โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

โรงเรียนชายล้วนโปรแตสแตนต์

โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (อังกฤษ: Bangkok Christian College ย่อ: ก.ท, BCC) เรียกอย่างย่อว่า กรุงเทพคริสเตียน หรือ คริสเตียน เป็นโรงเรียนเอกชนชายล้วนขนาดใหญ่ ได้รับการสถาปนาขึ้นโดยคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2395 ปัจจุบันโรงเรียนมีอายุ 172 ปี โดยเป็นโรงเรียนราษฎรแห่งแรกและเป็นโรงเรียนที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย เป็นโรงเรียนโปรแตสแตนท์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย และเป็นโรงเรียนเพียงแห่งเดียวในปัจจุบันที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
Bangkok Christian College
ที่ตั้ง
แผนที่
ข้อมูล
ชื่ออื่นก.ท / BCC
ประเภทโรงเรียนเอกชน
คำขวัญอย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี (โรม 12:21)
นิกายโปรแตสแตนท์
สถาปนา30 กันยายน พ.ศ. 2395 (ข้อผิดพลาด: แม่แบบ:อายุปีและวัน รองรับเฉพาะปีพุทธศักราช หากใช้เป็นคริสต์ศักราช กรุณาใช้ แม่แบบ:Age in years and days)
ผู้ก่อตั้งคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน
ผู้อำนวยการอาจารย์วราภรณ์ ทรัพย์สมบูรณ์
ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการ และ ผู้จัดการ[2]
ระดับปีที่จัดการศึกษาประถมศึกษาปีที่ 1-6 มัธยมศึกษาปีที่ 1-6
เพศโรงเรียนชายล้วน
จำนวนนักเรียน6,000 คน
ภาษาที่ใช้เป็นสื่อการสอนภาษาที่มีการเรียนการสอนในโรงเรียน
ไทย ภาษาไทย
สหราชอาณาจักร ภาษาอังกฤษ
ญี่ปุ่น ภาษาญี่ปุ่น
จีน ภาษาจีนกลาง
สี  ม่วง   ทอง
เพลงม่วงทองผ่องอำไพ
มาร์ชกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
มาร์ช บีซีซี
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน [1]
ดอกไม้ประจำโรงเรียนดอกชงโค
ต้นไม้ประจำโรงเรียนต้นกล้วยพัด
เว็บไซต์www.bcc.ac.th

ปัจจุบันโรงเรียนอยู่ภายใต้การควบคุมของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หรือ ส.ช. [3] โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยตั้งอยู่ที่ เลขที่ 35 ถนนประมวญ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร[4] โรงเรียนมีศิษย์เก่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน ทั้งองคมนตรี 4 คน นายกรัฐมนตรีไทย 2 คน รัฐมนตรีหลายกระทรวง นักร้อง นักแสดง ผู้จัดรายการหลายคน โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยเป็นโรงเรียนในเครือจตุรมิตร ซึ่งประกอบด้วย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย, โรงเรียนเทพศิรินทร์, โรงเรียนอัสสัมชัญ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

ประวัติ

การก่อตั้งโรงเรียน

ในช่วง พ.ศ. 2394 คณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน (American Presbyterian) ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ให้สามารถซื้อที่ดิน 2 แปลงที่ตำบลกุฎีจีน ใกล้วัดแจ้ง โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เปิดสอนหนังสือให้แก่เด็กผู้ชายครั้งแรก บริเวณหมู่บ้านชาวมอญ เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2395 โดยแหม่มมะตูน ในขณะนั้น ยังไม่มีการตั้งเป็นโรงเรียน จนกระทั่งวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2395 หมอเฮาส์ ได้เริ่มก่อตั้งโรงเรียนที่ตำบลกุฎีจีนแห่งแรก โดยเปิดโรงเรียนประจำในบริเวณสำนักงานคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน ซึ่งเป็นที่ดินที่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้างวัดแจ้ง โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่า "โรงเรียนคริสเตียนบอยสกูลที่กุฎีจีน" ในเวลานั้น ถือว่าเป็นโรงเรียนประจำแห่งแรกของประเทศสยาม ซึ่งได้ใช้เทคโนโลยีการสอน และแบบแผนตามประเทศตะวันตก มีการตรวจสุขภาพของเด็กนักเรียนทุกคนก่อนที่จะรับเข้าเป็นนักเรียน เพื่อป้องกันโรคติดต่อ โดยหมอเฮาส์ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ทันสมัยมากในสมัยนั้น นอกจากจะมีการสอนให้อ่านและเขียน ยังมีการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วิทยศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และศาสนา โดยมีซินแสกีเอ็ง ก๊วยเซียน เป็นอาจารย์ผู้สอน มีเยาวชนชาวจีนเพียง 8 คน ที่เข้ามาสมัครเป็นนักเรียน [5]

ในขณะนั้น เด็กส่วนใหญ่เกิดจากครอบครัวที่ไม่มีกำลังมาก ส่วนใหญ่จึงมีการเรียนการสอนเกิดขึ้นโดยพระสงฆ์ ภายในวัด โรงเรียนจึงได้เริ่มจ้างนักเรียนให้เข้ามาเรียน ด้วยเงิน 1 เฟื้อง (ปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 0.125 บาท) โรงเรียนได้ให้สิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่เข้ามาเรียน เช่น ที่พักอาศัย และในพ.ศ. 2399 ได้เริ่มมีนักเรียนไทยกลุ่มหนึ่ง เข้ามาเรียนที่โรงเรียน และมีบันทึกนักเรียนไทยไว้ทั้ง 5 คน ได้แก่

    • นร. เลขประจำตัว 1 พระยาอุตรกิจฯ
    • นร. เลขประจำตัว 2 หลวงวิจิตรฯ
    • นร. เลขประจำตัว 8 หลวงขบวนฯ
    • นร. เลขประจำตัว 29 ครูยวญ เตียงหยก
    • นร. เลขประจำตัว 31 นายเทียนสู่ กีระนันทน

ใน พ.ศ. 2405 คณะมิชชันนารี ได้ย้ายโรงเรียนจากกุฎีจีน ไปที่สำเหร่ ซึ่งอยู่ทางใต้ในฝั่งธนบุรี และมอบให้ศาสนทูตแมตตูน เป็นผู้อำนวยการ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยได้เปิดโรงเรียนของรัฐบาลแห่งหนึ่งที่ตำบลสวนอนันต์ ได้เชิญท่าน เอส.จี.แมคฟาแลนด์ หรือคุณพระอาจวิทยาคมเป็นผู้อำนวยการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษาเฉพาะบุคคลชั้นเจ้านาย ลูกท่านหลานเธอและบุตรข้าราชการผู้ใหญ่ในราชสำนักเท่านั้น ท่านผู้อำนวยการเห็นว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้น ลำพังท่านเพียงผู้เดียวนั้นยากที่จะดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมายได้ จึงเรียนเชิญอาจารย์จอห์น เอ. เอกิ้น เข้ามาร่วมงาน กิจการของโรงเรียนราษฎร์แห่งแรกก็ได้ก้าวหน้าไปด้วยดี [6]

การรวมตัวของทั้งสองโรงเรียน

ใน พ.ศ. 2431 หลังจากที่อาจารย์จอห์น เอ. เอกิ้น ร่วมงานกับอาจารย์เอส.จี.แมคฟาแลนด์ ได้ระยะหนึ่ง อาจารย์จอห์น เอ. เอกิ้น ก็ลาออกจากตำแหน่งครูรัฐบาลแต่ด้วยใจรักการศึกษา ท่านก็ได้จัดตั้งโรงเรียนส่วนตัวขึ้น ณ ตำบลวัดกุฎีจีน โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่า บางกอกคริสเตียนไฮสกูล อีกทั้งยังได้เชิญอาจารย์และแหม่มเจ.บี.ดันแลป พร้อมด้วยน้องสาวของท่าน เข้ามาร่วมเป็นอาจารย์ในโรงเรียน ในปีนั้นอาจารย์จอห์น.เอ.เอกิ้น และคณะทั้งสามของท่านได้สมัครเข้าสังกัดของคณะเพรสไบทีเรียนแล้ว ศาสนทูตเอส.อาร์เฮ้าส์ ท่านศาสนทูตเจ.เอม.คัลเบริ์ทซัน ท่านศาสนทูตเอน.เจ.แมคโดนัล และท่านศาสนทูต เจ.แวนได๊ก์ ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของท่าน ณ สหรัฐอเมริกา ทำให้ทางฝ่ายมิชชันในกรุงเทพมหานคร ขาดผู้บริหารด้านการศึกษา ที่ประชุมจึงได้มีมติให้อาจารย์จอห์น เอ.เอกิ้น เป็นผู้ที่จะบริหารงานด้านการศึกษาของมิชชันต่อไป ดังนั้นท่านต้องแบกภารกิจเป็น 2 เท่าคือทั้งงานส่วนตัวที่"บางกอกคริสเตียนไฮสกูล" และโรงเรียนของคณะมิชชันที่สำเหร่ [7]

ใน พ.ศ. 2435 ท่านอาจารย์จอห์น เอ. เอกิ้น ไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน จึงตัดสินใจยกเลิกกิจการโรงเรียนบางกอกคริสเตียนไฮสกูล และมุ่งหน้าปรับปรุงกิจการส่วนรวมของคณะมิชชัน คือดำเนินการบริหารที่สำเหร่แต่เพียงอย่างเดียว เพื่อสร้างงานใหม่ที่ตำบลสำเหร่ โดยได้สร้างอาคารใหม่ใช้เป็นสถานศึกษาสำหรับนักเรียนชาย โรงเรียนบางกอกคริสเตียนไฮสกูล จึงรวมกับ โรงเรียนสำเหร่บอยสกูล เป็น "โรงเรียนสำเหร่บอยส์คริสเตียนไฮสกูล" ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ [8]

 
ธงประจำโรงเรียน

การย้ายโรงเรียนมาบนถนนประมวญ

 
อาคารจอห์น เอ. เอกิ้น สูง 16 ชั้น
ตั้งอยู่ด้านหลังของหอธรรม

ใน พ.ศ. 2443 ทางคณะมิชชันนารีเล็งเห็นว่า หากจะขยายการศึกษาให้กว้างไกลออกไปแล้ว ที่ดินตรงตำบลสำเหร่ไม่เหมาะสม จึงมุ่งหมายไปยังที่ดินแปลงใหม่ ณ ฝั่งชายแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นฝั่งกรุงเทพฯ ปัจจุบันและในที่สุดก็ได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งที่บริเวณ ถนนประมวญ ตำบลสีลม อำเภอบางรัก จากเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ด้วยราคา 17,500 บาท แต่ได้รับการลดราคาเนื่องจากถือว่าเป็นการบริจาคในการสร้างโรงเรียนจากพระยาสุรศักดิ์มนตรี 2,500 บาท และสร้างสถาบันการศึกษาขึ้นใหม่เรียกนามว่า "กรุงเทพคริสเตียนไฮสกูล" เปิดทำการสอนเป็นปฐมฤกษ์เมื่อ พ.ศ. 2466 [9]

ใน พ.ศ. 2456 มติจากบอร์ดนอกให้เปลี่ยนชื่อโรงเรียน จึงได้สั่งให้เปลี่ยนจากไฮสกูล เป็นคอลเล็จ (College) โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนไฮสกูล จึงเปลี่ยนมาเป็น "กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย" หรือ "Bangkok Christian College" มีชื่อย่อว่า "BCC" [10]

ใน พ.ศ. 2463 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เป็นโรงเรียนเอกชนแห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับเกียรติในการรับรองวิทยฐานะ เทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาลจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งครบ 100 ปี ใน พ.ศ. 2563

ใน พ.ศ. 2484 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ย้ายไปเปิดการเรียนการสอน ในซอยพร้อมพงษ์ บนถนนสุขุมวิท บนที่ดินของคุณดำรงค์ จ่างตระกูล โดยไม่คิดค่าเช่า และยังเปิดรับนักเรียน ม.6 พิเศษ แบบสหศึกษาอีกด้วย ในช่วงนี้ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนกรุงเทพสเถียรวิทยาลัย" เป็นการชั่วคราว [11]

ผู้อำนวยการ

ลำดับ รายนาม ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง [12]
1 ศาสนาจารย์จอห์น แอนเดอร์สัน เอกิ้น พ.ศ. 2446-2451
2 ศาสนาจารย์ ดับบลิว. ยี. แมคครัวร์ พ.ศ. 2451-2462
3 ศาสนาจารย์ อาร์.โอ.แฟรงคลิน พ.ศ. 2462-2463
4 ศาสนาจารย์ เอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ พ.ศ. 2463-2481
5 อาจารย์มิส แอนนาเบล กอล์ท พ.ศ. 2451-2476
6 ดร. อี. เอ็ม. เท็ตต์ พ.ศ. 2481-2484
7 อาจารย์เจริญ วิชัย พ.ศ. 2484-2503
8 ศาสนาจารย์เล็ก ไทยง พ.ศ. 2503-2506
9 อาจารย์อารีย์ เสมประสาท พ.ศ. 2506-2521
10 ดร.สิงห์โต จ่างตระกูล พ.ศ. 2521-2535
11 อาจารย์บุญยเกียรติ นิลมาลย์ พ.ศ. 2535-2542
12 อาจารย์ประกอบ พรหมบุตร พ.ศ. 2542-2543
13 ดร.จารีต องคะสุวรรณ พ.ศ. 2543-2546
14 ดร.วรนุช ตรีวิจิตรเกษม พ.ศ. 2546-2559
15 อาจารย์ศุภกิจ จิตคล่องทรัพย์ พ.ศ. 2559-2562
16 อาจารย์วราภรณ์ ทรัพย์สมบูรณ์ พ.ศ. 2562-ปัจจุบัน

สถานที่ภายในโรงเรียน

อาคารสามหลังแรก (พ.ศ. 2445)

อาคารสามหลังแรกของโรงเรียน ประกอบไปด้วย อาคารเหนือเดิม ออฟฟิซ และอาคารใต้เดิม โดยเรียงเป็นรูปตัว U มีอาคารออฟฟิซอยู่ตรงกลาง ปัจจุบันคือที่ตั้งของหอธรรม และลานหน้าอาคารอารีย์ เสมประสาท โดยอาคารทั้งสามหลังแรกได้ถูกรื้อถอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว [13]

  • อาคารเหนือเดิม เป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องเรียน ชั้นบนเป็นอาคารพักอาศัยของอาจารย์ชาวต่างชาติ อาจารย์เกลอร์ดนอกซ์ และห้องพักนักเรียนประจำ
  • อาคารออฟฟิซ เป็นอาคารสองชั้น เป็นชื่อเรียกที่ทำการหลักของโรงเรียนในสมัยนั้น โดยใช้ภาษาอังกฤษในการเรียน ชั้นล่าง เป็นห้องขายหนังสือ มีครัวอยู่ด้านหลัง ห้อง ม.7, ม.8 และชั้นบนเป็นที่พักของอาจารย์ใหญ่ อาจารย์เอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์
  • อาคารใต้เดิม เป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องเรียน, โรงสวด (หรือที่เรียกกันว่า Chapel) ชั้นบนเป็นอาคารพักอาศัยของอาจารย์ฝรั่ง มิส เอ. กอล์ต และห้องพักนักเรียนประจำ
 
อาคาร เอ็ม บี ปาล์มเมอร์ สูง 4 ชั้น

อาคาร เอ็ม บี ปาล์มเมอร์ หรือ อาคาร 2 (พ.ศ. 2508)

อาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ เป็นอาคารเรียนสมัยใหม่ สูง 4 ชั้น โดยได้นำงบประมาณการก่อสร้าง มาจากที่ดินบ้านกล้วย โดยอาคารนี้ เป็นการสร้างอาคารทั้งหมด 4 อาคาร ติดต่อกันเป็นทางยาว เมื่อสร้างเสร็จ ถูกขนานนามว่า เป็นอาคารเรียนที่มีความสวยงาม และทันสมัยที่สุดในประเทศไทย [14] เมื่อปี พ.ศ. 2552 ได้มีการเปลี่ยนชื่อจาก อาคาร 2 ซึ่งเป็นชื่อเรียกอาคารแบบเก่า เป็น อาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ เนื่องจากการทุบอาคาร 1 และการมาของอาคารจอห์น เอ. เอกิ้น และในปัจจุบัน อาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์เป็นที่ตั้งของห้อง 00, ห้องส่งเสริมระเบียบวินัยมัธยมศึกษาตอนต้น, โรงอาหาร, ห้องเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1-3, ห้องเรียนโครงการ IEP , ห้องพักครูม.1-3, ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ 3 ห้อง, ห้องกิจกรรม และห้องแนะแนว อีกทั้งยังมีสวนสวนพฤกษศาสตร์ที่ชั้น 2 ซึ่งอาจารย์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เยี่ยมชมในโครงการ BCC Model อีกด้วย

 
หอธรรม โบสถ์ดีไซน์เรือโนอาห์

หอธรรม (พ.ศ. 2514)

เป็นหอประชุมที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของโรงเรียน และยังเป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียนอีกด้วย หอธรรมเริ่มการสร้างเมื่อปี 2511 จากดอกเบี้ยที่โรงเรียนได้รับจากการขายที่ดินบ้านกล้วย ถูกออกแบบโดย Dr. Amos Chang เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2514 เพื่อใช้ในศาสนพิธีของโรงเรียน ซึ่งเป็นแบบคริสต์ศาสนานิกายโปรแตสแตนท์ และการประชุมสำคัญต่างๆ ของโรงเรียน รูปร่างของหอธรรมนั้น ผู้ออกแบบใช้แนวคิด "เรือโนอาห์" ซึ่งเป็นเรือที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ทางคริสต์ศาสนาในส่วนพันธสัญญาเดิม ว่าด้วยเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ที่พระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้เกิดเพื่อล้างบรรดาความชั่วร้ายบนโลกอันเกิดขึ้น และพระผู้เป็นเจ้าได้สั่งให้โนอาห์ต่อเรือใหญ่สำหรับตนและครอบครัว อีกทั้งสัตว์น้อยใหญ่ อาศัยเรือนี้ในยามน้ำท่วมโลก เมื่อน้ำลด ผู้อยู่บนเรือโนอาห์จึงเป็นผู้รอดชีวิต และสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้ [15] หอธรรมสามารถจุคนได้กว่า 1,500 คน ด้านหลังของหอธรรมเป็นที่ตั้งของห้องศาสนกิจ ห้องธนาคารความดี (BCC Spirit Bank) และห้องประชุม 5

อนึ่ง ไม้กางเขนของฝ่ายโปรแตสแตนท์ จะไม่มีรูปพระเยซูถูกตรึงบนกางเขน ต่างจากไม้กางเขนของฝ่ายโรมันคาทอลิก ด้วยฝ่ายโปรแตสแตนท์ถือเรื่องการไม่นับถือรูปเคารพใดๆ มีเพียงไม้กางเขนที่เป็นสัญลักษณ์ถึงการไถ่บาปของพระเยซูแก่ผู้คนชาวโลกเท่านั้น

 
อาคารอารีย์ เสมประสาท สูง 7 ชั้น

อาคารอารีย์ เสมประสาท (พ.ศ. 2525)

อาคารอารีย์ เสมประสาท หรือที่เรียกกันว่า "อาคารอารีย์" เป็นอาคารสูง 6 ชั้นครึ่ง ซึ่งสร้างมาเพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น และทดแทนอาคารเหนือ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าถนน ทำให้น้ำท่วมเข้ามาในห้องเรียนได้ง่าย โดยอาคารอารีย์ เสมประสาทเป็นอาคารแห่งแรกในโรงเรียน ที่มีลิฟต์โดยสารสำหรับอาจารย์และบุคลากร ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของห้องเรียนของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2, ห้องพักครู, ห้องทดลองวิทยาศาสตร์, ห้องลูกเสือ, ห้องดนตรีไทย และห้องคอมพิวเตอร์

 
อาคารสิรินาถ สูง 16 ชั้น

อาคารสิรินาถ (พ.ศ. 2537)

อาคารสิรินาถ หรือ อาคารศูนย์วิทยบริการ เป็นอาคารเรียนยุคใหม่ ซึ่งมีความสูง 16 ชั้น เป็นที่ตั้งห้องเรียนของนักเรียนโครงการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการสอน (EIP) ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6, ห้องพักครู, ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วยห้องทดลองฟิสิกส์ ห้องทดลองเคมี ห้องทดลองชีววิทยา ห้องเก็บสารเคมี และห้องเพาะเนื้อเยื้อ, ห้องคอมพิวเตอร์, ห้องชุมนุมดนตรี, ลานกิจกรรม, ห้องสมุด ดร.สิงห์โต จ่างตระกูล(ห้องสมุดกลาง) และนอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของ ห้องฝ่ายบริหารโรงเรียน, ห้องประชาสัมพันธ์, ห้องการเงิน, ห้องทะเบียน , ห้องอัดเสียง , ห้องประชุมทั้ง 4 แห่ง, สระว่ายน้ำประจำโรงเรียน, ชุดพักอาศัย และห้องพักผู้บริหาร อาคารนี้ เป็นอาคารเรียนเดียวในโรงเรียน ที่ใช้ระบบเดินเรียน ซึ่งนักเรียนที่มีห้องภายในอาคารเรียนนี้ จะไม่มีห้องเป็นของตัวเอง แต่จะมีล๊อกเกอร์เพื่อเก็บหนังสือเรียนและสัมภาระ เพื่อเดินไปเรียนในห้องของอาจารย์ประจำวิชาที่ตนเองเลือกหรือตามตารางที่กำหนดไว้ โดยภายในอาคาร มีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 4 ตัว โดยอาคารนี้สร้างขึ้นในช่วงเฉลิมฉลองพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ พุทธศักราช 2535 โดยได้รับพระราชทานชื่อ "สิรินาถ" จาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

อาคารบีซีซี 150 ปี (พ.ศ. 2545)

อาคารบีซีซี 150 ปี เป็นอาคารสูง 18 ชั้น ชั้นใต้ดิน 2 ชั้น ซึ่งสร้างขึ้นบนที่ดินสำนักงานสภาคริสตจักรในประเทศไทยเดิม โดยเป็นอาคารเดียวที่แยกตัวจากบริเวณโรงเรียน มีการสร้างสะพานลอยข้ามถนนประมวญ เพื่ออำนวยความสะดวกกับนักเรียน อาคารนี้ เป็นที่ตั้งของห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6, ห้องเรียนโครงการ IEP, ที่ทำการมัธยมศึกษา (ห้องประชาสัมพันธ์มัธยม), ห้องแนะแนวมัธยมศึกษา, ห้องส่งเสริมระเบียบวินัยมัธยมปลาย, ห้องพักครูของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ, ห้องสมุดมัธยม, ห้องประชุม 6-7, ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วยห้องทดลองฟิสิกส์ ห้องทดลองเคมี ห้องทดลองชีววิทยา, ห้องสถานีดาวเทียมภาคพื้นดิน (สถานีโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย HS0AW), ห้องคอมพิวเตอร์, ห้องศูนย์วิทยาการ, ห้องเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ, ที่จอดรถใต้ดิน, ห้องเก็บอุปกรณ์สำหรับเชียร์และแปรอักษร และหอพักนักเรียนประจำ มีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 6 ตัว ซึ่งเป็นลิฟต์โซนต่ำ 4 ตัว และลิฟต์โซนสูง 2 ตัว

 
อาคารจอห์น เอ. เอกิ้น สูง 16 ชั้น

อาคารจอห์น เอ. เอกิ้น (พ.ศ. 2552)

อาคารจอห์น เอ. เอกิ้น หรือที่เรียกสั้นๆกันว่า "อาคารเอกิ้น" ตั้งชื่อตามมิชชันนารีชาวอเมริกัน จอห์น แอนเดอร์สัน เอกิ้น ผู้ย้ายโรงเรียนจากสำเหร่ มาที่ประมวญ เป็นอาคารเรียนสูง 16 ชั้น (รวมชั้นลอย หรือ ชั้น M) และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องเรียนนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่3-6 เปิดใช้ส่วนของห้องเรียนเมื่อ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดป้ายอาคารเมื่อวันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2553 อาคารนี้ถูกออกแบบมาให้มีความทันสมัย และสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบถ้วน มีห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์และห้องทดลองวิทยศาสตร์ ที่ชั้น 7, ห้องสมุดปัญญาจารย์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 8, ห้องปฏิบัติการศิลปะและนาฎศิลป์ ตั้งอยู่ที่ชั้น 9, ห้องประชุมใหญ่ ห้องภาพยนตร์ และโถงประชุมที่ชั้น 10 และ 11, โครงการหอประวัติศาสตร์โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (BCC Inspiration Hall) ที่ชั้น 12, และ สนามฟุตซอล,สนามฟุตบอล, สนามบาสเกตบอล ตั้งอยู่ที่ชั้น 13-15 ตามลำดับ โดยอาคารนี้มีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 6 ตัว และลิฟต์บริการ (Service Lift) 1 ตัว และมีทางเชื่อมไปยังอาคาร เอ็ม บี ปาล์มเมอร์

สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงเรียน

ห้องสมุด

ห้องสมุดโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ปัจจุบันมีสามแห่ง ได้แก่ อาคารจอห์น เอ.เอกิ้น (ห้องสมุดปัญญาจารย์), อาคารสิรินาถ (ห้องสมุด ดร.สิงห์โต จ่างตระกูล) และอาคารบีซีซี 150 ปี (ห้องสมุดมัธยม) ภายในแยกหมวดหมู่หนังสืออย่างชัดเจน รวมทั้งหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ สำหรับนักเรียนเพื่อให้รับรู้ข่าวสารต่างๆ พร้อมด้วยระบบยืม-คืน คอมพิวเตอร์พร้อมอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับนักเรียนเพื่อใช้สืบค้นหาข้อมูลและหาความรู้ระหว่างช่วงเวลาพักและหลังเลิกเรียน ห้อง Conference Room ซึ่งจะเปิดสารคดีและภาพยนตร์ต่างๆในระหว่างเวลาพักและหลังเลิกเรียน มุมยืมซีดีภาพยนตร์และโปรแกรม มุมถ่ายเอกสาร พร้อมกล้องวงจรปิดภายในห้องสมุดเพื่อรักษาความปลอดภัยและป้องกันการขโมยหนังสือ สถานที่ที่เคยเป็นห้องสมุดโรงเรียนเก่า ได้แก่ อาคาร 1 และ อาคารมูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทยเดิม ซึ่งอาคารทั้งสองแห่ง ได้ถูกรื้อถอนเป็นที่เรียบร้อย

สนามฟุตบอล

สนามฟุตบอลเดิม มีความยาวขนานกับถนนสาทรเหนือ ตั้งฉากกับถนนประมวญ ซึ่งอยู่ระหว่างอาคารเหนือ อาคารวิทยศาสตร์ และตึกใต้เดิม แต่หลังจากที่มีการสร้างอาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ สนามฟุตบอล ได้เปลี่ยนทิศทางมาตั้งฉากกับถนนสาทรเหนือ ขนานกับถนนประมวญ โดยเมื่อปี พ.ศ. 2553 โรงเรียนได้ปรับปรุงสนามฟุตบอลครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจากสนามหญ้าดิน เป็นสนามหญ้าเทียม เนื่องจากสนามฟุตบอลดินเมื่อฝนตกสนามจะเต็มไปด้วยดินและโคลน เมื่อนักเรียนเข้าไปทำกิจกรรม หญ้าบางส่วนอาจมีความเสียหาย และใช้เวลานานในการปลูกหญ้า

ลานชงโค

เป็นลานอเนกประสงค์ ตั้งอยู่ระหว่างอาคารเอ็ม บี ปาล์มเมอร์ และอาคารสิรินาถ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ มีโต๊ะและเก้าอี้ไม้สำหรับนั่งพักและรับประทานอาหาร พร้อมด้วยเวทีเล็ก ซึ่งในเวลาพักจะมีการจัดกิจกรรมสำหรับนักเรียน มีสนามเปตองเล็กๆ ข้างๆลานชงโค ภายในลานชงโค มีสถาปัตยกรรมเซรามิค โดยอาจารย์แสงอรุณ รัตกสิกร ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในสามผลงาน ที่ยังเหลืออยู่ในภายในโรงเรียน

โรงอาหาร

โรงอาหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เคยตั้งอยู่ตรงข้ามหอพักนักเรียนประจำเก่าเมื่อก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ก็ได้ย้ายไปใต้อาคาร 2 เมื่อมีการรื้อถอนอาคารเดิมทิ้ง และหลังจากอาคาร 2 ได้สร้างเสร็จ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ชั้น 1 อาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ เป็นโรงอาหารเปิดโล่ง มีร้านอาหารร่วม 20 ร้าน ซึ่งมีทั้งข้าว, ก๋วยเตี๋ยว, เบเกอร์รี่, ผลไม้, เครื่องดื่ม และไอศกรีม พร้อมโต๊ะรับประทานอาหารซึ่งมีการนำแผ่นพลาสติกใสมากั้นแบ่งโต๊ะเป็น 4 ส่วนในช่วงสถานการณ์โควิด 19

สวนน้ำตก

เป็นสวนสวยที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด ซึ่งถูกปรับปรุงจากบริเวณรกเดิม ให้มีความสวยงาม ตั้งอยู่ระหว่างโรงอาหาร และ Book Store

Book Store

ร้านขายเครื่องเขียน และอุปกรณ์ประกอบการเรียนต่างๆ ตั้งอยู่ในลานชงโค

สะพานลอยเชื่อมอาคารบีซีซี 150 ปี

เป็นทางเดินยกระดับซึ่งเชื่อมระหว่างอาคารเอ็ม. บี. ปาล์มเมอร์ ไปสู่อาคารบีซีซี 150 ปี โดยเป็นสะพานลอยข้ามถนนประมวญ ซึ่งมี 3 ทางขึ้น-ลง เพื่อความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกนักเรียน ที่จะสามารถเดินเปลี่ยนห้องไปทุกอาคารได้ โดยที่ไม่ต้องลงไปเดินบนชั้นพื้นดิน

ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง

พระบรมวงศานุวงศ์

นายกรัฐมนตรี

องคมนตรี

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

อัยการสูงสุด

สมาชิกวุฒิสภา

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

ทหาร

ด้านวิชาการ

นักธุรกิจ

นักการเมือง

นักกีฬา

บุคคลในวงการบันเทิง

อ้างอิง

  1. https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2924063597626779&id=557771550922674
  2. ผังองค์กร โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
  3. https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2924063597626779&id=557771550922674
  4. "โรงเรียนเก่าแก่ที่สุดของไทย ชาย-หญิง". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-17. สืบค้นเมื่อ 2014-11-08.
  5. สุขุม, ประสงค์ (2003). 150 ปี จากกุฎีจีนถึงประมวญ มิชชันนารีกับการศึกษาไทย. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 49-53.
  6. สุขุม, ประสงค์ (2003). 150 ปี จากกุฎีจีนถึงประมวญ มิชชันนารีกับการศึกษาไทย. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 58-59.
  7. สุขุม, ประสงค์ (2003). 150 ปี จากกุฎีจีนถึงประมวญ มิชชันนารีกับการศึกษาไทย. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 77.
  8. สุขุม, ประสงค์ (2003). 150 ปี จากกุฎีจีนถึงประมวญ มิชชันนารีกับการศึกษาไทย. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 78-79.
  9. สุขุม, ประสงค์ (2003). 150 ปี จากกุฎีจีนถึงประมวญ มิชชันนารีกับการศึกษาไทย. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 98-104.
  10. สุขุม, ประสงค์ (2003). 150 ปี จากกุฎีจีนถึงประมวญ มิชชันนารีกับการศึกษาไทย. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 114-115.
  11. สุขุม, ประสงค์ (2003). 150 ปี จากกุฎีจีนถึงประมวญ มิชชันนารีกับการศึกษาไทย. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 154.
  12. "ทำเนียบผู้บริหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-09-29. สืบค้นเมื่อ 2014-11-08.
  13. สุขุม, ประสงค์ (2003). 150 ปี จากกุฎีจีนถึงประมวญ มิชชันนารีกับการศึกษาไทย. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 105-106.
  14. อรรฆภิญญ์, พิษณุ (2001). 150 ปี คบเพลิงบีซีซี. โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย. p. 160.
  15. หนังสืออนุสรณ์โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย รุ่น 132 ปี - BCC 132 Anniversary Year Book
  16. "BCC ดีเด่น รางวัล "อารีย์ เสมประสาท"". สมาคมศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (BCCAA).

ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

13°43′14″N 100°31′23″E / 13.720589°N 100.523095°E / 13.720589; 100.523095