สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ไทย)
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (อังกฤษ: Royal Thai Police) เป็นส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาไม่สังกัดกระทรวงใดและขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย[4] จัดตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2541 โดยเปลี่ยนจากกรมตำรวจ กระทรวงมหาดไทย[5] ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในบังคับบัญชาของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ Royal Thai Police | |
---|---|
เครื่องหมายราชการ | |
ตราอาร์ม | |
ธงประจำหน่วยงาน | |
อักษรย่อ | ตร. / RTP |
คำขวัญ | พิทักษ์สันติราษฎร์ |
ข้อมูลองค์กร | |
ก่อตั้ง | 13 ตุลาคม พ.ศ. 2403 |
หน่วยงานก่อนหน้า |
|
เจ้าหน้าที่ | ประมาณ 230,000 นาย[1][2] |
งบประมาณรายปี | 125,304,728,300 บาท (พ.ศ. 2568)[3] |
โครงสร้างเขตอำนาจ | |
หน่วยงานแห่งชาติ | ประเทศไทย |
เขตอำนาจในการปฏิบัติการ | ประเทศไทย |
แผนที่เขตอำนาจของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ | |
บัญญัติตราสาร |
|
สำนักงานใหญ่ | สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ถนนพระรามที่ 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร |
ได้รับเลือกเป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ |
|
ผู้บริหารหน่วยงาน |
|
หน่วยงานปกครอง | ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี |
สำนักงาน | 12
|
ส่วนภูมิภาค | 9
v2/AIzaSyB41DRUbKWJHPxaFjMAwdrzWzbVKartNGg
|
เว็บไซต์ | |
เว็บไซต์ของสำนักงาน |
สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีผู้บังคับบัญชาสูงสุดคือ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีโฆษกประจำสำนักงานฯ คือ พลตำรวจโท อาชยน ไกรทอง
ประวัติ
ชื่อเรียกตำรวจในไทย
ในช่วงแรก ตำรวจเรียกโดยคำทับศัพท์ว่า โปลิศ มาจากคำภาษาอังกฤษว่า Police สำหรับเรียกหน่วยตำรวจที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นระบบในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[6]
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งร้อยเอก แซมมวล โยเซฟ เบิร์ด เอมส์ (Capt. Samuel Joseph Bird Ames) เป็นผู้จัดตั้งกองโปลิศในปี พ.ศ. 2403 มีภารกิจในการรักษาความสงบภายในประเทศ แทนที่ตำแหน่งเดิมคือข้าหลวงกองจับ และกองตระเวนซ้ายขวา ซึ่งในช่วงเริ่มต้นได้มีการจ้างแขกมลายูและอินเดียมาเป็นตำรวจ เรียกว่ากองโปลิศคอนสเตเบิ้ล และค่อย ๆ เปลี่ยนมาใช้คนไทยในเวลาต่อมา[ต้องการอ้างอิง]
สำหรับอีกคำคือคำว่า พลตระเวน ซึ่งยังมีใช้งานปัจจุบันอยู่บนตราของตำรวจภูธร มาจากการแปลงคำเรียกตำรวจในภาษาอังกฤษ คำว่า COP ซึ่งย่อมาจาก Constable of Patrol แปลว่า ตำรวจลาดตระเวน หรือ พลตระเวน ซึ่งคำนี้ภายหลังใช้งานแทนชื่อเดิมเมื่อครั้งก่อตั้งคือกองโปลิศ และแบ่งออกเป็น 2 หน่วยตามหน้าที่ความรับผิดชอบ คือ กองพลตระเวน สังกัดกระทรวงนครบาล และกรมตำรวจภูธร สังกัดกระทรวงมหาดไทย[ต้องการอ้างอิง]
อีกคำที่เรียกตำรวจคือคำว่า หมาต๋า มาจากภาษาจีน ซึ่งแปลว่าตำรวจเช่นกัน โดยใช้เรียกโดยคนจีนในเกาะฮ่องกง และประเทศจีนทางตอนใต้ คำว่า มา หรือ หม่า แปลว่าชาวมุสลิม และคำว่า ต๋า หรือ ต๊า มาจากคำว่าตี โดยใช้เรียกชาวกุรข่าที่ทางการอังกฤษในยุคนั้นจ้างมาทำหน้าที่ตำรวจ จึงใช้เรียกชาวกุรข่าเหล่านั้นตามลักษณะและการทำหน้าที่[7]
ตำรวจก่อนปี พ.ศ. 2403
ตำรวจในยุคเริ่มต้นก่อนการจัดตั้งกองตำรวจสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด โดยจากหลักฐานที่พบ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถปกครองในรูปแบบของจตุสดมภ์ ซึ่งกิจการตำรวจแบ่งออกเป็นตำรวจพระนครบาล และตำรวจภูธร สังกัดอยู่กับเวียง และตำรวจหลวงสังกัดวัง จากนั้นในปี พ.ศ. 1918 ได้โปรดเกล้าตราให้ตำแหน่งตำรวจเป็นตำแหน่งนายพลเรือนเช่นเดียวกับข้าราชการฝ่ายอื่น คนที่ทำหน้าที่ตำรวจต้องคัดเลือกจากผู้สืบเชื้อสายตระกูลที่ประกอบคุณงามความดี จนได้รับความไว้วางใจ ขึ้นตรงการบังคับบัญชาตรงกับพระมหากษัตริย์และปฏิบัติงานในขอบเขตจำกัด[6]
พ.ศ. 2403 - 2475 พัฒนากิจการตำรวจ
ในยุครัตนโกสินทร์ สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการตั้ง ข้าหลวงกองจับ ซึ่งมีภารกิจคล้ายกับตำรวจ เรียกอีกชื่อว่า ตำรวจหวาย แต่งกายด้วยชุดพลเรือนพร้อมกับมัดหวาย ช่วยเหลือตุลาการในการทำงานคล้ายคลึงกับตำรวจในลอนดอนที่ชื่อว่า โบสตรีทรันเนอร์ส (Bow Street Runners) ซึ่งข้าหลวงกองจับที่ตั้งขั้นมานั้นไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งร้อยเอก แซมมวล โยเซฟ เบิร์ด เอมส์ (Capt. Samuel Joseph Bird Ames) มาจัดตั้งกองตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแบบยุโรปในปี พ.ศ. 2403 และจัดตั้งกองโปลิศคอนสเตบิล[8]
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กองโปลิศคอนสเตเบิลที่ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 นั้นยังมีกำลังพลไม่เพียงพอในการปฏิบัติงาน รวมถึงกำลังพลทั้งหมดยังคงเป็นชาวต่างชาติ ทำให้การสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับราษฎรในขณะนั้นยังเป็นปัญหาในการรักษาความสงบเรียบร้อย จึงได้ปรับปรุงกองตำรวจนั้นให้ทันสมัย ขยายพื้นที่ความรับผิดชอบไปทั่วทั้งมณฑลกรุงเทพ และพระราชทานนามว่า กองโปลิส และรับสมัครชาวไทยเข้าทำหน้าที่ตำรวจ และประกาศตรากฎหมายจำนวน 53 ข้อเพื่อกำหนดขอบเขตหน้าที่ รวมถึงกำหนดยศสำหรับสายการบังคับบัญชาตามรูปแบบของตะวันตก ประกอบไปด้วย[8]
- อินสเปกเตอร์ เยเนราล (Inspector General)
- ชิฟโปลิศ ออฟฟิเซอร์ ที่สอง (2nd Chief Police Officer)
- สายัน เมเยอร์ (Sergent Major)
- สายัน กอบปรัน (Sergent Corporal)
- คอนสเตเบอ (Constable)
ภายหลังการตรากฎหมายดังกล่าว ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ในปี พ.ศ. 2420 ว่า กองตะเวน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ (พระยศในเวลานั้น) เนื่องจากเคยเป็นทูตประจำประเทศอังกฤษ ทำให้มีความเข้าใจการปฏิบัติงานของตำรวจในอังกฤษจากการศึกษาดูงานมาช่วงดำรงตำแหน่ง โดยหลังจากได้รับตำแหน่ง ได้ปรับปรุงโครงสร้างการทำงานใหม่ให้มีความทันสมัย โดยแบ่งเป็น 2 หน่วยงานแยกจากกันอิสระ บังคับบัญชาโดยเจ้ากรม[8] คือ
- กองตระเวน ฝ่ายกองไต่สวนโทษหลวง (The Criminal Investigation Department) โดยยุบกองตระเวนซ้ายขวาเข้าด้วยกัน ตั้งเป็นกองตระเวนลับ เรียกอีกอย่างว่ากองตระเวนสอดแนม (Detective) ในทุก ๆ แขวง มีภารกิจในการพิจารณาไต่สวนความต่าง ๆ ชันสูตรพลิกศพ และการจับโจรผู้ราย
- กองตระเวน ฝ่ายกองรักษา (The Operation Department) โดยยุบรวมกองโปลิศน้ำและกองโบลิศบกเข้าด้วยกัน และแบ่งออกใหม่เป็น 2 หน่วย คือ กองตระเวนฝ่ายกองรักษากองชั้นใน มีภารกิจในการรักษาการณ์ตามท้องที่ต่าง ๆ ทุกแขวงในพระนคร และกองตระเวนฝ่ายกองรักษากองชั้นนอก มีหน้าที่รักษาการณ์ในท้องที่ลำคลองและทุ่งนาภายนอกเขตพระนคร
โดยมีการฝึกอบรมให้กับตำรวจใหม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย ข้อบังคับ และการฝึกระเบียบและอาวุธ ซึ่งมีอาวุธ 4 ชนิดคือ ปืนไรเฟิล ปืนสั้น ดาบ และกระบอง ห้ามใช้อาวุธในการจับผู้กระทำผิด นอกจากมีการต่อสู้ด้วยอาวุธ รวมถึงมีการกำหนดเครื่องแบบตามอย่างตำรวจประเทศอังกฤษ[8]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2435 ได้มีการปฏิรูปการปกครองของแผ่นดินให้มีความทันสมัยตามแบบตะวันตก จึงมีการโปรดเกล้าฯ ตั้งกระทรวงตามรูปแบบใหม่ทั้งหมด 12 กระทรวง และมอบหมายให้เสนาบดีเป็นหัวหน้าในแต่ละกระทรวง โดยกรมกองตระเวนนั้นเป็นกรมใหญ่ จึงให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ ซึ่งได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีประจำกระทรวงนครบาลได้ดูแลไปก่อน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์จึงได้กราบบังคมทูลให้ทรงว่าจ้างชาวต่างชาติที่มีประสบการณ์ในงานกองตระเวนมาดูแลกรมกองตระเวน จึงได้มีพระบรมราชานุญาตให้จ้าง มิสเตอร์เอ เย เอ ยาร์ดิน (อาร์เธอร์ จอห์น อเล็กซานเดอร์ ยาร์ดิน – Mr.Arthur John Alexander Jardine) ซึ่งเป็นข้าราชการประจำกองตระเวนอังกฤษในประเทศอินเดีย สังกัดกรมกองตระเวนเมืองพม่า ตำแหน่งเจ้ากรมแขวงผาปูน เมืองพม่า ซึ่งในขณะนั้นเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษได้ยินยอมให้มีการยืมตัวเป็นระยะเวลา 9 ปี เพื่อมารับตำแหน่ง ผู้บังคับการกองตระเวน (Chief Commissioner) เพื่อมาบริหารกรมกองตระเวน ในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2440[9]
จากนั้นมิสเตอร์ยาดินได้เสนอให้มีการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานและบังคับบัญชาใหม่ โดยยุบรวมกองตระเวนต่าง ๆ และจัดลำดับขั้นการบังคับบัญชา ให้มีอธิบดี (Inspector General) รองอธิบดี (Deputy Inspector General) เจ้ากรมแขวง (Superintendents of Divisions) ปลัดกรม (Assistant Superintendents) และสารวัตรใหญ่ (Chief Inspectors) ให้มีการจัดตั้งกองตระเวนม้าโดยคัดเลือกพลตระเวนชาวอินเดียมาทำหน้าที่ และเปลี่นยแปลงสีของเครื่องแบบเป็นสีกากีตามแบบกองตระเวนอินเดีย เนื่องจากสีน้ำเงินเดิมเมื่อใช้งานในเขตร้อนเมื่อเวลาผ่านไปสีจะซีด จัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ายามประจำการมีนกหวีด จัดหากุญแจมือและโซ่ล่ามผู้ต้องหาในแต่ละโรงพัก รวมถึงกำหนดเงินเดือนที่เพียงพอเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน[9]
ต่อมาได้ปรับปรุงหน่วยกองตระเวนชั้นนอก เนื่องจากมีพื้นที่รับผิดชอบที่กว้างขวางมาก โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน โดยใช้แนวคลองแสนแสบและคลองภาษีเจริญเป็นเส้นแบ่งเขตแนวรับผิดชอบ ประกอบไปด้วย กองตระเวนชั้นนอก แขวงฝ่ายเหนือ และกองตระเวนชั้นนอก แขวงฝ่ายใต้[9]
ก่อนหน้านั้นในส่วนภูมิภาคไม่มีตำรวจเป็นของตนเอง หน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยจึงเป็นของเจ้าเมือง โดยมีกรมการเมือง นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ช่วยในการรักษาความสงบ และเมื่อเกินความสามารถก็มีการตั้งกองตระเวนเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อควบคุมสถานการณ์เหล่านั้นเป็นการชั่วคราวด้วยเงินภาษีของเมือง และเกณฑ์กำลังพลจากในเมืองเอง ในปี พ.ศ. 2440 หลังจากการยกฐานะกองตระเวนขึ้นเป็นหน่วยงานระดับกรมมาแล้ว 5 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอลเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งกรมตำรวจภูธรขึ้น มอบหมายให้ ร้อยเอก ยี เชา (G. Schau) หรือหลวงศัลวิธานนิเทศ ซึ่งเป็นนายทหารจากกรมมหาดเล็กรักษาพระองค์ ทำหน้าที่เป็นเจ้ากรมตำรวจภูธร สังกัดกระทรวงมหาดไทยที่มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ (ยศขณะนั้น) ดำรงตำแหน่งเสนาบดี[9]
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2453 ได้มีการโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราเครื่องหมายโล่กับดาบ เป็นเครื่องหมายประจำกรมพลตระเวน และในปี พ.ศ. 2454 ได้ทรงอนุญาตให้ใช้ ตราพระแสงดาบเขนและโล่ เพื่อประกอบที่บริเวณมุมธงประจำกรมตำรวจภูธร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน[10]
นอกจากนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้จัดตั้งกรมนักสืบขึ้นมา (C.I.D) และให้รวมเจ้าหน้าที่มาส่วนหนึ่งเพื่อจัดตั้งกรมที่ชื่อว่า ตำรวจภูบาล สังกัดกรมตำรวจภูธร มีภารกิจในการช่วยเหลือตำรวจท้องที่สืบสวนปราบปรามความไม่สงบและงานในสายวิทยาการ[11] ต่อมาเนื่องจากงบประมาณและการบังคับบัญชาที่แยกออกจากกัน ทำให้การบริหารจัดการกิจการตำรวจเกิดความยากลำบาก จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบรวมกรมตำรวจภูธรและกรมกองตระเวนเข้าด้วยกัน แล้วเรียกว่า กรมตำรวจภูธรและกรมพลตระเวน[11] ในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2458[11] และมอบหมายให้ พลโท พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดี และให้ขึ้นตรงต่อกระทรวงนครบาล ที่ดูแลโดยเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ที่เป็นเสนาบดี[12] และในช่วงปลายปีได้เปลี่ยนแปลงชื่อเป็น กรมตำรวจภูธรและกรมตำรวจนครบาล[13]
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการรื้อฟื้นตำรวจภูบาลอีกครั้งหลังจากสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ กลับเข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองในฐานะอภิรัฐมนตรี เพื่อปฏิบัติการอีกครั้ง โดยเป็นหน่วยที่ปฏิบัติงานด้านการข่าวในทางการเมือง ซึ่งในขณะนั้นมีข่าวเกี่ยวกับการเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มบอลเชวิคในรัสเซียช่วงปี พ.ศ. 2460 ทำให้มีความกังวลว่าจะมีการเคลื่อนไหวดังกล่าวในประเทศไทย[11]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2465 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบรวมกระทรวงนครบาลกับกระทรวงมหาดไทยเข้าด้วยกัน เหลือเพียงกระทรวงมหาดไทย กรมตำรวจภูธรและกรมตำรวจนครบาล จึงได้ย้ายมาสังกัดต่อกระทรวงมหาดไทย จากนั้นในปี พ.ศ. 2469 ได้เปลี่ยนชื่อ กรมตำรวจภูธรและกรมตำรวจนครบาล เป็น กรมตำรวจภูธร[14] โดยยังแบ่งโครงสร้างภายในเป็น 2 ส่วนเช่นเดิม คือตำรวจภูธร และตำรวจนครบาล[13]
พ.ศ. 2475 - 2541 กรมตำรวจ
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะกรรมการราษฎรได้มีการเสนอญัตติให้สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาการจัดวางโครงการกรมตำรวจในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 แถลงญัตติโดย พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) ภายหลังการประชุม ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 ได้มีการประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ กรมตำรวจภูธร เป็น กรมตำรวจ[11] โดยมีตำแหน่งอธิบดี และมีรองอธิบดีเป็นผู้ช่วย และแบ่งโครงสร้างในขณะนั้นออกเป็น 4 ส่วนด้วยกันคือ
- กองกำกับการ
- ตำรวจนครบาล
- ตำรวจภูธร
- ตำรวจสันติบาล สนับสนุนการทำงานของตำรวจนครบาลและภูธร โดยตำรวจสันติบาลนี้เองมีภารกิจและหน้าที่เช่นเดียวกับตำรวจภูบาลในช่วงก่อนหน้า[11]
ในทางการเมืองขณะนั้น ตำรวจไม่ได้มีบทบาทใดเลยในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเริ่มกลับมามีบทบาทอีกครั้ง หลังการรัฐประหารโดย พลตรี เผ่า ศรียานนท์ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 และได้โอนจากทหารเข้ามาคุมกรมตำรวจ ได้รับยศพลตำรวจเอก และพัฒนากรมตำรวจอย่างก้าวกระโดดจนเทียบเท่าเหล่าทัพหนึ่งในขณะนั้น[15][16] ซึ่ง พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ได้มีประโยคที่สร้างการจดจำภาพลักษณ์ของตำรวจมาจนถึงทุกวันนี้คือ
ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ในทางที่ไม่ขัดศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม และกฎหมายบ้านเมือง[16]
หลังจากนั้นตำรวจได้กลายเป็นเหมือนเครื่องมือทางการเมืองชิ้นหนึ่งของผู้มีอำนาจ ในการใช้แสวงหาและใช้ในการรักษาฐานอำนาจ โดยฝ่ายการเมืองนั้นสามารถที่จะควบคุมการทำงานของตำรวจผ่านการควบคุมผู้นำองค์กรและแทรกแซงการบริหารงานบุคคลของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาโดยตลอด ทั้งจากฝั่งของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และนายทหารที่มาจากการรัฐประหาร[17]
พ.ศ. 2541 - ปัจจุบัน
ในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2541 กรมตำรวจ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ได้ถ่ายโอนไปขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี และเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ[18] โดยหลังการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ได้มีการกราบทูลเชิญสมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นประธานในการทำพิธีเจิมป้ายชื่อใหม่ โดยมี พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนแรกเข้าร่วมในพิธีดังกล่าวด้วย[19]
ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติแบ่งโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 และกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 โดยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและแก้ไขเพิ่มเติมอยู่ตลอด เพื่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ[ต้องการอ้างอิง]
สถานภาพหน่วยงาน พันธกิจ ภารกิจและอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นส่วนราชการระดับกรมมีฐานะเป็นนิติบุคคลขึ้นการบังคับบัญชาโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรี โดยไม่อยู่ในสังกัดกระทรวงใด ๆ หรือสำนักนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
- รักษาความปลอดภัยต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์ และพระราชอาคันตุกะ
- ดูแลควบคุมและกำกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจซึ่งปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
- ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางอาญา
- รักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของราชอาณาจักร
- ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของข้าราชการตำรวจหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- ช่วยเหลือการพัฒนาประเทศ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
- ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้การปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ ตามข้อ 1, 2, 3, 4 หรือ 5 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ตามที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติ มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547[20]
หน่วยงานในสังกัดตำรวจ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แบ่งหน่วยงานในสังกัดตามรูปแบบการปฏิบัติงาน[21] ประกอบไปด้วย
ส่วนบังคับบัญชา
- สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ (สยศ.ตร.)
- สำนักงานส่งกำลังบำรุง (สกบ.)
- สำนักงานกำลังพล (สกพ.)
- สำนักงานงบประมาณและการเงิน (สงป.)
- สำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.)
- สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (สง.ก.ตร.)
- สำนักงานจเรตำรวจ (จต.)
- สำนักงานตรวจสอบภายใน (สตส.)
- สำนักงานเลขานุการตำรวจแห่งชาติ (สลก.ตร.)
- กองการต่างประเทศ (ตท.)
- กองสารนิเทศ (สท.)
- สำนักงานคณะกรรมการนโนบายตำรวจแห่งชาติ (สง.ก.ต.ช.)
- กองบินตำรวจ (บ.ตร.)
- กองวินัย (วน.)
- สถาบันฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย (ILEA)[22]
ส่วนป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
- กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ตั้งอยู่ถนนศรีอยุธยา แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
- ตำรวจภูธรภาค 1 (ภ.1) ตั้งอยู่ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
- ตำรวจภูธรภาค 2 (ภ.2) ตั้งอยู่ตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี
- ตำรวจภูธรภาค 3 (ภ.3) ตั้งอยู่ถนนสรรพสิทธิ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
- ตำรวจภูธรภาค 4 (ภ.4) ตั้งอยู่ถนนหน้าเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
- ตำรวจภูธรภาค 5 (ภ.5) ตั้งอยู่ถนนมหิดล ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
- ตำรวจภูธรภาค 6 (ภ.6) ตั้งอยู่ตำบลมะตูม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก
- ตำรวจภูธรภาค 7 (ภ.7) ตั้งอยู่ถนนข้างวัง ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม
- ตำรวจภูธรภาค 8 (ภ.8) ตั้งอยู่ที่ถนนเทพกระษัตรี ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
- ตำรวจภูธรภาค 9 (ภ.9) ตั้งอยู่ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
ส่วนสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
- กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ตั้งอยู่ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
- กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ตั้งอยู่ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
- กองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.)
- สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.)
- กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.) ตั้งอยู่ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร
- สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.)
- สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สทส.)
- กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.)[23]
ส่วนการศึกษา
- กองบัญชาการศึกษา (บช.ศ.)
- โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รร.นรต.) ตั้งอยู่ตำบลสามพราน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
ส่วนบริการ
- โรงพยาบาลตำรวจ (รพ.ตร.)
- กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท.)
หน่วยงานอื่น ๆ
- โรงพิมพ์ตำรวจ
- กองทุนเพื่อการสืบสวนและการสอบสวนคดีอาญา
- ศูนย์บริการข้อมูลคนหายและศพนิรนาม
- ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย[24]
- สายด่วนรถหาย
- ศูนย์ติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5
- ศูนย์รักษาความปลอดภัย และความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกตั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศลต.ตร.)
- ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เครื่องแบบ
เครื่องแบบของตำรวจไทย ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอังกฤษ[6] โดยในช่วงแรกตำรวจไทยแต่งกายด้วยเสื้อสีน้ำเงิน กางเกงตามสมัย และสวมหมวกยอด (Helmet) ต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นสีกากีตามความต้องการของ มิสเตอร์เอ เย เอ ยาร์ดิน ผู้บัญชาการตำรวจคนแรกของไทย เนื่องจากสีน้ำเงินเมื่อใช้นานไปสีจะซีด ทำให้มีโทนสีที่ไม่สม่ำเสมอกัน[9]
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการพระราชทานสีของเครื่องแบบใหม่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือสี สนว.01 เนื่องจากสีกากีเดิมที่ใช้งานอยู่มีหลายเฉดสี ไม่มีสีมาตรฐาน โดย พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเปลี่ยนแปลงเครื่องแบบในการปฏิบัติงานให้เป็นสีดังกล่าวภายในระยะเวลา 3 เดือน[25] และเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายต้องตัดผมสั้นเกรียน โดยเรียกกันอย่างลำลองว่า ต้องขาวสามด้าน[26] เพื่อความมีระเบียบวินัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงเครื่องแบบสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายป้องกันปราบปราม[27] เพื่อความคล่องแคล่วในการปฏิบัติงาน โดยเปลี่ยนเครื่องหมายเป็นผ้า จากเดิมเป็นโลหะ และเปลี่ยนเนื้อผ้าให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการป้องกันปรามปรามอาชญากรรม[28] โดยเริ่มนำร่องใช้งานในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นพื้นที่แรก
-
หมวกกันน็อคตำรวจจราจร
-
หมวกตำรวจทรงหม้อตาล
-
เครื่องแบบปกติขาวของข้าราชการตำรวจ (ซ้าย)
-
เครื่องแบบกากีคอแบะ
-
นายตำรวจปกครอง โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
-
เครื่องแบบตำรวจสีกากีแบบเก่า
-
เครื่องแบบสนามตำรวจตระเวนชายแดน
-
เครื่องแบบหน่วยเก็บกู้และตรวจสอบระเบิดตำรวจ
-
เครืองแบบควบคุมฝูงชน บก.อคฝ.
-
เครื่องแบบสี สนว.01
-
เครื่องแบบสนามหน่วยปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธร
-
เครื่องแบบปกติกากีคอแบะ (ตำรวจ)
พาหนะ
พาหนะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกอบด้วยพาหนะที่หลากหลาย ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยน อากาศยานปีกหมุนและปีกตรึง รวมถึงเรือตรวจการณ์ ตามภารกิจและหน้าที่ของตำรวจหน่วยนั้น โดยใช้สีพื้นฐานของพาหนะเป็นสีเลือดหมู ซึ่งเป็นสีประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติประดับอยู่บนยานพาหนะ
ในอดีตรถตำรวจท้องที่จะเป็นรถสีเลือดหมูในพื้นที่ตำรวจภูธร และสีดำในพื้นที่ตำรวจนครบาล แล้วคาดสีขาวในช่วงกลางของรถ แต่ปัจจุบันรถตำรวจท้องที่จะใช้สีเดิมของรถ (ส่วนใหญ่สีบรอนซ์เงิน) และคาดแถบสีแดงเลือดหมูขอบดำบนแนวยาวของรถ พร้อมอักษรบอกสังกัดตอนท้ายของรถ[29] สำหรับรถยนต์นั้นปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการใช้งานทั้งในรูปแบบของการซื้อขาดเป็นทรัพย์สินของทางราชการ[30] และในรูปแบบของการเช่าใช้งานโดยกำหนดระยะเวลา[31]
-
รถกระบะตำรวจในรูปแบบสีปัจจุบัน คือสีแดงเลือดหมูคาดแนวยาวบนสีเดิมของรถ
-
รถนำขบวนของกองบังคับการตำรวจจราจร
-
รถกระบะของตำรวจทางหลวง
-
รถยนต์ของสำนักตรวจคนเข้าเมือง
-
รถยนต์ของกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน
-
รถกระบะตำรวจสีรูปแบบเก่า คือสีแดงเลือดหมูคาดสีขาว
-
รถควบคุมผู้ต้องหา
-
รถยนต์โตโยต้าแคมรี่ VVTi ของตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ
-
รถตู้หน่วยเก็บกู้ระเบิดตำรวจ
-
รถกระบะของตำรวจท่องเที่ยว
-
รถตุ๊ก ๆ ของตำรวจจราจรเชียงใหม่
-
ตราของกองปราบปรามบนประตูรถตำรวจ
-
จักรยานยนต์ไทเกอร์ บ็อกเซอร์
-
จักรยานยนต์ฮอนด้า ซีบีอาร์ 300 อาร์
-
เรือของกองบังคับการตำรวจน้ำ หมายเลข 707
-
อากาศยานปีกตรึงของกองบินตำรวจ
-
อากาศยานปีกหมุนของกองบินตำรวจ
อาวุธปืน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีปืนประจำกายไว้ให้ตำรวจใช้งาน[32] แต่ปืนเหล่านั้นมีจำนวนไม่เพียงพอต่ออัตราและความต้องการใช้งานของเจ้าหน้าที่[33] รวมถึงมีความล้าสมัย และระเบียบที่ยุ่งยากในการดูแลรักษา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนใหญ่มักซื้ออาวุธปืนประจำกายใช้เอง ผ่านโครงการจำหน่ายปืนสวัสดิการข้าราชการตำรวจซึ่งมีราคาต่ำกว่าท้องตลาด[33] ซึ่งถึงแม้ว่าปืนประจำกายในโครงการดังกล่าวจะมีราคาต่ำกว่าท้องตลาด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายยังคงต้องกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์มาเพื่อซื้อปืนประจำกาย และผ่อนชำระเอากับสหกรณ์ในภายหลัง[34]
สำหรับอาวุธปืนประเภทอื่น ๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการจัดหาไว้ประจำการสำหรับใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ ตามความจำเป็นของแต่ละหน่วย โดยในระหว่างปี พ.ศ. 2558 - 2564 สัดส่วนการจัดหาอาวุธของกองสรรพาวุธ สำนักส่งกำลังบำรุง มีอัตราการจัดหาอาวุธสูงสุดคือ ปืนลูกซอง ปืนพก ปืนเล็กยาว และประเภทปืนที่ได้รับงบประมาณสูงที่สุดคือ ปืนเล็กยาว ปืนลูกซอง ปืนกลมือ[35] โดยอาวุธปืนพื้นฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ในอดีตคือ ปลย.11[36] ปัจจุบันได้มีการจัดหาอาวุธปืนเล็กสั้นแบบ เอ็ม 4[37][38] ให้ตำรวจท้องที่ได้ใช้งานตามสถานการณ์และความจำเป็นต่าง ๆ และอาวุธปืนกลมือและปืนเล็กยาวจู่โจมสำหรับหน่วยปฏิบัติการพิเศษต่าง ๆ[39]
นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดหาอาวุธปืนชนิดพิเศษต่าง ๆ สำหรับใช้ในการรักษาความสงบ อาทิ ปืนควบคุมฝูงชนแบบ FN 303[40] ในกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ปืนช็อตไฟฟ้า[41][42] สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจในการระงับเหตุต่าง ๆ[40]
ภาพ | แบบ | ชนิด | ขนาดลำกล้อง | ที่มา | หมายเหตุ | |
---|---|---|---|---|---|---|
ปืนพก | ||||||
เอ็ม 1911 | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | .45 เอซีพี | สหรัฐ ไทย | ปืนพกเอ็ม1911เอ1 ของไทยผลิตภายใต้ใบอนุญาต ในประเทศนี้รู้จักในฐานะปืนพก แบบ 86 (ปพ.86) | ||
เฮคเลอร์แอนด์คอช ยูเอสพี | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | .45 เอซีพี | เยอรมนี | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | ||
เอชเอส 2000 | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | โครเอเชีย | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261[43] | ||
ซีแซด 75 | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | สาธารณรัฐเช็ก | |||
เบเรตตา 92 | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | อิตาลี | ใช้ในตำรวจนครบาลและตำรวจจราจร | ||
เบเรตตา เอ็มเม1951 | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | อิตาลี | |||
เบเรตตา ปีx4 สตอร์ม | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | อิตาลี | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | ||
บราวนิง ไฮ-พาวเวอร์[44] | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | เบลเยียม | |||
ซิก ซาวเออร์ พี 226[45] | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | เยอรมนี | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | ||
ซิก ซาวเออร์ เพ320เอสเพ | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | เยอรมนี | ปืนพกหลักมาตรฐาน | ||
กล็อก 17[46] | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | ออสเตรีย | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | ||
แอฟแอ็น ไฟฟ์-เซเวน | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ | แอฟแอ็น 5.7×28 มม. | เบลเยียม | |||
ปืนลูกซอง | ||||||
เรมิงตัน โมเดล 870 | ปืนลูกซอง | 12 เกจ | สหรัฐ | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | ||
มอสเบิร์ก 500 | ปืนลูกซอง | 12 เกจ | สหรัฐ | |||
ฟรันกี เอ็สเซปีอาเอ็สเซ-12 | ปืนลูกซอง | 12 เกจ | อิตาลี | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | ||
ปืนกลมือ | ||||||
เฮคแลร์อุนด์คอค เอ็มเพ5 | ปืนกลมือ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | เยอรมนี | ปัจจุบันถูกลดสถานะเป็นอาวุธสำรองราชการของหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 และถูกแทนที่โดย ซิก ซาวเออร์ เอ็มพีเอกซ์ เนื่องจากการบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติการ และลดภาระในการบำรุงรักษา | ||
เฮ็คเลอร์อุนท์ค็อค อูเอ็มเพ | ปืนกลมือ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | เยอรมนี | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | ||
เฮคแลร์อุนด์คอค เอ็มเพ7 | ปืนกลมือ | ฮาคา 4.6×30 มม. | เยอรมนี | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | ||
ซิก ซาวเออร์ เอ็มพีเอกซ์ | ปืนกลมือ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | สหรัฐ เยอรมนี | ปืนกลมือหลักมาตรฐานของหน่วยปฏิบัติการพิเศษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ | ||
เอฟเอ็น พี90 | ปืนกลมือ | 5.7x28 มม. | เบลเยียม | ปืนกลมือเอฟเอ็น พี90 ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | ||
อูซี | ปืนกลมือ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | อิสราเอล | ใช้ในตำรวจสันติบาล | ||
คริสเวกเตอร์ | ปืนกลมือ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | สหรัฐ | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | ||
ซีแซด สกอร์เปียน อีโว 3 | ปืนกลมือ | 9×19 มม. พาราเบลลัม | เช็กเกีย | ปืนกลมือหลักมาตรฐาน | ||
ปืนเล็กยาวจู่โจม | ||||||
เอ็ม 16 | ปืนเล็กยาวจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | สหรัฐ | ใช้ในตำรวจตระเวนชายแดนเป็นหลัก และใช้งานโดยตำรวจท้องที่บางส่วน | ||
เอ็ม 4 คาร์ไบน์ | ปืนเล็กสั้นจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | สหรัฐ | รุ่นยิง 3 นัดส่วนใหญ่มักจะใช้ตำรวจท้องที่เป็นหลักโดยมีตราสำนักงานตำรวจแห่งชาติประทับไว้บนด้านขวาของโครงปืนส่วนล่างเพื่อป้องกันการโจรกรรม แต่อย่างไรก็ตามยังมีรุ่น 3 นัดยังมีใช้บางส่วนในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 อยู่บ้างซึ่งส่วนใหญ่แล้วอรินทราช 26 และ นเรศวร 261 จะใช้ เอ 1 เป็นหลัก | ||
แอฟแอ็น แอฟอาแอล | ปืนเล็กกล และปืนเล็กยาว | 7.62×51 มม. นาโต | เบลเยียม | แต่ยังมีใช้งานบางส่วนของตำรวจตระเวนชายแดนและตำรวจท้องที่ และมีชื่อราชการ คือ ปลย./ปลก. 05 | ||
แอฟแอ็น ซีอาแอล | ปืนเล็กกล และปืนเล็กยาว | 5.56×45 มม. นาโต | เบลเยียม | แต่ยังมีใช้งานบางส่วนของตำรวจตระเวนชายแดนและตำรวจท้องที่ และมีชื่อราชการ คือ ปลย./ปลก. 14 | ||
เฮคเลอร์แอนด์คอช เอชเค 33 | ปืนเล็กยาวจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | เยอรมนี | ส่วนใหญ่ปลดประจำการแล้วปัจจุบันใช้เป็นปืนในพิธีทบทวนคำปฏิญาณและสวนสนามในวันตำรวจ และยังมีใช้อยู่ในบางหน่วยอยู่บ้าง | ||
G36C | เฮคเลอร์แอนด์คอช จี 36 |
|
5.56×45 มม. นาโต | เยอรมนี | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษนเรศวร 261 | |
เบเร็ตตา เออาร์เอ็ก 160 | ปืนเล็กสั้นจู่โจม | 5.56×45 มม. นาโต | อิตาลี | ใช้ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 | ||
ปืนปราบจลาจล | ||||||
เอฟเอ็น 303 | ปืนปราบจลาจล | 17.3 มม. (0.68 นิ้ว) | เบลเยียม | ใช้ในกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน | ||
ปืนช็อตไฟฟ้า | ||||||
ไททั่น 86 | อาวุธช็อกไฟฟ้า | ไต้หวัน | ใช้ในกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ[47] | |||
เทเซอร์ เอกซ์ 2 | อาวุธช็อกไฟฟ้า | สหรัฐ | ใช้ในการระงับเหตุในตำรวจท้องที่[42] |
วันตำรวจ
วันตำรวจ | |
---|---|
พิธีถวายคำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามเนื่องในวันตำรวจ | |
จัดขึ้นโดย | ไทย |
ความสำคัญ | วันตั้ง "กรมตำรวจ" |
การถือปฏิบัติ |
|
วันที่ | 17 ตุลาคม |
ความถี่ | ทุกปี |
วันตำรวจ เดิมตรงกับวันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เนื่องจากวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2458 เป็นวันประกาศรวม "กรมพลตระเวน" กับ "กรมตำรวจภูธร" เป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า "กรมตำรวจ" จึงถือเอาวันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี[11] ในปี พ.ศ. 2494 พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้นได้จัดให้มีพิธีเดินสวนสนาม[15] และปฏิบัติต่อเนื่องมาจนถึง พ.ศ. 2500 หลังจากนั้นได้ระงับการจัดพิธีเดินสวนสนามที่เป็นการรวมหน่วยทุกหน่วยของตำรวจ ประกอบแต่พิธีทางศาสนาและกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพียงอย่างเดียว
ต่อมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้อนุมัติหลักการให้มีการจัดพิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามเนื่องในวันตำรวจ ณ ลานฝึกศรียานนท์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ โดยการสนธิกำลังนักเรียนนายร้อยตำรวจร่วมกับข้าราชการตำรวจจากกองบัญชาการต่าง ๆ ในทุก ๆ ปี ทั้งนี้โดยเชิญธงชัยประจำหน่วยตำรวจเข้าร่วมในพิธีจำนวน 6 ธง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน[48][49] รวมถึงได้มีการจัดการสวนสนามของตำรวจในจังหวัดต่าง ๆ ในวันนี้ด้วย[50]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 มีการเปลี่ยนแปลงวันตำรวจเป็นวันที่ 17 ตุลาคมของทุกปี โดยยึดตามวันที่มีการเปลี่ยนแปลงจากกรมตำรวจเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2541[51][52]
และอันเนื่องมาจากวันที่ 13 ตุลาคม ตรงกับวันนวมินทรมหาราช อันตรงกับวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ The partisan history of police power in Thailand https://www.newmandala.org/the-partisan-history-of-police-power-in-thailand/
- ↑ POLICE IN THAILAND https://factsanddetails.com/southeast-asia/Thailand/sub5_8f/entry-3283.html
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘, เล่ม ๑๔๑ ตอนที่ ๕๙ ก หน้า ๘๒, ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗
- ↑ "พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-11-12. สืบค้นเมื่อ 2018-01-15.
- ↑ พระราชกฤษฎีกาโอนกรมตำรวจ กระทรวงมหาดไทยไปจัดตั้งเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๑
- ↑ 6.0 6.1 6.2 ศิลปวัฒนธรรม (2021-08-25). "ตำรวจคนแรกในไทย (สมัยรัตนโกสินทร์) ตร.ยุคต้นโดนชาวบ้านล้อ-แกล้ง ก่อนเป็นกิจการเต็มสูบ". ศิลปวัฒนธรรม.
- ↑ "ขอติง"รองฯปุระชัย"นิยาม"หมาต๋า"เพี้ยน!". mgronline.com. 2004-11-23.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 มติชนสุดสัปดาห์ (2021-04-02). "การรักษาความสงบเรียบร้อย ในรัชสมัย รัชกาลที่ 5 / บทความพิเศษ "นอกเครื่องแบบ"". มติชนสุดสัปดาห์.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 มติชนสุดสัปดาห์ (2021-04-09). "การเดินทางของตำรวจไทย (6) กองตระเวน ภายใต้การควบคุมของมิสเตอร์ยาร์ดิน / บทความพิเศษ "นอกเครื่องแบบ"". มติชนสุดสัปดาห์.
- ↑ "ร.๕ มหากษัตริย์ผู้สร้าง'ปึกแผ่น' แก่ตำรวจไทย ตอน ๔". dailynews. 2016-12-11.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 Silpa-1 (2022-03-06). "เบื้องหลังคณะราษฎรตั้ง "ตำรวจสันติบาล" และบทบาทตร.สาขาพิเศษในการเมืองหลัง 2475". ศิลปวัฒนธรรม.
- ↑ มติชนสุดสัปดาห์ (2021-04-14). "การเดินทางของตำรวจไทย / บทความพิเศษ "นอกเครื่องแบบ"". มติชนสุดสัปดาห์.
- ↑ 13.0 13.1 "ตำรวจที่อยากรู้จัก". www.thairath.co.th. 2021-08-30.
- ↑ "ยินดีต้อนรับสู่ ห้องสมุด กศน. อำเภอฝาง". cmi.nfe.go.th.
- ↑ 15.0 15.1 แจ๊ค (2022-02-09). "อนุสาวรีย์ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์".
- ↑ 16.0 16.1 "ตำรวจคือฐานอำนาจสำคัญ ทหารจึงไม่อยากปฏิรูป". สยามรัฐ. 2021-09-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-06-26. สืบค้นเมื่อ 2022-05-17.
- ↑ "เปิดแฟ้มปฏิรูป 'ตำรวจไทย' ภายใต้ 2 ทศวรรษแห่งความยุ่งเหยิง". www.tcijthai.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "17 ตุลาคม วันตำรวจ". THE STANDARD. 2020-10-16.
- ↑ "เปิดประวัติป้ายชื่อ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ความภาคภูมิใจ-เกียรติภูมิองค์กร (ชมคลิป)". www.thairath.co.th. 2014-01-30.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา. พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 เก็บถาวร 2022-06-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เล่ม 121 ตอนที่ 18 ก วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2547, หน้า 1-46
- ↑ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ - หน่วยงานในสังกัด (royalthaipolice.go.th)
- ↑ "สถาบันฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กรุงเทพฯ (ILEA Bangkok) จัดการประชุมประจำปีคณะกรรมการร่วมสหรัฐอเมริกา-ไทย". สถานทูตสหรัฐฯและสถานกงสุลในประเทศไทย. 2017-05-31.
- ↑ "กองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ แยกหน่วยใหม่อีก 3 ด.เสร็จ ตร. 1,700 นายกระจายทั่วประเทศ". workpointTODAY.
- ↑ "ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติ รวบ 2 แก๊งต่างชาติรัสเซีย-จีน". mgronline.com. 2021-03-22.
- ↑ "ผบ.ตร.โชว์เครื่องแบบใหม่ "สีสนว.01" สั่งตร.ทั่วประเทศเปลี่ยนใน 3 เดือน". workpointTODAY.
- ↑ ""ขาวสามด้าน" ทรงเก่ามาเล่าใหม่". BBC News ไทย. สืบค้นเมื่อ 2022-05-17.
- ↑ "โฆษก ตร.เผยเครื่องแบบสนามใหม่ สายปราบปราม คล่องตัว ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ". www.thairath.co.th. 2021-12-28.
- ↑ matichon (2021-12-28). "เปิดภาพ "เครื่องแบบสนาม" ใหม่ เพื่อตำรวจสายงานป้องกันปราบปราม คล่องตัว-ปลอดภัย-เพิ่มประสิทธิภาพ". มติชนออนไลน์.
- ↑ หมดยุคขาวหัวแดง รถตำรวจยุคใหม่สีบรอนด์เทาคาดแถบแดงเลือดหมูแล้วน่ะ (gimyong.com)
- ↑ "Mitsubishi Triton ถูกใช้เป็นรถตำรวจตชด. คันละเกือบล้านบาท จะคุ้มค่าเงินภาษีหรือไม่ มาดูสเปครายละเอียดกัน". chobrod.com - ตลาดซื้อขายรถยนต์ทั้งรถมือสองรถใหม่ใหญ่ที่สุดในไทย.
- ↑ Homruen, Nathakorn. "สรุปประเด็น ตำรวจไทยเช่า Tesla Model 3 คันละ 12 ล้าน โดนติงว่าแพงกว่าปกติ 3 เท่า!? | MagCarZine.com | ข่าวสารยานยนต์ ให้คุณรู้จริงก่อนใคร" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-06-29. สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ "ผบ.ตร.สั่งสอบปืนหลวง พบจำนำร้านปืนออนไลน์". สยามรัฐ. 2021-06-14.
- ↑ 33.0 33.1 "ทำไมตำรวจไทยต้องซื้ออาวุธปืนใช้เอง". THE STANDARD. 2017-12-22.
- ↑ "ประกาศ เรื่อง เงินกู้สามัญเพื่อซื้ออาวุธปืนโครงการจัดหาอาวุธปืนพกประจำกาย ซิก ซาวเออร์ โมเดิล พี 320 เอสพี เพื่อเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการตำรวจ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้". skpcoop.org.
- ↑ "ย้อนดูการจัดซื้ออาวุธของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ". Thai PBS. 2021-08-20.
- ↑ "อึ้ง! ปืนโรงพักเสาหินหายจากคลัง สภ.แม่สะเรียง 31 กระบอก ตำรวจดอดส่งจำนำชายแดนไทย-พม่า". mgronline.com. 2021-02-25.
- ↑ "ปลส.เอ็ม 4". sanpawut.police.go.th. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-07-05. สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ "แจงภาพ ตร.ปากเกร็ดถือปืนเอ็ม4 ในด่านเคอร์ฟิว เป็นชุดคุ้มกันตามยุทธวิธี". www.thairath.co.th. 2021-07-13.
- ↑ "อรินทราช 26 หน่วยจู่โจมผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการสำคัญ". bangkokbiznews. 2020-02-09.
- ↑ 40.0 40.1 "7 อาวุธที่ คฝ. ใช้สลายผู้ชุมนุมในเดือนส.ค.-ก.ย. | ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน". 2021-10-14.
- ↑ isranews (2020-09-26). "เส้นทาง 'ปืนช็อตไฟฟ้า' 215 ล.! สตช.ซื้อต่ำกว่าราคากลางกระบอกละ 100 บ." สำนักข่าวอิศรา.
- ↑ 42.0 42.1 "ไม้ง่ามหลีกไป ตำรวจโกสุมพิสัย ใช้ปืนช็อตไฟฟ้า สยบคลั่งถือเคียวพุ่งชาร์จ". www.thairath.co.th. 2021-06-25.
- ↑ "HS Produkt" (PDF). Hrvatski vojnik (ภาษาโครเอเชีย) (337/338): 20. 28 มีนาคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 7 ตุลาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 11 พฤษภาคม 2013.
- ↑ "อาวุธประจำกาย และอาวุธธประจำกายทหารราบ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-24. สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ "อาวุธประจำกาย และอาวุธธประจำกายทหารราบ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-24. สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ "อาวุธประจำกาย และอาวุธธประจำกายทหารราบ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-24. สืบค้นเมื่อ 2022-05-18.
- ↑ "ตำรวจหน่วยแรกใช้ปืนช็อตไฟฟ้า". สำนักข่าวไทย อสมท. 2020-10-06.
- ↑ แจ๊ค (2022-02-23). "ตำรวจสวนสนาม".
- ↑ "วันตำรวจ "มาร์ค" ฝัน ตร.ทำงานเพื่อประชาชน โปร่งใส ตรวจสอบได้". mgronline.com. 2009-10-13.
- ↑ "ตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ - พิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตน กล่าวอุดมคติตำรวจ พิธีมอบใบประกาศเกียรติคุณ เนื่องใน "วันตำรวจ" ประจำปี 2562 ณ ลานหน้า ภ.จว.ชัยภูมิ". www.chaiyaphumpolice.com.
- ↑ "17 ตุลาคม 2564 - วันตำรวจ". THE STANDARD. 2021-10-17.
- ↑ สถานีคิดเลขที่ 12 (2017-10-20). "วันตำรวจ 17 ต.ค. โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน". มติชนออนไลน์.
แหล่งข้อมูลอื่น
- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เก็บถาวร 2008-09-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ไทย)
- ภาพถ่ายดาวเทียมจากวิกิแมเปีย หรือกูเกิลแมปส์
- แผนที่จากลองดูแมป หรือเฮียวีโก
- ภาพถ่ายทางอากาศจากเทอร์ราเซิร์ฟเวอร์