การบุกครองโปแลนด์
การบุกครองโปแลนด์ (1 กันยายน – 6 ตุลาคม ค.ศ. 1939) หรือเรียกว่า การทัพกันยายน (โปแลนด์: Kampania wrześniowa) หรือ สงครามตั้งรับ ค.ศ. 1939 (โปแลนด์: Wojna obronna 1939 roku) ในโปแลนด์ และ การทัพโปแลนด์ (เยอรมัน: Überfall auf Polen, Polenfeldzug) หรือ ฟัลล์ไวสส์ (เยอรมัน: Fall Weiss) ในเยอรมนี เป็นการบุกครองโปแลนด์ร่วมโดยเยอรมนี สหภาพโซเวียตและสโลวาเกียซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป การบุกครองของเยอรมนีเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 หนึ่งสัปดาห์ให้หลังการลงนามสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ ขณะที่การบุกครองของโซเวียตเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน 1939 หลังความตกลงโมโลตอฟ-โตโก ซึ่งยุติความเป็นปรปักษ์ระหว่างสหภาพโซเวียตและญี่ปุ่นในภาคตะวันออกเมื่อวันที่ 16 กันยายน[5] การทัพดังกล่าวสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมด้วยเยอรมนีและสหภาพโซเวียตแบ่งแยกและผนวกโปแลนด์ทั้งประเทศตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาเขตแดนเยอรมนี–โซเวียต
การบุกครองโปแลนด์ | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ เขตสงครามยุโรปในสงครามโลกครั้งที่สอง | |||||||||
จากซ้ายไปขวา และจากบนลงล่าง: เครื่องบินทิ้งระเบิดของลุฟท์วัฟเฟอเหนือโปแลนด์, ชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์กำลังโจมตีวัตส์ตอร์พัสต์, ตำรวจดันท์ซิซกำลังทำลายด่านชายแดนของโปแลนด์, ขบวนรถถังและรถหุ้มเกราะของเยอรมนี, กองทหารของเยอรมนีและโซเวียตกำลังจับมือกัน, การทิ้งระเบิดที่วอร์ซอ | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
โปแลนด์ |
ไรช์เยอรมัน สหภาพโซเวียต (ตั้งแต่ 17 กันยายน[a]) สาธารณรัฐสโลวัก (ดูรายละเอียด) ดันท์ซิซ | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
Wacław Stachiewicz |
เฟดอร์ ฟอน บอค คลีเมนต์ โวโรชีลอฟ (แนวรบเบลารุส) เซมิออน ตีโมเชนโค (แนวรบยูเครน) | ||||||||
กำลัง | |||||||||
โปแลนด์:
39 กองพล |
นาซีเยอรมนี: รวม: | ||||||||
ความสูญเสีย | |||||||||
โปแลนด์: เสียชีวิต 66,000 นาย บาดเจ็บ 133,700 นาย ถูกจับเป็นเฉลย 675,000 นาย |
นาซีเยอรมนี:
เสียชีวิต 17,269 นาย <ref> ไม่ถูกต้อง |
กำลังเยอรมนีบุกครองโปแลนด์จากทิศเหนือ ใต้ และตะวันตกในเช้าหลังเกิดกรณีกลิวิซ ขณะที่เวร์มัคท์รุกคืบ กำลังโปแลนด์ถอนจากฐานปฏิบัติการส่วนหน้าติดกับพรมแดนโปแลนด์–เยอรมนีไปแนวป้องกันที่จัดตั้งดีกว่าทางตะวันออก หลังโปแลนด์แพ้ยุทธการที่บึซราเมื่อกลางเดือนกันยายน ทำให้เยอรมนีได้เปรียบแน่นอน จากนั้นกำลังโปแลนด์ถอนตัวไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ที่ซึ่งพวกเขาเตรียมการป้องกันระยะยาวที่หัวสะพานโรมาเนียและคอยการสนับสนุนและการช่วยเหลือที่คาดจากฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร[6] ทั้งสองประเทศมีสนธิสัญญากับโปแลนด์และประกาศสงครามกับเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 กันยายน แต่สุดท้ายแล้วทั้งสองช่วยเหลือโปแลนด์แต่เพียงเล็กน้อย
การบุกครองโปแลนด์ตะวันออกของกองทัพแดงโซเวียตเมื่อวันที่ 17 กันยายนตามพิธีสารลับในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ ทำให้แผนการตั้งรับของโปแลนด์ต้องเลิกไป[7] เมื่อเผชิญกับแนวรบที่สอง รัฐบาลโปแลนด์สรุปว่าการป้องกันหัวสะพานโรมาเนียเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปและสั่งอพยพกำลังพลฉุกเฉินทั้งหมดไปยังประเทศโรมาเนียที่เป็นกลาง วันที่ 6 ตุลาคม หลังโปแลนด์ปราชัยที่ยุทธการที่ค็อก (Kock) กำลังเยอรมนีและโซเวียตก็ควบคุมโปแลนด์อย่างสมบูรณ์ ความสำเร็จของการบุกครองนี้เป็นจุดสิ้นสุดของสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง แม้โปแลนด์จะไม่เคยยอมจำนนอย่างเป็นทางการก็ตาม
วันที่ 8 ตุลาคม หลังสมัยการบริหารทหารทหารช่วงต้น เยอรมนีได้ผนวกโปแลนด์ตะวันตกและอดีตนครเสรีดันซิกโดยตรง และกำหนดให้ดินแดนส่วนที่เหลืออยู่ภายใต้การบริหารของเขตปกครองสามัญ (General Government) สหภาพโซเวียตรวมพื้นที่ที่เพิ่งได้มาเข้ากับสาธารณรัฐองค์ประกอบเบลารุสและยูเครนของตน และเริ่มการรณรงค์ปลูกฝังความเป็นโซเวียตทันที หลังการบุกครองดังกล่าว องค์การขัดขืนใต้ดินหลายกลุ่มได้ตั้งรัฐใต้ดินโปแลนด์ขึ้นในดินแดนของอดีตรัฐโปแลนด์ ในเวลาเดียวกับที่ทหารลี้ภัยจำนวนมากซึ่งสามารถหลบหนีออกนอกประเทศได้ก็เข้าร่วมกับกองทัพโปแลนด์ในทิศตะวันตก ซึ่งเป็นกองทัพที่ภักดีต่อรัฐบาลพลัดถิ่นโปแลนด์
อารัมภบท
แก้พรรคนาซีนำโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เถลิงอำนาจในประเทศเยอรมนีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1933 สาธารณรัฐไวมาร์แสวงการทวงดินแดนที่มีชาติพันธุ์เยอรมันเป็นฝ่ายข้างมากที่สูญเสียไปในทวีปยุโรปในโปแลนด์ตะวันตกนานแล้ว และในฤดูใบไม้ร่วงปี 1933 ฮิตเลอร์จินตนาการผนวกดินแดนนี้และดินแดนชาติพันธุ์เยอรมันที่คล้ายกันคือโบฮีเมียและออสเตรียกับเยอรมนี ตลอดจนสถาปนารัฐบริวารหรือรัฐหุ่นเชิดที่มีเศรษฐกิจอยู่ภายใต้เยอรมนี ส่วนหนึ่งของนโยบายระยะยาวนี้ ทีแรกฮิตเลอร์ใช้นโยบายการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศโปแลนด์โดยพยายามปรับปรุงความเห็นในประเทศเยอรมนีจนลงเอยด้วยสนธิสัญญาไม่รุกรานเยอรมนี–โปแลนด์ปี 1934 ก่อนหน้านั้น นโยบายต่างประเทศของฮิตเลอร์มีเพื่อบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโปแลนด์กับฝรั่งเศส และพยายามชักชวนให้โปแลนด์เข้าร่วมกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น เป็นแนวร่วมต่อต้านสหภาพโซเวียต ประเทศโปแลนด์จะได้ดินแดนประเทศยูเครนและเบลารุสเพิ่มทางตะวันออกเฉียงเหนือหากตกลงก่อสงครามกับสหภาพโซเวียต แต่สัมปทานที่ชาวโปแลนด์คาดหมายจะทำนั้นหมายความว่าบ้านเกิดของพวกตนจะต้องอาศัยเยอรมนีเป็นหลัก โดยเป็นเพียงหนึ่งรัฐบริวารเท่านั้น ชาวโปแลนด์เกรงว่าในบั้นปลายเอกราชของพวกตนจะถูกคุกคามสิ้น ประชากรนครเสรีดันซิกสนับสนุนการผนวกกับเยอรมนีอย่างมาก เพราะผู้อยู่อาศัยดินแดนโปแลนด์ชาติพันธุ์เยอรมันจำนวนมากซึ่งแยกดินแดนส่วนแยกปรัสเซียตะวันออกกับไรช์ส่วนที่เหลือ ดินแดนที่เรียกฉนวนโปแลนด์เป็นดินแดนพิพาทระหว่างประเทศโปแลนด์และเยอรมนีมานาน และมีชาวโปแลนด์อาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ ฉนวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์หลังสนธิสัญญาแวร์ซาย ชาวเยอรมันจำนวนมากยังต้องการให้นครดันซิกและปริมณฑล (รวมกันเรียก นครเสรีดันซิก) ฮิตเลอร์แสวงการใช้เหตุดังกล่าวเป็นเหตุแห่งสงคราม ย้อนการเสียดินแดนเหล่านี้ และในหลายโอกาสปลุกเร้าชาตินิยมเยอรมัน โดยสัญญาว่าจะ "ปลดปล่อย" ชนกลุ่มน้อยเยอรมันที่ยังอยู่ในฉนวนเช่นเดียวกับดันซิก
เยอรมนีเรียกการบุกครองนี้ว่าสงครามตั้งรับปี 1939 เพราะฮิตเลอร์ประกาศว่าโปแลนด์โจมตีเยอรมนีและว่า "ชาวเยอรมันในโปแลนด์ถูกเบียดเบียนด้วยการคุกคามนองเลือดและถูกขับออกจากบ้านของพวกเขา การละเมิดชายแดนหลายครั้ง ๆ ซึ่งมหาอำนาจมิอาจทนได้ พิสูจน์แล้วว่าชาวโปแลนด์ไม่เจตนาเคารพชายแดนเยอรมันอีกต่อไป"
ประเทศโปแลนด์มีส่วนในการแบ่งเชโกสโลวาเกียหลังความตกลงมิวนิก แม้ว่าโปแลนด์จะมิใช่ส่วนหนึ่งของความตกลงก็ตาม ความตกลงดังกล่าวบังคับให้เชโกสโลวาเกียสละพื้นที่เชสคีเตชีน (Český Těšín) โดยออกคำขาดซึ่งมีผลในวันที่ 30 กันยายน 1938 และเชโกสโลวาเกียยอมรับเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ภูมิภาคดังกล่าวมีชาวโปแลนด์เป็นฝ่ายข้างมากและมีการพิพาทระหว่างเชโกสโลวาเกียหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การผนวกดินแดนสโลวักภายหลังเป็นเหตุผลสำหรับรัฐสโลวักให้เข้าร่วมการบุกครองของเยอรมัน
ถึง ค.ศ. 1937 เยอรมนีเริ่มเพิ่มการเรียกร้องนครดานซิกมากขึ้น[8]ขณะที่เสนอให้สร้างถนนเพื่อเชื่อมปรัสเซียตะวันออกกับเยอรมนี โดยตัดผ่านฉนวนโปแลนด์ โปแลนด์ปฏิเสธข้อเสนอนี้ ด้วยเกรงว่าหลังยอมรับข้อเรียกร้องแล้ว จะยิ่งขึ้นกับเจตนาของเยอรมนีมากขึ้นและเสียเอกราชในที่สุด ดังเช่นที่เกิดกับเชโกสโลวาเกีย ผู้นำโปแลนด์ยังไม่ไว้ใจฮิตเลอร์ ยิ่งไปกว่านั้น การสนับสนุนกับกลุ่มชาตินิยมยูเครนต่อต้านโปแลนด์จากองค์การนักชาตินิยมยูเครน ซึ่งถูกมองว่าเป็นความพยายามเพื่อโดดเดี่ยวและสร้างความอ่อนแอแก่โปแลนด์ ยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของฮิตเลอร์จากมุมมองชาวโปแลนด์เสื่อมลง อังกฤษยังรับรู้ถึงสถานการณ์ระหว่างเยอรมนีกับโปแลนด์ วันที่ 31 มีนาคม โปแลนด์ได้รับการสนับสนุนโดยการรับประกันจากอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งกล่าวว่าบูรณภาพแห่งดินแดนของโปแลนด์จะได้รับการคุ้มครองโดยการสนับสนุนจากทั้งสองประเทศ ในอีกด้านหนึ่ง เนวิลล์ เชมเบอร์เลน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และลอร์ดฮาลิแฟกซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังหวังจะทำข้อตกลงกับฮิตเลอร์เกี่ยวกับดานซิก (และอาจรวมถึงฉนวนโปแลนด์) และฮิตเลอร์ก็หวังอย่างเดียวกัน เชมเบอร์แลนและผู้สนับสนุนเชื่อว่าสงครามสามารถหลีกเลี่ยงได้และหวังให้เยอรมนียอมไม่ยุ่งกับส่วนที่เหลือของโปแลนด์ การครองความเป็นใหญ่ของเยอรมนีเหนือยุโรปกลางอยู่ในความเสี่ยง
เมื่อความตึงเครียดทวีขึ้น เยอรมนีก็ได้หันมาใช้การทูตแบบก้าวร้าวเช่นกัน วันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1939 เยอรมนีถอนตัวจากทั้งสนธิสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมนี–โปแลนด์ ค.ศ. 1934 และความตกลงนาวิกลอนดอน ค.ศ. 1935 การเจรจาว่าด้วยดานซิกและฉนวนโปแลนด์ล้มเหลวและเวลาผ่านไปหลายเดือนโดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเยอรมนีกับโปแลนด์ ระหว่างนี้ เยอรมนีเรียนรู้ว่าฝรั่งเศสและอังกฤษไม่สามารถประกันพันธมิตรกับสหภาพโซเวียตต่อเยอรมนีได้ และสหภาพโซเวียตสนใจเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีต่อโปแลนด์ ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งเตรียม "ทางออกปัญหาโปแลนด์ด้วยวิธีการทางทหาร" ที่เป็นไปได้ หรือบทซ้อมรบกรณีขาว
อย่างไรก็ดี ด้วยการลงนามในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพอันน่าประหลาดใจเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ในการประชุมนาซี-โซเวียตลับ ๆ ซึ่งจัดขึ้นในกรุงมอสโก เยอรมนีลบล้างความเป็นไปได้ที่โซเวียตจะคัดค้านการทัพต่อโปแลนด์ และสงครามกลายเป็นใกล้เข้ามา อันที่จริง สหภาพโซเวียตตกลงจะช่วยเหลือเยอรมนีในกรณีที่ฝรั่งเศสหรือสหราชอาณาจักรเข้าสู่สงครามกับเยอรมนีเหนือโปแลนด์ และในพิธีสารลับของสนธิสัญญาดังกล่าว เยอรมนีและสหภาพโซเวียตตกลงแบ่งยุโรปตะวันออก รวมทั้งโปแลนด์ เป็นสองเขตอิทธิพล โดยให้พื้นที่หนึ่งในสามทางตะวันตกของโปแลนด์ตกแก่เยอรมนี และส่วนที่เหลือทางตะวันออกตกแก่สหภาพโซเวียต
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ฮิตเลอร์พยายามหน่วงเหนี่ยวอังกฤษและฝรั่งเศสไม่ให้ทำการตอบโต้กับความขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ระหว่างการเจรจา ฮิตเลอร์มั่นใจว่าอาจมีโอกาสที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะประกาศสงครามกับเยอรมนี และถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น แต่อังกฤษและฝรั่งเศสได้ให้เพียงคำมั่นแก่โปแลนด์เท่านั้น หลังจากที่โปแลนด์ถูกพิชิตแล้ว ฮิตเลอร์เชื่อว่าทั้งสองประเทศอาจขอเจรจาใหม่อีกครั้ง ต่อมา เครื่องบินลาดตระเวนจำนวนมากได้บินอยู่เหนือน่านฟ้า ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสงครามใกล้จะเริ่มขึ้นในไม่ช้า
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม เยอรมนีได้ยื่นข้อเสนอทางการทูตเป็นครั้งสุดท้าย ตามแผนการกรณีสีขาว เมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 29 สิงหาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนี โจอาคิม ฟอน ริบเบนทรอพ ได้จับมือกับเอกอัครราชทูตอังกฤษ เซอร์ เนวิลล์ เฮนเดอร์สัน เพื่อประชุมร่วมกันถึงสันติภาพในอนาคต นครดานซิกนั้นจะคืนให้แก่เยอรมนี และจะมีการลงประชามติในฉนวนโปแลนด์ภายในปี ค.ศ. 1919[9] และมีการเสนอให้แลกเปลี่ยนประชากรของทั้งสองประเทศ[10] ผู้แทนโปแลนด์เดินทางมายังกรุงเบอร์ลินและตอบรับข้อเสนอดังกล่าวเมื่อตอนเที่ยงวันของวันที่ 30 สิงหาคม[11] คณะรัฐมนตรีอังกฤษได้ลงความเห็นแล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ข้อตกลงดังกล่าวมีเหตุผลและยอมรับได้ ยกเว้นแต่การเรียกร้องโดยการยื่นคำขาดของเยอรมนีเท่านั้น[12] เมื่อผู้แทนโปแลนด์ได้เข้าพบริบเบนทรอพเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม เขาได้แจ้งแก่ริบเบนทรอพว่าเขานั้นไม่มีอำนาจสมบูรณ์ที่จะลงนามในสัญญาดังกล่าว ริบเบนทรอพก็ให้เขาออกไป โดยหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ได้มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ทั่วประเทศเยอรมนีในภายหลังว่า โปแลนด์ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว และการเจรจากับโปแลนด์ก็ได้มาถึงกาลสิ้นสุด[13]
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม กองทัพเรือโปแลนด์ได้ส่งเรือพิฆาตตอร์ปิโดไปยังเกาะอังกฤษตามแผนปฏิบัติการปักกิ่ง ในวันเดียวกัน จอมพลแห่งโปแลนด์ เอ็ดเวิร์ด ริดซ์ สมิกลี่ ก็ได้ประกาศระดมพลทหารโปแลนด์ทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสได้กดดันให้เขายุติการระดมพลไว้ก่อน เนื่องจากฝรั่งเศสยังคงเชื่อว่าปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการทางการทูต แต่ฝรั่งเศสมิได้ตระหนักว่ากองทัพเยอรมันได้สั่งระดมพลไว้ล่วงหน้าแล้ว[14] และกำลังยกกองทัพเข้าประชิดพรมแดนโปแลนด์ ทางด้านโปแลนด์ เนื่องจากฝรั่งเศสได้กดดันให้หยุดการระดมพล ทำให้โปแลนด์มีทหารทั้งหมด 70% ของจำนวนทหารที่สามารถจะมีได้ในเวลานั้น และทหารจำนวนมากยังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งของตนตามแผนการ หรือไม่ก็กำลังเดินทางไปยังแนวชายแดนเยอรมนี-โปแลนด์ ในคืนของวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1939 ทหารเยอรมันได้จัดฉากการโจมตีสถานีวิทยุในเมืองกลีวิซ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า "กรณีกลีวิซ" อันเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการฮิมม์เลอร์[15] และฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งให้การโจมตีโปแลนด์เริ่มขึ้นเมื่อ 4.45 น. ของวันรุ่งขึ้น
กองกำลังเปรียบเทียบ
แก้ระหว่างปี ค.ศ. 1936 ถึง ค.ศ. 1939 โปแลนด์ได้พัฒนาขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมของตนให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การเตรียมการเพื่อทำสงครามรับมือกับเยอรมนีนั้นได้ใช้เวลาไปหลายปี แต่โปแลนด์ไม่ได้คาดว่าแผนการทำสงครามนั้นจะต้องถูกนำออกมาใช้ก่อนปี ค.ศ. 1942 ดังนั้นโปแลนด์จึงขายเครื่องมือยุทโธปกรณ์ทันสมัยจำนวนมากของตนที่ได้ผลิตออกมา เพื่อเป็นการเพิ่มเงินทุนการผลิตให้กับโรงงานอุตสาหกรรม[16] ในปี ค.ศ. 1936 ทางรัฐบาลโปแลนด์ได้ออกคำสั่งให้เก็บระดมเงินทุนเพื่อเสริมกำลังให้แก่กองทัพบกของโปแลนด์ กองทัพโปแลนด์มีขนาดไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านนาย ทว่าพลทหารกว่าครึ่งเพิ่งถูกเรียกระดมพลในวันแรกของบุกครอง ทั้งยังไม่สามารถตั้งตัวกันได้ติดเนื่องจากการคมนาคมทางบกถูกตัดขาดจากการโจมตีของกองทัพอากาศเยอรมนี กองทัพโปแลนด์ยังมียานเกราะน้อยกว่าเยอรมนี ยิ่งกว่านั้นยังถูกส่งกระจายออกไปร่วมกับกองทหารราบ ทำให้ไม่สามารถบังเกิดประสิทธิผลอย่างเต็มที่[17]
โปแลนด์เคยมีประสบการณ์การรบในสงครามโปแลนด์-โซเวียตมาแล้ว จึงพัฒนาและปรับปรุงระบบกองทัพ ไม่เหมือนกับการรบแบบสนามเพลาะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามครั้งนี้เป็นการรบโดยอาศัยประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของทหารม้า ซึ่งมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก[18] โปแลนด์นั้นมีข้อได้เปรียบจากประสิทธิภาพของทหารม้า แต่ว่ากลับไม่ต้องการที่จะพัฒนาต่อไป เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในราคาแพง และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่พบว่าได้มีการคิดค้นพบนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาเลย ทั้งที่กองทัพโปแลนด์นั้นมีกองพลน้อยทหารม้าซึ่งใช้เป็นทหารราบเคลื่อนที่เร็ว และก็ยังมีประวัติการรบกับทหารราบและทหารม้าเยอรมันที่ประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้แล้ว[19]
กองทัพอากาศโปแลนด์นั้นอ่อนแอกว่ากองทัพอากาศของเยอรมนีอย่างมาก แต่ว่าเครื่องบินรบนั้นจะไม่ได้ถูกทำลายขณะที่จอดสนิทอยู่ที่พื้นดินอย่างที่เข้าใจกัน กองทัพอากาศโปแลนด์นั้นขาดแคลนเครื่องบินรบ แต่ว่านักบินโปแลนด์นั้นมีความเก่งกาจอย่างสูง ได้รับการฝึกหัดมาอย่างดี ดังที่ปรากฏในยุทธการที่บริเตน ซึ่งนักบินโปแลนด์เป็นส่วนสำคัญในการรบทางอากาศเป็นอย่างมาก[20] ในภาพรวมแล้ว กองทัพอากาศเยอรมันนั้นได้เปรียบทั้งทางด้านจำนวนและคุณภาพของเครื่องบิน โปแลนด์มีเครื่องบินรบที่ทันสมัยเพียง 600 ลำเท่านั้น และในระหว่างที่ถูกบุกครองก็ได้มีการระดมเครื่องบินทั้งหมดเพียง 70% เท่านั้น
ทางด้านกองทัพเรือโปแลนด์นั้นประกอบไปด้วยเรือพิฆาตตอร์ปิโด เรือดำน้ำและเรือสนับสนุนขนาดเล็กอีกจำนวนหนึ่ง โดยเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ของโปแลนด์ออกปฏิบัติการในปฏิบัติการปักกิ่ง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม และออกเดินทางโดยใช้เส้นทางผ่านทะเลเหนือ และเข้าสมทบกับราชนาวีอังกฤษ ส่วนทางด้านกองกำลังเรือดำน้ำได้ออกปฏิบัติการในปฏิบัติการโวเร็ค เพื่อที่จะทำลายกองเรือขนส่งเยอรมันในทะเลบอลติก แต่ก็ประสบความสำเร็จน้อยมาก นอกเหนือจากนั้น เรือพาณิชย์โปแลนด์จำนวนมากก็เข้ากับกองเรือพาณิชย์ของอังกฤษระหว่างสงครามด้วยเช่นกัน
ส่วนยานเกราะของโปแลนด์นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กองพลน้อย 4 กองพันยานเกราะอิสระ และ 30 กองร้อยยานเกราะซึ่งประกอบไปด้วยรถถังทีเคเอส ซึ่งช่วยสนับสนุนการทำการรบของทหารราบและทหารม้า[21]
กองทัพฝ่ายผู้บุกครอง
แก้กองทัพเยอรมันมีความเหนือกว่ากองทัพโปแลนด์ ทั้งทางด้านจำนวน และด้านคุณภาพ ทั้งยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมการรบครั้งนี้ กองทัพบกเยอรมันได้แบ่งรถถังจำนวน 2,400 คัน ออกเป็น 6 กองพลแพนเซอร์ และใช้หลักนิยมทางทหารแบบใหม่เพื่อใช้ในการรบ ซึ่งเป็นการนำกองพลยานเกราะไปปฏิบัติการร่วมกับทหารหน่วยอื่น ๆ มีหน้าที่หลัก คือ เจาะผ่านแนวรบของศัตรู แยกศัตรูออกจากกัน แล้วจึงปิดล้อมและทำลาย หลังจากนั้นหน่วยทหารยานยนต์ประเภทอื่น ๆ และทหารเดินเท้าจึงจะติดตามไป ส่วนกองทัพอากาศทำหน้าที่ยึดครองน่านฟ้าทั้งโดยยุทธศาสตร์และยุทธวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องบินทิ้งระเบิดซึ่งทำหน้าที่ทำลายแหล่งเสบียงและการคมนาคมของศัตรู เมื่อรวมปฏิบัติการทั้งหมดเข้าด้วยกันจะได้เป็นรูปแบบการโจมตีสายฟ้าแลบ นักประวัติศาสตร์สองคน คือ บาซิล ลิดเดลล์ ฮาร์ตและ เอ. เจ. พี. เทย์เลอร์ ได้กล่าวว่า "โปแลนด์เป็นสนามทดสอบการโจมตีสายฟ้าแลบอย่างเต็มรูปแบบ"[22] อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์อีกหลายคนไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้[23]
เครื่องบินรบมีบทบาทสำคัญมากในการทัพครั้งนี้ มีการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดเพื่อทำลายเมืองเป้าหมาย และสามารถสังหารพลเรือนของฝ่ายศัตรูได้เป็นจำนวนมาก กองทัพอากาศเยอรมันมีเครื่องบินรบ 1,180 เครื่อง เครื่องบินดำทิ้งระเบิด ยุงเคอร์ เจยู-87 ชตูคา 290 เครื่อง เครื่องบินธรรมดา 1,100 เครื่อง เครื่องบินขนส่ง 550 เครื่องและเครื่องบินลาดตระเวนอีก 350 เครื่อง[24][25] เมื่อรวมกันแล้วก็มีจำนวนมากกว่า 4,000 เครื่อง และทั้งหมดมีประสิทธิภาพพร้อมทำการรบสมัยใหม่ เครื่องบินรบเยอรมันกว่า 2,315 เครื่องได้ถูกส่งมาเพื่อปฏิบัติการครั้งนี้[26] และเนื่องจากว่ากองทัพอากาศเยอรมันได้มีประสบการณ์มาจากสงครามกลางเมืองสเปนก่อนหน้านี้ จึงอาจกล่าวได้ว่า กองทัพอากาศเยอรมันเป็นกองทัพอากาศที่มีประสบการณ์ดีที่สุด ได้รับการฝึกฝนอย่างยอดเยี่ยมที่สุด และมียุทโธปกรณ์ที่เพียบพร้อมมากที่สุดของโลกเมื่อครั้งปี ค.ศ. 1939[27]
กองทัพโซเวียตนั้นพร้อมรบเช่นเดียวกันกับเยอรมนี แต่ว่ารัฐบาลของทั้งเยอรมนีและสหภาพโซเวียตก็ไม่ได้เตรียมการสำหรับความขัดแย้งในวงกว้างกว่านั้น และต่อมาก็ได้เป็นที่รู้จักกันในนาม "ความผิดพลาด" กองทัพโซเวียตได้แบ่งกำลังออกเป็นสองสาย และจัดเป็นแนวกว้างใหญ่ ผู้บัญชาการรบของแต่ละแนวนั้นมีอำนาจบังคับบัญชาทหารม้าและทหารช่างกล สหภาพโซเวียตเริ่มทำการรบกับโปแลนด์เมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1939
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1939 สาธารณรัฐสโลวักได้จัดตั้งเป็นรัฐหุ่นเชิด โดยได้รับการสนับสนุนของเยอรมนี ในดินแดนของสโลวาเกีย เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1938 พื้นที่ส่วนใหญ่ของสโลวาเกียนั้นถูกยึดครองโดยฮังการี ซึ่งเป็นผลมาจากการตอบแทนที่กรุงเวียนนา และบางส่วนของสโลวาเกียยังถูกยึดครองโดยโปแลนด์และเยอรมนีอีกด้วย
ระหว่างการประชุมอย่างลับ ๆ กับผู้แทนเยอรมันระหว่างวันที่ 20-21 กรกฎาคม ค.ศ. 1939 รัฐบาลสโลวาเกียนั้นตกลงใจที่จะร่วมรบกับโปแลนด์ นอกจากนั้นยังยอมให้เยอรมนีใช้ประเทศของตนเป็นดินแดนเพื่อใช้เตรียมกำลังพล เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม สโลวาเกียก็ประกาศระดมพล (ได้ทหารจำนวนกว่า 160,000 นาย) และจัดตั้งกองทัพใหม่ภายใต้ชื่อรหัสว่า "เบอร์โนลัค" โดยมีทหารประจำการ 51,306 นาย ทหารสโลวักพบกับการต้านทานเพียงเล็กน้อยเท่านั้นระหว่างการบุกครอง
แผนการ
แก้แผนการเริ่มต้นของเยอรมนี
แก้แผนการบุกครองโปแลนด์ของฝ่ายเยอรมนีร่างขึ้นโดย นายพล ฟรานซ์ เฮลเดอร์ หัวหน้ากองเสนาธิการเยอรมัน โดยการบุกครองจะอยู่ใต้อำนาจบัญชาการของนายพล วัลเทอร์ ฟอน เบราชิทช์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของการบุกครองครั้งนี้ ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้น ก็ได้มีความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และนำไปสู่หลักการปิดล้อมและทำลายข้าศึกจำนวนมาก ทหารราบซึ่งเคลื่อนที่ได้ช้า แต่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากปืนใหญ่เร็ว และการส่งกำลังบำรุงที่ดี มีหน้าที่ที่จะต้องสนับสนุนการทำการรบของรถถังและรถบรรทุกทหาร เพื่อเพิ่มความเร็วให้แก่การโจมตี และการปิดล้อมแนวของข้าศึก ในการบุกครองโปแลนด์ครั้งนี้ได้มีการนำเอาแผนการการรบด้วยยานเกราะ (หรือที่นักหนังสือพิมพ์อเมริกันเรียกว่า บลิทซครีก) ไปใช้โดยนายพล ไฮนซ์ กูเดเรียน โดยใช้วิธีการให้ยานเกราะเจาะผ่านแนวข้าศึก จากนั้นก็รุกเข้าไปทางด้านหลัง แต่ว่าแท้จริงแล้ว การรบในโปแลนด์ยังคงเป็นการรบแบบแนวรบดั่งในอดีต เนื่องจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงของฝ่ายเยอรมนีนั้นสงวนยานเกราะและกองกำลังเครื่องยนต์ไว้เพื่อสนับสนุนการทำการรบของทหารราบ ซึ่งกลับกันจากแผนการการโจมตีสายฟ้าแลบ
ภูมิประเทศในโปแลนด์นั้นเหมาะมากสำหรับปฏิบัติการด้วยยานเกราะถ้าหากลมฟ้าอากาศเป็นใจ โปแลนด์มีลักษณะเป็นที่ราบ ซึ่งสามารถทำการรบได้เป็นแนวยาวเกือบ 5,600 กิโลเมตร ชายแดนของโปแลนด์ติดต่อกับเยอรมนีทั้งทางทิศตะวันตกและทิศเหนือติดต่อกันกว่า 2,000 กิโลเมตร รวมไปถึงชายแดนด้านทิศใต้อีกเกือบ 300 กิโลเมตร ซึ่งเยอรมนีได้รับมาจากข้อตกลงมิวนิก และส่งผลให้สโลวาเกียตกอยู่ในกำมือของเยอรมนี ซึ่งหมายความว่า แนวชายแดนด้านทิศใต้ตกอยู่ในสภาวะล่อแหลม
เสนาธิการของเยอรมนีได้วางแผนการโจมตี โดยแยกกันโจมตีออกเป็นสามทิศทางหลัก คือ
- การโจมตีหลักทางชายแดนด้านตะวันตกของโปแลนด์ กองทัพกลุ่มใต้ ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลเกิร์ด ฟอน รุนด์ชเทดท์ จากแคว้นไซลีเชีย แคว้นมอเรเวีย และจากชายแดนสโลวัก ด้านกองทัพที่แปดของนายพลโยฮันเนส บลัสโควิทซ์ จะโจมตีไปทางทิศตะวันออกตรงเมืองลอด์ซ ด้านกองทัพที่สิบสี่ของนายพลวิลเฮล์ม ลิสท์ จะมุ่งหน้าสู่เมืองกรากุฟและโอบกองทัพโปแลนด์ที่เทือกเขาคาร์พาเธียน และกองทัพที่สิบของนายพลวอลเทอร์ ฟอน ไรเชนเนา ทางตอนกลางร่วมกับกองกำลังยานเกราะของกองทัพกลุ่มใต้จะเข้าตีทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนีและมุ่งหน้าสู่ใจกลางของโปแลนด์
- สายที่สอง จะโจมตีมาจากทางตอนเหนือของแคว้นปรัสเซีย นายพล เฟดอร์ ฟอน บอค ผู้บัญชาการกองทัพกลุ่มเหนือ ร่วมกับกองทัพที่สามของนายพลจอร์จ ฟอน คึชเลอร์ จะโจมตีลงมาทางใต้ และกองทัพที่สี่ของกึนเธอร์ ฟอน คลุเกอ จะโจมตีไปทางตะวันออกสู่ฉนวนโปแลนด์
- สายที่สาม กองทัพสโลวาเกียจะโจมตีขึ้นไปทางทิศเหนือ ร่วมกับกองทัพกลุ่มใต้
- จากภายในโปแลนด์ ชาวเยอรมันจะทำการปั่นป่วนและก่อวินาศกรรม ซึ่งเป็นแผนการที่ได้วางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนสงคราม
การโจมตีทั้งสามสายนั้นจะมาบรรจบกันที่กรุงวอร์ซอ ขณะที่กองทัพโปแลนด์ส่วนใหญ่จะถูกโอบล้อมและถูกทำลายทางทิศตะวันตกของแม่น้ำวิสตูล่า ปฏิบัติการกรณีสีขาวได้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 และถือได้ว่าเป็นปฏิบัติการแรกของสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป[28]
แผนการของเยอรมนีถูกทักท้วงโดยพันธมิตรอิตาลี เพราะอิตาลีคิดว่าเยอรมนีจะไม่ทำสงครามอีกเป็นเวลาสามปีขึ้นไป เนื่องจากกองทัพอิตาลียังคงอ่อนแอหลังจากสงครามอิตาลี-อะบิสสิเนียครั้งที่สอง[29]
แผนการเริ่มต้นของโปแลนด์
แก้แผนการตั้งรับของโปแลนด์ ใช้ชื่อรหัสว่า แผนตะวันตก ซึ่งตั้งอยู่บนนโยบายทางการเมืองในการการจัดวางกองทัพตามแนวชายแดนเยอรมนี-โปแลนด์ ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตรในกรณีที่ถูกเยอรมนีบุกครอง นอกเหนือจากนั้น ยังรวมไปถึงทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล เขตอุตสาหกรรมและเขตที่ประชากรอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่นในแคว้นซิลีเซีย ทางทิศตะวันตก นโยบายของโปแลนด์ได้กำหนดการป้องกันหลักโดยการรวมศูนย์การป้องกันพื้นที่ดังกล่าวไว้[30] เนื่องจากนักการเมืองโปแลนด์จำนวนมากเกรงว่าหากตนต้องล่าถอยออกจากแคว้นซิลีเซียแล้ว อังกฤษและฝรั่งเศสก็อาจจะยอมตกลงเซ็นสนธิสัญญาแยกต่างหากกับเยอรมนีเสียเอง ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์อันนำไปสู่การลงนามในข้อตกลงมิวนิก ในปี ค.ศ. 1938 นอกจากนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรก็มิได้ให้คำมั่นว่าจะช่วยธำรงรักษาแนวชายแดนของโปแลนด์หรือบูรณภาพแห่งดินแดนเป็นพิเศษ ดังนั้น โปแลนด์จึงไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของฝรั่งเศสที่ให้จัดวางกองทัพหลังแนวป้องกันธรรมชาติ คือ หลังแม่น้ำวิสตูล่า และแม่น้ำซาน แม้ว่านายพลบางนายของโปแลนด์จะได้พยายามสนับสนุนแผนการดังกล่าวก็ตาม แผนตะวันตกที่ได้ร่างขึ้น ไม่อนุญาตให้กองทัพโปแลนด์ถอยกลับเข้ามาสู่ประเทศ แต่ให้ค่อย ๆ ล่าถอยมายังตำแหน่งแม่น้ำสำคัญ ซึ่งจะทำให้โปแลนด์ระดมพลจนครบจำนวน และจะสามารถโจมตีโต้กลับได้ พร้อมกับการเข้าตีเยอรมนีของฝ่ายสัมพันธมิตรตามที่ได้สัญญากันไว้แล้ว[31]
และแผนการขั้นสุดท้ายของโปแลนด์ คือ แผนการถอนทัพกลับข้ามแม่น้ำซานไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเตรียมตัวทำศึกยืดเยื้อกับเยอรมนีที่เขตหัวสะพานโรมาเนีย[32] ส่วนทางด้านฝรั่งเศสและอังกฤษก็ประเมินว่ากองทัพโปแลนด์จะสามารถตั้งรับไว้ได้เป็นเวลาสองถึงสามเดือน ขณะที่โปแลนด์คาดว่าจะสามารถตั้งรับได้เป็นเวลาหกเดือน แผนการทั้งหมดนี้ โปแลนด์คาดว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะทำตามสนธิสัญญาทางทหารและจะโจมตีเยอรมนีอย่างรวดเร็ว แต่ว่าในขณะที่การรบยังดำเนินไป ฝ่ายสัมพันธมิตรกลับมิได้เตรียมตัวเพื่อการต่อสู้กับเยอรมนีแต่ประการใด[33] เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น ทั้งสองประเทศนั้นมองว่า สงครามจะพัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบของการรบแบบสนามเพลาะเหมือนกับในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือ เยอรมนีจำต้องเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพเพื่อฟื้นฟูแนวชายแดนเยอรมนี-โปแลนด์ ดังนั้น แผนการทั้งหมดของโปแลนด์จึงไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง เมื่อต้องฝากอนาคตของชาติไว้กับคำมั่นสัญญาของฝ่ายสัมพันธมิตร[34][35]
กองทัพโปแลนด์ได้จัดวางกำลังอย่างหลวม ๆ และมีความอ่อนแอเมื่อเทียบกับแนวชายแดนอันยาวเหยียดของประเทศ นอกจากนั้นยังไม่มีการจัดแนวป้องกันอย่างเหมาะสม และยังตั้งอยู่บนชัยภูมิที่เสียเปรียบอีกด้วย[36] ซึ่งแผนการดังกล่าวมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นความหายนะใหญ่หลวง หากว่าไม่สามารถป้องกันแนวชายแดนของประเทศในช่วงแรกของการบุกครองได้ และการวางกำลังดังกล่าวยังเอื้อประโยชน์ต่อกองกำลังยานยนต์ของเยอรมนี ซึ่งสามารถปิดล้อมกองกำลังโปแลนด์ได้บ่อยครั้ง ด้านแนวขนส่งเสบียงของกองทัพโปแลนด์ก็ได้รับการป้องกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กองทัพโปแลนด์อย่างน้อยหนึ่งในสามถูกส่งไปขัดทัพเยอรมันในเขตฉนวนโปแลนด์ ทำให้กองทหารเหล่านี้ตกอยู่ในสภาวะปากคีม ซึ่งจะถูกบีบเข้ามาเมื่อกองทัพเยอรมันโจมตี ทางด้านทิศใต้ กองทัพโปแลนด์เผชิญหน้ากับกองทัพหลักของเยอรมนี แต่ทว่าก็มีการป้องกันอย่างเปราะบางเช่นกัน ในเวลาเดียวกันนี้ กองทัพโปแลนด์อีกกว่าหนึ่งในสามได้กระจุกอยู่ทางภาคเหนือของประเทศตามหัวเมืองหลักเท่านั้น ได้แก่ ลอดซ์และวอร์ซอ[37] การกระจายกำลังของกองทัพโปแลนด์นี้จะทำให้หมดโอกาสที่กองทัพโปแลนด์จะหยุดยั้งการบุกครองของเยอรมนี นอกจากนั้นแล้ว กองทัพโปแลนด์ส่วนใหญ่ยังต้องเดินเท้า กองทัพโปแลนด์จึงไม่สามารถผนึกกำลังกันได้เลยเมื่อถูกบุกทะลวงเข้าใส่โดยกองกำลังยานยนต์ของเยอรมนี[38]
การตัดสินใจด้วยเหตุผลทางการเมืองดังกล่าวนี้ไม่ได้เป็นความผิดพลาดเดียวของยุทธศาสตร์จากกองบัญชาการระดับสูงของโปแลนด์เท่านั้น การโฆษณาชวนเชื่อของโปแลนด์ก่อนสงครามนั้นได้ปลูกฝังแก่ประชาชนว่าการบุกครองของเยอรมนีจะถูกขับไล่ออกไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเมื่อโปแลนด์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ประชาชนจึงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ดังกล่าวมาก ประชาชนชาวโปแลนด์ไม่ได้เตรียมตัวพร้อมรับมือกับสถานการณ์การยึดครองเลย ประชาชนจำนวนมากรู้สึกเสียขวัญและหลบหนีไปทางทิศตะวันออก และยังก่อให้เกิดความวุ่นวายภายในประเทศ ซึ่งส่งผลให้ขวัญกำลังใจของทหารตกต่ำลง และการขนส่งทางถนนของโปแลนด์กลายเป็นอัมพาต[38] การโฆษณาชวนเชื่อยังได้ส่งผลร้ายต่อกองทัพโปแลนด์เอง เนื่องจากกองกำลังยานยนต์ของเยอรมนีได้ทำการกีดขวางการติดต่อสื่อสารของกองทัพโปแลนด์ ทำให้ข่าวจากสนามรบถูกบิดเบือนไป โดยหนังสือพิมพ์และสถานีวิทยุมักจะกล่าวสดุดีถึงชัยชนะและปฏิบัติการทางทหารที่วาดฝันขึ้น ทำให้กองทัพโปแลนด์ถูกโอบล้อมหรือไม่ก็ต้องยืนหยัดสู้กับศัตรูที่มีจำนวนเหนือกว่ามาก เมื่อทหารเหล่านั้นมีความเชื่อว่าพวกตนกำลังทำการตีโต้หรือกำลังจะได้รับกำลังเสริมเพิ่มเติมจากสถานที่รบอื่น ๆ ซึ่งกองทัพของตนได้รับชัยชนะมาแล้ว[39][40]
การบุกครอง
แก้ช่วงที่ 1: การบุกครองของเยอรมนี (1 กันยายน 1939)
แก้หลังจากการจัดฉากสร้างสถานการณ์ตามแนวชายแดน ซึ่งเยอรมนีใช้เพื่อเป็นการโฆษณาชวนเชื่อในการกล่าวอ้างว่าการกระทำของกองทัพเยอรมันนั้นกระทำลงไปเพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง การบุกครองเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 เวลา 4.40 น. กองทัพอากาศเยอรมันได้บินเข้าถล่มเมืองไวรัน และทำให้เมืองได้รับความเสียหายกว่า 75% ของพื้นที่และมีประชาชนเสียชีวิตไปเกือบ 1,200 คน อีกห้านาทีต่อมา เรือประจัญบานเยอรมัน ชเลซวิก-โฮลซไทน์ ได้เปิดฉากยิงฐานขนส่งยุทโธปกรณ์ของโปแลนด์ที่เวสเทอร์แพลท ในเขตนครเสรีดานซิก ริมฝั่งทะเลบอลติก เมื่อถึงเวลา 8.00 น. จนถึงขณะนี้เยอรมนีก็ยังมิได้ประกาศสงครามกับโปแลนด์อย่างเป็นทางการ แต่ว่ากองทัพเยอรมันได้โจมตีในเขตใกล้กับเมืองมอครา ตามด้วยการรบตามแนวชายแดนอีกหลายครั้ง ในวันเดียวกัน กองทัพเยอรมันยังได้บุกโปแลนด์ทั้งทางด้านตะวันตก ทางเหนือและทางใต้ และทางด้านกองทัพอากาศเยอรมันก็ได้บินทิ้งระเบิดตามหัวเมืองสำคัญของโปแลนด์ การโจมตีหลักของเยอรมนีนั้นจะเข้ามาทางแนวชายแดนทางด้านตะวันตก โดยได้รับการสนับสนุนจากการโจมตีสายที่สองซึ่งมาจากแคว้นปรัสเซียทางทิศเหนือ และพันธมิตรของเยอรมนี คือ สโลวาเกีย ก็บุกมาจากทางทิศใต้ โดยมุ่งหน้าสู่กรุงวอร์ซอ เมืองหลวงของโปแลนด์
ฝ่ายสัมพันธมิตรประกาศสงครามกับเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1939 แต่ว่ารัฐบาลของทั้งสองประเทศก็ไม่อาจให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่โปแลนด์ได้มากนัก ตามแนวชายแดนฝรั่งเศส-เยอรมนีได้มีการสู้รบกันอย่างประปราย ถึงแม้ว่ากองทัพเยอรมันจะรักษาแนวชายแดนเพียงน้อยนิดก็ตาม (กว่า 85% ของกองกำลังยานยนต์เยอรมันกำลังทำการรบในโปแลนด์) เมื่อเวลาผ่านไป ความเหนือกว่าทางยุทธวิธี ยุทโธปกรณ์และจำนวนของกองทัพเยอรมันก็ได้ทำให้กองทัพโปแลนด์จำเป็นต้องล่าถอยไปยังกรุงวอร์ซอและเมืองโลฟว์ ส่วนทางด้านลุควาฟเฟสามารถครองน่านฟ้าได้ในช่วงเวลาแรก ๆ ของการบุกครอง ลุควาฟเฟนั้นได้ทำลายระบบการติดต่อสื่อสารของโปแลนด์ ซึ่งทำให้กองทัพเยอรมันสามารถรุดหน้าต่อไป สนามบินโปแลนด์ถูกยึด ระบบการเตือนภัยล่วงหน้าไม่ทำงาน และทำให้การส่งกำลังบำรุงของโปแลนด์ประสบปัญหาอย่างหนัก กองทัพอากาศของโปแลนด์ขาดเสบียง เครื่องบินของโปแลนด์ 98 ลำได้บินไปยังประเทศโรมาเนีย ซึ่งยังคงเป็นกลางอยู่[41] กองทัพอากาศโปแลนด์ซึ่งเคยมีเครื่องบินอยู่ 400 ลำ เมื่อวันที่ 1 ถูกทำลายจนเหลือเพียง 54 ลำ เมื่อวันที่ 14 และหลังจากนั้น กองทัพอากาศโปแลนด์ก็ไม่สามารถออกปฏิบัติการได้อีกต่อไป[41]
เมื่อวันที่ 3 กันยายน เมื่อกองทัพของนายพลกึนเธอร์ ซึ่งโจมตีมาจากทางเหนือไปถึงเขตแม่น้ำวิสตูล่า (ซึ่งอยู่ห่างจากแนวชายแดนของเยอรมนีเดิมในขณะนั้นประมาณ 10 กิโลเมตร) และกองทัพของนายพลจอร์จก็ไปถึงเขตแม่น้ำนาร์รอว์ ทางด้านกองกำลังยานเกราะของนายพลวอลเทอร์ ก็ได้เข้าถึงเขตแม่น้ำวาร์ท่า อีกสองวันต่อมา ทางปีกซ้ายของกองกำลังยานเกราะก็พุ่งเข้าสู่ทางด้านหลังของเมืองลอด์ซ และปีกขวานั้นอยู่ที่เมืองไคลซี และจนถึงวันที่ 8 กันยายน กองกำลังยานเกราะบางส่วนของเขาก็ได้ตั้งอยู่นอกกรุงวอร์ซอ กองกำลังยานเกราะของเยอรมนีได้เคลื่อนที่มาไกลกว่า 225 กิโลเมตรจากแนวชายแดนทิศตะวันตกในช่วงเวลาสัปดาห์แรกของการบุกครอง กองพลน้อยของนายพลวอลเทอร์นั้นตั้งอยู่บนแถบแม่น้ำวิสตูล่า ระหว่างกรุงวอร์ซอกับเมืองซานโดเมิร์ซ ในวันที่ 9 กันยายน ขณะที่กองทัพของนายพลวิลเฮล์มจากทางทิศใต้ ตั้งอยู่ที่แม่น้ำซานและทางใต้ของเมืองเพทเซมมายและนายพลไฮนส์ได้นำกองทัพรถถังที่สามข้ามแม่น้ำนารอว์ และโจมตีแนวรบโปแลนด์ที่แม่น้ำบั๊ก และปิดล้อมกรุงวอร์ซออย่างสมบูรณ์ กองทัพเยอรมันนั้นสามารถบรรลุถึงจุดประสงค์ของปฏิบัติการกรณีสีขาว กองทัพโปแลนด์ถูกตัดขาดออกจากกัน ซึ่งกองทัพบางแห่งได้ถอนตัวออกไปขณะที่บางส่วนได้ทำการโจมตีอย่างไม่ปะติดปะต่อกันกับสถานการณ์และแผนการโดยรวม
ด้านกองทัพโปแลนด์ได้ถอนกำลังออกจากแคว้นโพเมอราเนีย แคว้นเกรทเทอร์โปแลนด์ และแคว้นไซลีเชีย ในช่วงสัปดาห์แรกเท่านั้น แผนการตั้งรับตามแนวชายแดนของโปแลนด์นั้นได้รับพิสูจน์แล้วว่าประสบความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวง การบุกครองของเยอรมนีมิได้ช้าลงแต่อย่างใด เมื่อถึงวันที่ 10 กันยายน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของโปแลนด์ จอมพลแอดวาร์ด รึดซ์-ชมิกวือ ได้ออกคำสั่งให้ถอยทัพครั้งใหญ่ทั่วประเทศไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปยังเขตหัวสะพานโรมาเนีย[42] ในเวลาไม่นานนัก กองทัพเยอรมันก็ได้บีบวงล้อมกองทัพโปแลนด์ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำวิสตูล่า และยังสามารถโจมตีทะลุข้ามไปยังภาคตะวันออกของโปแลนด์ ด้านกรุงวอร์ซอ ซึ่งเป็นเป้าหมายการทิ้งระเบิดทางอากาศตั้งแต่ชั่วโมงแรกของการบุกครอง ได้ถูกโจมตีเมื่อวันที่ 9 กันยายน และอยู่ใต้วงล้อมเมื่อวันที่ 13 กันยายน ในเวลาเดียวกันนี้ กองทัพเยอรมันได้เคลื่อนไปถึงเมืองโลฟว์ ซึ่งเป็นมหานครทางตะวันออกของโปแลนด์ และในวันที่ 24 กันยายน เครื่องบินทิ้งระเบิดเยอรมันจำนวน 1,150 ลำได้เข้าถล่มกรุงวอร์ซออย่างหนัก
ยุทธการที่ใหญ่ที่สุดในการรบครั้งนี้ คือ ยุทธการที่บึซรา ณ แม่น้ำบึซรา ทางตะวันตกของกรุงวอร์ซอ ระหว่างวันที่ 9-19 กันยายน กองทัพโปแลนด์สองกองทัพล่าถอยมาจากฉนวนโปแลนด์ และโจมตีทางปีกของกองทัพที่แปดของเยอรมนี แต่ก็ล้มเหลว หลังจากการรบครั้งนี้ กองทัพโปแลนด์ก็ไม่สามารถทำการรบและการตีโต้ได้อีก อำนาจทางอากาศของเยอรมันนั้นมีส่วนสำคัญในการรบนี้ ลุควาฟเฟได้ทำลายกองทัพโปแลนด์ที่เหลือใน "การสาธิตที่น่าหวาดเสียวของอำนาจทางอากาศ"[43] ไม่นานนัก ลุควาฟเฟก็ทำลายสะพานข้ามแม่น้ำบาซูร่า กองทัพโปแลนด์ถูกดักอยู่ในที่โล่ง และถูกถล่มจากเครื่องบินสตูก้าระลอกแล้วระลอกเล่า ด้วยการทิ้งระเบิดขนาด 50 กิโลกรัม ด้านกองกำลังต่อต้านอากาศยานของโปแลนด์ก็กระสุนหมด ต้องถอยเข้าป่า แต่ลุควาฟเฟก็สามารถตรวจพบและทำลายกองทัพโปแลนด์ที่เหลืออย่างง่ายดาย[43]
รัฐบาลโปแลนด์และเหล่านายทหารระดับสูงได้หลบหนีจากกรุงวอร์ซอในวันแรกของการบุกครอง และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปยังเมืองเบอเซค เมื่อถึงวันที่ 6 จอมพลของโปแลนด์ แอดวาร์ด รึดซ์-ชมิกวือได้สั่งให้กองกำลังต้านทานของโปแลนด์ล่าถอยไปยังทิศทางเดียวกัน หลังแม่น้ำวิสตูล่าและแม่น้ำซาน และเริ่มต้นการตั้งรับอันยาวนานในเขตหัวสะพานโรมาเนีย[42]
ช่วงที่ 2: การบุกครองของสหภาพโซเวียต (17 กันยายน 1939)
แก้ก่อนการบุกครองรัฐบาลเยอรมนีได้ทวงถามต่อโจเซฟ สตาลินและวยาเชสลาฟ โมโลตอฟหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องให้สหภาพโซเวียตกระทำตามสนธิสัญญาเดือนสิงหาคม และโจมตีโปแลนด์ทางตะวันออก[44] สหภาพโซเวียตมีความกังวลต่อการบุกครองอย่างรวดเร็วของเยอรมนี และเกรงว่าตนจะเสียผลประโยชน์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ กองทัพโซเวียตจึงทำการบุกครองโปแลนด์เมื่อวันที่ 17 กันยายน และยังได้มีการตกลงว่าสหภาพโซเวียตจะยอมสละแนวชายแดนที่กำหนดไว้กับเยอรมนีเดิมและกรุงวอร์ซอเพื่อแลกเปลี่ยนกับการยึดครองลิทัวเนีย สหภาพโซเวียตสนับสนุนการบุกครองของเยอรมนี นายโมโลตอฟได้กล่าวสุนทรพจน์หลังจากโปแลนด์พ่ายแพ้ว่า:
"เยอรมนี กับประชากร 80 ล้านคนนั้น ได้รับการยอมรับจากประเทศเพื่อนบ้านในความยิ่งใหญ่ และมีกำลังทหารอันแข็งแกร่งอย่างแท้จริง โดยได้กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของพวกจักรวรรดินิยมในทวีปยุโรปอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสอย่างเห็นได้ชัด นั่นเป็นเหตุผลที่หลายประเทศประกาศสงครามกับเยอรมนี โดยอ้างว่าเป็นการทำตามพันธะที่มีต่อโปแลนด์ บัดนี้จึงเห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ความประสงค์อันแท้จริงของคณะรัฐมนตรีจากประเทศเหล่านี้ผิดแผกไปจากความตั้งใจช่วยเหลือประเทศที่ถูกยึดครองอย่างโปแลนด์กับเชโกสโลวาเกียมากเพียงใด"[45]
เมื่อถึงวันที่ 17 กันยายน การตั้งรับของโปแลนด์ก็ถูกทำลาย เหลือเพียงแต่ความหวังที่จะล่าถอยและไปรวมตัวกันใหม่ในเขตหัวสะพานโรมาเนีย แต่ทว่าแผนการก็เปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อกองทัพแดงอันเกรียงไกรของสหภาพโซเวียตจำนวน 800,000 นายเข้าโจมตีทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนสนธิสัญญาสันติภาพริกา และสนธิสัญญาไม่รุกรานระหว่างโปแลนด์-สหภาพโซเวียต รวมทั้งสนธิสัญญาระหว่างประเทศอีกเป็นจำนวนมาก[III] นักการทูตของโซเวียตได้อ้างว่าสหภาพโซเวียตกำลังปกป้องชาวยูเครนและชาวเบลารุสในโปแลนด์ตะวันออกเมื่อประเทศโปแลนด์ใกล้จะล่มสลาย นายโมโลตอฟได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 17 กันยายน ว่า
"เหตุการณ์ที่ได้นำไปสู่สงครามเยอรมนี-โปแลนด์ได้เผยให้เห็นถึงความเปราะบางภายในและความอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดของโปแลนด์ โปแลนด์นั้นเปรียบเสมือนกับคนสิ้นเนื้อประดาตัว... กรุงวอร์ซอในฐานะเมืองหลวงของโปแลนด์นั้นล่มสลายไปเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงถิ่นแถวของรัฐบาลโปแลนด์อีก ชาวโปแลนด์ถูกทอดทิ้งจากผู้นำที่หมดประกาย ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้อีกแล้ว จะไม่มีโปแลนด์กับรัฐบาลโปแลนด์อีกต่อไป ความสัมพันธ์และสนธิสัญญาใด ๆ ที่เชื่อมโยงระหว่างโปแลนด์กับสหภาพโซเวียตก็ได้สิ้นสุดลง สถานการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในโปแลนด์ทำให้รัฐบาลโซเวียตต้องหันมาเอาใจใส่กับความปลอดภัยของรัฐนี้ โปแลนด์อาจกลายเป็นแหล่งกำเนิดของกองกำลังอันไม่คาดคิดซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายกับสหภาพโซเวียตได้... นอกเสียจากจะมาอยู่ในความคุ้มครองของรัฐบาลโซเวียต เพื่อรักษาชะตากรรมของพี่น้องร่วมสายเลือดกันกับเรามิให้เปลี่ยนแปลงไป นั่นคือ ชาวยูเครนและชาวเบลารุส (พวกรัสเซียขาว) ซึ่งอาศัยอยู่ในโปแลนด์มาแต่เดิม ผู้ซึ่งปราศจากสิทธิอันชอบธรรมและไม่ได้รับการเหลียวแลในชะตากรรมของพวกเขาเลย รัฐบาลโซเวียตเห็นว่าเป็นหน้าที่อันสูงส่งที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ชาวยูเครนและชาวเบลารุสพี่น้องของเราซึ่งอาศัยอยู่ในโปแลนด์เหล่านี้"[46]
แนวชายแดนด้านตะวันออกของโปแลนด์นั้นได้รับการป้องกันโดยกองกำลังพิทักษ์ชายแดน ซึ่งมีกำลังพลประมาณ 25 กองพัน จอมพลเอ็ดเวิร์ด ริดซ์ สมิกลี่ได้ออกคำสั่งให้กองกำลังเหล่านี้ล่าถอยโดยไม่ต้านทานการบุกครองของสหภาพโซเวียต แต่ว่าก็ยังเกิดการรบประปรายหลายครั้ง เช่น ยุทธการกรอดโน ซึ่งทหารและพลเรือนท้องถิ่นพยายามป้องกันเมืองไว้อย่างเหนียวแน่น ระหว่างการบุกครอง ทหารโซเวียตได้สังหารชาวโปแลนด์อย่างเลือดเย็น รวมไปถึงเชลยศึกอย่างนายพล Józef Olszyna-Wilczyński[47][48] ด้านองค์การชาตินิยมแห่งยูเครนก็ได้ลุกขึ้นสู้กับชาวโปแลนด์ และผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ทั้งหลายก็ลุกขึ้นก่อการปฏิวัติในท้องถิ่น ปล้นขโมยทรัพย์และสังหารชาวโปแลนด์ ขบวนการเหล่านี้ต่อมาได้รับการฝึกฝนจากกลุ่มผู้ตรวจการพลเรือนแห่งราชการภายในของสหภาพโซเวียต (เอ็นเควีดี) การบุกครองของสหภาพโซเวียตในครั้งนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลโปแลนด์เริ่มเชื่อว่าตนจะเป็นฝ่ายแพ้สงคราม[49] ก่อนการโจมตีของสหภาพโซเวียตในทางตะวันออก จึงมีคำสั่งให้ทัพโปแลนด์ที่ตั้งรับเยอรมนีในเขตตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเริ่มการถอยทัพ ขณะที่ยังคงรอคอยความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตรว่าจะมาโจมตีทางตะวันตกของเยอรมนี[49] อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโปแลนด์ปฏิเสธที่จะยอมจำนนหรือเจรจากับเยอรมนี กองทัพโปแลนด์ส่วนที่เหลือได้รับคำสั่งให้อพยพออกจากโปแลนด์และรวมตัวกันใหม่ในฝรั่งเศส
ในเวลาเดียวกันนี้ กองทัพโปแลนด์พยายามจะเคลื่อนตัวไปยังเขตหัวสะพานโรมาเนีย และยังคงต้านทานการบุกครองของเยอรมนี ตั้งแต่วันที่ 17-20 กันยายน กองทัพโปแลนด์สองกองทัพคราโคว และลูบลิน ถูกตรึงไว้ที่โทมาซอฟ ลูบเบลสกี้ ซึ่งเป็นยุทธการที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของการบุกครองครั้งนี้ ด้านเมืองโลฟว์ ก็ยอมจำนนเมื่อวันที่ 22 เนื่องจากถูกบีบจากกองทัพโซเวียต เมืองนี้เคยถูกกองทัพเยอรมันโจมตีเมื่อสัปดาห์ก่อน กองทัพเยอรมันจับมือกับกองทัพโซเวียตในระหว่างการล้อมเมืองครั้งนั้น[50] ส่วนทางด้านเมืองหลวง กรุงวอร์ซอ ก็มีการต้านทานอย่างหนัก จากทหารโปแลนด์ที่ล่าถอยเข้าสู่เมืองหลวง อาสาสมัครพลเรือนและกองทหารอาสาสมัคร จนกระทั่งวันที่ 28 กันยายน ปราการมอดลิน ยอมจำนนเมื่อวันที่ 29 กันยายน หลังจากการรบเป็นเวลานานถึง 16 วัน เหล่าทหารที่ถูกตัดขาดสู้จนกระทั่งตำแหน่งถูกล้อมไว้โดยกองทัพเยอรมัน ส่วนที่ท่าเวสเทอร์แพลท ได้ยอมจำนนไปตั้งแต่วันที่ 7 กันยายนเรียบร้อยแล้ว เมืองออคซีไวยอมจำนนเมื่อวันที่ 19 กันยายน เมืองเฮลยอมจำนนเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม และในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์ได้กล่าวปราศรัยที่นครดานซิกว่า:
“ | โปแลนด์จะไม่อาจรุ่งเรืองขึ้นเป็นสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สองตามสนธิสัญญาแวร์ซายได้อีก นี่มิใช่เพียงคำรับรองจากเยอรมนีเท่านั้น แต่หมายรวมไปถึง... สหภาพโซเวียตด้วย[51] | ” |
แม้ว่าโปแลนด์จะได้รับชัยชนะที่แซค หลังจากที่ทหารโซเวียตประหารนายทหารโปแลนด์ที่ถูกจับตัวได้จนหมดสิ้น แต่กระนั้นกองทัพโซเวียตก็สามารถบรรลุถึงแม่น้ำนารอว์ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำบั๊ก แม่น้ำวิสตูล่าและแม่น้ำซาน ภายในวันที่ 28 กันยายน โดยได้พบกับกองกำลังเยอรมันที่กำลังรุกเข้ามาจากทางตะวันตกหลายครั้ง ทหารโปแลนด์ในคาบสมุทรเฮลได้ต้านทานจนถึงวันที่ 2 ตุลาคม[52] กองทัพโปแลนด์กองสุดท้าย กองทัพอิสระกลุ่มโปลิเซ่ ภายใต้การนำของนายพลฟรานซิแซก คลีเบิร์กได้ยอมจำนนหลังจากยุทธการค็อก ใกล้เมืองลูบลิน เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม อันเป็นจุดสิ้นสุดของการบุกครอง[53]
เรื่องเล่าที่ไม่เป็นความจริง
แก้ในระหว่างการบุกครองโปแลนด์ ได้ปรากฏความเข้าใจผิดหลายประการเกี่ยวกับเหตุการณ์ระหว่างการรบ:
- กองทัพโปแลนด์รบกับรถถังเยอรมันด้วยทหารม้า
ถึงแม้ว่ากองทัพโปแลนด์จะมีกองทหารม้าถึง 11 กองพลน้อย และหลักนิยมทางทหารของโปแลนด์เองก็ให้ความสำคัญต่อการฝึกฝนเหล่าทหารม้าให้กลายเป็นทหารฝีมือเยี่ยม ในขณะที่กองทัพของประเทศอื่น ๆ ในสมัยนั้น (ซึ่งรวมไปถึงกองทัพเยอรมันและกองทัพโซเวียต) ต่างก็พยายามปรับปรุงใช้ทหารม้าของตนด้วยเช่นกัน กองทหารม้าโปแลนด์ (ซึ่งถือปืนไรเฟิลต่อต้านรถถัง "ยูอาร์" และปืนใหญ่ขนาดเล็กความสามารถสูง) ไม่เคยบุกกองรถถังเยอรมัน ทหารราบ หรือเหล่าทหารปืนใหญ่ของศัตรูเลย แต่ว่ากองทหารม้าโปแลนด์จะทำหน้าที่เหมือนกับหน่วยทหารเคลื่อนที่เร็วและกองสอดแนมเสียมากกว่า ซึ่งมีน้อยครั้งที่จะมีการโจมตีโดยการใช้ทหารม้า
เรื่องเล่าดังกล่าวคาดว่าน่าจะมาจากการโฆษณาชวนเชื่อของเยอรมัน ซึ่งวาดภาพเกี่ยวกับยุทธการที่โคจานตี ซึ่งทหารม้าโปแลนด์ถูกเปิดฉากยิงเข้าใส่โดยยานเกราะของข้าศึกที่อำพรางอยู่ แต่กระนั้น ทหารม้าก็ไม่เคยเป็นฝ่ายเปิดฉากบุกเข้าใส่ก่อนเลย[54]
- กองทัพอากาศโปแลนด์ถูกทำลายบนพื้นดินในวันแรกของการบุกครอง
กองทัพอากาศโปแลนด์เสียเปรียบทางด้านปริมาณ กองทัพโปแลนด์จึงได้มีการอำพรางตามสนามบินย่อย ๆ ไม่นานก่อนที่การบุกครองจะเกิดขึ้น โดยมีเพียงเครื่องบินฝึกบินและเครื่องบินสนับสนุนเท่านั้นที่ถูกกองทัพอากาศเยอรมันทำลายบนพื้นดิน กองทัพอากาศโปแลนด์ยังคงทำการรบไปได้อีกสองสัปดาห์ สามารถทำลายกองพลแพนเซอร์ได้หนึ่งกองพล และยังได้สร้างความเสียหายให้แก่ลุควาฟเฟกว่า 25% ของกองกำลังทั้งหมดอีกด้วย[55] โดยเครื่องบินรบเยอรมัน 285 ลำถูกยิงตก และอีก 279 ลำได้รับความเสียหาย[56] ส่วนเครื่องบินโปแลนด์ถูกยิงตก 333 ลำ[57] นักบินฝีมือดีของโปแลนด์ได้หลบหนีไปยังสหราชอาณาจักรและเข้าร่วมรบในยุทธการที่บริเตน และสามารถยิงเครื่องบินรบเยอรมันตกได้จำนวนมากจนเป็นที่เลื่องลือมานักต่อนัก[IV]
- กองทัพโปแลนด์ต้านทานเพียงเล็กน้อยและยอมจำนนอย่างรวดเร็ว
กองทัพเยอรมันได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยานยนต์และเครื่องบินรบ เยอรมนีสูญเสียยานเกราะไปกว่า 1 กองพล และเครื่องบินรบกว่า 25% ของกองทัพอากาศทั้งหมด[56] และเมื่อเทียบกับยุทธการที่ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1940 แล้ว การทัพโปแลนด์กินระยะเวลาน้อยกว่ายุทธการในครั้งนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งกองทัพผสมอังกฤษ-ฝรั่งเศสมีกำลังพลและยุทธภัณฑ์ในจำนวนที่ใกล้เคียงกับกองทัพเยอรมันมากกว่า นอกจากนั้น โปแลนด์ยังได้เตรียมแผนการการตั้งรับในเขตหัวสะพานโรมาเนีย ซึ่งโปแลนด์จะทำการรบยืดเยื้อกับเยอรมนี แต่ว่าแผนการนี้ถูกยกเลิกเมื่อสหภาพโซเวียตโจมตีมาจากทางตะวันออก เมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1939[58] โปแลนด์นั้นก็ไม่มีความต้องการที่จะยอมจำนนกับเยอรมนีแต่อย่างใด แม้ว่าการรบจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ว่าชาวโปแลนด์ก็ยังต่อสู้ใต้ดินอยู่ตลอดเวลา ขบวนการกู้ชาติของโปแลนด์มีขนาดใหญ่ที่สุดในจำนวนขบวนการใต้ดินทั้งหมดในทวีปยุโรป[59]
- การโจมตีสายฟ้าแลบถูกใช้เป็นครั้งแรกในโปแลนด์
มักจะมีการสันนิษฐานว่าการโจมตีสายฟ้าแลบเป็นยุทธวิธีการรบที่ได้มีการใช้เป็นครั้งแรกในการบุกครองโปแลนด์ดังกล่าว ซึ่งนักประวัติศาสตร์ยุคหลังสงครามจำนวนหนึ่งได้สรุปเอาไว้เช่นนั้น อย่างไรก็ตาม นักประพันธ์บางคนไม่ยอมรับแนวคิดดังกล่าว โดยกล่าวว่ามียุทธวิธี Vernichtungsgedanke ซึ่งพบตั้งแต่สมัยพระเจ้าฟรีดริชมหาราช และยุทธวิธีที่ใช้ในการทัพก็มีความแตกต่างน้อยมากจากยุทธวิธีที่เคยใช้ในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย เมื่อปี ค.ศ. 1870 และการเริ่มใช้รถถัง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ภายหลังสงคราม
แก้ความพ่ายแพ้ของโปแลนด์เกิดจากผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลแห่งวอร์ซอได้เพียงแค่เพ้อฝันถึงความช่วยเหลือจากพันธมิตรของตน และยังประมาณความสามารถในการทำศึกยืดเยื้อของกองทัพตนต่ำเกินไป
ดินแดนของโปแลนด์ถูกแบ่งออกเป็นของนาซีเยอรมนี สหภาพโซเวียต ลิทัวเนีย และสโลวาเกีย ดินแดนโปแลนด์ส่วนตะวันตกถูกนาซีเยอรมนียึดครอง โดยส่วนที่เหลือถูกปกครองโดย "คณะรัฐบาลสามัญ" และในวันที่ 28 กันยายน สนธิสัญญาลับระหว่างเยอรมนีกับสหภาพโซเวียตได้ปรับเปลี่ยนข้อตกลงเดิมในเดือนสิงหาคม โดยเยอรมนีจะยกลิทัวเนียให้อยู่ในเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียต แต่ว่าเยอรมนีจะได้ดินแดนโปแลนด์เพิ่มขึ้นไปจนถึงแม่น้ำบั๊ก[61]
แม้ว่าระหว่างเขตอิทธิพลของนาซีเยอรมนีและสหภาพโซเวียตจะมีผืนน้ำขวางกั้นอยู่ก็ตาม แต่ว่ากองทัพของทั้งสองประเทศก็พบกันหลายครั้งระหว่างการบุกครอง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวที่สำคัญ คือ เมืองเบรสท์ ประเทศเบลารุส เมื่อวันที่ 22 กันยายน กองพลแพนเซอร์ที่ 19 ของนายพลไฮนซ์ กูเดเรียนซึ่งยึดครองเมืองแห่งนี้อยู่ และกองพลน้อยรถถังที่ 29 ของโซเวียต และทั้งสองแม่ทัพก็ได้ทำการทักทายกัน[62] ที่เมืองนี้ กองทัพเยอรมันและกองทัพโซเวียตได้จัดการเดินขบวนฉลองชัยร่วมกัน ก่อนที่กองทัพเยอรมันจะยอมถอนตัวออกไปยังแนวที่ได้ตกลงกันไว้[63][64] [65]
อย่างไรก็ตาม สามวันก่อนหน้านี้ กองทัพเยอรมันก็ปะทะกับกองทัพโซเวียตใกล้กับเมืองลวิว เมื่อกรมทหารภูเขาที่ 137 ของเยอรมนีพบกับกองลาดตระเวนของกองพลน้อยรถถังที่ 24 ของโซเวียต หลังจากการปะทะกันระยะหนึ่งแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ยอมเจรจากัน กองทัพเยอรมันยอมล่าถอยออกจากพื้นที่ และกองทัพโซเวียตเข้าสู่เมืองลวิวเมื่อวันที่ 22 กันยายน
ทหารโปแลนด์กว่า 65,000 นายตายในการรบ ทหารอีกกว่า 420,000 นายถูกจับกุมตัวโดยกองทัพเยอรมัน และอีกประมาณ 240,000 โดยกองทัพโซเวียต ทหารโปแลนด์ราว 120,000 นายสามารถหลบหนีไปยังประเทศโรมาเนียและฮังการี และอีก 200,000 นาย หลบหนีไปยังลัตเวียและลิทัวเนีย ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว พวกเขาเหล่านี้จะพยายามเดินทางไปยังอังกฤษและฝรั่งเศส ด้านกองทัพเรือโปแลนด์ก็ประสบความสำเร็จในการหลบหนีไปยังอังกฤษด้วยเช่นกัน ส่วนความสูญเสียของทหารเยอรมันอยู่ที่ประมาณ 16,000 นาย
ไม่มีฝ่ายใด ทั้งเยอรมนี ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก และสหภาพโซเวียต จะคาดว่าการบุกครองโปแลนด์นี้จะลุกลามจนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง ฮิตเลอร์ยังได้เตรียมแผนการที่จะเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ทว่าฝ่ายสัมพันธมิตรก็ไม่เปิดโอกาสเลย นักประวัติศาสตร์ถือว่าการบุกครองโปแลนด์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป ขณะที่การบุกครองจีนของญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1937 และสงครามมหาสมุทรแปซิฟิกในปี ค.ศ. 1941 รวมกันแล้ว จะเรียกว่า "สงครามโลกครั้งที่สอง"
การบุกครองโปแลนด์ยังส่งผลให้อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1939 อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออะไรได้มากนัก การช่วยเหลือเพียงน้อยนิดและไม่ทันกาลเหล่านี้ ทำให้ชาวโปแลนด์เชื่อว่าตนถูกทรยศโดยพันธมิตรตะวันตก
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์ได้ชี้แจงแก่เหล่านายทหารเยอรมันว่าจุดประสงค์ของการบุกครองนั้นมิใช่ที่นครดานซิก แต่ว่าเป็นการรวบรวมชาวเยอรมันให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และรายละเอียดของแนวคิดนี้เป็นแนวคิดตามแนวปฏิบัติโอซท์[66][67] การโจมตีสายฟ้าแลบได้ก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของชาวโปแลนด์เป็นจำนวนมาก พลเรือนของโปแลนด์ถูกสังหารไปพร้อมกับเหล่าทหารด้วย และต่อมา รัฐบาลโปแลนด์ซึ่งจัดตั้งโดยนาซีเยอรมนีจะเป็นส่วนที่โหดร้ายที่สุดส่วนหนึ่งของสงคราม จนสิ้นสงคราม ชาวโปแลนด์เสียชีวิตไป 6 ล้านคน (คิดเป็น 20% ของชาวโปแลนด์ก่อนสงครามและชาวยิวถูกสังหารไป 90% ของจำนวนเดิม)
กองทัพแดงปกครองโปแลนด์ด้วยการอพยพชาวยูเครนและชาวเบลารุสเข้าสู่พื้นที่ กองทัพแดงประสบกับขบวนการกู้ชาติของโปแลนด์ในช่วงแรกเช่นกัน แต่ว่าไม่นาน คอมมิวนิสต์ก็เริ่มกระจายเข้าสู่พื้นที่ ซึ่งนำไปสู่แนวคิดต่อต้านโซเวียตอย่างสุดโต่งในพื้นที่ทางตะวันตกของยูเครน ดินแดนยึดครองของโซเวียตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1939 ถึงปี ค.ศ. 1941 ได้ส่งผลให้ชาวโปแลนด์นับล้านถูกสังหารหรือไม่ก็ถูกเนรเทศ และผู้ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นศัตรูของคอมมิวนิสต์จะถูกจับไปกักขังและใช้แรงงานหนักในค่ายกักกันหรือถูกสังหารทิ้ง[V] ซึ่งกองทัพแดงทำการแก้แค้นต่อการโจมตีทางตะวันตกของยูเครน จนความโกรธและความเกลียดชังแผ่ออกไปทั่วทุกหนแห่ง ความโหดร้ายของกองทัพแดงเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อสหภาพโซเวียตทำการปลดปล่อยโปแลนด์เมื่อปี ค.ศ. 1944 อย่างเช่น การประหารทหารรักษาดินแดนของโปแลนด์
หลังจากการรบ พลเรือนชาวโปแลนด์เสียชีวิตไปกว่า 150,000-200,000 คน[68] ขณะที่ชาวเยอรมันเสียชีวิตไป 3,250 คน (รวมไปถึงประชาชนเยอรมัน 2,000 คนที่ลุกขึ้นต่อต้านกองทัพโปแลนด์) [69]
เชิงอรรถ
แก้I. ^ แหล่งอ้างอิงหลายแหล่งขัดแย้งกันเอง ฉะนั้นตัวเลขที่คัดมาข้างต้นจึงควรถือเป็นการชี้บอกการประเมินยอดกำลังพลอย่างหยาบ ๆ เท่านั้น ความแตกต่างพิสัยสามัญที่สุดและประเภทมีดังนี้ กำลังพลเยอรมนี 1,490,000 นาย (ตัวเลขอย่างเป็นทางการของกระทรวงการต่างประเทศโปแลนด์) หรือ 1,800,000 นาย รถถังโปแลนด์ 100-880 คัน ตัวเลข 100 นั้นเป็นจำนวนรถถังสมัยใหม่ ขณะที่ตัวเลข 880 คือ จำนวนที่รวมรถถังเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและรถเกราะเบา (tankette)[70][71]|
II. ^ ข้อแตกต่างในกำลังพลสูญเสียของเยอรมนีอาจมีสาเหตุมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าบางสถิติของเยอรมนียังขึ้นรายการทหารว่าสูญหายหลายทศวรรษหลังสงคราม ปัจจุบัน ตัวเลขที่สามัญและเป็นที่ยอมรับกันมากที่สุด คือ เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ 8,082 ถึง 16,343 นาย สูญหายในการปฏิบัติหน้าที่ 320 ถึง 5,029 นาย บาดเจ็บในการปฏิบัติหน้าที่ 27,280 ถึง 34,316 นาย[72] เพื่อเปรียบเทียบ ในสุนทรพจน์ของฮิตเลอร์ในปี 1939 หลังการทัพโปแลนด์ เขานำเสนอตัวเลขของเยอรมนีดังนี้ เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ 10,576 นาย บาดเจ็บในการปฏิบัติหน้าที่ 30,222 นาย และสูญหายในการปฏิบัติหน้าที่ 3,400 นาย[73] ตามการประเมินช่วงต้นของฝ่ายสัมพันธมิตร รวมถึงตัวเลขประเมินของรัฐบาลพลัดถิ่นโปแลนด์ ตัวเลขกำลังพลสูญเสียของเยอรมนีอยู่ที่ 90,000 นาย และบาดเจ็บในการปฏิบัติหน้าที่ 200,000 นาย[73][74] การสูญเสียยุทโธปกรณ์ระบุว่า มีรถถังเยอรมนี 832 คัน[75] โดยประมาณ 236[75] ถึง 341 คันเป็นความสูญเสียที่กู้ไม่ได้ และยานเกราะอื่นอีกประมาณ 319 คันเป็นความสูญเสียที่กู้ไม่ได้ (รวมแพนเซอร์สพาวาเกน 165 คัน ซึ่งในจำนวนนี้ 101 คันเป็นความสูญเสียกู้ไม่ได้)[75] เครื่องบินเยอรมนี 522-561 ลำ (รวมที่ถูกทำลาย 246-285 ลำ และเสียหาย 276 ลำ) เรือวางทุ่นระเบิดเยอรมนี 1 ลำ (เอ็ม 85) และเรือตอร์ปิโดเยอรมนี 1 ลำ ("ไทเกอร์")
ทางฝ่ายสหภาพโซเวียต มีตัวเลขอย่างเป็นทางการ คือ มีความสูญเสียหรือสูญหายอยู่ระหว่าง 737-1,475 นาย และบาดเจ็บกว่า 1,859-2,383 นาย ทหารโปแลนด์ตกเป็นเชลยของเยอรมนีและสหภาพโซเวียตรวมกันเป็นจำนวนมหาศาลระหว่าง 660,000-690,000 นาย คือ ฝ่ายเยอรมนีควบคุมตัวไว้ 420,000 นายและสหภาพโซเวียตอีก 250,000 นาย
III. ^ สนธิสัญญาอื่นที่เกี่ยวพันกับสหภาพโซเวียต ได้แก่ ข้อตกลงแห่งสันนิบาตชาติ ในปี ค.ศ. 1919 สนธิสัญญาบริแอน-เคลลอก แห่งปี ค.ศ. 1928 และ ข้อตกลงกรุงลอนดอนว่าด้วยการจำกัดการรุกราน แห่งปี ค.ศ. 1933 เป็นต้น[76]
IV. ^ กองบินขับไล่โปแลนด์ "Kościuszko" หมายเลข 303 ได้จัดตั้งขึ้นจากนักบินชาวโปแลนด์ในสหราชอาณาจักรเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนนับตั้งแต่ยุทธการที่บริเตนเริ่มขึ้น และเป็นกองบินที่ยิงเครื่องบินของฝ่ายศัตรูตกมากที่สุดในบรรดากองบินทั้งหมดของอังกฤษในปฏิบัติการครั้งนั้น
V. ^ ในช่วงเวลาสองปีภายใต้การยึดครองของสหภาพโซเวียต พลเรือนโปแลนด์ถูกจับกุมตัวไปกว่า 100,000 คน และถูกเนรเทศไปกว่า 350,000-1,500,000 คน ซึ่งจากจำนวนนี้เสียชีวิตไประหว่าง 250,000-1,000,000 คน[77][78]
จำนวนที่แท้จริงของประชาชนที่ถูกเนรเทศในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1939-1941 ยังคงไม่ทราบแน่ชัด โดยมีประมาณการอยู่ระหว่าง 350,000[79] ไปจนถึง 2,000,000 คน (ประมาณการโดยรัฐใต้ดิน) โดยสถิติที่มีอายุมากที่สุดเป็นการบันทึกของเอ็นเควีดี และไม่นับรวมจำนวนเชลยศึกกว่า 180,000 นาย ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของโซเวียต นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ส่วนใหญ่ประมาณจำนวนผู้ที่ถูกเนรเทศในเขตยึดครองของสหภาพโซเวียตอยู่ระหว่าง 800,000-1,500,000 คน
หมายเหตุ
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ (in Russian) Переслегин. Вторая мировая: война между реальностями.— М.:Яуза, Эксмо, 2006, с.22; Р. Э. Дюпюи, Т. Н. Дюпюи. Всемирная история войн.—С-П,М: АСТ, кн.4, с.93.
- ↑ 2.0 2.1 Ministry of Foreign Affairs. The 1939 Campaign เก็บถาวร 11 ธันวาคม 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Polish Ministry of Foreign Affairs, 2005.
- ↑ E.R Hooton, p85
- ↑ Кривошеев Г. Ф., Россия и СССР в войнах XX века: потери вооруженных сил. Статистическое исследование (Krivosheev G. F., Russia and the USSR in the wars of the 20th century: losses of the Armed Forces. A Statistical Study Greenhill 1997 ISBN 1-85367-280-7) (รัสเซีย)
- ↑ Goldman p. 163, 164
- ↑ Dariusz Baliszewski (19 September 2004), Most honoru. Tygodnik Wprost (weekly), 38/2004. ISSN 0209-1747.
- ↑ Kitchen, Martin (1990). A World in Flames: A Short History of the Second World War. Longman. p. 74. ISBN 978-0-582-03408-2. สืบค้นเมื่อ 2 November 2011.
- ↑ ธนู แก้วโอภาส, เหตุการณ์สำคัญในศตวรรษที่ 20, ฝ่ายโรงพิมพ์ บริษัท ตภาตา พับลิเคชั่น จำกัด, 2549, หน้า 153
- ↑ Documents Concerning the Last Phase of the German-Polish Crisis, ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหานคนเสรีดานซิกและฉนวนโปแลนด์และปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างชาวเยอรมันกับชาวโปแลนด์ (New York: German Library of Information), p. 33–35...ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: Documents Concerning German-Polish Relations and the Outbreak of Hostilities Between Great Britain and Germany on September 3, 1939 (จิปาถะ หมายเลข 9) ข้อความซึ่งถูกส่งไปยังเอกอัคราชทูตประจำกรุงเบอร์ลินโดยเลขาธิการของรัฐเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1939 เมื่อเวลา 9.15 น. (London: His Majesty's (HM) Stationary Office) p. 149–153
- ↑ ดูที่: Documents Concerning German-Polish Relations, 149–153.
- ↑ ดูที่: Documents Concerning German-Polish Relations, p. 149–153
- ↑ Final Report By the Right Honourable Sir Nevile Henderson (G.C.M.G) on the circumstances leading to the termination of his mission to Berlin เมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1939 (London: His Majesty's Stationary Office), p. 24
- ↑ ดูเพิ่มที่: Final Report By the Right Honourable Sir Nevile Henderson, p. 16–18
- ↑ Seidner, Stanley S. Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland, New York, 1978, ch. 2
- ↑ Roger Manvell, Heinrich Fraenkel, Heinrich Himmler: The SS, Gestapo, His Life and Career, Skyhorse Publishing Inc., 2007, ISBN 1-60239-178-5, Google Print, p.76
- ↑ Stanley S. Seidner, Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland, New York, 1978, 177
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,270-94
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland, pages 135-138
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,158
- ↑ Michael Alfred Peszke, Polish Underground Army, the Western Allies, and the Failure of Strategic Unity in World War II, McFarland & Company, 2004, ISBN 0-7864-2009-X, Google Print, p.2
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland, pages 122-123
- ↑ B.H.Hart & A.J.P Taylor, p41
- ↑ Matthew Cooper, The German Army 1939–1945: Its Political and Military Failure, p. 176
- ↑ Bombers of the Luftwaffe, Joachim Dressel and Manfred Griehl, Arms and Armour, 1994
- ↑ The Flying pencil, Heinz J. Nowarra, Schiffer Publishing,1990,p25
- ↑ A History of World War Two, A.J.P Taylor, Octopus, 1974, p35
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,162
- ↑ ธนู แก้วโอภาส, เหตุการณ์สำคัญในศตวรรษที่ 20, ฝ่ายโรงพิมพ์ บริษัท ตภาตา พับลิเคชั่น จำกัด, 2549, หน้า 155
- ↑ ธนู แก้วโอภาส, เหตุการณ์สำคัญในศตวรรษที่ 20, ฝ่ายโรงพิมพ์ บริษัท ตภาตา พับลิเคชั่น จำกัด, 2549, หน้า 154
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,68-72
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,122-25
- ↑ Stanley S.Seidner, "Reflections from Rumania and Beyond: Marshal Śmigły-Rydz Rydz in Exile," The Polish Review vol. xxii, no. 2, 1977, pp. 29–51.
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,244-150
- ↑ Henryk Piątkowski (1943). Kampania wrześniowa 1939 roku w Polsce. Jerusalem: Sekcja Wydawnicza APW. p. 39. (โปแลนด์)
- ↑ Count Edward Raczyński (1948). The British-Polish Alliance; Its Origin and Meaning. London: Mellville Press.
- ↑ ธนู แก้วโอภาส, เหตุการณ์สำคัญในศตวรรษที่ 20, ฝ่ายโรงพิมพ์ บริษัท ตภาตา พับลิเคชั่น จำกัด, 2549, หน้า 157
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,304-310
- ↑ 38.0 38.1 Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,312
- ↑ Dariusz Baliszewski, Wojna sukcesów, Tygodnik "Wprost", Nr 1141 (10 October 2004)
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,314
- ↑ 41.0 41.1 E.R Hooton, p87
- ↑ 42.0 42.1 Stanley S.Seidner, "Reflections from Rumania and Beyond: Marshal Śmigły-Rydz Rydz in Exile," The Polish Review vol. xxii, no. 2, 1977, pp. 29–51.
- ↑ 43.0 43.1 E.R Hooton, p91
- ↑ Telegram เก็บถาวร 2009-11-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน: โทรเลขจากเอกอัครราชทูตเยอรมันในสหภาพโซเวียต (Schulenburg) ถึงกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี จากกรุงมอสโก วันที่ 10 กันยายน 1939 เวลา 21.40 น. และ Telegram 2 เก็บถาวร 2007-04-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน: โทรเลขอีกฉบับจากเอกอัครราชทูตเยอรมันไปยังกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1939 แหล่งที่มา: โครงการเอวาลอน ที่ สถาบันกฎหมายเยล
- ↑ รายงานของนายโมโลตอฟ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1940
- ↑ EVENTS 1939
- ↑ Sanford, p. 23; (โปแลนด์) Olszyna-Wilczyński Józef Konstanty เก็บถาวร 2008-03-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Encyklopedia PWN. ได้รับข้อมูลเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2006
- ↑ Śledztwo w sprawie zabójstwa w dniu 22 września 1939 r. w okolicach miejscowości Sopoćkinie generała brygady Wojska Polskiego Józefa Olszyny-Wilczyńskiego i jego adiutanta kapitana Mieczysława Strzemskiego przez żołnierzy b. Związku Radzieckiego. (S 6/02/Zk) Polish Institute of National Remembrance. Internet Archive, 16.10.03. ได้รับข้อมูลเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2007 (โปแลนด์)
- ↑ 49.0 49.1 (Sanford 2005, pp. 20–24)
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,226-28
- ↑ Seven Years War? เก็บถาวร 2008-03-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, นิตยสารไทมส์ ฉบับวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1939
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,279-80
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland,289-91
- ↑ Seidner takes issue here with this contention on at least one occasion. Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland
- ↑ Steven J. Zaloga, Ramiro Bujeiro, Howard Gerrard, Poland 1939: the birth of blitzkrieg, Osprey Publishing, 2002, ISBN 1-84176-408-6, Google Print, p.50[ลิงก์เสีย]
- ↑ 56.0 56.1 Bekker, Cajus (1964) :
- ↑ Overy, Richard J., The Air War: 1939-1945, London, Europa Publications, 1980. p. 28
- ↑ Seidner,Marshal Edward Śmigły-Rydz Rydz and the Defense of Poland, ch. 3
- ↑ Zamoyski, Adam. The Polish Way. New York: Hippocrene Books, 1987
- ↑ Erich von Manstein, Lost Victories, trans. Anthony G. Powell (Chicago: Henry Regnery, 1958), p 46
- ↑ ธนู แก้วโอภาส, เหตุการณ์สำคัญในศตวรรษที่ 20, ฝ่ายโรงพิมพ์ บริษัท ตภาตา พับลิเคชั่น จำกัด, 2549, หน้า 159-161
- ↑ Кривошеин С.М. Междубурье. Воспоминания. Воронеж, 1964. (Krivoshein S. M. Between the Storms. Memoirs. Voronezh, 1964. in Russian) ; Guderian H. Erinnerungen eines Soldaten Heidelberg, 1951 (in German — Memoirs of a Soldier in English)
- ↑ Benjamin B. Fischer The Katyn Controversy: Stalin's Killing Field เก็บถาวร 2007-05-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน", ได้รับการศึกษาในหน่วยข่าวกรอง, ฤดูหนาวปี 1999–2000
- ↑ Bunich, Igor (1994). Operatsiia Groza, Ili, Oshibka V Tretem Znake: Istoricheskaia Khronika. VITA-OBLIK. p. 88. ISBN 978-5-85976-003-9.
- ↑ Raack, Richard (1995). Stalin's Drive to the West, 1938–1945. Stanford University Press. p. 58. ISBN 978-0-8047-2415-9. สืบค้นเมื่อ 2 November 2011.
- ↑ Gerhard L. Weinberg. A World at Arms: A Global History of World War II. Cambridge University Press.
- ↑ David A. Welch. Justice and the Genesis of War. http://books.google.com/books?vid=ISBN0521558689
- ↑ Poland's Holocaust: Ethnic Strife, Collaboration with Occupying Forces and Genocide in the Second Republic, 1918-1947 Tadeusz Piotrowski page 301 McFarland, 1998
- ↑ Tomasz Chinciński, Niemiecka dywersja w Polsce w 1939 r. w świetle dokumentów policyjnych i wojskowych II Rzeczypospolitej oraz służb specjalnych III Rzeszy. Część 1 (marzec–sierpień 1939 r.) เก็บถาวร 2019-05-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Pamięć i Sprawiedliwość. nr 2 (โปแลนด์)
- ↑ Internetowa encyklopedia PWN, article on 'Kampania Wrześniowa 1939'
- ↑ Website of the Polish Ministry of Foreign Affairs – the Poles on the Front Lines
- ↑ Wojna Obronna Polski 1939, page 851
- ↑ 73.0 73.1 "Polish War, German Losses". The Canberra Times. 13 October 1939. สืบค้นเมื่อ 17 January 2009.
- ↑ "Nazi Loss in Poland Placed at 290,000". The New York Times. 1941. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2009. สืบค้นเมื่อ 16 January 2009.
- ↑ 75.0 75.1 75.2 KAMIL CYWINSKI, Waffen und Geheimwaffen des deutschen Heeres 1933–1945
- ↑ Tadeusz Piotrowski (1997). Poland's Holocaust: Ethnic Strife, Collaboration with Occupying Forces and Genocide... McFarland & Company. ISBN 0-7864-0371-3. (อังกฤษ)
- ↑ Represje 1939-41 Aresztowani na Kresach Wschodnich เก็บถาวร 2006-12-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (เกี่ยวกับการจับกุมตามแนวชายแดนด้านตะวันออก ระหว่างปี 1939-1941) Ośrodek Karta. (โปแลนด์)
- ↑ Rieber, pp. 14, 32–37.
- ↑ Okupacja Sowiecka W Polsce 1939–41. Encyklopedia PWN. Retrieved 14 March 2006. (โปแลนด์)
ดูเพิ่ม
แก้หนังสืออ่านเพิ่มเติม
แก้- Baliszewski, Dariusz (10 October 2004). "Wojna sukcesów". Wprost (ภาษาโปแลนด์) (1141). สืบค้นเมื่อ 24 March 2005.
- Baliszewski, Dariusz (19 September 2004). "Most honoru". Wprost (ภาษาโปแลนด์) (1138). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 May 2007. สืบค้นเมื่อ 24 March 2005.
- Cooper, Matthew (1978). The German Army 1939–1945: Its Political and Military Failure. New York: Stein and Day. ISBN 978-0-8128-2468-1.
- Corum, James S. (2013). "The Luftwaffe's Campaigns in Poland and the West 1939–1940: A Case Study of handling Innovation in Wartime". Security and Defence Quarterly. 1 (1): 158–89. doi:10.35467/sdq/103158.
- Chodakiewicz, Marek Jan (2004). Between Nazis and Soviets: Occupation Politics in Poland, 1939–1947. Lexington Books. ISBN 978-0-7391-0484-2.
- Ellis, John (1999). Brute Force: Allied Strategy and Tactics in the Second World War (1st US ed.). Viking Adult. ISBN 978-0-670-80773-4.
- Fischer, Benjamin B. "The Katyn Controversy: Stalin's Killing Field". Studies in Intelligence. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-01-17. สืบค้นเมื่อ 10 December 2005.
- Forczyk, Robert (2019). Case White: The Invasion of Poland 1939. Oxford: Osprey Publishing. ISBN 978-1472834959.
- Goldman, Stuart D. (2012). Nomonhan, 1939; The Red Army's Victory That Shaped World War II. Naval Institute Press. ISBN 978-1-59114-329-1.
- Hahn, Fritz (1986–1987). Waffen und Geheimwaffen des deutschen Heeres 1933–1945 [Weapons and Secret Weapons of the German Army, 1933–1945]. Koblenz: Bernard & Graefe. ISBN 978-3-7637-5830-2.
- Hooton, E.R. (2007). Luftwaffe at War: Gathering Storm 1933–1939. Vol. I. London: Chevron/Ian Allan. ISBN 978-1-903223-71-0.
- Jentz, Thomas (1996). Panzertruppen: The Complete Guide to the Creation & Combat Employment of Germany's Tank Force 1933–1942 (v. 1). Atglen: Schiffer. ISBN 978-0887409158.
- Kennedy, Robert M. (1980). The German Campaign in Poland (1939). Zenger. ISBN 978-0-89201-064-6.
- Kushner, Tony; Knox, Katharine (1999). Refugees in an Age of Genocide. London, New York: Routledge. ISBN 978-0-7146-4783-8. สืบค้นเมื่อ 2 November 2011.
- Lukas, Richard C. (2001). Forgotten Holocaust: The Poles Under German Occupation, 1939–1944. Hippocrene Books. ISBN 978-0-7818-0901-6.
- Majer, Diemut; และคณะ (2003). Non-Germans under the Third Reich: The Nazi Judicial and Administrative System in Germany and Occupied Eastern Europe, with Special Regard to Occupied Poland, 1939–1945. Johns Hopkins University Press. ISBN 978-0-8018-6493-3.
- Moorhouse, Roger. Poland 1939: The Outbreak of World War II (Basic Books, 2020) popular history online review
- "Nazi Loss in Poland Placed at 290,000". The New York Times (Press release). 28 September 1941. สืบค้นเมื่อ 17 January 2009.
- Prazmowska, Anita J. (1995). Britain and Poland 1939–1943: The Betrayed Ally. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-48385-8.
- Piotrowski, Tadeusz (1998). Poland's Holocaust: Ethnic Strife, Collaboration With Occupying Forces and Genocide in the Second Republic, 1918–1947. Jefferson, NC: McFarland & Company. ISBN 978-0-7864-2913-4.
- Sanford, George (2005). Katyn and the Soviet Massacre of 1940: Truth, Justice And Memory. London, New York: Routledge. ISBN 978-0-415-33873-8.
- Seidner, Stanley S. (1978). Marshal Edward Śmigły-Rydz: Rydz and the Defence of Poland. New York.
- Taylor, A.J.P.; Mayer, S.L., บ.ก. (1974). A History of World War Two. London: Octopus Books. ISBN 978-0-7064-0399-2.
- Weinberg, Gerhard (1994). A World at Arms: A Global History of World War II. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-44317-3.
- Zaloga, Steve; Gerrard, Howard (2002). Poland 1939: The Birth of Blitzkrieg. Oxford: Osprey Publishing. ISBN 978-1-84176-408-5.
- Zaloga, Steve (1982). The Polish Army 1939–1945. Oxford: Osprey Publishing. ISBN 978-0-85045-417-8.
- "KAMPANIA WRZEŚNIOWA 1939". Internetowa encyklopedia PWN (ภาษาโปแลนด์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2005. สืบค้นเมื่อ 10 December 2005.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้ลำดับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง |
---|
เรียงตามลำดับเวลา |
1939 เหตุการณ์ที่สำคัญ เหตุการณ์ที่สำคัญ เหตุการณ์ที่สำคัญ เหตุการณ์ที่สำคัญ เหตุการณ์ที่สำคัญ เหตุการณ์ที่สำคัญ
|
เพิ่มเติม |
- การรุกรานโปแลนด์ เก็บถาวร 2009-05-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน รายงานต้นฉบับของ เดอะไทมส์ (อังกฤษ)
- ลำดับเหตุการณ์ตามเอกสารราชการของเยอรมนี (อังกฤษ)
- หนังสือพิมพ์ของแคนาดาช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เก็บถาวร 2007-12-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- การรุกรานโปแลนด์ในฐานข้อมูลสงครามโลกครั้งที่สอง (อังกฤษ)
- การรุกรานโปแลนด์ (อังกฤษ)
- สถิติสำมะโนครัวชาวเยอรมัน (อังกฤษ)
- การโจมตีสายฟ้าแลบในการุกรานโปแลนด์ เก็บถาวร 2008-07-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- กรณีสีขาว - โปแลนด์พ่าย เก็บถาวร 2005-08-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- ข้อตกลงให้ความร่วมมือระหว่างสหราชอาณาจักรกับโปแลนด์ 25 สิงหาคม 1939 เก็บถาวร 2005-11-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- รายงานทางวิทยุเกี่ยวกับการรุกรานโปแลนด์ เก็บถาวร 2005-05-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน และการโฆษณาชวนเชื่อของนาซีว่าเยอรมนีกระทำการลงไปเพื่อป้องกันประเทศ เก็บถาวร 2005-04-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- พาดหัวข่าวบีบีซี: การรุกรานโปแลนด์ (อังกฤษ)
- การเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรปโดยสำนักข่าวบีบีซี (อังกฤษ)
- ฮัลฟอร์ด แมกไคน์เดอร์. สงครามที่จำเป็น ความเรียงซึ่งอธิบายถึงสภาพแวดล้อมในการทัพโปแลนด์ ในขอบเขตทางยุทธศาสตร์ของสงคราม (อังกฤษ)
- การุกรานโปแลนด์ เก็บถาวร 2007-12-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ภาษาเซอร์เบีย)
- การจัดวางกองทัพโปแลนด์ เก็บถาวร 2012-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน แผนการโดย by Dr. Leo Niehorster (อังกฤษ)
- การจัดวางกองทัพเยอรมัน เก็บถาวร 2014-06-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน แผนการโดย Dr. Leo Niehorster (อังกฤษ)
- กองกำลังยานเกราะของโปแลนด์ปี 1939 เก็บถาวร 2008-04-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- ทหารม้าโปแลนด์บุกไม่เป็นความจริงเก็บถาวร 2012-06-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- โปแลนด์ในสงครามโลกครั้งที่สอง (โปแลนด์)