรานนั้น มีที่มาจากเจ้าพระยารามราฆพเคยเป็นเสือป่าพรานหลวง ส่วนเรือนพลอยนพเก้า มีทั้งหมด 9 ห้อง แต่ละห้องตั้งชื่อตามอัญมณี 9 สี เคยใช้เป็นสำนักงานสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ต่อมาในสมัยที่สฤษดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้รื้อถอนเรือนทั้งสองเพื่อสร้างอาคารคอนกรีต สูง 5 ชั้น เข้ามุมตามแนวกำแพงเพื่อรักษารูปแบบเดิมของเรือนพลอยนพเก้าที่เป็นเรือนไม้ซึ่งสร้างโค้งตามมุมกำแพง เนื่องจากเห็นว่าเรือนพลอยนพเก้าไม่เหมาะกับการเป็นสถานที่ราชการ รวมไปถึงการมีหน่วยงานราชการสำคัญเพิ่มขึ้นโดยลำดับ จำเป็นต้องสร้างอาคารหลังใหม่เพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ตั้งชื่อว่าตึกบัญชาการเนื่องจากนายกรัฐมนตรีใช้เป็นสถานที่ในการบังคับบัญชาการทำงาน นอกจากนี้ ยังเคยเป็นที่ตั้งสำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นที่ตั้ง ห้องทำงานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานของหน่วยงานสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และห้องประชุมเล็ก
ตึกบัญชาการหลังใหม่
เดิมเป็นที่ตั้งของ ตึกสารทูล (ตึกขวาง) ตึกพึ่งบุญ ตึกบุญญาศรัย และ ตึกเย็น ซึ่งเป็นบ้านพักของครอบครัวเจ้าพระยารามราฆพ ต่อมา รัฐบาลได้ใช้กลุ่มตึกนี้เป็นที่ทำการของสำนักนายกรัฐมนตรี อีกทั้งเป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมครอบครัวด้วย ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ตึก 24 มิถุนายน เพื่อรำลึกถึงวันปฏิวัติสยาม ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2512 จึงเริ่มก่อสร้างอาคารคอนกรีตสูง 5 ชั้น เนื่องจากตึกเดิมมีความคับแคบ ประโยชน์ใช้สอยมีน้อย ไม่เพียงพอกับงานราชการที่ขยายตัวขึ้น เมื่อสร้างเสร็จ จึงได้ย้ายห้องทำงานนายกรัฐมนตรีมาที่ตึกหลังนี้ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งห้องทำงานรองนายกรัฐมนตรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานหน่วยงานสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี และห้องประชุมเล็ก
ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลังเก่า
เดิมเป็นที่ตั้งของ บ้านพักเจ้าพระยารามราฆพ ที่ทำการ และบ้านพักนายราชจำนงค์ ผู้ดูแลผลประโยชน์บ้านนรสิงห์ เป็นเรือนไม้สองชั้น ซึ่งมีอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2484 ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 รัฐบาลได้สร้างตึกสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องแบบสากลนิยมขึ้นเพื่อเป็นที่ทำการสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อมาเคยเป็นที่ทำการทบวงคณะรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองและกรมตรวจราชการแผ่นดิน ปัจจุบันเป็นอาคารที่ทำการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ตึกพัฒนา
เดิมเป็นที่ตั้งของ ตึกใจจอด ซึ่งเป็นตึกครึ่งไม้ สูงสองชั้น เป็นบ้านพักอาศัยของญาติหรือผู้ใกล้ชิดกับเจ้าพระยารามราฆพ ต่อมากลายเป็นบ้านพัก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ ถัดไปคือ ตึกทะเล เป็นบ้านพักอาศัยของญาติสนิทเจ้าพระยารามราฆพ ต่อมากลายเป็นบ้านพักและที่ทำการเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 รัฐบาลไทยสร้างอาคารสูง 3 ชั้น ด้วยทุนขององค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีอาโต้; SEATO) เพื่อใช้เป็นสถานที่ประชุมของซีอาโต้ และเป็นที่ตั้งของสำนักงานซีอาโต้ในประเทศไทย จนเมื่อซีอาโต้ย้ายออกไปแล้ว จึงใช้เป็นที่ทำการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจนถึงปัจจุบัน
- ตึกหกชั้น - เป็นอาคารต่อเนื่องของตึกพัฒนา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2511 เพื่อเป็นที่ทำการสำนักงบประมาณ ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 สำนักงบประมาณได้ย้ายออกไป จึงกลายเป็นที่ทำการของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจนถึงปัจจุบัน
ตึกสื่อมวลชน
สถานที่ทำงานของสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล เรียกกันว่า "รังนกกระจอก" ปัจจุบันมี 3 แห่ง คือ
- ตึกสื่อมวลชน หลังที่ 1 (ชื่อเรียก: รังฯ เก่า) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตึกไทยคู่ฟ้า เป็นตึกทรงแปดเหลี่ยม หลังคามุงกระเบื้อง เป็นสถานที่ทำงานของผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีและสถานีวิทยุ
- ตึกสื่อมวลชน หลังที่ 2 (ชื่อเรียก: รังฯ ใหม่) ตั้งอยู่ในพื้นที่ติดกับทางเข้าประตู 1 ภายในรั้วทำเนียบรัฐบาล และโรงเก็บรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี เป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคามุงกระเบื้อง ต่อเนื่องกับรังฯ สาม เป็นสถานที่ทำงานของผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส และที่พักผ่อนของช่างภาพนิ่ง กับช่างภาพโทรทัศน์
- ตึกสื่อมวลชน หลังที่ 3 (ชื่อเรียก: รังฯ สาม) ตั้งอยู่ถัดจากรังฯ ใหม่ ต่อเนื่องกับโรงเก็บรถ เป็นสถานที่ทำงานของผู้สื่อข่าวหน้าใหม่ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม รวมถึงผู้สื่อข่าวออนไลน์และนักข่าวดิจิทัล
ตึกภักดีบดินทร์
เดิมเป็นสนามหญ้า อยู่บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า ต่อมาปี พ.ศ. 2557 ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดำริให้สร้างอาคารเรือนรับรองหลังตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อใช้จัดประชุมและต้อนรับแขกของรัฐบาล โดยสร้างเป็นอาคารอเนกประสงค์คอนกรีต เสริมเหล็กชั้นเดียว หลังคาทรงผสมทรงปั้นหยา หลังคากระเบื้องซีเมนต์สังเคราะห์สีแดงกับทรงโดมประทับโมเสกสีทองมีความสูงจากพื้นถึงยอดโดม 16.61 เมตร กรมยุทธโยธาทหารบกเป็นผู้ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างตัวอาคารเป็นแบบศิลปะกอทิก โดยกรมศิลปากรเป็นผู้พิจารณารูปแบบอาคารและอนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้างบนพื้นที่ของทำเนียบรัฐบาล เมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ประยุทธ์ตั้งชื่อเป็นทางการว่า "ตึกภักดีบดินทร์" มีความหมายว่า ภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน อาคารหลังนี้ ก่อสร้างด้วยงบประมาณ 137 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี [3]
อาคารมีพื้นที่ใช้สอย 1,385 ตารางเมตร แบ่งเป็น 3 ห้อง โดยชื่อห้องทั้งหมด ประยุทธ์เป็นผู้ตั้งชื่อห้องเอง[4]
- ห้องโถงใหญ่ เป็นห้องรับรองสำหรับจำนวนไม่เกิน 150 คน ใช้สำหรับจัดประชุม งานเลี้ยงรับรอง และกิจกรรมอื่น ๆ[4][3]
- ห้องทองธารา เป็นห้องรับรองสำหรับจำนวนไม่เกิน 10 คน ภายใต้โดมสีทอง ตกแต่งภายในด้วยสีทอง ใช้สำหรับรับรองแขกของรัฐบาล[4]
- ห้องวนาสิริ เป็นห้องรับรองขนาดเล็กสำหรับจำนวนไม่เกิน 8 คน ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าชมพู[4]
ส่วนขยายทำเนียบรัฐบาล
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2530 คณะรัฐมนตรีมีมติให้บริเวณที่ตั้งส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ถนนราชดำเนินนอก ซึ่งเดิมตั้งอยู่ติดกับกำแพงทำเนียบรัฐบาลด้านทิศตะวันตกและมีคูน้ำกั้นกลาง รวมเข้าเป็นอาณาบริเวณของทำเนียบรัฐบาลด้วย ปัจจุบันเป็นที่ทำการหน่วยงานในสังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หน่วยงานในสังกัดสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลังใหม่
เป็นอาคาร 4 ชั้น รูปทรงโบราณ ทาสีแดง มีรูปแบบสถาปัตยกรรมและการตกแต่งอาคาร เช่นเดียวกับอาคารส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน ออกแบบโดยกรมศิลปากร สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2544 ปัจจุบันเป็นที่ทำการหน่วยงานในสังกัดสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ ยังมีห้องประชุมคณะรัฐมนตรีแห่งใหม่ ที่ย้ายมาจากชั้น 5 ตึกบัญชาการหลังใหม่ด้วย
หน่วยงานในทำเนียบรัฐบาล
เหตุการณ์สำคัญ
การบุกรุกเข้ายึดอาคารสถานที่
- 26 สิงหาคม - 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551 - กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บุกรุกเข้ายึดอาคารและสถานที่ต่าง ๆ ภายในทำเนียบรัฐบาลทั้งหมด เพื่อชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และต่อเนื่องจนถึงรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งทางกลุ่มอ้างว่าเป็นรัฐบาลตัวแทน ของทักษิณ ชินวัตร ส่งผลให้สมชายเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ซึ่งไม่สามารถเข้าทำงานภายในทำเนียบรัฐบาล ตลอดระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
- ↑ เป็นราคาที่คำนวณจากต้นทุนรับซื้อ บวกด้วยราคาซ่อมบำรุง คูณด้วย 15 แล้วลดราคาลงร้อยละ 20 ตามระเบียบราชการในสมัยนั้น
อ้างอิง
- ↑ "เปิดห้องนอน เศรษฐา ทวีสิน ได้ฤกษ์ 7 ม.ค. เข้าพักตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล". www.thairath.co.th. 2024-01-02.
- ↑ "ปิดฉากนายกฯ นอนทำเนียบ เศรษฐา ส่งคนเก็บของ-ขนเตียงออกแล้ว". THE STANDARD. 2024-08-19.
- ↑ 3.0 3.1 นายกฯ ถือฤกษ์ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 เปิดเรือนรับรองใหม่ 'ภักดีบดินทร์'
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 นายกฯเปิดตึก "ภักดีบดินทร์" ในทำเนียบ งบ 137 ล้านบาท
แหล่งข้อมูลอื่น
- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ ทำเนียบรัฐบาลไทย
- ภาพถ่ายดาวเทียมจากวิกิแมเปีย หรือกูเกิลแมปส์
- แผนที่จากลองดูแมป หรือเฮียวีโก
- ภาพถ่ายทางอากาศจากเทอร์ราเซิร์ฟเวอร์
13°45′47″N 100°30′43″E / 13.763036°N 100.512076°E
- เว็บไซต์รัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ
- สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เก็บถาวร 2006-04-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ภาพ และประวัติของอาคารภายในทำเนียบรัฐบาล
- มติชน คอลัมน์ รู้ไปโม้ด