พิจิตร กุลละวณิชย์

พลเอก พิจิตร กุลละวณิชย์ (6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475) นายกสภาวิทยาลัยสันตพล[1] อดีตองคมนตรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีศักดิ์เป็นน้าของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

พิจิตร กุลละวณิชย์
พิจิตร กุลละวณิชย์ (คนขวา) ในปี 2559
องคมนตรี
ดำรงตำแหน่ง
13 กรกฎาคม 2536 - 6 ธันวาคม 2559
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
แม่ทัพภาคที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
1 ตุลาคม 2527 – 30 กันยายน 2529
ก่อนหน้าพัฒน์ อุไรเลิศ
ถัดไปวัฒนชัย วุฒิศิริ
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 (91 ปี)
จังหวัดฉะเชิงเทรา ประเทศสยาม
ศาสนาพุทธ
คู่สมรสอรุณี กุลละวณิชย์ (หย่า)
คุณหญิงวิมล กุลละวณิชย์
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
สังกัดกองทัพบกไทย
ยศ พลเอก
ผ่านศึกสงครามเวียดนาม

ประวัติ แก้

พล.อ. พิจิตร เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 ที่อำเภอแปดริ้ว (ปัจจุบันคือ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา) เป็นบุตรคนโตในจำนวน 7 คนของจวน กุลละวณิชย์ และเป็นหลานลุงของ พล.ต.อ. พิชัย กุลละวณิชย์ เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัยและโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จึงสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 2 (จปร. 2)

ขณะที่เรียนอยู่ปีที่ 2 นั้นมีผลการเรียนดีเด่นมาก จึงถูกส่งไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยเวสต์ปอยต์ สหรัฐอเมริกา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์ปอยต์เท่อปีที่ พ.ศ. 2501 จากนั้นศึกษาต่อที่โรงเรียนทหารราบสหรัฐฯ ฟอร์ดเบนนิ่ง รัฐจอร์เจียในหลักสูตรผู้บังคับหมวด, หลักสูตรจู่โจม (Ranger) และหลักสูตรโดดร่มพลร่ม

เมื่อกลับมาได้เริ่มรับราชการครั้งแรกเป็นครูอยู่แผนกวิชาการรบพิเศษและส่งทางอากาศ โรงเรียนทหารราบศูนย์การทหารราบ จังหวัดลพบุรี ทำหน้าที่ฝึกสอนนายทหารและนายสิบในหลักสูตรจู่โจมและโดดร่มหลายรุ่น ในการสอนนักเรียนจู่โจม ระหว่างการฝึกเข้าตี แทงดาบ หรือ เลิกแถว จะกำหนดให้นักเรียนทหาร ร้องคำว่า "เอี้ย" เป็นสัญลักษณ์การคำรามของเสือก่อนการจู่โจม ทำให้ได้รับสมญานามว่า "เสือใหญ่" เช่นเดียวกับสัญลักษณ์ของหน่วยจู่โจม มาตั้งแต่นั้น จึงทำให้ในปัจจุบัน สื่อมวลชนจึงนิยมเรียกชื่อเขาเล่น ๆ ว่า "บิ๊กเสือ"

ระหว่าง พ.ศ. 2504 – พ.ศ. 2505 ศึกษาหลักสูตร ผบ.กองพัน ที่ฟอร์ดเบนนิ่ง แล้วกลับมาเป็นนายทหารยุทธการและการฝึกของกองพันทางอากาศที่ 1 (กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นกองพันส่งทางอากาศกองพันแรกของกองทัพบกซึ่งอยู่ที่จังหวัดลพบุรี

ปี พ.ศ. 2508 – พ.ศ. 2509 เข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก เมื่อศึกษาจบแล้วได้ย้ายไปรับตำแหน่งเป็นหัวหน้ายุทธการและการฝึกศูนย์สงครามพิเศษ จังหวัดลพบุรี จากนั้นได้เดินทางไปราชการรบในสงครามเวียดนาม ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองผู้บังคับการหัวหน้ายุทธการในเวียดนาม (ปฏิบัติการร่วมกับ พ.ท. ชวลิต ยงใจยุทธ (ยศในขณะนั้น)) จากนั้นไปปฏิบัติราชการพิเศษในพระราชอาณาจักรลาว ตำแหน่งรองผู้บังคับการหน่วยรบพิเศษเฉพาะกิจราทิกุลอยู่ 1 ปี คือระหว่าง พ.ศ. 2514 – พ.ศ. 2515 และเป็นผู้บังคับการหน่วยเดียวกันนี้จนถึงปี พ.ศ. 2517 หลังจากกลับจากราชการพิเศษในพระราชอาณาจักรลาว ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยหัวหน้ากองยุทธการ กรมยุทธการทหารบก

ในเหตุการณ์กบฏ 9 กันยา พ.ศ. 2528 พล.อ. พิจิตร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ในยศ พลโท เป็นผู้ประสานจัดเครื่องบินให้แก่ พล.ต. มนูญ รูปขจร แกนนำก่อการกบฏ เพื่อเดินทางออกนอกประเทศ[2]

หลังเกษียณอายุราชการแล้ว ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองคมนตรีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2536[3]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แก้

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย แก้

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ แก้

  •   สหรัฐ :
    • พ.ศ. 2512 -   เมอริโทเรียส ยูนิท คอมมันเดเชิน (ทหารบก)
    • พ.ศ. 2511 -   เหรียญบรอนซ์สตาร์ ประดับ วี
    • พ.ศ. 2511 -   เหรียญเนชันดิเฟนเซอวิส
  •   เวียดนามใต้ :
    • พ.ศ. 2512 -   แกลแลนทรี่ครอส ยูนิท ไซเทเชิน
    • พ.ศ. 2511 -   เหรียญรณรงค์เวียดนาม
  •   เกาหลีใต้ :
    • พ.ศ. 2529 -   เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณสำหรับการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ชั้นที่ 2[13]

ชีวิตส่วนตัว แก้

พล.อ. พิจิตร เคยสมรสกับอรุณี กุลละวณิชย์ มีบุตร 3 คน คนแรกคือ

  1. พิเชฏฐ์ กุลละวณิชย์ ซึ่งภายหลังได้เปิดเผยต่อสาธารณะว่าบุตรชายคนดังกล่าวได้ตัดขาดจากตน[14] แต่พิเชฏฐ์ออกมาปฏิเสธ[15]
  2. พิชาญ กุลละวณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นตติยจุลจอมเกล้า[16]
  3. อัญชนา กุลละวณิชย์

ต่อมาสมรสกับ พ.อ.หญิง คุณหญิงวิมล กุลละวณิชย์ ไม่มีบุตรด้วยกัน

อ้างอิง แก้

  1. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-11-06. สืบค้นเมื่อ 2014-04-03.
  2. "เอกยุทธ อัญชันบุตร รำลึกรัฐประหาร 9 กันยา". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-10-17. สืบค้นเมื่อ 2010-03-02.
  3. พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งองคมนตรี (พลเอก พิจิตร กุลละวณิชย์)
  4. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๑๑๕ ตอน ๘ ข หน้า ๑, ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๑
  5. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๐๕ ตอนที่ ๒๐๑ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๑, ๓ ธันวาคม ๒๕๓๑
  6. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2015-09-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๑๐๓ ตอนที่ ๒๑๓ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๓, ๓ ธันวาคม ๒๕๒๙
  7. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี, เล่ม ๙๗ ตอนที่ ๖๐ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๔, ๑๖ เมษายน ๒๕๒๓
  8. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องหมายเปลวระเบิดสำหรับประดับแพรแถบเหรียญชัยสมรภูมิ, เล่ม ๘๖ ตอนที่ ๒ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๑๑, ๖ มกราคม ๒๕๑๒
  9. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน, เล่ม ๑๐๒ ตอนที่ ๑๑๒ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๑๓, ๒๘ สิงหาคม ๒๕๒๘
  10. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญราชการชายแดน, เล่ม ๘๖ ตอนที่ ๑๑๓ ง หน้า ๓๕๕๘, ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๒
  11. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง พระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดี ประจำปี ๒๕๓๐, เล่ม ๑๐๔ ตอนที่ ๒๔๖ ง หน้า ๘๑๙๕, ๑ ธันวาคม ๒๕๓๐
  12. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๑๐๘ ตอนที่ ๑๖๖ ง ฉบับพิเศษ หน้า ๒, ๒๐ กันยายน ๒๕๓๔
  13. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับเหรียญตราต่างประเทศ, เล่ม 103 ตอนที่ 100 ฉบับพิเศษ หน้า 8, 11 มิถุนายน 2529
  14. "เปิดประวัติครอบครัว "บิ๊กเสือ" - พิจิตร กุลละวณิชย์ หลังถูกลูกชายร้องเรียน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-21. สืบค้นเมื่อ 2015-06-24.
  15. "บิ๊กเสือ"โผล่ที่พัทยา โต้ป่วย! ยันยังฟิต - พิเชฏฐ์ ลั่นไม่เคยคิดหวังทรัพย์สมบัติ[ลิงก์เสีย]
  16. ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (ในวโรกาสวันพระราชพิธีฉัตรมงคล วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๓)