สงครามเชียงตุง เป็นความพยายามของอาณาจักรสยามรัตนโกสินทร์ที่จะเข้าครองครอบรัฐเชียงตุง ซึ่งเป็นรัฐของชาวไทเขินทางเหนือซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าราชวงศ์โก้นบอง สงครามตีเมืองเชียงตุงเกิดจากความขัดแย้งภายในวงศ์เจ้าเมืองอาณาจักรหอคำเชียงรุ่งสิบสองปันนา เจ้านายไทลื้อเชียงรุ่งเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ฝ่ายสยามเห็นว่าหากจะยกทัพไปโจมตีเมืองเชียงรุ่งได้ต้องครอบครองเมืองเชียงตุงให้ได้เสียก่อน นำไปสู่สงครามตีเมืองเชียงตุง สงครามตีเมืองเชียงตุงเกิดขึ้นครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2393 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามให้ฝ่ายอาณาจักรล้านนาเชียงใหม่จัดทัพขึ้นไปโจมตีเมืองเชียงตุงแต่ไม่สำเร็จ ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามได้จัดทัพขึ้นไปเมืองเชียงตุงอีกสองครั้งในปี พ.ศ. 2395 และพ.ศ. 2396 ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นกัน

สงครามพม่า–สยาม (2392–2398)
ส่วนหนึ่งของ สงครามพม่า–สยาม

การเดินทางล้านนา-สยามสู่เชียงตุง พ.ศ. 2393 พ.ศ. 2395-2396 และ พ.ศ. 2396-2397
เขียว เป็นตัวแทนของรัฐฉานภายใต้การปกครองของพม่ารวมถึงเชียงตุง
แดง เป็นตัวแทนของล้านนา-สยาม
สถานที่
ผล กองทัพพม่าป้องกันได้สำเร็จ
คู่สงคราม
ราชวงศ์โก้นบอง (พม่า) อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สยาม)
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
พระเจ้าพุกามแมง
พระเจ้ามินดง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
หน่วยที่เกี่ยวข้อง
กองทัพพม่า กองทัพไทย
กำลัง
3,000+ ไม่ทราบ
ความสูญเสีย
ไม่ทราบ ไม่ทราบ

เหตุการณ์นำ

แก้

ประวัติศาสตร์เชียงตุง

แก้

เดิมเมืองเชียงตุงเป็นถิ่นฐานของชาวละว้า พญามังรายส่งเจ้าเมืองมาปกครองเมืองเชียงตุงในพ.ศ. 1786[1] เมืองเชียงตุงจึงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา พญาผายูแห่งล้านนาส่งโอรสคือเจ้าเจ็ดพันตู[1]มาครองเมืองเชียงตุงในพ.ศ. 1893 หลังจากนั้นวงศ์มังรายจึงปกครองเมืองเชียงตุงมาเป็นระยะเวลาตลอดหกร้อยปีจนถึงเจ้าจายหลวง (Sao Sai Long) เมืองเชียงตุงในบางยุคสมัยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา ในบางยุคเป็นอิสระ ชาวเชียงตุงพัฒนาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมกลายเป็นชาวไทเขิน เมื่อล้านนายกทัพมาตีเมืองเชียงตุงในพ.ศ. 2066 ทัพล้านนาพ่ายแพ้สูญเสียมาก ทำให้อำนาจของล้านนาเสื่อมลงเชียงตุงเป็นอิสระจากล้านนา เมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมายึดเมืองเชียงใหม่ในพ.ศ. 2101 อาณาจักรล้านนาทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า เจ้าเมืองเชียงตุงจึงสวามิภักดิ์ต่อพม่า[1] ทางราชสำนักพม่าแต่งตั้งเจ้าฟ้ามาปกครองเมืองเชียงตุง เรียกว่า เจ้าฟ้าเชียงตุง โดยที่เจ้าฟ้าเชียงตุงนั้นยังคงสืบเชื้อสายมาจากวงศ์มังรายเดิม อยู่ภายใต้การปกครองของพม่า

ในเวลาต่อมาอาณาจักรล้านนาแยกตัวจากพม่ามาขึ้นกับสยาม เจ้าเมืองล้านนาต่างดำเนินนโยบาย “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” ยกทัพไปโจมตีหัวเมืองต่างๆทางเหนือของล้านนาหรือเมือง"ลื้อเขิน"เพื่อแสวงหากำลังคน[2] ในพ.ศ. 2345 พระยากาวิละเจ้าเมืองเชียงใหม่ ส่งพระยาอุปราชน้อยธรรมผู้เป็นน้องชายยกทัพเชียงใหม่มีโจมตียึดเมืองสาด (Mong Hsat) และเมืองเชียงตุง เมืองเชียงตุงเสียให้แก่เชียงใหม่ถูกทำลายและว่างร้างลง[2] เจ้าฟ้าสิริไชยโชติสารัมพยะ หรือเจ้ากองไท (Sao Kawng Tai) เจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงหลบหนีไป ส่วนเจ้าดวงแสง หรือเจ้ามหาขนาน (Maha Hkanan) อนุชาของเจ้าฟ้ากองไทหลบหนีไปเมืองยาง (Mongyang) พระยาอุปราชน้อยธรรมกวาดต้อนชาวไทเขินจากเชียงตุงไปที่เชียงใหม่จำนวนมาก พระเจ้ากาวิละเกลี้ยกล่อมให้เจ้าฟ้ากองไทยอมสวามิภักดิ์เข้ามอบตัวต่อเชียงใหม่ในพ.ศ. 2347[3] เมืองเชียงตุงจึงร้างปราศจากผู้ปกครอง

เจ้ามหาขนานที่เมืองยางพยายามตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่ใครและฟื้นฟูเมืองเชียงตุงขึ้นอีกครั้ง พระเจ้าปดุงส่งกองทัพพม่าเข้ามาโจมตีเจ้ามหาขนานหลายครั้งเพื่อดึงเชียงตุงให้กลับไปขึ้นแก่พม่า เจ้ามหาขนานต่อสู้กับทัพพม่าด้วยความช่วยเหลือจากเชียงใหม่ พระยาอุปราชน้อยธรรมนำทัพเชียงใหม่ขึ้นไปช่วยเจ้าดวงแสงในพ.ศ. 2351 แต่ถูกพม่าตีแตกพ่ายกลับมา จนกระทั่งในพ.ศ. 2356 เมื่อเจ้ามหาขนานตระหนักว่าไม่สามารถต้านทานทัพของพม่าได้อีกต่อไป จึงเข้าสวามิภักดิ์ต่อพม่า[2] เจ้าดวงแสงมหาขนานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงภายใต้การปกครองของพม่า เมืองเชียงตุงจึงกลับฟื้นคืนขึ้นเป็นบ้านเมืองอีกครั้ง ฝ่ายเมืองเชียงใหม่เมื่อเห็นว่าเชียงตุงกลับไปขึ้นแก่พม่าแล้ว จึงเห็นว่าเชียงตุงเป็นศัตรู พระยาอุปราชน้อยธรรมตัดสินใจกวาดต้อนชาวเมืองยองที่ยังคงหลงเหลืออยู่ลงไปล้านนาจนหมดสิ้นในพ.ศ. 2356 ทำให้เมืองยองกลายเป็นเมืองร้างจนกระทั่งเจ้าฟ้ามหาขนานเชียงตุงได้ฟื้นฟูเมืองยองขึ้นอีกครั้งอยู่ภายใต้อำนาจของเชียงตุง เจ้าฟ้ามหาขนานแห่งเชียงตุงยังคงปกครองเมืองเชียงตุงภายใต้อำนาจของพม่ามาเป็นเวลาอีกสามสิบปี จนถึงเหตุการณ์สงครามเชียงตุง

ความขัดแย้งในเมืองเชียงรุ่ง

แก้

ขุนเจืองหรือพญาเจืองก่อตั้งอาณาจักรไทลื้อหอคำเชียงรุ่งขึ้นเมื่อประมาณพ.ศ. 1723 อาณาจักรของชาวไทลื้อนี้แบ่งการปกครองออกเป็นสิบสองส่วน แต่ละส่วนเรียกว่า “ปันนา” จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ"สิบสองปันนา" เชียงรุ้งสิบสองปันนาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาในสมัยของพญามังราย ในพ.ศ. 1839 จักรพรรดิมองโกลราชวงศ์หยวนส่งทัพเข้ามาบุกยึดอาณาจักรหอคำเชียงรุ่ง ตั้งเมืองเชียงรุ่งกลายเป็นเมืองเชอลี่ (จีนกลาง: 車里 พินอิน: Chēlǐ) เมืองเชียงรุ่งจึงกลายเป็นประเทศราชของจีนนับตั้งแต่นั้น จักรพรรดิจีนส่งตราจุ้มหรือลัญจกรมาเป็นสิ่งรับรองเจ้าเมืองเชียงรุ้ง ต่อมาเจ้าเมืองเชียงรุ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นซวนเหว่ย (จีนกลาง: 宣慰 พินอิน: Xuānwèi) เจ้าประเทศราชของจีน แผลงเป็นคำว่า"แสนหวี" เจ้าเมืองเชียงรุ่งจึงได้รับสมยาว่า"เจ้าแสนหวีฟ้า" ต่อมาในพ.ศ. 2106 พระเจ้าบุเรงนองเข้ายึดเมืองเชียงรุ่งสิบสองปันนาได้สำเร็จ แต่ทางจักรวรรดิจีนยังอ้างสิทธิอำนาจเหนือสิบสองปันนาอยู่ พม่าและจีนจึงตกลงร่วมกันให้เจ้าเมืองเชียงรุ่งอยู่ภายใต้อำนาจของทั้งพม่าและจีน “ฮ่อเป็นพ่อ ม่านเป็นแม่” ส่งบรรณาการให้แก่ทั้งสองฝ่ายฟ้า

ในพ.ศ. 2345 เมื่อเจ้าหม่อมมหาวงศ์ (เท่าถ่ายค้อ 刀太和) เจ้าแสนหวีฟ้าเมืองเชียงรุ่งถึงแก่อสัญกรรม เจ้ามหาน้อย (เท่าซุ้นวู 刀純武) โอรสของเจ้าหม่อมมหาวงศ์อายุเพียงสองชันษาจึงขึ้นเป็นเจ้าแสนหวีเชียงรุ่งองค์ต่อมา โดยมีเจ้ามหาวัง (เท่าถ่ายคัง 刀太康) น้องชายของเจ้าหม่อมมหาวงศ์ ผู้เป็นอาของเจ้ามหาน้อยเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ในพ.ศ. 2348 เจ้าอัตถวรปัญโญเจ้าเมืองน่านยกทัพมาตีเมืองเชียงรุ่ง[4] เจ้ามหาวังยอมจำนนต่อกองทัพเมืองน่านและให้เจ้ามหาพรหมกับเจ้าศรีเดินทางไปกรุงเทพเพื่อเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ฝ่ายเมืองน่านและสยามไม่ได้เข้าครอบครองเมืองเชียงรุ่งแต่กวาดต้อนชาวไทลื้อไปเป็นจำนวนมาก เมืองเชียงรุ่งและสิบสองปันนากลับเป็นเมืองขึ้นของพม่าดังเดิม

ต่อมาในพ.ศ. 2360 เมื่อเจ้ามหาน้อยเติบโตขึ้นว่าราชการเองได้แล้ว ขึ้นนั่งเมืองเชียงรุ่งด้วยตนเอง เจ้ามหาวังจึงยุติการสำเร็จราชการแทนและไปครองเมืองแช่ พระเจ้าปดุงมีพระราชโองการให้เจ้ามหาน้อยไปเข้าเฝ้าที่เมืองอมรปุระ เจ้ามหาน้อยหรือเจ้ามหาขนานแห่งเชียงรุ้งไม่ยอมไปเข้าเฝ้าตามพระราชโองการส่งเจ้ามหาวังผู้เป็นอาไปเมืองอมรปุระแทน พระเจ้าปดุงพิโรธที่เจ้ามหาน้อยไม่ยอมมาเข้าเฝ้าจึงมีพระราชโองการแต่งตั้งให้เจ้ามหาวังขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเชียงรุ้งขึ้นแทนที่เจ้ามหาน้อย ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้ามหาน้อยและเจ้ามหาวังสองอาหลาน

สงครามกลางเมืองสิบสองปันนาระหว่างเจ้ามหาน้อยและเจ้ามหาวังสองอาหลานดำเนินไป จนกระทั่งพ.ศ. 2365 ทัพของเจ้ามหาวังสามารถเอาชนะทัพของเจ้ามหาน้อยได้ เจ้ามหาน้อยแตกพ่ายถูกพม่าจับกุมได้ไปขังไว้เมืองเมืองอมรปุระเป็นเวลาสามปีจึงได้รับการปล่อยตัวกลับไปเชียงรุ่งในพ.ศ. 2368 แต่เจ้ามหาน้อยยังมีความเจ็บแค้นต่อเจ้ามหาวังผู้เป็นอาจึงเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นอีกครั้ง จนกระทั่งในพ.ศ. 2377 ฝ่ายจีนประกาศปลดเจ้ามหาน้อยออกจากราชสมบัติ เจ้ามหาน้อยนำตราจุ้มหลบหนีไปเมืองสอและถึงแก่อสัญกรรม ในพ.ศ. 2379 เจ้ามหาวังเจ้าเมืองเชียงรุ่งถึงแก่อสัญกรรม ฝ่ายจีนตั้งเจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรหรือเจ้าสาระวันโอรสของเจ้ามหาวังขึ้นเป็นเจ้าเมืองเชียงรุ่งองค์ต่อมา

สงครามตีเมืองเชียงตุงครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2393

แก้
สงครามตีเมืองเชียงตุงครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2393
ส่วนหนึ่งของ สงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่หนึ่ง
 
แผนที่ภูมิภาคอินโดจีน
แดง หมายถึง อาณาเขตพม่า
เขียว หมายถึง อาณาเขตสยาม
วันที่พ.ศ. 2393
สถานที่
ผล รัฐเชียงตุงเป็นฝ่ายชนะ ล้านนาเข้าครอบครองเชียงตุงไม่สำเร็จ
คู่สงคราม
  ราชวงศ์โก้นบอง (พม่า)
  รัฐเชียงตุง
  อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สยาม)
  อาณาจักรล้านนา
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
  พระเจ้าพุกามแมง
  เจ้าฟ้ามหาขนานแห่งเชียงตุง
  เจ้าเมืองขาก†
  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
  พระยาเชียงใหม่มหาวงส์
  พระยาอุปราชพิมพิสาร
  พระยารัตนเมืองแก้ว (หนานสุริยวงศ์)
  พระยาราชบุตรเมืองเชียงใหม่
  นายน้อยมหาพรหม
กำลัง
ไม่ทราบ 7,500 คน

ความขัดแย้งในเมืองเชียงรุ่ง (ต่อ)

แก้
 
วัดหลวงเชียงเจือง เมืองแช่ สิบสองปันนา

ในพ.ศ. 2379 เจ้ามหาวังเจ้าแสนหวีฟ้าเมืองเชียงรุ่งถึงแก่อสัญกรรม เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตร (เท่าจิ่นชู่ง 刀正綜) (พงษาวดารเมืองเชียงรุ้งเรียก เจ้าสุจะวรรณคือราชบุตร ไทยรบพม่าเรียก เจ้าสาระวัน จดหมายเหตุเรื่องทัพเชียงตุงเรียกย่อว่า ราชบุตร) โอรสของเจ้ามหาวังขึ้นเป็นเจ้าเมืองเชียงรุ่งแทน[5] เจ้าสุชาวรรณตั้งน้องชายของตนชื่อว่าออลนาวุธหรืออรำมาวุทะ (เท่าเซิ้นชู่ง) เป็นอุปราชา

ฝ่ายเจ้ามหาน้อยซึ่งไปถึงแก่อสัญกรรมที่เมืองสอนั้น ยังมีโอรสคือเจ้าหน่อคำ (เท่าข่านเซิ้น) พ.ศ. 2381 เจ้าหน่อคำยกทัพเข้ามาโจมตีเมืองเชียงรุ่งเพื่อแย่งชิงราชสมบัติ โดยร่วมมือกับพญาหลวงช้าง พญาหลวงชนะฦๅไชย พญาจุ้มคำ เจ้ามหาขนาน เจ้าไชย เจ้ามหาไชยเมือพงพาตัวเจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรกับอุปราชาไปเมืองลา แล้วทำทีไปต้อนรับเจ้าหน่อคำเข้ามาเมืองเชียงรุ่ง อยู่ได้ 6 วัน เจ้ามหาไชยกับพญาแสนเชียงราจับพญาหลวงช้าง พญาหลวงชนะฦๅไชย พญาจุ้มคำ เจ้ามหาขนาน เจ้าไชยฆ่าเสีย แล้วเชิญเจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรกับอุปราชากลับมาครองบ้านเมืองตามเดิม แต่เจ้าหน่อคำหนีไปอยู่ข่ากุยที่ผาผึ้ง เกลี้ยกล่อมข่าได้ 2,000 คน จะมาตีเมืองวัง มหาไชยจัดให้นายพรหมวงษ์พี่เขยคุมไพร่เมืองพง 100 เจ้าสุชาวรรณราชบุตรให้พระยาแสนเชียงราเปนแม่ทัพคุมทัพ 6000 ยกไปรบเจ้าหน่อคำ เจ้าหน่อคำพ่ายแพ้หลบหนีไปอยู่เมืองเชียงตุง เจ้าหน่อคำนำกำลังเชียงตุงขึ้นมาตีท่าลอเมืองพาน พญาแสนเชียงราคุมไพร่พลออกมารบตีกองทัพเจ้าหน่อคำแตกกลับไป

เจ้าฟ้ามหาขนานแห่งเมืองเชียงตุงส่งความลงไปบอกแก่พระเจ้าแสรกแมงที่เมืองอังวะ เจ้าหน่อคำมอบเงินให้แก่ทางราชสำนักพม่า พระเจ้าแสรกแมง (Tharawaddy Min) ให้หาตัวเจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรมาเข้าเฝ้า แต่เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรไม่ยอมไป พระเจ้าแสรกแมงจึงตั้งให้เจ้าหน่อคำเป็นเจ้าเมืองเชียงรุ่งแทน พ.ศ. 2384 เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรปรึกษาท้าวพญา ให้อุปราชาอรำมาวุทะ นางปิ่นแก้วมารดา และนางแว่นแก้วน้องสาวลงไปเข้าเฝ้าแทน แต่ถูกกักตัวไว้[6]

พระเจ้าแสรกแมงมีพระราชโองการให้จักกายหลวงมองชิณ[5]แห่งเมืองหมอกใหม่ (Mawkmai) แม่ทัพพม่า ณขามมองโซ ณขามเนมโย ณขามจันทบุรี มองตาลียกทัพจำนวน 3,000 คน[7] มาตีเมืองเชียงรุ่งและนำเจ้าหน่อคำขึ้นครองเมืองใน พ.ศ. 2385 เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรหลบหนีไป ฝ่ายพม่ากับจีนเจรจาตกลงกันเรื่องจะให้เจ้าหน่อคำเป็นเจ้าแสนหวีฟ้าเมืองเชียงรุ่งไม่สำเร็จ เมื่อปรึกษาท้าวพญาก็ไม่ยอมให้เป็น พม่าให้ไปจับพญาหลวงสิงหไชยา พญาหลวงวอชูเมืองแสนฆ่าเสีย ฝ่ายจีนจึงสนับสนุนให้เจ้ามหาไชยเมืองพง ยกทัพเข้ายึดเมืองเชียงรุ่งคืนให้แก่เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรได้สำเร็จ เจ้าหน่อคำหลบหนีไปยังเชียงตุง พ.ศ. 2386 เจ้าฟ้ามหาขนานเมืองเชียงตุง ให้เจ้าเมืองกาศผู้บุตร กับพระยาหลวงราชวัง ณขามจันทบุรีนำกำลังมาตีเมืองลอง มหาไชยยกทัพไปช่วย เจ้าเมืองกาศถูกปืนคาบศิลาทีหนึ่งแตกถอยไป

มองตาลีทูลพระเจ้าแสรกแมงว่า เจ้าเมืองเชียงรุ่ง เจ้าเมืองพงไม่ได้คิดกบฏ แต่เพราะเจ้าหน่อคำกับฝ่ายพม่าจับขุนนางเมืองเชียงรุ่งฆ่าและกดขี่พลเมือง จีนจึงให้เมืองสิบสองปันนาสู้รบกองทัพพม่า พระเจ้าแสรกแมงจึงให้ปล่อยตัวอุปราชาอรำมาวุทะ นางปิ่นแก้วมารดา นางแว่นแก้วน้องสาว แต่ให้อยู่เมืองอังวะก่อน แล้วให้จับตัวจักกายหลวงมองชิณ ณขามมองโซ ณขามเนมโย ณขามจันทบุรี ประหารชีวิตที่เมืองนาย พ.ศ. 2388 เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรให้พญาหลวงอจิระปัญญา พญาหลวงไชยสงคราม นำเครื่องราชบรรณาการลงไปถวาย ณ เมืองอังวะ พระเจ้าแสรกแมงจึงยอมรับเจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรเป็นเจ้าเมืองเชียงรุ่ง อุปราชาอรำมาวุทะ นางปิ่นแก้วมารดา นางแว่นแก้วน้องสาว จึงได้กลับคืนสู่เมืองเชียงรุ่ง ภายหลังเจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรกับเจ้ามหาไชยเกิดขัดแย้งกัน เจ้ามหาไชยตีเมืองเชียงรุ่งแตก เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรกับอุปราชาอรำมาวุทะหนีไปอยู่บ้านหว้า ต่อมาเจ้ามหาไชยงาดำ โอรสเจ้ามหาน้อย อ้างว่าจีนให้ตนเป็นเจ้าเมืองเชียงรุ่ง ให้เจ้ามหาไชยเมืองพงไปรับ เจ้ามหาไชยไม่ยอมไป เจ้ามหาไชยงาดำจึงนำทัพข่ากุยมาเมืองเชียงเจิง เมืองเชียงเจิงแต่งขุนนางออกไปรับ เจ้ามหาไชยงาดำจับขุนนางฆ่า 1 คน เจ้าเมืองเชียงเจิงออกสู้รบกับเจ้ามหาไชยงาดำแตกพ่ายไป

พ.ศ. 2390 เจ้ามหาไชยงาดำนำทัพตีเมืองวัง เมืองงาด เมืองเชียงเจิง แล้วไปต่อสู้กับอุปราชาที่บ้านหว้า เจ้ามหาไชยงาดำถอยไปเมืองแช่ เจ้ามหาไชยให้เจ้าพรหมวงษ์นำทัพไปตีเจ้ามหาไชยงาดำแตก แล้วไปเชิญเจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตร อุปราชาอรำมาวุทะ กลับมาครองบ้านเมือง พ.ศ. 2391 เจ้ามหาไชยงาดำกับเจ้าหน่อคำร่วมมือกันยกทัพมาเผาเมืองเชียงเหนือ เจ้ามหาไชยกับอุปราชาขึ้นไปรบที่เมืองยางสู้รบจนแตกพ่าย และเข้าพักไปเมืองเชียงเหนือ เมืองเชียงใต้ แต่กองทัพเจ้าหน่อคำ เจ้ามหาไชยงาดำยกทัพเข้ายึดเมืองเชียงรุ่งได้ เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรหนีมาอยู่เมืองรำ[5] เจ้ามหาไชยพาเจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรกับอุปราชามาอยู่เมืองพง กองทัพเจ้าหน่อคำ เจ้ามหาไชยงาดำ ตามมาตีเมืองพง[8] เจ้าสุชาวรรณราชบุตรหนีไปเมืองพม่า ส่วนอุปราชอรำมาวุทะ รวมทั้งมารดาคือนางปิ่นแก้วและน้องสาวคือนางแว่นแก้ว เดินทางลี้ภัยมาที่เมืองหลวงพระบาง เจ้าสุกเสริมกษัตริย์แห่งหลวงพระบางจึงส่งตัวอุปราชออลนาวุธ นางปิ่นแก้ว และนางแว่นแก้ว ลงไปที่กรุงเทพฯเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้ามหาไชยเมืองพงหลบหนีมาอยู่ที่เมืองหลวงภูคา (เวียงภูคา) ซึ่งเป็นเขตแดนของเมืองน่าน เจ้าเมืองน่านจะส่งตัวเจ้ามหาไชยลงมาที่กรุงเทพ เจ้ามหาไชยไม่ยอม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมีพระราชโองการให้พระยาศรีสหเทพ (ปาน สุรคุปต์) เดินทางขึ้นไปเกลี้ยกล่อมเจ้ามหาไชยเมืองพง[7] เจ้ามหาไชยเมืองพงจึงยอมเดินทางลงมาที่กรุงเทพฯในที่สุด

การจัดเตรียมทัพ

แก้

ก่อนหน้าสงครามเชียงตุง ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นระหว่างเจ้านายล้านนาราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน เมื่อพระยาเชียงใหม่คำฟั่นถึงแก่พิราลัยเมื่อพ.ศ. 2368 พระเจ้าลำปางดวงทิพย์ได้ยกทัพมาเมืองเชียงใหม่กวาดเอาทรัพย์สินของพระยาคำฟั่นไปเมืองลำปาง เป็นเหตุให้นายพิมพิสารบุตรของพระยาคำฟั่นจำต้องทิ้งงานศพของบิดาเดินทางหลบหนีไปยังกรุงเทพฯ[9] ต่อมาเมื่อพระยาพุทธวงศ์ได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ต่อมาแล้วนั้น นายพิมพิสารได้เดินทางกลับเมืองเชียงใหม่ในที่สุด[9] และต่อมาเมื่อพระยามหาวงส์ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ในพ.ศ. 2390 นายพิมพิสารจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยาอุปราชพิมพิสารแห่งเชียงใหม่

 
พระยาเชียงใหม่มหาวงส์ หรือต่อมาคือพระเจ้ามโหตรประเทศแห่งเชียงใหม่ เป็นผู้นำในการยกทัพของล้านนาเข้าโจมตีเมืองเชียงตุงในพ.ศ. 2393

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมีพระราชดำริว่า เจ้านายเมืองไทลื้อเชียงรุ่งสิบสองปันนามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ควรต้องจัดทัพไปยึดเมืองเชียงรุ่งคืนให้แก่เจ้าสุชาวรรณราชบุตร แต่หนทางยกทัพไปเมืองเชียงรุ่งนั้นต้องผ่านเมืองเชียงตุงก่อน หากจะยึดเมืองเชียงรุ่งได้ต้องยึดเมืองเชียงตุงก่อน “เมืองเชียงรุ้ง (เชียงรุ่ง) นี้ถ้าตัดเมืองเชียงตุงเสียได้ก็จะเป็นสิทธิฝ่ายเรา[7] พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯมิได้ทรงแต่งทัพกรุงเทพฯเข้าตีเมืองเชียงตุงโดยตรง แต่โปรดฯให้ทางหัวเมืองล้านนาเป็นผู้รับผิดชอบ จึงทรงมีท้องตรามีพระราชโองการให้พระยาเชียงใหม่มหาวงส์เจ้าเมืองเชียงใหม่ เกณฑ์ทัพเมืองเชียงใหม่ 5,000 คน เมืองลำพูน 1,500 คน เมืองลำปาง 1,000 คน[7] ขึ้นไปโจมตีเมืองเชียงตุง พระยาเชียงใหม่มหาวงส์จึงจัดทัพขึ้นตีเมืองเชียงตุงดังนี้;[7]

  • พระยาอุปราชพิมพิสาร พระยารัตนเมืองแก้ว (หนานสุริยวงศ์) นายหนานธรรมปัญโญ และนายน้อยดาวเรืองเมืองลำพูน ยกทัพขึ้นไปทางเชียงราย
  • ฝ่ายเมืองเชียงใหม่: พระยาราชบุตร นายน้อยพรหม นายหนานสุริยวงศ์ นายน้อยมหาวงศ์ นายน้อยมหาพรหม นายน้อยเทพวงศ์ (นายหนานสุริยวงศ์ นายน้อยมหาวงศ์ และนายน้อยเทพวงศ์ เป็นบุตรของพระยาเชียงใหม่มหาวงส์) ฝ่ายเมืองลำพูน: พระยาอุปราช พระยารัตนเมืองแก้ว และพระยาราชบุตร ทัพนี้ยกไปทางเมืองสาด (Mong Hsat)

กองทัพเชียงใหม่และลำพูนยกทัพออกไปในเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2393 กำหนดถึงเมืองเชียงตุงพร้อมกันในเดือนมีนาคม

เชียงใหม่ตีเมืองเชียงตุง

แก้

ทัพของพระยาราชบุตร นายน้อยมหาพรหม และนายหนานสุริวงศ์ ยกทัพไปตีเมืองสาดได้สำเร็จ จากนั้นนายน้อยมหาพรหมและนายหนานสุริยวงศ์ยกทัพแยกไปตีเมืองก๊ก พระยาราชบุตรและทัพเมืองลำพูนเข้าตีเมืองปางซาได้สำเร็จ ทัพเชียงใหม่ลำพูนแยกย้ายกันไปตีเมืองบริวารต่างๆของเชียงตุงได้แก่ เมืองแจง เมืองมาง เมืองภู เมืองเลน เมืองเพียง ได้จนหมดสิ้นแล้ว จึงยกทัพเข้าโจมตีประชิดเมืองเชียงตุง

พระยาอุปราชพิมพิสารนำทัพทางเชียงราย ให้พระยารัตนเมืองแก้วไปตีเมืองพยาก (Mong Hpayak) นายธรรมปัญโญไปตีเมืองเลน ส่วนตัวพระยาอุปราชพิมพิสารเองนั้นไปเกลี้ยกล่อมเมืองยอง (Mong Yawng) ให้เข้าสวามิภักดิ์ เมื่อเมืองยองยอมสวามิภักดิ์แล้ว อุปราชพิมพิสารจึงตั้งมั่นอยู่ที่เมืองยอง

ฝ่ายพระยาราชบุตร นายน้อยมหาพรหม และนายหนานสุริยวงศ์ ซึ่งยกทัพเข้าโจมตีเมืองเชียงตุงนั้น เจ้าฟ้ามหาขนานแห่งเชียงตุงยกทัพไทเขินออกมาสู้รบเป็นสามารถ เจ้าเมืองขากบุตรของเจ้ามหาขนานเสียชีวิตในที่รบ ฝ่ายเชียงใหม่ยกทัพเข้าประชิดประตูเมืองเชียงตุง ไม่สามารถทลายประตูเมืองเข้าไปได้เนื่องจากขาดกำลังสนับสนุนทัพของพระยาอุปราชพิมพิสารไม่มาตามนัด พระยาอุปราชยังคงปักหลักอยู่ที่เมืองยอง นายน้อยมหาพรหมที่เชียงตุงส่งคนมาเร่งให้พระยาอุปราชยกทัพไปหนุนที่เชียงตุง ปรากฏว่าพระยาอุปราชไม่ไป พระยาราชบุตรและนายน้อยมหาพรหมสู้รบกับเมืองเชียงตุงจนหมดสิ้นกระสุนดินดำ ยังไม่ได้เมืองเชียงตุง จึงล่าถอยกลับมา[7]

บทสรุป

แก้

แม้ว่าทางฝ่ายล้านนาเชียงใหม่จะเคยมีประสบการณ์การทำสงครามกับเชียงตุงหลายครั้ง เคยตีเมืองเชียงตุงได้เมื่อพ.ศ. 2345 แต่ความขัดแย้งภายในวงศ์เจ้าเจ็ดตนเชียงใหม่เป็นอุปสรรคทำให้การโจมตีเมืองเชียงตุงในพ.ศ. 2393 ในนี้ ไม่ประสบความสำเร็จ ประกอบกับเจ้าฟ้ามหาขนานเมืองเชียงตุงมีประสบการณ์สงครามกับล้านนาและพม่าหลายครั้ง จึงสามารถป้องกันเมืองเชียงตุงไว้ได้ พระยาเชียงใหม่มหาวงศ์เจ้าเมืองเชียงใหม่ เกรงว่าความผิดจะตกแก่บรรดาบุตรของตน จึงมีใบบอกลงมากรุงเทพฯมากล่าวโทษ[7]พระยาอุปราชพิมพิสารว่าไม่ช่วยเหลือในการทัพ และขอพระราชอภัยโทษว่าพระยาเชียงใหม่จะขอยกทัพไปตีเมืองเชียงตุงด้วยตนเองอีกครั้ง และขอให้ทางกรุงเทพฯแต่งทัพขึ้นไปสนับสนุนและให้ฝ่ายเมืองน่านเข้าช่วยร่วมด้วย[7] ในเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงพระประชวร การจึงระงับไปก่อน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเสด็จสวรรคตในเดือนเมษายน พ.ศ. 2394

สงครามตีเมืองเชียงตุงครั้งที่สอง พ.ศ. 2395-2397

แก้
สงครามตีเมืองเชียงตุงครั้งที่สอง พ.ศ. 2395-2397
ส่วนหนึ่งของ สงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่สอง
 
ภาพสีน้ำของทหารราบชาวพม่า 3 นายในปี พ.ศ. 2398 จนกระทั่งทหารแบบนี้ถูกส่งไปต่อสู้กับการรุกรานของสยามที่สยามถูกขับไล่ออกจากพม่าในที่สุด
วันที่ตุลาคม พ.ศ. 2395 - พ.ศ. 2397
สถานที่
ผล รัฐเชียงตุงเป็นฝ่ายชนะ สยามและล้านนาเข้าครอบครองเชียงตุงไม่สำเร็จ
คู่สงคราม
  ราชวงศ์โก้นบอง (พม่า)
  รัฐเชียงตุง
  อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สยาม)
  อาณาจักรล้านนา
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
  พระเจ้าพุกามแมง
  มหานอระธา
  เจ้าฟ้ามหาขนานแห่งเชียงตุง
  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
  พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท
  เจ้าพระยายมราช (นุช บุณยรัตพันธุ์)
  พระยาเชียงใหม่มหาวงส์
  พระยาอุปราชพิมพิสาร
  พระยาบุรีรัตน์ (หนานสุริยวงศ์)
เจ้าพระยามงคลวรยศ
กำลัง
ไม่ทราบ 10,000 คน

เหตุการณ์นำ

แก้

เมื่อสยามและล้านนาเข้ายึดเมืองเชียงตุงไม่สำเร็จในปีพ.ศ. 2393 จึงไม่สามารถช่วยเหลือกอบกู้เมืองเชียงรุ่งให้แก่เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรได้ ฝ่ายจีนยกทัพมาปราบเจ้าหน่อคำที่เมืองเชียงรุ่ง เจ้าหน่อคำหลบหนีไปถูกสังหารถึงแก่กรรมที่เมืองหุน เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรจึงได้กลับมาครองเมืองเชียงรุ่งอีกครั้ง เจ้านายไทลื้อที่ได้มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารที่กรุงเทพฯตั้งแต่พ.ศ. 2392 จึงกราบบังคมทูลลาฯกลับไปยังบ้านเมืองเดิมของตน เจ้ามหาไชยเมืองพงกลับไปอยู่เมืองน่าน อุปราชอรำมาวุทะ รวมทั้งมารดาคือนางปิ่นแก้วและน้องสาวคือนางแว่นแก้ว กลับไปอยู่เมืองหลวงพระบาง ในพ.ศ. 2395 เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรเจ้าแสนหวีฟ้าเมืองเชียงรุ่งให้นายพิศวง หรือพิศณุวงศ์ นำศุภอักษรและเครื่องบรรณาการต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานครอบครัวที่เมืองน่านและหลวงพระบางกลับคืนสู่เมืองเชียงรุ่งสิบสองปันนา

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯมีพระราชดำริว่า เมืองน้อยมาพึ่งเมืองใหญ่ ควรต้องอนุเคราะห์ไปให้ตลอด ปัญหาประการคือเมืองลื้อนั้นขึ้นอยู่กับพม่าและจีนทั้งสองฝ่าย หากพม่าหรือจีนยกทัพเข้ามีตีเมืองเชียงรุ่ง เมืองเชียงรุ่งนั้นระยะทางห่างไกลจากกรุงเทพภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อนทัพสยามจะขึ้นไปช่วยป้องกันได้ลำบาก[10] บรรดาเสนาบดีลงชื่อกราบทูลว่า เมืองน้อยมาพึ่งเมืองใหญ่ควรต้องเป็นธุระ พระเกียรติยศจึงจะแผ่ไปนานาประเทศ[10] ถ้าจะปกครองเมืองเชียงรุ่งต้องยึดเมืองเชียงตุงเสียก่อน ถ้ายึดเมืองเชียงตุงได้พม่าก็จะหมดอิทธิพลไปจากเชียงตุงเชียงรุ่ง จึงจะรักษาเมืองเชียงตุงเชียงรุ่งได้ ประกอบกับในเวลานั้น ทางฝ่ายพม่ากำลังติดพันกับสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สอง พม่าคงจะไม่สามารถยกทัพมาช่วยเมืองเชียงตุงได้

การจัดเตรียมทัพ

แก้
 
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงเป็นองค์จอมทัพ ในสงครามตีเมืองเชียงตุง พ.ศ. 2395-2397

สงครามตีเมืองเชียงตุงครั้งนี้ ต่างจากสงครามตีเมืองเชียงตุงครั้งก่อนในพ.ศ. 2393 คือ ครั้งนี้ทางกรุงเทพฯจัดทัพเข้าตีเมืองเชียงตุงด้วยตนเองโดยตรง โดยได้รับการสนับสนุนจากหัวเมืองล้านนา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯจึงมีพระราชโองการให้จัดทัพสยามจากกรุงเทพฯจำนวนทั้งสิ้น 10,000 คน ขึ้นไปโจมตีเมืองเชียงตุงดังนี้;[10][8]

  • พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เสด็จนำทัพหลวงประกอบด้วยทัพจากกรุงเทพ พิษณุโลก สุโขทัย พิชัย พิจิตร เพชรบูรณ์ วิเชียรบุรี หล่มสัก นครสวรรค์ ไปทางเมืองพิษณุโลก เมืองน่าน ให้อุปราชออลนาวุธและเจ้ามหาไชยเมืองพงไปในทัพนี้ด้วย
  • เจ้าพระยายมราช (นุช บุณยรัตพันธุ์) เป็นทัพหน้า ประกอบด้วยทัพจากกรุงเทพ สระบุรี ชัยนาท ตาก กำแพงเพชร สวรรคโลก ยกทัพไปทางกำแพงเพชร เมืองตาก นำทัพเมืองเชียงใหม่ เมืองลำพูน เมืองลำปาง ยกทัพไปทางเมืองยอง

ทัพหน้าของเจ้าพระยายมราช (นุช) เดินทางออกจากกรุงเทพก่อนเมื่อขึ้นเก้าค่ำเดือนสิบสอง (21 ตุลาคม พ.ศ. 2395) จากนั้นกรมหลวงวงศาธิราชสนิทจึงเสด็จยกทัพหลวงออกจากกรุงเทพเมื่อขึ้นสองค่ำเดือนอ้าย (13 พฤศจิกายน) ทั้งสองทัพมีกำหนดไปพบกันที่เมืองเชียงแสน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงมีท้องตราถึงพระยามหาวงส์เจ้าเมืองเชียงใหม่ พระยาไชยลังกาเจ้าเมืองลำพูน เจ้าพระยามงคลวรยศเจ้าเมืองน่าน และเจ้าสุกเสริมเมืองหลวงพระบาง ให้จัดเตรียมทัพและเสบียงอาหารช้างม้ายุทโธปกรณ์เข้าร่วมกับกรมหลวงวงศาธิราชสนิทและเจ้าพระยายมราช (นุช) ในการเข้าตีเมืองเชียงตุง[8]

ตีเมืองเชียงตุงครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2395-2396

แก้

เจ้าพระยายมราช (นุช) ยกทัพทางเมืองกำแพงเพชร เมืองตาก เกณฑ์ทัพหัวเมืองตามรายทาง แล้วเดินทางยกทัพถึงเมืองเชียงใหม่เมื่อขึ้นเก้าค่ำเดือนยี่ (19 ธันวาคม พ.ศ. 2395) ในเวลานั้นตรงกับฤดูเกี่ยวข้าว ทางฝ่ายเมืองเชียงใหม่ไม่มีข้าวไว้เลี้ยงกองทัพ พระยาเชียงใหม่มหาวงส์จึงขอข้าวจากเจ้าพระยายมราช เจ้าพระยายมราชแบ่งข้าวให้แก่ทัพเชียงใหม่[8] พระยาเชียงใหม่มหาวงส์แต่งนายน้อยเตชาและอ้ายพันไปสืบราชการลับที่เมืองนาย ได้ข่าวว่าที่เมืองนายพม่ากำลังเกณฑ์คนจัดเตรียมอาวุธไปช่วยป้องกันเมืองเชียงตุง แต่เจ้าฟ้ามหาขนานเมืองเชียงตุงให้หยุดระงับไว้ก่อน เนื่องจากเสบียงเมืองเชียงตุงมีไม่พอเลี้ยงกองทัพพม่า ฝ่ายเมืองเชียงตุงจะป้องกันเมืองด้วยตนเองไปก่อน เจ้าพระยายมราชพร้อมทั้งพระยาอุปราชพิมพิสาร พระยาราชบุตรเมืองเชียงใหม่ พระยาบุรีรัตน์ (หนานสุริยวงศ์) นายหนานสุริยวงศ์ นายหนานไชยเทพ นายน้อยมหาพรหม และนายอินทนนท์ ยกทัพจากเชียงใหม่ ไปทางเมืองเชียงรายถึงเมืองเชียงแสนเมื่อขึ้นสิบค่ำเดือนสี่ (17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2396)

กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จยกทัพออกจากกรุงเทพฯในเดือนพฤศจิกายนพ.ศ. 2395 เสด็จทางชัยนาท นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก เมืองลับแล เมืองแพร่ และเสด็จถึงเมืองน่านเมื่อขึ้นเก้าค่ำเดือนสาม (18 มกราคม พ.ศ. 2396) จากนั้นเสด็จต่อไปทางเมืองปง เมืองสะเลา เมืองเทิง เมืองเชียงของ และถึงเมืองเชียงราย กรมหลวงวงศาธิราชสนิทจึงเสด็จไปยังเมืองเชียงแสนเมื่อขึ้นเจ็ดค่ำเดือนสี่ (14 กุมภาพันธ์) เมืองเชียงแสนในขณะนั้นเป็นเมืองร้าง ทัพของเจ้าพระยายมราชและทัพของเจ้าพระยามงคลวรยศเมืองน่านยกทัพถึงเชียงแสนอีกสามวันต่อมา เมื่อทัพเมืองเชียงใหม่ไปประจำที่เชียงแสนแล้ว ทรงมีพระบัญชาให้จัดทัพเข้าตีเมืองเชียงตุงใหม่ดังนี้;[8]

  • เจ้าพระยายมราช (นุช) พระยาสีหราชฤทธิไกร (สุด) พร้อมทั้งพระยาอุปราชพิมพิสาร พระยาราชบุตรเมืองเชียงใหม่ และพระยาบุรีรัตน์ (หนานสุริยวงศ์) ยกทัพฝ่ายเชียงใหม่จำนวนทั้งสิ้น 5,042 คน ไปทางเมืองพยาก (Mong Hpayak) เจ้าตีเมืองเชียงตุง
  • เจ้าพระยามงคลวรยศเมืองน่าน พร้อมทั้งเจ้ามหาไชยเมืองพง ยกทัพไปทางเมืองพงไปเมืองเชียงรุ้ง
  • พระยาพิมพิสารเมืองแพร่ ยกทัพเมืองแพร่ 1,200 คน เจ้าเมืองหล่มสักยกทัพ 1,300 คน เมืองลำปาง 1,000 คน ไปตีเมืองยอง

การรบที่เชียงตุง

แก้

เจ้าพระยายมราช (นุช) และพระยาสีหราชฤทธิไกร (สุด) ทัพเมืองเชียงใหม่และลำพูนออกจากเชียงแสนเมื่อแรมสองค่ำเดือนสี่ (24 กุมภาพันธ์) ไปทางด้านผาช้างไปถึงเมืองพยากเมื่อแรมแปดค่ำ (2 มีนาคม) ตีเมืองพยากได้สำเร็จพญาไชยแสนและท้าวมหาวงษ์ผู้รักษาเมืองพยากหลบหนีไปเชียงตุง เจ้าพระยายมราชยกทัพต่อไปถึงเมืองเชียงตุงเมื่อขึ้นหนึ่งค่ำเดือนห้า (10 มีนาคม) นำไปสู่การรบที่เชียงตุง เจ้าพระยายมราชและทัพเมืองเชียงใหม่ตั้งค่ายที่เนินเขาด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเชียงตุง ทัพเมืองลำพูนตั้งค่ายฝั่งเหนือ เจ้ามหาขนานเชียงตุงส่งทัพออกมารบเมื่อขึ้นแปดค่ำ (17 มีนาคม) ฝ่ายเจ้าพระยายมราชและเชียงใหม่ประสบปัญหากำลังพลไม่เพียงพอไม่สามารถโอบล้อมเมืองเชียงตุงได้ทุกด้าน อีกทั้งเมืองเชียงตุงตั้งอยู่บนที่สูงทัพไทยอยู่ที่ต่ำ ยิงปืนใหญ่ไปไม่ถึงเมือง[8]

กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จยกทัพจากเมืองเชียงแสนเมื่อขึ้นหนึ่งค่ำเดือนห้า (10 มีนาคม) ตามมาทางเมืองพยาก ถึงเมืองขอนเมื่อขึ้นสิบเอ็ดค่ำ (20 มีนาคม) กองกำลังเชียงตุงปลอมตัวโพกผ้าแดงเหมือนทหารเชียงใหม่[8] เข้าโจมตีทัพของกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงให้ไล่ยิงทหารเชียงตุงเหล่านั้นหนีไป กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จถึงเมืองเชียงตุงเมื่อขึ้นสิบสามค่ำ (22 มีนาคม) เข้าที่ประตูเมืองทัพเชียงตุงวกมาตีสกัดด้านหลัง[8] ทรงให้ระดมยิงปืนใหญ่ใส่เมืองเชียงตุง เมืองเชียงตุงยิงตอบโต้เป็นสามารถต้านทานทัพสยามและล้านนาไว้ได้ หลังจากการรบผ่านไปเจ็ดวัน กรมหลวงวงศาธิราชสนิทมีพระบัญชาให้ถอยทัพกลับไปที่เชียงแสน

เจ้าพระยามงคลวรยศยกทัพออกจากเมืองน่านเมื่อแรมสิบสองค่ำเดือนสาม (5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2396) โดยมีเจ้ามหาไชยเมืองพงเป็นผู้นำทาง ถึงเมืองพงเมื่อขึึ้นเก้าค่ำเดือนสี่ (16 กุมภาพันธ์) ส่งให้ชาวจีนชื่อลีชุงแยและพระยาหลวงพรหมขึ้นไปติดต่อเมืองเชียงรุ่ง พบกับเจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรเจ้าเมืองเชียงรุ่งและข้าหลวงจีน เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรมีความยินดีที่จะแต่งเครื่องบรรณาการมาถวายฯ ลีชุงแยบอกว่าให้เจ้าหม่อมสุชาวรรณราชบุตรลงไปพบกับเจ้ามงคลวรยศที่เมืองน่าน ฝ่ายข้าหลวงจีนถามลีชุงแยว่าทัพไทยยกมาครั้งนี้มีจุดประสงค์อะไร ลีชุงแยตอบว่าทัพไทยยกมาครั้งนี้ไม่ได้มาตีเมืองแต่มาจัดการปกครองให้เรียบร้อย[8] เจ้าพระยามงคลวรยศถึงเมืองเชียงรุ่งสิบสองปันนาเมื่อแรมสามค่ำเดือนห้า (27 มีนาคม)

กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงมีพระอักษรมาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ขอพระราชทานกำลังเสริมจากเมืองนครราชสีมาและหัวเมืองลาวพุงขาวได้แก่หนองคาย สกลนคร และอุบลราชธานี ทรงโปรดฯไม่ประทานให้เนื่องจากหัวเมืองลาวล้านช้างนั้นคอยรับศึกทางอาจจะมาทางฝั่งเวียดนาม[8] และมีพระราชกระแสให้กรมหลวงวงศาธิราชเข้ายึดเมืองเชียงตุงให้โดยเร็ว เนื่องจากฝ่ายพม่ากำลังเสียทีพ่ายแพ้ให้แก่อังกฤษ หากอังกฤษเข้ายึดครองพม่าได้ทั้งหมดอังกฤษจะสามารถเข้าแทรกแซงเมืองเชียงตุงได้ ทำให้การยึดเมืองเชียงตุงยากขึ้นไปอีก[8]

สยามและล้านนาถอยทัพ

แก้

ทัพสยามและล้านนาหลังจากสู้รบกับเชียงตุงเป็นเวลาเจ็ดวัน เมื่อไม่สามารถตีหักเอาเมืองเชียงตุงได้จึงล่าถอยลงมาเมื่อขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนห้า (23 มีนาคม) กรมหลวงวงศาธิราชเสด็จถอยทัพมาอยู่เมืองน่าน เจ้าพระยายมราช (นุช) พระยาสีหราชฤทธิไกร (สุด) ถอยทัพมาอยู่ที่เชียงใหม่ จากนั้นเจ้าพระยายมราชถึงเดินทางกลับไปอยู่ที่เมืองตากถึงเมืองตากเมื่อแรมสิบสามค่ำเดือนเจ็ด (4 มิถุนายน พ.ศ. 2396) ให้พระยาสีหราชฤทธิไกรคอยอยู่ที่เชียงใหม่ กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงถวายรายงานทัพฯตำหนิฝ่ายล้านนาว่าไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควรในการศึก สนใจเพียงแต่การกวาดต้อนผู้คนไปไว้ที่เมืองของตนเองเท่านั้น ไม่ได้วางแผนที่จะครอบครองเมืองเชียงตุงอย่างจริงจังและถาวร[8] และขอพระราชทานแม่ทัพที่มีความเข้มแข็งกว่าเจ้าพระยายมราชในการบัญชาการทัพ[8] ในเวลานั้นใกล้ฤดูฝนหากจะเตรียมทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงตุงอีกครั้งในปีนั้นจะติดฤดูฝน กรมหลวงวงศาธิราชสนิทจึงทรงขอพระราชทานยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงตุงอีกครั้งในฤดูแล้งปีถัดมา

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯโปรดฯให้มีสารตรามาถึงท้าวพระยาฝ่ายล้านนา ทรงชี้ให้เห็นว่าฝ่ายสยามและล้านนายกไปตีเมืองเชียงตุงถึงสองครั้งแล้วไม่ประสบความสำเร็จ หากปล่อยไว้เช่นนี้ในอนาคตข้างหน้าเชียงตุงและพม่าอาจยกเข้ามาโจมตีหัวเมืองล้านนาได้[8] ขอให้ฝ่ายล้านนาให้ความร่วมมือแก่ฝ่ายสยามในการตีเมืองเชียงตุง เมื่อแรมสิบเอ็ดค่ำเดือนแปด (1 กรกฎาคม พ.ศ. 2396) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯโปรดฯให้พระยาสีหราชฤทธิไกรอัญเชิญสุพรรณบัฏขึ้นไปแต่งตั้งพระยาเชียงใหม่มหาวงส์เจ้าเมืองเชียงใหม่ ขึ้นเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ พระนามว่า พระเจ้ามโหตรประเทศราชาธิบดี นพิสีมหานคราธิฐาน ภูบาลบพิตร สถิตในอุตมชิยางคราชวงศ์ เจ้านครเชียงใหม่

ตีเมืองเชียงตุงครั้งที่สอง พ.ศ. 2396-2397

แก้

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จากกรุงเทพฯ นำอาวุธขึ้นไปให้ด้วย และเจ้าพระยายมราช (นุช) จากเมืองตาก ไปเข้าเฝ้ากรมหลวงวงศาธิราชสนิทที่เมืองอุตรดิตถ์ ปรึกษาข้อราชการทัพศึกเมืองเชียงตุง จากนั้นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์จึงเดินทางกลับกรุงเทพ

ในฤดูแล้งพ.ศ. 2396 เมื่อสามารถเก็บเกี่ยวข้าวมาเป็นเสบียงได้แล้ว กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จจากอุตรดิตถ์เมื่อขึ้นสิบค่ำเดือนอ้าย (10 ธันวาคม พ.ศ. 2396) ถึงเมืองน่านเมื่อแรมห้าค่ำ (20 ธันวาคม) จากนั้นกรมหลวงวงศาธิราชสนิทพร้อมทั้งเจ้าเมืองน่านเสด็จยกทัพจากเมืองน่านเมื่อแรมสองค่ำเดือนยี่ (15 มกราคม พ.ศ. 2397) ไปถึงเมืองเชียงรายเมื่อขึ้นหนึ่งค่ำเดือนสาม (29 มกราคม) แต่ทัพฝ่ายเมืองเชียงใหม่และลำพูนยังมาไม่ถึง กรมหลวงวงศาธิราชทรงให้เจ้าพระยายมราชไปเร่งทัพ กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงให้เจ้าพระยามงคลวรยศเจ้าเมืองน่านยกทัพหน้าไปก่อน แล้วยกทัพหลวงเสด็จออกจากเชียงรายเมื่อแรมสิบสามค่ำเดือนสาม (23 กุมภาพันธ์) และเจ้าพระยายมราชยกทัพจากเชียงรายต่อมาขึ้นสิบสองค่ำเดือนสี่ (10 มีนาคม) เดินทัพทางเมืองพยาก

ฝ่ายพม่าส่งแม่ทัพเมืองนายชื่อว่ามหานอระธา (Maha Nawratha) มาร่วมป้องกันเมืองเชียงตุง เมืองเชียงตุงมีกำลังมากกว่าครั้งก่อน กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงยกทัพเข้าประชิดเมืองเชียงตุงโจมตีจนสิ้นเสบียงอาหารและกระสุนดินดำ ไม่สามารถยึดเมืองเชียงตุงได้จึงถอยทัพออกจากเมืองลวยเมื่อแรมห้าค่ำเดือนสี่ (18 มีนาคม) ถอยทัพไปเมืองเหล็ก จากนั้นสู้รบกับทัพของเชียงตุงที่เมืองเหล็กอีกสิบสี่วันจนถอยทัพจากเมืองเหล็กเมื่อขึ้นสองค่ำเดือนหก (28 เมษายน) กลับมาเมืองน่าน[10] ฝ่ายพม่าเห็นฝ่ายสยามถอยทัพกลับจึงยกทัพออกมาจากเชียงตุงมาโจมตีทัพของกรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยามงคลวรยศเจ้าเมืองน่านจึงคอยระวังเป็นทัพหลังคุ้มกันให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเสด็จมาถึงเมืองน่านอย่างปลอดภัยเมื่อเดือนมิถุนายน ฝ่ายเจ้าพระยายมราชยกทัพไปได้ครึ่งทางทราบว่ากรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงถอยทัพแล้วจึงถอยทัพเช่นกัน

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงมีพระวินิจฉัยว่า เมืองเชียงตุงอยู่ห่างไกล ภูมิประเทศเป็นภูเขาเดินทางขนส่งเสบียงและอาวุธลำบาก ทำสงครามต่อเนื่องยาวนานยังไม่สามารถยึดเมืองได้ ทำได้เพียงโจมตีแบบกองโจรเท่านั้น[10] อีกทั้งฝ่ายพม่าเริ่มส่งกองกำลังมาป้องกันเมืองเชียงตุงแล้ว จึงมีพระราชโองการมีท้องตราให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิทและเจ้าพระยายมราชยกทัพกลับกรุงเทพฯ เจ้ามหาไชยเมืองพงเดินทางกลับไปยังเมืองพงแล้ว ส่วนเจ้าอุปราชออลนาวุธติดตามเสด็จกรมหลวงวงศาธิราชสนิทมาที่กรุงเทพด้วย

บทสรุป

แก้

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯมีพระดำริว่า อุปราชาอรำมาวุทะเมืองเชียงรุ่งมีความภักดีอย่างมาก จึงมีพระราชโองการให้พระยาราชวรานุกูล (รอด กัลยาณมิตร) นำตัวอุปราชอรำมาวุทะกลับไปคืนแก่ครอบครัวที่เมืองหลวงพระบาง ฝ่ายจีนส่งข้าหลวงชื่อว่าตากุนแยมายังเมืองหลวงพระบาง ขอนำตัวอุปราชอรำมาวุทะ นางปิ่นแก้ว และนางแว่นแก้วกลับไปเมืองเชียงรุ่ง เจ้าสุกเสริมจึงมีใบบอกลงมาที่กรุงเทพฯ ระหว่างที่ตากุนแยเฝ้ารอคำตอบจากกรุงเทพฯนั้น ก็ได้นางสุนทรีน้องสาวของอุปราชาอรำมาวุทะเป็นภรรยา[10] พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯมีพระบรมราชานุญาตให้อุปราชาอรำมาวุทะ นางปิ่นแก้ว และนางแว่นแก้วกลับไปอยู่ที่เมืองเชียงรุ้ง ต่อมาที่เมืองเชียงรุ่งเกิดความขัดแย้งขึ้นอีก เจ้ามหาไชยเมืองพงสังหารอุปราชอรำมาวุทะถึงแก่กรรม เจ้าสุชาวรรณราชบุตรเจ้าเมืองเชียงรุ่งจึงให้ประหารชีวิตเจ้ามหาไชยเมืองพง เมื่อฝ่ายสยามไม่สามารถยึดเชียงรุ่งได้ และฝ่ายพม่าถูกอังกฤษเข้ายึดครอง เมืองเชียงรุ่งสิบสองปันนาจึงเป็นส่วนหนึ่งของจีนในที่สุด

บทสรุปและเหตุการณ์สืบเนื่อง

แก้

ในสงครามตีเมืองเชียงตุงครั้งแรกพ.ศ. 2393 ทางกรุงเทพฯไม่ได้จัดทัพขึ้นไปเองแต่ให้ฝ่ายล้านนาเป็นผู้รับผิดชอบในการตีเมืองเชียงตุง แม้ว่าทางฝ่ายล้านนาจะมีประสบการณ์ในการยกทพไปตีหัวเมืองลื้อเขินทางเหนือหลายครั้ง แต่ความขัดแย้งภายในวงศ์เจ้าเจ็ดตนขณะนั้นทำประกอบกับความเข้มแข็งในการศึกของเจ้ามหาขนานเมืองเชียงตุงทำให้ล้านนาไม่ประสบความสำเร็จในการยึดเมืองเชียงตุง

ในสงครามตีเมืองเชียงตุงพ.ศ. 2395 และพ.ศ. 2396 ทางกรุงเทพฯจัดทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงตุงโดยตรงร่วมกับฝ่ายล้านนา ฝ่ายกรุงเทพไม่คุ้นเคยกับลักษณะภูมิประเทศและเส้นทางประกอบกับปัญหาเรื่องความร่วมมือระหว่างสยามและล้านนา อีกทั้งฝ่ายพม่าแม้กำลังอยู่ในช่วงสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สองแต่ยังสามารถแบ่งทัพมาป้องกันเมืองเชียงตุงได้ สงครามตีเมืองเชียงตุงจึงไม่สำเร็จในที่สุด

การศึกเชียงตุงนี้พม่าถือว่าไทยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จน อูบุญ (ဦးပုည/อูโบนญา นายบุญ) มหากวีของพม่านำเรื่องราวสงครามนี้ไปแต่งเป็นวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติพระเจ้ามินดง เรียกว่า ซินเหม่นัยโมโกง (zinnme naing mowgun ဇင်းမယ်နိုင်မော်ကွန်း วรรณกรรมเชียงใหม่พ่าย) ซึ่งภายหลังเรียกว่า โยธยานัยโมโกง (Yodaya Naing Mowgun ယိုးဒယားနိုင်မော်ကွန်း วรรณกรรมอยุทธยาพ่าย)[11]

แต่งตั้งเจ้าล้านนา

แก้

พระเจ้ามโหตรประเทศเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ได้ห้าเดือนก็ถึงแก่พิราลัยเมื่อแรมเก้าค่ำเดือนยี่ (พฤศจิกายน พ.ศ. 2396) จากนั้นเกิดความขัดแย้งระหว่างพระยาอุปราชพิมพิสาร และนายน้อยมหาพรหมซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้ามโหตรประเทศ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯมีพระราชโองการให้เจ้าพระยามุขมนตรี (เกษ สิงหเสนี) ขึ้นไประงับวิวาทและปลงศพพระเจ้ามโหตรประเทศ ต่อมาพระยาอุปราชพิมพิสารล้มป่วยถึงแก่กรรมในเดือนเก้า (มิถุนายน พ.ศ. 2399) ในเดือนเมษายนพ.ศ. 2399 พระยาบุรีรัตน์ (หนานสุริยวงศ์) ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้ากาวิละ พร้อมทั้งนายน้อยมหาพรหมบุตรโอรสของพระเจ้ามโหตรประเทศ เดินทางลงมากรุงเทพฯเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯมีพระดำริว่าในสมัยก่อนล้านนาเคยมีเจ้าประเทศราชปกครอง ในตอนนั้นตำแหน่งเจ้าเมืองล้านนา อุปราช ราชบุตร ราชวงศ์ เมืองแก้ว หรือเจ้าขันห้าใบ (ดู ฐานันดรศักดิ์เจ้านายฝ่ายเหนือ) นั้น มียศเป็นที่พระยา ในขณะที่หัวเมืองลาวล้านช้างอาญาสี่นั้นมียศเป็นเจ้า จึงมีพระราชโองการให้เลื่อนยศเจ้าเมืองล้านนาตั้งพระยาขึ้นเป็นเจ้า เมื่อเดินกรกฎาคม พ.ศ. 2399 ดังนี้;[12]

พระยาอุปราช พระยาราชวงศ์ พระยาบุรีรัตน์ พระยาราชบุตร ของเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และน่าน ได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์ เจ้าบุรีรัตน์ เจ้าราชบุตร[12] ส่วนนายน้อยมหาพรหม โอรสของพระเจ้ามโหตรพระเทศนั้น ให้คุมตัวไว้ทำราชการที่กรุงเทพฯ[12]

เชียงตุงตกเป็นของอังกฤษ

แก้
 
เซอร์ เจมส์ จอร์จ สก็อต (Sir James George Scott) ข้าหลวงอังกฤษผู้เดินทางไปยังเมืองเชียงตุงเมื่อพ.ศ. 2433 เพื่อให้เจ้าฟ้าก๋อนคำฟูแห่งเชียงตุงยอมรับอำนาจของอังกฤษ

เจ้าดวงแสงมหาขนานดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงเป็นเวลายาวนานถึง 44 ปี นับตั้งแต่ได้รับการรับรองจากพม่าเมื่อพ.ศ. 2356 จนถึงช่วงสงครามเชียงตุง เจ้ามหาขนานถึงแก่พิราลัยเมื่อพ.ศ. 2400 เจ้าหนานมหาพรหม (Sao Maha Pawn) โอรสของเจ้ามหาขนานขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเชียงตุงองค์ต่อมา และต่อมาเจ้าโชติกองไท (Sao Kawng Tai) โอรสอีกองค์ของเจ้ามหาขนาน ได้ขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเชียงตุงเมื่อพ.ศ. 2424 ในเวลานั้น บรรดาเจ้าฟ้ารัฐฉานไทใหญ่ต่างไม่พอใจการปกครองของพม่าในสมัยพระเจ้าสีป้อ กษัตริย์พม่าราชวงศ์คองบององค์สุดท้าย ในพ.ศ. 2425 ทั้งเจ้าฟ้าโชติกองไทแห่งเชียงตุงและเจ้าฟ้าเมืองนาย ต่างเป็นกบฏแข็งเมืองต่อพม่าสังหารข้าหลวงพม่าในเชียงตุงและเมืองนายไปเสีย พระเจ้าสีป้อส่งทัพมาปราบเมืองนายทำให้เจ้าฟ้าเมืองนายต้องลี้ภัยมายังเชียงตุง

เชียงตุงยังคงแข็งเมืองต่อพม่า ในพ.ศ. 2428 เจ้าฟ้าโชติกองไทแห่งเชียงตุง เจ้าฟ้าเมืองนาย และเจ้าฟ้าไทใหญ่อีกหลายเมือง รวมตัวประกาศต่อต้านพระเจ้าสีป้อและทำสงครามเพื่อยกเจ้าชายลิมบินมินตา (Limbin Mintha) เจ้าชายพม่าซึ่งเป็นโอรสของเจ้าชายกะนอง ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์พม่าแทนที่ เรียกว่า ขบวนการลิมบิน (Limbin Confederacy) เจ้าชายลิมบินซึ่งได้ลี้ภัยการเมืองอยู่ที่เมืองร่างกุ้ง เดินทางจากเมืองร่างกุ้งกว่าจะถึงเมืองเชียงตุง พม่าได้เสียเมืองให้แก่อังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้วในสงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่สามในพ.ศ. 2428 พม่าสูญเสียเอกราชอังกฤษได้เข้าครองครองพม่าทั้งหมด พระเจ้าสีป้อทรงถูกเนรเทศไปยังอินเดียของอังกฤษ ในระหว่างนี้ เจ้าฟ้าโชติกองไทแห่งเชียงตุงได้ถึงแก่พิราลัยเมื่อพ.ศ. 2429 เจ้าก๋องคำฟู (Sao Kawn Kham Hpu) ผู้เป็นโอรสของเจ้าโชติกองไท ซึ่งมีอายุเพียงสิบสองปี ขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเชียงตุงองค์ต่อมา

ในพ.ศ. 2432 เมื่ออังกฤษสามารถปราบปรามและเกลี้ยกล่อมเจ้าฟ้าไทใหญ่รัฐฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน (Cis-Salween States) ไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงมุ่งเป้าหมายไปที่รัฐทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน (Trans-Salween States) แม้ว่าอังกฤษจะยอมรับโดยทางอ้อมให้แม่น้ำสาละวินเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างพม่าและล้านนาในสนธิสัญญาเชียงใหม่ พ.ศ. 2417 ไว้แล้วนั้น[9] รัฐเชียงตุงซึ่งอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินควรอยู่ภายใต้อิทธิพลของล้านนา แต่ในความจริงล้านนาเชียงใหม่ยุคราชวงศ์เจ้าเจ็ดตนไม่มีอำนาจปกครองเชียงตุง อังกฤษมีความเห็นว่าเชียงตุงควรเป็นของอังกฤษ เนื่องจากเชียงตุงเป็นประเทศราชส่งบรรณาการให้แก่พม่ามาช้านาน เจมส์ จอร์จ สก็อต (James George Scott) ผู้แทนอังกฤษ เดินทางด้วยล่อโดยมีชาวจีนฮ่อนำทาง เดินทางจากเมืองนายข้ามแม่น้ำสาละวินไปจนถึงเชียงตุงในพ.ศ. 2433 เจ้าฟ้าก๋องคำฟูแห่งเชียงตุงยอมรับอำนาจของอังกฤษแต่โดยดี รัฐเชียงตุงจึงอยู่ภายใต้อำนาจของอังกฤษนับแต่นั้น

หลังจาก จากนั้นอังกฤษจึงเข้าครอบครองรัฐไทใหญ่และรัฐเชียงตุง เจ้าฟ้าเจ้าเมืองไทใหญ่ต่างๆและเชียงตุงยังคงมีอำนาจปกครองตนเองภายใต้การดูแลของอังกฤษในฐานะรัฐเจ้าชาย (Princely-state) ในพ.ศ. 2465 อังกฤษจัดตั้งสมาพันธรัฐไทใหญ่ (Federated Shan States) ประกอบไปด้วยรัฐเมืองไทใหญ่ต่างๆและเมืองเชียงตุง อังกฤษส่งข้าหลวงมาปกครองใกล้ชิดมากขึ้น

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 1.2 พงศาวดารเมืองเชียงตุง เรียบเรียงโดย นายทวี สว่างปัญญางกูร หนังสือแจกเป็นบัตรพลีงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าแม่ทิพวรรณ ณ เชียงตุง ณ วัดสวนดอก วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2533.
  2. 2.0 2.1 2.2 Grabowsky, Volker. Forced Resettlement Campaigns in Northern Thailand during the Early Bangkok Period. Journal of Siamese Society, 1999.
  3. ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับ เชียงใหม่ ๗๐๐ ปี. ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่, พ.ศ. 2538.
  4. ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๖.
  5. 5.0 5.1 5.2 ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๙: พงศาวดารเมืองเชียงรุ้ง. พิมพ์แจกในงานปลงศพ พระยานรนารถภักดีศรีรัษฎากร (เอม ณมหาไชย). กรุงเทพ: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร. ปีมเมีย พ.ศ. ๒๔๖๑.
  6. เชื้อเครือเจ้าแสนหวีสิบสองพันนา. โครงการประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมชนชาติไท. พิมพ์ครั้งแรก, พ.ศ. 2544.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 7.5 7.6 7.7 เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค). พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓.
  8. 8.00 8.01 8.02 8.03 8.04 8.05 8.06 8.07 8.08 8.09 8.10 8.11 8.12 8.13 จดหมายเหตุเรื่องทัพเชียงตุง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร โปรดให้พิมพ์เป็นครั้งแรกเป็นของแจกในงานศพนายพลเรือตรี พระยานาวาพลพยุหรักษ์ (ม.ว. พิณ สนิทวงศ์ ณ กรุงเทพ). กรุงเทพ: โรงพิมพ์ไทย ถนนรองเมือง. ปีมะโรงอัฐศก พ.ศ. ๒๔๕๙.
  9. 9.0 9.1 9.2 สุรัสวดี อ๋องสกุล, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ. ประวัติศาสตร์ล้านนาฉบับสมบูรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ: อมรินทร์, 2361.
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๔ พิมพ์เป็นที่ระลึก ในงานพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงธรรมสารเนติ (อบ บุนนาค) ณวัดประยูรวงศาวาส. พระนคร ท่าพระจันทร์:โรงพิมพ์พระจันทร์. วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๗.
  11. คณะกรรมการจัดทำหนังสือและของที่ระลึก งาน 200 ปี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท. ศึกเชียงตุง การแผ่แสนยานุภาพของสยามประเทศยุคเปลี่ยนผ่านเมืองอุตมทิศ สงครามจารีตครั้งสุดท้ายของสยามประเทศ. กรุงเทพ: บริษัทประชาชนจำกัด. พ.ศ. 2552.
  12. 12.0 12.1 12.2 ประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค), พระยา. พงศาวดารโยนก. โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, พ.ศ. 2478.