ประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกร

เซอร์เบียและมอนเตเนโกร (อังกฤษ: Serbia and Montenegro, SCG) เป็นชื่อของอดีตสหพันธรัฐซึ่งเป็นการรวมอย่างหลวม ๆ ของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร อดีตสาธารณรัฐของยูโกสลาเวีย ตั้งแต่ ค.ศ. 2003 จนถึง ค.ศ. 2006 ตั้งอยู่ทางตะวันตกของคาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งแต่เดิมมีชื่อประเทศว่า สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (FRY) และต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อประเทศในปี ค.ศ. 2003 ในชื่อ เซอร์เบียและมอนเตเนโกร

สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย
(1992–2003)
Савезна Република Југославија
Savezna Republika Jugoslavija

เซอร์เบียและมอนเตเนโกร
(2003–2006)

Србија и Црна Гора
Srbija i Crna Gora

1992–2006
เพลงชาติ"Хеј, Словени" / "Hej, Sloveni"
"เรา, ชาวสลาฟ"
สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (สีเขียว) ในปี ค.ศ. 2003
สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (สีเขียว) ในปี ค.ศ. 2003
สถานะรัฐเอกราช
รัฐตกค้างของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (หลังปี 2001)
เมืองหลวงเบลเกรดa
เมืองใหญ่สุดเบลเกรด
ภาษาราชการภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชีย (1992–1997)  · ภาษาเซอร์เบีย (1997–2006)
ภาษาที่รับรองแอลเบเนีย · ฮังการี
เดมะนิมยูโกสลาฟ (จนถึงปี ค.ศ. 2003)
เซิร์บ · มอนเตเนกริน (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003)
การปกครองสหพันธ์สาธารณรัฐ (1992–2003)
สมาพันธรัฐ สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ (2003–2006)
ประธานาธิบดี 
• 1992–1993
ดอบริตซา ชอซิช
• 1993–1997
ซอรัน ลิลิช
• 1997–2000
สลอบอดัน มีลอเชวิช
• 2000–2003
วอยีสลาฟ คอชตูนีตซา
• 2003–2006
สเวตอซาร์ มารอวิช
หัวหน้ารัฐบาล 
• 1992–1993
มิลัน ปานิช
• 1993–1998
ราดอเย กอนติช
• 1998–2000
โมมีร์ บูลาตอวิช
• 2000–2001
ซอรัน ฌีฌิช
• 2001–2003
ดรากิชา เปชิช
• 2003–2006
สเวตอซาร์ มารอวิช
สภานิติบัญญัติสมัชชาสหพันธรัฐ (รัฐสภา)
สภาสาธารณรัฐ
สภาประชาชน
ประวัติศาสตร์ 
• ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
27 เมษายน 1992
1992–1995
1998–1999
5 ตุลาคม 2000
1 พฤศจิกายน 2000
4 กุมภาพันธ์ 2003
3 มิถุนายน 2006
• จุดจบสหภาพ
5 มิถุนายน 2006
พื้นที่
• รวม
102,173 ตารางกิโลเมตร (39,449 ตารางไมล์)
ประชากร
• 2006 ประมาณ
10,832,545
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 1995 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น $11.6 พันล้าน[1]
เพิ่มขึ้น $2,650[1]
เอชดีไอ (1996)Steady 0.725[1]
สูง · 87th
สกุลเงินเซอร์เบีย:

มอนเตเนโกร:b

เขตเวลาUTC+1 (CET)
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)
UTC+2 (CEST)
ขับรถด้านขวา
รหัสโทรศัพท์+381
โดเมนบนสุด.yu
ก่อนหน้า
ถัดไป
สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย
สาธารณรัฐสังคมนิยมเซอร์เบีย
สาธารณรัฐสังคมนิยมมอนเตเนโกร
เซอร์เบีย
มอนเตเนโกร
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ เซอร์เบีย
 มอนเตเนโกร
 คอซอวอc
  1. ^ หลังจากปี ค.ศ. 2003 ไม่มีเมืองใดเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตามสภานิติบัญญัติและทำเนียบรัฐบาลยังคงตั้งอยู่ที่เบลเกรด แต่ศาลฎีกาตั้งอยู่ที่พอดกอรีตซา
  2. ^ สกุลเงินโดย พฤตินัย ที่ใช้ในมอนเตเนโกรและคอซอวอ
  3. ^ คอซอวอเป็นดินแดนข้อพิพาทระหว่างสาธารณรัฐคอซอวอกับสาธารณรัฐเซอร์เบีย สาธารณรัฐคอซอวอประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 แต่เซอร์เบียยังคงอ้างว่าคอซอวอเป็นดินแดนอธิปไตยของตน ใน พ.ศ. 2556 ทั้งสองรัฐบาลเริ่มกระชับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติในฐานะส่วนหนึ่งของข้อตกลงบรัสเซลส์ ปัจจุบันคอซอวอได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐเอกราชจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติ 98 ชาติจาก 193 ชาติ

เซอร์เบียและมอนเตเนโกรมีความร่วมมือกันเฉพาะบางด้านในการเมือง ทั้ง 2 รัฐมีนโยบายเศรษฐกิจและสกุลเงินของตนเองไม่มีเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ ซึ่งเมืองเบลเกรดเป็นเมืองหลวงของเซอร์เบียและเมืองพอดกอรีตซาเป็นเมืองหลวงมอนเตเนโกร เซอร์เบียและมอนเตเนโกรล่มสลายลงหลังจากมอนเตเนโกรจัดให้มีการลงประชามติเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 และประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ในปีเดียวกัน ทำให้เกิดประเทศใหม่คือประเทศมอนเตเนโกร ส่วนประเทศเซอร์เบียก็กลายเป็นผู้สืบสิทธิ์ต่าง ๆ ของประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกร[2][3]

ความทะเยอทะยานในการเป็นรัฐผู้สืบทอดทางกฎหมายแต่เพียงผู้เดียวของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ หลังจากการผ่านมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 777 ซึ่งยืนยันว่าสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียได้ล่มสลายแล้ว และสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียเป็นรัฐใหม่ แม้ว่าสาธารณรัฐในอดีตทั้งหมดจะมีสิทธิ์ในการสืบทอดสถานะ แต่ก็ไม่มีสาธารณรัฐใดที่คงรักษาสภาพทางกฎหมายระหว่างประเทศเหมือนดังสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของสลอบอดัน มีลอเชวิช คัดค้านคำกล่าวอ้างดังกล่าว ดังนั้นสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมสหประชาชาติ

ตลอดระยะเวลาของยูโกสลาเวียมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับประชาคมนานาชาติเพราะเนื่องจากมีการออกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจในระหว่างสงครามยูโกสลาเวียและสงครามคอซอวอ นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงระหว่างปี 1992–1994 บทบาทของยูโกสลาเวียในสงครามยูโกสลาเวียสิ้นสุดลงด้วยความตกลงเดย์ตัน ซึ่งยอมรับเอกราชของสาธารณรัฐโครเอเชีย สโลวีเนีย และบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เช่นเดียวกับการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐต่าง ๆ และการรับรองบทบาทของประชากรเซอร์เบียในการเมืองบอสเนีย ต่อมาได้เกิดแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดปกครองตนเองคอซอวอและเมตอฮิจา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเซอร์เบียที่มีประชากรชาวแอลเบเนียอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการจลาจลโดยกองกำลังปลดปล่อยคอซอวอ ซึ่งเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวแอลเบเนีย การปะทุของสงครามคอซอวอทำให้เกิดการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกอีกครั้ง ความขัดแย้งจบลงด้วยการใช้มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1244 ซึ่งรับรองการแยกเศรษฐกิจและการเมืองของคอซอวอจากสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ให้อยู่ภายใต้การบริหารของสหประชาชาติ[4][5][6]

ความยากลำบากทางเศรษฐกิจและสงครามส่งผลให้เกิดความไม่พอใจมากขึ้นกับรัฐบาลของมีลอเชวิชและพันธมิตรของเขาซึ่งปกครองเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ในที่สุดได้เกิดการปฏิวัติบูลดอลเซอร์และรัฐบาลของมีลอเชวิชได้ถูกโค่นล้มและถูกแทนที่ด้วยรัฐบาลฝ่ายค้านนำโดย วอยีสลาฟ คอชตูนิตซา ซึ่งทำให้ยูโกสลาเวียได้เข้าร่วมสหประชาติ[7]

สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียสิ้นสุดลงในปี 2003 หลังจากสภาแห่งสหพันธรัฐยูโกสลาเวียลงมติให้ตรากฎบัตรรัฐธรรมนูญของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ซึ่งจัดตั้งสหภาพแห่งรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกรขึ้น และเกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชที่เพิ่มขึ้นในมอนเตเนโกรนำโดย มีลอ กูกานอวิช ทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรที่มีอนุญาตให้มีการลงประชามติเกี่ยวกับเอกราชของมอนเตเนโกร หลังจากเวลาผ่านไปสามปี ในปี 2006 การลงประชามติได้เกิดขึ้น สิ่งนี้นำไปสู่การล่มสลายของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร และการจัดตั้งเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ทำให้เซอร์เบียกลายเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล นี่ถือได้ว่าเป็นการสิ้นสุดของการล่มสลายของยูโกสลาเวีย[8][9][10][11]

ชื่อ

แก้

ในการก่อตั้งประเทศในปี 1992 หลังจากการล่มสลายของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศคือสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย เนื่องจากอ้างว่าเป็นรัฐผู้สืบทอดทางกฎหมายแต่เพียงผู้เดียวของ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐอเมริกามองว่าการอ้างสิทธิ์นี้ไม่ถูกต้อง และอย่างน้อยในปี 1999 จึงเรียกประเทศนี้ว่า เซอร์เบียและมอนเตเนโกร[12] รัฐธรรมนูญปี 2546 เปลี่ยนชื่อรัฐเป็น "สหภาพรัฐแห่งเซอร์เบียและมอนเตเนโกร"[13]

ภูมิศาสตร์

แก้

เซอร์เบียและมอนเตเนโกรมีพื้นที่ 102,350 ตารางกิโลเมตร (39,518 ตารางไมล์) โดยมีแนวชายฝั่ง 199 กิโลเมตร (124 ไมล์) ภูมิประเทศของทั้งสองสาธารณรัฐมีความหลากหลายมาก โดยส่วนใหญ่ของเซอร์เบียประกอบด้วยที่ราบและเนินเขาเตี้ยๆ (ยกเว้นพื้นที่ภูเขาของคอซอซอและเมโทฮียา) และส่วนใหญ่ของมอนเตเนโกรประกอบด้วยภูเขาสูง เซอร์เบียไม่มีทางออกสู่ทะเลโดยสิ้นเชิง โดยมีแนวชายฝั่งเป็นของมอนเตเนโกร ภูมิอากาศก็แปรปรวนเหมือนกัน ทางเหนือมีภูมิอากาศแบบทวีป (ฤดูหนาวหนาวเย็นและฤดูร้อน) ; ภาคกลางมีการผสมผสานระหว่างภูมิอากาศแบบทวีปและเมดิเตอร์เรเนียน ภาคใต้มีภูมิอากาศแบบเอเดรียติคตามแนวชายฝั่ง โดยพื้นที่ภายในมีฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงที่ร้อนและแห้งแล้ง และฤดูหนาวที่ค่อนข้างหนาวเย็นและมีหิมะตกหนักในพื้นที่

เบลเกรด มีประชากร 1,574,050 คน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสองประเทศ: และเป็นเมืองเดียวที่มีขนาดพอควร เมืองหลักอื่นๆ ของประเทศ ได้แก่ นอวีซาด นีช กรากูเยวัตส์ พอดกอรีตซา ซูบอติตซา พริสตีนา และพริสเรน แต่ละเมืองมีประชากรประมาณ 100,000–250,000 คน

ประวัติศาสตร์

แก้

การล่มสลายของยูโกสลาเวีย

แก้
 
เขตแดนของสาธารณรัฐต่างๆของยูโกสลาเวียที่แยกตัวออกเป็นประเทศเอกราช ในระหว่าง และ ภายหลังสงคราม.
  • 6 เมษายน ค.ศ. 1991 - เกิดสงครามระหว่างรัฐบาลบอสเนียกับชาวพื้นเมืองเชื้อสายเซิร์บเนื่องจากพยายามแยกตัวเป็นอิสระ
  • 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1995 นายมีลอเชวิชได้ร่วมกับประธานาธิบดีโครเอเชียและบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ลงนามในข้อตกลงสันติภาพ ภายหลังจากการโจมตีทางอากาศของนาโต
  • 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 - นายมีลอเชวิชลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีเซอร์เบีย และขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียูโกสลาเวีย
  • 7 ตุลาคม ค.ศ. 2000 - นายวอยีสลาฟ คอชตูนีตซา สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
  • 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 - เปลี่ยนชื่อประเทศจากสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียเป็นเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
  • 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 - ประชาชนมอนเตเนโกรได้ลงประชามติให้มอนเตเนโกรเป็นอิสระจากเซอร์เบีย
  • 5 มิถุนายน ค.ศ. 2006 - เซอร์เบียได้ประกาศการแยกตัวอย่างเป็นทางการระหว่างเซอร์เบียและมอนเตเนโกร โดยเซอร์เบียจะเป็นผู้สืบสิทธิ์ของยูโกสลาเวีย

การก่อตั้ง

แก้

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1991 เซอร์เบีย มอนเตเนโกร และดินแดนที่กลุ่มกบฏยึดครองในโครเอเชียตกลงร่วมกันว่าจะก่อตั้ง "ยูโกสลาเวียที่สาม" ขึ้นใหม่[14] ความพยายามยังเกิดขึ้นในปี 1991 เพื่อรวมบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเข้าในสหพันธรัฐ ด้วยการเจรจาระหว่างมีลอเชวิชและพรรคประชาธิปไตยเซิร์บของบอสเนีย และผู้เสนอสหภาพบอสเนีย – รองประธานาธิบดี เอดิล ซูลฟีคาปาซิช ของบอสเนียจึงอยู่ในเรื่องนี้[15] เขาเชื่อว่าบอสเนียจะได้รับประโยชน์จากการรวมเป็นหนึ่งกับเซอร์เบีย มอนเตเนโกร และครายีนา ดังนั้นเขาจึงสนับสนุนสหภาพที่จะรักษาเอกภาพของชาวเซิร์บและบอสนีแอก[15] มีลอเชวิชยังคงเจรจากับซูลฟีคาปาซิช เพื่อรวมบอสเนียเข้าในยูโกสลาเวียใหม่ อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะรวมบอสเนียทั้งหมดไว้ในยูโกสลาเวียใหม่ยุติลงอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อปลายปี 1991 เนื่องจากอีเซตเบกอวิช วางแผนที่จะจัดการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราช ในขณะที่ชาวเซิร์บบอสเนียและชาวโครแอตบอสเนียตั้งเขตปกครองตนเองขึ้น[15] ความรุนแรงระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์เซอร์เบียและบอสเนียก็ปะทุขึ้นในไม่ช้า ดังนั้นยูโกสลาเวียจึงถูกจำกัดไว้เฉพาะสาธารณรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร และมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสาธารณรัฐเซอร์เบียที่แตกแยกระหว่างสงครามยูโกสลาเวีย

วิกฤตการณ์ยูโกสลาเวีย

แก้

ความแตกแยกของยูโกสลาเวียในปัจจุบันมีที่มาเป็นปัจจัยพื้นฐานหลายประการ ที่สำคัญประการหนึ่งคือปัจจัยทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสั่งสมมานานกว่าพันปีจากการที่สาธารณรัฐต่าง ๆ ซึ่งมาร่วมกันเป็นสหพันธ์ฯ มีเชื้อชาติ ศาสนา ความเป็นมาทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์แตกต่างกัน ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติจึงเป็นปัญหาที่คุกรุ่นมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชาวโครแอต ชาวเซิร์บ และชาวมุสลิม ในอดีตสโลวีเนียและโครเอเชียเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี แห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์ก (Hapsburg Empire) มาเป็นเวลาหลายศตวรรษ จึงมีความเกี่ยวพันทางสังคม วัฒนธรรม ภาษา ศาสนา และจิตใจกับยุโรปตะวันตก ในขณะที่รัฐทั้งหลายทางตอนใต้ คือ เซอร์เบีย มอนเตเนโกร บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และมาซิโดเนีย เคยอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine) และจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman) มานับพันปี จึงได้รับการหล่อหลอมวัฒนธรรมแบบบอลข่าน คือ แบบมุสลิมหรือคริสเตียนตะวันออก (Orthodox) ถึงแม้ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงด้วยการล่มสลายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และมีการก่อตั้ง "ราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน" (Kingdom of Serbs, Croates and Slovenes) เป็นประเทศเอกราช โดยมีกษัตริย์ปกครอง แต่เสถียรภาพทางการเมืองภายในยังคงคลอนแคลน เพราะรัฐต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างด้านเชื้อชาติและศาสนา ยังคงมีความขัดแย้งกันลึก ๆ ในปี 1929 กษัตริย์อาเล็กซานดาร์ได้ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น "ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย" (Kingdom of Yugoslavia) และปกครองประเทศด้วยนโยบายเด็ดขาดโดยความร่วมมือของทหารตลอดมา จนได้รับขนานนามว่าเป็น “Royal Dictatorship” เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง ประธานาธิบดียอซีป บรอซ ตีโต สามารถยึดเหนี่ยวรัฐต่าง ๆ ของยูโกสลาเวียให้รวมกันอยู่ต่อไป ทั้งนี้ โดยใช้นโยบายอันเด็ดขาดกอปรกับอัจฉริยภาพของประธานาธิบดีตีโตเอง จนกระทั่งเมื่อประธานาธิบดีตีโตถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปี 1980 ความแตกแยกระหว่างรัฐทั้งหลายที่ประกอบขึ้นเป็นสหพันธรัฐยูโกสลาเวียก็เริ่มปรากฏขึ้น และเมื่อนายสลอบอดัน มีลอเชวิช ผู้นำเชื้อสายเซิร์บ ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยม ก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 1989 ความขัดแย้งภายในจึงได้ทวีความรุนแรงจนเกิดวิกฤตการณ์ยูโกสลาเวียเดิมประกอบด้วย 6 สาธารณรัฐ กล่าวคือ สาธารณรัฐสโลวีเนีย โครเอเชีย เซอร์เบีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และมาซิโดเนีย รวมทั้งจังหวัดปกครองตนเองคอซอวอและวอยวอดีนา ซึ่งเป็นมณฑลปกครองตนเอง เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1991 สาธารณรัฐสโลวีเนียและโครเอเชียได้ประกาศแยกตัวเป็นเอกราช ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของยูโกสลาเวียอีกต่อไป ภายหลังจากการออกเสียงประชามติทั่วประเทศในสาธารณรัฐทั้งสอง การประกาศเป็นเอกราชดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติการณ์ยูโกสลาเวีย ซึ่งได้ขยายตัวเป็นสงครามกลางเมืองในเวลาต่อมา เมื่อสาธารณรัฐมาซิโดเนียและบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ได้ประกาศยกตัวออกเป็นรัฐเอกราชเช่นเดียวกัน เมื่อเดือนกันยายนและตุลาคม 1991 ตามลำดับ

สถานการณ์ในคอซอวอ

แก้
 
อนุสาวรีย์"ทำไม?" (Zašto?), เพื่อรำลึกถึงพนักงานของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติเซอร์เบีย (Radio Television of Serbia:RTS) ในระหว่างกองกำลังนาโตทิ้งระเบิดใส่อาคารสถานีโทรทัศน์เมื่อ ค.ศ. 1999

คอซอวอเป็นจังหวัดปกครองตนเองแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของสาธารณรัฐเซอร์เบีย ประกอบด้วยชาวแอลเบเนียร้อยละ 90 จากประชากรจำนวน 2 ล้านคน ในปี 1998 เคยเกิดการสู้รบอย่างรุนแรงระหว่างกองกำลังชาวคอซอวอเชื้อสายแอลเบเนียกับกองทัพของเซอร์เบียเมื่อเซอร์เบียประกาศยกเลิกสถานะการปกครองตนเองของคอซอวอ การสู้รบขยายตัวไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวแอลเบเนียอย่างโหดเหี้ยม ส่งผลให้เกิดผู้ลี้ภัยชาวแอลเบเนียในประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก

การสู้รบดังกล่าว ยุติลงเมื่อเนโทใช้ปฏิบัติการทางทหารกับเซอร์เบีย ในปี 1999 ซึ่งต่อมา NATO ได้ส่งกองกำลังคอซอวอ (Kosovo Force, KFOR) เข้าไปปฏิบัติการรักษาสันติภาพในคอซอวอ และสหประชาชาติได้จัดตั้งองค์กรบริหารชั่วคราวขึ้นในคอซอวอ (UNMIK) อย่างไรก็ดี กล่าวได้ว่า สถานการณ์ในคอซอวอหลังปี 1999 ยังไม่สงบนัก เนื่องจากมีการปะทะกันระหว่างชาวคอซอวอเชื้อสายแอลเบเนียกับเชื้อสายเซิร์บอยู่เป็นประจำ ก่อให้เกิดความตึงเครียดเป็นระยะ ๆ[16][17]

 
นาโตทิ้งระเบิดใส่นครนอวีซาด

การเจรจาระหว่างชาวคอซอวอเชื้อสายแอลเบเนียกับเชื้อสายเซิร์บ

แก้

เมื่อวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ 2006 ได้มีการเจรจาแบบเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่างฝ่ายเซิร์บกับฝ่ายแอลเบเนียในคอซอวอที่กรุงเวียนนา เพื่อกำหนดสถานะในอนาคตของคอซอวอ โดยเป็นการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับกลางของทั้งสองฝ่าย และมีเจ้าหน้าที่ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเป็นผู้ประสานการเจรจา โดยเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2006 ได้มีการเจรจาระดับสูงระหว่างประธานาธิบดีเซอร์เบียและนายกรัฐมนตรีคอซอวอขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1999 แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องสถานะทางการเมืองที่ถาวรของคอซอวอ ฝ่ายเซิร์บยืนกรานให้คอซอวอเป็นส่วนหนึ่งของเซอร์เบีย โดยยินยอมให้อิสระในระดับหนึ่ง ขณะที่ฝ่ายแอลเบเนียต้องการอิสรภาพ สำหรับการเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่ครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อวันที่ 7–8 สิงหาคม ที่ผ่านมายังไม่สามารถหาข้อยุติได้ โดยฝ่ายเซิร์บได้คว่ำบาตรการเจรจาในหัวข้อที่เกี่ยวกับอนาคตของคอซอวอ

การล่มสลายของสหภาพรัฐ

แก้

มอนเตเนโกรลงประชามติแยกตัวออกจากประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกรเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2006 มอนเตเนโกรได้จัดการลงประชามติเพื่อแยกตัวออกจากประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกร โดยมีผู้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนให้รัฐมอนเตเนโกรแยกตัวออกจากประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ร้อยละ 55.4 ซึ่งเกินเกณฑ์ขั้นต่ำ (ร้อยละ 55) ที่สหภาพยุโรปกำหนดที่จะให้การรับรอง โดยมีจำนวนผู้ที่มาใช้สิทธิมากถึง ร้อยละ 86.3 จากจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนทั้งหมด 485,000 คน ซึ่งผลการลงประชามติในครั้งนี้ จะทำให้มอนเตเนโกรกลายเป็นประเทศเกิดใหม่ล่าสุดของโลก และมีแนวโน้มที่มอนเตเนโกรจะได้รับโอกาสในการพัฒนาประเทศและเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม เซอร์เบียจะเป็นรัฐสืบสิทธิเพียงผู้เดียว สำหรับมอนเตเนโกรนั้น เมื่อแยกตัวออกมาเป็นประเทศเอกราชจะต้องขอรับการรับรองจากนานาประเทศ และสมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ และองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ อีกครั้งหนึ่ง

การเมืองการปกครอง

แก้

บริหาร

แก้
 
สเวทอซาร์ มารอวิช ประธานาธิบดีเซอร์เบียและมอนเตเนโกร

ประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกรปกครองแบบสาธารณรัฐ โดยประธานาธิบดีเป็นประมุขมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้รับเลือกตั้งจากสภาสำหรับจังหวัดปกครองตนเองคอซอวออยู่ภายใต้การบริหารของสหประชาชาติ

สภาแห่งสหพันธรัฐยูโกสลาเวีย ซึ่งเป็นตัวแทนของ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (1992–2003) ประกอบด้วยสองห้อง: สภาพลเมืองและสภาแห่งสาธารณรัฐ ในขณะที่สภาพลเมืองทำหน้าที่เป็นสมัชชาสามัญ ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนของ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย สภาแห่งสาธารณรัฐถูกสร้างขึ้นอย่างเท่าเทียมกันโดยตัวแทนจากสาธารณรัฐที่เป็นส่วนประกอบของสหพันธ์ เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลกลางมีความเท่าเทียมกันระหว่างเซอร์เบียและมอนเตเนโกร

ประธานาธิบดีคนแรกระหว่างปี 1992–1994 คือ ดอบริตซา ชอซิช จากอดีตพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อมาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนับสนุนบันทึกข้อขัดแย้งของสถาบันวิทยาศาสตร์และศิลปะแห่งเซอร์เบีย แม้จะดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศ แต่ชอซิชก็ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งในปี 1994 เนื่องจากการต่อต้านประธานาธิบดี สลอบอดัน มีลอเชวิชของเซอร์เบีย ต่อมาซอรัน ลีลิช เข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 1993 ถึง 1997 จากนั้นมีลอเชวิชได้กลายเป็นประธานาธิบดียูโกสลาเวียในปี 1997 หลังจากวาระสุดท้ายของการเป็นประธานาธิบดีเซอร์เบียสิ้นสุดลงในปี 1997 สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียถูกครอบงำโดยมีลอเชวิชและพันธมิตรของเขา จนกระทั่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2000 มีการกล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้งและประชาชนชาวยูโกสลาเวียพากันออกมาที่ถนนและเข้าร่วมการจลาจลในกรุงเบลเกรดเพื่อเรียกร้องให้ถอดถอนมิโลเซวิชออกจากอำนาจ หลังจากนั้นไม่นานมีลอเชวิชก็ลาออก และ วอยีสลาฟ คอชตูนีตซา เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดียูโกสลาเวียและยังคงเป็นประธานาธิบดีต่อไปจนกว่าจะมีการสร้างรัฐขึ้นใหม่เป็นสหภาพแห่งรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร

นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลกลาง มีลัน ปานิช เริ่มหงุดหงิดกับพฤติกรรมครอบงำของมีลอเชวิช ในระหว่างการเจรจาทางการทูตในปี 1992 และบอกให้เขา "ไม่เปิดปากพูด" เพราะตำแหน่งของมีลอเชวิชนั้นต่ำกว่าตำแหน่งของเขาอย่างเป็นทางการต่อมามีลอเชวิชบังคับให้ปานิชลาออก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้เปลี่ยนไปหลังจากปี 1997 เมื่อวาระทางกฎหมายที่สองและครั้งสุดท้ายของมีลอเชวิชในฐานะประธานาธิบดีเซอร์เบียสิ้นสุดลง จากนั้นเขาก็เลือกประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงยึดอำนาจที่เขามีอยู่โดยพฤตินัยแล้ว

หลังจากที่สหพันธ์ถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นสหภาพแห่งรัฐแล้ว สมัชชาใหม่ของสหภาพแห่งรัฐก็ถูกสร้างขึ้น มีสภาเดียวและประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 126 คน โดย 91 คนมาจากเซอร์เบีย และ 35 คนมาจากมอนเตเนโกร สมัชชามีการประชุมกันในอาคารรัฐสภาเก่าของยูโกสลาเวีย ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสภาแห่งชาติเซอร์เบีย

ในปี 2003 หลังจากการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญและการสร้างสหภาพแห่งรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ประธานาธิบดีสเวทอซาร์ มารอวิช คนใหม่ของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรได้รับเลือก เขายังเป็นประธานคณะรัฐมนตรีของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรด้วย เป็นประธานาธิบดีคนแรกและคนสุดท้ายของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรจนกระทั่งล่มสลายในปี 2006

เมื่อวันที่ 12 เมษายน 1999 สมัชชาแห่งสหพันธรัฐยูโกสลาเวียได้ผ่าน "การตัดสินใจเกี่ยวกับการภาคยานุวัติของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ต่อรัฐสหภาพรัสเซียและเบลารุส" ผู้สืบทอดทางกฎหมายของการตัดสินใจนั้นคือสาธารณรัฐเซอร์เบีย[18]

การแบ่งเขตการปกครอง

แก้
เขตแดนของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร (ค.ศ. 1992-2006)
เขตแดนของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร (มณฑลปกครองตนเอง)

ประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกรประกอบด้วย 2 สาธารณรัฐ (republics) คือ

ภายในสาธารณรัฐเซอร์เบียมี 2 มณฑลปกครองตนเอง (autonomous provinces) คือ

  • จังหวัดปกครองตนเองวอยวอดีนา (เมืองหลวง-นอวีซาด)
  • จังหวัดปกครองตนเองคอซอวอและเมโตฮียา (เมืองหลวง-พรีชตีนา)
  • ส่วนของเซอร์เบียที่ไม่ได้อยู่ในเขตของ 2 มณฑลดังกล่าว (มักเรียกว่า เซนทรัลเซอร์เบีย) ไม่ได้เป็นจังหวัดและไม่มีสถานะพิเศษ รวมทั้งไม่มีเมืองหลวงและรัฐบาล

ในพื้นที่ดินแดนทั้ง 3 แห่งข้างต้น จะแบ่งออกเป็น เขต (districts) รวม 29 เขต และแต่ละเขตแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น เทศบาล (municipalities)

ส่วนในสาธารณรัฐมอนเตเนโกรนั้นจะแบ่งออกเป็น 21 เทศบาล

ชื่อ เมืองหลวง ธงชาติ ตราแผ่นดิน
สาธารณรัฐเซอร์เบีย
จังหวัดปกครองตนเองคอซอวอ
จังหวัดปกครองตนเองวอยวอดีนา
เบลเกรด    
สาธารณรัฐมอนเตเนโกร เซติเญ    
พอดกอรีตซา    

กองทัพ

แก้

กองทัพเซอร์เบียและมอนเตเนโกร (เซอร์เบีย: Војска Југославије/Vojska Jugoslavije, หรือ ВЈ/VJ) รวมกองกำลังภาคพื้นดินกับกองกำลังภายในและกองกำลังชายแดน กองกำลังทางเรือ กองกำลังป้องกันทางอากาศและทางอากาศ และการป้องกันพลเรือน ก่อตั้งขึ้นจากกองทัพประชาชนยูโกสลาเวีย (JNA) ซึ่งเป็นกองทัพของยูโกสลาเวียเดิม หน่วย VJ ชาวเซิร์บบอสเนียหลายหน่วยถูกย้ายไปที่เรปูบลิกาเซิร์บสกาในระหว่างสงครามบอสเนีย เหลือเพียงหน่วยโดยตรงจากเซอร์เบียและมอนเตเนโกรในกองทัพ โดยการปฏิบัติการทางทหารในช่วงสงครามยูโกสลาเวีย ซึ่งรวมถึงการปิดล้อมเมืองดูบรอฟนิกและยุทธการที่วูโควาร์ รวมถึงสงครามคอซอวอ และมีบทบาทในการต่อสู้ระหว่างการก่อความไม่สงบทางชาติพันธุ์ หลังจากสงครามโคโซโว กองทัพถูกบังคับให้อพยพออกจากโคโซโว และในปี 2546 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น กองกำลังของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร หลังจากการสลายตัวของสหภาพระหว่างเซอร์เบียและมอนเตเนโกร หน่วยจากแต่ละกองทัพได้รับมอบหมายให้ดูแล สาธารณรัฐอิสระแห่งเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เนื่องจากการเกณฑ์ทหารเป็นระดับท้องถิ่นมากกว่าระดับรัฐบาลกลาง มอนเตเนโกรสืบทอดกองทัพเรือขนาดเล็กของยูโกสลาเวีย เนื่องจากเซอร์เบียไม่มีทางออกสู่ทะเล

การเสนอการเปลี่ยนธงชาติและเพลงชาติแห่งสหภาพรัฐ

แก้
 
ธงที่เคยถูกเสนอให้เป็นธงชาติของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร

หลังจากการก่อตั้งสหภาพแห่งรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ธงไตรรงค์ของยูโกสลาเวียจะถูกแทนที่ด้วยธงใหม่ มาตรา 23 ของกฎหมายเพื่อการดำเนินการตามกฎบัตรรัฐธรรมนูญ[19] ระบุว่ากฎหมายระบุธงใหม่จะต้องผ่านภายใน 60 วันของเซสชั่นแรกของรัฐสภาร่วมใหม่ ในบรรดาข้อเสนอธง ตัวเลือกที่เป็นที่นิยมคือธงที่มีเฉดสีฟ้าระหว่างไตรรงค์เซอร์เบียและไตรรงค์มอนเตเนกรินในปี 1993 ถึง 2004 เฉดสี Pantone 300C ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด[20] อย่างไรก็ตาม รัฐสภาไม่สามารถลงมติในข้อเสนอดังกล่าวได้ภายในกรอบเวลาตามกฎหมาย และไม่มีการนำธงมาใช้ 2004 มอนเตเนโกรใช้ธงที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากรัฐบาลที่ฝักใฝ่เอกราชพยายามแยกตัวออกจากเซอร์เบีย ข้อเสนอสำหรับธงใหม่ถูกยกเลิกหลังจากนี้ และสหภาพเซอร์เบียและมอนเตเนโกรไม่เคยนำธงมาใช้

แต่ชะตากรรมที่คล้ายกันเกิดขึ้นกับเพลงชาติและตราแผ่นดินที่จะเป็น; บทความที่ 23 ที่กล่าวถึงข้างต้นยังกำหนดว่ากฎหมายที่กำหนดธงและเพลงชาติของสหภาพแห่งรัฐจะต้องผ่านภายในสิ้นปี 2546 ข้อเสนออย่างเป็นทางการสำหรับเพลงชาติเป็นการผสมผสานที่ประกอบด้วยหนึ่งท่อนของเพลงชาติเซอร์เบียในอดีต (ปัจจุบัน)"บอเจ พราฟเด"ตามด้วยบทกวีของเพลงพื้นบ้านมอนเตเนโกร, "ออยซวีเยทลามัยสกาซอรอ". ข้อเสนอนี้ตกไปหลังจากการต่อต้านของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยพระสังฆราชพาฟเล ชาวเซอร์เบีย[21] กำหนดเวลาตามกฎหมายอื่นผ่านไปและไม่มีการนำเพลงชาติมาใช้ ไม่เคยมีการนำเสนอข้อเสนอที่จริงจังสำหรับตราแผ่นดิน อาจเป็นเพราะตราแผ่นดินของยูโกสลาเวียซึ่งนำมาใช้ในปี 1994 ซึ่งรวมองค์ประกอบพิธีการของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรเข้าด้วยกัน ถือว่าเพียงพอแล้ว

ดังนั้น สหภาพแห่งรัฐจึงไม่เคยนำสัญลักษณ์ของรัฐมาใช้อย่างเป็นทางการ และยังคงใช้ธงชาติและเพลงชาติของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียต่อไปด้วยปัญหาจนกระทั่งมีการล่มสลายในปี 2006

เศรษฐกิจ

แก้

รัฐประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างมากเนื่องจากการล่มสลายของยูโกสลาเวียและการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาด และการลงโทษทางเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อออกไป ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะเงินเฟ้อรุนแรงของดีนาร์ยูโกสลาเวีย ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 ยูโกสลาเวียได้เอาชนะอัตราเงินเฟ้อ ความเสียหายเพิ่มเติมต่อโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมของยูโกสลาเวียที่เกิดจากสงครามโคโซโว ทำให้เศรษฐกิจมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของขนาดในปี 1990 นับตั้งแต่ สลอบอดัน มีลอเชวิช อดีตประธานาธิบดีสหพันธรัฐยูโกสลาเวียถูกขับไล่ในเดือนตุลาคม 2000 รัฐบาลผสมฝ่ายค้านประชาธิปไตยเซอร์เบีย (DOS) ได้ดำเนินการมาตรการรักษาเสถียรภาพและดำเนินโครงการปฏิรูปตลาดเชิงรุก หลังจากต่ออายุสมาชิกกองทุนการเงินระหว่างประเทศในเดือนธันวาคม 2000 ยูโกสลาเวียยังคงรวมตัวกับประเทศต่างๆ ในโลกต่อไป โดยเข้าร่วมกับธนาคารโลกและธนาคารยุโรปเพื่อการบูรณะและพัฒนาอีกครั้ง

สาธารณรัฐมอนเตเนโกรที่เล็กกว่าได้ตัดขาดเศรษฐกิจจากการควบคุมของรัฐบาลกลางและจากเซอร์เบียในช่วงยุคมีลอเชวิช หลังจากนั้น สาธารณรัฐทั้งสองมีธนาคารกลางแยกจากกัน ในขณะที่มอนเตเนโกรเริ่มใช้สกุลเงินที่แตกต่างกัน โดยเริ่มแรกใช้มาร์คเยอรมัน และใช้ต่อไปจนกระทั่งมาร์คเลิกใช้และถูกแทนที่ด้วยเงินยูโร เซอร์เบียยังคงใช้ดีนาร์ยูโกสลาเวียต่อไป โดยเปลี่ยนชื่อเป็นดีนาร์เซอร์เบีย

ความซับซ้อนของความสัมพันธ์ทางการเมืองของ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียนั้น ความคืบหน้าช้าในการแปรรูป และความซบเซาของเศรษฐกิจยุโรปส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ข้อตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อกำหนดเกี่ยวกับวินัยทางการคลังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการกำหนดนโยบาย การว่างงานอย่างรุนแรงเป็นปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญ การทุจริตยังนำเสนอปัญหาสำคัญ ด้วยตลาดมืดขนาดใหญ่และการมีส่วนร่วมทางอาญาในระดับสูงในระบบเศรษฐกิจ

การคมนาคมขนส่ง

แก้
 
หนังสือเดินทางในช่วงสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย

เซอร์เบียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุบเขาแห่งโมราวามักถูกอธิบายว่าเป็น "ทางแยกระหว่างโลกตะวันออกและโลกตะวันตก" ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ประวัติศาสตร์ปั่นป่วน หุบเขานี้เป็นเส้นทางบกที่ง่ายที่สุดจากทวีปยุโรปไปยังกรีซและเอเชียไมเนอร์

ทางหลวงระหว่างประเทศสายหลักที่ตัดผ่านเซอร์เบียคือ E75 และ E70 E763/E761 เป็นเส้นทางที่สำคัญที่สุดที่เชื่อมเซอร์เบียกับมอนเตเนโกร

แม่น้ำดานูบ ซึ่งเป็นทางน้ำระหว่างประเทศที่สำคัญไหลผ่านเซอร์เบีย

เมืองท่าบาร์ เป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในมอนเตเนโกร

กีฬา

แก้

ฟุตบอล

แก้
 
ผู้สนับสนุนฟุตบอลทีมชาติระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2006

สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ต่อมาคือเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ได้รับการพิจารณาจากฟีฟ่าและยูฟ่าให้เป็นรัฐสืบต่อจากยูโกสลาเวียเพียงรัฐเดียว ฟุตบอลประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษที่ 1990;อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่กำหนด ทำให้ประเทศนี้ถูกแยกออกจากการแข่งขันระดับนานาชาติทั้งหมดระหว่างปี 1992 และ 1996 หลังจากการยกเลิกการลงโทษ ทีมชาติผ่านเข้ารอบ FIFA World Cup สองครั้ง—ในปี 1998 ในฐานะ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย และในปี 2006 ในฐานะเซอร์เบียและมอนเตเนโกร . นอกจากนี้ยังผ่านเข้ารอบยูโร 2000 ในฐานะสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย

การปรากฏตัวในฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศสมาพร้อมกับความคาดหวังมากมายและความมั่นใจอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากทีมได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในม้ามืดของทัวร์นาเมนต์เนื่องจากมีผู้เล่นระดับโลกที่ได้รับการพิสูจน์แล้วเช่นอายุ 29 ปี- Predrag Mijatović วัยชรา, Dragan Stojković วัย 33 ปี, Siniša Mihajlović วัย 29 ปี, Vladimir Jugović วัย 28 ปี และ Dejan Savićević วัย 31 ปี รวมถึง Dejan Stanković ดาวรุ่งวัย 19 ปี และเป้าหมายสูงอายุ 24 ปีไปข้างหน้า Savo Milošević และ Darko Kovačević อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีความคาดหวังสูงขึ้นคือ นี่เป็นการปรากฏตัวในระดับนานาชาติครั้งใหญ่ครั้งแรกของประเทศหลังการเนรเทศของสหประชาชาติ อย่างไรก็ตาม ทีมไม่เคยสามารถทำคะแนนสูงสุดได้ แม้ว่าพวกเขาจะตกรอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ถูกเนเธอร์แลนด์ตกรอบด้วยประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในรอบ 16 ทีมสุดท้าย อีกสองปีต่อมาในยูโร 2000 เกือบจะเป็นทีมเดิมอีกครั้งที่ตกรอบแบ่งกลุ่มและถูกเนเธอร์แลนด์ตกรอบอีกครั้ง ครั้งนี้น่าเชื่อ 1–6 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ

เซอร์เบียและมอนเตเนโกรเป็นตัวแทนจากทีมชาติเดียวในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2549 แม้ว่าจะมีการแบ่งอย่างเป็นทางการเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเริ่ม ทีมสุดท้ายประกอบด้วยผู้เล่นที่เกิดในเซอร์เบียและมอนเตเนโกร

พวกเขาเล่นในทีมชาติครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2006 โดยแพ้ 3–2 ต่อ ไอวอรีโคสต์ หลังจากการแข่งขันฟุตบอลโลก ทีมนี้ได้รับสืบทอดมาจากเซอร์เบีย ในขณะที่ทีมใหม่จะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของมอนเตเนโกรในการแข่งขันระดับนานาชาติในอนาคต

บาสเก็ตบอล

แก้
 
มาสคอตของ EuroBasket 2005 ซึ่งมีเจ้าภาพโดยเซอร์เบียและมอนเตเนโกร

ทีมบาสเก็ตบอลชายอาวุโสครองตำแหน่งบาสเก็ตบอลของยุโรปและโลกในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษ 1990 และต้นทศวรรษ 2000 โดยมีแชมป์ EuroBasket สามรายการ (1995, 1997 และ 2001), FIBA ​​World Cup สองรายการ (1998 และ 2002) และโอลิมปิกฤดูร้อนหนึ่งรายการ เหรียญเงิน (1996).

ทีมชาติเริ่มแข่งขันในระดับนานาชาติในปี 1995 หลังจากลี้ภัยมาสามปีเนื่องจากการคว่ำบาตรทางการค้าของสหประชาชาติ ในช่วงเวลานั้นสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียไม่ได้รับอนุญาตให้แข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1992 ที่บาร์เซโลนา ยูโรบาสเก็ตปี 1993 และ FIBA ​​World Championship ปี 1994 ซึ่งแต่เดิมเบลเกรดควรจะเป็นเจ้าภาพ ก่อนที่จะถูกพรากจากเมืองและถูกย้าย ไปยังเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา

ที่ EuroBasket ปี 1995 ในกรุงเอเธนส์ ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับนานาชาติครั้งแรก ทีมของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียที่หิวกระหายและมีแรงจูงใจสูง ซึ่งนำโดยหัวหน้าโค้ช Dušan Ivković ออกสตาร์ตด้วยพรสวรรค์ระดับโลก 5 คน พร้อมด้วยสตาร์ดังจากยุโรปที่ตำแหน่งหนึ่งถึงสี่ – Saša Đorđević วัย 27 ปี, Predrag Danilović วัย 25 ปี, Žarko Paspalj วัย 29 ปี, Dejan Bodiroga วัย 22 ปี – ปิดท้ายด้วย Vlade Divac วัย 27 ปี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับ LA Lakers ที่ห้าตำแหน่ง ด้วยม้านั่งสำรองที่มีความสามารถพอ ๆ กับ Zoran Sretenović (ผู้เล่นคนเดียวที่อายุเกิน 30 ปีในทีม), Saša Obradović, Zoran Savić กองหน้าจอมพลังแห่งเครื่องรางของขลัง และ Željko Rebrača เซนเตอร์ดาวรุ่งที่กำลังมาแรง กลุ่มซึ่งมีกรีซและลิทัวเนียเข้าชิงเหรียญด้วยสถิติ 6–0 ในสเตจการคัดออกโดยตรงรอบแรก รอบก่อนรองชนะเลิศ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียทำคะแนนทำลายฝรั่งเศสได้ 104 แต้ม จึงเปิดฉากการปะทะรอบรองชนะเลิศกับกรีซเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์ ในบรรยากาศที่เข้มข้นของ OAKA Indoor Arena ทีมชาติสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียได้แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจโดยใช้ความสามารถในการป้องกันในเกมนั้นเพื่อดึงชัยชนะแปดคะแนนอันโด่งดังในเกม 60–52 คะแนนต่ำที่ตึงเครียด ในรอบชิงชนะเลิศ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียเล่นกับทีมลิทัวเนียมากประสบการณ์ ซึ่งนำโดยตำนานบาสเก็ตบอล Arvydas Sabonis นอกเหนือจากผู้เล่นระดับโลกคนอื่นๆ เช่น Šarūnas Marčiulionis, Rimas Kurtinaitis และ Valdemaras Chomičius รอบชิงชนะเลิศกลายเป็นเกมคลาสสิคของบาสเก็ตบอลนานาชาติ โดยยูโกสลาเวียจอมเจ้าเล่ห์มีชัยไปด้วยคะแนน 96–90 ตามหลัง Đorđević 41 คะแนน

พวกเขาเป็นตัวแทนของทีมเดียวในการแข่งขัน FIBA World Championship 2006 เช่นกัน แม้ว่าทัวร์นาเมนต์จะเล่นในกลางและปลายเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายนของปีนั้น และการเลิกราระหว่างเซอร์เบียและมอนเตเนโกรเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ทีมดังกล่าวยังได้รับสืบทอดมาจากเซอร์เบียหลังจบทัวร์นาเมนต์ ขณะที่มอนเตเนโกรสร้างทีมบาสเก็ตบอลระดับชาติแยกออกมาในภายหลัง เช่นเดียวกับทีมชาติของตนเองในกีฬาประเภททีมอื่นๆ ทั้งหมด

วัฒนธรรม

แก้

วันหยุด

แก้
Holidays
วัน ชื่อ หมายเหตุ
1 มกราคม วันปีใหม่ (วันหยุดราชการ)
7 มกราคม วันคริสต์มาส ตามนิกายออร์ทอดอกซ์ (วันหยุด)
27 มกราคม Saint Sava's feast Day – Day of Spirituality
27 เมษายน วันรัฐธรรมนูญ
29 เมษายน วันศุกร์ประเสริฐ (ตามนิกายออร์ทอดอกซ์) จนถึง ค.ศ. 2005
1 พฤษภาคม วันอีสเตอร์ ค.ศ. 2005
วันแรงงานสากล (วันหยุด)
2 พฤษภาคม Easter Monday (ตามนิกายออร์ทอดอกซ์) ค.ศ. 2005
9 พฤษภาคม วันแห่งชัยชนะ
28 มิถุนายน Vidovdan (Martyr's Day) วันรำลึกผู้เสียชีวิตจาก สงครามคอซอวอ
วันหยุดที่มีการเฉลิมฉลองในเซอร์เบีย
วันหยุดที่มีการเฉลิมฉลองในมอนเตเนโกร
  • 13 กรกฎาคม – Statehood Day (วันหยุด)

หมายเหตุ

แก้

อ้างอิง

แก้
  1. 1.0 1.1 1.2 "Human Development Report Yugoslavia 1996" (PDF). UNDP. สืบค้นเมื่อ 22 มิถุนายน 2021.
  2. Lewis, Paul (29 ตุลาคม 1992). "Yugoslavs Face Hard Winter as the Blockade Bites". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2023.
  3. Steve H. Hanke (7 May 2007). "The World's Greatest Unreported Hyperinflation". Cato Institute. The Jakarta Globe.
  4. "Summary of the Dayton Peace Agreement on Bosnia-Herzegovina". hrlibrary.umn.edu.
  5. Ozerdem, Alpaslan (2003). "From a 'terrorist' group to a 'civil defence' corps: The 'transformation' of the Kosovo Liberation Army". International Peacekeeping. 10 (3): 79–101. doi:10.1080/13533310308559337. ISSN 1353-3312.
  6. "Kosovo Liberation Army (KLA) | History & Facts | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). 2023-06-02.
  7. Barlovac, Bojana (2010-10-05). "Slobodan Milosevic – The Dictator". Balkan Insight (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  8. "Yugoslavia consigned to history". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 4 กุมภาพันธ์ 2003. สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2023.
  9. "Priželjkivao sam da na čelu Srbije bude – Srbijanac - Intervju – Milo Đukanović (ceo tekst) - Nedeljnik Vreme". www.vreme.com (ภาษาเซอร์เบีย). 4 กรกฎาคม 2012.
  10. "Montenegro declares independence". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 4 มิถุนายน 2006. สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2023.
  11. "Recount call in Montenegro vote". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 22 พฤษภาคม 2006. สืบค้นเมื่อ 12 มิถุนายน 2023.
  12. "Serbia and Montenegro". The World Factbook 1999. Virginia: Central Intelligence Agency. 16 สิงหาคม 2000. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 สิงหาคม 2000. สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2023. {{cite web}}: ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  13. "Constitutional Charter of the State Union of Serbia and Montenegro" (PDF). Serbia Ministry of Foreign Affairs. 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2009. สืบค้นเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2009. The name of the state union shall be Serbia and Montenegro.
  14. Sabrina P. Ramet. Serbia Since 1989: Politics and Society Under Milošević and After. University of Washington Press, 2005. pp. 55–56
  15. 15.0 15.1 15.2 Steven L. Burg, Paul S. Shoup. The War in Bosnia-Herzegovina: Ethnic Conflict and International Intervention. Armonk, New York, US: M.E. Sharpe, 2000. ISBN 978-1-56324-309-7 pp. 72–73.
  16. Shay, Shaul (12 กรกฎาคม 2017). Islamic Terror and the Balkans (ภาษาอังกฤษ). Routledge. ISBN 978-1-351-51138-4.
  17. Abrahams, Fred; Andersen, Elizabeth (1998). Humanitarian Law Violations in Kosovo (ภาษาอังกฤษ). Human Rights Watch. ISBN 978-1-56432-194-7.
  18. "Odluka o pristupanju Savezne Republike Jugoslavije Savezu Rusije i Belorusije: 25/1999-1". Правно информациони систем.
  19. "Zakon o sprovođenju Ustavne povelje". The Secretariat for Information of Serbia & Montenegro. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 กันยายน 2007. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2007. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  20. Price, Matthew (7 ตุลาคม 2003). "Belgrade flag flap reveals identity crisis". BBC News. United Kingdom: British Broadcasting Corporation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 ตุลาคม 2003. สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2003.
  21. "Nova drzavna himna: Boze zore". Vreme. 12 สิงหาคม 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 มิถุนายน 2011. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2010.

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้

44°49′N 20°28′E / 44.817°N 20.467°E / 44.817; 20.467