ประเทศเปรู

สาธารณรัฐในอเมริกาใต้
(เปลี่ยนทางจาก สาธารณรัฐเปรู)

10°S 76°W / 10°S 76°W / -10; -76

สาธารณรัฐเปรู

República del Perú (สเปน)
ชื่อในภาษาราชการร่วม
คำขวัญ"มั่นคงและเป็นสุขจากการรวมเป็นหนึ่ง"
(สเปน: Firme y feliz por la unión)

ที่ตั้งของ ประเทศเปรู  (เขียว) ในทวีปอเมริกาใต้  (เทา)
ที่ตั้งของ ประเทศเปรู  (เขียว)

ในทวีปอเมริกาใต้  (เทา)

เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
ลิมา
12°2.6′S 77°1.7′W / 12.0433°S 77.0283°W / -12.0433; -77.0283
ภาษาราชการ
กลุ่มชาติพันธุ์
(2017[a])
ศาสนา
(2017[b])[1]
การปกครองรัฐเดี่ยว สาธารณรัฐระบบประธานาธิบดี[2][3]
ดินา โบลัวร์เต[4]
ตำแหน่งว่าง
กุสตาโว อาเดรียนเซน
Eduardo Salhuana
สภานิติบัญญัติรัฐสภาแห่งสาธารณรัฐ
เอกราช 
จากสเปน
28 กรกฎาคม ค.ศ. 1821
9 ธันวาคม ค.ศ. 1824
• ได้รับการยอมรับ
14 สิงหาคม ค.ศ. 1879
พื้นที่
• รวม
1,285,216 ตารางกิโลเมตร (496,225 ตารางไมล์) (อันดับที่ 19)
0.41
ประชากร
• 2021 ประมาณ
เพิ่มขึ้นเป็นกลาง 34,294,231[5] (อันดับที่ 44)
• สำมะโนประชากร 2017
31,237,385
23 ต่อตารางกิโลเมตร (59.6 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 198)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2020 (ประมาณ)
• รวม
ลดลง 385.719 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[6] (อันดับที่ 47)
ลดลง 11,516 ดอลลาร์สหรัฐ[6] (อันดับที่ 103)
จีดีพี (ราคาตลาด) 2020 (ประมาณ)
• รวม
ลดลง 195.761 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[6] (อันดับที่ 49)
ลดลง 5,845 ดอลลาร์สหรัฐ[6] (อันดับที่ 86)
จีนี (2019)positive decrease 41.5[7]
ปานกลาง
เอชดีไอ (2019)เพิ่มขึ้น 0.777[8]
สูง · อันดับที่ 79
สกุลเงินนูเอโบโซล (PEN)
เขตเวลาUTC−5 (เวลาในประเทศเปรู)
รูปแบบวันที่วว.ดด.ปปปป (ค.ศ.)
ขับรถด้านขวา
รหัสโทรศัพท์+51
รหัส ISO 3166PE
โดเมนบนสุด.pe

เปรู (สเปน: Perú [peˈɾu]; เกชัว: Piruw [pɪɾʊw];[9] ไอมารา: Piruw [pɪɾʊw]) มีชื่อทางการคือ สาธารณรัฐเปรู (สเปน: República del Perú) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ มีพรมแดนทางทิศเหนือติดกับประเทศเอกวาดอร์และประเทศโคลอมเบีย ทิศตะวันออกติดกับประเทศบราซิลและประเทศโบลิเวีย ทางทิศใต้ติดกับประเทศชิลี และทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก

ประเทศเปรูเป็นที่ตั้งของอารยธรรมการัล ซึ่งเป็นอารยธรรมเก่าแก่อันหนึ่งของโลก และอาณาจักรอินคา จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาก่อนยุคโคลัมบัส[10] ต่อมาภูมิภาคนี้ตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิสเปน และได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2364

ชื่อเปรูมาจากคำว่า "บิรู" (Birú) ซึ่งเป็นชื่อของผู้ปกครองท้องถิ่นบริเวณอ่าวซานมีเกลในปานามา[11] โดยบริเวณนี้เป็นจุดใต้สุดที่ชาวยุโรปรู้จักเมื่อครั้งนักสำรวจชาวสเปนมาถึงในปี พ.ศ. 2065[12] ดังนั้นเมื่อฟรันซิสโก ปิซาร์โรเดินทางสำรวจต่อไปทางใต้ จึงเรียกภูมิภาคเหล่านั้นว่าบิรูหรือเปรูด้วย[13] จักรวรรดิสเปนรับรองชื่อนี้ในปี พ.ศ. 2072 ในเอกสาร กาปิตูลาซิออนเดโตเลโด ซึ่งตั้งจังหวัดเปรูบริเวณจักรวรรดิอินคาเดิม[14]

รัฐอธิปไตยของเปรูเป็นตัวแทนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยที่แบ่งการปกครองออกเป็น 25 ภูมิภาค ปัจจุบันเปรูเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา โดยอยู่ในอันดับที่ 82 ในดัชนีการพัฒนามนุษย์ของโลกและมีแนวโน้มการพัฒนาคุณภาพมนุษย์อยู่ในระดับสูง[15] ประชากรเปรูมีรายได้ในระดับปานกลางและยังคงมีอัตราความยากจนอยู่ราว 19 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเปรูถือเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจมากที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคอเมริกาใต้ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5.9%[16] รวมทั้งมีอัตราการเติบโตทางอุตสาหกรรมที่เร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่อัตราเฉลี่ย 9.6% กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศได้แก่ การขุดเจาะ การทำเหมือง การผลิต เกษตรกรรม และการประมง พร้อมกับกิจกรรมภาคเศรษฐกิจส่วนอื่น ๆ ที่กำลังเติบโต เช่น โทรคมนาคมและเทคโนโลยีชีวภาพ[17] ประเทศเปรูเป็นส่วนหนึ่งของ The Pacific Pumas ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศทางการเมืองและเศรษฐกิจตามแนวชายฝั่งแปซิฟิกของลาตินอเมริกาที่มีแนวโน้มร่วมกันของการเติบโตในเชิงบวก ประชากรของเปรูมียังเสรีภาพทางสังคมและการดำรงชีวิตสูง

เปรูถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูงโดยมีประชากรจากหลายภูมิภาค เช่น ชาวอินเดียน-อเมริกัน ชาวยุโรป ชาวแอฟริกา รวมถึงชาวเอเชีย ภาษาหลักที่ใช้ในการสื่อสารโดยทั่วไปคือภาษาสเปน และยังมีภาษาท้องถิ่นอีกมากมายตามแถบชนบทของประเทศ เช่น ภาษาไอมารา ภาษาเกชัว ความหลากหลายทางวัฒนธรรมดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นผ่านวิถีชีวิตของชาวเปรูในหลายแง่มุม เช่น สถานที่ท่องเที่ยว ดนตรี อาหาร การแต่งกาย เป็นต้น[18][19][20]

ภูมิศาสตร์

แก้
 
แผนที่แสดงเขตพืชพรรณที่แตกต่างกันไปตามลักษณะภูมิประเทศ

เปรูมีพื้นที่ 1,285,220 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนติดกับเอกวาดอร์และโคลอมเบียทางเหนือ บราซิลทางตะวันออก โบลิเวียทางตะวันออกเฉียงใต้ ชิลีทางใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันตก ประเทศเปรูมีเทือกเขาแอนดีสพาด ผ่านขนานกับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แบ่งประเทศออกเป็นสามภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ ได้แก่ พื้นที่ชายฝั่งหรือ โกสตา (costa) ทางตะวันตก เป็นที่ราบแคบและแห้งแล้งยกเว้นบริเวณหุบเขาซึ่งเกิดจากแม่น้ำตามฤดูกาล เขตที่สูงหรือ ซิเอร์รา (sierra) เป็นภูมิภาคบนเทือกเขาแอนดีส ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ราบสูงอัลติปลาโน (Altiplano) เช่นเดียวกับวัสการัน (Huascarán) จุดที่สูงที่สุดของประเทศ 6,768 เมตร[21] ส่วนที่สามคือเขตป่ารกทึบหรือ เซลบา (selva) เป็นที่ราบกว้างขวาง ปกคลุมด้วยป่าดิบชื้นแอมะซอน เกือบร้อยละ 60 ของพื้นที่ประเทศอยู่ในส่วนนี้[22]

แม่น้ำส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาแอนดีส และไหลลงสู่เขตลุ่มน้ำสามแห่งของเปรู แม่น้ำที่ไหลไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกนั้นสูงชันและสั้น ไหลอย่างไม่สม่ำเสมอ ในขณะที่สายที่ไหลไปทางแม่น้ำแอมะซอนนั้นยาวกว่า มีกระแสน้ำมากกว่า และสูงชันน้อยกว่าเมื่อไหลออกจากเขตที่สูง ส่วนแม่น้ำที่ไหลไปยังทะเลสาบติติกากาส่วนใหญ่จะสั้นและมีกระแสน้ำมาก[23] แม่น้ำสายที่ยาวเป็นอันดับต้น ๆ ของเปรูได้แก่ แม่น้ำอูกายาลิ แม่น้ำมารัญญอน แม่น้ำปูตูมาโย แม่น้ำยาบารี แม่น้ำวายากา แม่น้ำอูรูบัมบา แม่น้ำมันตาโร และแม่น้ำแอมะซอน[24]

เปรูไม่ได้มีเฉพาะภูมิอากาศแบบเขตร้อนเหมือนประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรทั่วไป อิทธิพลของเทือกเขาแอนดีสและกระแสน้ำฮุมบ็อลท์ทำ ให้เปรูมีความหลากหลายทางภูมิอากาศ เขตชายฝั่งมีอากาศอบอุ่น ปริมาณน้ำฝนต่ำ และความชื้นสูง ยกเว้นส่วนเหนือสุดที่ร้อนกว่าและฝนตกมากกว่า[25] โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ บริเวณชายฝั่งตอนเหนือจะมีฝนตกหนักมาก[26] เขตที่สูง มีฝนตกบ่อยในฤดูร้อน อุณหภูมิและความชื้นลดลงตามความสูง[27] ส่วนเขตป่ารกทึบมีจุดสำคัญที่ฝนตกหนักและอุณหภูมิสูง ยกเว้นส่วนใต้สุดที่มีฤดูหนาวที่หนาวเย็นและฝนตกตามฤดูกาล[28] จากภูมิประเทศและภูมิอากาศที่หลากหลาย ทำให้เปรูมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยจนถึงปี พ.ศ. 2546 พบพืชและสัตว์แล้วถึง 21,462 ชนิด ในจำนวนนั้น 5,855 เป็นสปีชีส์เฉพาะถิ่น[29]

ประวัติศาสตร์

แก้

ยุคก่อนอินคา

แก้
 
เส้นนัซกา

ปรากฏร่องรอยของมนุษย์กลุ่มแรกในบริเวณประเทศเปรูตั้งแต่ประมาณ 10,000 ปีก่อนพุทธศักราช[30] อารยธรรมการัลซึ่งเป็นสังคมที่เก่าแก่ที่สุดในเปรูเจริญขึ้นบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในระหว่าง 2,500 ถึง 1,300 ปีก่อนพุทธศักราช[31]

จาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลืออยู่มากมายในประเทศเปรู แสดงให้เห็นว่ามีอารยธรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นในทวีปอเมริกาใต้ในยุคก่อนอินคา อารยธรรมชาบินเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดอารยธรรมหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ ศูนย์กลางอยู่บริเวณชายฝั่งตอนกลางของเปรู โบราณสถานที่สำคัญคือ ชาบินเดวันตาร์ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงลิมา

ในยุคต่อมา อารยธรรมโมเชพัฒนาขึ้นบริเวณชายฝั่งตอนเหนือของเปรู และภายหลังพัฒนากลายเป็นอารยธรรมชีมู ส่วนทางตอนใต้ของเปรู อารยธรรมนัซกาได้ถือกำเนิดขึ้นบริเวณชายฝั่งในช่วงระยะเวลาเดียวกับอารยธรรมโมเช ร่องรอยอารยธรรมที่สำคัญคือเส้นนัซกา นอกจากนี้ ยังมีอารยธรรมตีวานากู ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ใกล้กรุงลาปาซในประเทศโบลิเวีย และอารยธรรมอัวรีซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณแคว้นไออากูโชทางตอนใต้ของเปรู[32]

ยุคอินคา

แก้
 
การต่อสู้ระหว่างสเปนกับอินคา

อาณาจักรอินคาก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 18 แต่เริ่มมีอำนาจขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1981 ในสมัยของปาชากูตี กษัตริย์องค์ที่ 9 อินคาค่อย ๆ ขยายอาณาเขตออกไปจากศูนย์กลางที่เมืองกุสโกทั้ง โดยวิธีทางการทูตและการสู้รบ จักรวรรดิขยายใหญ่จนถึงที่สุดในยุคของไวนา กาปัก กษัตริย์องค์ที่ 11 ครอบคลุมบริเวณชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ ตั้งแต่บริเวณตอนใต้ของประเทศโคลอมเบียไปจนถึงตอนกลางของประเทศชิลี รวมทั้งบริเวณประเทศโบลิเวีย และตอนเหนือของประเทศอาร์เจนตินา

ก่อนที่ไวนา กาปักจะสวรรคต ได้ทรงแบ่งดินแดนอินคาให้แก่อาตาวัลปาและวัสการ์ พระราชโอรสทั้งสอง แต่พระราชโอรสทั้งสองไม่พอพระทัย ต้องการปกครองแผ่นดินแต่เพียงพระองค์เดียว จึงเกิดการสู้รบเพื่อแย่งแผ่นดินกันขึ้น ในที่สุดอาตาวัลปาก็เป็นฝ่ายชนะ

ในขณะที่ดินแดนอินคากำลังวุ่นวายด้วยสงครามแย่งชิงอำนาจและโรคระบาด ฟรันซิสโก ปิซาร์โร นักสำรวจชาวสเปนกับ กำลังพลเพียง 167 คน ได้เดินทางมาเข้าพบอาตาอวลปาขณะที่กำลังพักผ่อนหลังเสร็จสงครามและจับพระองค์เป็นตัวประกัน ชาวอินคามอบทองคำและเงินเป็นจำนวนมากให้แก่ปิซาร์โรเพื่อเป็นค่าไถ่ให้ปล่อย ตัวจักรพรรดิของตน แต่ปิซาร์โรกลับไม่ยอมรักษาคำพูดและประหารพระองค์ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2075[33]

การปกครองของสเปน

แก้
 
มาชูปิกชู หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

ในปี พ.ศ. 2075 กองทัพผู้พิชิตของสเปนนำโดยฟรันซิสโก ปิซาร์โร เอาชนะจักรพรรดิอินคาอาตาอวลปา และผนวกเข้าอยู่ใต้การปกครองของสเปน ปิซาร์โรตั้งเมืองหลวงใหม่ที่ลิมาซึ่งกลายเป็นเมืองหลวงของประเทศเปรูในปัจจุบัน สิบปีถัดมา จักรวรรดิสเปนภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คได้ตั้งเขตอุปราชแห่งเปรู ซึ่งครอบคลุมอาณานิคมในอเมริกาใต้เกือบทั้งหมด[34] ประมาณสามสิบปีถัดมา อุปราชฟรันซิสโก เด โตเลโด จัดระเบียบดินแดนในปกครองของตนใหม่ ด้วยการทำเหมืองแร่เงินเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักและใช้แรงงานชาวพื้นเมือง[35] ทองแท่งจากเปรูเป็นแหล่งรายได้ของเจ้าสเปนและส่งเสริมเครือข่ายการค้าที่ซับซ้อนที่ไปไกลถึงยุโรปและฟิลิปปินส์[36] อย่างไรก็ตาม ในอีกสองศตวรรษต่อมา การผลิตแร่เงินและการกระจายของเศรษฐกิจที่ลดลงทำให้รายได้ของเจ้าสเปนลดลง[37] จึงทำให้สำนักเจ้าของสเปนประกาศการปฏิรูปบูร์บง ซึ่งประกอบด้วยพระราชกฤษฎีกาเพิ่มภาษีและแยกส่วนเขตอุปราชแห่งเปรู[38] กฎหมายใหม่นี้กระตุ้นให้เกิดการกบฏของตูปัก อามารูที่ 2 และความพยายามปฏิวัติอื่น ๆ ซึ่งพ่ายแพ้ทั้งหมด[39] ในช่วงสงครามประกาศเอกราชในอเมริกาใต้ เปรูยังคงเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายสนับสนุนกษัตริย์ แต่เปรูก็กลายเป็นประเทศเอกราชจากการต่อสู้ของโฆเซ เด ซาน มาร์ติน และซิมอน โบลิบาร์[40]

สาธารณรัฐเปรู

แก้

ในช่วงแรกของการเป็นสาธารณรัฐ การแก่งแย่งชิงอำนาจของผู้นำทางทหารก่อให้เกิดความไร้เสถียรภาพทางการเมือง[41] อัตลักษณ์ของชาติถูกสร้างขึ้นในยุคนี้ จากการที่แนวความคิดสหพันธ์อเมริกาใต้ของโบลิบาร์และสหภาพกับโบลิเวียไม่ประสบความสำเร็จ[42] ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24 เปรูมีเสถียรภาพภายใต้การนำของประธานาธิบดีรามอน กัสติยา ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการส่งออกปุ๋ยขี้นก (guano)[43] อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรเหล่านี้ถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว เปรูมีหนี้สินอย่างหนัก และการต่อสู้ทางการเมืองก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง[44]

เปรูพ่ายแพ้ต่อชิลีในสงครามมหาสมุทรแปซิฟิกที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2422 ถึง 2427 เสียดินแดนจังหวัดอาริกาและตาราปากาในสนธิสัญญาอังกอนและลิมา หลังจากปัญหาภายในประเทศหลังสงคราม เปรูกลับมามีเสถียรภาพภายใต้การนำของพรรคซิบิล ซึ่งสิ้นสุดลงหลังเอากุสโต เบ. เลกิอา ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ[45] เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทำให้เลกิอาถูกล้มจากอำนาจ และกำเนิดพันธมิตรประชาชนปฏิวัติอเมริกา (Alianza Popular Revolucionaria Americana)[46] การแข่งขันระหว่างกลุ่มนี้กับกลุ่มชนชั้นสูงและกองทัพเป็นส่วนสำคัญของการเมืองเปรูในอีกสามทศวรรษถัดมา[47]

ในปี พ.ศ. 2511 กองทัพเปรูนำโดยนายพลฆวน เบลัสโก อัลบาราโด ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากประธานาธิบดีเฟร์นันโด เบลาอุนเด รัฐบาลใหม่ทำการปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนมากเท่าไรนัก[48] ในปี พ.ศ. 2518 นายพลฟรันซิสโก โมราเลส เบร์มูเดซ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทนเบลัสโก ยุติการปฏิรูปและนำประเทศเข้าสู่ประชาธิปไตยอีกครั้ง[49] หลังยุคของโมราเลสในปี 2523 เปรูประสบปัญหาหนี้ต่างประเทศสูง เงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ การขนส่งยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง และปัญหาการเมืองที่การใช้กำลังอย่างรุนแรง[50] ภายใต้การนำของประธานาธิบดีอัลเบร์โต ฟูฆิโมริ พ.ศ. 2533-2543 ประเทศเปรูก็เริ่มฟื้นตัวด้วยการปฏิรูปทางการเมืองและการปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้าย แต่ฟูฆิโมริก็ถูกกล่าวหาเรื่องอำนาจนิยม การทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำให้เขาต้องลาออกและหนีออกนอกประเทศหลังจากการเลือกตั้งครั้งปัญหาในปี พ.ศ. 2543[51] ประชาธิปไตยกลับคืนสู่เปรูอีกครั้งในสมัยของประธานาธิบดีอาเลฆันโดร โตเลโด ซึ่งนับแต่นั้นเป็นต้นมา เปรูพยายามกำจัดการทุจริตในตำแหน่งหน้าที่และสามารถรักษาสภาพทางเศรษฐกิจที่ดีไว้ได้[52]

การปกครอง

แก้
 
สภาเปรูประชุมกันที่รัฐสภา (Palacio Legislativo) ในกรุงลิมา

เปรูเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน ใช้ระบอบประธานาธิบดี ภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน ประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล โดยได้รับเลือกตั้งเข้ามาอยู่ในตำแหน่งห้าปี และไม่สามารถได้รับเลือกอีกในสมัยถัดไปทันทีได้[53] ประธานาธิบดีแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่เหลือตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี[54] รัฐสภาของเปรูเป็นแบบสภาเดียว มีสมาชิก 120 คน ได้รับเลือกตั้งเข้ามาอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลาห้าปี[55] ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารสามารถเริ่มเสนอร่างกฎหมายได้ โดยร่างกฎหมายจะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาและประกาศใช้โดยประธานาธิบดี[56] สถาบันตุลาการเป็นอิสระตามรัฐธรรมนูญ[57] แต่มีการแทรกแซงฝ่ายตุลาการบ่อยครั้งตลอดประวัติศาสตร์[58]

รัฐบาลเปรูได้รับการเลือกตั้งโดยตรง และการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของประชาชนอายุตั้งแต่ 18 ปีจนถึง 70 ปี[59] ในการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2549 อาลัน การ์ซิอา จากพรรคอาปริสตาเปรู ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเหนือโอยันตา อูมาลา จากสหภาพเพื่อเปรู[60] สภาปัจจุบันประกอบด้วยสมาชิกจากพรรคอาปริสตาเปรู 36 คน พรรคชาตินิยมเปรู 23 คน พรรคสหภาพเพื่อเปรู 19 คน พรรคเอกภาพแห่งชาติ 15 คน พันธมิตรเพื่ออนาคต 13 คน พันธมิตรรัฐสภา 9 คน และกลุ่มรัฐสภาพิเศษ 5 คน[61]

ความ สัมพันธ์กับต่างประเทศของเปรูที่ผ่านมามักเกี่ยวพันกับปัญหาข้อพิพาทพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ตกลงกันได้ในคริสต์ศตวรรษที่ 20[62] ปัจจุบันเปรูมีข้อพิพาทกับชิลีเรื่องน่านน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก[63] เปรูเป็นสมาชิกของกลุ่มในภูมิภาคหลายกลุ่ม เป็นสมาชิกก่อตั้งของประชาคมแอนดีส และเป็นสมาชิกขององค์กรรัฐอเมริกา

การแบ่งเขตการปกครอง

แก้
 
แผนที่แคว้นต่าง ๆ ของเปรู

ประเทศเปรูแบ่งการปกครองออกเป็น 25 แคว้น (región) แต่ละแคว้นแบ่งออกเป็นจังหวัด (provincia) และเขต (distrito) ย่อยลงมาตามลำดับ (ยกเว้นจังหวัดลิมาซึ่งเป็นเอกเทศไม่อยู่ในแคว้นใด) แต่ละแคว้นเลือกรัฐบาลท้องถิ่นซึ่งประกอบด้วยประธานและสภา มีวาระ 4 ปี[64] รัฐบาลท้องถิ่นดูแลเรื่องการพัฒนาภูมิภาค โครงการลงทุนสาธารณะ ส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการจัดการทรัพย์สินสาธารณะ[65] จังหวัดลิมาบริหารโดยเทศบาลมหานครลิมา[66]

แคว้นต่าง ๆ ของเปรู และเมืองหลักของแคว้นได้แก่

และจังหวัดลิมา มีเมืองหลักคือลิมา เมืองหลวงของประเทศ

กองทัพ

แก้

กองทัพเปรูประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ มีหน้าที่หลักคือดูแลความปลอดภัยของอิสรภาพ เอกราช และบูรณภาพดินแดนของประเทศ[67] กองกำลังของเปรูอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงกลาโหม และประธานาธิบดีในฐานะผู้บัญชาการสูงสุด การเกณฑ์ทหารถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2542 และเปลี่ยนมาใช้การเป็นทหารโดยสมัครใจแทน[68]

เศรษฐกิจ

แก้
 
แผนที่กิจกรรมเศรษฐกิจของเปรู (พ.ศ. 2513)

เปรู เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านเศรษฐกิจเนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ เขตภูเขาอุดมไปด้วยทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด เปรูจึงเป็นผู้ผลิตแร่ธาตุรายใหญ่ของโลก เช่นทองแดง (อันดับ 3 ของโลก) ตะกั่ว (อันดับ 4 ของโลก) เงิน (อันดับ 1 ของโลก) สังกะสี (อันดับ 3 ของโลก) ดีบุก (อันดับ 3 ของโลก) [69] น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ส่วนทางชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกมีสภาพเอื้ออำนวยต่อการประมง[70] ผลิตภัณฑ์การเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ มันฝรั่ง[71] ข้าวโพด ผลไม้ ต้นโคคา และการปศุสัตว์[70] นอกจากนี้ ทรัพยากรการท่องเที่ยวของเปรู เช่น มาชูปิกชู เมืองกุสโก และป่าดิบชื้นบริเวณแม่น้ำแอมะซอนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก[72] [73]

เปรู มีรายได้ต่อประชากรปี (พ.ศ. 2549) อยู่ที่ 3,374 ดอลลาร์สหรัฐ ร้อยละ 39.3 ของประชากรเป็นคนจน รวมถึงร้อยละ 13.7 ที่อยู่ในระดับจนมาก[74] การบริการมีส่วนร้อยละ 52.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ปี พ.ศ. 2550 ตามด้วยอุตสาหกรรมขั้นทุติยภูมิร้อยละ 23.2 อุตสาหกรรมขั้นปฐมภูมิร้อยละ 14.2 และภาษีร้อยละ 9.7[75] สินค้าส่งออกที่สำคัญของเปรู ได้แก่ ทองแดง ทอง สังกะสี ปิโตรเลียม กาแฟ และสิ่งทอ ส่วนการนำเข้าส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบและสินค้าทุนสำหรับอุตสาหกรรม ประเทศคู่ค้าหลักของเปรูได้แก่สหรัฐอเมริกา จีน บราซิล ชิลี แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น โคลอมเบีย และเอกวาดอร์[76]

นโยบายเศรษฐกิจของเปรูมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ในช่วงปี พ.ศ. 2511-2518 รัฐบาลฆวน เบลัสโก อัลบาราโด มีการปฏิรูปหลายอย่างเช่น การปฏิรูปที่ดินทางการเกษตร ยึดบริษัทต่างชาติหลายแห่งมาเป็นของรัฐบาล การใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนและการขยายภาครัฐบาล ถึงแม้การปฏิรูปเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่จะปรับการกระจายรายได้และยุติการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจจากประเทศที่พัฒนาแล้วได้ก็ตาม[77] แต่นโยบายปฏิรูปเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คงอยู่จนปี พ.ศ. 2533 เมื่อรัฐบาลอัลเบร์โต ฟูฆิโมริ ยกเลิกการควบคุมราคา การแทรกแซงทางการค้า การควบคุมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และดำเนินการแปรรูปหน่วยงานรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่[78] การปฏิรูปเสรีนี้เหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจเปรูมีการเติบโตอย่างมั่นคงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ยกเว้นแต่ช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540[79]

ในปี พ.ศ. 2550 เปรูมีสภาพเศรษฐกิจดีที่สุดในรอบ 40 ปี[80] และเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในทวีป (ประมาณร้อยละ 9.2 ใน พ.ศ. 2550) ซึ่งเป็นผลจากการที่ราคาแร่ธาตุสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ การลงทุนของภาคเอกชนและการบริโภคภายในประเทศยังเติบโตสูงขึ้นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ความร่ำรวยและความเจริญกลับกระจายไม่ทั่วถึงประชากรทั้งประเทศ ในขณะที่เมืองที่ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกและทางตอนเหนือของ ประเทศมีเศรษฐกิจที่เจริญเติบโต เมืองทางตอนใต้แถบเทือกเขาแอนดีสซึ่งส่วนใหญ่ประกอบการเกษตรในพื้นที่ขนาดเล็กกลับมีอัตราประชากรยากจนสูงถึงร้อยละ 70[81]

ประชากร

แก้

เปรูมีประชากรประมาณ 28 ล้านคน เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสี่ของทวีปอเมริกาใต้จากข้อมูลปี พ.ศ. 2550[82] โดยการเติบโตของจำนวนประชากรลดลงจากร้อยละ 2.6 เหลือร้อยละ 1.6 ในช่วงปี พ.ศ. 2493 ถึง 2543 โดยคาดการณ์ว่าจะมีประชากรประมาณ 42 ล้านคนในปี พ.ศ. 2593[83] จากข้อมูลปี พ.ศ. 2548 ร้อยละ 72.6 ของประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมือง และร้อยละ 27.4 ในเขตชนบท[84] เมืองหลักของเปรูได้แก่ ลิมา อาเรกิปา ตรูฆิโย ชิกลาโย ปิวรา อิกิโตส ชิมโบเต กุสโก และอวงกาโย ซึ่งมีประชากรมากกว่าสองแสนคนในการสำรวจปี พ.ศ. 2536[85]

เปรูเป็นสังคมพหุชาติพันธุ์ที่เกิดจากการรวมตัวของหลายเชื้อชาติตลอดช่วงห้าศตวรรษ โดยชนพื้นเมืองเปรูอาศัยอยู่ในเปรูเป็นเวลานับพันปีก่อนที่สเปนจะเข้าครอบครองในพุทธศตวรรษที่ 21 ประชากรพื้นเมืองลดลงในช่วงประมาณร้อยปี จากเก้าล้านคนเหลือเพียงประมาณหกแสนคนจากโรคติดต่อ[86] ชาวสเปนและชาวแอฟริกาจำนวนมากเข้ามาในยุคอาณานิคม หลังได้รับเอกราช มีชาวยุโรปอพยพเพิ่มขึ้น จากอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน[87] ชาวจีนเข้ามาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24 ทดแทนแรงงานทาส และได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญของสังคมเปรู[88]

ภาษาทางการของเปรูคือ ภาษาสเปน ซึ่งเป็นภาษาแม่ของชาวเปรูที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปร้อยละ 80.3 (พ.ศ. 2536) และภาษาเกชัวซึ่งมีประชากรร้อยละ 16.5 พูดภาษานี้ (พ.ศ. 2536) มีผู้พูดภาษาท้องถิ่นอื่น ๆ และภาษาต่างประเทศร้อยละ 3 และร้อยละ 0.2 ของประชากรตามลำดับ[89] จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2549 ประชากรร้อยละ 85 ระบุว่าตัวเองนับถือนิกายโรมันคาทอลิก และร้อยละ 11 นับถือนิกายโปรเตสแตนต์[90] อัตราการรู้หนังสืออยู่ที่ร้อยละ 88.9 โดยอัตราในชนบท (ร้อยละ 76.1) ต่ำกว่าในเมือง (ร้อยละ 94.8) [91] การศึกษาขั้นประถมและมัธยมเป็นการศึกษาบังคับและบริการแบบให้เปล่า (ฟรี) ในโรงเรียนของรัฐ[92]

วัฒนธรรม

แก้
 
เซบิเชของเปรู
 
อินตีไรมี จัดขึ้นที่ซักไซวามัน

วัฒนธรรมเปรูมีรากฐานอยู่บนวัฒนธรรมพื้นเมืองและวัฒนธรรมสเปน[93] ศิลปะของเปรูย้อนกลับไปได้ถึงเครื่องปั้นเดิมเผา สิ่งทอ เพชรพลอย และการแกะสลักของวัฒนธรรมยุคก่อนอินคา ชาวอินคายังคงรักษารูปแบบงานเหล่านี้และยังบรรลุผลในด้านสถาปัตยกรรมโดยได้สร้างมาชูปิกชูในยุคอาณานิคม ศิลปะได้รับอิทธิพลแบบบาโรก โดยผสมเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น[94] ในยุคนี้ ศิลปะส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับศาสนา ตัวอย่างเช่นโบสถ์จำนวนมากและจิตรกรรมแบบสำนักกุสโก[95] ศิลปะในเปรูซบเซาลงหลังได้รับเอกราช จนมาถึงยุคศิลปะแบบอินดิเฆนิสโม ซึ่งนำเสนอความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองอเมริกาใต้[96] วัฒนธรรมโบราณของชาวอินคายังคงอยู่ในเปรูในปัจจุบัน ชาวเปรูยังคงใช้ชีวิตตามแบบบรรพบุรุษ เช่น การใช้ภาษาเกชัว การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

อาหาร

แก้

อาหาร จานหลักของเปรูมีความหลากหลายเพราะมีส่วนผสมที่สามารถหาได้ในประเทศ หลายอย่าง เช่น อาหารทะเล เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้ออัลปากา และเนื้อหนูตะเภา นิยมรับประทานอาหารจานหลักกับมันฝรั่ง (ซึ่งกล่าวกันว่ามีมากถึง 3,500 ชนิด[71]) ข้าวโพด หรือข้าว ในเขตเทือกเขาชาวเปรูมักจะกินซุปเพื่ออบอุ่นร่างกายก่อนออกไปเผชิญความหนาวเย็น อาหารเปรูที่มีชื่อเสียงคือ เซบิเช ซึ่งมีลักษณะคล้ายยำทะเล โดยนำเนื้อปลาสดหรือกุ้งสดที่หมักในน้ำมะนาวและพริกไทย มาผสมกับหัวหอมซอย

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเปรูคือ ปิสโกซาวร์ (pisco sour) ซึ่งมีส่วนผสมของเหล้าปิสโก (บรั่นดีที่ทำจากองุ่น) น้ำมะนาว น้ำแข็ง ไข่ขาว และน้ำหวาน ชาวเปรูยังนิยมดื่มเครื่องดื่มจากข้าวโพดสีม่วงที่เรียกว่า ชิชาโมราดา (chicha morada) อีกด้วย[97]

ชาวพื้นเมืองนิยมเคี้ยวใบโคคาตากแห้งและดื่มชาโคคามาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ปัจจุบันกำลังประสบปัญหาถูกต่อต้านจากนานาชาติ เนื่องจากใบโคคา (ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตโคเคน) ถูกสหประชาชาติกำหนดให้เป็นยาเสพติดตั้งแต่ พ.ศ. 2504[98]

ดนตรีและการเต้นรำ

แก้

ดนตรีของเปรูมีพื้นฐานจากดนตรีพื้นเมือง และได้รับอิทธิพลจากสเปนและแอฟริกาในภายหลัง[99] ในยุคก่อนถูกสเปนครอบครองดนตรีก็มีความหลากหลายแตกต่างกันไปตามพื้นที่ เครื่องดนตรีพื้นเมืองที่แพร่หลายที่สุดคือขลุ่ยเกนาและกลองตินยา[100] เมื่ออารยธรรมสเปนเข้ามากีตาร์ก็เป็นที่รู้จักและกลายเป็นเครื่องดนตรีที่เป็นที่นิยมมากที่สุดอย่างหนึ่งในเปรู[101] นอกจากนี้ กีตาร์ยังเป็นจุดกำเนิดให้แก่เครื่องดนตรีชนิดใหม่คือชารังโก อิทธิพลของดนตรีแบบแอฟริกาปรากฏให้เห็นในทั้งในจังหวะของเพลงและเครื่องดนตรี เช่น กลองกาฆอน[102]

การเต้นรำพื้นเมืองของเปรูนอกจากการเต้นรำของคู่หญิงชายอย่างมาริเนรา ตอนเดโร และไวโนแล้ว ยังมีระบำกรรไกร ซึ่งชาวเปรูถือว่าเป็นการแสดงที่เป็นพิธีการ ผู้เต้นจะถือกรรไกรไว้ขณะเต้นด้วยท่าที่โลดโผน[101]

เทศกาล

แก้

เปรูมีเทศกาลมากมายตลอดทั้งปี ซึ่งมีทั้งเทศกาลทางศาสนา เทศกาลเกี่ยวกับประเพณีของอินคา เทศกาลเกี่ยวกับการเกษตร และเทศกาลเพื่อเฉลิมฉลอง เช่น คาร์นิวาลที่มีจุดเด่นที่การละเล่นสาดน้ำ อินตีไรมีหรือพิธีเพื่อบูชาพระอาทิตย์ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่สมัยอินคา เซญญอร์เดโลสมิลาโกรส (ลอร์ดออฟมิราเคิลส์) ซึ่งเป็นพาเหรดทางศาสนาคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ เป็นต้น[103]

กองทัพ

แก้
 
หน่วยลาดตระเวนของกองทัพบกเปรูขณะปฏิบัติหน้าที่ในปี 2019

ประเทศเปรูมีกองกำลังทหารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ในแถบลาตินอเมริกา โดยมีกองทัพทั้ง 3 เหล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก (Ejército del Perú, EP) กองทัพเรือ (Marina de Guerra del Perú, MGP) และกองทัพอากาศ (Fuerza Aérea del Perú, FAP) ทั้งสามเหล่าทัพมีทหารร่วม 400,000 นาย[104] และขึ้นตรงต่อกองบัญชาการกองทัพของเปรู[105] (ควบคุมและสั่งการโดยประธานาธิบดี) มีภารกิจหลักคือรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศและป้องกันตนเองจากการรุกรานของประเทศเพื่อนบ้าน

หมายเหตุและอ้างอิง

แก้

หมายเหตุ

แก้
  1. รวมครั้งแรกในสำมะโนประจำชาติ ค.ศ. 2017 สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ขึ้นไป ซึ่งรวมองค์ประกอบอื่น ๆ อย่างบรรพบุรุษ, ประเพณี และต้นกำเนิดครอบครัวเพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจความเป็นจริงทางวัฒนธรรมของประเทศได้ดีขึ้น
  2. คำถามศาสนาถูกรวมในสำมะโนประจำชาติ ค.ศ. 2017 สำหรับผู้ที่มีอายุ 12 ขึ้นไป

อ้างอิง

แก้
  1. "Perú: Perfil Sociodemográfico" (PDF). Instituto Nacional de Estadística e Informática. p. 231. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 February 2020. สืบค้นเมื่อ 27 September 2018.
  2. Shugart, Matthew Søberg (September 2005). "Semi-Presidential Systems: Dual Executive and Mixed Authority Patterns" (PDF). Graduate School of International Relations and Pacific Studies. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 19 August 2008. สืบค้นเมื่อ 31 August 2017. {{cite journal}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  3. Shugart, Matthew Søberg (December 2005). "Semi-Presidential Systems: Dual Executive And Mixed Authority Patterns". French Politics. 3 (3): 323–351. doi:10.1057/palgrave.fp.8200087. ISSN 1476-3427. OCLC 6895745903. Only in Latin America have all new democracies retained a pure presidential form, except for Peru (president-parliamentary) and Bolivia (assembly-independent).
  4. https://www.bbc.com/news/world-latin-america-63895505
  5. "Perú: Estimaciones y Proyecciones de Población Total, por Años Calendario y Edades Simples, 1950–2050" [Peru: Estimates and Projections of Total Population, by Calendar Years and Simple Ages, 1950–2050] (PDF) (ภาษาสเปน). National Institute of Statistics and Informatics. September 2009. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 September 2018. สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.
  6. 6.0 6.1 6.2 6.3 "Peru". International Monetary Fund. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 January 2021. สืบค้นเมื่อ 18 January 2020.
  7. "Gini Index". World Bank. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 May 2020. สืบค้นเมื่อ 14 July 2021.
  8. Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 December 2020. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
  9. รัฐบาลเปรูใช้ชื่อภาษาเกชัวเป็น Perú (ดูรัฐสภาเปรูฉบับภาษาเกชัว website เก็บถาวร 30 กรกฎาคม 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน และรัฐธรรมนูญเปรูฉบับภาษาเกชัว but common Quechua name is Piruw
  10. "Civilizations in America". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-09. สืบค้นเมื่อ 2008-05-24. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)Washington State University (อังกฤษ)
  11. Raúl Porras Barrenechea, El nombre del Perú, p. 83. (สเปน)
  12. Raúl Porras Barrenechea, El nombre del Perú, p. 84. (สเปน)
  13. Raúl Porras Barrenechea, El nombre del Perú, p. 86. (สเปน)
  14. Raúl Porras Barrenechea, El nombre del Perú, p. 87. (สเปน)
  15. "| Human Development Reports". hdr.undp.org.
  16. "Overview". World Bank (ภาษาอังกฤษ).
  17. "Wayback Machine" (PDF). web.archive.org. 2018-04-24. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-04-24. สืบค้นเมื่อ 2021-06-23. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  18. writer, Staff. "Culture of Peru | Discover Peru" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).[ลิงก์เสีย]
  19. Fracolli, Britt (2020-01-31). "Peru's cultural traditions and habits". Peru For Less (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  20. "Peru Culture". Machu Picchu (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-03-04.
  21. AndesHandbook, Huascarán เก็บถาวร 2016-10-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกข้อมูลวันที่ 12 สิงหาคม 2550. (อังกฤษ)
  22. Instituto de Estudios Histórico-Marítimos del Perú, El Perú y sus recursos: Atlas geográfico y económico, p. 16. (สเปน)
  23. Instituto de Estudios Histórico-Marítimos del Perú, El Perú y sus recursos: Atlas geográfico y económico, p. 31. (สเปน)
  24. Instituto Nacional de Estadística e Informática, Perú: Compendio Estadístico 2005, p. 21. (สเปน)
  25. Instituto de Estudios Histórico-Marítimos del Perú, El Perú y sus recursos: Atlas geográfico y económico, pp. 24-25. (สเปน)
  26. "El Niño Information". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-10-27. สืบค้นเมื่อ 2008-06-28. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help). เรียกข้อมูลวันที่ 28 มิถุนายน 2551. (อังกฤษ)
  27. Instituto de Estudios Histórico-Marítimos del Perú, El Perú y sus recursos: Atlas geográfico y económico, pp. 25-26. (สเปน)
  28. Instituto de Estudios Histórico-Marítimos del Perú, El Perú y sus recursos: Atlas geográfico y económico, pp. 26-27. (สเปน)
  29. Instituto Nacional de Estadística e Informática, Perú: Compendio Estadístico 2005, p. 50. (สเปน)
  30. Tom Dillehay et al, "The first settlers", p. 20.
  31. Jonathan Haas et al, "Dating the Late Archaic occupation of the Norte Chico region in Peru", p. 1021.
  32. "South American Sites & Culures". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-02. สืบค้นเมื่อ 2008-05-26. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help) Minnesota State University Mankato (อังกฤษ)
  33. Terence N. D'Altroy, The Incas, Blackwell Publishing, 2002
  34. Recopilación de leyes de los Reynos de las Indias, vol. II, pp. 12-13. (สเปน)
  35. Peter Bakewell, Miners of the Red Mountain, p. 181. (อังกฤษ)
  36. Margarita Suárez, Desafíos transatlánticos, pp. 252-253. (สเปน)
  37. Kenneth Andrien, Crisis and decline, pp. 200-202. (อังกฤษ)
  38. Mark Burkholder, From impotence to authority, pp. 83-87. (อังกฤษ)
  39. Scarlett O'Phelan, Rebellions and revolts in eighteenth century Peru and Upper Peru, p. 276. (อังกฤษ)
  40. Timothy Anna, The fall of the royal government in Peru, pp. 237-238. (อังกฤษ)
  41. Charles Walker, Smoldering ashes, pp. 124–125.(อังกฤษ)
  42. Paul Gootenberg, Between silver and guano, p. 12. (อังกฤษ)
  43. Paul Gootenberg, Imagining development, pp. 5–6. (อังกฤษ)
  44. Paul Gootenberg, Imagining development, p. 9. (อังกฤษ)
  45. Ulrich Mücke, Political culture in nineteenth-century Peru, pp. 193–194. (อังกฤษ)
  46. Peter Klarén, Peru, pp. 262–276. (อังกฤษ)
  47. David Palmer, Peru: the authoritarian tradition, p. 93. (อังกฤษ)
  48. George Philip, The rise and fall of the Peruvian military radicals, pp. 163–165. (อังกฤษ)
  49. Daniel Schydlowsky and Juan Julio Wicht, "Anatomy of an economic failure", pp. 106–107. (อังกฤษ)
  50. Peter Klarén, Peru, pp. 406–407. (อังกฤษ)
  51. BBC News, Fujimori: Decline and fall. 20 พ.ย. 2543 เรียกข้อมูลวันที่ 13 ก.ค. 2551. (อังกฤษ)
  52. "Survivor Toledo". The Economist. 2005-01-09. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-03-19. สืบค้นเมื่อ 2008-07-31. (อังกฤษ)
  53. Constitución Política del Perú, Article N° 112.
  54. Constitución Política del Perú, Article N° 122.
  55. Constitución Política del Perú, Article N° 90.
  56. Constitución Política del Perú, Articles N° 107-108.
  57. Constitución Política del Perú, Articles N° 146.
  58. Jeffrey Clark, Building on quicksand. Retrieved on July 24, 2007. (อังกฤษ)
  59. Constitución Política del Perú, Article N° 31.
  60. Oficina Nacional de Procesos Electorales, Segunda Elección Presidencial 2006. Retrieved on May 15, 2007. (สเปน)
  61. Congreso de la República del Perú, Grupos Parlamentarios เก็บถาวร 2019-10-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกข้อมูลวันที่ 5 มกราคม 2551. (สเปน)
  62. Ronald Bruce St John, The foreign policy of Peru, pp. 223-224. (อังกฤษ)
  63. BBC News, Peru-Chile border row escalates. เรียกข้อมูลวันที่ 16 พฤษภาคม 2550. (อังกฤษ)
  64. Ley N° 27867, Ley Orgánica de Gobiernos Regionales, Article N° 11.
  65. Ley N° 27867, Ley Orgánica de Gobiernos Regionales, Article N° 10.
  66. Ley N° 27867, Ley Orgánica de Gobiernos Regionales, Article N° 66.
  67. Ministerio de Defensa, Libro Blanco de la Defensa Nacional, p. 90.
  68. Ley N° 27178, Ley del Servicio Militar, Articles N° 29, 42 and 45.
  69. The Economist, Pocket World in Figures 2007 Edition, 2549 (อังกฤษ)
  70. 70.0 70.1 "ข้อมูลประเทศเปรูจากเวิลด์แฟกต์บุก". CIA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-11-05. สืบค้นเมื่อ 2008-05-21. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help). เรียกข้อมูลวันที่ 21 พฤษภาคม 2551.(อังกฤษ)
  71. 71.0 71.1 "Llamas and mash" (ภาษาอังกฤษ). The Economist. 2008-02-28.
  72. "Ecotourism in Peru". The Economist. 2008-04-10. (อังกฤษ)
  73. "Tourism in Peru". The Economist. 2001-07-19.[ลิงก์เสีย] (อังกฤษ)
  74. ข้อมูลปี พ.ศ. 2550. Instituto Nacional de Estadística e Informática, La pobreza en el Perú en el año 2007, p. 3. (สเปน)
  75. Banco Central de Reserva, Producto Bruto Interno por Sectores Productivos 1950 - 2007. (สเปน)
  76. ข้อมูลปี 2549. Banco Central de Reserva, Memoria 2006, pp. 60-61, 66. Retrieved on July 3, 2007. (สเปน)
  77. Rosemary Thorp and Geoffrey Bertram, Peru 1890–1977, pp. 318–319.
  78. John Sheahan, Searching for a better society, p. 157.
  79. Banco Central de Reserva, Producto bruto interno por sectores productivos 1951–2006. Retrieved on 2008-07-09. (สเปน)
  80. "Background of Peru". The Economist. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-10. สืบค้นเมื่อ 2008-05-20.. เรียกข้อมูลวันที่ 20 พฤษภาคม 2551.(อังกฤษ)
  81. "Poverty amid progress". The Economist. 2008-05-08.. เรียกข้อมูลวันที่ 20 พฤษภาคม 2551. (อังกฤษ)
  82. United Nations, World Population ProspectsPDF (2.74 MiB), pp. 44-48. Retrieved on July 29, 2007 (อังกฤษ)
  83. Instituto Nacional de Estadística e Informática, Perú: Estimaciones y Proyecciones de Población, 1950-2050, pp. 37-38, 40. (สเปน)
  84. Instituto Nacional de Estadística e Informática, Perú: Estimaciones y Proyecciones de Población, 1950-2050, p. 45. (สเปน)
  85. Instituto Nacional de Estadística e Informática, Migraciones Internas en el Perú เก็บถาวร 2012-06-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกข้อมูลวันที่ 15 พฤษภาคม 2550. (สเปน)
  86. Noble David Cook, Demographic collapse: Indian Peru, 1520-1620, p. 114. (อังกฤษ)
  87. Mario Vázquez, "Immigration and mestizaje in nineteenth-century Peru", pp. 79-81. (อังกฤษ)
  88. Magnus Mörner, Race mixture in the history of Latin America, p. 131. (อังกฤษ)
  89. Instituto Nacional de Estadística e Informática, Perfil sociodemográfico del Perú เก็บถาวร 2007-05-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกข้อมูลวันที่ 15 พฤษภาคม 2550. (สเปน)
  90. US Bureau of Democracy, Human Rights, and Labor, International Religious Freedom Report 2007. เรียกข้อมูลวันที่ 14 มิถุนายน 2551. (อังกฤษ)
  91. Portal Educativo Huascarán, El analfabetismo en cifras เก็บถาวร 2007-06-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เรียกข้อมูลวันที่ 15 พฤษภาคม 2550. (สเปน)
  92. Constitución Política del Perú, Article N° 17.
  93. Víctor Andrés Belaunde, Peruanidad, p. 472. (สเปน)
  94. Gauvin Alexander Bailey, Art of colonial Latin America, pp. 72-74. (อังกฤษ)
  95. Gauvin Alexander Bailey, Art of colonial Latin America, p. 263. (อังกฤษ)
  96. Edward Lucie-Smith, Latin American art of the 20th century, pp. 76-77, 145-146. (อังกฤษ)
  97. Rob Rachowiecki and Charlotte Beech, Peru, Lonely Planet, 2004, หน้า 42-43 (อังกฤษ)
  98. "Fighting for the Right to Chew Coca". Time. 2008-03-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-23. สืบค้นเมื่อ 2008-05-22. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help) (อังกฤษ)
  99. Raúl Romero, "Andean Peru", p. 385-386.
  100. Dale Olsen, Music of El Dorado, pp. 17-22.
  101. 101.0 101.1 "Dances and Musical Instruments". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-25. สืบค้นเมื่อ 2008-07-02. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help) (อังกฤษ)
  102. Raúl Romero, "La música tradicional y popular", pp. 263-265.
  103. "Festivals in Peru". Peru Tourism Bureau. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-15. สืบค้นเมื่อ 2008-05-31. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help) (อังกฤษ)
  104. Cruz, Yohel (2017-07-29). "Ránking ubica al Perú como la cuarta Fuerza Armada más poderosa de Latinoamérica". RPP (ภาษาสเปน).
  105. "Military expenditure (% of GDP) - Peru | Data". data.worldbank.org.

บรรณานุกรม

แก้
  • Bailey, Gauvin Alexander. Art of colonial Latin America. London: Phaidon, 2005, ISBN 0714841579.
  • Constitución Política del Perú. 29 December 1993.
  • Custer, Tony. The Art of Peruvian Cuisine. Lima: Ediciones Ganesha, 2003, ISBN 9972920305.
  • Garland, Gonzalo. "Perú Siglo XXI", series of 11 working papers describing sectorial long-term forecasts, Grade, Lima, Peru, 1986–1987.
  • Garland, Gonzalo. Peru in the 21st Century: Challenges and Possibilities in Futures: the Journal of Forecasting, Planning and Policy, Volume 22, No. 4, Butterworth-Heinemann, London, England, May 1990.
  • Gootenberg, Paul. (1991) Between silver and guano: commercial policy and the state in postindependence Peru. Princeton: Princeton University Press ISBN 0691023425.
  • Gootenberg, Paul. (1993) Imagining development: economic ideas in Peru's "fictitious prosperity" of Guano, 1840–1880. Berkeley: University of California Press, 1993, 0520082907.
  • Higgins, James (editor). The Emancipation of Peru: British Eyewitness Accounts, 2014. Online at jhemanperu เก็บถาวร 21 เมษายน 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  • Instituto de Estudios Histórico–Marítimos del Perú. El Perú y sus recursos: Atlas geográfico y económico. Lima: Auge, 1996.
  • Instituto Nacional de Estadística e Informática. "Perú: Compendio Estadístico 2005" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 7 March 2007. สืบค้นเมื่อ 2021-12-22. {{cite web}}: ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help) (8.31 MB). Lima: INEI, 2005.
  • Instituto Nacional de Estadística e Informática. Perfil sociodemográfico del Perú. Lima: INEI, 2008.
  • Instituto Nacional de Estadística e Informática. Perú: Estimaciones y Proyecciones de Población, 1950–2050. Lima: INEI, 2001.
  • แม่แบบ:DOClink. 28 September 1999.
  • Ley N° 27867, Ley Ley Orgánica de Gobiernos Regionales. 16 November 2002.
  • Martin, Gerald. "Literature, music and the visual arts, c. 1820–1870". In: Leslie Bethell (ed.), A cultural history of Latin America. Cambridge: University of Cambridge, 1998, pp. 3–45.
  • Martin, Gerald. "Narrative since c. 1920". In: Leslie Bethell (ed.), A cultural history of Latin America. Cambridge: University of Cambridge, 1998, pp. 133–225.
  • Porras Barrenechea, Raúl. El nombre del Perú. Lima: Talleres Gráficos P.L. Villanueva, 1968.
  • Scheina, Robert (2003), Latin America's Wars: The Age of the Caudillo, 1791–1899, Brassey's, ISBN 978-1-57488-450-0
  • Thorp, Rosemary and Geoffrey Bertram. Peru 1890–1977: growth and policy in an open economy. New York: Columbia University Press, 1978, ISBN 0231034334

อ่านเพิ่ม

แก้
เศรษฐกิจ
  • (ในภาษาสเปน) Banco Central de Reserva. Cuadros Anuales Históricos เก็บถาวร 1 พฤษภาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
  • (ในภาษาสเปน) Instituto Nacional de Estadística e Informática. Perú: Perfil de la pobreza por departamentos, 2004–2008. Lima: INEI, 2009.
  • Concha, Jaime. "Poetry, c. 1920–1950". In: Leslie Bethell (ed.), A cultural history of Latin America. Cambridge: University of Cambridge, 1998, pp. 227–260.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้