พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
บทความนี้รวบรวมพระราชกรณียกิจของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระราชกรณียกิจด้านการเกษตรและการยกระดับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย
แก้ด้านการเกษตร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงให้ความสนใจด้านนี้ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมและทรงไต่ถามความทุกข์สุขของประชาชน และทรงรับฟังข้อปัญหาเพื่อทรงนำมาวิเคราะห์และวิจัย จนเกิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการชลประทาน การพัฒนาดิน การวิจัยพันธุ์พืชและปศุสัตว์ เป็นต้น ดังหัวข้อต่อไปนี้
ทรัพยากรน้ำ
แก้โครงการตามพระราชดำริของพระองค์ มีทั้งการแก้ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาอุทกภัย รวมไปถึงการบำบัดน้ำเสีย โครงการพัฒนาแหล่งน้ำมีทั้งโครงการขนาดใหญ่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาทั้งภัยแล้งและน้ำท่วมได้[ต้องการอ้างอิง] เช่น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่จังหวัดลพบุรี[ต้องการอ้างอิง] จนถึงโครงการขนาดกลางและเล็กจำพวก ฝาย อ่างเก็บน้ำ โดยพระองค์ทรงคำนึงถึงลักษณะของภูมิประเทศ สภาพแหล่งน้ำ ความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ ประชาชนที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบจากโครงการ มาเป็นหลักในการพิจารณา พระองค์ได้ทรงวิจัยและริเริ่มโครงการฝนหลวง เพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งสำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทาน
ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่ประสบปัญหาน้ำท่วม และน้ำเน่าเสียในคูคลอง มีพระราชดำริเรื่องแก้มลิง ควบคุมการระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน ลำคลองต่าง ๆ ลงสู่อ่าวไทยตามจังหวะการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล ทั้งยังเป็นการใช้น้ำดีไล่น้ำเสียออกจากคลองได้อีกด้วย เครื่องกลเติมอากาศ กังหันน้ำชัยพัฒนา ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยการเพิ่มออกซิเจน เป็นสิ่งประดิษฐ์หนึ่งของพระองค์ที่ได้รับสิทธิบัตรจาก กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2536[ต้องการอ้างอิง]
ทรัพยากรดิน
แก้โครงการแกล้งดิน เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับการแก้ปัญหาดินเปรี้ยว หรือดินเป็นกรด โดยมีการขังน้ำไว้ในพื้นที่จนกระทั่งเกิดปฏิกิริยาเคมีทำให้ดินเปรี้ยวจัด จนถึงที่สุด แล้วจึงระบายน้ำออกและปรับสภาพฟื้นฟูดินด้วยปูนขาว จนกระทั่งดินมีสภาพดีพอที่จะใช้ในการเพาะปลูกได้
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ. 2524 ทรงพบว่า ดินในพื้นที่พรุที่มีการชักน้ำออก เพื่อจะนำที่ดินมาใช้ทำการเกษตรนั้น แปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผล จึงมีพระราชดำริให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีน้ำแช่ขังตลอดปีให้เกิด ประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุด และให้คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ด้วย การแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด เนื่องจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรียวัตถุ หรือซากพืชเน่าเปื่อยอยู่ข้างบน และมีระดับความลึก 1 - 2 เมตร เป็นดินเลนสีเทาปนน้ำเงิน ซึ่งมีสารประกอบกำมะถัน ที่เรียกว่า สารประกอบไพไรท์ (Pyrite: FeS2) อยู่มาก ดังนั้น เมื่อดินแห้ง สารไพไรท์จะทำปฏิกิริยากับอากาศ ปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงได้ดำเนินการสนองพระราชดำริโครงการ " แกล้งดิน " เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน เริ่มจากวิธีการ " แกล้งดินให้เปรี้ยว " คือทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน ซึ่งจะไปกระตุ้นให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น " แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด " จนกระทั่งถึงจุดที่พืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้ จากนั้นจึงหาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้ วิธีการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัดตามแนวพระราชดำริ คือควบคุมระดับน้ำใต้ดิน เพื่อป้องกันการเกิดกรดกำมะถัน จึงต้องควบคุมน้ำใต้ดินให้อยู่เหนือชั้นดินเลนที่มีสารไพไรท์อยู่ เพื่อมิให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือถูกออกซิไดซ์
จากการทดลอง ทำให้พบว่า วิธีการปรับปรุงดินตามสภาพของดินและความเหมาะสม มีอยู่ 3 วิธีการด้วยกัน คือ
- ใช้น้ำชะล้างความเป็นกรด เพราะเมื่อดินหายเปรี้ยว จะมีค่า pH เพิ่มขึ้น หากใช้ปุ๋ยไนโตรเจนและฟอสเฟต ก็จะทำให้พืชให้ผลผลิตได้
- ใช้ปูนมาร์ลผสมคลุกเคล้ากับหน้าดิน
- ใช้ทั้งสองวิธีข้างต้นผสมกันได้
- การปลูกหญ้าแฝก
โครงการเพื่อการเกษตรอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
แก้ทรงมีพระราชดำริในการจัดตั้งโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เพื่อส่งเสริมการเกษตรและประมงได้แก่โครงการเพาะเลี้ยงปลานิล โครงการวิจัยเพื่อการเกษตรในการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ข้าว อนุรักษ์พันธุ์พืชและพัฒนาปศุสัตว์ให้เจริญก้าวหน้าช่วยให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร
แก้การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การผลิตเอทานอล แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล เป็นต้น
เกษตรทฤษฎีใหม่
แก้เศรษฐกิจพอเพียง
แก้พระราชกรณียกิจด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ
แก้พระองค์ทรงใช้ประสบการณ์และแนวพระราชดำริ โครงการหลวงในการพัฒนาและวิจัย พระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศ เพื่อนำกลับมาพัฒนาประเทศ[ต้องการอ้างอิง]
พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข
แก้ในด้านสุขภาพอนามัย ซึ่งพระองค์ทรงถือว่าปัญหาในด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนนั้น เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข ดังพระราชดำรัสที่ว่า ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือพลเมืองนั่นเอง[ต้องการอ้างอิง] ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่าง ๆ ทุกครั้ง พระองค์จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ ทั้งแพทย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ และแพทย์อาสาสมัคร โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในขบวนอย่างใกล้ชิด[ต้องการอ้างอิง] เพื่อที่จะได้รักษาผู้ป่วยไข้ได้ทันที นอกเหนือจากนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ยังได้ริเริ่มหลายโครงการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ดังนี้
- โครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน
- โครงการแพทย์หลวงเคลื่อนที่พระราชทาน
- โครงการแพทย์พิเศษตามพระราชประสงค์
- หน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่พระราชทาน
- โครงการศัลยแพทย์อาสาราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย
- โครงการแพทย์ หู คอ จมูก และโรคภูมิแพ้พระราชทาน
- โครงการอบรมหมอหมู่บ้านในพระราชประสงค์
- หน่วยงานฝ่ายคนไข้ ในกองราชเลขานุการ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราโชวาทแก่ผู้สำเร็จการศึกษาสาขาแพทยศาสตร์ตอนหนึ่งว่า
จึงใคร่ขอร้องให้ทุก ๆ คนตั้งใจ และพยายามปฏิบัติหน้าที่ให้ได้ผลสมบูรณ์จริง ๆ อย่าปล่อยให้กำลังของชาติต้องเสื่อมถอยลงเพราะประชาชนเสียสุขภาพอนามัย [1]
พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา
แก้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า พระราชทานพระราชทรัพย์จัดตั้งมูลนิธิอานันทมหิดลให้เป็นทุนสำหรับการศึกษาในแขนงวิชาต่าง ๆ เพื่อให้นักศึกษาได้มีทุนออกไปศึกษาหาความรู้ต่อ ดังพระราชดำรัสที่ว่า
การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล หากสังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วนในทุกๆ ด้านแล้ว สังคมและบ้านเมืองนั้นก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ สามารถดำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และพัฒนาก้าวหน้าต่อไปโดยตลอด [2]
พระองค์จึงมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ดังนี้
โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์
แก้โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงให้การอุปถัมภ์ในด้านต่าง ๆ เช่น ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนและพระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อสนับสนุนและเป็นกำลังใจแก่ครูและนักเรียนของโรงเรียน โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์มีทั้งโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน ดังนี้
- โรงเรียนจิตรลดา
- โรงเรียนราชวินิต
- โรงเรียนวังไกลกังวล
- โรงเรียนราชประชานุเคราะห์
- โรงเรียนราชประชาสมาสัย
- โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- โรงเรียนเพื่อลูกหลานชนบท
- โรงเรียนร่มเกล้า
- โรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจน
- โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- โรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือตามความจำเป็นเร่งด่วน
ทุนการศึกษาพระราชทาน
แก้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อก่อตั้งกองทุนการศึกษาหลายขั้นหลายทุน ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ดังนี้
- ทุนพระราชทานเพื่อการศึกษาสงเคราะห์ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
- ทุนมูลนิธิอานันทมหิดล พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งมูลนิธิอานันทมหิดลขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2502 [ต้องการอ้างอิง]โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล แก่นิสิตนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเด่นในด้านต่างๆ ให้นิสิตนักศึกษาเหล่านั้นได้มีโอกาสไปศึกษาหาความรู้วิชาการชั้นสูงในต่างประเทศ และนำความรู้นั้นกลับมาใช้พัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
- ทุนเล่าเรียนหลวง
- ทุนมูลนิธิภูมิพล
- ทุนมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย
- ทุนนวฤกษ์
- ทุนการศึกษาพระราชทานแก่นักเรียนเฉพาะกรณี
มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ
แก้มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เริ่มดำเนินงานเมื่อปี พ.ศ. 2511 โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ว่า
หนังสือประเภทสารานุกรมนั้น บรรจุสรรพวิชาการอันเป็นสาระไว้ครบทุกแขนง เมื่อมีความต้องการหรือพอใจจะเรียนรู้เรื่องใด ก็สามารถค้นหาอ่านทราบโดยสะดวก นับว่าเป็นหนังสือที่มีประโยชน์เกื้อกูลการศึกษาเพิ่มพูนปัญญาด้วยตนเองของประชาชนอย่างสำคัญ โดยเฉพาะในยามที่มีปัญหาการขาดแคลนครูและที่เล่าเรียนเช่นขณะนี้ หนังสือสารานุกรมจะช่วยคลี่คลายให้บรรเทาเบาบางลงได้เป็นอย่างดี[3]
ปัจจุบัน[เมื่อไร?] มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ ได้จัดทำหนังสือสารานุกรมไทยที่บรรจุความรู้ใน 7 สาขาวิชา คือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ แพทยศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ขณะนี้มีออกมาแล้ว 44 เล่ม โดยแต่ละเล่มได้จัดแบ่งเนื้อหาของแต่ละเรื่องออกเป็นสามระดับ เพื่อที่จะให้เยาวชนสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้ตามพื้นฐานของตน นอกจากนี้ยังมี ฉบับเสริมการเรียนรู้ หรือ "ฉบับเล่มเล็ก" เป็นหนังสือที่พิมพ์เป็นขนาดเล็กให้พกพาได้สะดวก ขณะนี้ออกมาแล้ว 23 เล่ม โดยแต่ละเล่มได้จัดคัดสรรเนื้อหาที่น่ารู้มาจากเล่มใหญ่ มาเรียบเรียงใหม่มีเนื้อหาทั้งหมด 3 เรื่อง มีภาพประกอบสี่สีสวยงามตลอดทั้งเล่ม โดยไม่แบ่งเป็นสามระดับเหมือนเล่มใหญ่ รวมถึงเล่มอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ฉบับกาญจนาภิเษก ฉบับผู้สูงวัย เป็นต้น
พิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา
แก้ในทุก ๆ ปี พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา แม้พระราชกรณียกิจนี้จะเป็นภาระแก่พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์มาก แต่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ก็มีพระราชกระแสรับสั่งให้คงพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
พระราชกรณียกิจด้านศาสนา
แก้พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในการเปิดพระราชพิธีเนื่องในวโรกาสต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีบำเพ็ญการกุศล ทรงสนับสนุนให้มีการสร้างศาสนสถาน[ต้องการอ้างอิง] อีกทั้งยังทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกของทุกศาสนา เคยทรงให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นจำนวน 45 เล่ม[ต้องการอ้างอิง]
พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แก้ในระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ รวม 28 ประเทศ เพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้นให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเพื่อนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปมอบให้กับประชาชนในประเทศต่าง ๆ โดยรายชื่อประเทศต่าง ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินเยือน มีตามลำดับดังนี้
- ประเทศเวียดนามใต้ ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม - 21 ธันวาคม พ.ศ. 2502
- สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503
- สหภาพพม่า ระหว่างวันที่ 2 มีนาคม - 5 มีนาคม พ.ศ. 2503
- สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน - 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม - 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2503
- สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2503
- สาธารณรัฐโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม - 25 สิงหาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศเดนมาร์ก ระหว่างวันที่ 6 กันยายน - 9 กันยายน พ.ศ. 2503
- ประเทศนอร์เวย์ ระหว่างวันที่ 19 กันยายน - 21 กันยายน พ.ศ. 2503
- ประเทศสวีเดน ระหว่างวันที่ 23 กันยายน - 25 กันยายน พ.ศ. 2503
- สาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างวันที่ 28 กันยายน - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- นครรัฐวาติกัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศเบลเยียม ระหว่างวันที่ 4 ตุลาคม - 7 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 11 ตุลาคม - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศลักเซมเบิร์ก ระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม - 27 ตุลาคม พ.ศ. 2503
- ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 3 พฤศจิกายน - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503
- สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ระหว่างวันที่ 11 มีนาคม - 22 มีนาคม พ.ศ. 2505
- สหพันธรัฐมลายา ระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2505
- ประเทศนิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2505
- ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม - 12 กันยายน พ.ศ. 2505
- ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2506
- สาธารณรัฐจีน ระหว่างวันที่ 5 - 8 มิถุนายน พ.ศ. 2506
- สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 9 กรกฎาคม - 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2506
- สาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 5 ธันวาคม พ.ศ. 2507
- สาธารณรัฐเยอรมัน ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม - 28 สิงหาคม พ.ศ. 2509 (เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง)
- สาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 2 ตุลาคม พ.ศ. 2509 (เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง)
- ประเทศอิหร่าน ระหว่างวันที่ 23 เมษายน - 30 เมษายน พ.ศ. 2510
- สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน - 20 มิถุนายน พ.ศ. 2510 (เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง)
- ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน - 24 มิถุนายน พ.ศ. 2510
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ก็มิได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก เพราะทรงเห็นว่าพระราชภารกิจภายในประเทศนั้นมีมากมาย อย่างไรก็ตาม หากประมุขหรือรัฐบาลของประเทศใดกราบบังคมทูลเชิญให้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยือน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชโอรส หรือพระราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี รวมทั้งเพื่อทอดพระเนตรวิทยาการ และศิลปวัฒนธรรมของชาตินั้น ๆ
จนกระทั่งวันที่ 8 มีนาคม - 9 มีนาคม พ.ศ. 2537 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศลาว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งนับเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีกครั้ง หลังจากที่ว่างเว้นมาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี
พระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ยังรวมไปถึงการเสด็จพระราชดำเนินออกให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากประเทศต่าง ๆ ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บรรดาทูตานุทูตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสาส์นตราตั้งในการเข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทย และถวายบังคมทูลลาเมื่อครบวาระ
พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรม
แก้- ทรงตั้งกรมมหรสพขึ้น เพื่อฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย
- ทรงตั้งโรงละครหลวงขึ้นเพื่อส่งเสริมการแสดงละครในหมู่ข้าราชบริพาร
- ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบอาคารสมัยใหม่เป็นแบบทรงไทย เช่น ตึกอักษรศาสตร์ ซึ่งเป็นอาคารเรียนหลังแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาคารโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
พระราชกรณียกิจด้านการกีฬา
แก้เรือใบเป็นกีฬาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โปรดเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยลงแข่งเรือใบในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้าค่ายฝึกซ้อมตามโปรแกรมการฝึกซ้อม และทรงได้รับเบี้ยเลี้ยงในฐานะนักกีฬา เช่นเดียวกับนักกีฬาคนอื่น ๆ ในที่สุด ด้วยพระปรีชาสามารถ พระองค์ทรงชนะเลิศเหรียญทอง และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเหรียญทอง จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ท่ามกลางความปลื้มปีติของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ และเป็นที่ประจักษ์แก่ชนทั่วโลก ทำให้พระอัจฉริยภาพทางกีฬาเรือใบของพระองค์ที่ยอมรับกันทั่วโลก พระองค์ยังได้ทรงออกแบบและประดิษฐ์เรือใบยามว่างออกมาหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบประเภทม็อธ (Moth) ที่ทรงสร้างขึ้นว่า เรือใบมด เรือใบซูเปอร์มด และ เรือใบไมโครมด ถึงแม้ว่าเรือใบลำสุดท้ายที่พระองค์ทรงต่อคือ เรือโม้ค (Moke) เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เรือใบซูเปอร์มดยังถูกใช้แข่งขันในระดับนานาชาติที่จัดในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายคือเมื่อ พ.ศ. 2528 ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 13
นอกเหนือจากกีฬาเรือใบแล้ว ยังทรงเล่นกีฬาประเภทอื่น ๆ เช่น แบดมินตัน เทนนิส ยิงปืน เป็นต้น
อ้างอิง
แก้หนังสืออ่านเพิ่ม
แก้- วารี อัมไพรวรรณ, พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงของเรา), ภัทรินทร์, 2537. ISBN 9745070955.
- จิระนันท์ พิตรปรีชา, รู้ รัก สามัคคี, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), 2540. ISBN 9748956466.
- พระผู้ทรงเป็นจอมทัพไทย : เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 5 รอบและเฉลิมรัชมังคลาภิเษก , กรมกิจการพลเรือนทหารบก, 2531.
- พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กับการศึกษาไทย, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2530.
- Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn (translated by Pongpet Mekloy), A Regal Example, The Post Publishing, 1999. ISBN 9742280002.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- พระราชกรณียกิจ จากเครือข่ายกาญจนาภิเษก
- ThaiMonarchy.com เก็บถาวร 2021-02-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน