โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม

โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม[3] (อังกฤษ: macular degeneration) หรือ โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ[3] (อังกฤษ: age-related macular degeneration ตัวย่อ AMD, ARMD) เป็นโรคที่ทำให้มองไม่ชัดหรือมองไม่เห็นที่กลางลานสายตา[1] เริ่มแรกสุดบ่อยครั้งจะไม่มีอาการอะไร ๆ[1] แต่เมื่อเวลาผ่านไป บางคนจะมองเห็นแย่ลงเรื่อย ๆ ที่ตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง[1] แม้จะไม่ทำให้ตาบอดโดยสิ้นเชิง การมองไม่เห็นในส่วนกลางก็จะทำให้กิจกรรมในชีวิตต่าง ๆ ทำได้ยากรวมทั้งจำหน้าคน ขับรถ อ่านหนังสือเป็นต้น[1] การเห็นภาพหลอนอาจเกิดขึ้นโดยไม่ใช่เป็นส่วนของโรคจิต[1]

โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม
(Macular degeneration)
ชื่ออื่นจุดภาพชัดเสื่อมเนื่องกับอายุ
(Age-related macular degeneration)
ภาพจอตาซึ่งแสดงจุดภาพชัดเสื่อมเนื่องกับอายุระยะกลาง
สาขาวิชาจักษุวิทยา
อาการมองไม่ชัดหรือมองไม่เห็นที่กลางลานสายตา[1]
ภาวะแทรกซ้อนการเห็นภาพหลอน[1]
การตั้งต้นผู้มีอายุ[1]
ประเภทระยะต้น ระยะกลาง ระยะปลาย[1]
สาเหตุความเสียหายที่จุดภาพชัด (macula) ในจอตา[1]
ปัจจัยเสี่ยงกรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่[1]
วิธีวินิจฉัยการตรวจตา[1]
การป้องกันออกกำลังกาย ทานอาหารให้ถูกสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่[1]
การรักษาฉีดยา Anti-VEGF เข้าในตา, ยิงเลเซอร์ (laser coagulation), photodynamic therapy[1]
ความชุก6.5 ล้านคน (2015)[2]

จุดภาพชัดเสื่อมปกติจะเกิดกับคนสูงอายุ[1] ปัจจัยทางพันธุกรรมและการสูบบุหรี่ก็มีผลด้วย[1] เป็นอาการเนื่องกับความเสียหายต่อจุดภาพชัด (macula) ที่จอตา[1]การวินิจฉัยทำได้ด้วยการตรวจตา[1] ความรุนแรงของอาการจะแบ่งออกเป็นระยะต้น ระยะกลาง และระยะปลาย[1] ระยะปลายยังแบ่งออกเป็นแบบแห้ง (dry) และแบบเปียก (wet) โดยคนไข้ 90% จะเป็นแบบแห้ง[1][4]

การป้องกันรวมทั้งการออกกำลังกาย ทานอาหารให้ถูกสุขภาพ และไม่สูบบุหรี่[1]วิตามินต่อต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุดูเหมือนจะไม่ช่วยป้องกัน[5] ไม่มีวิธีแก้หรือรักษาการเห็นที่สูญไปแล้ว[1] ในรูปแบบเปียก การฉีดยาแบบ anti-VEGF (Anti-vascular endothelial growth factor) เข้าที่ตา หรือการรักษาอื่น ๆ ที่สามัญน้อยกว่ารวมทั้งการยิงเลเซอร์ (laser coagulation) หรือ photodynamic therapy อาจช่วยให้ตาเสื่อมช้าลง[1]อาหารเสริมรวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุสำหรับคนไข้ที่มีโรคอาจช่วยชะลอความเสื่อมด้วย[6]

ในปี 2015 โรคนี้มีผลต่อคนไข้ 6.2 ล้านคนทั่วโลก[2] ในปี 2013 มันเป็นเหตุให้ตาบอดเป็นอันดับสี่หลังต้อกระจก การเกิดก่อนกำหนด และต้อหิน[7] มันเกิดบ่อยที่สุดในผู้มีอายุเกิน 50 ปีในสหรัฐอเมริกา และเป็นเหตุเสียการเห็นซึ่งสามัญที่สุดในคนกลุ่มอายุนี้[1][4] คนประมาณ 0.4% ระหว่างอายุ 50-60 ปีมีโรคนี้ เทียบกับ 0.7% ของคนอายุ 60-70 ปี, 2.3% ของคนอายุ 70-80 ปี, และ 12% ของคนอายุเกิน 80 ปี[4]

พื้นเพ แก้

ปัจจุบัน คนราว 285 ล้านคนทั่วโลกมีปัญหาในการมองเห็น โดยร้อยละ 90 อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา[8] ซึ่งไม่มีระบบบริการสนับสนุนที่ดีพอจะให้คนเหล่านี้ใช้ชีวิตได้โดยสะดวก เหตุการตาบอดในลำดับต้น ๆ คือโรคทางตา ซึ่งป้องกันและรักษาให้หายได้ก่อนจะลุกลามจนตาบอดสนิท เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ภาวะะความผิดปกติของกระจกตา รวมทั้ง โรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุแบบมีหลอดเลือดงอกผิดปกติเป็นต้น[3]

ตามีส่วนรับภาพที่เรียกว่า จอตา ซึ่งรับสัญญาณแสงแล้วส่งผ่านไปยังสมองเพื่อแปลเป็นภาพ บริเวณนี้มีจุดรับภาพซึ่งสำคัญต่อการเห็นชัดที่กลางจอตามากที่สุด ซึ่งเรียกว่า จุดภาพชัดของจอตา (macula) หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นแก่จุดภาพชัดจอตา ก็จะทำให้มองภาพส่วนกลางไม่ชัด คล้ายกับมีจุดดำบังอยู่ตรงกลาง หรือเห็นภาพบิดเบี้ยว[3]

โรคจุดภาพชัดจอตาเสื่อมเป็นโรคตาหนึ่งใน 4 อันดับแรกที่ทำให้ประชากรไทยตาบอด ทุกปี ผู้สูงอายุเกือบ 3 หมื่นคนจะมีปัญหาการมองเห็นเพราะโรคจุดภาพชัดเสื่อมแบบมีหลอดเลือดงอกผิดปกติ (neovascular AMD)[9] เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ พร้อมกับการขยายตัวของโรคไม่ติดต่อแบบเรื้อรัง ก็อาจทำให้ผู้สูงอายุซึ่งเห็นผิดปกติมีมากขึ้น[9]

อาการ แก้

 
การเห็นปกติ
 
ภาพเดียวกันที่เห็นเมื่อจุดภาพชัดเสื่อมเนื่องกับอายุ (National Eye Institute)

อาการของจุดภาพชัดเสื่อมรวมทั้ง

อาการทางตา
  • เห็นบิดเบี้ยวในรูปแบบของ metamorphopsia ที่ตะแกรงเส้นตรงจะปรากฏเป็นรูปคลื่น และบางส่วนของตะแกรงอาจดูเหมือนเปล่า ๆ คนไข้อาจเริ่มสังเกตเห็นเมื่อมองสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งม่านตะแกรงหรือเสาเมื่อกำลังขับรถ และก็อาจมีดวงมืด (scotoma) ตรงกลางตาด้วย คือเห็นเป็นเงาหรือมองไม่เห็นเป็นบางส่วน
  • ฟื้นเห็นภาพได้ช้ากว่าเมื่อมองแสงสว่าง (photostress test)
  • มองเห็นภาพชัดลดลงอย่างชะงัด (2 ระดับหรือมากกว่านั้น) เช่น จาก 20/20 เหลือแค่ 20/80
  • เห็นมัวลงหรือไม่ชัด - ผู้ที่มีจุดภาพชัดเสื่อมแบบไม่ไหลซึม (nonexudative)/แบบแห้ง อาจไม่มีอาการหรือเสียการเห็นตรงกลางอย่างค่อยเป็นค่อยไป เทียบกับผู้ที่มีจุดภาพชัดเสื่อมแบบไหลซึม (exudative)/แบบเปียก ผู้จะเสียการเห็นอย่างรวดเร็ว (ซึ่งบ่อยครั้งมีเหตุจากการรั่วของเส้นเลือดที่ผิดปกติ)
  • มีปัญหาแยกแยะสี โดยเฉพาะสีเข้มจากสีเข้ม และสีอ่อนจากสีอ่อน
  • เสียความไวต่อความเปรียบต่าง

จุดภาพชัดเสื่อมโดยตัวเองจะไม่ทำให้ตาบอดหมด และจริง ๆ แล้ว คนที่บกพร่องทางการเห็นน้อยคนมากที่บอดทั้งหมด ในกรณีเกือบทั้งหมด จะยังมองเห็นเป็นบางส่วน โดยหลักก็คือรอบ ๆ ส่วนกลาง อาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ก่ออาการรุนแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมองหรือการบาดเจ็บอย่างรุนแรง ต้อหินที่ไม่รักษาเป็นต้น แต่คนไข้จุดภาพชัดเสื่อมน้อยคนจะเสียการเห็นทั้งหมด[10]

พื้นที่ของจุดภาพชัดจะเป็นส่วนเพียงแค่ 2.1% ของจอตา และที่เหลือ 97.9% (คือลานส่วนรอบ) จะไม่มีผลเนื่องจากโรค ถึงกระนั้น แม้จุดภาพชัดจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ของลานสายตา แต่เปลือกสมองส่วนการเห็นเกือบครึ่งก็อุทิศให้เพื่อประมวลข้อมูลที่มาจากจุดภาพชัด[11] ซึ่งแสดงความสำคัญของจอตาส่วนนี้

การเสียการเห็นตรงกลางสายตาจะมีผลอย่างลึกซึ้งต่อกิจกรรมชีวิตที่ใช้ตา เช่น การอ่านหนังสือโดยไม่เห็นตรงกลางจะยากมาก ดังนั้น รูปที่แสดงการเสียการเห็นตรงกลางเนื่องจากจุดภาพชัดเสื่อมด้วยจุดดำจุดหนึ่ง ความจริงไม่สามารถแสดงความเสียหายอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถเข้าใจได้โดยเขียนอักษรสูงหกนิ้วบนกระดาษ แล้วพยายามระบุตัวอักษรโดยมองตรงไปข้างหน้าแต่ถือกระดาษเยื้องไปทางข้าง ๆ ซึ่งคนโดยมากบอกว่ายาก

ปัจจัยเสี่ยง แก้

  • อายุ - อายุมากเป็นตัวพยากรณ์ AMD ได้ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเกิน 50 ปี[12]
  • ประวัติครอบครัว

สิ่งแวดล้อมและสไตล์ชีวิต แก้

  • การสูบยา - การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงโรค 2-3 เท่าเทียบกับคนที่ไม่สูบ และอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดซึ่งเปลี่ยนได้เพื่อป้องกันโรค งานทบทวนงานศึกษาต่าง ๆ ได้พบว่า มี "ความสัมพันธ์ที่มีกำลังระหว่างการสูบบุหรี่ในปัจจุบันกับ AMD... การสูบบุหรี่น่าจะมีผลเป็นพิษต่อจอตา"[13]
  • ความดันโลหิตสูง - ในงานศึกษา ALIENOR ปี 2013 AMD ระยะต้นและระยะปลายไม่สัมพันธ์กับความดันโลหิตทั้งบนและล่างอย่างสำคัญ หรือกับความดันโลหิตสูง หรือกับการใช้ยาลดความดัน แต่ความดันพัลส์ (pulse pressure คือความต่างระหว่างความดันบนและล่าง) ที่สูงขึ้น สัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของ AMD ระยะปลาย อย่างสำคัญ[14]
  • โรคหลอดเลือดแดงแข็ง
  • คอเลสเตอรอลสูง - อาจเพิ่มความเสี่ยง[15]
  • โรคอ้วน - โดยเฉพาะที่ท้อง เป็นปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะสำหรับผู้ชาย[16]
  • การทานไขมัน - การบริโภคไขมันบางอย่างเป็นจำนวนมากรวมทั้งไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ และกรดไขมันโอเมกา-6 น่าจะมีผลให้เกิด AMD ในขณะที่ไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่เดียว (monounsaturated fat) อาจช่วยป้องกัน[17] โดยเฉพาะก็คือ กรดไขมันโอเมกา-3 อาจช่วยลดความเสี่ยง AMD[18]
  • การถูกแดด โดยเฉพาะแสงอาทิตย์ที่มีความยาวคลื่น 400-500 นาโนเมตร แต่หลักฐานก็ไม่ชัดเจนว่า การถูกแดดมีผลต่อการเกิดจุดภาพชัดเสื่อมจริง ๆ หรือไม่ งานปี 2006 ที่มีผู้เข้าร่วม 446 คนพบว่า มันไม่มีผล[19] แต่ก็มีงานวิจัยอื่นที่แสดงว่า แสงในพิสัยที่เห็นได้และมีพลังงานสูงอาจช่วยให้เกิด AMD[20][21]

กรรมพันธุ์ แก้

พี่น้องของคนไข้ AMD มีโอกาสเกิดโรคสูงถึง 3-6 เท่าเทียบกับกลุ่มประชากรทั่วไป[22] การวิเคราะห์ความเชื่อมโยงของพันธุกรรมได้ระบุยีนต่าง ๆ 5 เซตที่ตำแหน่ง 3 ตำแหน่งในโครโมโซมต่าง ๆ (1, 6 และ 10) ว่าอธิบายความเสี่ยงถึง 50% ยีนเหล่านีมีบทบาทในการควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน กระบวนการอักเสบ และภาวะธำรงดุลในจอตา เพราะความต่าง ๆ ของยีนเหล่านี้ทำให้เกิดการทำงานผิดปกติแบบต่าง ๆ ในระยะยาว นี่มีผลเป็นการสะสมเศษเหลือของเมแทบอลิซึมทั้งภายในเซลล์และนอกเซลล์ ซึ่งมีผลสร้างตำหนิที่จอตาหรือทำให้เส้นเลือดเสีย

มีการตรวจทางกรรมพันธุ์สำหรับยีนเช่นนี้บางอย่าง แต่ว่า พยาธิกำเนิดของจุดภาพชัดเสื่อม เป็นปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิต ดังนั้น ปัจจัยทางพันธุกรรมที่ไม่ดีจึงไม่สามารถพยากรณ์อย่างแน่นอนว่าจะมีโรค ตำแหน่ง 3 โลคัสที่ได้ระบุในยีนต่าง ๆ รวมทั้ง

  • Complement Factor H (CFH) บนโครโมโซม 1 ที่ตำแหน่ง 1q31.3[23]
  • HTRA serine peptidase 1/Age Related Maculopathy Susceptibility 2 (HTRA1/ARMS2) บนโครโมโซม 10 ที่ตำแหน่ง 10q26
  • Complement Factor B/Complement Component 2 (CFB/CC2) บนโครโมโซม 6 ที่ตำแหน่ง 6p21.3

ยีนโดยเฉพาะ ๆ แก้

  • ภาวะพหุสัณฐานของยีนสำหรับโปรตีนใน complement system[A] คือโปรตีน factor H (CFH), factor B (CFB) และ factor 3 (C3) สัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิด AMD อย่างมีกำลัง โดย CFH มีบทบาทยับยั้งการตอบสนองแบบอักเสบ และการกลายพันธุ์ของ CFH (Y402H) จะลดสมรรถภาพการควบคุม complement system ที่ผิวร่างกายส่วนสำคัญ ๆ รวมทั้งจอตา ซึ่งทำให้การตอบสนองแบบอักเสบเพิ่มขึ้นที่จุดภาพชัด ส่วนการไม่มียีน complement factor H-related genes คือ R3 และ R1 จะช่วยป้องกัน AMD[25][26] งานวิจัยสองงานที่เป็นอิสระจากกันในปี 2007 แสดงว่า การกลายพันธุ์อย่างหนึ่งที่สามัญ คือ Arg80Gly ในยีน C3 ซึ่งเป็นโปรตีนหลักของ complement system สัมพันธ์อย่างมีกำลังกับการเกิด AMD[27][28] นักวิจัยของทั้งสองงานมีความเห็นว่า นี่แสดงอิทธิพลของวิถีการทำงานใน complement system ในพยาธิกำเนิดของโรคนี้
  • งานวิจัยปี 2006 อีกสองงาน ได้ระบุยีนอีกยีนหนึ่งที่สัมพันธ์กับการเกิดโรค คือ HTRA1 ซึ่งเข้ารหัสเอนไซม์ที่ร่างกายหลั่งคือ serine protease[29][30]
  • การกลายพันธุ์ 6 แบบของยีน SERPING1[B] สัมพันธ์กับ AMD การกลายพันธุ์ของยีนนี้ยังสามารถเป็นเหตุให้เกิดโรค hereditary angioedema (การบวมอย่างรุนแรงที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพราะกรรมพันธุ์)[31]
  • การกลายพันธุ์ของ Fibulin-5 (FBLN5) เป็นโรคที่มีน้อยซึ่งเกิดจากความบกพร่องทางพันธุกรรมของยีน fibulin-5 ในรูปแบบยีนออโตโซมแบบเด่น งานวิจัยปี 2004 ที่ตรวจคัดคนไข้ AMD 402 คนได้แสดงสหสัมพันธ์ที่สำคัญทางสถิติระหว่างการกลายพันธุ์ของยีน fibulin-5 และการเกิดโรค

ยีนเนื่องกับไมโทคอนเดรีย แก้

ภาวะพหุสัณฐานของยีนเนื่องกับไมโทคอนเดรีย เช่นในโมเลกุล MT-ND2 จะเป็นตัวพยากรณ์ AMD แบบเปียก[32][33]

 
ตามนุษย์ตัดขวาง

พยาธิสรีรวิทยา แก้

พยาธิกำเนิดของจุดภาพชัดเสื่อมเนื่องกับอายุยังไม่ชัดเจน แม้จะมีทฤษฎีต่าง ๆ รวมทั้ง oxidative stress, การทำงานผิดปกติของไมโทคอนเดรีย, และกระบวนการอักเสบต่าง ๆ

ความไม่สมดุลระหว่างการเกิดกับการกำจัดองค์ประกอบของเซลล์ที่เสียหาย ทำให้สะสมผลิตผลที่มีผลลบ เช่น lipofuscin ภายในเซลล์ และ drusen นอกเซลล์ การฝ่อระยะเริ่มต้น (incipient atrophy) จะปรากฏเป็นบริเวณของ Retinal pigment epithelium (RPE) ที่บางลดหรือซีดลง โดยเกิดก่อนการฝ่อแบบ geographic atrophy ในระยะต้น ๆ ของ AMD ในระยะหลัง ๆ ของโรค RPE ที่ฝ่อเป็น geographic atrophy และ/หรือเกิดเส้นเลือดงอกผิดปกติ (neovascularization) จะมีผลให้เซลล์รับแสงตายและให้เสียการเห็นตรงกลาง

ในโรคแบบแห้ง เศษเหลือขององค์ประกอบเซลล์ที่เรียกว่า drusen จะสะสมในชั้นระหว่างจอตากับคอรอยด์ ซึ่งทำให้จอตาฝ่อหรือเกิดตำหนิ (scarring) ในโรคแบบเปียกซึ่งรุนแรงกว่า เส้นเลือดจะงอกขึ้นจากคอรอยด์ (neovascularization) ใต้จอตาซึ่งสามารถรั่วให้น้ำหรือเลือดซึมออก

 
drusen แบบอ่อนที่จุดภาพชัด - ตาขวาของชายอายุ 70 ปี

งานวิจัยต้น ๆ พบตัวสื่อภูมิคุ้มกัน (immune mediator) มากใน drusen[34] complement factor H (CFH) เป็นสารยับยั้งที่สำคัญในลำดับการเกิดการอักเสบ (inflammatory cascade) เช่นนี้ และภาวะพหุสัณฐานที่สัมพันธ์กับโรคในยีน CFH จะสัมพันธ์อย่างมีกำลังกับ AMD[35][36][37][38][39] ดังนั้น จึงมีการเสนอแบบจำลองทางพยาธิสรีรวิทยาเนื่องกับการทำงานของ complement system ในระดับต่ำอย่างเรื้อรัง และการอักเสบในจุดภาพชัด[40][41] ทฤษฎีนี้ได้การยืนยันเมื่อค้นพบภาวะพหุสัณฐานที่สัมพันธ์กับโรคในองค์ประกอบอื่น ๆ ในลำดับการทำงานของ complement system รวมทั้ง complement component 3 (C3)[42]

ตัวพยากรณ์ที่มีกำลังของ AMD พบอยู่ที่โครโมโซมโลคัส 10q26 คือ LOC 387715 ภาวะพหุสัณฐานเนื่องจากการแทรก/การลบที่ตำแหน่งนี้ จะลดการแสดงออกของยีน ARMS2[C] โดยทำให้ mRNA ของมันไม่เสถียรผ่านการลบส่วน polyadenylation signal[43] โปรตีน ARMS2 อาจเกิดในไมโทคอนเดรียและมีบทบาทในเมแทบอลิซึมเกี่ยวกับพลังงาน แม้รายละเอียดการทำงานของมันยังจะไม่ชัดเจน

ยีนส่อความเสี่ยงว่าโรคจะเป็นเพิ่มรวมทั้ง tissue inhibitor of metalloproteinase 3 (TIMP3) ซึ่งอาจแสดงว่า เมแทบอลิซึมของเมทริกซ์นอกเซลล์ (extracellular matrix) มีบทบาทในการก้าวหน้าของโรค[44] ความต่าง ๆ ของยีนที่สร้างหรือสลายคอเลสเตอรอล เช่น hepatic lipase, cholesterol ester transferase, lipoprotein lipase และ ATP-binding cassette A1 จะสัมพันธ์กับการก้าวหน้าของโรค และตัวบ่งโรคระยะต้น คือ drusen ก็สมบูรณ์ไปด้วยคอเลสเตอรอล ซึ่งแสดงความสมเหตุสมผลอย่างเผิน ๆ กับความสัมพันธ์ที่พบในงานศึกษาทั่วทั้งจีโนมต่าง ๆ[45]

ระยะ แก้

ใน AMD จะมีการเพิ่มการสะสมของตะกอนสีเหลือง ๆ ซึ่งเป็นโปรตีนและลิพิดนอกเซลล์ เป็นลักษณะเฉพาะของโรค และเรียกว่า drusen ที่จุดภาพชัดซึ่งเป็นส่วนของจอตา ในระหว่าง retinal pigment epithelium กับคอรอยด์ที่อยู่ข้างใต้ ซึ่งเชื่อว่าทำจอตาให้เสียหายในระยะยาว เพปไทด์ของกรดอะมิโน 36-43 ชนิดที่เรียกว่า amyloid beta ซึ่งสะสมอยู่ในสมองของคนไข้โรคอัลไซเมอร์ เป็นโปรตีนอีกอย่างหนึ่งที่สะสมในคนไข้ AMD ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ AMD บางครั้งเรียกว่า โรคอัลไซเมอร์ของตาหรือของจอตา[46] AMD สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ ระยะต้น (early) กลาง (intermediate) และปลาย (late) โดยส่วนหนึ่งก็เพราะขนาดและหมายเลขกำหนดของ drusen[1]

พยาธิสภาพของ AMD จะเริ่มด้วยการสะสม drusen สีเหลือง ๆ ในจุดภาพชัด ระหว่าง retinal pigment epithelium กับคอรอยด์ที่อยู่ข้างใต้ คนไข้ไโดยมากที่เริ่มมีอาการเช่นนี้ (ซึ่งเรียกว่า age-related maculopathy) ยังเห็นได้ดีอยู่ คนไข้ที่มี drusen อาจจะเกิดหรือไม่เกิด AMD และจริง ๆ แล้ว คนอายุมากกว่า 60 ปีโดยมากจะมี drusen โดยไม่มีผลเสียอะไร ความเสี่ยงเกิดอาการจะสูงกว่าเมื่อ drusen ใหญ่หรือมีจำนวนมาก และสัมพันธ์กับความผิดปกติของชั้น pigmented cell ใต้จุดภาพชัด drusen ขนาดใหญ่และอ่อนเชื่อว่า สัมพันธ์กับการสะสมคอเลสเตอรอลในระดับสูงขึ้น

ระยะต้น แก้

AMD ระยะต้นจะวินิจฉัยอาศัยการมี drusen ขนาดกลาง ซึ่งก็คือเท่ากับความกว้างของผมมนุษย์ (ราว ๆ 30-100 ไมโครเมตร) แต่โรคในระยะนี้ปกติจะไม่มีอาการ[1]

ระยะกลาง แก้

AMD ระยะกลางจะวินิจฉัยอาศัยการมี drusen ขนาดใหญ่ และ/หรือการมีสีจอตาที่ผิดปกติ โรคระยะกลางอาจเป็นเหตุให้สูญการเห็น แต่ก็ยังเหมือนกับระยะต้นคือปกติจะไม่มีอาการ[1][47]

ระยะปลาย แก้

ในโรคระยะปลาย จอตาเสียหายพอที่จะเสียการเห็นตรงกลางนอกเหนือจากการมี drusen ซึ่งอาจเป็นการฝ่อ หรือการเริ่มมีเส้นเลือดงอกใหม่ AMD ระยะปลายยังแบ่งออกเป็นองกลุ่มย่อย ๆ ขึ้นอยู่กับประเภทความเสียหาย คือ แบบแห้ง (dry/geographic atrophy) และแบบเปียก (wet/neovascular)[47][1]

แบบแห้ง แก้

AMD แบบแห้ง (หรือแบบไม่ซึม [nonexudative]) เป็นการระบุโรคอย่างกว้าง ๆ ซึ่งรวมเอารูปแบบทุกอย่างที่ไม่ใช่แบบเปียก รวมทั้ง AMD ระยะต้นและระยะกลาง และระยะปลายแบบ geographic atrophy คนไข้แบบนี้มักจะมีอาการน้อยในระยะก่อน ๆ การเสียการเห็นจะเกิดมากขึ้นถ้าโรคลามจนถึงขั้น geographic atrophy คนไข้ 80-90% จะมีโรคแบบแห้ง และอาการจะลามอย่างช้า ๆ ในกรณี 10-20% โรคจะลามเป็นแบบเปียก

Geographic Atrophy แก้

Geographic atrophy หรือ atrophic AMD เป็นรูปแบบระยะหลัง ๆ ของ AMD ที่การเสียเซลล์รับแสงในจอตาซึ่งเป็นไปอย่างต่อเนื่องและแก้คืนไม่ได้ จะทำให้เสียการเห็นเป็นบางส่วน

แบบเปียก แก้

AMD แบบเปียก หรือแบบ neovascular (เส้นเลือดงอกผิดปกติ) หรือแบบ exudative (ซึม) เป็นรูปแบบระยะหลัง ๆ ของ AMD ที่ทำให้เสียการเห็นเนื่องจากการเกิดเส้นเลือดงอกผิดปกติ (choroidal neovascularization) ใน choriocapillaris ผ่าน Bruch's membrane ปกติจะมี AMD แบบแห้งเกิดขึ้นก่อน แต่ก็ไม่เสมอไป โดย vascular endothelial growth factor (VEGF) จะกระตุ้นให้เพิ่มจำนวนเส้นลือดที่ไม่ปกติในจอตา แต่โชคไม่ดีว่า เพราะเส้นเลือดเหล่านี้ผิดปกติจึงเปราะบางมาก ซึ่งในที่สุดทำให้เลือดและโปรตีนซึมออกเข้าไปข้างใต้จุดภาพชัด สร้างตำหนิ ในที่สุดทำให้เซลล์รับแสงเสียหายอย่างแก้ไม่ได้ และทำให้เสียการเห็นอย่างรวดเร็วถ้าไม่รักษา

Oxidative stress แก้

การสะสมเนื่องกับอายุของเมลานิน ในรูปแบบ oligomer[D] ที่มีมวลโมเลกุลน้อย มีพิษเหตุแสง และโปรโหมตออกซิเดชัน ภายในไลโซโซมของ retinal pigment epithelium (RPE) อาจเป็นเหตุโดยบางส่วนต่อการย่อยสลาย photoreceptor outer rod segments (POS) ของ RPE ในอัตราที่ลดลง ซึ่งแสดงแล้วว่า สัมพันธ์กับการเกิด lipofuscin[E] อันเป็นอาการเฉพาะสำคัญของ AMD[51][52]

ความเป็นเหตุของ oxidative stress ในจอตาต่อ AMD เพราะทำจุดภาพชัดให้อักเสบเพิ่มขึ้น ได้หลักฐานจากอัตราโรคที่สูงขึ้นในผู้สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต[53][54][55] โดยการทำงานผิดปกติของไมโทคอนเดรียก็อาจมีบทบาทด้วย[56]

 
การตรวจ AMD ในเยื่อตามนุษย์ด้วยกล้องจุลทรรศน์รายละเอียดสูง
 
Amsler grid ถ้าเห็นเป็นปกติจะเห็นเป็นตะแกรงเส้นตรง
 
Snellen chart ใช้ในการตรวจว่าเห็นภาพชัดแค่ไหน
 
Farnsworth-Munsell 100 hue test ใช้สำหรับตรวจการเห็นสี 100 สี

การวินิจฉัย แก้

การวินิจฉัยโรคจะขึ้นอยู่กับอาการที่จุดภาพชัด โดยไม่เกี่ยวกับการเห็นได้ชัด (visual acuity) การวินิจฉัยอาจรวมวิธีการดังต่อไปนี้

  • การเปลี่ยนรูปแบบจากแห้งเป็นเปียกสามารถเกิดได้อย่างรวดเร็ว และถ้าไม่รักษา ก็อาจทำให้ถึงตาบอดตามกฎหมายโดยอาจเกิดภายใน 6 เดือน เพื่อป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ และเพื่อเริ่มกลยุทธ์ป้องกันในตั้งแต่ระยะต้น ๆ แพทย์อาจทดสอบการปรับตัวเข้ากับที่มืด ซึ่งสามารถตรวจจับ AMD ที่ยังไม่ปรากฏอาการถึง 3 ปีก่อนจะปรากฏในระดับคลินิก[57][58]
  • มีการเสียความไวความเปรียบต่าง ทำให้การเห็นรูปร่าง เงา และการเห็นเป็นสีแย่ลง ความเปรียบต่างที่เสียไปสามารถวัดได้อย่างรวดเร็วและง่าย ๆ โดยใช้การทดสอบเช่น Pelli Robson ไม่ว่าจะทำที่บ้านหรือในคลินิก
  • เมื่อให้ดู Amsler grid เส้นตรงบางเส้นจะปรากฏเป็นรูปคลื่น และอาจมีบางส่วนที่ดูเหมือนเปล่า ๆ
  • เมื่อให้ดู Snellen chart ตาจะเห็นแย่ลงอย่างน้อยสองเส้น
  • การเปลี่ยนแปลงของลานสายตาที่วัดโดย Preferential hyperacuity perimetry (สำหรับโรคแบบเปียก)[59][57]
  • ในโรคแบบแห้ง ซึ่งเกิดในคนไข้ 85-90% จะสามารถเห็น drusen ในภาพถ่ายก้นตา (fundus photography)
  • ในโรคแบบเปียก การบันทึกภาพรังสีหลอดเลือด (angiography) สามารถใช้ตรวจดูการซึมออกของเส้นเลือดหลังจุดภาพชัด ส่วน Fluorescein angiography สามารถใช้ระบุและกำหนดที่ที่เกิดเส้นเลือดที่ผิดปกติ
  • ภาพคลื่นไฟฟ้าจอตา (ERG) สามารถใช้หาส่วนจุดภาพชัดที่ตอบสนองน้อยผิดปกติหรือไม่ตอบสนองเทียบกับตาปกติ
  • Farnsworth-Munsell 100 hue test และ Maximum Color Contrast Sensitivity test (MCCS) สามารถใช้ตรวจการเห็นสีและความไวความเปรียบต่างของสี
  • Optical coherence tomography อาจใช้เพื่อวินิจฉัยและติดตามการรักษาด้วยยายับยั้งกำเนิดเส้นเลือด

เนื้อเยื่อ แก้

  • การเปลี่ยนสีของจอตา นอกจากจะมีเซลล์มีสารสี (pigmented cell) ที่ม่านตาแล้ว ก็ยังมีเซลล์มีสารสีใต้จอตาอีกด้วย เมื่อเซลล์เหล่านี้สลายและปล่อยสารสี ก็อาจเกิดสีที่จับเป็นก้อน ๆ แล้วต่อมา บริเวณที่ซีดลงก็อาจปรากฏ
  • การเปลี่ยนแปลงเนื่องกับการซึม เช่น เลือดออกในตา, สารซึมออกที่จับก้อน, และน้ำใต้จอตา ใต้ RPE หรือในจอตา
  • drusen ซึ่งเป็นสารนอกเซลล์ซึ่งสะสมที่จอตา แม้มักจะโทษว่าเป็นเหตุให้เสียการเห็นเพิ่มขึ้น ๆ แต่ก็สามารถมีที่จอตาโดยไม่เสียการเห็น คือคนไข้บางคนที่มี drusen สะสมเป็นจำนวนมากก็ยังเห็นภาพชัดปกติ การรับแสงที่จอตาแล้วส่งข้อมูลภาพยังเป็นไปได้เมื่อมี drusen สะสมอย่างหนาแน่น ดังนั้น แม้จะโทษ drusen ได้ว่าทำให้เสียการเห็น แต่ก็จะต้องมีปัจจัยอย่างอื่นอีกที่เป็นเหตุ

การป้องกัน แก้

งานทบทวนวรรณกรรมแบบคอเครนปี 2012 พบว่า การใช้อาหารเสริมเป็นวิตามินและแร่ธาตุในกลุ่มประชากรทั่วไป ไม่มีผลว่าจะเกิด AMD หรือไม่[5]

การรักษา แก้

อาหารเสริมที่มี lutein และซีอาแซนทิน อาจช่วยทำให้อาการแย่ช้าลง[6][60] แต่ก็ไม่พบว่าช่วยป้องกันโรค[60] ยังไม่มีหลักฐานพอเพื่อระบุว่ายากลุ่ม statins (มักใช้ลดไขมัน) ช่วยป้องกันหรือทำให้โรคแย่ช้าลงหรือไม่[61]สเตอรอยด์ระงับการเกิดเส้นเลือด เช่น anecortave acetate และ triamcinolone acetonide ไม่มีหลักฐานว่าช่วยป้องกันไม่ให้เสียการเห็นสำหรับคนไข้โรคแบบเปียก (neovascular AMD)[62]

แบบแห้ง แก้

ไม่มียาหรือการผ่าตัดรักษาเพื่อโรคแบบนี้

แบบเปียก แก้

โรคแบบนี้สามารถรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ (laser coagulation) หรือที่สามัญกว่าคือด้วยการฉีดยาระงับและบางครั้งย้อนกลับการเกิดเส้นเลือดใหม่ ๆ[63][64]

งานทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมพบว่ายา bevacizumab (เบวะซิซิวแมบ) และ ranibizumab มีประสิทธิผลคล้าย ๆ กัน โดยไม่มีผลลบเพิ่มขึ้นเมื่อใช้เบวะซิซิวแมบ[65]งานทบทวนวรรณกรรมแบบคอเครนพบว่า ความปลอดภัยทั้งระบบของเบวะซิซิวแมบและ ranibizumab คล้ายกันเมื่อใช้รักษาโรคแบบเปียก (neovascular AMD) ยกเว้นในเรื่องปัญหาทางเดินอาหาร (gastrointestinal disorders, MedDRA SOC)[66]

อย่างไรก็ดี องค์การอาหารและยาสหรัฐยังไม่ได้อนุมัติให้ใช้ยาเบวะซิซิวแมบเพื่อรักษาจุดภาพชัดเสื่อม และก็เป็นปัญหาที่ถกเถียงอย่างยังไม่ยุติในสหราชอาณาจักรเรื่องการใช้เบวะซิซิวแมบเพื่อรักษาอย่างไม่ได้อนุมัติ แทน ranibizumab ที่ได้อนุมัติแต่แพงกว่าเป็นสิบ ๆ เท่า[67][68]

  • บริษัทยาอ้างว่า แพทย์ที่ใช้ยาซึ่งมีราคาถูกกว่าแต่ปรากฏว่าได้ผลคล้ายกัน แลกความปลอดภัยของคนไข้เพื่อลดค่าใช้จ่าย (โดยเฉพาะของรัฐ) โดยเฉพาะเมื่อมียาที่ได้รับอนุมัติ และเป็นการบ่อนทำลายกระบวนการควบคุมของรัฐเพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้บริโภค
  • ผู้สนับสนุนอ้างว่า บริษัทไม่ควรมีอำนาจยุติการใช้ยาที่ถูกกว่าเพื่อให้ตัวเองได้กำไรมากที่สุด

ในประเทศไทย ยา ranibizumab ได้ขึ้นทะเบียนยาเพื่อข้อบ่งชี้การรักษาโรคแบบเปียกในปี พ.ศ. 2554 โดยมีราคาประมาณ 54,000 บาทต่อเข็ม และผู้ป่วยบางรายจำเป็นต้องได้รับยาหลายครั้ง ทำให้คนไข้ในระบบบัตรทอง สามารถเข้าถึงการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์เพียงอย่างเดียว จนกระทั่งคณะกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักได้ขึ้นทะเบียนยาเบวะซิซิวแมบในบัญชียาหลักแห่งชาติ "จ (2)" ซึ่งเป็นบัญชีย่อยที่ควบคุมในระดับสูงสุด ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะโรคหรือเทคโนโลยีขั้นสูง และมีราคาแพงมาก คนไข้จึงมีทางเลือกในการรักษาเพิ่มขึ้น โดยยานี้มีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 บาทต่อเข็ม เป็นยาที่แบ่งมาจากยาขนาดใหญ่ที่รักษามะเร็ง[3]

ยา ranibizumab เป็นส่วนย่อย คือ Fab fragment ของโมเลกุลยาเบวะซิซิวแมบ และเป็นยาที่ใช้โดยเฉพาะเพื่อฉีดเข้าในตา ยายับยั้งกำเนิดหลอดเลือดอื่น ๆ ที่อนุมัติให้รักษา AMD ชนิดเปียกรวมทั้ง pegaptanib[69] และ aflibercept[70]

แนวทางการรักษาของสถาบันจักษุวิทยาอเมริกัน (American Academy of Ophthalmology) ไม่แนะนำการยิงเลเซอร์ (laser coagulation) เพื่อรักษาจุดภาพชัดเสื่อม แต่ก็กล่าวว่า มันอาจมีประโยชน์สำหรับคนไข้ที่มีเส้นเลือดใหม่ในคอรอยด์ที่อยู่นอกรอยบุ๋มจอตาผู้ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา[71][72] มีหลักฐานที่มีกำลังว่า การยิงเลเซอร์จะทำให้ drusen หายไป แต่ไม่มีผลต่อการงอกใหม่ของเส้นเลือดในคอรอยด์[73] งานทบทวนแบบคอเครนปี 2007 พบว่า การยิงเลเซอร์สำหรับเส้นเลือดใหม่ในคอรอยด์นอกรอยบุ๋มจอตา มีประสิทธิผลและมีค่าใช้จ่ายน้อย แต่ประโยชน์จะจำกัดต่อเส้นเลือดที่ติดกับหรืออยู่ใต้รอยบุ๋มจอตา[74]

การรักษาแบบ Photodynamic therapy ก็ได้ใช้สำหรับโรคแบบเปียกด้วย[75] โดยให้ยา verteporfin ผ่านหลอดเลือดดำ แล้วฉายแสงซึ่งมีความยาวคลื่นโดยเฉพาะที่เส้นเลือดซึ่งผิดปกติ แล้วทำให้ verteporfin ออกฤทธิ์ทำลายเส้นเลือด

การผ่าตัดรักษาต้อกระจกสามารถทำให้คนไข้ AMD เห็นได้ดีขึ้น แม้จะมีความกังวลว่า การผ่าตัดอาจทำให้ AMD ให้แย่ลง งานทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมหนึ่งพบว่า ผู้ที่ผ่าตัดต้อกระจกทันที (ภายในสองอาทิตย์) จะเห็นได้ชัดกว่าและมีคุณภาพชีวิตดีกว่าผู้ที่รอผ่าตัดต้อกระจก (หกเดือน)[76]

 
นักประพันธ์เพลงชาวอิสราเอลผู้เป็นโรค AMD กำลังเช็คต้นฉบับโน้ตดนตรีโดยใช้โทรทัศน์วงจรปิดแบบติดโต๊ะ

อุปกรณ์ช่วยปรับตัว แก้

เพราะไม่มีผลต่อการเห็นรอบนอก คนไข้โรค AMD อาจเรียนรู้ใช้การเห็นที่เหลือเพื่อชดเชยการเห็นที่เสียไป[77] มีการให้ความช่วยเหลือในประเทศต่าง ๆ หลายประเทศและในทุก ๆ รัฐในสหรัฐอเมริกา[78] มีการให้การศึกษาเพื่อ "การใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ" และมีเทคโนโลยีบางอย่างที่สามารถได้จากองค์กรช่วยฟื้นฟูสภาพของรัฐ

อุปกรณ์ช่วยปรับตัวสามารถช่วยให้อ่านหนังสือได้ รวมทั้งแว่นขยาย แว่นตาพิเศษ เครื่องอ่านหนังสือผ่านจอคอมพิวเตอร์ และระบบโทรทัศน์เพื่อขยายสิ่งที่อ่าน

โปรแกรมอ่านหนังสือผ่านจอคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น JAWS หรือ Thunder สามารถใช้กับคอมพิวเตอร์พร้อมระบบวินโดวส์ธรรมดา ๆ และก็มีอุปกรณ์เสริมเพื่อผลิตภัณฑ์จากบริษัทแอปเปิลที่มีคุณสมบัติต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งตัวออกเสียงอ่านหนังสือ เครื่องอ่านหนังสือผ่านจอคอมพิวเตอร์ อักษรเบรลล์ เป็นต้น

กล้องวิดีโอสามารถส่งสัญญาณให้กับจอคอมพิวเตอร์ธรรมดาหรือที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ พร้อมขยายภาพได้ ระบบเช่นนี้บ่อยครั้งมีส่วนวางหนังสือที่เลื่อนได้เพื่อขยับสิ่งที่อ่าน

ในประเทศตะวันตก มีหนังสือที่พิมพ์ตัวโตเป็นพิเศษ การพิมพ์ลายแบบต่าง ๆ เพื่อให้ติดตามตัวอักษรได้ง่ายขึ้น หนังสืออ่านออกเสียง และหนังสืออ่าน (DAISY) สำหรับเครื่องเล่นที่แสดงทั้งตัวหนังสือและออกเสียงอ่าน

 
จำนวนปีที่เสียไปเนื่องจากสุขภาพไม่ดี ความพิการ หรือความตายก่อนวัย (Disability-adjusted life year, DALY) สำหรับโรคจุดภาพชัดเสื่อมและโรคอวัยวะรับความรู้สึกอื่น ๆ ต่อประชากร 100,000 คนในปี 2004[79]
  ไม่มีข้อมูล
  น้อยกว่า 100
  100-114
  114-128
  128-142
  142-156
  156-170
  170-184
  184-198
  198-212
  212-226
  226-240
  มากกว่า 240

วิทยาการระบาด แก้

จุดภาพชัดเสื่อมเนื่องกับอายุเป็นเหตุของการเสียการเห็นของคนขาว 54% ในสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันประมาณ 8 ล้านคนมีโรคในระยะต้น โดยจะมีล้านคนที่เกิดโรคระยะหลัง ๆ ภายใน 5 ปีต่อมา ในสหราชอาณาจักร AMD เป็นเหตุของตาบอด (ตามกฎหมาย) เกือบ 42% ในผู้ที่ตาบอดในช่วงอายุ 65-74 ปี, เกือบ 2/3 ในช่วงอายุ 75-84 ปี, และเกือบ 3/4 สำหรับคนอายุ 85 ปีหรือมากกว่านั้น

คนขาวมีความเสี่ยงมากกว่าคนที่มีเชื้อสายแอฟริกัน[80][81]

ทิศทางงานวิจัย แก้

ความสัมพันธ์กับโรคเนื่องด้วยอายุอื่น ๆ แก้

งานศึกษาแสดงว่า drusen ที่สัมพันธ์กับ AMD มีองค์ประกอบทางโมเลกุลคล้ายกับคราบตะกอน Beta-Amyloid (βA) ที่พบในโรคเนื่องกับอายุอื่น ๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ซึ่งอาจแสดงว่า วิถีการทำงานทางเคมี/ชีวภาพเดียวกันอาจเป็นสมุฏฐานของโรค AMD และโรคเนื่องกับอายุอื่น ๆ[82]

การทดสอบยีน แก้

การประยุกต์ใช้ยีนบ่งโรคอย่างหนึ่งก็คือ การพยากรณ์ว่าโรคจะแย่ลงจากระยะต้น ๆ จนเกิดเส้นเลือดงอกผิดปกติ (neovascularization)[44][83] คือกลายเป็นโรคแบบเปียก

การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด แก้

ปัจจุบันกำลังมีการศึกษาเพื่อรักษาในระดับเซลล์โดยอาศัยเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกและการปลูกถ่าย retinal pigment epithelium[84] มีงานทดลองหลายงานที่ทำในมนุษย์ที่มีผลให้ความหวัง[85]

ประเภทอื่น ๆ แก้

มีโรคจุดภาพชัดเสื่อมอื่น ๆ ที่มีน้อยและมีอาการคล้ายกันแต่มีเหตุที่ไม่เหมือนกันกับ AMD ไม่ว่าจะแบบแห้งหรือแบบเปียก ซึ่งล้วนเป็นความผิดปกติของยีนที่มีอาการตั้งแต่เด็กหรือในช่วงวัยกลางคน รวมทั้ง

  • Best's disease (Vitelliform macular dystrophy) เป็นโรคตาที่มีเหตุจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์แบบออโตโซมแบบเด่น ซึ่งทำให้เสียการเห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โรคนี้มีผลต่อจอตา โดยเฉพาะต่อเซลล์ในจุดภาพชัด
  • Sorsby's fundus dystrophy เป็นโรคจอตาที่เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์แบบออโตโซมแบบเด่น ที่ทำให้เห็นไม่ชัดอย่างฉับพลัน เนื่องจากการเกิดเส้นเลือดใต้จุดภาพชัด เป็นโรคที่รักษาไม่ได้
  • Stargardt's disease (โรคจุดภาพชัดเสื่อมในวัยเด็ก, juvenile macular degeneration, STGD) เป็นโรคจอตาที่เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์แบบออโตโซมแบบด้อย ที่เกิดการเจริญผิดปกติที่จุดภาพชัด (macular dystrophy) เริ่มในวัยเด็ก เกิดการเปลี่ยนแปลงรอบ ๆ จอตา และการสะสมสิ่งที่คล้าย lipofuscin[E] ใต้จอตา

อาการที่คล้าย ๆ กันแต่มีสมุฏฐานต่างกันมาก และรักษาต่างกัน อาจมีเหตุจาก epiretinal membrane/macular pucker หรือภาวะอื่น ๆ ที่มีผลต่อจุดภาพชัด เช่น central serous retinopathy

คนไข้ดัง แก้

เชิงอรรถ แก้

  1. complement system เป็นส่วนของระบบภูมิคุ้มกันที่เสริม (คือ complement) สมรรถภาพของสารภูมิต้านทานและเซลล์กลืนกิน ในการกำจัดจุลินทรีย์และเซลล์ที่เสียหายจากระบบ โปรโหมตการอักเสบ และโจมตีเยื่อหุ้มเซลล์ของจุลชีพก่อโรค มันเป็นส่วนของ innate immune system[24] ซึ่งไม่สามารถปรับตัวได้และจะไม่เปลี่ยนตลอดชีวิต แต่สามารถให้ออกฤทธิ์ได้โดยระบบภูมิคุ้มกันที่ปรับตัวได้
  2. Serpin Peptidase Inhibitor, Clade G (C1 Inhibitor), Member 1
  3. Age-related maculopathy susceptibility protein 2 เป็นโปรตีนของไมโทคอนเดรียซึ่งในมนุษย์เข้ารหัสโดยยีน ARMS2
  4. ในเคมี โอลิโกเมอร์ (oligomer, /əˈlɪɡəmər/ จากคำว่า oligo- แปลว่า "น้อย" และ -mer "ส่วนประกอบ" ) เป็นคอมเพล็กซ์โมเลกุลที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์จำนวนไม่มาก โดยเทียบกับพอลิเมอร์ ซึ่งตามหลักมีมอนอเมอร์อย่างไม่จำกัด[48] ยกตัวอย่างเช่น ไดเมอร์, ทริเมอร์, และเททราเมอร์ เป็นโอลิโกเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ 2 ส่วน 3 ส่วน และ 4 ส่วนตามลำดับ
  5. 5.0 5.1 lipofuscin เป็นชื่อของเม็ดเล็ก ๆ สีเหลือง-น้ำตาลที่ประกอบด้วยเรซิดิวที่มีลิพิด เนื่องจากกระบวนการย่อยสลายของไลโซโซม[49][50]

อ้างอิง แก้

  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 1.19 1.20 1.21 1.22 1.23 1.24 1.25 1.26 1.27 "Facts About Age-Related Macular Degeneration". National Eye Institute. 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-12-22. สืบค้นเมื่อ 2015-12-21.
  2. 2.0 2.1 "Global, regional, and national incidence, prevalence, and years lived with disability for 310 diseases and injuries, 1990-2015: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2015". Lancet. 388 (10053): 1545–1602. 2016-10-08. doi:10.1016/S0140-6736(16)31678-6. PMC 5055577. PMID 27733282.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 ชลัญธร โยธาสมุทร (2014). "ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคจุดภาพชัดของจอตา" (PDF). จุลสารโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ ปีที่ 5 ฉบับที่ 17 กรกฎาคม-กันยายน 2555. โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. p. 3. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-18. สืบค้นเมื่อ 2018-05-28.{{cite web}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  4. 4.0 4.1 4.2 Mehta, S (2015). "Age-Related Macular Degeneration". Primary care. 42 (3): 377–91. doi:10.1016/j.pop.2015.05.009. PMID 26319344.
  5. 5.0 5.1 Evans, JR; Lawrenson, JG (2012). Evans, Jennifer R (บ.ก.). "Antioxidant vitamin and mineral supplements for preventing age-related macular degeneration". Cochrane Database Syst Rev. 6: CD000253. doi:10.1002/14651858.CD000253.pub3. PMID 22696317.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  6. 6.0 6.1 Evans, JR; Lawrenson, JG (2012-11-14). "Antioxidant vitamin and mineral supplements for slowing the progression of age-related macular degeneration". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 11: CD000254. doi:10.1002/14651858.CD000254.pub3. PMID 23152201.
  7. "Global, regional, and national incidence, prevalence, and years lived with disability for 301 acute and chronic diseases and injuries in 188 countries, 1990-2013: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2013". Lancet. 386 (9995): 743–800. 2015-08-22. doi:10.1016/s0140-6736(15)60692-4. PMC 4561509. PMID 26063472.
  8. ชลัญธร โยธาสมุทร (2014), p. 3 อ้างอิง
  9. 9.0 9.1 ชลัญธร โยธาสมุทร (2014), โรคที่เกี่ยวกับจุดภาพชัดจอตา, หน้า 4 อ้างอิง
    • Jenchitr, W; Ruamviboonsuk, P; Sanmee, A; Pokawattana, N (February 2011). "Prevalence of age-related macular degeneration in Thailand". Ophthalmic Epidemiol. 18 (1): 48–52.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  10. Roberts, DL (2006). The First Year - Age Related Macular Degeneration. Marlowe & Company. p. 100.
  11. Roberts, DL (2006). "The First Year - Age Related Macular Degeneration". Marlowe & Company: 20.
  12. Deangelis, MM; Silveira, AC; Carr, EA; Kim, IK (2011). "Genetics of age-related macular degeneration: current concepts, future directions". Seminars in ophthalmology. 26 (3): 77–93. doi:10.3109/08820538.2011.577129. PMC 4242505. PMID 21609220.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  13. Thornton, J; Edwards, R; Mitchell, P; Harrison, RA; Buchan, I; Kelly, SP (2005). "Smoking and age-related macular degeneration: a review of association". Eye (London, England). 19 (9): 935–44. doi:10.1038/sj.eye.6701978. PMID 16151432.
  14. Cougnard-Grégoire, A; และคณะ (2013). "Long-term blood pressure and age-related macular degeneration: the ALIENOR study". Invest Ophthalmol Vis Sci. 54 (3): 1905–1912. doi:10.1167/iovs.12-10192. PMID 23404120.
  15. Dasari, Bhanu; Prasanthi, Jaya RP; Marwarha, Gurdeep; Singh, Brij B; Ghribi, Othman (2011-08-18). "Cholesterol-enriched diet causes age-related macular degeneration-like pathology in rabbit retina". BMC Ophthalmology. 11: 22. doi:10.1186/1471-2415-11-22. PMC 3170645. PMID 21851605.
  16. Adams, MK; Simpson, JA; Aung, KZ และคณะ (2011-06-01). "Abdominal obesity and age-related macular degeneration". Am J Epidemiol. 173 (11): 1246–55. doi:10.1093/aje/kwr005. PMID 21422060. สืบค้นเมื่อ 2012-07-29.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  17. Parekh, N; Voland, RP; Moeller, SM และคณะ (2009). "Association between dietary fat intake and age-related macular degeneration in the Carotenoids in Age-Related Eye Disease Study (CAREDS) : an ancillary study of the Women's Health Initiative". Arch Ophthalmol. 127 (11): 1483–93. doi:10.1001/archophthalmol.2009.130. PMC 3144752. PMID 19901214.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  18. SanGiovanni, John Paul; Chew, Emily Y; Clemons, Traci E; Davis, Matthew D; III, Frederick L Ferris; Gensler, Gary R; Kurinij, Natalie; Lindblad, Anne S; Milton, Roy C; Seddon, Johanna M; Sperduto, Robert D (2007-05-05). "The Relationship of Dietary Lipid Intake and Age-Related Macular Degeneration in a Case-Control Study". Archives of Ophthalmology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-23.{{cite web}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  19. Khan, JC; Shahid, H; Thurlby, DA; Bradley, M; Clayton, DG; Moore, AT; Bird, AC; Yates, JR; Study)), ((Genetic Factors in AMD (2006). "Age related macular degeneration and sun exposure, iris colour, and skin sensitivity to sunlight". The British Journal of Ophthalmology. 90 (1): 29–32. doi:10.1136/bjo.2005.073825. PMC 1856929. PMID 16361662.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  20. Glazer-Hockstein, C; Dunaief, JL (2006). "Could blue light-blocking lenses decrease the risk of age-related macular degeneration?". Retina. 26 (1): 1–4. doi:10.1097/00006982-200601000-00001. PMID 16395131.
  21. Margrain, TH; Boulton, M; Marshall, J; Sliney, DH (2004). "Do blue light filters confer protection against age-related macular degeneration?". Progress in Retinal and Eye Research. 23 (5): 523–31. doi:10.1016/j.preteyeres.2004.05.001. PMID 15302349.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  22. Maller, J; และคณะ (2006). "Common variation in three genes, including a noncoding variant in CFH, strongly influences risk of age-related macular degeneration". Nat. Genet. 38 (9): 1055–59. doi:10.1038/ng1873. PMID 16936732.
  23. Edwards, Albert (2005-04-15). "Complement Factor H Polymorphism and Age-Related Macular Degeneration". Science. 308: 421-424. doi:10.1126/science.1110189.
  24. Janeway, CA Jr; Travers, P; Walport, M และคณะ (2001). The complement system and innate immunity. Immunobiology: The Immune System in Health and Disease. New York: Garland Science.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  25. Hughes, Anne E; Orr, Nick; Esfandiary, Hossein; Diaz-Torres, Martha; Goodship, Timothy; Chakravarthy, Usha (2006). "A common CFH haplotype, with deletion of CFHR1 and CFHR3, is associated with lower risk of age-related macular degeneration". Nature Genetics. 38 (10): 1173–77. doi:10.1038/ng1890. PMID 16998489.
  26. Fritsche, L. G.; Lauer, N.; Hartmann, A.; Stippa, S.; และคณะ (2010). "An imbalance of human complement regulatory proteins CFHR1, CFHR3 and factor H influences risk for age-related macular degeneration (AMD)". Human Molecular Genetics. 19 (23): 4694–4704. doi:10.1093/hmg/ddq399. PMID 20843825.
  27. Yates, JR; Sepp, T; Matharu, BK; Khan, JC; Thurlby, DA; Shahid, H; Clayton, DG; Hayward, C; Morgan, J; Wright, AF; Armbrecht, AM; Dhillon, B; Deary, IJ; Redmond, E; Bird, AC; Moore, AT (2007). "Complement C3 Variant and the Risk of Age-Related Macular Degeneration". N Engl J Med. 357 (6): 553–61. doi:10.1056/NEJMoa072618. PMID 17634448.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  28. Maller, JB; Fagerness, JA; Reynolds, RC; Neale, BM; Daly, MJ; Seddon, JM (2007). "Variation in Complement Factor 3 is Associated with Risk of Age-Related Macular Degeneration". Nature Genetics. 39 (10): 1200–1201. doi:10.1038/ng2131. PMID 17767156.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  29. Yang, Z; Camp, NJ; Sun, H; Tong, Z; Gibbs, D; Cameron, DJ; Chen, H; Zhao, Y; Pearson, E และคณะ (2006). "A variant of the HTRA1 gene increases susceptibility to age-related macular degeneration". Science. 314 (5801): 992–93. doi:10.1126/science.1133811. PMID 17053109.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  30. Dewan, A; Liu, M; Hartman, S และคณะ (2006). "HTRA1 Promoter Polymorphism in Wet Age-Related Macular Degeneration". Science. 314 (5801): 989–92. doi:10.1126/science.1133807. PMID 17053108.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  31. Hirschler, Ben (2008-10-07). "Gene discovery may help hunt for blindness cure". Reuters. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-10-11. สืบค้นเมื่อ 2008-10-07.
  32. Udar, N; Atilano, SR; Memarzadeh, M; Boyer, D; Chwa, M; Lu, S (2009). "Mitochondrial DNA Haplogroups Associated with Age-Related Macular Degeneration". Invest Ophthalmol Vis Sci. 50 (6): 2966–74. doi:10.1167/iovs.08-2646. PMID 19151382.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  33. Canter, JA; Olson, LM; Spencer, K; Schnetz-Boutaud, N; Anderson, B; Hauser, MA (2008). Nicholas Weedon, Michael (บ.ก.). "Mitochondrial DNA polymorphism A4917G is independently associated with age-related macular degeneration". PLoS ONE. 3 (5): e2091. doi:10.1371/journal.pone.0002091. PMC 2330085. PMID 18461138.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) 
  34. Mullins, RF; Russell, SR; Anderson, DH; Hageman, GS (2000). "Drusen associated with aging and age-related macular degeneration contain proteins common to extracellular deposits associated with atherosclerosis, elastosis, amyloidosis, and dense deposit disease". FASEB J. 14 (7): 835–46. PMID 10783137.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  35. Hageman, GS; Anderson, DH; Johnson, LV; Hancox, LS; Taiber, AJ; Hardisty, LI (2005). "A common haplotype in the complement regulatory gene factor H (HF1/CFH) predisposes individuals to age-related macular degeneration". Proc Natl Acad Sci USA. 102 (20): 7227–32. doi:10.1073/pnas.0501536102. PMC 1088171. PMID 15870199.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  36. Chen, LJ; Liu, DT; Tam, PO; Chan, WM; Liu, K; Chong, KK (2006). "Association of complement factor H polymorphisms with exudative age-related macular degeneration". Mol. Vis. 12: 1536–42. PMID 17167412.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  37. Despriet, DD; Klaver, CC; Witteman, JC; Bergen, AA; Kardys, I; de Maat, MP (2006). "Complement factor H polymorphism, complement activators, and risk of age-related macular degeneration". JAMA. 296 (3): 301–09. doi:10.1001/jama.296.3.301. PMID 16849663.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  38. Li, M; Tmaca-Sonmez, P; Othman, M; Branham, KE; Khanna, R; Wade, MS (2006). "CFH haplotypes without the Y402H coding variant show strong association with susceptibility to age-related macular degeneration". Nature Genetics. 38 (9): 1049–54. doi:10.1038/ng1871. PMC 1941700. PMID 16936733.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  39. Haines, JL; Hauser, MA; Schmidt, S; Scott, WK; Olson, LM; Gallins, P (2005). "Complement factor H variant increases the risk of age-related macular degeneration". Science. 308 (5720): 419–21. doi:10.1126/science.1110359. PMID 15761120.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  40. Rohrer, B; Long, Q; Coughlin, B; Renner, B; Huang, Y; Kunchithapautham, K (2010). "A targeted inhibitor of the complement alternative pathway reduces RPE injury and angiogenesis in models of age-related macular degeneration". Adv Exp Med Biol. Advances in Experimental Medicine and Biology. 703: 137–49. doi:10.1007/978-1-4419-5635-4_10. ISBN 978-1-4419-5634-7. PMID 20711712.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  41. Kunchithapautham, K; Rohrer, B (2011). "Sublytic Membrane-Attack-Complex (MAC) Activation Alters Regulated Rather than Constitutive Vascular Endothelial Growth Factor (VEGF) Secretion in Retinal Pigment Epithelium Monolayers". J Biol Chem. 286 (27): 23717–24. doi:10.1074/jbc.M110.214593. PMC 3129152. PMID 21566137.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  42. Yates, JR; Sepp, T; Matharu, BK; Khan, JC; Thurlby, DA; Shahid, H (2007). "Complement C3 variant and the risk of age-related macular degeneration". NEJM. 357 (6): 553–61. doi:10.1056/NEJMoa072618. PMID 17634448.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  43. Fritsche, LG; Loenhardt, T; Janssen, A; Fisher, SA; Rivera, A; Keilhauer, CN (2008). "Age-related macular degeneration is associated with an unstable ARMS2 (LOC387715) mRNA DNA damage and repair in age-related macular degeneration". Nat. Genet. 40 (7): 892–96. doi:10.1038/ng.170.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  44. 44.0 44.1 Chen, W; Stambolian, D; Edwards, AO; Branham, KE; Othman, M; Jakobsdottir, J (2010). "Genetic variants near TIMP3 and high-density lipoprotein-associated loci influence susceptibility to age-related macular degeneration". Proc Natl Acad Sci USA. 107 (16): 7401–7406. doi:10.1073/pnas.0912702107. PMC 2867722. PMID 20385819.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  45. Neale, BM; Fagerness, J; Reynolds, R; Sobrin, L; Parker, M; Raychaudhuri, S (2010). "Genome-wide association study of advanced age-related macular degeneration identifies a role of the hepatic lipase gene (LIPC)". Proc Natl Acad Sci USA. 107 (16): 7395–400. doi:10.1073/pnas.0912019107. PMC 2867697. PMID 20385826.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  46. Ratnayaka, JA; Serpell, LC; Lotery, AJ (2015). "Dementia of the eye: the role of amyloid beta in retinal degeneration". Eye (Lond). 29: 1013–26. doi:10.1038/eye.2015.100. PMC 4541342. PMID 26088679.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  47. 47.0 47.1 Ferris, Frederick L.; Wilkinson, C.P.; Bird, Alan; Chakravarthy, Usha; Chew, Emily; Csaky, Karl; Sadda, SriniVas R. (2013). "Clinical Classification of Age-related Macular Degeneration". Ophthalmology. 120 (4): 844–851. doi:10.1016/j.ophtha.2012.10.036. ISSN 0161-6420.
  48. http://www.pall.com/main/fuels-and-chemicals/green-oil-contaminant-separation-37657.page
  49. Alberts, Daniel Albert (2012). Dorland's illustrated medical dictionary (32nd ed.). Philadelphia, PA: Saunders/Elsevier. p. 1062. ISBN 978-1-4160-6257-8.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  50. "Medical Definition of LIPOFUSCIN". merriam-webster.
  51. "Melanin aggregation and polymerization: possible implications in age related macular degeneration". Ophthalmic Research. 37: 136–41. 2005.
  52. "Harvard Medical signs agreement with Merck to develop potential therapy for macular degeneration". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-07.
  53. Thornton, J; Edwards, R; Mitchell, P; Harrison, RA; Buchan, I; Kelly, SP (2005). "Smoking and age-related macular degeneration: a review of association". Eye. 19 (9): 935–44. doi:10.1038/sj.eye.6701978. PMID 16151432.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  54. Tomany, SC; Cruickshanks, KJ; Klein, R; Klein, BE; Knudtson, MD (2004). "Sunlight and the 10-year incidence of age-related maculopathy: the Beaver Dam Eye Study". Arch Ophthalmol. 122 (5): 750–7. doi:10.1001/archopht.122.5.750. PMID 15136324.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  55. Szaflik, JP; Janik-Papis, K; Synowiec, E; Ksiazek, D; Zaras, M; Wozniak, K (2009). "DNA damage and repair in age-related macular degeneration". Mutat Res. 669 (1–2): 167–76. doi:10.1016/j.mrfmmm.2009.06.008.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  56. Barot, M; Gokulgandhi, MR; Mitra, AK (2011). "Mitochondrial dysfunction in retinal diseases". Current Eye Research. 36 (12): 1069–77. doi:10.3109/02713683.2011.607536. PMC 4516173. PMID 21978133.
  57. 57.0 57.1 Owsley, Cynthia; McGwin, Gerald; Clark, Mark E.; Jackson, Gregory R.; Callahan, Michael A.; Kline, Lanning B.; Witherspoon, C. Douglas; Curcio, Christine A. (2016). "Delayed Rod-Mediated Dark Adaptation Is a Functional Biomarker for Incident Early Age-Related Macular Degeneration". Ophthalmology. 123 (2): 344–351. doi:10.1016/j.ophtha.2015.09.041. ISSN 0161-6420.
  58. Owsley, Cynthia (2015-10-30). "Delayed Rod-Mediated Dark Adaptation Is a Functional Biomarker for Incident Early Age-Related Macular Degeneration". Ophthalmology. 123: 344–51. doi:10.1016/j.ophtha.2015.09.041.
  59. "Preferential Hyperacuity Perimetry (PHP) as an Adjunct Diagnostic Tool to Funduscopy in Age-related Macular Degeneration - Ophthalmology Technology Spotlight". Medcompare. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-14. สืบค้นเมื่อ 2011-01-11.
  60. 60.0 60.1 Hobbs, RP; Bernstein, PS (2013). "Nutrient Supplementation for Age-related Macular Degeneration, Cataract, and Dry Eye". Journal of ophthalmic & vision research. 9 (4): 487–93. doi:10.4103/2008-322X.150829. PMC 4329711. PMID 25709776.
  61. Gehlbach, P; Li, T; Hatef, E (2016). "Statins for age-related macular degeneration". Cochrane Database Syst Rev (8): CD006927. doi:10.1002/14651858.CD006927.pub5. PMC 5029465. PMID 27490232.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  62. Geltzer, A; Turalba, A; Vedula, SS (2013). "Surgical implantation of steroids with antiangiogenic characteristics for treating neovascular age-related macular degeneration". Cochrane Database Syst Rev. 1: CD005022. doi:10.1002/14651858.CD005022.pub3. PMC 4269233. PMID 23440797.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  63. de Jong, PT (2006). "Age-related macular degeneration". N Engl J Med. 355 (14): 1474–85. doi:10.1056/NEJMra062326. PMID 17021323.
  64. Horton, Jonathan C. "25". Disorders of the Eye. Harrison's Principles of Internal Medicine (16th ed.).{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  65. Chakravarthy, U; Harding, SP; Rogers, CA; Downes, SM; Lotery, AJ; Culliford, LA; Reeves, BC; on behalf of the IVAN study, investigators (2013-07-18). "Alternative treatments to inhibit VEGF in age-related choroidal neovascularisation: 2-year findings of the IVAN randomised controlled trial". Lancet. 382 (9900): 1258–67. doi:10.1016/S0140-6736(13)61501-9. PMID 23870813.
  66. Moja, L; Lucenteforte, E; Kwag, KH; Bertele, V; Campomori, A; Chakravarthy, U; D'Amico, R; Dickersin, K; Kodjikian, L; Lindsley, K; Loke, Y; Maguire, M; Martin, DF; Mugelli, A; Mühlbauer, B; Püntmann, I; Reeves, B; Rogers, C; Schmucker, C; Subramanian, ML; Virgili, G (2014-09-15). "Systemic safety of bevacizumab versus ranibizumab for neovascular age-related macular degeneration". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 9: CD011230. doi:10.1002/14651858.CD011230.pub2. PMC 4262120. PMID 25220133.
  67. Copley, Caroline; Hirschler, Ben (2012-04-24). "Novartis challenges UK Avastin use in eye disease". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-22.
  68. Mundy, Alicia (2010-06-17). "Medicare Eye Study Finds Untapped Savings". Wall Street Journal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-23. สืบค้นเมื่อ 2018-05-27.
  69. "FDA Approves New Drug Treatment for Age-Related Macular Degeneration". FDA.gov. U.S. Food and Drug Administration. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-11-20.
  70. "FDA approves Eylea for macular degeneration". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-28.
  71. "Age-Related Macular Degeneration PPP - Updated 2015". American Academy of Ophthalmology Preferred Practice Pattern. 2015-01-29. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-21. สืบค้นเมื่อ 2016-10-22.
  72. Lindsley, K; Li, T; Ssemanda, E; Virgili, G; Dickersin, K (2016). "Interventions for Age-Related Macular Degeneration: Are Practice Guidelines Based on Systematic Reviews?". Ophthalmology. 123 (4): 884–97. doi:10.1016/j.ophtha.2015.12.004. PMID 26804762.
  73. Virgili, G; Michelessi, M; Parodi, MB; Bacherini, D; Evans, JR (2015). "Laser treatment of drusen to prevent progression to advanced age-related macular degeneration". Cochrane Database Syst Rev. 10: CD006537. doi:10.1002/14651858.CD006537.pub3. PMC 4733883. PMID 26493180.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  74. Virgili, G; Bini, A (2007-07-18). "Laser photocoagulation for neovascular age-related macular degeneration". The Cochrane Database of Systematic Reviews (3): CD004763. doi:10.1002/14651858.CD004763.pub2. PMID 17636773.
  75. Meads, C (2003). "Clinical effectiveness and cost-utility of photodynamic therapy for wet age-related macular degeneration: a systematic review and economic evaluation". Health Technology Assessment. 7 (9). doi:10.3310/hta7090. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-07.
  76. Casparis, H; Lindsley, K; Kuo, IC; Sikder, S; Bressler, NM (2017). "Surgery for cataracts in people with age-related macular degeneration". Cochrane Database Syst Rev. 2: CD006757. doi:10.1002/14651858.CD006757.pub4. PMID 28206671.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  77. "Low Vision Rehabilitation Delivery Model". Mdsupport.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-07. สืบค้นเมื่อ 2011-01-11.
  78. "Agencies, Centers, Organizations, & Societies". Mdsupport.org. 2005-09-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-11. สืบค้นเมื่อ 2011-01-11.
  79. "WHO Disease and injury country estimates". World Health Organization. 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-11-11. สืบค้นเมื่อ 2009-11-11.
  80. Age-Related Eye Disease Study Research Group (2000). "Risk Factors Associated with Age-Related Macular Degeneration: A Case-control Study in the Age-Related Eye Disease Study: Age-Related Eye Disease Study Report Number 3". Ophthalmology. 107 (12): 2224–32. doi:10.1016/S0161-6420(00)00409-7. PMC 1470467. PMID 11097601.
  81. Clemons, TE; Milton, RC; Klein, R; Seddon, JM; Ferris, FL (2005). "Risk Factors for the Incidence of Advanced Age-Related Macular Degeneration in the Age-Related Eye Disease Study (AREDS) AREDS Report No. 19". Ophthalmology. 112 (4): 533–39. doi:10.1016/j.ophtha.2004.10.047. PMC 1513667. PMID 15808240.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  82. Mullins, RF; และคณะ (2000). "Drusen associated with aging and age-related macular degeneration contain proteins common to extracellular deposits associated with atherosclerosis, elastosis, amyloidosis, and dense deposit disease". FASEB J. 14 (7): 835–46. PMID 10783137.
  83. Neale, BM; Fagerness, J; Reynolds, R; Sobrin, L; Parker, M; Raychaudhuri, S (2010). "Genome-wide association study of advanced age-related macular degeneration identifies a role of the hepatic lipase gene (LIPC)". Proc Natl Acad Sci USA. 107 (16): 7395–7400. doi:10.1073/pnas.0912019107. PMC 2867697. PMID 20385826.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  84. John, S และคณะ (2013). "Choice of cell source in cell based therapies for retinal damage due to age related macular degeneration (AMD) : A review". Journal of Ophthalmology. 2013: 1–9. doi:10.1155/2013/465169.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  85. "Development of human embryonic stem cell therapies for age-related macular degeneration". Trends in Neurosciences. 36: 391, 393.
  86. "Judi Dench 'can't read any more due to failing eyesight". The Guardian. 2014-02-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-19.

แหล่งข้อมูลอื่น แก้

การจำแนกโรค
ทรัพยากรภายนอก