ฝาย
ฝาย เป็นโครงสร้างภูมิปัญญาทางการชลประทานมีลักษณะเป็นเขื่อนน้ำล้นใช้สำหรับการเปลี่ยนขนาดและรูปแบบการไหลของแม่น้ำ โดยอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก เมื่อน้ำบริเวณต้นน้ำมีปริมาณความสูงน้อยกว่าความสูงของฝายน้ำจะถูกกักเก็บไว้ แต่เมื่อระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นน้ำจะไหลข้ามไปยังท้ายน้ำ ซึ่งฝายจะพบในชุมชนหรือเมืองที่ตั้งบริเวณที่ราบกึ่งชันที่น้ำไหลค่อนข้างแรง แต่จะไม่พบในที่ราบลุ่มต่ำ เพราะน้ำไหลช้าจึงไม่มีความจำเป็นต้องจัดทำฝายในการชะลอน้ำ
ฝาย ถือเป็นภูมิปัญญาของคนในอดีต โดยชาวบ้านท้องถิ่นจะทำการสร้างฝายลงลุ่มน้ำสาขาย่อย เช่น ห้วย ลำธาร หรือลงลุ่มน้ำหลักเช่นแม่น้ำ โดยนิยมสร้างเป็นฝายที่ยาวตลอดช่วงตามขวางของแม่น้ำ จากนั้นจึงสร้างคลองหรือลำเหมือง มาเชื่อมต่อใกล้บริเวณท้ายฝาย ประโยชน์สำคัญของฝายในอดีต คือ การชะลอ บริหารและกักเก็บน้ำเพื่อนำน้ำไปทำการชลประทานเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันทางภาครัฐก็มีการนำแนวคิดมาใช้เพื่อการป้องกันน้ำท่วมด้วย
การแบ่งประเภทของฝายมีการแบ่งหลากหลายรูปแบบ เช่นแบ่งตามระยะเวลาการใช้งานเป็น ฝายถาวร และฝายชั่วคราว หรือแบ่งตามลักษณะวัสดุ เช่น ฝายโครงสร้างไม้ ฝายหินทิ้ง ฝายหินก่อบนดินถมอัดแน่น และฝายคอนกรีต[1] โดยปัจจุบันจะพบว่าฝายคอนกรีต เข้ามาแทนที่ฝายท้องถิ่นแบบเดิม
ปัญหาจากการสร้างฝาย
แก้ถึงแม้การสร้างฝาย จะเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นมายาวนาน แต่ในปัจจุบัน การสร้างฝายได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งการสร้างฝายคอนกรีต ซึ่งเป็นฝายทึบตันตลอดช่วงทำให้น้ำช่วงลึกไม่สามารถระบายออกได้ จึงทำให้เกิดการไม่หมุนเวียนของน้ำ ทำให้น้ำเน่า เพราะขาดออกซิเจน อีกทั้งยังกันการไหลออกของดินตะกอน หรือ ทราย ซึ่งชะล้างจากที่สูงลงมาไม่สามารถระบายออกไปยังแม่น้ำได้ จำเป็นต้องขุดลอกประจำ อีกทั้งยังทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของน้ำในช่วงหน้าฝายลดลงไปด้วย ซึ่งอาจเป็นผลเสียแก่ระบบนิเวศน์ที่อื่น เช่นเดียวกับทำลายวงจรชีวิตปลา ที่ไม่สามารถว่ายทวนกระแสน้ำไปวางไข่ได้[2] แม้ทางหน่วยงานบางที่จะสร้างบันไดปลาโจนมา เพื่อให้เป็นทางเข้าออกของปลา แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ทำให้พันธ์ุปลาบางชนิดสูญหายไป[3]
รูปแบบฝายในอดีตที่เป็นวัสดุจากไม้ จากหินทิ้ง จึงเป็นรูปแบบที่สอดคล้องไปกับธรรมชาติมากกว่า เพราะยังพอมีรูปหรือช่องให้ดินตะกอน ทราย หรือ ปลา สามารถว่ายทวนกระแสน้ำออกไปได้ อีกทั้งยังระบายน้ำช่วงลึกของฝาย ยังหมุนระบายออกได้เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็ดี ฝายแบบนี้ต้องดูแลรักษามาก เพราะเมื่อผ่านช่วงหน้าฝนที่น้ำไหลแรง ก็จะทำให้ฝายพังทลาย ต้องมาดูแลรักษาทุกปี อีกทั้งประสิทธิการกักน้ำ ไม่สูงมากเท่าฝายคอนกรีต
ดูเพิ่ม
แก้อ้างอิง
แก้- ↑ ปราโมทย์ ไม้กลัด. คู่มืองานเขื่อนดินขนาดเล็กและฝาย. สมาคมศิษย์เก่าวิศวกรรมชลประทาน กรมชลประทาน, 2524.
- ↑ VANCHAITAN. (2019). ฝายไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้าน,
- ↑ สมชาย ปรีชาศิลปกุล. (2004). คิดถึงปลาร้าเต็มไห ในวันแปรรูป
- บรรณานุกรม
- Chanson, H. (2004). "The Hydraulics of Open Channel Flow : An Introduction." Butterworth-Heinemann, Oxford, UK, 2nd edition, 630 pages (ISBN 978-0-7506-5978-9).
- Chanson, H. (2007). Hydraulic Performances of Minimum Energy Loss Culverts in Australia, Journal of Performances of Constructed Facilities, ASCE, Vol. 21, No. 4, pp. 264–272 (doi:10.1061/(ASCE)0887-3828(2007)21:4(264)).
- Gonzalez, C.A., and Chanson, H. (2007). Experimental Measurements of Velocity and Pressure Distribution on a Large Broad-Crested Weir, Flow Measurement and Instrumentation, 18 3-4: 107-113 (DOI 10.1016/j.flowmeasinst.2007.05.005).
- Henderson, F.M. (1966). "Open Channel Flow." MacMillan Company, New York, USA.
- McKay, G.R. (1971). "Design of Minimum Energy Culverts." Research Report, Dept of Civil Eng., Univ. of Queensland, Brisbane, Australia, 29 pages & 7 plates.
- Sturm, T.W. (2001). "Open Channel Hydraulics." McGraw Hill, Boston, USA, Water Resources and Environmental Engineering Series, 493 pages.
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- Hydraulics of Minimum Energy Loss (MEL) culverts and bridge waterways (Click "proceed" at the UQ-ITS Advisory webapge)