เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม พิชเยนทรโยธิน)

พลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม พิชเยนทรโยธิน) (7 มีนาคม พ.ศ. 2414[1] – 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2485[2]) ชื่อสกุลเดิม อินทรโยธิน เป็นนายทหารชาวไทย รับราชการและดำรงตำแหน่งหลายตำแหน่ง ที่สุดได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจนอสัญกรรม

เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน
(อุ่ม พิชเยนทรโยธิน)
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ดำรงตำแหน่ง
21 สิงหาคม พ.ศ. 2478 – 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2485
กษัตริย์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
นายกรัฐมนตรีพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
แปลก พิบูลสงคราม
สมุหราชองครักษ์
ดำรงตำแหน่ง
6 มีนาคม พ.ศ. 2456 – 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก่อนหน้านายพลโท พระยาสุรเสนา
ถัดไปนายพลโท พระยาประสิทธิ์ศุภการ
ดำรงตำแหน่ง
28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471 – 1 เมษายน พ.ศ. 2475
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก่อนหน้านายพลตรี หม่อมเจ้าอมรทัต
ถัดไปนายพลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด7 มีนาคม พ.ศ. 2414[1]
บ้านถนนพระสุเมรุ บางลำพูบน
เสียชีวิต21 กรกฎาคม พ.ศ. 2485 (71 ปี)[2]
ศาสนาพุทธ
คู่สมรสคุณหญิงสงัด พิชเยนทรโยธิน[3]
บุตร10 คนรวมอาจและเอนทรี
บุพการี
  • เสงี่ยม อินทรโยธิน (บิดา)
  • คุณหญิงชม้าย อินทรโยธิน (มารดา)
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
รับใช้ ไทย
สังกัดกองทัพบกไทย
กรมราชองครักษ์
กองเสือป่า
กรมพระตำรวจ (กิตติมศักดิ์)
ประจำการพ.ศ. 2433 – พ.ศ. 2475
ยศพลเอก
นายพลเสือป่า
พระตำรวจตรีพิเศษ
บังคับบัญชากรมราชองครักษ์

ประวัติ

แก้

อุ่มเกิดที่บ้านถนนพระสุเมรุ บางลำพูบน ในกำแพงพระนคร เป็นบุตรนายเสงี่ยม อินทรโยธิน มีตำแหน่งเป็นมหาดเล็กวิเศษอยู่เวรศักดิ์ และคุณหญิงชม้าย อินทรโยธิน มีพี่น้องรวมท่านด้วยทั้งสิ้น 8 คน เป็นหญิงคนโต นอกนั้นเป็นชายทั้งหมด โดยท่านเป็นคนที่ 3 ได้รับการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนหลวงในพระบรมมหาราชวัง ในสำนักพระยาอนุกูล (ชม) และได้เข้าศึกษาวิชาทหารในสำนักพระยาวิเศษสัจธาดา ได้ศึกษาวิชาภาษาอังกฤษในสำนักครูลำดัส ได้ถวายตัวเป็นทหารรักษาพระองค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร

ในปี พ.ศ. 2427 ได้บวชเป็นสามเณรอยู่วัดรังสีในสำนักท่านอาจารย์สี เมื่อสึกจากสามเณรแล้วได้ไปศึกษาวิชาภาษาอังกฤษในสำนักหมอแมกฟาร์แลนด์เป็นเวลา 3 ปี แล้วสมัครเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบก พระราชวังสราญรมย์เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้วก็เข้ารับราชการในกรมทหารราบที่ 4 เมื่อปี 2433 ได้ย้ายเข้าประจำกองโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้ไปในกองข้าหลวงใหญ่เพื่อปราบโจรผู้ร้ายหัวเมืองฝ่ายตะวันออก เมื่อครั้งที่ พลเอกเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ผู้บัญชาการทหารบก ได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เป็นข้าหลวงใหญ่ในการปราบปรามโจรผู้ร้ายนั้น จากนั้นก็ได้เลื่อนยศเป็นว่าที่ร้อยโทปลัดกองโรงเรียนนายร้อยทหารบก

ในปี พ.ศ. 2435 ขณะมียศเป็นว่าที่นายร้อยตรีได้เป็นผู้บังคับกองร้อยโท[4]และได้ย้ายไปรับราชการประจำกองร้อยที่ 1 ในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นก็ได้เลื่อนยศเป็นว่าที่ร้อยเอกเป็นผู้บังคับกองร้อยที่ 4 ไปรักษาราชการ ณ มณฑลลาวกาว เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2436[5]

ในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2437 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นร้อยเอกในกรมทหารบก มีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรสิทธยานุการ ถือศักดินา 800 [6] เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร สวรรคต ก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกไปรับราชการเป็นองครักษ์ประจำองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ พร้อมกับ พลตรีพระยาเสมอใจราช ข้าหลวงผู้เชิญเครื่องราชอิสริยยศไปทูลเกล้าฯ ที่กรุงลอนดอน ในการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ระหว่างที่รับราชการประจำพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ก็ได้ตามเสด็จพระราชดำเนินไปทุกหนทุกแห่ง และได้ศึกษาวิชาทหารบางวิชาโดยเสด็จ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมารด้วย

ในปี พ.ศ. 2443 ได้ตามเสด็จฯ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ไปในงานพระบรมศพพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 1 แห่งอิตาลี ในเดือน กันยายน 2444 ได้ตามเสด็จฯ ไปในงานพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร ในเดือนพฤษภาคม 2445 ได้ตามเสด็จฯ ไปในงานบรมราชาภิเษก พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 แห่งสเปน ในเดือน มิถุนายน 2445 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น พันตรี

เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงสำเร็จการศึกษาแล้ว ได้เสด็จประพาสไปเยี่ยมเยียนพระราชสำนักและเมืองต่างๆ ในยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ก็ได้ตามเสด็จฯ ไปด้วย ได้เสด็จฯ นิวัตกลับกรุงเทพฯ ทางอเมริกาถึงกรุงเทพฯ เมื่อปลายเดือน ก.ค. 2445 นับได้ว่า พลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ได้ทำหน้าที่ราชองครักษ์ประจำพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ตั้งแต่ไปและกลับเป็นเวลานานถึง 8 ปี และเมื่อกลับมาแล้วก็ยังคงรับราชการเป็นราชองครักษ์อยู่ต่อไปจนถึงวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2445 จึงได้พ้นจากตำแหน่งราชองครักษ์ประจำการและได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยในกองโรงเรียนทหารบก[7]

โดยเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินได้รับพระราชทานยศเป็น พันโท เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2446 [8] และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุรเดชรณชิต" ถือศักดินา 1000 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446[9]ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองโรงเรียนทหารบกเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2446[10]จากนั้นจึงได้เลื่อนยศเป็น พันเอก เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2449 อันตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว [11]และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมณฑลพายัพเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน[12]จากนั้นจึงได้เป็นพระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ ถือศักดินา 1500 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2450 [13]ในตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่ 8 มณฑลพายัพในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2452 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น พลตรี[14]ต่อมาจึงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายมาดำรงตำแหน่งจเรทหารราบและจเรทหารม้า เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2452[15]ในปี 2454 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกองข้าหลวงปักปันเขตแดน มณฑลปัตตานี และนครศรีธรรมราช ต่อกับเขตเมืองไทรบุรีและกลันตัน ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2456 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาเทพอรชุน[16]และดำรงตำแหน่งสมุหราชองครักษ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีเดียวกัน [17]

ในปี พ.ศ. 2457 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าเป็นนายทหารพิเศษ ในกรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร.ตำแหน่งจเรทหารรักษาวัง ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้รับพระราชทานยศ พลโท เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2457[18] โดยได้เข้ารับพระราชทานสัญญาบัตรยศทหารเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2457[19] ในวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากตำแหน่งสมุหราชองครักษ์ไปเป็นจเรทหารบกและการปืนเล็กปืนกล[20]ทั้งยังเป็นประธานตุลาการศาลทหารบกกลางด้วย ต่อมาในเดือน มิ.ย. 2463 ได้รับคำสั่งให้เป็นผู้แทนกระทรวงกลาโหมไปในการรับพระศพ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ณ ประเทศสิงคโปร์ พร้อมด้วยเสนาบดีกระทรวงวังโดยได้รับพระราชทานสัญญาบัตรยศเป็น พลเอก เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2467[21] วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2470 ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นองคมนตรีตาม พระราชบัญญัติองคมนตรี พ.ศ. 2470[22]

ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับเข้ามารับราชการในตำแหน่งสมุหราชองครักษ์[23]และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472[24]ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โดยเสด็จพระราชดำเนินประพาสประเทศอินโดจีน ญวน และเขมร ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ในเดือนเมษายน 2475 ก็เกษียณอายุราชการ

ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาด้านการเมืองการปกครองประเทศ จึงขึ้นอยู่กับรัฐบาลผู้บริหารประเทศ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะรัฐบาลในขณะนั้นจึงต้องแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่ง พลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการด้วย

ในระหว่างที่ พลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน เป็นผู้สำเร็จราชการนั้น มีเรื่องเล่ากันว่าภายหลังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ถูกจับนั้น มีผู้ไปกราบทูลสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ว่าสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร พระราชธิดาทรงประชวรด้วยโรคพระวักกะพิการ และหมอไม่สามารถถวายการรักษาได้ เพราะไม่เข้าใจสมมติฐานของโรค มีแต่เพียงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรเท่านั้นที่ทรงอธิบายได้ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าจึงทรงเรียก พลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินมาเฝ้า และทรงขอให้ไปติดต่อรัฐบาล เพื่ออนุญาตนำตัว สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาท ออกมาชี้แจงสมมติฐานของโรคแก่หมอ แต่รัฐบาลก็ไม่ยินยอม สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าถึงกับมีรับสั่งกับ พลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ความว่า "เขาจะแกล้งให้ฉันตาย ฉันไม่รู้ว่าฉันจะอยู่ไปทำไม ลูกตายไม่ได้น้อยใจ ช้ำใจเหมือนครั้งนี้เลย เพราะมีเรื่องหักได้ว่าเป็นธรรมดาโลกครั้งนี้ทุกข์ที่สุดที่จะทุกข์แล้ว"

พลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาจนถึงปี 2485 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ยังไม่สิ้นสุดก็เริ่มมีอาการป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง จนถึงวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2485 ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจที่เกิดขึ้นโดยกะทันหัน ด้วยวัย 74ปี 4เดือน

นายปรีดี พนมยงค์เคยกล่าวว่าเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินได้รับความเคารพนับถือมากในหมู่คณะราษฎร[25]

เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินตอนที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เจ้าพระยา ทรงศักดินา 10,000 ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีราชทินนามเต็มว่า "เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินหรินทรราชองครักษ์ มหาสวามิภักดิ์มูลิกากร อภิสรอนีกวนุส ยุทธสมัยสมันตวิทูร นเรนสูรศักตเสนานี มนัสวีเมตตาชวาศรัย อภัยพิริยบรากรมพาหุ มุสิกนาม"

ตำแหน่ง

แก้
  • 6 มีนาคม พ.ศ. 2456 - สมุหราชองครักษ์[26]
  • 15 กันยายน พ.ศ. 2457 จเรกรมทหารรักษาวัง[27]

ยศทหาร

แก้
  • พลเอก

ยศกรมพระตำรวจ

แก้
  • พระตำรวจตรีพิเศษ[28]

ยศกรมเสือป่า

แก้
  • นายพลเสือป่า[29]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

แก้

เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม พิชเยนทรโยธิน) ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

แก้

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 ที่ระลึกไนการพระราชทานเพลิงสพพนะท่าน นายพลเอก อุ่ม พิชเยนทรโยธิน ผู้สำเหร็ดราชการแทนพระองค์ นะสุสานหลวงวัดเทพสิรินทราวาส 16 ธันวาคม 2485. พระนคร: กรมราชองครักส์. 2485. p. 3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-08-09. สืบค้นเมื่อ 2021-08-09.
  2. 2.0 2.1 ที่ระลึกไนการพระราชทานเพลิงสพพนะท่าน นายพลเอก อุ่ม พิชเยนทรโยธิน ผู้สำเหร็ดราชการแทนพระองค์ นะสุสานหลวงวัดเทพสิรินทราวาส 16 ธันวาคม 2485. พระนคร: กรมราชองครักส์. 2485. p. 6. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-08-09. สืบค้นเมื่อ 2021-08-09.
  3. ข่าวตาย
  4. "ตำแหน่งนายทหารสัญญาบัตร กรมยุทธนาธิการ ในรัตนโกสินทร์ศก 111 (หน้า 257)" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-12-09. สืบค้นเมื่อ 2020-04-04.
  5. ข้าราชการกราบถวายบังคมลา
  6. ทรงตั้งองคมนตรี และพระราชทานสัญญาบัตรเครื่องราชอิสริยาภรณ์
  7. แจ้งความกรมยุทธนาธิการ
  8. พระราชทานสัญญาบัตรทหารบก
  9. "พระราชทานสัญญาบัตรขุนนาง" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-12-09. สืบค้นเมื่อ 2020-05-11.
  10. แจ้งความกรมยุทธนาธิการ
  11. "พระราชทานสัญญาบัตรทหารบก" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-10-11. สืบค้นเมื่อ 2020-04-27.
  12. แจ้งความกรมยุทธนาธิการ
  13. ส่งสัญญาบัตรขุนนางไปพระราชทาน
  14. ส่งสัญญาบัตรทหารบกไปพระราชทาน
  15. แจ้งความกรมยุทธนาธิการ
  16. พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์
  17. ประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ให้นายพลโทพระยาเทพอรชุนเป็นสมุหราชองครักษ์
  18. ตั้งตำแหน่งยศนายทหารบก
  19. รายวันพระราชทานสัญญาบัตรยศทหาร
  20. ประกาศพระบรมราชโองการ ตั้งจเรทัพบกและการปืนเล็กปืนกล และสมุหราชองครักษ์
  21. พระราชทานสัญญาบัตรยศ
  22. พระบรมราชโองการ พระราชบัญญัติองคมนตรี
  23. พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งสมุหราชองครักษ์ (นายพลเอก พระยาเทพอรชุน)
  24. "พระบรมราชโองการ ประกาศตั้งกรม ตั้งพระองค์เจ้าและเจ้าพระยา (หน้า 192)" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2015-10-02. สืบค้นเมื่อ 2020-04-05.
  25. สายเลือดพระเจ้าตาก-สายกรมขุนอินทรพิทักษ์-อินทรโยธิน[ลิงก์เสีย] www.oknation.net
  26. ประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ให้นายพลโท พระยาเทพอรชุณเปนสมุหราชองครักษ์ (หน้า ๔๘๔-๘๕)
  27. ประกาศกระทรวงวัง
  28. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงวัง เรื่อง พระราชทานยศตำรวจพิเศษ เก็บถาวร 2022-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๓๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๓๔๔, ๕ สิงหาคม ๒๔๖๐
  29. พระราชทานยศเสือป่า
  30. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๔๒, ๑๘ กันยายน ๒๔๘๔
  31. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานตราวัราภรณ์, เล่ม ๓๑ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๕๑, ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๕๗
  32. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๘๐๒, ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๑
  33. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๘๐๐, ๒๕ กันยายน ๒๔๘๒
  34. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๔๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๕๑๒, ๑๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘
  35. ราชกิจจานุเบกษา, รายพระนามและนามผู้รับพระราชทานตราวัลลภาภรณ์ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๒ และแถลงความชอบของผู้นั้นๆ, เล่ม ๓๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๑, ๖ เมษายน ๒๔๖๒
  36. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานตราวชิรมาลา, เล่ม ๓๑ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๓๓๑, ๒๐ กันยายน ๒๔๕๗
  37. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญช่วยราชการเขตภายใน, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๗, ๒๓ มิถุนายน ๒๔๘๔
  38. ราชกิจจานุเบกษา, ส่งเหรียญจักรมาลาไปพระราชทาน, เล่ม ๑๘ ตอนที่ ๒๖ หน้า ๔๔๐, ๒๙ กันยายน ๑๒๐
  39. ราชกิจจานุเบกษา, ส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปพระราชทาน, เล่ม ๔๓ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๔๗, ๒ พฤษภาคม ๒๔๖๙
  40. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลปัจจุบัน, เล่ม ๒๕ ตอนที่ ๓๖ หน้า ๑๐๔๑, ๖ ธันวาคม ๑๒๗
  41. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลปัจจุบัน, เล่ม ๓๓ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๒๕๙, ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๙
  42. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ฝ่ายหน้า, เล่ม ๓๓ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๑๒๕, ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๙
  43. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๕๙, ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๑
  44. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเหรียญราชรุจิก้าไหล่ทอง, เล่ม ๒๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๗๒๔, ๙ กรกฎาคม ๑๓๐
  45. 45.0 45.1 45.2 ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๑๘ ตอนที่ ๓๕ หน้า ๖๘๘, ๑ ธันวาคม ๑๒๐
  46. 46.0 46.1 46.2 46.3 46.4 46.5 46.6 ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญต่างประเทศ, เล่ม ๑๙ ตอนที่ ๒๕ หน้า ๕๐๑, ๒๑ กันยายน ๑๒๑
  47. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๓๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๕๕๐, ๑๓ มิถุนายน ๒๔๕๘
  48. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๒๑ ตอนที่ ๘ หน้า ๑๐๗, ๒๒ พฤษภาคม ๑๒๓
  49. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๔๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๕๕๙, ๑๓ ธันวาคม ๒๔๗๔
ก่อนหน้า เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม พิชเยนทรโยธิน) ถัดไป
เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)    
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(21 สิงหาคม พ.ศ. 2478 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2485)
  ปรีดี พนมยงค์