ประเทศโมนาโก
ราชรัฐโมนาโก (ฝรั่งเศส: Principauté de Monaco) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โมนาโก (ฝรั่งเศส: Monaco [mɔnako] มอนาโก) เป็นนครรัฐในยุโรปตะวันตก ตั้งอยู่บริเวณเฟรนช์ริวีเอราทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นประเทศเอกราชที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองของโลก[11] มีขนาดเพียง 2.02 ตารางกิโลเมตรแต่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก[12] ราว 19,009 คนต่อตารางกิโลเมตรในปี ค.ศ. 2018[13]
ราชรัฐโมนาโก | |
---|---|
![]() ที่ตั้งของ ประเทศโมนาโก (เขียว) ในทวีปยุโรป (เขียวและเทาเข้ม) | |
เมืองหลวง | โมนาโก (นครรัฐ) 43°44′N 7°25′E / 43.733°N 7.417°E |
เมืองใหญ่สุด | มงเต-การ์โล |
ภาษาราชการ | ฝรั่งเศส[1] |
ภาษากลาง | |
กลุ่มชาติพันธุ์ | |
ศาสนา | 86.0% คริสต์ —80.9% โรมันคาทอลิก (ศาสนาประจำชาติ)[2] —5.1% นิกายอื่น ๆ 11.7% ไม่มีศาสนา 1.7% ยูดาห์ 0.6% อื่น ๆ[3] |
การปกครอง | รัฐเดี่ยว ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ |
เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 | |
ปีแยร์ ดาร์ตู | |
สภานิติบัญญัติ | สภาแห่งชาติ |
เป็นเอกราช | |
• ราชวงศ์กรีมัลดี (ภายใต้อธิปไตยของสาธารณรัฐเจนัว) | 8 มกราคม ค.ศ. 1297 |
• จากจักรวรรดิฝรั่งเศส | 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1814 |
• จากการครอบครองของสหสัมพันธมิตรครั้งที่หก | 17 มิถุนายน ค.ศ. 1814 |
2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1861 | |
5 มกราคม ค.ศ. 1911 | |
พื้นที่ | |
• รวม | 2.02 ตารางกิโลเมตร (0.78 ตารางไมล์) (อันดับที่ 193) |
น้อย[4] | |
ประชากร | |
• 2019 ประมาณ | ![]() |
• สำมะโนประชากร 2016 | 37,308[6] |
18,713 ต่อตารางกิโลเมตร (48,466.4 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 1) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | 2015 (ประมาณ) |
• รวม | ![]() |
• ต่อหัว | ![]() |
จีดีพี (ราคาตลาด) | 2018[b] (ประมาณ) |
• รวม | ![]() |
• ต่อหัว | ![]() |
สกุลเงิน | ยูโร (€) (EUR) |
เขตเวลา | UTC+1 (เวลายุโรปกลาง) |
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง) | UTC+2 (เวลาออมแสงยุโรปกลาง) |
ขับรถด้าน | ขวา[10] |
รหัสโทรศัพท์ | +377 |
โดเมนบนสุด | .mc |
|
แขวงที่มีประชากรมากที่สุดคือมงเต-การ์โล โมนาโกเป็นหนึ่งในประเทศที่ค่าครองชีพแพงและประชากรร่ำรวยที่สุดในโลก ประชากรราว 30 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดเป็นมหาเศรษฐีหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐจากการสำรวจเมื่อ ค.ศ. 2014
โมนาโกปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 แห่งราชวงศ์กรีมัลดีทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศสและเป็นภาษาราชการ นอกจากนี้ ยังมีคนพูดภาษาถิ่นโมนาโก ภาษาอิตาลี และภาษาอังกฤษกันทั่วไป
โมนาโกได้รับการรับรองเอกราชอย่างเป็นทางการในสนธิสัญญาฝรั่งเศส-โมนาโก ค.ศ. 1861 เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1993 แม้โมนาโกจะเป็นประเทศเอกราช แต่การป้องกันประเทศอยู่ในความรับผิดชอบของฝรั่งเศสโดยโมนาโกมีกองกำลังป้องกันตัวเองเพียง 2 กองทัพเท่านั้น
เศรษฐกิจของโมนาโกรุ่งเรืองอย่างมากนับตั้งแต่ช่วงหลังคริสต์ศตวรษที่ 19 หลังจากการเปิดบ่อนคาสิโนแห่งแรกในมงเต-การ์โล และมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมกับกรุงปารีส[14] อากาศที่อบอุ่น ทิวทัศน์ที่สวยงาม และแหล่งบันเทิงสำหรับนักพนันได้ถึงดูดเม็ดเงินมหาศาลจากนักท่องเที่ยว สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ
ปัจจุบัน โมนาโกกลายเป็นศูนย์กลางด้านธนาคารและหันมาเน้นการดำเนินเศรษฐกิจภาคบริการและอุตสาหกกรมขนาดเล็ก ไม่สร้างมลภาวะ และมีมูลค่าเพิ่มสูง โมนาโกมีชื่อเสียงจากการเป็นดินแดนภาษีต่ำ ไม่เก็บภาษีรายได้ มีภาษีธุรกิจที่ต่ำ และยังเป็นหนึ่งในสถานที่จัดแข่งขันรถสูตรหนึ่ง เป็นบ้านเกิดของชาร์ล เลอแคร์ นักแข่งของทีมสกูเดเรียแฟร์รารี นอกจากนี้ สโมสรฟุตบอลอาแอ็ส มอนาโกที่แข่งขันอยู่ในลีกเอิงฝรั่งเศสก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ครองแชมป์ลีกสูงสุดได้หลายครั้ง
โมนาโกไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการ แต่ปรับใช้นโยบายของสหภาพยุโรปบางประการเช่นเรื่องศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมือง โมนาโกใช้เงินสกุลยูโร เข้าร่วมสภายุโรปเมื่อปี ค.ศ. 2004 และเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส
ประวัติศาสตร์ แก้ไข
ชื่อของโมนาโกปรากฏขึ้นตั้งแต่ 600 ปีก่อนคริสตกาลในชื่อ โมโนอิกอส (Monoikos) มาจากการประสบคำว่า โมนอส (monos) ที่หมายถึง โดดเดี่ยว[15] และ โออิกอส (oikos) ซึ่งหมายถึงบ้าน[16] รวมแล้ว มีความหมายถึง บ้านโดดเดี่ยว น่าจะสื่อถึงวิธีการอยู่อาศัยของชาวพื้นเมืองในสมัยนั้นที่อาศัยอยู่เป็นบ้านโดดเดี่ยวแยกกันกับเพื่อนบ้าน
ยุคกลาง แก้ไข
โมนาโก เป็นอาณานิคมหนึ่งของสาธารณรัฐเจนัวเมื่อ ค.ศ. 1215 ต่อมาในปี ค.ศ. 1297 ฟร็องซัว กรีมัลดี เจ้าที่ดินในจากเจนัวยุคศักดินาบุกเข้ายึดป้อมปราการโมนาโกบริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยการปลอมตัวเป็นบาทหลวง แล้วนำกองกำลังขนาดย่อมเข้าไปในดินแดนแห่งนั้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการครอบครองอาณาจักรโมนาโกของตระกูลกรีมัลดีตั้งแต่นั้นมา
ตระกูลกรีมัลดีครองโมนาโกอยู่ได้เพียงสี่ปี ก็ถูกขับกองทัพเจนัวออกจากดินแดนนั้นไป ชาร์ลส์ กรีมัลดี หวนกลับมาครอบครองดินแดนโมนาโกได้อีกในปี ค.ศ. 1331 แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นลอร์ดแห่งโมนาโกและขยายดินแดนออกไปยังเมืองม็องตงและโรเกอบรูน และสร้างโมนาโกจนยิ่งใหญ่ กลายเป็นเมืองท่าสำคัญ สำหรับการค้าและฐานทัพเรือสำคัญของยุโรป
หลังจากนั้นได้มีการสืบทอดตำแหน่งลอร์ดแห่งโมนาโกเรื่อยมาจนถึงปี ค.ศ. 1489 พระเจ้าชาร์ลที่ 4 แห่งฝรั่งเศส และดุ๊กแห่งซาวอยจึงได้ทรงรับรองความเป็นเอกราชของโมนาโก ต่อมาในปี ค.ศ. 1512 พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศสก็ทรงรับรองการเป็นพันธมิตรถาวรระหว่างโมนาโกกับฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงยุคการปกครองของลอร์ดออกุสติน โมนาโกกลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางในราชสำนักฝรั่งเศส ทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง จนกระทั่งจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มีพระบัญชาให้โมนาโกอยู่ภายใต้อารักขาของสเปนการปกครองโดยลอร์ดแห่งโมนาโกดำเนินเรื่อยมา จนถึงช่วงศตวรรษที่ 15 เมื่อจอห์น กรีมัลดี ลอร์ดแห่งโมนาโกได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการสืบสันตติวงศ์ขึ้น นับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งในการสืบราชสมบัติของโมนาโก
เจ้าผู้ครองนครยุคแรกนั้น ยังใช้ฐานันดรศักดิ์ว่า ลอร์ด มาจนถึงกระทั่งปี ค.ศ. 1612 ลอร์ดโอโนเร่ที่ 2 แห่งกรีมัลดี ลอร์ดแห่งโมนาโกจึงได้เปลี่ยนชื่อฐานันดรศักดิ์เป็น เจ้าชาย แห่งโมนาโก[17] เพื่อให้มีวินัยถึงการเป็นรัฐและอิสรภาพ ซึ่งได้รับการยอมรับจากฝรั่งเศสและสเปน เนื่องจากขณะนั้นโมนาโกยังอยู่ในอารักขาของสเปน
เจ้าชายโอโนเร่ที่ 2 กรีมัลดี ยังดำเนินนโยบายเป็นมิตรกับประเทศฝรั่งเศส จนพระเจ้าหลุยส์ที่ 8 หลุยส์ อิบโปลิบเตแห่งฝรั่งเศส ยอมลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการช่วยเหลือและป้องกันการรุกรานจากฝรั่งเศส ถือเป็นการยืนยันและยอมรับความเป็นเอกราชของโมนาโก ไม่ขึ้นตรงต่อฝรั่งเศสอีกต่อไป แต่สเปนยังไม่ยินยอม เป็นเหตุให้เจ้าชายพระองค์นี้ ทรงประกาศสงครามกับสเปนและได้รับชัยชนะเป็นอิสระจากสเปน ในปี ค.ศ. 1641
อย่างไรก็ตามการสืบสันตติวงศ์นี้ ขาดช่วงลงเมื่อเจ้าชายอังตวนสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1731 โดยไม่มีพระโอรส มีแต่พระธิดาเท่านั้น แต่พระธิดาองค์โต หลุยส์ อิบโปลิบเต ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ ยากส์ ฟร็องซัวร์ เลโอเนอร์ เดอ มาติยง ทายาทตระกูลขุนนางแห่งแคว้นนอร์ม็องดี ในปี ค.ศ. 1715 ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาให้เป็นเจ้าชายแห่งโมนาโก ทรงพระนามว่า เจ้าชาย ยากส์ที่ 1
คริสต์ศตวรรษที่ 19 แก้ไข
กองทัพปฏิวัติของฝรั่งเศสเข้ายึดโมนาโกเมื่อปี ค.ศ. 1793 ตกเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศสจนถึงปี ค.ศ. 1814 เมื่อจักรพรรดินโปเลียนแพ้สงคราม ราชวงศ์กรีมัลดีกลับคืนสู่ราชบัลลังก์[18][19] มติจากการประชุมใหญ่แห่งเวียนนากำหนดให้โมนาโกอยู่ภายใต้การอารักขาของราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย[20] ในช่วงนี้ ชาวเมืองม็องตงและโรเกอบรูน-กัป-มาร์แต็งที่อยู่ภายใต้ตระกูลกรีมัลดีมานาน 500 ปีไม่พอใจที่ถูกเก็บภาษีอย่างหนัก จึงได้ประกาศอิสรภาพจากโมนาโก หวังจะรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของซาร์ดิเนีย แต่ฝรั่งเศสไม่เห็นด้วย
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1860 ซาร์ดิเนียถูกบีบให้คืนโมนาโก เคาน์ตีนิสที่อยู่รอบโมนาโก (และดัชชีซาวอย) ให้กับฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาตูริน[21] โมนาโกจึงอยู่ภายใต้การอารักขาของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง ฝรั่งเศสเข้ายึดครองม็องตงและโรเกอบรูน-กัป-มาร์แต็งแลกกับการไม่ต้องจ่ายค่าปรับนับสี่ล้านฟรังก์[22] เหตุการณ์นี้นำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาฝรั่งเศส-โมนาโก เมื่อปี ค.ศ. 1861 รับรองเอกราชของโมนาโกอย่างเป็นทางการ ดินแดนที่เสียไปนี้คิดเป็นร้อยละ 95 ของอาณาเขตเดิม ทำให้โมนาโกสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล เจ้าชายชาร์ลที่ 3 แห่งโมนาโกและพระมารดาจึงได้ตั้งบ่อนคาสิโนขึ้น[23] โดยใช้ชื่อว่า มงเต-การ์โล (Monte Carlo) มีความหมายว่า ภูเขาชาร์ลส์ ซึ่งมาจากพระนามของเจ้าชายนั่นเอง[24] ธุรกิจคาสิโนประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นแหล่งดึงดูดเม็ดเงินจากมหาเศรษฐีที่หวังจะมาใช้เงินและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่[25] ความสำเร็จนี้ทำให้โมนาโกยกเลิกการเก็บภาษีจากประชาชนนปี ค.ศ. 1869[26]
คริสต์ศตวรรษที่ 20 แก้ไข
ราชวงศ์กรีมัลดีปกครองโมนาโกในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาจนถึง ค.ศ. 1910 จึงเกิดการปฏิวัติโมนาโกขึ้น มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ในปีต่อมาและได้จำกัดอำนาจการบริหารของราชวงศ์ลง ต่อมาในปี ค.ศ. 1918 มีการลงนามในสนธิสัญญาฝรั่งเศส-โมนาโกขึ้นอีกครั้งระบุให้ฝรั่งเศสให้ความคุ้มครองทางทหารแก่โมนาโก ท่าทีระหว่างประเทศของโมนาโกขึ้นกับผลประโยชน์ทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม โมนาโกถูกกองทัพอิตาลีเข้ายึดครองในสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อด้วยการยึดครองของพรรคนาซีเยอรมนี และได้รับอิสรภาพในเวลาต่อมา
ปี ค.ศ. 1949 เจ้าชายเรนิเยที่ 3 เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากเจ้าชายหลุยส์ที่ 2 ทรงเป็นประมุขแห่งโมนาโกที่ทำให้ราชวงศ์โมนาโกกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เพราะการเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับดาราภาพยนตร์สาวชาวอเมริกัน เกรซ เคลลี เมื่อ ปี ค.ศ. 1956[27]
ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1962 โมนาโกยกเลิกโทษประหารชีวิต ให้สิทธิสตรีในการเลือกตั้ง และก่อตั้งศาลสูสุดแห่งโมนาโกเพื่อรับรองเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน โมนาโกเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1993 โดยมีสิทธิออกเสียงเต็ม[28][29]
คริสต์ศตวรรษที่ 21 แก้ไข
สนธิสัญญาฉบับใหม่ระหว่างฝรั่งเศสกับโมนาโกที่ลงนามเมื่อ ค.ศ. 2002 ระบุว่า หากราชวงศ์กรีมัลดีไม่มีทายาทเมื่อสืบราชสันตติวงศ์ ราชรัฐจะยังคงเป็นอิสระแทนที่จะรวมกับฝรั่งเศส แต่การป้องกันประเทศยังเป็นหน้าที่รับผิดชอบของฝรั่งเศสอยู่[30][31]
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2005 เจ้าชายเรนิเยที่ 3 ทรงมีพระชนมายุมากเกินกว่าจะบริหารราชการแผ่นดินได้ จึงทรงสละราชสมบัติให้กับพระราชโอรสพระองค์เดียวนั่นคือเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2[32] หกวันต่อมา เจ้าชายเรนิเยที่ 3 เสด็จสวรรคตหลังครองราชบังลังก์นานถึง 56 ปี ทรงเป็นประมุขที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดของโมนาโก เจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าชายแห่งราชรัฐโมนาโก โดยมีการสวมมงกุฎอย่างเป็นทางการวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 2005 หลังพ้นช่วงไว้ทุกข์[33]
ในปี ค.ศ. 2015 โมนาโกมีมติเป็นเอกฉันท์ให้มีการขยายดินแดนด้วยการระบายน้ำทะเลออก เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบ้านและพื้นที่สีเขียวในบางพื้นที่ วางงบประมาณไว้ 1 พันล้านยูโรและตั้งเป้าจะสร้างอพาร์ทเมนต์ สวนสาธารณะ ร้านค้า และสำนักงานในพื้นที่ 6 เฮกเตอร์ใกล้กับแขวงลาร์วอโต[34]
การปกครอง แก้ไข
การเมืองการปกครอง แก้ไข
โมนาโกปกครองในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญมาตั้งแต่พ.ศ. 2454 มีเจ้าชายเป็นประมุขแห่งรัฐ พระองค์ปัจจุบันคือเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 หัวหน้ารัฐบาลของโมนาโกคือมีนีสตร์เดตา (Ministre d'Etat) แต่งตั้งโดยพระประมุข เป็นผู้นำของคณะที่ปรึกษารัฐบาล
คณะที่ปรึกษารัฐบาล ประกอบด้วย ที่ปรึกษารัฐบาล 5 คน ดูแล 5 กรม (Département) ได้แก่
- กรมมหาดไทย (Département de l'Intérieur)
- กรมการคลังและเศรษฐกิจ (Département des Finances et de l'Economie)
- กรมการสังคมและสาธารณสุข (Département des Affaires Sociales et de la Santé)
- กรมการพัสดุ สิ่งแวดล้อม และผังเมือง (Département de l'Equipement, de l'Environnement et de l'Urbanisme)
- กรมการต่างประเทศ (Département des Relations Extérieures)
อำนาจนิติบัญญัติของราชรัฐ อยู่ที่พระประมุขและคณะกรรมการแห่งชาติ (Conseil National) กรมการตุลาการ (Direction des Services Judiciaires) มีลักษณะใกล้เคียงกับกระทรวงยุติธรรม ดูแลกิจการศาล โดยเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร โดยตัดสินคดีในพระนามของประมุข[35]
เขตการปกครอง แก้ไข
- ฌาร์แด็งแอกซอติก
- ฟงวีแยย์
- มงเต-การ์โล
- มอนาโก-วีล
- ราแว็งเดอแซ็งต์-เดว็อต
- ลากงดามีน
- ลาร์วอโต
- ลารุส
- เลมอเนอแกตี
ความมั่นคง แก้ไข
การป้องกันประเทศเป็นหน้าที่ของฝรั่งเศส โมนาโกไม่มีกองทัพเรือหรือกองทัพอากาศ แต่มีจำนวนตำรวจต่อประชากรหรือต่อพื้นที่มากที่สุดในโลก (ตำรวจ 515 นายต่อประชากรทั้งหมดประมาณ 36,000 คน)[36] กองตำรวจยังมีหน่วยพิเศษไว้ลาดตระเวนทางน้ำอีกด้วย[37]
กองทัพบกของโมนาโกมีขนาดเล็ก มีทั้งหมดสองกอง กองหนึ่งมีหน้าที่ถวายความปลอดภัยต่อเจ้าชายและพระราชวังโมนาโก-วิลล์ เรียกว่า บรรษัทกองไรเฟิลในพระองค์ (Compagnie des Carabiniers du Prince)[38] นอกจากนี้ยังมีกองทหารติดอาวุธขนาดเล็ก (Sapeurs-Pompiers) รักษาความมั่นคงสำหรับพลเรือน
ภูมิศาสตร์ แก้ไข
โมนาโกเป็นรัฐเอกราช ประกอบไปด้วย 5 กาติเยร์ (quartiers) และ 10 แขวง (ward)[39] ตั้งอยู่ในบริเวณเฟรนช์ริวีเอราทางยุโรปตะวันตก มีชายแดนติดกับฝรั่งเศสทั้งสามด้วย และอีกด้านหนึ่งติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จุดกึ่งกลางประเทศอยู่ห่างจากชายแดนอิตาลี 16 กิโลเมตร และห่างจากเมืองนิสของฝรั่งเศส 13 กิโลเมตร
โมนาโกมีพื้นที่ 2.02 ตารางกิโลเมตร มีประชากรอยู่อาศัย 38,400 คน[29] ทำให้เป็นประเทศที่เล็กเป็นอันดับสองของโลกและมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดในโลก พรมแดนประเทศทางบกยาวเพียง 5.47 กิโลเมตร[40] และพรมแดนทางชายฝั่งยาว 3.83 กิโลเมตร มีน่านน้ำกว้างออกไปในทะเลอีก 22 กิโลเมตร
จุดที่สูงสุดของประเทศคือ เชอแมงเดอเรวัวร์ส ในแขวงเลอเรวัวร์ส สูงจากระดับน้ำทะเล 164.4 เมตร ส่วนจุดที่ต่ำที่สุดของประเทศคือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน[41]
สถาปัตยกรรม แก้ไข
ในบรรดาสถาปัตยกรรมหลากหลายรูปแบบของโมนาโก สถาปัตยกรรมที่เด่นชัดคือแบบเบลล์เอป็อกที่ได้รับความนิยมช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในแขวงมงเต-การ์โล กาสิโนและโรงโอเปราแห่งมงเต-การ์โลเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของศิลปะประเภทนี้ สร้างขึ้นโดยชาร์ล กานิเยร์ และฌูลส์ ดูตรู มีการตกแต่งหอคอย ระเบียง ยอดแหลมของอาคาร เซรามิกหลากสี และรูปปั้นประดับเสา สิ่งประดับต่าง ๆ ผสมเข้ากันอย่างลงตัว สร้างความประทับใจ ความรู้สึกหรูหรา โอ่โถง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโมนาโก[42] ศิลปะแบบฝรั่งเศส อิตาลี และสเปนเข้ามามีอิทธิพลกับการสร้างคฤหาสน์และอพาร์ทเมนต์ ในรัชสมัยของเจ้าชายเรนิเยที่ 3 มีกฎหมายห้ามสร้างอาคารสูงภายในราชรัฐ แต่ในรัชสมัยต่อมาของเจ้าชายอาลแบร์ที่ 2 มีการยกเลิกกฎนี้[43] ผลที่เกิดขึ้นคือมีการรื้อถอนมรดกทางสถาปัตยกรรมมากมายเพื่อสร้างตึกสูง[44] ในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้
เศรษฐกิจ แก้ไข
โมนาโกมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว 153,177 ดอลลาร์สหรัฐสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก[45] อัตราการว่างงานมีเพียง 2 เปอร์เซ็นต์[46] แรงงาน 48,000 ชีวิตเดินทางข้ามมาจากฝรั่งเศสและอิตาลีทุก ๆ วัน[47] โมนาโกเป็นประเทศที่มีอัตราความยากจนต่ำที่สุดในโลก[48] มีจำนวนมหาเศรษฐีเงินล้านและระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อหัวประชากรสูงที่สุดในโลก[49] มีตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลกในปี ค.ศ. 2012 ที่ดินมีราคาถึง 58,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตารางเมตร[50][51][52]
แหล่งรายได้สำคัญของโมนาโกคือการท่องเที่ยว ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเดิมพันในกาสิโนและพักผ่อนในสภาพอากาศที่อุ่นสบายเป็นจำนวนมาก[53][54] นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางธนาคารที่ใหญ่ มีเงินหมุนเวียนถึง 100 พันล้านยูโร[55] ธนาคารในโมนาโกเน้นการให้บริการลูกค้ารายใหญ่และบริการจัดการทรัพย์สินและความมั่งคั่ง[56] ราชรัฐยังหวังจะขยายภาคเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมขนาดเล็ก ไม่สร้างมลพิษ และมีมูลค่าสูง เช่นอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง[57]
รัฐบาลยังคงผูกขาดการค้าในหลายภาคส่วน เช่น บุหรี่และไปรษณีย์ เครือข่ายโทรคมนาคมเคยเป็นของรัฐแต่ปัจจุบันรัฐถือครองหุ้นส่วนเพียง 45 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นของบริษัท Cable & Wireless Communications 49 เปอร์เซ็นต์ และธนาคาร Compagnie Monégasque de Banque อีก 6 เปอร์เซ็นต์ ยังคงเป็นเครือข่ายเดียวที่ให้บริการในประเทศ
มาตรฐานการครองชีพของโมนาโกนับว่าสูงเทียบเท่ากับเมืองใหญ่ของฝรั่งเศส[58] ปัจจุบัน โมนาโกไม่ได้เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป แต่มีระบบศุลกากรร่วมกับฝรั่งเศส ใช้เงินสกุลยูโรเช่นเดียวกับฝรั่งเศส
อ้างอิง แก้ไข
- ↑ "Constitution de la Principauté". Council of Government. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 July 2011. สืบค้นเมื่อ 22 May 2008.
- ↑ Constitution de la Principaute ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (เก็บถาวร 27 กันยายน 2011) (French): Art. 9., Principaute De Monaco: Ministère d'Etat (archived from the original on 27 September 2011).
- ↑ "The Global Religious Landscape" (PDF). Pewforum.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 25 January 2017. สืบค้นเมื่อ 2 October 2015.
- ↑ "Monaco en Chiffres" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 November 2009. สืบค้นเมื่อ 15 November 2009.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์), Principauté de Monaco. Retrieved 7 June 2010. - ↑ "Population on 1 January and is one of the smallest country. It is 2nd most smallest country". ec.europa.eu/eurostat. Eurostat. สืบค้นเมื่อ 4 February 2020.
- ↑ "Recensement de la Population 2016" (PDF) (ภาษาฝรั่งเศส). Institut Monégasque de la Statistique et des Études Économiques (IMSEE). February 2018. สืบค้นเมื่อ 10 February 2020.
- ↑ 7.0 7.1 "EUROPE :: MONACO". CIA.gov. Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ 4 February 2020.
- ↑ "GDP (current US$) - Monaco". data.worldbank.org. World Bank. สืบค้นเมื่อ 4 February 2020.
- ↑ "GDP per capita (current US$) - Monaco". data.worldbank.org. World Bank. สืบค้นเมื่อ 4 February 2020.
- ↑ "What side of the road do people drive on?". Whatsideoftheroad.com. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ The World Factbook - Rank Order - Area เก็บถาวร 2014-02-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ)
- ↑ The World Factbook - Rank Order - Population เก็บถาวร 2011-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (อังกฤษ) ทำไปคำนวณกับพื้นที่
- ↑ "Population, total". World Bank. สืบค้นเมื่อ 2019-09-18.
- ↑ "Monte Carlo: The Birth of a Legend". SBM Group. สืบค้นเมื่อ 23 August 2013.
- ↑ "μόνος". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2011. สืบค้นเมื่อ 29 June 2011.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์), Henry George Liddell, Robert Scott, A Greek-English Lexicon, on Perseus Digital Library - ↑ "οἶκος". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2011. สืบค้นเมื่อ 29 June 2011.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์), Henry George Liddell, Robert Scott, A Greek-English Lexicon, on Perseus Digital Library - ↑ "Monaco – The Principality of Monaco". Monaco.me. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "The History Of Monaco". Monacoangebote.de. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 มกราคม 2013. สืบค้นเมื่อ 28 พฤษภาคม 2012.
- ↑ "Important dates – Monaco Monte-Carlo". Monte-carlo.mc. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "Important dates – Monaco Monte-Carlo". Monte-carlo.mc. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "24 X 7". Infoplease.com. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "History of Monaco". Monacodc.org. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ Englund, Steven (May 1, 1984). Grace of Monaco: An Interpretive Biography (Hardcover ed.). Doubleday. ISBN 978-0385188128.
- ↑ Bonarrigo, Sabrina. "Entretenir la flamme 'Monte-Carlo'". Monaco Hebdo. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 June 2016. สืบค้นเมื่อ 2 December 2017.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "MONACO". Tlfq.ulaval.ca. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-10. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "Histoire de la Principauté – Monaco – Mairie de Monaco – Ma ville au quotidien – Site officiel de la Mairie de Monaco". Monaco-mairie.mc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 มิถุนายน 2012. สืบค้นเมื่อ 28 พฤษภาคม 2012.
- ↑ "Monaco – Principality of Monaco – Principauté de Monaco – French Riviera Travel and Tourism". Nationsonline.org. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "24 X 7". Infoplease.com. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ 29.0 29.1 "CIA – The World Factbook". Cia.gov. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-05-01. สืบค้นเมื่อ 22 March 2012.
- ↑ "History of Monaco. Monaco chronology". Europe-cities.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 มกราคม 2013. สืบค้นเมื่อ 28 พฤษภาคม 2012.
- ↑ "Monaco Military 2012, CIA World Factbook". Theodora.com. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "Monaco Royal Family". Yourmonaco.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 June 2012. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "History of Monaco, Grimaldi family". Monte-Carlo SBM. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "Monaco land reclamation project gets green light". rivieratimes.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 8 สิงหาคม 2015.
- ↑ Les Institutions เก็บถาวร 2007-10-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Service Informatique du Ministère d'Etat (ฝรั่งเศส)
- ↑ "Security in Monaco". Monte-carlo.mc. 13 May 2012. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "Division de Police Maritime et Aéroportuaire". Gouv.mc (ภาษาฝรั่งเศส). 16 August 1960. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "The Palace Guards – Prince's Palace of Monaco". Palais.mc. 27 มกราคม 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 เมษายน 2012. สืบค้นเมื่อ 28 พฤษภาคม 2012.
- ↑ "Monaco Districts". Monaco.me. สืบค้นเมื่อ 22 March 2012.
- ↑ Monaco, Government of. ""monaco statistics pocket" / Publications / IMSEE - Monaco IMSEE". Monacostatistics.mc.
- ↑ Highest point at ground level (Access to Patio Palace on D6007) "Monaco Statistics pocket – Edition 2014" (PDF). Monaco Statistics – Principality of Monaco.
- ↑ Novella, René; Sassi, Luca Monaco : eight centuries of art and architecture, Epi Communication, 2015
- ↑ Fair, Vanity. "La tour Odéon, l'histoire d'un chantier dont les malheurs ont atteint des sommets". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 สิงหาคม 2017. สืบค้นเมื่อ 7 สิงหาคม 2016.
- ↑ Lyall, Sarah; Baume, Maïa de la Development Blitz Provokes a Murmur of Dissent in Monaco, New York Times, 11 December 2013; https://www.nytimes.com/2013/12/12/world/europe/development-blitz-provokes-a-murmur-of-dissent-in-monaco.html
- ↑ "The World Bank Group". The World Bank Group. สืบค้นเมื่อ 18 September 2019.
- ↑ "Central Intelligence Agency". Cia.gov. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-08-21. สืบค้นเมื่อ 22 March 2012.
- ↑ "Plan General De La Principaute De Monaco" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 28 พฤษภาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 28 พฤษภาคม 2012.
- ↑ "Monaco Economy 2012, CIA World Factbook". Theodora.com. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ Alleyne, Richard (4 October 2007). "Prince Albert: We want more for Monaco". The Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 22 March 2012.
- ↑ Katya Wachtel (28 March 2012). "The Wealth Report 2012" (PDF). Citi Private Bank. สืบค้นเมื่อ 6 March 2013.
- ↑ Robert Frank (28 March 2012). "The Most Expensive Real-Estate in the World". The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 6 March 2013.
- ↑ Julie Zeveloff (7 March 2013). "Here Are The World's Most Expensive Real Estate Markets". Business Insider. สืบค้นเมื่อ 7 March 2013.
- ↑ "Monaco's Areas / Monaco Official Site". Visitmonaco.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 January 2013. สืบค้นเมื่อ 12 March 2013.
- ↑ "Monaco: Economy >> globalEDGE: Your source for Global Business Knowledge". Globaledge.msu.edu. สืบค้นเมื่อ 22 March 2012.
- ↑ Robert BOUHNIK (19 December 2011). "Home > Files and Reports > Economy(Gb)". Cloud.gouv.mc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2012. สืบค้นเมื่อ 22 March 2012.
- ↑ "Banks in Monaco".
- ↑ "Monaco Economy 2012, CIA World Factbook". Theodora.com. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
- ↑ "CIA – The World Factbook". Cia.gov. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-05-01. สืบค้นเมื่อ 28 May 2012.
แหล่งข้อมูลอื่น แก้ไข
- รัฐบาล
- เว็บไซต์ทางการของรัฐบาล
- เว็บไซต์ทางการของสำนักพระราชวังโมนาโก
- Chief of State and Cabinet Members เก็บถาวร 2017-03-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Monaco Statistics Pocket – Edition 2014
- ข้อมูลทั่วไป
- Monaco. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
- Monaco from UCB Libraries GovPubs
- ประเทศโมนาโก ที่เว็บไซต์ Curlie
- Monaco from the BBC News
- MonacoDailyNews – Latest Daily News เก็บถาวร 2020-10-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน English-language Monaco news source and publisher of daily newsletter Good Morning Monaco.
- Monaco information about Monaco
- History of Monaco: Primary documents
- Wikimedia Atlas of Monaco
- ดูข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ ประเทศโมนาโก ที่โอเพินสตรีตแมป
- Google Earth view
- การท่องเที่ยว
- อื่น ๆ
- Order of the doctors of Monaco (ในภาษาฝรั่งเศส)
- Monacolife.net English news portal
- The Monaco Times – a regular feature in The Riviera Times is the English language newspaper for the French – Italian Riviera and the Principality of Monaco provides monthly local news and information about the business, art and culture, people and lifestyle, events and also the real estate market.
- Monaco-IQ Monaco information and news aggregator