ราชาธิปไตยฮาพส์บวร์ค
ราชาธิปไตยฮาพส์บวร์ค (เยอรมัน: Habsburgermonarchie ออกเสียง: [ˈhaːpsbʊʁɡɐmonaʁˌçiː] ( ฟังเสียง)) ราชาธิปไตยโดเนา (เยอรมัน: Donaumonarchie ออกเสียง: [ˈdoːnaʊ̯monaʁˌçiː] ( ฟังเสียง)) หรือ จักรวรรดิฮาพส์บวร์ค (เยอรมัน: Habsburgerreich ออกเสียง: [ˈhaːpsbʊʁɡɐˌʁaɪ̯ç] ( ฟังเสียง)) เป็นคำที่ใช้แสดงถึงดินแดนและอาณาจักรต่าง ๆ ของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คสาขาออสเตรีย ในทางประวัติศาสตร์ มีการใช้ศัพท์ ออสเตรีย อยู่บ่อยครั้งเพื่อกล่าวถึงราชาธิปไตยฮาพส์บวร์ค (เป็นการใช้ส่วนหนึ่งของบางสิ่ง เพื่ออ้างถึงส่วนทั้งหมดของสิ่งนั้น) ถึงแม้ว่าในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1438 ถึง 1806 (เว้นช่วงไปใน ค.ศ. 1742 ถึง 1745) เชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คจะถือครองพระราชอิสริยยศจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยก็ตาม แต่ตัวจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เอง (ซึ่งจักรพรรดิทรงมีอำนาจปกครองแต่เพียงเล็กน้อย) ก็ไม่ได้ถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกกันในปัจจุบันว่าราชาธิปไตยฮาพส์บวร์ค
จุดเริ่มต้นของรัฐราชาธิปไตยฮาพส์บวร์คเริ่มนับจากการที่พระเจ้ารูด็อล์ฟที่ 1 ทรงได้รับเลือกเป็นพระมหากษัตริย์เยอรมนี ใน ค.ศ. 1273 และการที่ทรงได้รับดัชชีออสเตรีย เป็นดินแดนประจำราชวงศ์เมื่อ ค.ศ. 1282 ใน ค.ศ. 1482 จักรพรรดิมัคซีมีลีอานที่ 1 ทรงได้ครองเนเธอร์แลนด์ ผ่านทางการอภิเษกสมรส ดินแดนทั้งสองอยู่ในเขตแดนของจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์ และถูกส่งต่อไปยังจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 พระราชนัดดาของพระองค์ ซึ่งทรงได้รับสืบทอดสเปนและอาณานิคมมาจากทางฝั่งพระราชมารดา และได้ปกครองเหนือจักรวรรดิฮาพส์บวร์คในช่วงแพ่ไพศาลที่สุด การสละราชสมบัติของจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 ใน ค.ศ. 1556 นำไปสู่การแบ่งดินแดนต่าง ๆ ที่ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คถือครอง ระหว่างพระอนุชา แฟร์ดีนันท์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้แทนพระองค์ในดินแดนออสเตรียมาตั้งแต่ ค.ศ. 1521 และได้รับเลือกเป็นพระมหากษัตริย์ฮังการีและโบฮีเมีย มาตั้งแต่ ค.ศ. 1526 กับพระราชโอรส พระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน ก่อให้เกิดการแบ่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์คออกเป็นสาขาสเปน (ปกครองคาบสมุทรไอบีเรีย เนเธอร์แลนด์ บูร์กอญ และดินแดนในอิตาลี) ซึ่งมาสิ้นสุดเชื้อสายใน ค.ศ. 1700 และสาขาออสเตรีย (ซึ่งถือครองบัลลังก์จักรวรรดิ ฮังการี โบฮีเมีย และพระราชอิสริยยศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง) และมีสาขาย่อยแตกออกไปจากสาขานี้อีก ซึ่งดำรงอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1564 ถึง 1665 แต่หลังจากนั้นก็รวมกันเป็นรัฐร่วมประมุขภายใต้ราชวงศ์เดียว
รัฐราชาธิปไตยฮาพส์บวร์คเป็นรัฐที่มีพระประมุขร่วมกัน โดยที่ไม่มีรัฐธรรมนูญหรือสถาบันร่วมใด ๆ ยกเว้นราชสำนักฮาพส์บวร์คเอง โดยดินแดนทั้งนอกและในจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์ต่างมีพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกัน รัฐองค์ประกอบ (Composite state) กลายมาเป็นรูปแบบรัฐราชาธิปไตยที่พบได้ทั่วไปในยุโรปภาคพื้นทวีป ระหว่างสมัยใหม่ตอนต้น[4][5] การรวมดินแดนของจักรวรรดิฮาพส์บวร์คเกิดขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรรษที่ 19 โดยดินแดนต่าง ๆ ถูกรวบรวมและจัดตั้งเป็นจักรวรรดิออสเตรีย ซึ่งดำรงอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1804 ถึง 1867 และพัฒนาไปเป็นจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งดำรงอยู่สืบต่อมาจนถึง ค.ศ. 1918[6][7] ก่อนที่จะล่มสลายลงหลังจากความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ในทางประวัติศาสตร์นิพนธ์ ดินแดนของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค (สาขาออสเตรีย) มักจะถูกเรียกโดยนามนัยว่า "ออสเตรีย" และเมื่อถึงราว ๆ ค.ศ. 1700 ศัพท์ภาษาละติน monarchia austriaca (ราชาธิปไตยออสเตรีย) ก็ถูกนำมาใช้เพื่อให้สะดวกต่อการกล่าวถึงดินแดนเหล่านี้[8] ภายในเขตแดนของจักรวรรดิ ดินแดนอันกว้างใหญ่นี้ประกอบไปด้วยดินแดนที่สืบทอดมาแต่เดิมก่อน ค.ศ. 1526 เรียกว่า เอิบลันท์ (Erblande) ดินแดนของราชบัลลังก์โบฮีเมีย ดินแดนเนเธอร์แลนด์ของสเปนเดิม ซึ่งเป็นดินแดนหนึ่งของราชาธิปไตยฮาพส์บวร์คตั้งแต่ ค.ศ. 1714 ถึง 1794 ดินแดนสวามิภักดิ์ (Fief) บางส่วนในอิตาลี และนอกพรมแดนจักรวรรรดินั้นประกอบไปด้วยดินแดนทั้งหมดของราชบัลลังก์ฮังการี และดินแดนที่ได้มาจากการขับไล่จักรวรรดิออตโตมัน ศูนย์กลางของราชวงศ์อยู่ที่เวียนนา ยกเว้นในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1583 ถึง 1611 ซึ่งย้ายไปอยู่ที่ปราก[9]
ที่มาและการขยายดินแดน
แก้พระปฐมวงศ์ของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเท่าที่มีหลักฐานให้สืบค้น คือ กราฟ (เคานต์) เรดบ็อตแห่งเคล็ดเกา ซึ่งประสูติในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ชื่อของราชวงศ์มีที่มาจากปราสาทฮาพส์บวร์คในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ปัจจุบัน ซึ่งกราฟเรดบ็อตทรงเป็นผู้สร้าง[10] หลังจาก ค.ศ. 1279 ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คทรงเข้ามาปกครองออสเตรีย พระเจ้ารูด็อล์ฟที่ 1 แห่งเยอรมนี ทรงพระราชทานดัชชีออสเตรีย อันเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเยอรมนี ซึ่งอยู่ภายในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อีกทอดหนึ่ง ให้แก่เหล่าพระราชโอรสในการประชุมที่เอาก์สบวร์กแห่ง ค.ศ. 1282 นำไปสู่การก่อตั้ง "ดินแดนสืบทอดออสเตรีย" (Austrian hereditary lands) นับแต่บัดนั้น ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คก็ยังเป็นที่รู้จักกันในนามราชวงศ์ออสเตรีย นอกจากนี้ ระหว่าง ค.ศ. 1438 ถึง ค.ศ. 1806 อาชดยุกแห่งออสเตรียจากราชวงศ์ฮาพส์บวร์คยังได้รับเลือกเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ติดต่อกันอีกด้วย โดยมีการขาดช่วงไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คก้าวขึ้นมามีความความสำคัญต่อยุโรปด้วยผลจากพระราโชบายประจำราชวงศ์ที่ริเริ่มโดยจักรพรรดิมัคซีมีลีอานที่ 1 พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับมารีแห่งบูร์กอญ ทำให้เนเธอร์แลนด์ของบูร์กอญกลายเป็นหนึ่งในราชสมบัติของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค พระราชโอรสของทั้งสอง ฟิลิปผู้หล่อเหลาทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีนาถฆัวนาผู้บ้าคลั่ง (พระราชธิดาในพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งอารากอนและสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลที่ 1 แห่งกัสติยา) จึงทำให้จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (พระราชโอรสในฟิลิปผู้หล่อเหลาและสมเด็จพระราชินีนาถฆัวนา) ได้รับสืบทอดเนเธอร์แลนด์ของฮาพส์บวร์ค สเปนพร้อมดินแดนในปกครอง และออสเตรีย มาใน ค.ศ. 1506 1516 และ 1519 ตามลำดับ
ณ จุดนี้ จักรวรรดิฮาพส์บวร์คได้แผ่ไพศาลออกไปอย่างกว้างใหญ่จนทำให้จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 ต้องเสด็จไปทั่วดินแดนในปกครองอยู่เสมอ ๆ และทำให้ต้องมีการตั้งผู้สำเร็จราชการและข้าหลวงในส่วนต่าง ๆ ของจักรวรรดิ เช่น อีซาแบลแห่งโปรตุเกส พระมเหสีทรงสำเร็จราชการแทนพระองค์ในสเปน และมาร์กาเรเทอแห่งออสเตรีย พระราชปิตุจฉา (อา) เป็นข้าหลวงปกครองกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ เพื่อปกครองดินแดนหลายแห่งที่อยู่ภายใต้พระองค์ จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 ทรงบรรลุข้อตกลงกับแฟร์ดีนันท์ พระราชอนุชา ณ การประชุมสภาที่เมืองวอร์มส์ ใน ค.ศ. 1521 ตาม ข้อตกลงฮาพส์บวร์ค แห่งเมืองวอร์มส์ ซึ่งได้รับการรับรองในอีกหนึ่งปีให้หลังในบรัสเซลส์ แฟร์ดีนันท์ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นอาร์ชดยุก ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระเชษฐาในดินแดนสืบทอดออสเตรีย[11][12]
หลังจากที่พระเจ้าลอโยชที่ 2 แห่งฮังการี เสด็จสวรรคตในยุทธการที่โมฮาช ขณะทรงต่อสู้กับจักรวรรดิออตโตมัน อาร์ชดยุกแฟร์ดีนันท์ (ผู้อภิเษกสมรสกับพระเชษฐภคินีของพระเจ้าลอโยช ตามข้อตกลงในการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาครั้งที่หนึ่ง ระหว่างจักรพรรดิมัคซีมีลีอาน พระอัยกาของอาร์ชดยุกแฟร์ดีนันท์ และพระเจ้าวลาดิสเลาส์ที่ 2 พระราชบิดาของพระเจ้าลอโยช) จึงทรงได้รับเลือกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งโบฮีเมียและฮังการี ใน ค.ศ. 1526[9][13] แต่โบฮีเมียและฮังการีก็ยังมิได้เป็นดินแดนที่สืบทอดกันตามราชสันตติวงศ์ของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 17 ภายหลังจากจักรพรรดิแฟร์ดีนันท์ที่ 2 ทรงปราบกบฏชาวโบฮีเมียได้ในยุทธการที่ภูเขาสีขาว เมื่อ ค.ศ. 1620 พระองค์ทรงประกาศใช้ พระราชกฤษฎีกาแผ่นดินฉบับปรับปรุง (Renewed Land Ordinance) ใน ค.ศ. 1627 หรือ 1628 ซึ่งทำให้ให้ราชบัลลังก์โบฮีเมียเปลี่ยนมาใช้ระบอบสืบราชสันตติวงศ์ ส่วนฮังการีนั้นเปลี่ยนมาใช้ระบอบสืบราชสันตติวงศ์เมื่อจักรพรรดิเลโอพ็อลท์ที่ 1 ทรงยึดดินแดนฮังการีเกือบทั้งหมดกลับมาจากชาวออตโตมันเติร์กได้ภายหลังยุทธการที่โมฮาช (ค.ศ. 1687) และทรงจัดประชุมสภาในนครเพรสบวร์ค
จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 ทรงแบ่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์คออกเป็นสองสาขาใน ค.ศ. 1556 ด้วยการยกออสเตรียและราชบัลลังก์จักรวรรดิให้กับพระราชอนุชา (ตามที่ตัดสินกันในการเลือกตั้งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 1531) และจักรวรรดิสเปนให้กับเฟลิเป พระราชโอรส สาขาสเปน (ปกครองเนเธอร์แลนด์ ราชอาณาจักรโปรตุเกสระหว่าง ค.ศ. 1580 ถึง 1640 และภูมิภาคเมซโซจอร์โน [ภาคใต้ของอิตาลี]) สิ้นสุดเชื้อสายลงใน ค.ศ. 1700 สาขาออสเตรีย (ปกครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ฮังการีและโบฮีเมีย) มีสาขาย่อยแตกออกไปจากสาขานี้อีก ซึ่งดำรงอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1564 ถึง 1665 แต่หลังจากนั้นก็รวมกันเป็นรัฐร่วมประมุขภายใต้ราชวงศ์เดียว
ชื่อ
แก้- ราชาธิปไตยฮาพส์บวร์ค (เยอรมัน: Habsburgermonarchie) : เป็นคำนิยามอย่างกว้างที่ถูกใช้บ่อยครั้ง แต่มิใช่ชื่ออย่างเป็นทางการ
- ราชาธิปไตยออสเตรีย (ละติน: monarchia austriaca) นิยามซึ่งเริ่มนำมาใช้ประมาณ ค.ศ. 1700 เพื่อให้สะดวกต่อการกล่าวถึงดินแดนของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คสาขาออสเตรีย [8]
- ราชาธิปไตยโดเนา (เยอรมัน: Donaumonarchie) ชื่อไม่เป็นทางการซึ่งใช้โดยสิ่งร่วมสมัย
- ราชาธิปไตยคู่ (เยอรมัน: Doppel-Monarchie) หมายถึงดัชชีออสเตรียและราชอาณาจักรฮังการี สองรัฐซึ่งอยู่ภายใต้ผู้ปกครองพระองค์เดียวกัน
- จักรวรรดิออสเตรีย (เยอรมัน: Kaisertum Österreich) ชื่ออย่างเป็นทางการของจักรวรรดิฮาพส์บวร์คที่สถาปนาขึ้นใหม่ใน ค.ศ. 1804 ภายหลังจากสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ คำว่า "จักรวรรดิ" ในที่นี้หมายถึงดินแดนที่ปกครองโดยจักรพรรดิ มิใช่ "อาณาจักรอันแพ่ไพศาล"
- จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (เยอรมัน: Österreich-Ungarn) รัฐซึ่งดำรงอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1867–1918 เป็นชื่อที่นิยมใช้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้จักรวรรดิจะมีชื่อทางการว่าราชาธิปไตยออสเตรีย-ฮังการี (เยอรมัน: Österreichisch-Ungarische Monarchie) ก็ตาม[14][15][16][17]
- ดินแดนส่วนพระองค์ หรือ โครนลันท์เดอร์ (Kronländer) (ค.ศ. 1849–1918) เป็นชื่อเรียกดินแดนส่วนต่าง ๆ ในจักรวรรรดิออสเตรียนับตั้งแต่ ค.ศ. 1849 และของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ตั้งแต่ ค.ศ. 1867 เป็นต้นไป ภายหลังจากการสถาปนาจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ราชอาณาจักรฮังการี (หรือเรียกอย่างเจาะจงว่า ดินแดนแห่งราชบัลลังก์ฮังการี [Lands of the Hungarian Crown]) ไม่ได้ถูกนับเป็น "ดินแดนส่วนพระองค์" อีกต่อไป ดังนั้นนิยาม "ดินแดนส่วนพระองค์" จึงกลายเป็นนิยามเดียวกับ "เหล่าราชอาณาจักรและดินแดนอันมีผู้แทนในราชสภา" (Die im Reichsrate vertretenen Königreiche und Länder) ซึ่งใช้เรียกดินแดนซิสไลทาเนีย (Cisleithania) หรือดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรียในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
- พื้นที่ฟากฮังการีของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีมีชื่อเรียกว่า "ดินแดนแห่งราชบัลลังก์เซนต์อิชต์วาน" หรือ"ดินแดนแห่งพระมงกุฎเซนต์อิชต์วานอันศักดิ์สิทธิ์" (Länder der Heiligen Stephans Krone) ส่วนดินแดนโบฮีเมีย (เช็กเกีย) นั้นเรียกว่า "ดินแดนแห่งราชบัลลังก์เซนต์วาสลัฟ" (Länder der Wenzels-Krone)
ชื่อของดินแดนองค์ประกอบ
- ประเทศออสเตรียในปัจจุบันปกครองในระบอบสาธารณรัฐกึ่งสหพันธ์ ประกอบไปด้วยเก้ารัฐ (Bundesländer) ได้แก่ นีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์ โอแบร์เอิสเตอร์ไรช์ ทีโรล สตีเรีย ซัลทซ์บวร์ค คารินเทีย ฟอร์อาร์ลแบร์ค บัวร์เกินลันท์ และเวียนนา ซึ่งเป็นเมืองหลวง
- บัวร์เกินลันท์ แยกตัวออกมาจากฮังการีและกลายเป็นส่วนหนึ่งของออสเตรียใน ค.ศ. 1921
- ซัลทซ์บวร์ค กลายเป็นส่วนหนึ่งของออสเตรียใน ค.ศ. 1816 ภายหลังจากการสิ้นสุดสงครามนโปเลียน โดยแต่เดิมนั้นซัลทซ์บวร์คอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าชายอัครมุขนายกแห่งซัลทซ์บวร์คในฐานะดินแดนอธิปไตย
- เวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ได้รับสถานะเป็นรัฐเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1922 เวียนนามีสถานะเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิและเมืองหลวงของจักรวรรดิออสเตรีย (Reichshaupt und Residenzstadt Wien) มาเป็นเวลาหลายศตวรรษ
- ออสเตรีย ในทางประวัติศาสตร์ถูกแบ่งออกเป็น "ออสเตรียเหนือแม่น้ำเอ็นส์" (Austria above the Enns) และ "ออสเตรียใต้แม่น้ำเอ็นส์" (Austria below the Enns) (แม่น้ำเอ็นส์เป็นเส้นแบ่งระหว่างรัฐ โอแบร์- และนีเดอร์เอิสเตอร์ไรช์) พื้นที่ของรัฐโอแบร์เอิสเตอร์ไรช์ขยายใหญ่ขึ้นจากการผนวกพื้นที่อินส์เวียร์เทล (Innviertel, "มุมแม่น้ำอินส์") ซึ่งแต่เดิมเป็นของไบเอิร์น ตามข้อตกลงในสนธิสัญญาเทเชิน (ค.ศ. 1779) ภายหลังสงครามสืบราชบัลลังก์ไบเอิร์น
- ดินแดนสืบทอด (Erblande หรือ Erbländer โดยส่วนมากใช้คำว่า Österreichische Erblande) ดินแดนสืบทอดเยอรมัน (ในราชาธิปไตยออสเตรีย) หรือดินแดนสืบทอดออสเตรีย (สมัยกลาง – ค.ศ. 1849 หรือ 1918) ในนิยามอย่างจำกัดแล้วหมายถึงดินแดน "ดั่งเดิม" ของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค หลัก ๆ แล้วคือ ออสเตรีย (Österreich) สตีเรีย (Steiermark) คารินเทีย (Kaernten) คาร์นิโอลา (Krain) ทีโรล (Tirol) และฟอร์อาร์ลแบร์ค ในนิยามอย่างกว้างดินแดนแห่งราชบัลลังก์โบฮีเมียก็ถูกนับเป็นดินแดนสืบทอด (ตั้งแต่ ค.ศ. 1526 ถูกนับรวมอย่างแน่นอนจาก ค.ศ. 1620/27 เป็นต้นไป) เช่นกัน ศัพท์ดังกล่าวถูกแทนด้วยคำว่า "ดินแดนส่วนพระองค์" (ดูด้านบน) ในรัฐธรรมนูญเดือนมีนาคม ค.ศ. 1849 แต่ศัพท์นี้ก็ยังมีการใช้หลังจากนี้เช่นกัน ดินแดนสืบทอด ยังรวมไปถึงดินแดนเล็ก ๆ ที่มีสถานะเป็นราชรัฐ ดัชชี หรือเคาน์ตี ในดินแดนส่วนอื่น ๆ ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ดินแดน
แก้ดินแดนภายใต้การการปกครองของรัฐราชาธิปไตยออสเตรียเปลี่ยนแปลงไปตลอดช่วงเวลาหลายศตวรรษ แต่แกนกลางนั้นประกอบไปด้วยดินแดนสี่ส่วนเสมอ:
- ดินแดนสืบทอด ครอบคลุมพื้นที่ส่วนมากของประเทศออสเตรียและประเทศสโลวีเนียปัจจุบัน รวมไปถึงดินแดนในทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี และ (ก่อน ค.ศ. 1797) ตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเยอรมนี บริเวณอินส์เวียร์เทลของไบเอิร์น ถูกผนวกเข้ามาใน ค.ศ. 1779 ส่วนราชรัฐมุขนายกเทรนต์ และบริกเซิน ถูกผนวกเข้ามาใน ค.ศ. 1803 สงครามนโปเลียน ทำให้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คสูญเสียดินแดนหลายส่วนในดินแดนสืบทอด แต่ก็ได้รับดินแดนเหล่านั้นคืนมาภายหลังสงครามสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1815 (ยกเว้นวอร์ลันเดอร์) รวมไปถึงดินแดนของราชรัฐอัครมุขนายกซัลทซ์บวร์ค ซึ่งถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนสืบทอดอยู่ช่วงหนึ่งระหว่าง ค.ศ. 1805 ถึง 1809 ดินแดนของดินแดนสืบทอดประกอบไปด้วย:
- อาร์ชดัชชีออสเตรีย
- อินเนอร์ออสเตรีย
- ดัชชีสติเรีย
- ดัชชีคารินเทีย
- ดัชชีคาร์นิโอลา
- เมืองท่าตรีเยสเตในทะเลเอเดรียติก
- แคว้นชายแดนอิสเตรีย (แม้ดินแดนส่วนมากของอิสเตรียจะอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐเวนิส จนถึง ค.ศ. 1797)
- ราชรัฐเคาน์ตีกอริเซียและกราดิสกา
- เคาน์ตีทีโรล (ราชรัฐมุขนายกเทรนต์และบริกเซินปกครองพื้นที่ที่จะกลายมาเป็นทางใต้ของทีโรลจนถึง ค.ศ. 1803)
- เฟอร์เทอร์ออสเตรีย โดยส่วนมากแล้วถูกปกครองร่วมกับทีโรล
- ฟอร์อาร์ลแบร์ค (ในความเป็นจริงแล้วเป็นกลุ่มมณฑลต่าง ๆ ต่อมาจึงรวมตัวกันในคริสต์ศตวรรษที่ 19)
- วอร์ลันเดอร์ กลุ่มดินแดนในไบรส์เกา และที่อื่น ๆ ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมนีซึ่งเสียไปใน ค.ศ. 1801 (ส่วนดินแดนอาลซัส [ซุนเกา] ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวอร์ลันเดอร์เสียไปใน ค.ศ. 1648)
- แกรนด์ดัชชีซัลทซ์บวร์ค (หลัง ค.ศ. 1805)
- ดินแดนแห่งราชบัลลังก์โบฮีเมีย สภาแห่งโบฮีเมีย (เช็ก: zemský sněm) ได้เลือกแฟร์ดีนันท์ (ต่อมาคือจักรพรรดิแฟร์ดีนันท์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) เป็นพระมหากษัตริย์โบฮีเมียใน ค.ศ. 1526 เดิมประกอบไปด้วยดินแดนห้าส่วน ได้แก่:
- ราชอาณาจักรโบฮีเมีย
- แคว้นชายแดนโมราเวีย
- ไซลีเชีย พื้นที่ส่วนมากของไซลีเชียกลายเป็นส่วนหนึ่งของปรัสเซีย ใน ค.ศ. 1740–1742 และพื้นที่ที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คถูกปกครองในฐานะดัชชีอัปเปอร์และโลเวอร์ไซลีเชีย (ไซลีเชียของออสเตรีย)
- ลูซาเทีย ยกให้ซัคเซินใน ค.ศ. 1635
- ราชอาณาจักรฮังการี – ดินแดนสองในสามที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรฮังการีในสมัยกลางถูกจักรวรรดิออตโตมัน และราชรัฐทรานซิลเวเนีย รัฐเมืองขึ้นของจักรวรรดิเข้ายึดครอง ในขณะการปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คถูกจำกัดอยู่ในบริเวณทางตะวันตกและทางเหนือของราชอาณาจักรเดิม โดยส่วนที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คก็ยังคงมีชื่ออย่างเป็นทางการว่าราชอาณาจักรฮังการีเช่นเดิม เมื่อสงครามออตโตมัน-ฮาพส์บวร์คสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1699 ดินแดนส่วนหนึ่งที่เคยถูกปกครองโดยราชอาณาจักรฮังการีในสมัยกลางจึงเข้ามาอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค นอกจากนี้ยังพื้นที่บางส่วนที่ถูกผนวกเพิ่มเติมใน ค.ศ. 1718 (แต่ก็ยังมีดินแดนบางส่วนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเดิม โดยเฉพาะด้านใต้ของแม่น้ำซาวาและแม่น้ำดานูบยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของออตโตมัน)
- ราชอาณาจักรโครเอเชีย
ตลอดช่วงเวลาแห่งการดำรงอยู่ของรัฐราชาธิปไตยฮาพส์บวร์ค มีดินแดนอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คสาขาออสเตรียอยู่ชั่วขณะหนึ่ง (ดินแดนบางแห่งในรายชื่อด้านล่างนี้สืบทอดโดยหลักสิทธิของบุตรคนรอง [Secundogeniture] หรือก็คือถูกปกครองโดยสาขาอื่นของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่ไม่ใช่สาขาหลักนั้นเอง):
- เซอร์เบีย (การยึดครองทางทหาร ค.ศ. 1686–1691)
- ราชอาณาจักรสลาโวเนีย (ค.ศ. 1699–1868)
- แกรนด์พรินซิพาลิตีทรานซิลเวเนีย ระหว่าง ค.ศ. 1699 (สนธิสัญญาคาร์โลวิทซ์) ถึง 1867 (เอาท์ชไกลส์)
- เนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย ประกอบไปด้วยพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเบลเยียมและลักเซมเบิร์กปัจจุบัน (ค.ศ. 1713–1792)
- ดัชชีมีลาโน (ค.ศ. 1713–1797)
- ดัชชีมันโตวา (ค.ศ. 1713–1797)
- ราชอาณาจักรนาโปลี (ค.ศ. 1713–1735)
- ราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย (ค.ศ. 1713–1720)
- ราชอาณาจักรเซอร์เบีย (ค.ศ. 1718–1739)
- บานัตทีมิซสลาวา (ค.ศ. 1718–1778)
- บานัตคราโยวา (ค.ศ. 1718–1739 โดยพฤตินัย ค.ศ. 1716–1737)
- ราชอาณาจักรซิซิลี (ค.ศ. 1720–1735)
- ดัชชีปาร์มา (ค.ศ. 1735–1748)
- ราชอาณาจักรกาลิเซียและโลโดเมเรีย ในประเทศโปแลนด์และยูเครนปัจจุบัน (ค.ศ. 1772–1918)
- ดัชชีบูโควีนา (ค.ศ. 1774–1918)
- เซอร์เบีย (การยึดครองทางทหาร ค.ศ. 1788–1792)
- น็อยกาลิเซีย (ค.ศ. 1795–1809) ดินแดนของเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนียเดิม (รวมถึงเมืองกรากุฟ) ซึ่งได้มาจากการแบ่งโปแลนด์ครั้งที่สาม
- เวนิส (ค.ศ. 1797–1805)
- ราชอาณาจักรแดลเมเชีย (ค.ศ. 1797–1805, ค.ศ. 1814–1918)
- ราชอาณาจักรลอมบาร์เดีย-เวนิส (ค.ศ. 1814–1859)
- กรากุฟ (ค.ศ. 1846–1918) ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของกาลิเซีย
- เซอร์เบียนวอยวอดีนา (ค.ศ. 1848–1849) หน่วยภาวะ (Entity) ทางพฤตินัย ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ
- วอยวอเดชิพเซอร์เบียและบานัตทีมิซสลาวา (ค.ศ. 1849–1860)
- ราชอาณาจักรโครเอเชีย-สลาโวเนีย (ค.ศ. 1868–1918)
- ซันจักโนวี ปาซา (การยึดครองทางทหาร, ค.ศ. 1878–1913)
- บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (ค.ศ. 1878–1918)
ขอบเขตของดินแดนเหล่านี้แตกต่างไปตามช่วงเวลา และบางดินแดนก็ถูกปกครองโดยสาขารอง (ผ่านทางหลักสิทธิของบุตรคนรอง) ของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค สมาชิกของราชวงศ์ยังทรงถือครองพระราชอิสริยยศจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ระหว่าง ค.ศ. 1438 ถึง 1740 และอีกครั้งจาก ค.ศ. 1745 ถึง 1806
ลักษณะเฉพาะ
แก้ภายในรัฐราชาธิปไตยฮาพส์บวร์คในช่วงสมัยใหม่ตอนต้น หน่วยภาวะต่าง ๆ ถูกปกครองตามขนบธรรมเนียมปฏิบัติของตนเอง จนถึงช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ดินแดนต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ผู้ปกครองพระองค์เดียวกัน บ่อยครั้งที่เชื้อพระวงศ์ฮาพส์บวร์คสายรองได้ปกครองพื้นที่ส่วนหนึ่งของดินแดนสืบทอดในฐานะที่ดินส่วนพระองค์ (Apanages) ความพยายามรวมศูนย์อย่างจริงจังเริ่มขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา และโดยเฉพาะในรัชสมัยของจักรพรรดิโยเซ็ฟที่ 2 ผู้เป็นพระราชโอรส (ตรงกับช่วงกลางถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18) แต่ความพยายามดังกล่าวก็ถูกละทิ้งเมื่อเกิดการต่อต้านขนาดใหญ่ต่อความพยายามปฏิรูปเชิงรุนแรงของจักรพรรดิโยเซ็ฟที่ 2 กระนั้น นโยบายรวมศูนย์อย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าก็ยังคงได้รับการปฏิบัติสืบต่อมาในสมัยแห่งการปฏิวัติ (Revolutionary period) และสมัยเมทเทอร์นิช ที่ตามมา
ความพยายามรวมศูนย์ครั้งใหม่เริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1849 ภายหลังจากการปราบปรามกระแสการปฏิวัติ ค.ศ. 1848 นับเป็นครั้งแรกที่เหล่ารัฐมนตรีพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงรัฐราชาธิปไตยฮาพส์บวร์คไปเป็นรัฐที่มีระบบราชการแบบรวมศูนย์โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่กรุงเวียนนา กฎอัยการศึกถูกประกาศใช้ในพื้นที่ของราชอาณาจักรฮังการี ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มเขตทหาร (Military districts) รัฐบาลรวมศูนย์ภายใต้แนวคิดสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ (Neo-absolutism) พยายามทำให้รัฐธรรมนูญและสภาฮังการีมีผลเป็นโมฆะ แต่ภายหลังจากที่ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คพ่ายแพ้ในสงครามประกาศอิสรภาพอิตาลีครั้งที่สอง และสงครามออสเตรีย-ปรัสเซียใน ค.ศ. 1859 และ 1866 ตามลำดับ ทำให้นโยบายเหล่านี้ค่อย ๆ ถูกยกเลิกไป
ภายหลังจากการทดลองในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1860 การประนีประนอมออสเตรีย-ฮังการี ค.ศ. 1867 อันโด่งดังจึงได้มีผลบังคับใช้ นำไปสู่การก่อตั้งรัฐราชาธิปไตยคู่ออสเตรีย-ฮังการี ในระบอบการปกครองใหม่นี้ ราชอาณาจักรฮังการี ("ดินแดนแห่งราชบัลลังก์เซนต์อิชต์วาน") ถือเป็นรัฐอธิปไตยที่มีศักดิ์เท่ากับออสเตรีย โดยมีเพียงความเป็นรัฐร่วมประมุขและนโยบายการต่างประเทศและการทหารร่วมกันเท่านั้นที่คอยเชื่อมโยงฮังการีเข้ากับดินแดนอื่น ๆ ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค อย่างไรก็ตาม แม้ดินแดนอื่น ๆ ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค (ยกเว้นฮังการี) จะถูกเรียกรวม ๆ กันว่า "ออสเตรีย" ก็ตาม แต่กระนั้นดินแดนเหล่านี้ก็มีรัฐสภากลาง (เรียกว่า ไรชส์ราค [Reichsrat; ราชสภา]) และคณะรัฐมนตรีเป็นของตนเอง อันจะเห็นได้จากชื่ออย่างเป็นทางการของดินแดนเหล่านี้ คือ "เหล่าราชอาณาจักรและดินแดนอันมีผู้แทนในราชสภา" ครั้นเมื่อบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาถูกผนวก (หลังจากตกอยู่ภายใต้การปกครองและยึดครองโดยทหาร มาเป็นระยะเวลานาน) ดินแดนดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกรวมเข้ากับพื้นที่ฝั่งใดของจักรวรรดิ หากแต่ถูกปกครองโดยกระทรวงการคลังร่วมของออสเตรีย-ฮังการี
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลายลงจากปัญหาทางชาติพันธุ์หลายประการที่ไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งมาถึงจุดแตกหักเมื่อจักรวรรดิพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภายหลังจากจักรวรรดิถูกยุบ จึงมีการสถาปนาสาธารณรัฐเยอรมันออสเตรีย (ในพื้นที่ของชาวออสเตรียผู้พูดภาษาเยอรมันของดินแดนสืบทอด) และสาธารณรัฐฮังการีที่หนึ่ง ขึ้นมาแทนที่ ในข้อตกลงสันติภาพที่ตามมาภายหลัง ดินแดนจำนวนหนึ่งได้ถูกยกให้กับโรมาเนีย และอิตาลี ส่วนที่เหลือของจักรวรรดิเดิมถูกแบ่งระหว่างประเทศใหม่ที่แยกตัวออกมา อันได้แก่ โปแลนด์ ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน (ต่อมาคือยูโกสลาเวีย) และเชโกสโลวาเกีย
สาขาอื่นของราชวงศ์
แก้สาขารองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คได้ปกครองแกรนด์ดัชชีตอสคานา ตั้งแต่ ค.ศ. 1765 ถึง 1801 และอีกครั้งจาก ค.ศ. 1814 ถึง 1859 ระหว่างที่ถูกขับไล่จากตอสคานา เชื้อพระวงศ์ของสาขารองนี้ได้ปกครองซัลทซ์บวร์คตั้งแต่ ค.ศ. 1803 ถึง 1805 และแกรนด์ดัชชีเวือทซ์บวร์ค ตั้งแต่ ค.ศ. 1805 ถึง 1814 อีกสาขาหนึ่งได้ปกครองดัชชีโมเดนา ตั้งแต่ ค.ศ. 1814 ถึง 1859 จักรพรรดินีมารี หลุยส์ มเหสีพระองค์ที่สองในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และพระราชธิดาในจักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย ทรงปกครองดัชชีปาร์มา ระหว่าง ค.ศ. 1814 ถึง 1847 นอกจากนี้ ประเทศเม็กซิโกยังเคยอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คระหว่าง ค.ศ. 1863 ถึง 1867 โดยมีจักรพรรดิมัคซีมีลีอานที่ 1 พระราชอนุชาในจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 แห่งออสเตรีย เป็นพระประมุข
รายพระนามผู้ปกครอง (ค.ศ. 1508–1918)
แก้ผู้ปกครองที่มักถูกเรียกว่า "พระมหากษัตริย์ฮาพส์บวร์ค" หรือ "จักรพรรดิฮาพส์บวร์ค" ถือครองพระราชอิสริยยศมากมาย และปกครองดินแดนต่าง ๆ โดยมีการเรียกขานพระนามและอิสริยยศต่างกันไป
- ฟรีดริชที่ 3 ครองราชย์: ค.ศ. 1452-1493
- มัคซีมีลีอานที่ 1 ครองราชย์: ค.ศ. 1493–1519
- คาร์ลที่ 5 ครองราชย์: ค.ศ. 1519–1556
- แฟร์ดีนันท์ที่ 1 ครองราชย์: ค.ศ. 1556–1564
- มัคซีมีลีอานที่ 2 ครองราชย์: ค.ศ. 1564–1576
- รูด็อล์ฟที่ 2 ครองราชย์: ค.ศ. 1576–1612
- มัททีอัส ครองราชย์: ค.ศ. 1612–1619
- แฟร์ดีนันท์ที่ 2 ครองราชย์: ค.ศ. 1619–1637
- แฟร์ดีนันท์ที่ 3 ครองราชย์: ค.ศ. 1637–1657
- เลโอพ็อลท์ที่ 1 ครองราชย์: ค.ศ. 1657–1705
- โยเซ็ฟที่ 1 ครองราชย์: ค.ศ. 1705–1711
- คาร์ลที่ 6 ครองราชย์: ค.ศ. 1711–1740
- มาเรีย เทเรซา ครองราชย์: ค.ศ. 1740–1780 (เยอรมัน: มาเรีย เทเรเซีย)
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค-โลทริงเงิน
แก้- โยเซ็ฟที่ 2 (ครองราชย์: ค.ศ. 1780–1790) มีพระราชสัญญานามว่า "นักปฏิรูปผู้ยิ่งใหญ่"
- เลโอพ็อลท์ที่ 2 (ครองราชย์: ค.ศ. 1790–1792) ทรงดำรงพระราชอิสริยยศ "แกรนด์ดยุกแห่งตอสคานา" ตั้งแต่ ค.ศ. 1765 ถึง 1790
- ฟรันทซ์ที่ 2 (ครองราชย์: ค.ศ. 1792–1835) (เสวยราชย์เป็นจักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย ใน ค.ศ. 1804 ทำให้มีการเริ่มนับเลขรัชกาลต่อท้ายพระนามใหม่)
- แฟร์ดีนันท์ที่ 1 (ครองราชย์: ค.ศ. 1835–1848) ทรงเป็นที่รู้จักในพระราชสัญญานาม "แฟร์ดีนันท์ผู้ดีงาม" (เยอรมัน: "Ferdinand der Gütige")
- ฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 (ครองราชย์: ค.ศ. 1848–1916) พระเชษฐาในจักรพรรดิมัคซีมีลีอานที่ 1 แห่งเม็กซิโก
- คาร์ลที่ 1 (ครองราชย์: ค.ศ. 1916–1918) จักรพรรดิรัชกาลสุดท้ายแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
- อ็อทโท ฟ็อน ฮาพส์บวร์ค อดีตประมุขราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค-โลทริงเงิน และสมาชิกสภายุโรป ในฐานะผู้แทนประเทศเยอรมนี อยู่ในวาระระหว่าง ค.ศ. 1979–1999
- คาร์ล ฟ็อน ฮาพส์บวร์ค ประมุขพระองค์ปัจจุบันของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค-โลทริงเงิน และสมาชิกสภายุโรป ในฐานะผู้แทนประเทศออสเตรีย อยู่ในวาระระหว่าง ค.ศ. 1996–1999
พระราชพงศวลี
แก้ในงานเขียน
แก้บันทึกความทรงจำที่มีชื่อเสียงที่สุดเกี่ยวกับความเสี่อมสลายของรัฐราชาธิปไตยฮาพส์บวร์ค คือ ดีเวิรท์ฟ็อนเกสเทิร์น (Die Welt von Gestern) ของสเตฟาน ชไวท์[19]
ดูเพิ่ม
แก้- ปรัมปราฮาพส์บวร์ค (Habsburg Myth)
- ราชาธิปไตยสากล (Universal monarchy)
- นโยบายอาณานิคมออสเตรีย
- รายชื่อสำมะโนพื้นที่ของออสเตรีย–ฮังการี
อ้างอิง
แก้เชิงอรรถ
แก้- ↑ พระประมุขพระองค์แรกของรัฐราชาธิปไตยฮาพส์บวร์คในฐานะพระมหากษัตริย์เยอรมนี
- ↑ ผู้ปกครองจากราชวงศ์ฮาพส์บวร์คพระองค์แรกที่ใช้พระราชอิสริยยศว่าอาร์ชดยุก
- ↑ จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์พระองค์แรกจากราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค
- ↑ ผู้ปกครองจากราชวงศ์ฮาพส์บวร์คพระองค์สุดท้ายที่ได้ปกครองทั้งฝั่งสเปนและออสเตรีย
- ↑ ผู้ปกครองพระองค์แรกจากราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค สาขาออสเตรีย
- ↑ ผู้ปกครองพระองค์สุดท้ายจากราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค สาขาออสเตรียสายตรง
- ↑ ต้นราชสกุลฮาพส์บวร์ค–โลทริงเงิน
- ↑ จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์พระองค์สุดท้าย และปฐมจักรพรรดิแห่งออสเตรีย
- ↑ ผู้ปกครองพระองค์สุดท้ายจากราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค
รายการอ้างอิง
แก้- ↑ Beham, Markus Peter (2013). Transgressing Boundaries. LIT Verlag Münster. p. 254. ISBN 9783643904102.
- ↑ Taylor, Charles (2014). Boundaries of Toleration. Columbia University Press. p. 220. ISBN 9780231165679.
- ↑ "Smoldering Embers: Czech-German Cultural Competition, 1848–1948" by C. Brandon Hone. Utah State University.
- ↑ Robert I. Frost (2018). The Oxford History of Poland-Lithuania: Volume I: The Making of the Polish-Lithuanian Union, 1385–1569, Oxford History of Early Modern Europe. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด. p. 40. ISBN 9780192568144.
- ↑ John Elliot (1992). The Old World and The New 1492-1650. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด. p. 50. ISBN 9780521427098.
- ↑ Vienna website; "Archived copy". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-11-23. สืบค้นเมื่อ 2011-09-11.
{{cite web}}
: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์) - ↑ Encyclopædia Britannica online article Austria-Hungary; http://www.britannica.com/EBchecked/topic/44386/Austria-Hungary
- ↑ 8.0 8.1 Hochedlinger 2013, p. 9.
- ↑ 9.0 9.1 "Czech Republic – Historic Centre of Prague (1992)" Heindorffhus, August 2007, HeindorffHus-Czech เก็บถาวร 2007-03-20 ที่ archive.today.
- ↑ Rady 2020, pp. 12, 14–5
- ↑ Kanski, Jack J. (2019). History of the German speaking nations (ภาษาอังกฤษ). ISBN 9781789017182.
- ↑ Pavlac, Brian A.; Lott, Elizabeth S. (30 June 2019). The Holy Roman Empire: A Historical Encyclopedia [2 volumes]. ISBN 9781440848568.
- ↑ "Ferdinand I". Encyclopædia Britannica.
- ↑ Kotulla 2008, p. 485.
- ↑ Simon Adams (30 July 2005). The Balkans. Black Rabbit Books. pp. 1974–. ISBN 978-1-58340-603-8.
- ↑ Scott Lackey (30 October 1995). The Rebirth of the Habsburg Army: Friedrich Beck and the Rise of the General Staff. ABC-CLIO. pp. 166–. ISBN 978-0-313-03131-1.
- ↑ Carl Cavanagh Hodge (2008). Encyclopedia of the Age of Imperialism, 1800-1914: A-K. Greenwood Publishing Group. pp. 59–. ISBN 978-0-313-33406-1.
- ↑ ฮูโก แกร์ฮาร์ท สเตรอล (ค.ศ. 1851–1919): Oesterreichisch-Ungarische Wappenrolle
- ↑ Giorgio Manacorda (2010) Nota bibliografica อ้างใน Joseph Roth La Marcia di Radetzky, Newton Classici
Stefan Zweig, l'autore del più famoso libro sull'Impero asburgico, Die Welt von Gestern
บรรณานุกรม
แก้- Hochedlinger, Michael (2013) [2003]. Austria's Wars of Emergence, 1683–1797. Abingdon: Routledge. ISBN 978-0-582-29084-6.
- Kotulla, Michael (2008). Deutsche Verfassungsgeschichte: Vom Alten Reich bis Weimar (1495–1934). Berlin: Springer. ISBN 978-3-540-48705-0.
- Rady, Martyn (2020). The Habsburgs: The Rise and Fall of a World Power. London: Allen Lane. ISBN 978-0-241-33262-7.
อ่านเพิ่ม
แก้- Bérenger, Jean. A History of the Habsburg Empire, 1273–1700 (Routledge, 2013)
- Bérenger, Jean. A History of the Habsburg Empire, 1700–1918 (Routledge, 2014)
- Evans, Robert John Weston. The Making of the Habsburg Monarchy, 1550–1700: An Interpretation (Oxford University Press, 1979) ISBN 0-19-873085-3
- Evans, R. J. W. "Remembering the Fall of the Habsburg Monarchy One Hundred Years on: Three Master Interpretations" Austrian History Yearbook (May 2020) Vol. 51, pp 269–291; historiography
- Fichtner, Paula Sutter. The Habsburg Monarchy, 1490–1848: Attributes of Empire (Palgrave Macmillan, 2003)
- Henderson, Nicholas. "Joseph II" History Today (Sept 1955) 5#9 pp 613–621.
- Ingrao, Charles. The Habsburg Monarchy, 1618–1815 (2000)
- Ingrao, Charles. In Quest and Crisis: Emperor Joseph I and the Habsburg Monarchy (1979)
- Judson, Pieter M. The Habsburg Empire: A New History (2016)
- Kann, Robert A. A History of the Habsburg Empire: 1526–1918 (University of California Press, 1974)
- Lieven, Dominic. Empire: The Russian empire and its rivals (Yale University Press, 2002), comparisons with Russian, British, & Ottoman empires.
- Macartney, Carlile Aylmer The Habsburg Empire, 1790–1918, New York, Macmillan 1969
- McCagg, Jr., William O. A History of the Habsburg Jews, 1670–1918 (Indiana University Press, 1989)
- Mitchell, A. Wess. The Grand Strategy of the Habsburg Empire (Princeton University Press, 2018)
- Oakes, Elizabeth and Eric Roman. Austria-Hungary and the Successor States: A Reference Guide from the Renaissance to the Present (2003)
- Sked, Alan The Decline and Fall of the Habsburg Empire, 1815–1918 (London: Longman, 1989)
- Stone, Norman. "The Last Days of the Habsburg Monarchy," History Today (Aug 1968), Vol. 18 Issue 8, pp 551–560; online
- Steed, Henry Wickham; และคณะ (1914). A short history of Austria-Hungary and Poland. Encyclopaedia Britannica Company. p. 145.
- Taylor, A. J. P. The Habsburg monarchy, 1809–1918: a history of the Austrian Empire and Austria-Hungary, (London: Penguin Books. 2nd ed. 1964)
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- รายการการสนทนาทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของราชาธิปไตยฮาพส์บวร์คและรัฐสืบทอดในภูมิภาคยุโรปกลางนับตั้งแต่ ค.ศ. 1500 (ภาษาอังกฤษ) พร้อมการอภิปราย, รายการเนื้อหา, คำวิจารณ์หนังสือ, แบบสอบถาม และแถลงการณ์; ได้รับการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอโดยนักวิชาการตั้งแต่ ค.ศ. 1994